Skip to content

Sword of Coming 225

บทที่ 225 ถนนยามค่ำคืน

เฉินผิงอันกลับมานั่งที่ได้ไม่นาน ไม่เห็นจางซานเฟิง ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นชอบพูดจาตลกจึงบอกว่านักพรตหนุ่มกับดรุณีน้อยคนหนึ่งถูกตาต้องใจกันจึงพากันไปหาความสำราญแล้ว หลิวเกาหวาเออออห่อหมกตามไปอย่างสนุกสนาน เฉินผิงอันย่อมไม่เชื่อ แต่เห็นสีหน้าของบุตรชายท่านเจ้าเมืองในเวลานี้ สีหน้าของเฉินผิงอันจึงฉายแววประหลาด ในใจคิดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกกระมัง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามว่า “เจ้ามีพี่สาวน้องสาวที่หมั้นหมายไปแล้วหรือw,j?”

หลิวเกาหวาไม่เข้าใจ “ไม่มีนี่ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งภรรยา พวกนางเองก็ยังไม่ออกเรือน แต่ละคนอยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินดื่มไปวันๆ ท่านพ่อข้าบ่นเป็นประจำว่าพวกเรามีแต่คนไม่เอาไหน เงินเดือนของเขาล้วนถูกพวกเราย่ำยีจนเละเทะ โดยเฉพาะการเตรียมสินสอดทองหมั้น ทำเอาเขาไม่เหลือเงินให้ซื้อของประดับตกแต่งบ้านมานานหลายปีแล้ว”

เฉินผิงอันโล่งใจ ยังไม่ได้แต่งงานหรือหมั้นหมายก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากสตรีที่ใบหน้าคล้ายหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วนคนนั้นเป็นพี่น้องของเขาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงลำบากใจ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเล่าเรื่องที่นางเป็นดอกซิ่งแดงบานออกไปนอกกำแพง (หมายถึงผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคบชู้) ดีหรือไม่

เพียงไม่นานการแสดงทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก็ปิดฉากลง เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพหม่าต่างก็เดินออกมาจากศาลาริมน้ำ ไปทักทายปราศรัยกับเทพเซียนเฒ่าด้วยตัวเองอย่างไม่ถือตัว เทพเซียนเฒ่าตอบคำถามอย่างเหมาะสม หนึ่งบุ๋นกับอีกสองขุนนางฝ่ายบู๊ที่เป็นเสมือนบิดาของชาวบ้านต่างก็รู้สึกเหมือนกำลังอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันนี้ยังมีชายหนุ่มท่าทางเหมือนคนในพื้นที่ดึงดันจะมากราบไหว้เทพเซียนเฒ่าเป็นอาจารย์ ขอเรียนรู้ศิลปะการแสดงจากเขาให้ได้ ผลคือถูกพ่อบ้านและคนงานของจวนมากลากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

นักพรตจางซานเฟิงกลับมาช้ากว่าเฉินผิงอันไม่กี่ก้าว เห็นว่าเฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายดีก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เอ่ยล้อเลียนว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าตกส้วมไปแล้ว”

เฉินผิงอันไม่ต้องการจะเล่าเรื่องการต่อสู้บนถนนเส้นเล็กให้อีกฝ่ายฟัง เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “หาห้องส้วมไม่เจอ แล้วก็เกรงใจเกินกว่าจะไปถามพ่อบ้านของจวน ก็เลยคิดจะหาที่เงียบๆ ผลปรากฏว่าหาอยู่นานมาก ตอนกลับมาเห็นว่าคนในระเบียงเพิ่มขึ้นเยอะ เกรงใจที่จะเบียดเข้ามาก็เลยรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง”

ชายฉกรรจ์ถามสัพยอก “มัวแต่ไปหามุมมืด คงไม่ได้เห็นภาพชดช้อยเย้ายวนพวกนี้สินะ? ข้าจะบอกเจ้าให้ แคว้นไฉ่อีแห่งนี้ โดยเฉพาะในเมืองแยนจือที่มีบัณฑิตและสาวงามมากที่สุด เวลาอยู่ว่างๆ พวกผู้คนชอบอ่านหนังสือลามกต้องห้าม อ่านมากไปก็ทำตามวิธีที่เขียนบอกไว้ในหนังสือ…”

