Skip to content

Sword of Coming 234

บทที่ 234 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน

น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเคารพและยำเกรงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณชายเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?”

ที่แท้เจ้าเมืองหลิวก็คืนสติแล้ว

สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำและภูตผีปีศาจ หลิวเกาหวาบุตรชายของเจ้าเมืองหลิวมีความเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะอ่านเอาจากวรรณกรรมและนิทานเรื่องแปลกของเหล่านักประพันธ์ แต่เจ้าเมืองหลิวกลับไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางระดับสูงที่ปกครองประชาชนของหนึ่งเมือง อีกทั้งเมืองแยนจือยังถือเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นไฉ่อีด้วย เจ้าเมืองหลิวจึงรู้เรื่องวงในและความลับมากมายในประวัติศาสตร์มานานแล้ว อย่างน้อยเรื่องเกี่ยวกับศาลเทพอภิบาลเมืองและเทพภูเขาเทพแม่น้ำของเมือง เจ้าเมืองหลิวก็จำเป็นต้องรู้อย่างชัดเจน กรมพิธีการของทางราชสำนักจะส่งคนให้มาอธิบายความลี้ลับเหล่านี้แก่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่เป็นการเฉพาะ

เฉินผิงอันปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบลงได้เล็กน้อย ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอวเรียบร้อย หันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิวก็ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

ศึกครั้งนี้ของเขาถือว่าเฉียดอันตรายเสี่ยงตายอย่างยิ่ง อันที่จริงเมื่อเขาต่อสู้กับเทพอภิบาลเมืองแล้วยังมาวาดยันต์ช่วยเด็กหญิง กำลังของเขาก็เป็นม้าตีนปลายอยู่นานแล้ว แม้ว่าการบังคับกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาพิเศษไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้ปราณวิญญาณที่ผู้ฝึกลมปราณต้องใช้ก็จริง เพราะการที่เขา ‘เชิญ’ บรรพบุรุษน้อยทั้งสองไว้ให้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้พวกมันช่วยเขากำจัดปีศาจปราบมาร จิตจึงเชื่อมโยงถึงกัน สามารถชักนำออกคำสั่งทางความคิด ท่าไม้ตาย ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ฮูหยินอสรพิษตั้งใจสร้างเพื่อเขาโดยเฉพาะจึงไม่มีความหมายต่อเฉินผิงอันแม้แต่น้อย แต่การเรียกใช้ชูอีกับสืออูก็ยังต้องเผาผลาญพลังจิตของเฉินผิงอันอยู่ดี หากนักฆ่าแซ่โต้วเจ้าของหอหม่ายตู๋ไม่ได้ตกใจกลัวจนหนีไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินผิงอันจะต้องถูกอีกฝ่ายเด็ดหัว หรือไม่ก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันจะไม่เพียงถูกทำลายสะพานอมตะเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสายนี้ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นยับเยินแตกร้าว เพราะพลังต้นกำเนิดและรากฐานของจิตวิญญาณถูกทำร้ายอย่างสาหัส

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี นี่เกี่ยวพันกับความลับมากมายเกินไป ยังดีที่เจ้าเมืองหลิวเห็นว่าเซียนซือท่านนี้มีสีหน้าลำบากใจ จึงไม่คิดจะซักไซ้ต่อ ในความเป็นจริงแล้วการที่เทพเซียนบนภูเขาลงมาเดินในโลกมนุษย์ก็มีกฎเกณฑ์และข้อห้ามอยู่มากมาย ความรู้ทั่วไปข้อนี้เจ้าเมืองหลิวยังพอจะทราบอยู่บ้าง แค่ต้องการแน่ใจว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘คนกันเอง’ คือสหายของหลิวเกาหวาบุตรชายของตน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

พูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวตามมารยาทสองสามคำ เฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินไปหาผู้เฒ่า ทรุดตัวลงนั่งยองช่วยจับชีพจรให้กับผู้ฝึกลมปราณที่จิตใจดีงามคนนี้ ชีพจรของอีกฝ่ายราบรื่นมั่นคง น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร รอจนฤทธิ์ยา ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ถูกกำจัดหมดไปก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นดวงตากลมโตของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกำลังกะพริบปริบๆ มองมายังตน

