บทที่ 233 สุ้ยสุ้ยผิงอัน
คำพูดประโยคนี้ของเทพอภิบาลเมืองมีน้ำหนักมาก
ต่อให้เป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เกรงว่าก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่า ‘ผู้มีคุณธรรม’ บัณฑิตมีสามอมตะ สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และสร้างสรรค์ถ้อยคำ ซึ่งการสร้างคุณธรรมคืออันดับแรก เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด บัณฑิตส่วนใหญ่ต่อให้ใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา หรืออาจถึงขั้นถอยแล้วถอยอีก
แต่ตอนนี้ความรู้ด้านภาษาในหัวของเฉินผิงอันยังตื้นเขินนัก จึงไม่อาจเข้าใจความหมายในระดับลึกซึ้งที่เสิ่นเวินแห่งแคว้นไฉ่อีเอ่ยออกมาด้วยฐานะของบัณฑิต มิใช่เอ่ยด้วยฐานะของเทพอภิบาลเมือง สำหรับกล่องไม้สีเขียวที่เพียงแค่สัมผัสก็รู้สึกสงบใจ เฉินผิงอันย่อมต้องชอบอยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่าข้างในกล่องบรรจุตราประทับที่เทียนซือผู้ครอบครองตราประทับของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นคนสลักด้วยตัวเองก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่ชอบของดี? เฉินผิงอันชอบนักล่ะ!
แต่ชอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ชอบแล้วไม่ได้หมายความว่าต้องแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าเฉินผิงอันออกหมัดได้เร็วเท่าไหร่ ขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงแค่ไหน หรือมีกระบี่บินกี่เล่ม อันที่จริงนี่ก็คือความไม่เห็นแก่ตัวที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสศรัทธา เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ ‘หลักการ’ นี้ก็เท่านั้น
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเอาตราประทับไปได้เลย”
เห็นว่าเซียนซือน้อยที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมึนงง เทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งอารมณ์ดี อาบแช่อยู่ในควันธูปมานานหลายร้อยปี เคยเห็นคำวิงวอน ความปรารถนาและความโง่เขลา แล้วก็มีความลำบากใจ ความจริงใจและความจนใจที่มีต่อเรื่องราวทางโลกของผู้คนมากมายที่มาจุดธูปกราบไหว้ เสิ่นเวินที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ซื่อสัตย์ภักดีรู้แต่จะตอบบุญคุณประเทศ ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกมากยิ่งขึ้น บางครั้งขนาดพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะ โมโหชายหญิงที่รู้จักแต่จะขอร้องเทวดาฟ้าดิน แต่ไม่รู้จักลงมือทำด้วยตัวเอง โกรธพ่อค้าร่ำรวยที่ในหัวมีแต่เรื่องสกปรกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แล้วก็มีทั้งเสียใจกับความโชคร้าย เดือดดาลกับความไม่เอาไหนของคนบางคน เรื่องราวบนโลกมีมากมาย คนบนโลกมีหลากหลาย ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะสลายหายไป ความคิดทั้งหลายแหล่ผุดลอยขึ้นมา เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองมองเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยความคิดที่ประดังประเดเข้าหา
แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็ฝืนประคองลมหายใจเฮือกสุดท้าย บังคับให้เรือนกายที่ล่องลอยมั่นคงขึ้นอีกสองสามส่วน กล่าวว่า “เสิ่นเวินมีเรื่องอยากจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย จะทำหรือไม่ทำ เจ้าสามารถพิจารณาเองได้ เสิ่นเวินไม่บังคับ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านเทพอภิบาลเมืองพูดมาได้เลย”
เสิ่นเวินถาม “หากตอนนี้แคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฏกาย เจ้าจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่? ต่อให้จะเป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นหากเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แล้วเจ้าอยู่ห่างที่แห่งนี้ไปไม่ไกล สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารช่วยให้ชาวบ้านแคว้นไฉ่อีข้ามผ่านหายนะไปได้อย่างปลอดภัย? ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านเทพอภิบาลเมืองโปรดวางใจ ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีจะทรงมีพระปรีชาหรือไม่ ขอแค่ข้าได้ยินว่าแคว้นไฉ่อีมีอันตราย จะต้องมาเยือนที่นี่อย่างแน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าจะทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยเท่านั้น หวังว่าเทพอภิบาลเมืองจะเข้าใจ”
ใบหน้าของเสิ่นเวินเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม พึมพำกับตัวเองว่า “ดีมาก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
อันที่จริงในใจของเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้นี้รู้สึกละอายไม่น้อย เพราะเขากำลังประเมินจิตใจของคน เสิ่นเวินเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเชื่อว่าขอแค่ไม่เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่บนมหามรรคาแห่งการฝึกตน อนาคตของอีกฝ่ายจะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นขอแค่เด็กหนุ่มยังมีความรู้สึกต่อแคว้นไฉ่อี ยิ่งลงมือช้าเท่าไหร่ ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งมีผลประโยชน์ต่อแคว้นไฉ่อีมากขึ้นเท่านั้น
เสิ่นเวินมองไปยังสีท้องฟ้ามืดทะมึนนอกศาลเทพผืนดิน ในใจขมฝาด ข้าเสิ่นเวินคงทำให้แคว้นไฉ่อีได้เพียงเท่านี้แล้ว
เสิ่นเวินหลุดออกจากภวังค์ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเศษชิ้นส่วนร่างทองที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ข้าพูดไปแค่ครึ่งเดียวคือเรื่องต้นกำเนิดและระดับขั้นของมัน ส่วนประโยชน์ของมันนั้น คล้ายคลึงกับ…เคล็ดลับการสังหารมังกรที่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด แต่ธรณีประตูกลับสูงมาก หากเป็นคนปกติ ในมือกำเศษชิ้นส่วนร่างทองไว้หลายสิบชิ้นหรือถึงร้อยชิ้น เกรงว่าก็คงไม่มีความหมายใดๆ แต่หากคนที่ได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนมีสหายที่เดินไปบนเส้นทางของเทพ นั่นก็คือสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้อย่างแท้จริง คือวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดแห่งใต้หล้า เป็นประเภทที่ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด หรือหากกษัตริย์ของแคว้นหนึ่งมอบมันให้กับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในแคว้นตัวเองก็ย่อมต้องถือว่าเป็นของพระราชทานชั้นเยี่ยม ถอยไปพูดอีกก้าว วันหน้าเมื่อเดินใกล้ไปถึงยอดเขา แล้วเอามันไปขายให้กับคนที่มองค่าออก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำ ขอบเขตก่อกำเนิด ก็สามารถตั้งราคาได้สูงเทียมฟ้า ไม่ว่าราคาไหนก็ไม่ถือว่าสูงเกินเหตุ!”
เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด จดจำทุกอย่างไว้ขึ้นใจ
เสิ่นเวินยิ้มบางๆ “โปรดยื่นมือออกมา”
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างเลื่อนลอย
เสิ่นเวินยื่นมือไปควักตรงหน้าอกของตัวเอง กำเป็นหมัดแล้วยื่นมันให้กับเฉินผิงอัน พอคลายหมัดออกก็ปล่อยของชิ้นหนึ่งที่อยู่ใจกลางฝ่ามือวางเบาๆ ไว้บนมือเฉินผิงอัน
เป็นวัตถุสีทองขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “ในซากปรักหักพังของสนามรบ วัตถุหยินที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามตามหาอย่างยากลำบาก แท้จริงแล้วก็คือวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้า เทพแห่งสงครามที่ตายไป ข้าเสิ่นเวินมีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เมื่อตายไปได้ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีแต่งตั้งให้เป็นเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ ร่างทองทั้งร่างมีระดับสูงพอสมควร แม้อาจจะเทียบกับเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงไม่ได้ แต่จิตใจแห่งบุ๋นของ…ร่างทองร่างนี้! กลับไม่ด้อยไปกว่าเทพอภิบาลเมืองของทวีปใดทั้งนั้น!”
เสิ่นเวินในเวลานี้คล้ายย้อนกลับไปตอนอายุยี่สิบอีกครั้ง เวลาหลายสิบปีที่พากเพียรเล่าเรียนอย่างยากลำบาก สุดท้ายเป็นดั่งปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ตอนเช้าทำนา ตอนเย็นเป็นขุนนางในราชสำนัก เปี่ยมไปด้วยปณิธานและความห้าวหาญ ใช้สถานะของจอหงวนก้าวเดินเป็นผู้นำอยู่ในวังหลวง ทุกสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่เพื่อใบหน้าที่เปื้อนความสุขของปวงประชา
หลังจากเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินอดีตบัณฑิตส่งมอบหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนั้นมาก็คล้ายได้ปลดภาระหนักอึ้งลง ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปี วันนี้ในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เฉินผิงอันแบมือค้างอยู่นาน เสิ่นเวินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนหัวใจบุ๋นดวงนั้น ยิ้มบางเอ่ยว่า “มิอาจโบยบินได้สูงทัดเทียมกัน ขอเพียงใจผูกพันรู้ใจกันก็พอ เซียนซือน้อย วันหน้าต้องอ่านตำราให้มาก!”
เฉินผิงอันเก็บหัวใจบุ๋นร่างทองเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับกล่องไม้สีเขียวอย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มโค้งตัวคารวะด้วยสถานะของบัณฑิตผู้น้อย
แต่เสิ่นเวินกลับคารวะกลับคืนด้วยสถานะของบัณฑิตรุ่นเดียวกัน
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินก้าวเข้าไปในศาลเทพแห่งผืนดิน หยิบตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมา ถามเบาๆ ว่า “ท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าชื่อว่าเฉินผิงอัน มาจากเมืองหลงเฉวียนต้าหลี อาจารย์ฉีของที่นั่นมอบตราประทับคู่นี้ให้กับข้า บอกว่าหากได้พบเจอภูเขาและแม่น้ำสามารถประทับตราลงไปในแผนที่ได้ ก่อนหน้านี้ที่สุสานไร้ญาติมีปราณหยินเข้มข้นมาก ข้าก็เลยไหว้วานให้คนหาแผนที่ฉบับหนึ่งมาจากจวนเจ้าเมือง ประทับตราลงไป ผลลัพธ์ดูเหมือนว่าโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาจะพลิกกลับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกปีศาจมาสร้างค่ายกลก่อความวุ่นวายในเมืองแยนจือ หากใช้วิธีนี้จะได้ผลหรือไม่? จะสามารถสยบปราณปีศาจที่พวกเขาสร้างไว้ได้หรือไม่?”
เสิ่นเวินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าขอจับดูสักหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”
เสิ่นเวินใช้สองมือรับตราประทับคู่นั้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แยกประคองไว้มือละชิ้น ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองตราสีแดงคล้ายสีของหัวใจและตัวอักษรที่สลักไว้ด้านใต้ของตราประทับแล้วเสิ่นเวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลดแขนลง เอ่ยถามว่า “อาจารย์ท่านนั้นได้บอกเจ้าหรือไม่ว่า อาวุธอาคมที่สูงส่งจนมิอาจประเมินค่าได้คู่นี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกครั้งที่ประทับตราลงไป ปราณวิญญาณก็จะสลายไปส่วนหนึ่ง จนถึงสุดท้ายที่เมื่อปราณวิญญาณสลายไปสิ้นก็จะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาคู่หนึ่ง?”
เฉินผิงอันเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ฉีไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับข้า”
เสิ่นเวินถามอีกครั้ง “เจ้าไม่กลัวหรือว่าหากประทับตราลงไปครั้งนี้ ปราณวิญญาณจะสลายไปหมด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ข้าไม่ได้เอาไปใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชสักหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านเจอตัวอักษรแปดตัวจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำของเมืองแยนเจือ เขียนไว้ว่า ‘น้ำใสคลื่นสงบ สี่ฤดูผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์’ ข้าชอบมันมาก ยังตั้งใจสลักมันลงไปในแผ่นไม้ไผ่ด้วย อีกอย่างข้าก็รู้สึกว่านี่คือความตั้งใจเดิมที่อาจารย์ฉีมอบตราประทับให้กับข้า หากอาจารย์ฉีอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”
เสิ่นเวินถอนหายใจ “น่าเสียดายก็แต่การก่อความวุ่นวายของปีศาจในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้วัตถุปีศาจมอมเมาใจคนและการแพร่โรคระบาดมากกว่า ตราประทับแม่น้ำและขุนเขาคู่นี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์อันตรายในตอนนี้สักเท่าไหร่ เฉินผิงอัน เก็บตราประทับคู่นี้ไว้ให้ดี ข้ายังคงยืนยันคำเดิม หากแคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฎตัว ยามใดที่เจ้าเดินทางผ่านแคว้นไฉ่อี สามารถขอแผนที่เมืองหลวงมาจากฮ่องเต้ได้หนึ่งแผ่น ประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ถือเป็นการมอบความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี เก็บไว้เถอะ จำให้ขึ้นใจว่า ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าเอาออกมาให้คนเห็นง่ายๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้แต่เก็บตราประทับกลับลงไปอีกครั้ง
เห็นภาพนี้ เสิ่นเวินก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กอะไรทำไมถึงได้ ‘ซื่อ’ ขนาดนี้ คนบนภูเขาล้วนเป็นพวกพ่อค้านักธุรกิจ ต่างก็แสวงหาผลกำไรมหาศาล หรือไม่ก็อาจไม่สนใจผลได้ผลเสียตรงหน้า แต่กลับคาดการณ์ยาวไกล วางแผนยาวไปพันหมื่นลี้ นานเป็นร้อยพันปี สืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแล้วก็ยังคงได้รับผลประโยชน์ก้อนใหญ่อยู่ดี
เรือนกายของเสิ่นเวินยิ่งพร่าเลือนมากขึ้น ทั้งยังส่ายไหวอยู่ไม่นิ่ง เขาเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอัน การก่อความวุ่นวายของพวกปีศาจในครั้งนี้ก็เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวไว้ ‘ทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวย’ ก็เพียงพอแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลง เงยหน้ามองท้องฟ้าข้างนอกที่อยู่ห่างไปไกลพร้อมๆ กับท่านเทพอภิบาลเมือง
จู่ๆ เสิ่นเวินก็ถามว่า “เมืองหลงเฉวียนต้าหลี? เขตปกครอง อำเภอหรือเมืองในแจกันสมบัติทวีป ส่วนใหญ่แล้วจะต้องไม่มีคำว่าหลงถึงจะถูก”
เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้บ้านเกิดของข้าคือถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังถ้ำสวรรค์ปริแตกแล้วร่วงลงสู่พื้นดิน ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียน”
เสิ่นเวินตะลึง ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ฉีที่เจ้าพูดถึง ใช่ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของเหวินเซิ่งหรือไม่?”