ชายฉกรรจ์กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเกาหวาที่อดไม่ไหวก็พยักหน้ารับอย่างแรง “ก็เหมือนกับน้องคนเล็กของบ้านข้า เพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้น แต่ก็เพราะแอบอ่านตำราต้องห้าม แม้จะไม่ใช่เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง แต่นิสัยของนางก็ป่าเถื่อนตามตำราพวกนั้น ตั้งแต่เด็กก็สนใจเรื่องคุณธรรมในยุทธภพ มักจะชอบพูดว่าพวกผู้ชายในเมืองแยนจือมีแต่พวกนิสัยเหมือนผู้หญิง ไม่คล่องแคล่วฉับไว นางดีแต่จะเรียนรู้เคล็ดลับการปีนออกจากหอซิ่วโหลว วางบันไดพาดกำแพง ยังดีที่นางฉลาด แต่ท่านแม่ข้าฉลาดกว่านาง นังหนูน้อยจึงไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว”

ชายฉกรรจ์เคราดกดวงตาเป็นประกาย ตบอกกล่าวว่า “สนใจในเรื่องของยุทธภพน่ะสิดี ในท้องของข้าผู้แซ่สวีบรรจุน้ำของทะเลสาบและแม่น้ำ (ทะเลสาบและแม่น้ำอ่านว่าเจียงหู และเจียงหูก็สามารถแปลได้ว่ายุทธภพ) ไว้เต็มเปี่ยม หยิบยกเรื่องใดมาพูดสักเรื่องสองเรื่องก็ล้วนเป็นกับแกล้มที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้!”

หลิวเกาหวามองค้อน “ไม่เอาสิ น้องสาวข้าอายุยังน้อย จอมยุทธ์ใหญ่สวี มิตรภาพของพวกเราสองคนก็ส่วนมิตรภาพ ให้เป็นแค่เรื่องในยุทธภพก็พอ อีกอย่างหากเจ้ากลายมาเป็นน้องเขยของข้า เจ้าจะไม่เสียเปรียบด้านความอาวุโสหรอกหรือ?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มตาหยี “เจ้าก็ยังมีพี่สาวไม่ใช่หรือไง?”

หลิวเกาหวาไม่กล้าพูดอะไรมากคล้ายคนที่น้ำท่วมปาก

เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด

ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่ของหลิวเกาหวา “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าผู้แซ่สวีอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ สาวงามที่รู้ใจมีมากมายจนสองมือก็นับไม่พอ สำหรับสตรีในห้องหอ ข้าไม่เคยให้ความสนใจ!”

งานเลี้ยงจบลง ผู้คนก็พากันเดินออกจากจวน คนทั้งสามกลับไปยังโรงเตี๊ยม หลิวเกาหวาถูกบิดาส่งคนมาตามตัวให้กลับไปร่วมรับรองแขก แม้ว่าบุตรชายจะไม่เอาไหน ไม่มีทั้งความรู้และฝีมือ เรียกได้ว่าอนาคตการเป็นขุนนางขาดสะบั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายคนเดียวของเขา เจ้าเมืองหลิวจึงยังหวังให้หลิวเกาหวาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไม่ย่ำแย่เกินไปนัก

ระหว่างที่เดินกลับ เพราะได้ของสองชิ้นนั้นมา เฉินผิงอันจึงสอบถามเรื่องสมบัติอาคมจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง

จะโทษก็ต้องโทษที่คนที่เฉินผิงอันพบเจอมาล้วนทำตัวไม่เหมือนคนในยุทธภพ ตรงเอวของอาเหลียงห้อยดาบไม้ไผ่อย่างไม่พิถีพิถัน ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉาน บางครั้งอาจจะคุยถึงเรื่องขอบเขตและอาวุธอาคมบ้าง แต่คำพูดคำจาใหญ่โตจนน่าตกใจ ราวกับว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ห้าขอบเขตกลางและสมบัติอาคมที่พวกเขาพกพาเป็นแค่ดินเหนียวที่พวกเด็กๆ ชอบหยิบขึ้นมาเล่น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทางฝ่ายของผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งตรงไปตรงมา บอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากต้องอาศัยวัตถุนอกกายถึงจะเดินอยู่ในยุทธภพได้ก็ไม่สู้เป็นชาวนาที่ทำไร่ทำนาอยู่กับบ้านยังดีกว่า

เฉินผิงอันเองก็จนใจอย่างมาก

ยังดีที่เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงก็พอจะเข้าใจการแบ่งขอบเขตของ ‘สมบัติอาคม’ อย่างคร่าวๆ ที่แท้ก็มีการแบ่งระดับอย่างเข้มงวดไม่เป็นรองระดับขั้นของขุนนางเลย ‘สมบัติอาคม’ คือคำเรียกโดยภาพรวม วัตถุที่มีระดับต่ำที่สุดเรียกว่าวัตถุฝีมือช่าง คือวัตถุไม่มีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง คำกล่าวในยุทธภพที่พูดว่าเป่าขนตัดเส้นผม หั่นเหล็กเหมือนหั่นโคลน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะใช้บรรยายอาวุธที่อยู่ในขอบเขตนี้ รวมไปถึงวัตถุอันเป็นสัญลักษณ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขามอบให้แก่ลูกศิษย์ในสำนักก็มักจะเป็นวัตถุฝีมือช่างที่มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นของจางซานเฟิง

แน่นอนว่าหากเป็นกระบี่ไม้ท้อที่จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์มอบให้ก็ย่อมเหนือชั้นกว่าระดับนี้ไปมาก

เหนือจากวัตถุฝีมือช่างขึ้นไปก็คือวัตถุหนัก อาวุธเทพของปรมาจารย์ในยุทธภพส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธประเภทนี้ วัตถุดิบล้ำค่าหายาก ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก ไม่มีการสืบทอดจากสำนัก ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ถูกมองเป็นผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญบนมหามรรคา คนกึ่งกลางภูเขาที่กำลังฝึกบำเพ็ญตน ฯลฯ หากโชคดีก็จะมี ‘วัตถุหนัก’ หนึ่งถึงสองชิ้น การได้มาครองนั้นไม่ง่าย ก็เหมือนนักพรตจางซานเฟิงที่ปรารถนาอยากจะได้ครอบครองอาวุธหนักแม้ในยามหลับฝัน หวังว่าวันหน้าจะมีกระบี่อาคมที่เหมาะมือสักชิ้น

ดาบพกเล่มนั้นของชายฉกรรจ์เคราดก อันที่จริงคือสุดยอดอาวุธในกลุ่มของวัตถุหนัก

วัตถุวิเศษและวัตถุอาคมในลำดับต่อมาถึงจะเรียกว่าเป็น ‘สมบัติอาคม’ ที่แท้จริง วัตถุวิเศษแบ่งออกเป็นก่อนกำเนิดและหลังกำเนิด วัตถุวิเศษก่อนกำเนิดนั้นหาได้ยากและล้ำค่ามากยิ่งกว่า เนื่องจากได้รับความรักจากฟ้าดิน ถูกบ่มเพาะปราณวิญญาณจนเปี่ยมล้น ทำให้ผู้ฝึกตนที่ควบคุมมันเหนื่อยน้อยแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถทำลายรากฐานของมันเป็นค่าตอบแทนในการช่วยเพิ่มพูนพลังหล่อเลี้ยงเจ้าของของมันเอง อันที่จริงเงินหิมะน้อยก็พอจะถือว่าเป็นวัตถุชนิดนี้ได้อย่างถูไถ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะมีน้อยเกินไปจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ไม่มีผู้ฝึกลมปราณคนใดโง่ถึงขนาดดึงดูดปราณวิญญาณของเงินหิมะน้อยมาช่วยเพิ่มตบะและขอบเขตของตัวเอง