ดวงตาคลอประกายน้ำที่แบ่งข้างหยินหยางมาตั้งแต่เกิด เมื่อถูกการชักนำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เขียนลงบนกระดาษสีทอง ตอนนี้จึงยังมีแสงสีทองจางๆ ไหลเวียนวน

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้นาง กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”

มุมปากสองข้างของเด็กหญิงโค้งขึ้น สองข้างแก้มปรากฏรอยบุ๋มตื้นๆ ของลักยิ้ม

เฉินผิงอันประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น จับเขาวางลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางประตู เจ้าเมืองหลิวคิดในใจว่าตอนนี้ติดตามอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ย่อมปลอดภัยที่สุด จึงเดินตามเฉินผิงอันก้าวออกจากธรณีประตูของห้องโถงหลักไปด้วย เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของฮูหยินอสรพิษ หยิบถุงผ้าสีขาวที่อยู่ตรงเอวนางขึ้นมา พบว่าด้านในมีอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กเนื้อกระเบื้องสีชมพูอยู่ใบหนึ่ง ในอ่างมีงูขาวตัวน้อยขดตัวอยู่ ความยาวของมันแค่หนึ่งชุ่น เล็กบางอย่างถึงที่สุด กำลังเงยหน้าแลบลิ้นขู่ฟ่อใส่ท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ว่าท่าทางนั้นดูก็รู้ว่าแข็งนอกอ่อนใน และยังมีแมงป่องสีดำสนิทที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นอ่างอย่างอ่อนระโหยโรยแรง พอมองอย่างละเอียดถึงเห็นว่าลำตัวของมันคล้ายผีผาสีหมึกตัวหนึ่ง

เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย บังคับให้ชูอีกับสืออู่ออกมาสังหารศัตรูตอนนี้คือฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อน แต่จะให้พวกมันออกมาวางท่าข่มขู่ศัตรูกลับไม่ยากเลย

ชูอีกลายร่างเป็นสายสีขาวหิมะพุ่งพรวดออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระโจนไปโผล่อยู่ตรงกลางอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนของโบราณ ลอยอยู่เหนือศีรษะของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง ทำเอางูขาวตกใจตัวสั่นสะท้าน ร่างที่เรียวเล็กขยับแนบชิดติดเข้ากับผนังด้านในของอ่าง แมงป่องดำก็ยิ่งทำท่าเหมือนคนยกมือกุมหัว ชูอีบินวนอยู่ในอ่างอย่างเชื่องช้าเหมือนแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่ออกตรวจตราฐานทัพ พลังอำนาจเปี่ยมล้นน่าเกรงขาม

เจ้าเมืองหลิวในเวลานี้ไม่เหลือมาดสุภาพสง่างามของบัณฑิตและขุนนางชั้นสูงอีกต่อไป เขานั่งยองตามเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูดชื่นชมไม่หยุด “เซียนกระบี่ตัวจริงก็คือเซียนกระบี่ตัวจริง!”

เฉินผิงอันหยิบอ่างล้างพู่กันขึ้นมาถือในมือ ลุกขึ้นยืน เพ่งสายตามองไปถึงได้เห็นว่าวงกลมด้านนอกของอ่างล้างพู่กันที่อยู่ใกล้กับก้นอ่างมีตัวอักษรเล็กๆ เหมือนลูกอ๊อดที่กำลังเคลื่อนที่ช้าๆ ไม่อยู่นิ่ง คล้ายกลุ่มเด็กร่าเริงน่ารักกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมวงเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน

มีทั้งหมดสิบหกตัวอักษร บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท

เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ นึกไปถึงคู่สองสาวพี่น้องที่เจอบนเรือคุน พี่สาวชุนสุ่ย (แปลตรงตามตัวคือน้ำในช่วงฤดูใบไม้ผลิ) นิสัยหนักแน่น น้องสาวชิวสือ (ผลไม้หรือธัญพืชที่สุกงอมในฤดูใบไม้ร่วง) นิสัยเหมือนเด็กมากกว่า เฉินผิงอันอดเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าทางทิศใต้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนางไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วหรือยัง? หากได้พบกันครั้งหน้า เฉินผิงอันอยากมอบอ่างล้างพู่กันใบเล็กที่งดงามชิ้นนี้ให้กับพวกนาง น่าเสียดายก็แต่ด้านบนสลักแค่อักษรคำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ ขาดไปแค่ตัวอักษรเดียว เลยไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นคงจะดียิ่งกว่านี้

เพียงแต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า ความน่าเสียดายบางอย่าง อาจเพียงแค่เพราะไม่สามารถทำให้มันงดงามอย่างสมบูรณ์แบบได้ แต่ความน่าเสียดายบางอย่าง กลับเป็นความรู้สึกที่จะคงอยู่ยาวนานตลอดไป

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเมืองหลิว คนตายควรได้รับความเคารพ ท่านช่วยเก็บศพให้สตรีผู้นี้ วันหน้าหากมีโอกาสช่วยหาที่ฝังศพให้กับนางด้วยได้หรือไม่? ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ข้าจะเป็นคนออกให้เอง”

เจ้าเมืองหลิวกล่าวยิ้มๆ “เรื่องเล็กแค่นี้ ไหนเลยต้องให้คุณชายสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทุกอย่างมอบให้เป็นหน้าที่ของจวนเจ้าเมืองเถอะ รับรองว่าเราจะจัดการให้อย่างเหมาะสม”

เจ้าเมืองหลิวหุบยิ้ม ถามหยั่งเชิง “เพียงแต่ว่าคราวนี้พวกปีศาจมาก่อเรื่องวุ่นวาย ตาเฒ่าแซ่หวงคนนั้นหน้าเนื้อใจเสือ ปกปิดเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าอาจต้องให้คุณชายใช้กระบี่บินกำราบพวกปีศาจอีกครั้ง”

เฉินผิงอันยิ้มจืด “ตอนนี้ข้าต้องการแค่ถังน้ำใบใหญ่ที่บรรจุน้ำร้อนไว้จนเต็ม ส่วนตัวยา ข้ามีมาเอง อย่างน้อยต้องแช่ตัวหลายชั่วยาม ถึงจะบำรุงรักษาร่างกายให้หายดีได้”

เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ “แน่นอนๆ ข้าจะสั่งให้คนในจวนไปจัดการเดี๋ยวนี้ ร่างกายของคุณชายเฉินสำคัญมาก ตอนนี้ความปลอดภัยของชาวบ้านหลายแสนคนในเมืองแยนจือล้วนผูกติดอยู่กับคุณชายเฉินแล้ว จะปล่อยให้เกิดปัญหากับร่างกายท่านไม่ได้จริงๆ ข้าจะไปสั่งคนให้ช่วยจัดการเดี๋ยวนี้…”

เจ้าเมืองหลิวก้าวเร็วๆ จากไป อันที่จริงขุนนางระดับสูงขั้นสี่ชั้นเอกของแคว้นไฉ่อีผู้นี้พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา ต่อให้เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในวงการขุนนางก็ฟังความนัยจากคำพูดของเขาเข้าใจ แต่สำหรับเรื่องนี้เขาทั้งไม่ได้ตบอกรับรอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธไปในทันที เพียงยิ้มเจื่อนๆ ไม่เอ่ยคำใด

นอกจากนำกระบี่ไปส่งแล้ว ทุกเรื่องที่พบเจอ เฉินผิงอันจะใช้หลักการแค่สี่คำว่า ทำเท่าที่ความสามารถอำนวยเท่านั้น

กับเทพอภิบาลเมืองร่างทองเสิ่นเวิน เขาทำแบบนี้ กับขุนนางใหญ่ผู้พิทักษ์อาณาเขตแห่งนี้ เขาก็จะทำแบบเดียวกัน