เฉินผิงอันอืมรับด้วยสีหน้าหม่นหมอง “อาจารย์ฉีท่านนั้นนั่นแหละ”
เสิ่นเวินมองเด็กหนุ่มที่มาจากต้าหลีด้วยอาการอึ้งงัน
รองเท้าแตะ น้ำเต้าบรรจุเหล้า กระบี่บิน ตราประทับ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ชื่อว่าเฉินผิงอัน
เสิ่นเวินรู้สึกปากคอแห้งผาก “เฉินผิงอัน เจ้าใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีหรือไม่?”
เฉินผิงอันลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดไปตามความเป็นจริง “อาจารย์ฉีไม่ยินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ แต่ภายหลังข้าได้เจอกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ดูเหมือนว่าอาจารย์ฉีคิดจะรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ แต่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่แม้แต่นักเรียนด้วยซ้ำ ก็เลยไม่ได้รับปากท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเขา ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ไม่ได้โกรธ แค่ดื่มเหล้าจนเมามาย ตอนที่ข้าแบกท่านผู้เฒ่าขึ้นหลัง ผู้เฒ่าตบหัวข้าอย่างแรง บอกให้ข้าดื่มเหล้า…”
เฉินผิงอันยิ้มพลางชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่อยู่ในมือขึ้นสูง กล่าวด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ดังนั้นตอนนี้ข้าก็เลยดื่มเหล้าแล้ว”
บัณฑิตเสิ่นเวินรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า อีกทั้งยังไม่ได้ผ่าลงหัวแค่ระลอกเดียว แต่ผ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉีจิ้งชุน! ศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุน! ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง! ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง!
เด็กหนุ่มปฏิเสธ ปฏิเสธไปแล้ว…
เสิ่นเวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เฉินผิงอันเองก็เหม่อมองท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ หรือว่าตนพูดอะไรผิดไป ได้แต่แอบดื่มเหล้าระงับความตระหนก
แต่แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็หัวเราะเสียงดัง หัวเราะอย่างขำขันจนต้องเอามือกุมท้อง หัวเราะจนเกือบน้ำตาจะไหล เขายื่นมือมาตบไหล่เด็กหนุ่มแรงๆ “ดีๆๆ ! เรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเรา คนอื่นไม่มีทางเข้าใจได้! แบบนี้สิถึงจะถูก นี่แหละถูกแล้ว!”
เสิ่นเวินดึงมือกลับมา เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวยาวๆ ออกจากธรณีประตูของศาลเทพแห่งผืนดิน “สะใจ สะใจจริงๆ บัณฑิตเอ๋ยบัณฑิต…”
เสิ่นเวินหันหน้ากลับมายกนิ้วโป้งให้ “ทำได้งดงามยิ่ง!”
หลังจากที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองก้าวออกไปจากประตูใหญ่ ประกายแสงแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายก็หายไป หายไปจากฟ้าดินทั้งๆ ที่ยังหัวเราะเสียงดังอยู่อย่างนั้น ร่างทั้งร่างระเบิดแตกสลาย
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย รัดเชือกผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยก็ท่องเบาๆ ใส่ตำแหน่งที่บัณฑิตแห่งแคว้นไฉ่อีผู้นั้นสลายหายไป “สุ้ยสุ้ยผิงอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน” (สุ้ยสุ้ยผิงอันคำแรกความหมายคือแตกเพื่อความสงบ คนจีนชอบพูดเวลาเจอของแตกในวันปีใหม่เพื่อแก้เคล็ด สุ้ยสุ้ยผิงอันคำที่สองคือคำอวยพรให้มีชีวิตที่ปลอดภัยร่มเย็น)
หลังจากคุณชายชุดขาวของจวนจ้าวถูกฆ่าก็ไม่มีคนในจวนที่ถูกอาคมกลายเป็นมารอีก เด็กสาวกระพรวนเงินหลิวเกาซินที่แม้จะอาเจียนไม่หยุด แต่ก็ยังไม่ยอมกลับจวนเจ้าเมืองที่ปลอดภัย นางยังคงติดตามปรมาจารย์ในยุทธภพแซ่โต้วคนนั้นไล่ตามหาพวกปลาที่ลอดจากแหไปได้ เมื่อพวกเขามาถึงห้องเก็บฟืนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นว่าประตูถูกปิดสนิท มือดาบก็ขมวดคิ้ว ถีบประตูให้เปิดอ้า พบว่าด้านในมีเด็กชายอายุแปดก้าวขวบคนหนึ่ง ด้านหลังของเขาก็คือกองฟืนที่กองสุมกัน มือดาบกล่าวเรียบๆ ว่า “ถอยไป! เมื่อกลายเป็นมารแล้วก็ไร้ทางเยียวยา”
เด็กชายเม้มปาก ส่ายหน้าอย่างแรง
มือดาบสีหน้าเย็นชา ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า จับศีรษะของเด็กชายแล้วผลักไปด้านหลัง เด็กชายจึงกระแทกกับกำแพงทางฝั่งนั้น มือดาบใช้ดาบเล่มยาวผ่ากองฟืนแหวกออกเป็นสองฟาก ด้านในมีเด็กหญิงใบหน้าแห้งตอบ ถูกมัดไว้แน่น ดวงตาข้างหนึ่งของนางกำลังมีเลือดสดไหลลงมาไม่หยุด ดวงตาอีกข้างกลับไม่ต่างจากดวงตาของคนปกติ ริมฝีปากของเด็กหญิงเขียวคล้ำ สั่นระริกเบาๆ
มือดาบยกดาบขึ้นหมายจะฟันลงไป เด็กชายตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน คว้ามีดผ่าฟืนเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง กัดฟันพูด “ถ้าเจ้ากล้าข้านาง ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”
เพียงเปิดปากก็พูดภาษาทางการของทวีปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่เสียแรงที่ตระกูลจ้าวคือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ต่อให้เป็นเด็กชายที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ของจวนก็ยังรู้ภาษาทางการของทวีป
มือดาบยิ้มอย่างสง่างาม “เจ้าคนไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น รู้หรือไม่ว่าความเมตตาเล็กน้อยของเจ้าในวันนี้อาจทำให้คนนับร้อยนับพันต้องตาย”
เด็กชายร่างผอมแห้ง สวมเสื้อผ้าตัวบางๆ กล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่สนใจ ข้าจะปกป้องหลวนหลวน!”
มือดาบถีบเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนจนตัวปลิว ดาบที่เร็วดุจพายุของเขาฟันใส่เด็กหญิงที่น่าสงสารคนนั้น
เสียงกระพรวนเงินดังขึ้น พายุดาบบดขยี้ดอกไม้สีทองหลายดอกที่บินหมุนคว้างมาถึงจนแหลกละเอียด มือของมือดาบชะงักไปเล็กน้อย แต่คมดาบที่ตวัดลงก็ยังทิ้งรอยเลือดกรีดเป็นรอยยาวชุ่นกว่าไว้บนหน้าผากของเด็กหญิง
หนึ่งดาบถูกขัดขวาง มือดาบไม่ได้โมโห เพียงหันหน้ามามองเด็กสาว ถามว่า “หลิวเกาซิน เจ้าช่วยนางได้หรือ? เรื่องคนกลายเป็นมาร คนอื่นอาจไม่รู้ว่าร้ายแรงแค่ไหน แต่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนจะไม่รู้เชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นพอถึงเวลาที่สถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไข เจ้าจะเป็นคนจัดการกับเด็กหญิงคนนี้ด้วยมือของตัวเองหรือไม่?”
หลิวเกาซินหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก “ข้าอดสงสารนางไม่ได้”
มือดาบร้องเฮอะ “คงเป็นเพราะตอนอยู่หน้าจวนประตูจ้าวเมื่อครู่นี้ พวกคนที่กลายเป็นมารถูกข้าสังหารเร็วเกินไป คุณหนูหลิวก็เลยไม่ทันเห็นภาพที่พวกเขากัดกินเลือดเนื้อของชาวบ้านสินะ”
เด็กชายดิ้นรนลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง เขาที่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างถือมีดแทบไม่อยู่มือ ปลายมีดสั่นไหว แต่เด็กชายก็ยังหันไปแผดเสียงใส่มือดาบ “เจ้าคนสารเลว แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าเสียก่อนสิ!”
มือดาบแค่นหัวเราะ “ฆ่าเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
หลิวเกาซินตาแดงก่ำ หันหน้าไปทางอื่นเพราะทนมองต่อไปไม่ไหว
ด้านนอกมีเสียงคนเอ่ยขึ้นว่า “ช้าก่อน”
มือดาบที่ยืนหันหลังให้ประตูคิดแล้วก็เก็บดาบเข้าฝัก หันตัวมากุมมือคารวะส่งยิ้มให้คนผู้นั้น “ในเมื่อเซียนซือพูดแล้ว ข้าก็ไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็นอีก”
ที่แท้ก็เป็นเฉินผิงอันที่ย้อนกลับมาตระกูลจ้าวอีกครั้ง เขาผงกศีรษะคารวะคืนมือดาบ
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องเก็บฟืน ทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง พบว่าดูเหมือนเด็กหญิงจะพยายามต่อต้านอาคมมารที่อยู่ในร่างกายสุดกำลัง อีกทั้งต่อให้ดวงตาจะมีเลือดซึมลงมา เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกคว้าน แต่นางก็ยังกัดปากแน่น ไม่ร้องออกมาสักเอะ เด็กหญิงพยายามลืมตาข้างที่เป็นปกติขึ้น สายตานั้นเต็มไปด้วยแวววิงวอนขอร้อง คนเราหากยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ใครเล่าจะอยากตาย โดยเฉพาะเด็กที่อายุเพียงเท่านี้
เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผู้เข้มแข็ง ยื่นมือไปตบศีรษะของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน พูดเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เจ็บก็ร้องออกมา ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”
เด็กหญิงเงยหน้า ดวงหน้าเล็กๆ ของนางครึ่งซีกมีเลือดสดหลั่งนอง มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ตนแล้วก็ร้องไห้จ้า
ความน้อยเนื้อต่ำใจบางอย่าง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ มีเพียงคนที่เคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ไม่อย่างนั้นต่อให้คนที่อยู่ข้างกายจะมีจิตใจดีงามหรือหวังดีมากแค่ไหน ก็คงไม่สามารถทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันช่วยคลายเชือกให้นาง หมุนตัวกลับหลัง หันหน้ามาพูดกับนางว่า “มา ข้าจะแบกเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ให้คนช่วยเจ้า”
เมื่อสองมือน้อยที่เย็นเฉียบวางลงบนไหล่ เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนยิ้มๆ “รบกวนเจ้าใช้เชือกมัดพวกเราไว้ด้วยกัน ข้ากลัวว่าตอนเดินออกไปจะเกิดเรื่อง จะไม่ทันได้ดูแลนาง เจ้าต้องเร็วหน่อย ทำได้หรือไม่?”
“ได้!” เด็กชายโยนมีดผ่าฟืนทิ้ง เช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ รีบวิ่งไปหยุดข้างกายเฉินผิงอันและเด็กหญิง จับคนทั้งสองมัดไว้ด้วยกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ พูดกับหลิวเกาซินและมือดาบแซ่โต้วว่า “ข้าจะพาแม่นางน้อยไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน จะมัวเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ดูสิว่าที่นั่นจะมียอดฝีมือที่ช่วยเหลือนางได้หรือไม่ พวกเจ้าพาเด็กผู้ชายคนนั้นไปด้วย หากที่จวนจ้าวยังมีปัญหา หลิวเกาซิน เจ้าช่วยพาตัวเขาออกไปไว้นอกจวนจ้าวได้หรือไม่?”
มือดาบเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเล็กแบบนี้ ให้คุณหนูจ้าวพาเขาออกไปก่อน เดี๋ยวข้าสำรวจจวนจ้าวส่วนที่เหลือคนเดียวก็ได้”
เฉินผิงอันจึงหันไปพูดกับเด็กชายว่า “ระวังตัวด้วย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะกลับมาบอกเจ้า ตกลงไหม?”
เด็กชายยกมือเช็ดน้ำตา พยักหน้ารับแรงๆ
เฉินผิงอันแบกเด็กหญิงที่ตัวเย็นไปทั้งร่างพุ่งออกจากห้องเก็บฟืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ทะยานร่างไปอย่างสง่างามเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำไม่กี่ครั้ง เพียงไม่นานก็พลิ้วกายลงบนกำแพงสูงของจวนเจ้าเมือง ตอนนี้รู้จักหน้าค่าตาของเฉินผิงอันแล้ว พวกทหารกล้าที่ซ่อนตัวอยู่จึงไม่มีใครง้างธนูขึ้นสาย ปล่อยให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน เพียงไม่นานเขาก็เข้าไปในห้องโถงที่ทุกคนกำลังปรึกษากันอยู่
หลิวเกาซินพาเด็กชายเดินออกมาจากประตูใหญ่ เด็กชายเอ่ยถามนางอย่างกระวนกระวาย “พี่หญิงเทพเซียน เพื่อนของท่านจะช่วยหลวนหลวนได้จริงหรือไม่?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเรียกว่าพี่หญิงเทพเซียน หลิวเกาซินจึงไม่ใคร่จะคุ้นชินเท่าใดนัก นางเค้นรอยยิ้มตอบไปว่า “ข้าไม่ใช่พี่หญิงเทพเซียนอะไรหรอก แต่เจ้าวางใจเถอะ ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนคนนั้นต่างหากที่เป็นเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริง จะต้องช่วยแม่นางน้อยได้แน่นอน แต่ถ้า…แต่ถ้าช่วยไม่ได้จริงๆ เจ้าก็โทษเขาไม่ได้ เข้าใจไหม?”
เด็กชายพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
หลิวเกาซินลูบศีรษะของเด็กชาย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
หลังจากเฉินผิงอันเข้าไปในห้องโถงหลักแล้ว นอกจากเจ้าเมืองหลิวที่นั่งอยู่ ยังมีผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลใจกลางของค่ายกลนั่งอยู่อีกสองคน คนหนึ่งคือหญิงชราที่ในมือถือกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยถุงผ้าใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ กับผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยพู่กันขนสีเงินหนึ่งด้าม ว่ากันว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือ มีตบะเป็นขอบเขตสาม ชั่วชีวิตไม่เคยได้เข้าสำนักของตระกูลเซียน อาศัยเพียงโชควาสนาและความขยันหมั่นเพียรถึงได้มีวันนี้
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามอาจจะไม่กล้าหายใจแรงเมื่อเดินอยู่บนถนนของเมืองหลงเฉวียน แต่กลับมากพอจะเรียกลมเรียกฝนอยู่ในเมืองของแคว้นเล็กๆ ได้แล้ว
เฉินผิงอันเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวให้พวกเจ้าเมืองหลิวสามคนฟังคร่าวๆ จบก็คลายเชือก จับเด็กหญิงวางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างระมัดระวัง ถามว่า “ช่วยเด็กคนนี้ได้หรือไม่?”
ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่เห็นว่าเจ้าเมืองหลิวไม่พูดอะไร นางจึงไม่สะดวกจะเจ้ากี้เจ้าการ เพียงแค่แค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลับตาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียเลย
กลับเป็นชายชราคนนั้นที่เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ ย่อตัวลง ยื่นมือไปเปิดเปลือกตาข้างที่มีเลือดซึมของเด็กหญิง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่นางน้อยมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม เกิดมาก็มีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่ง ดวงตาข้างหนึ่งสามารถมองการเคลื่อนโคจรของปราณวิญญาณในโลกมนุษย์ ดวงตาอีกข้างหนึ่งสามารถมองเหตุภูตผีและวัตถุหยินในยามกลางคืน เดิมทีมีหวังที่จะเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน เพียงแต่ว่าไข่มุกถูกฝุ่นเกาะ ไม่ทันได้พบเจอกับผู้มีความสามารถ ก็ต้องมาเจอกับเคราะห์กรรมครั้งนี้เสียก่อน ดวงตาหยินข้างนี้ตกเป็นที่พักพิงของอาคมปีศาจที่เข้มข้น เปรียบเทียบได้กับสุสานที่ระเกะระกะแห่งหนึ่ง มีปราณสกปรกอบอวลอยู่ทั่ว ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่มีพลังหยางเข้มข้นก็ยังต้องร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น่าสงสารนังหนูน้อยคนนี้จริงๆ”
ผู้เฒ่าช่วยจับชีพจรให้เด็กหญิงพลางเงยหน้าจ้องนิ่งไปที่รอยเลือดในดวงตาของนาง “จิตที่อยากมีชีวิตอยู่รอดของนังหนูน้อยแรงกล้ามาก ตอนนี้จำเป็นต้องใช้ยาวิเศษที่เต็มไปด้วยพลังหยาง…ไม่ถูกสิ ต่อให้เป็นยาชั้นเยี่ยมที่ถูกกับโรค กินลงไปก็ไม่สามารถกำจัดปราณสกปรกที่สั่งสมอยู่ในดวงตาหยินได้ ทำได้ยากมากจริงๆ ตอนนี้บนร่างของข้ามียาลมวสันต์ที่สามารถรักษารากฐานของพลังต้นกำเนิดให้มั่นคงอยู่แค่เม็ดเดียว ได้แค่ช่วยต่อชีวิตของนางไว้ชั่วคราว สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือ…ยันต์วิเศษ อีกทั้งยังต้องเป็นยันต์วิเศษที่ระดับขั้นสูงมากด้วย สามารถชักนำปราณวิญญาณมาสู่ดวงตาหยาง ส่งข้ามไปยังดวงตาหยิน หยินหยางต้านทานกันเอง นังหนูน้อยต้องอาศัยปณิธานและโชควาสนาของตัวเองถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่ยันต์วิเศษแบบนี้จะไปหามาจากที่ไหน ต่อให้นังหนูได้ยาของข้าไปต่อชีวิตก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นานหรอก”
ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าก็หยิบกล่องไม้จื่อถานขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เปิดออกก็เผยให้เห็นว่าด้านในมียาสีเขียวส่งกลิ่นหอมสะอาดโชยมาปะทะจมูกอยู่เม็ดหนึ่ง แล้วเขาก็จับป้อนให้เด็กหญิงกินลงไปอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่อีกข้างถามเสียงเบา “ท่านผู้อาวุโส หากเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟ จะได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่ามีท่าทางตะลึงระคนดีใจก่อนเป็นอันดับแรก แต่ต่อมาก็ยิ้มเฝื่อน “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้! ในบรรดายันต์พันพันหมื่นชนิดในใต้หล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟนี้มีระดับสูงส่งยิ่ง คือหนึ่งในยันต์วิเศษที่ถูกกับโรคนี้มากที่สุด ได้ผลทันตาเห็น เจ้ามีจริงๆ รึ? แถมยังไม่ใช่ของปลอมด้วย? ต้องรู้ว่าบนโลกใบนี้มีพวกผู้ฝึกลมปราณที่ถูกความโลภบดบังจิตใจอยู่มากมาย ของเลียนแบบยันต์ประเภทนี้จึงมีมากอย่างถึงที่สุด เอามาใช้สวมรอยของจริง ส่วนใหญ่มักจะเรียกเป็น ‘ยันต์ยืมหยาง’ เอามาขายราคาสูงเป็นร้อยเท่า…”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ในมือข้ามีอยู่แผ่นหนึ่ง!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวข้ากลับมา”
ผู้เฒ่าไม่แปลกใจ เพียงแค่เอ่ยเตือนว่า “ต้องเร็วหน่อย”
ผู้ฝึกลมปราณที่ไหนจะเอาทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาเปิดเผยต่อหน้าคนนอก
เจ้าเมืองหลิวค้อมเอวก้มหน้า มองเด็กหญิงที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชสองทีก็ดึงสายตากลับ เดินไปดูแผนที่บนโต๊ะต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หญิงชราที่อุ้มกระบี่ยาวไว้ในอ้อมอกเปิดเปลือกตาขึ้น ปรายตามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มแล้วหลุดหัวเราะพรืด
เฉินผิงอันรีบหามุมระเบียงที่เงียบสงบ หันหลังพิงเสา นั่งขัดสมาธิ เรียก ‘เหล็กหมาดหิมะ’ และยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ออกมาจากวัตถุฟางชุ่นกระบี่บินสืออู่
นับตั้งแต่การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กกับหม่าขู่เสวียน มาจนถึงปะทะกับผีงามโครงกระดูก และเทพอภิบาลเมืองที่ธาตุมารเข้าแทรกในศาลเทพอภิบาลเมือง อันที่จริงตอนนี้สภาพร่างกายของเฉินผิงอันถือเป็นลูกธนูสุดแรงบินไปชั่วขณะ
ก็เหมือนอย่างที่หลิวเกาซินคิด เขาต้องการการพักผ่อนเพื่อปรับลมปราณมากที่สุด เหมือนการเดินทางบนภูเขา ระยะทางครึ่งแรกยังเดินได้สบายๆ แต่พอยิ่งเดินไปนานเข้า ฝีเท้าก็ยิ่งต้องหนักอึ้ง จนถึงระยะทางช่วงท้าย ต่อให้แค่ก้าวเดินเพิ่มขึ้นจากเดิมแค่ก้าวเดียวก็อาจจะเดินได้อย่างยากลำบากเหมือนคนแบกภูเขาไว้บนบ่า
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก้มตัวลง ถือเหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย’ ด้ามนั้นไว้ในมือ การมองเห็นของเขาเริ่มพร่าเลือน เฉินผิงอันสะบัดศีรษะเบาๆ นึกถึงปีนั้นตอนที่หัดเรียนขึ้นรูปเครื่องปั้นที่เตาเผามังกร เขากลัวความผิดพลาดมากที่สุด เพราะความผิดพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะตัดสินได้ว่าเครื่องปั้นในมือชิ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องตกแต่งในบ้านของฮ่องเต้ หรือเป็นหนึ่งในเศษชิ้นส่วนของภูเขาเครื่องปั้นที่ไร้ค่าจนเทียบเท่าดินสักกองก็ยังไม่ได้
เฉินผิงอันพยายามรักษาลมหายใจให้สงบมั่นคง เริ่มใช้ปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ไปวาดยันต์ ลมปราณของผู้ฝึกลมปราณมีให้ใช้ได้อย่างไม่ขาดสาย ไหลวนโคจรไม่หยุด แม้ว่าการวาดยันต์จะพิถีพิถันในข้อที่ว่าต้องวาดให้เสร็จในรวดเดียว แต่เมื่อเทียบกับการวาดยันต์ของชาวยุทธ์แล้วกลับง่ายกว่ามาก
ส่วนเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะพังภินท์ไปนานแล้ว หากคิดจะวาดยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงพอสักใบก็จำเป็นต้องเผาผลาญพลังจิตจำนวนมหาศาล แทบไม่ง่ายไปกว่าการปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันยี่สิบเอ็ดหมัดเลย
จรดพู่กันวาดยันต์ ห้ามเร็วจนเกิดความผิดพลาด และห้ามช้าจนเกินไป
บนระเบียงที่เงียบสงัดไร้ผู้คน
ในมือของเด็กหนุ่มจับเหล็กหมาดหิมะ ก้มตัวลงวาดยันต์ ลงน้ำหนักพู่กันอย่างมั่นคง ทว่าทวารทั้งเจ็ดกลับมีเลือดไหลริน
ส่วนข้อที่ว่าต้องสิ้นเปลืองยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่ตัวเขาเองก็รู้มูลค่าของมันดีเพื่อเด็กหญิงที่เพิ่งพบหน้ากัน จะคุ้มค่าหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
หลังจบเรื่องจะรู้สึกเสียดายหรือไม่ คิดดูแล้วเฉินผิงอันที่เป็นดั่งปู่โสมเฝ้าทรัพย์ย่อมต้องรู้สึก แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที อย่างมากก็แค่ดื่มเหล้าดับทุกข์
ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ถูกวาดลงบนกระดาษยันต์สีทอง สำเร็จด้วยดี!
เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดจนสะอาด ก้าวพรวดๆ ด้วยฝีเท้าล่องลอยไปยังห้องโถงหลัก เมื่อเขายื่นยันต์ในมือไปให้ผู้เฒ่า ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง รับยันต์มาด้วยสองมือทั้งที่สีหน้ายังเหลือเชื่อไม่คลาย ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นหนักอึ้งนั้นแทบจะพุ่งออกมาจากกระดาษยันต์สีทองอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าใช้แล้วนะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช้เลย!”
ผู้เฒ่าย่อตัวลง ใช้สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้น ตวาดเบาๆ ว่า “ยันต์จงลอย!”