วัตถุวิเศษหลังกำเนิดก็อย่างเช่นกระดาษยันต์สีเหลืองที่ระดับค่อนข้างสูง รวมไปถึงอาวุธเทพที่เกิดจากการแกะสลักหรือสร้างโดยผู้ฝึกลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นหยกประดับของฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีชื่อว่า ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ ชิ้นนั้นที่ถือเป็นระดับต้นๆ ของวัตถุวิเศษ มูลค่าควรเมือง และยังมี ‘กาน้ำชาซานเซียว’ ที่เขาซื้อไปจากซ่งจี๋ซิน ที่ยิ่งมีมูลค่ามากเป็นพิเศษ

เมื่อเทียบกับ ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ กับ ‘กาน้ำชาซานเซียว’ แล้ว เชือกพันธนาการปีศาจ ไม้กำราบปีศาจ แส้ไม้ไผ่โบยผี ฯลฯ ที่ผู้ฝึกลมปราณของสำนักโองการเทพพกติดตัว แม้ว่าจะเป็นวัตถุวิเศษหลังกำเนิดเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะราคาหรือมูลค่าก็ล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

เหนือวัตถุวิเศษขึ้นไปก็คือวัตถุอาคม

คำว่าอาคม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคำที่ยิ่งใหญ่เสมอ

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีคำเรียกว่ามรรคกถา หรืออาคมพุทธ

วัตถุอาคมซุกซ่อนกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์ของมหามรรคาแห่งฟ้าดิน

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ใช้สร้างความอบอุ่นให้กับกระบี่บินยึดครองตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินที่อาเหลียงได้มาจากเว่ยจิน และน้ำเต้าลูกที่ซูเจี้ยแห่งขุนเขาตะวันเที่ยงแขวนไว้ตรงเอวนั้นเป็นดั่งลูกหลานเชื้อพระวงศ์ในบรรดาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เล่าลือกันว่าก่อนหน้าที่มรรคาจารย์เต๋าจะบินทะยานขึ้นไปเบื้องบนได้ลงมือปลูกเถาวัลย์น้ำเต้าด้วยตัวเอง สุดท้ายออกลูกเป็นน้ำเต้าหกผล จากนั้นก็ถูกยอดฝีมือนำมาสร้างเป็นภาชนะบรรจุเพื่อใช้เลี้ยงกระบี่หกชิ้น แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั่วไปไม่อาจทัดเทียมได้เลย

เหนือวัตถุอาคมขึ้นไปยังมีอาวุธเซียน

ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแปดเก้าคนในสิบคน ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิตก็ไม่เคยเห็นอาวุธเซียนด้วยตาตัวเองสักครั้ง ต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีอาวุธเซียนพิทักษ์สำนัก สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีป ครั้งนี้ฉีเจินเจ้าสำนักเลื่อนขั้นกลายเป็นเทียนจวินได้สำเร็จ สำนักเบื้องบนที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงได้มอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาให้

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่รัดไว้บนข้อมือของเฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่เขาพบเจอมา ถูกหล่อหลอมจากน้ำของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้กึ่งหนึ่ง นี่ก็คือจุดที่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรงในตัวเฉาซีมากที่สุด

อาวุธเซียนอันดับสูงสุดในโลกไม่มีชิ้นใดที่ไม่เต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์หลากหลายสีสัน ผู้ที่ได้ครอบครองก็ยิ่งมีตำแหน่งเหนือล้ำ ได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศไปทั่วใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเทียนซือและกระบี่เซียนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีกระถางทองสัมฤทธิ์ใบเล็กใบหนึ่งที่บุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอินได้มาโดยบังเอิญตอนออกเดินทางหาประสบการณ์ทั่วหล้ายามเยาว์ ซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นของทำเลียนแบบกระถางใบใหญ่แห่งแม่น้ำและขุนเขาที่อริยะในสมัยบรรพกาลพกห้อยไว้ตรงเอว

และในบรรดาอาวุธเซียนที่เดิมทีก็หาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลนนั้นยังมีอีกหนึ่งชนิดที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า นั่นก็คือ ‘วิญญาณเทพ’ ที่ผ่านการสั่งสมมานานปีจนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง

เฉินผิงอันเริ่มมั่นใจแล้ว

ต่อให้ไม่รวมภูเขาห้าลูกที่ได้ครอบครอง ตนก็ถือว่ามีเงินเยอะมากแล้ว!