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไปแช่ตัวอยู่ในถังยาใบใหญ่ในห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ตัวยาที่ใช้เป็นเว่ยป้อมอบให้ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากหลงเฉวียน จำนวนมากพอให้ใช้สามครั้ง แน่นอนว่าหากมากกว่านี้เว่ยป้อก็หามาให้ได้ นั่นก็เพราะเงินของทวยเทพขุนเขาเหนือมีมากพอ วัตถุดิบวิเศษในร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีมากพอ แต่เว่ยป้อไม่ได้เตรียมไว้มากนัก ตอนนั้นเขายังพูดเย้าว่าเป็นลางไม่ดี เตรียมมาไว้มากเกินไป อาจเป็นการแสดงว่าเขาไม่เห็นดีในตัวเฉินผิงอัน เขาหวังว่าการเดินทางในยุทธภพของเฉินผิงอันครั้งนี้จะราบรื่นและปลอดภัย จำนวนครั้งที่บาดเจ็บไม่เกินสาม เหมือนกับคำว่าเรื่องใดๆ ไม่ควรทำซ้ำสามครั้ง ถือว่านี่เป็นการมอบลางที่ดีให้แก่เฉินผิงอันก่อนออกเดินทาง

ก่อนที่จะเข้ามาในห้องนี้ เฉินผิงอันขอให้เจ้าเมืองหลิวช่วยรักษาความลับ อย่าแพร่งพรายบอกใครว่าเขาคือ ‘เซียนกระบี่’ เจ้าเมืองหลิวทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ตอบรับอย่างรวดเร็ว ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยคำสาบานเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็มอบยันต์เทพเดินทางให้กับเจ้าเมืองหลิว บอกว่าให้นำไปมอบแก่นักพรตจางซานสหายของเขา

ระหว่างที่เฉินผิงอันแช่ตัวอยู่ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ แต่ในเมื่อเฉินผิงอันไม่มีเวลาไปสนใจ จึงหยุดคิดให้มากความ สงบใจบำรุงลมปราณด้วยความอบอุ่น บวกกับใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ และวิธีการหายใจของหยางเหล่าโถว เข้าฌานทำสมาธิอยู่ในถังยา มือทั้งสองข้างทำท่ากระบี่เจี้ยนหลูตามตำราเขย่าขุนเขา ประหนึ่งไม้แห้งเหี่ยวในฤดูหนาวที่รอให้ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาเงียบๆ

คืนนี้การเข่นฆ่าในเมืองแยนจือยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งคือพวกปีศาจที่เปิดใช้ค่ายกลสำเร็จ ทุกพื้นที่ล้วนมีชาวบ้านที่ถูกอาคมปีศาจเข้าสิงร่าง คนทั้งจวนเจ้าเมืองต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที อีกด้านหนึ่งก็มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือแม่ทัพหม่าที่อยู่ตรงประตูตะวันออกส่งข่าวมาบอกว่า ไม่รู้ว่าทำไมมารหวงเหล่าที่ตบตาผู้อื่นว่าเป็นเทพเซียน ถึงได้แตกคอกับคนสามคน ไปต่อสู้กันที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน และด้วยเหตุนี้เรื่องร้ายจึงเกิดขึ้น คนทั้งสี่ต่อสู้กันอย่างไม่มีออมมือ แต่ละคนมีสมบัติอาคมมากเท่าไหร่ก็โยนใส่กันไม่ยั้ง คาถาอาคมชั่วร้ายก็ถูกร่ายไม่หยุด ทำลายบ้านเรือนของชาวบ้านพังไปหลายร้อยหลัง ชาวบ้านเองก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหม่าที่ควบม้าเร็วออกจากฐานทัพมาให้ความช่วยเหลือที่เมืองแยนจือไม่อาจขี่ม้าบุกเข้าไปตามตรอกซอกซอยได้ จำต้องลงจากม้าเดินเท้าต่อสู้ แต่ละคนสวมเสื้อเกราะเหล็ก ในมือถือธนูแข็งแกร่งทนทาน แต่สำหรับปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกตนบนภูเขาทั้งสี่ท่านนั้น นอกจากลูกธนูพิเศษสิบกว่าลูกที่เก็บอยู่ในจวนเจ้าเมืองซึ่งสามารถสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงให้กับพวกเขาได้แล้ว ธนูแบบอื่น หนึ่งคือตามความเร็วในการพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางของพวกเขาไม่ทัน สองยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มักจะถูกตบให้ถอยออกไปก่อน หรืออาจถึงขั้นที่ว่าลูกธนูบางส่วนจะถูกปีศาจใหญ่บางตนคว้าจับไว้ได้ระหว่างการต่อสู้ แล้วโยนกลับไปส่งๆ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ทหารกล้าบาดเจ็บและล้มตายกันไปอีกแปดคนสิบคน