ยันต์สีทองไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าหน้าแดงก่ำ อับอายขายหน้ายิ่งนัก รีบปรับลมปราณทั้งหมดในร่างตัวเองแล้วตวาดอีกครั้ง “ลอย!”
ยันต์สีทองถึงได้ลุกไหม้ดังพรึ่บ ทว่ากลับไม่ได้เผาไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน กลับกันคือมีแสงรัศมีสีทองกลุ่มใหญ่ลอยออกมา
เจ้าเมืองหลิวที่ไม่รู้ความลี้ลับที่แท้จริงจุ๊ปากชื่นชม ทว่าหญิงชราที่อุ้มดาบถึงกับเบิกตากว้างจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
ผู้เฒ่าไม่กล้าชักช้า แข็งใจโคจรลมปราณอีกครั้ง ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วประกบกันชี้ไปยังแสงสีทองเข้มข้นเหมือนสายน้ำไหลกลุ่มนั้น ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ “แยกหยินหยาง ผสานน้ำไฟ ไป!”
แสงสีทองค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดวงตาหยินข้างที่มีเลือดซึมออกมาไม่หยุดของเด็กหญิง แต่แสงสีทองส่วนใหญ่กลับผสานรวมเข้าไปในดวงตาหยางของนาง
และไม่นานก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระหว่างดวงตาสองข้างของนางมีสะพานเล็กๆ ที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของเส้นด้ายสีทองถูกสร้างขึ้น แสงสีทองค่อยๆ ไหลจากตาซ้ายไปยังตาขวา
เด็กหญิงเจ็บปวดจนต้องกัดฟันกัดริมฝีปากของตัวเองจนแตก มือทั้งคู่จับที่เท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่น ร่างเล็กผอมแห้งสั่นสะท้านรุนแรงไปทั้งตัว ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิม เฉินผิงอันจับมือข้างหนึ่งของนางขึ้นมาเบาๆ ไม่ว่านางจะได้ยินเสียงของตนหรือไม่ เขาก็ยังเอ่ยปลอบใจนางเบาๆ อยู่ตลอดเวลา
“ยืนหยัดไว้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ มีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ต้องเชื่อว่าขอแค่ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวก็จะมีทุกอย่างที่ต้องการเอง…”
หญิงชราระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ จึงเดินไปที่ด้านหลังของผู้เฒ่าและเฉินผิงอัน ก้มหน้าลงจ้องมองการไหลรินของเส้นด้ายสีทองบนสันจมูกของเด็กหญิงอย่างละเอียด
หญิงชราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นเซียนกระบี่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จจริงๆ ด้วย”
ผิวหน้าของหญิงชรายับย่นเหมือนหนังไก่ เหี่ยวแห้งแก่โทรม แต่เวลานี้ดวงตาคู่นั้นของนางกลับหวานหยาดเยิ้มเหมือนดวงตาของสตรีสาวผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนคนหนึ่ง
นางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ได้ในเสี้ยววินาที
นางรีบทิ้งกระบี่ที่อยู่ในอ้อมอก ถอยกรูดออกไปพร้อมหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ปลดถุงผ้าตรงเอวขึ้นมาแกว่ง กล่าวเสียงหวาน “เซียนกระบี่ท่านนี้ รู้สึกว่าลมปราณในร่างหยุดชะงักไม่ขยับไปข้างหน้าใช่หรือไม่? คิกคิก ไม่ต้องตื่นเต้น ก็แค่ ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ข้าน้อยสร้างขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเท่านั้น ไร้รสไร้กลิ่น ขอบเขตต่ำกว่าประตูมังกรลงไป ง่ายที่จะติดกับ ไม่น่าอายหรอก! อีกอย่างก็แค่ครึ่งก้านธูปที่มันทำให้มหาสมุทรลมปราณแข็งตัว บังคับลมปราณไม่ได้ อืม แล้วก็บวกกับจิตวิญญาณเหมือนถูกผนึกน้ำแข็ง จึงไม่สามารถใช้จิตบังคับกระบี่บินได้ก็เท่านั้น แน่นอนว่าขอแค่อดทนได้ถึงครึ่งก้านธูป เจ้าก็จะได้เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าต่อไปแล้ว”
ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ผู้เฒ่าอยู่ห่างจากประตูมังกรของห้าขอบเขตกลางไปไกลตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้ เขาจึงตกหลุมพรางไปนานแล้ว สีหน้าของเขาเหมือนกระดาษสีทองที่ซีดจาง วินาทีที่ ‘หญิงชรา’ ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ศีรษะของเขาก็เอียงไปข้างหนึ่ง ล้มตัวลงบนพื้น หลับใหลไม่ได้สติ
โชดดีที่จัดการเรื่องของเด็กหญิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หาไม่แล้วอาจต้องตายทั้งคู่ แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์จากความระมัดระวังของ ‘หญิงชรา’ ผู้นั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของนางคือเด็กหนุ่มสะพายกระบี่
หัวของเด็กหนุ่มเซียนกระบี่หนึ่งหัว แลกมาด้วยสมบัติอาคมลำดับสองในท้องพระคลังแคว้นกู่อวี๋หนึ่งชิ้น!
สมบัติชิ้นนั้นมารออยู่ในมือนางอย่างมั่นคงแล้ว
หญิงชราฉีกหน้าปลอมที่แปะทับใบหน้าจริงออก แผ่นหนังหน้าเหนียวหนืดถูกนางโยนทิ้งไปใกล้ เผยให้เห็นโฉมหน้าของสตรีโตเต็มวัยที่งดงาม ไม่เพียงเท่านี้ นางยังบิดกายหนึ่งครั้ง รูปร่างกลับคืนมาเป็นปกติ อรชรอ้อนแอ้น นางก็คือผู้ฝึกลมปราณของแคว้นกู่อวี๋ ฮูหยินอสรพิษ ผู้ที่เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษมากที่สุด
นางหันหน้าไปยิ้ม “พี่โต้ว ได้เวลาเจ้าลงมือแล้ว ข้าน้อยอ่อนแอ ร่างกายไม่แข็งแรงกำยำเหมือนเจ้าของหอหม่ายตู๋อย่างเจ้าที่ต่อให้ถูกกระบี่บินของเซียนกระบี่แทงสองทีก็ยังทนได้ไหว ต่อให้ตอนนี้เซียนกระบี่ผู้นี้จะไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่หากเขาซ่อนท่าไม้ตายอะไรเอาไว้ ข้าน้อยก็รับไม่ไหวหรอกนะ”
ปรมาจารย์ในยุทธภพแซ่โต้วเดินมาถึงธรณีประตูช้าๆ
มือดาบผู้นี้มองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่กำลังลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เฉินผิงอัน ขอโทษด้วย ราชครูของพวกเราต้องการศีรษะของเจ้า หากได้พบเจอกันในยุทธภพ ไม่แน่ว่าเจ้าและข้าอาจจะได้ดื่มเหล้าด้วยกันสักครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องนี้ ซึ่งรวมถึงเจ้าด้วย ทุกคนต้องตายทั้งหมด”
เฉินผิงอันมองชายหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู กระตุกมุมปากขึ้นสูง ไม่ได้เอ่ยอะไร
ราวกับกำลังบอกว่า คำพูดที่เจ้าพูดเองปาวๆ ก่อนหน้านี้ว่าคนบนภูเขาไม่มีคุณธรรม เห็นชีวิตคนธรรมดาไร้ค่า แต่คนล่างภูเขาอย่างพวกเจ้าล่ะดีกว่ากันตรงไหน
ชายฉกรรจ์ยิ้มรับ ชักดาบออกจากฝัก ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา “เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าของเจ้า หลังจากนี้ข้าจะช่วยดื่มให้หมดเอง”
เจ้าเมืองหลิวมึนงงทำอะไรไม่ถูก
นี่มันเรื่องอะไรกันอีก?
เฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิม
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาเจินอู่ อาจารย์ของหม่าขู่เสวียนช่วยสังหารนักฆ่าแคว้นกู่อวี๋ไปหนึ่งคน ตอนนี้มาพร้อมกันทีเดียวสองคน ไม่รู้ว่าจะยังมีคนที่สี่หรือไม่
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “ในเมื่อถูกเจ้าเห็นสมบัติส่วนตัวมาก่อนแล้ว…”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย เฉินผิงอันก็พลันหัวเราะ “ชูอี สืออู่ ออกแสดงครั้งนี้ พวกเราสามารถแสดงให้งดงามได้สักหน่อย”
สตรีงดงามที่ใจอำมหิตแห่งแคว้นกู่อวี๋จุ๊ปากพูด “เซียนกระบี่ท่านนี้ เจ้ายังคิดจะดิ้นรนก่อนตายอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าของหอหม่ายตู๋ที่ได้รับฉายาว่าพันหน้าผู้นี้ถนัดเล่นงานเทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลางมากที่สุด หากเป็นเวลาปกติอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เปรียบ แต่เวลาครึ่งก้านธูปของวันนี้ บิดคอเจ้าให้หัก ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจสตรีที่พูดจาน่ารำคาญ เพียงปรับลมปราณของตัวเองอยู่เงียบๆ
ทันใดนั้นแสงสีขาวพร่าตา แสงสีเขียวเจิดจ้าก็ทยอยกันพุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หยุดลอยอยู่ใกล้กับไหล่ซ้ายขวาของเฉินผิงอัน
สตรีผู้นั้นตะลึงพรึงเพริด พูดเสียงสั่น “จะเป็นไปได้อย่างไร! เจ้าเรียกกระบี่บินออกมาอีกได้อย่างไร!”
ต่อให้เป็นมือดาบที่พบเจอพายุมรสุมมามากมายก็ยังจำต้องหยุดเดิน จากที่ถือดาบด้วยมือข้างเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นจับสองมือ
เฉินผิงอันมองไปทางซ้าย แล้วก็ย้ายไปมองทางขวา ถามยิ้มๆ กับกระบี่บินทั้งสองเล่ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราเอาเลยไหม? ฆ่าคนที่พูดมากก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยคนพูดน้อย ข้าไปก่อนแล้วกัน”
เจ้าของหอหม่ายตู๋ที่มีชื่อเสียงด้านการลอบสังหารระบือทั่วหลายแคว้นไม่ยินดีเสี่ยงเดินหน้า
แต่เฉินผิงอันกลับกระโจนตัวไปข้างหน้า หนึ่งเท้าที่เหยียบออกไป พื้นรอบด้านก็ปริแตก
เวลาเดียวกันนั้นหนึ่งหิมะขาวหนึ่งเขียวมรกตก็ตีเส้นโค้งงดงามสองเส้นอยู่ในห้องโถงหลัก พริบตาเดียวก็พุ่งผ่านมือดาบไป
สตรีกรีดร้องเสียงแหลม ดีดปลายเท้าทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ หมายจะไปจากที่แห่งนี้ ชั่วชีวิตนี้นางไม่ต้องการเห็นตัวประหลาดที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกแล้ว
ร่างกายเย้ายวนของสตรีโตเต็มวัยหยุดชะงักอยู่กลางอากาศสองครั้งในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นร่างทั้งร่างของนางก็ร่วงลงมากระแทกพื้น
ตำแหน่งหัวใจและหว่างคิ้วของนางล้วนมีเลือดหยดเล็กๆ ไหลซึมออกมาอย่างเชื่องช้า
มือดาบคำรามก้อง บุรุษที่มือทั้งสองจับดาบ พลังอำนาจไต่ทะยานถึงขีดสุดไม่เพียงไม่รุก กลับยังถอยหนี ตรงน่องเล็กของขาทั้งสองมีแสงเปล่งวาบ ร่างทั้งร่างของเขาก็ถอยกรูดไปด้านหลัง ลำตัวกระแทกเข้ากับผนังบังตานอกประตู ทะลุไปยังกำแพงอีกชั้นหนึ่ง ฝ่ามือของนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ร่างทั้งร่างเปรอะไปด้วยฝุ่นผงเปล่งแสงเจิดจ้า นั่นก็คือยันต์เพิ่มพลัง เขาตบมันลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งครั้ง ร่างก็หายวับไปในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันชะลอความเร็วลง เดินเข้าไปใกล้กับธรณีประตู กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายชี้ไปยังจุดหนึ่งที่ห่างไปไกล “ตรงนั้น”
ชูอีกับสืออีที่บินแนบพื้นพุ่งไปยังทิศทางที่นิ้วของเฉินผิงอันชี้ไปแทบจะเวลาเดียวกัน
ทั้งๆ ที่เป็นพื้นอิฐสีเขียวที่แข็งทื่อ แต่กลับเกิดริ้วกระเพื่อมเหมือนลูกคลื่นเป็นระลอก ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็สงบลงดังเดิม
เฉินผิงอันถึงได้ยกมือขึ้นอุดปาก เอนไหล่พิงกรอบประตู กลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมากลับลงลำคอไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากเอว กระบี่บินสองเล่มพากันบินกลับเข้ามา เฉินผิงอันจิบเหล้าเบาๆ ก็คือเหล้าต้มหนึ่งจินราคาแปดเหรียญ รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหล้ารสเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแยนจือซึ่งขายหนึ่งจินสิบตำลึงเงินนั้นจะมีรสชาติเช่นไร