ทรัพย์สินที่ตนมีในเวลานี้เรียกได้ว่ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์!

ไม้สีดำและถ้วยกระเบื้องที่เพิ่ง ‘เก็บมา’ จากข้างทาง

‘ปราบมาร’ กระบี่ไม้ที่ทำมาจากไม้ต้นไหว

หินดีงูก้อนที่ลู่เฉินส่งคืนผ่านทางเฮ้อเสี่ยวเหลียง ต่อให้ไม่นับในข้อที่มันเป็นที่ชื่นชอบของพวกมังกรและเจียวในโลกก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบวิเศษที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุด

ส่วนตราประทับสามชิ้นที่อาจารย์ฉีมอบให้ตนล้วนสลักมาจากหินดีงูที่ดีที่สุด

เหล็กหมาดหิมะรวมไปถึงกระดาษยันต์คุณภาพเยี่ยมปึกใหญ่ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีความพิเศษมากในบรรดาวัตถุอาคมซึ่งห้อยไว้ที่เอว คือสมบัติที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่ปรารถนาอยากจะครอบครอง

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่รับเขาเป็นเจ้านายชั่วคราวอย่างชูอีและสืออู่

ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับห้องเพียงลำพัง เท้าของเขาจึงล่องลอยเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กชายชุดเขียวเวลาที่ไม่ได้เจอคนฝีมือสูงกว่าบนถนนอย่างยิ่ง

แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินระดับของวัตถุทุกชิ้นได้อย่างละเอียด แต่ของที่เขาเอามาจากภูเขาลั่วพั่วต้องไม่ได้แย่อย่างแน่นอน

ดื่มเหล้า ต้องดื่มเหล้า!

ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันจึงไปสอบถามราคาเหล้าของโรงเตี๊ยมจากลูกจ้างในร้าน พอได้ยินว่าเป็นเหล้าหมักพื้นเมืองของเมืองแยนจือ หนึ่งจินอย่างน้อยต้องจ่ายแปดเหรียญเงิน ส่วนเหล้าแยนจือซึ่งเป็นสินค้าขายดีของโรงเตี๊ยมนั้น หนึ่งจินราคาสิบสองเหรียญ อีกทั้งยังห้ามต่อรองขอลดราคาด้วย! น้ำเต้าของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าได้สิบกว่าจิน เหล้าแยนจือที่แพงที่สุดสิบจินก็แค่หนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น! ไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญที่พวกเทพเซียนบนภูเขาใช้กันโดยเฉพาะ ไม่ดื่มเหล้ารสเลิศแบบนี้จะไม่ผิดต่ออาวุธวิเศษ อาวุธอาคมบนร่างของตัวเองที่มีมากเหมือนกองเงินกองทองหรอกหรือ?

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจซื้อเหล้าต้มพื้นเมืองสิบจินอย่างเด็ดเดี่ยว

เดิมทีคนทั้งสามต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมันแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าหลิวเกาหวามาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง เขามาเคาะประตูห้องของจางซานเฟิงก่อน นี่คือลูกหลานขุนนางอันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ตอนที่มาใบหน้าของเขากระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะด้านหลังยังมีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวอายุน้อยติดตามมาด้วย ผู้หญิงใบหน้าคล้ายคลึงหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วน คาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเขา เขาอธิบายเรื่องราวให้จางซานเฟิงฟัง จางซานเฟิงถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกเขามาก็เพื่อขอยาประเภทน้ำมันนวดของชาวยุทธ์ บอกว่าคืนนี้ตอนที่คุณชายหลิ่วไปดูเทพเซียนเฒ่าแสดง เพราะมีคนเยอะเกินไป อีกทั้งยังเป็นถนนยามค่ำคืน ไม่ทันระวังเลยสะดุดล้มหัวกระแทก ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หาย ร้านยาในเมืองปิดไปนานแล้ว พี่สาวของเขาเป็นห่วงคุณชายหลิ่วมาก ได้ยินว่าน้องชายรู้จักกับจอมยุทธ์ในยุทธภพและเทพเซียนบนภูเขาจึงอยากจะขอให้ช่วยดูให้หน่อย อย่าให้มีต้นตอของโรคร้ายทิ้งไว้เด็ดขาด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนางจะเป็นคนออกเอง