คิดจะใช้ความตายแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย

ส่วนแม่ทัพหม่านั้นสมกับคำว่าไม่กลัวตายอย่างแท้จริง เป็นทหารกล้าเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสมรภูมิรบชายแดนมานานหลายปี เมื่อเจอกับผู้ฝึกตนเหล่านี้ เขาจึงบุกนำเป็นทัพหน้า หลายครั้งที่หาโอกาสเหมาะจับจังหวะเล่นงานปีศาจบางตนที่แยกตัวอยู่โดดเดี่ยวได้เจอ จึงคอยร่วมมือกับรองแม่ทัพผู้นั้นต่อสู้ประชิดตัวโรมรันกับฝ่ายมาร ภายหลังการกระทำของเขาทำให้ ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ กับมารเฒ่าหมี่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโมโหจัด คนทั้งสองที่กลายมาเป็นศัตรูกันจึงหยุดพักรบกันชั่วคราว หันมาโจมตีทั้งแม่ทัพหม่าและรองแม่ทัพให้บาดเจ็บสาหัส หากไม่เป็นเพราะนายทหารคนสนิทสิบกว่าคนช่วยกันใช้ธนูพิเศษที่สำนักโม่เป็นผู้สร้างขัดขวางเอาไว้ รวมไปถึงคนหลายคนที่ช่วยปกป้องอย่างไม่เสียดายชีวิต คนทั้งสองก็คงไม่มีทางมีชีวิตรอดออกมาจากสนามต่อสู้ และคงจะรบตายอยู่ในเมืองแยนจือตั้งแต่คืนนั้น

ครึ่งคืนหลัง ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ ที่ต้องรับมือกับศัตรูถึงสามคนก็ถูกมารเฒ่าหมี่สาด ‘ข้าวสาร’ กำใหญ่ใส่ศีรษะ พริบตาเดียวทั่วทั้งร่างของเขาก็มีควันสีเขียวส่งเสียงดังซี่ๆ รูเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนจากการถูกเผาไหม้ทำให้เลือดและเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก จำต้องใช้วิชาหลบหนีดำดินลงไป ปีศาจทั้งสามตนเริ่มออกค้นหา หากเจอพวกมือปราบหรือนักสู้ที่เข้ามาเป็นกำลังหนุนที่กล้าขัดขวางก็จะลงมือโจมตีสังหารทันทีอย่างไม่ออมมือ

ช่วงรุ่งสาง เมื่อเฉินผิงอันสวมเสื้อผ้าเดินออกจากห้องก็พบว่าหลิวเกาซินนั่งอยู่สุดปลายระเบียง กำลังงีบหลับอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก

เด็กสาวหลับไม่สนิทนัก เพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะนอนน้ำลายไหลจึงรีบเบี่ยงหน้าไปอีกทางเพื่อเช็ดหน้า

อันที่จริงนางเองก็เพิ่งกลับจวนมาไม่นานเท่าไหร่ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วก็มานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้

เฉินผิงอันเดินไปที่ห้องโถงหลักพร้อมกับนาง ถามตอบกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงที่ผ่านมาได้คร่าวๆ ได้ยินว่าพวกปีศาจเกิดแตกคอกันเอง เขายังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของปลอม แม้จะไม่รู้เรื่องวงในที่เกิดขึ้น แต่ขอแค่มีประโยชน์ต่อเมืองแยนจือก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้นเพิ่มนั้น เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจควบคุมได้