นักพรตจางซานเฟิงจึงพาคนทั้งสามไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกเองก็ใจกว้าง ช่วยดูอาการให้บัณฑิตที่อ่อนแอผู้นั้นแล้วบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก พอเห็นว่าฝ่ายหญิงดูไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ ชายฉกรรจ์ที่ยิ่งแก่นิสัยก็ยิ่งเผ็ดร้อนจึงหยิบแผ่นเย็นแผ่นหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ บอกให้บัณฑิตแซ่หลิ่วแปะไว้เหนือจุดไท่หยาง รับรองว่ายานี้จะช่วยกำจัดต้นตอของโรค และไม่ทิ้งผลร้ายไว้เบื้องหลัง

สตรีผู้นั้นถึงได้วางใจ นั่งลงบนเก้าอี้ สายตาอ่อนโยนที่มองไปยังบัณฑิตเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา บัณฑิตปลอบใจนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง คำพูดที่ใช้สุภาพแต่แฝงความหมายที่ตีความไปได้หลากหลาย

ชายฉกรรจ์หนวดดกทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้มากที่สุด เขาที่มองดูอยู่ถึงกับเสียวฟันแปลบ

จางซานเฟิงที่แม้จะเป็นคนออกบวช แต่กลับไม่เคยพลาดเรื่องครึกครื้น สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน เขาจึงรีบวิ่งไปลากเฉินผิงอันมาร่วมวงด้วย บอกว่าพี่สาวของหลิวเกาหวาเป็นแม่นางที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย วันนี้พาบัณฑิตที่ดูเป็นผู้ดีมาด้วยคนหนึ่ง ดูท่าแล้วอีกไม่นานคงจะได้เป็นลูกเขยจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันเพิ่งจะรินเหล้าใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนเต็ม ในห้องจึงมีแต่กลิ่นเหล้ากับกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ เห็นว่าจางซานเฟิงจะพาตนไปดูเรื่องสนุกให้ได้ หากตนไม่ไปคงไม่ยอมเลิกรา เพราะไม่อยากเปิดเผยพิรุธเรื่องเหล้าให้ใครเห็นจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกท่าเจี้ยนหลู ตามเขาไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย รอจนเฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้อง คู่รักที่ไปแอบพรอดรักกันในเงามืดใต้แสงจันทร์ก็สูดลมหายใจดังเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ศัตรูไม่ขยับ ข้าก็ไม่รุก

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะแล้วก็ปลดน้ำเต้าออกมา เริ่มดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง

บัณฑิตแซ่หลิ่วจะนั่งก็กระสับกระส่าย จะยืนก็ไม่เป็นสุข ส่วนพี่สาวของหลิวเกาหวา สตรีที่โดนนิยายรักมัวเมาให้ลุ่มหลงก็ยิ่งร้อนตัว ถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่ในตระกูลชนชั้นสูง ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะตัดสินใจแต่งงานกับชายแปลกหน้า ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะหยิบยกมาพูดได้ แม้จะบอกว่าประเพณีของชาวแยนจือเปิดกว้าง แต่บุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองมาโอบกอดลูบคลำอยู่กับบัณฑิตต่างถิ่น แล้วถูกคนมาพบเห็นเข้า หากเป็นคนที่ปากสว่าง เกรงว่าพรุ่งนี้เรื่องนี้คงแพร่สะพัดไปทั่วเมือง

หลิวเกาหวาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม พวกเจ้าสามคนรู้จักกันหรือ?”