หากใช้คำพูดของชุยฉานก็คือ บนโลกใบนี้มีคนอยู่ผู้หนึ่งที่ร้ายกาจที่สุด เชื่อฟังข้าได้อยู่ต่อ ทรยศข้าต้องตาย

ตอนนั้นราชครูเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวแสร้งทำเป็นเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ น่าเสียดายที่ไม่ต่างจากการชม้ายชายตาให้คนตาบอดเพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะต่อบทสนทนา ชุยฉานจึงได้แต่พูดกับตัวเอง ให้คำตอบว่านี่ก็คือ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’

แนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้

ชุยฉานยังบอกอีกว่าความรุ่งโรจน์ความโรยราในผืนนาขนาดใหญ่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ล้วนต้องดูแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่บางอย่าง

สำหรับคำพูดลึกลับที่ชุยฉานบ่มพึมพำเหล่านี้ ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่เข้าใจ และอันที่จริงก็กลัวว่าจะตกหลุมพรางของเจ้าหมอนั่น

อย่าเห็นว่าหลินโส่วอี หลี่ไหว และยังมีอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับชุยฉานสักเท่าไหร่ แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจน่าจะเคารพยำเกรง หรือถึงขั้นนับถือคนผู้นี้อยู่ไม่น้อย

แน่นอนว่ามีเพียงหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ในคนกลุ่มนี้ด้วย

ต้องเป็นเด็กหนุ่มชุยฉานที่กริ่งเกรงนางถึงจะถูก

จากคำบอกเล่าของหลิวเกาซิน เฉินผิงอันจึงรู้ว่าทุกที่ในเมืองล้วนมีไฟสงครามลุกโชน ทุกครั้งที่ยอดฝีมือในยุทธภพและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่รวมสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงกลับมาพักผ่อนและมาทำแผล ก็มักจะกลับออกไปช่วยกันสยบปีศาจต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงยังได้ประมือกับยอดฝีมือฝ่ายมารที่อายุไม่มากคนหนึ่ง น่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่จัดวางค่ายกลวิชามาร ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา สถานการณ์การต่อสู้ห้อมล้อมไปด้วยอันตราย ชายฉกรรจ์เคราดกถูกคู่ต่อสู้ใช้มือเปล่าฉีกกระชากเนื้อก้อนใหญ่ตรงหัวไหล่ออกไป ภายหลังนักพรตจงเมี่ยวพามัลละร่างทองเหลืองมาให้ความช่วยเหลือ จึงบีบให้มารที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมดุร้ายผู้นั้นถอยไปได้

อีกอย่างไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวพี่ชายของนางที่ออกจากเมืองไปได้อย่างปลอดภัยแล้วถึงได้พาอาจารย์ของนางกลับมาที่จวนอีกครั้ง หลังจากปิดประตูห้องหนังสือพูดคุยกับบิดาของนางอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์ก็พาพี่สาวใหญ่และพี่ชายรองของนางไปรอที่เรือนด้านหลัง ราวกับว่าเจอเรื่องบางอย่างที่ประหลาดมาก อีกอย่างยังแยกไม่ออกด้วยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากเป็นเรื่องดี ทุกคนก็ปิติยินดี หากเป็นเรื่องร้าย ก็คงไม่ต้องพูดกันต่อ สรุปก็คือบิดากับอาจารย์ของนางต่างก็ไม่เต็มใจให้เด็กสาวหลิวเกาซินมีส่วนร่วมด้วย และคืนที่ผ่านมานางเองก็ยุ่งอยู่กับการช่วยดับไฟสงครามไปทั่วทุกหนแห่ง จึงไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องนี้

อีกอย่างก็คือเด็กหญิงจวนจ้าวที่เฉินผิงอันช่วยชีวิตเอาไว้ และเด็กชายดื้อรั้นที่มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันกับเด็กหญิงได้ถูกพาตัวมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองแล้ว