เป็นบัณฑิตแซ่หลิ่วที่ถนัดปั้นเรื่อง เขากระแอมหนึ่งครั้ง แล้วอธิบายว่า “คืนนี้ข้ากับพี่สาวของเจ้าไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบ บังเอิญเจอกับคุณชายท่านนี้พอดี ด้านหลังของเขาสะพายกล่องกระบี่ ประหนึ่งมังกรโผบินพยัคฆ์เยื้องย่าง ท่วงท่าบุคลิกไม่ธรรมดา ทำให้พวกเรารู้สึกเลื่อมใสในสง่าราศีของคุณชาย แน่นอนว่าย่อมยากที่จะลืมได้ลง ตอนนี้ได้มาพบกันอีกครั้งก็ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!”

บัณฑิตกุมมือคารวะเฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยแวววิงวอนอย่างน่าสงสาร ตอนนั้นเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นซิ่งแขนขาเล็กบาง จึงนึกว่านี่เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบซึ่งสวรรค์ประทานมาให้แก่เขา ให้ตนเป็นวีรบุรุษที่ได้ช่วยเหลือสาวงาม หากพลาดไปก็ไม่เท่ากับผิดต่อผู้เฒ่าดวงจันทร์ที่ช่วยโยงด้ายแดงให้หรอกหรือ? ดังนั้นสุดท้ายจึงเกิด ‘ความเข้าใจผิด’ ที่จุดจบไม่ค่อยงดงามนักขึ้น

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้ชื่นชอบหรือรังเกียจอะไร แต่แน่นอนว่าต้องไม่มีความรู้สึกดีๆ อยู่แล้ว จึงทำเพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้เปิดโปงบัณฑิต ถือว่าเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้อีกฝ่ายแล้ว

จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องในบ้านของหลิวเกาหวา

การแต่งงานครั้งนี้จะดีหรือร้าย จะเป็นคู่สร้างคู่สมที่ครองรักกันจนแก่เฒ่า หรือเป็นคู่เวรคู่กรรมที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะครองคู่กันได้แค่ในเวลาสั้นๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา

แต่ถ้าเปลี่ยนหลิวเกาหวามาเป็นนักพรตจางซานเฟิงที่เฉินผิงอันมองเป็นเพื่อนที่แท้จริง เฉินผิงอันต้องพูดออกมาตามตรงแน่นอน ต่อให้ไม่ได้พูดต่อหน้า แต่ก็ต้องเอ่ยเตือนจางซานเฟิงเป็นการส่วนตัวสักคำ อาจบอกว่าพี่เขยของเจ้าในอนาคตเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนคุณชายที่มาจากตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้

พูดคุยกันมาถึงท้ายที่สุดจึงรู้ว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วซึ่งเดินทางไกลมาศึกษาที่นี่คือบัณฑิตยากจนที่พบกับแม่นางหลิวในงานวัดแห่งนี้ เขายากจนถึงขนาดต้องขออาศัยอยู่กับผู้อื่น เพราะโรงเตี๊ยมไม่มีห้องว่างเหลืออยู่แล้วจริงๆ หลิวเกาหวาจึงได้แต่ยิ้มขออภัย ขอร้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงช่วยรับเขาเอาไว้ นี่ทำให้สวีหย่วนเสียได้เปิดโลกทัศน์ ทำหน้าที่เป็นน้องเขยได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของบัณฑิตหลิ่ว กลับยังช่วยพี่สาวปิดบังความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมไม่คู่ควรครั้งนี้ด้วย

บัณฑิตแซ่หลิ่วไม่กล้าอยู่ร่วมห้องกับเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกับชายฉกรรจ์เคราดก เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคุณชายผู้บอบบาง ลักษณะเหมือนคนกินไม่เลือกทั้งเนื้อและผักของชายฉกรรจ์เคราดกน่ากลัวเกินไป จึงเลือกที่จะอาศัยอยู่กับนักพรตหนุ่มที่ดูเป็นปกติที่สุดและไม่ขัดตามากที่สุด จางซานเฟิงเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับเรื่องนี้