ขณะที่เฉินผิงอันกับหลิวเกาซินเดินเข้าไปใกล้กับห้องโถงก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศเคร่งเครียด จึงเดินเร็วๆ เข้าไปในห้อง พบว่าในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นักพรตเต๋าวัยชราที่ชุดเต๋าขาดวิ่นนั่งหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดสดไหลออกจากตำแหน่งหัวใจไม่หยุด ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลจนไม่รู้ว่าจะทำแผลตรงจุดไหนก่อน อยู่ในสภาพน่าเวทนาซึ่งมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า เจ้าเมืองหลิว สวีหย่วนเสีย นักพรตจางซานเฟิง ผู้เฒ่าที่ตรงเอวห้อยพู่กันหนึ่งด้ามต่างก็ยืนล้อมอยู่รอบกายนักพรตเฒ่าคนนั้น ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงส่ายหน้าให้ทุกคนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความละอาย ส่วนเจ้าเมืองหลิวนั้นถอนหายใจยาวเหยียด

ผู้เฒ่าที่ใกล้ตายก็คือนักพรตจงเมี่ยวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความยโสและเป็นพ่อค้าหน้าเลือดผู้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวในแวบแรกที่มอง

ผู้เฒ่ามีลักษณะสดใสของคนใกล้ตาย ดวงตาที่เดิมทีขุ่นมัวเริ่มใสกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน เขาเงยหน้าเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลิว หากครั้งนี้เซียนซือของพรรคหลิงซีสามารถช่วยเหลือเมืองแยนจือ กำจัดมารน้อยใหญ่ได้สำเร็จ วันหน้าทั้งเด็กและคนชราหลายสิบชีวิตในครอบครัวข้าผู้เป็นนักพรตคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหลิวผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรช่วยดูแลแล้ว”

เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงหนักแน่น “นักพรตจงเมี่ยวโปรดวางใจ ต่อให้วันใดวันหนึ่งข้าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองแยนจือแล้ว ก็จะต้องบอกให้คนที่มารับตำแหน่งใหม่รู้เรื่องศึกในวันนี้ รู้ถึงความเสียสละทุ่มเทของนักพรตจงเมี่ยว สรุปคือ ข้าผู้เป็นขุนนางจะไม่ยอมปล่อยให้คนในครอบครัวของท่านนักพรตได้รับความอยุติธรรมเด็ดขาด”

นักพรตผู้เฒ่ายกมือคารวะขอบคุณอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับจางซานเฟิงที่ตาแดงเล็กน้อย “จางซาน หากไม่เป็นเพราะเด็กโง่อย่างเจ้ายอมเสี่ยงตายไปช่วย เกรงว่าข้าผู้เป็นนักพรตคงถูกเล่นงานจนขาดใจตายคาที่ ไม่แน่ว่าอาจปล่อยให้ปีศาจตนนั้นหนีหายไปได้ มีหรือที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะยังมีโอกาสสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ยกดาบสังหารปีศาจตนนั้น…”

นักพรตเฒ่ากระแอมไอสำลักอย่างรุนแรง ทุกคนจึงเกลี้ยกล่อมไม่ให้ผู้เฒ่าพูดอีก

ชายฉกรรจ์เคราดกสวีหย่วนเสียถามเบาๆ ว่า “นักพรตเฒ่า ต้องการให้เรียกลูกหลานของท่านมาที่นี่หรือไม่?”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ

เจ้าเมืองหลิวจึงหันไปสั่งความข้ารับใช้ให้รีบไปแจ้งครอบครัวของนักพรตเฒ่าที่อยู่ในเมือง