จากนั้นหลิวเกาหวาจึงพาพี่สาวที่ยังอาลัยอาวรณ์ออกไปจากโรงเตี๊ยม

สองพี่น้องเดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่เงียบสงัดเพราะใกล้จะถึงช่วงห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ตอนที่ใกล้จะเดินไปถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมืองบ้านของตัวเอง หลิวเกาหวาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ค่อยชอบคนผู้นั้น แต่ในเมื่อท่านชอบเขา สิ่งที่ข้าทำได้ก็ล้วนทำให้หมดแล้ว หากมีวันใดท่านค้นพบว่าตัวเองคิดผิดก็ไม่ต้องคิดมาก ฟ้าถล่มลงมา ท่านพ่อจะตีจะด่าก็ดี จะโมโหจนทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุก็ช่าง ถึงเวลานั้นท่านไม่ต้องกลัว ยังมีข้าอยู่ ข้าคือน้องชายของท่านนี่นา”

หญิงสาวเตะน้องชายตัวเองเบาๆ หนึ่งที พูดอย่างคนที่เขินอายจนพานเป็นโกรธ “หลิวเกาหวา! เจ้าไม่เห็นข้อดีของพี่สาวเจ้าบ้างเลยหรือไง พูดจาอัปมงคลอะไรแบบนี้!”

หลิวเกาหวาหันมาทำหน้าผีใส่นาง

หญิงสาวแสร้งทำเป็นตกใจ โวยวายว่าผีหลอกแล้วยกชายกระโปรงขึ้น ซอยเท้าก้าวเร็วๆ ไปยังประตูใหญ่จวนเจ้าเมือง

หลิวเกาหวาถอนหายใจแล้วก้าวเร็วๆ เดินตามไป

แต่จู่ๆ หลิวเกาหวาก็หยุดเดิน หันขวับไปมองบนถนนที่ว่างเปล่า จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เขาก็ส่ายหน้า ออกเดินต่ออีกครั้ง

เพราะเมื่อครู่นี้เขารู้สึกเสียวและเย็นวูบที่หลังคอ

หลิวเกาหวาปลอบใจตัวเองไม่หยุดว่าจะต้องกลัวอะไร ตนได้พบเห็นเทพเซียนเฒ่าพร้อมกับบิดามาก่อนแล้ว อีกทั้งยังได้คุยกับเซียนผู้เฒ่าต่อหน้าหลายคำ บนร่างจึงติดกลิ่นอายเซียนของอีกฝ่ายมาบ้างแล้ว ต่อให้บนโลกใบนี้มีสิ่งสกปรกอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่นปีศาจต้นไม้ในบ้านโบราณ ตอนนี้พวกมันก็เข้าใกล้ตนไม่ได้

นาทีที่ข้ารับใช้ในจวนปิดประตูด้านข้างลง บนถนนที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างไปไกลเส้นหนึ่งก็มีคนตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนเริ่มตีฆ้องพอดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เป็นยามสาม แต่เขากลับตีบอกเวลาเป็นยามสี่

และเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนถนนในเมืองแยนจือ “อากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ”

ในมือของผู้เฒ่าตาบอดที่เดินตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนมานานหลายปีถือฆ้องทองแดงเอาไว้ เดิมทีควรมีสหายที่เป็นใบ้รับผิดชอบถือไม้ตีเดินมาด้วยกัน พวกเขาทำงานร่วมกันมาหลายปีจึงคุ้นเคยกันดีอย่างถึงที่สุด

แต่ผู้เฒ่าไม่รู้เลยว่าสหายของตนได้กลายมาเป็นสตรีสวมชุดขาวผู้หนึ่ง แต่ละครั้งที่นางยกไม้ตีลงบนฆ้องทองแดงจะต้องมีเลือดสดกระเซ็นออกมาจากพื้นผิวฆ้อง แต่เลือดไม่ทันกระเด็นลงบนถนนก็กลายเป็นกลุ่มควันสีดำที่สลายไปอย่างรวดเร็วเสียก่อน

ผู้เฒ่าตาบอดยังคงตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version