นักพรตเฒ่าฉวยโอกาสที่ตัวเองยังเหลือความมีชีวิตชีวาเฮือกสุดท้ายคำนวณเวลาที่ลูกหลานจะเดินทางมาถึงที่นี่อยู่ในใจ เงียบพักไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองทุกคน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าต่างก็ดูแคลนการกระทำที่เหมือนฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ของข้า เพียงแต่ว่าอยู่ในวงการธุรกิจก็ต้องคุยภาษาธุรกิจ ผู้ฝึกตนอย่าได้อายที่จะพูดเรื่องการค้า อย่าหน้าบางที่จะพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ป่ายปีน ไม่มีร่มเงาของบรรพจารย์คอยปกป้อง ได้แต่ไขว่คว้าหาเงินทอง ช่วงชิงโอกาสเสี้ยวหนึ่งมาด้วยตัวเอง ไม่ทำอย่างนี้ จะได้อย่างไร?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เงียบเสียงไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาเลื่อนลอยคล้ายกำลังนึกถึงความรุ่งโรจน์ ความอัปยศ ความสูงส่งและความตกต่ำตลอดชีวิตที่ผ่านมา

เนิ่นนานหลังจาก ผู้เฒ่าก็เก็บความคิดทั้งหมดลง แล้วพลันทอดถอนใจ “แม้จะต้องรู้หลักของธุรกิจ แต่คนที่ฝึกตนก็ต้องรู้หลักของการเป็นคนด้วย ถูกไหม?”

ผู้เฒ่ากระแอมไอพลางหัวเราะกับตัวเอง “แต่อาจเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้าผู้เป็นนักพรตย่ำแย่เกินไป รู้มานานแล้วว่าตัวเองหมดหวังบนมหามรรคา ก็เลยมีความคิดที่ไร้เดียงสาน่าขันอย่างนี้กระมัง คนที่ฝึกตนบนภูเขาอย่างแท้จริง มีหรือจะมีแต่กลิ่นเงินเต็มกาย แล้วมีหรือจะสนใจการเกิดแก่เจ็บตายของชาวบ้านด้านล่างภูเขา?”

ผู้เฒ่าเหม่อมองไปทางประตูใหญ่ราวกับกำลังมองหาเงาร่างที่คุ้นเคย พึมพำขึ้นมาว่า “ถูกคนเรียกว่านักพรตจงเมี่ยวมาทั้งชีวิต แค่คำคำเดียวก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ไม่อาจถูกคนเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่า ‘จงเมี่ยวเจินเหริน’ น่าเสียดาย! น่าเสียดายยิ่งนัก!”

หลังกล่าวคำว่าน่าเสียดายคำสุดท้าย เรี่ยวแรงความสดใสของผู้เฒ่าก็ลดฮวบลง การมองเห็นพร่าเลือน ลมหายใจแผ่วเบาสุดขีด เสียงเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ทำไมถึงยังไม่มาสักทีนะ…”

สุดท้ายผู้เฒ่าก็อยู่รอไม่ทันได้พบหน้าคนในครอบครัว เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้

ต่อให้ไม่ถือว่าตายตาไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้หลับตาจากไปอย่างสงบ เพราะดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังหรี่ตามองไปยังทิศไกล คล้ายอยากเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็มองเห็นได้ไม่ชัด

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเงียบงัน

เฉินผิงอันเดินเข้าไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนักพรตเฒ่า

เขาเพิ่งเช็ดเสร็จได้ไม่นานเท่าไหร่ ลูกหลานและคนในครอบครัวของนักพรตจงเมี่ยวจำนวนมากถึงสิบกว่าคน ซึ่งมีทั้งลูกเด็กเล็กแดงและคนแก่ต่างก็กรูกันเข้ามา เจ้าเมืองหลิวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แน่นอนว่าคำสัญญาที่เขามอบให้แก่นักเฒ่า เขาก็พูดกับลูกหลานของนักพรตเฒ่าอย่างเปิดเผยด้วย

บุตรชายคนโตของนักพรตจงเมี่ยวคือชายวัยกลางคนที่ตัวอ้วนฉุหันมาเอ่ยขอบคุณเจ้าเมืองหลิวอย่างเป็นธรรมชาติ พวกสตรีที่แต่งงานแล้วส่วนใหญ่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

เพียงแต่ว่าเด็กชายอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่งกลับกระโจนออกมาแผดเสียงถามทุกคนด้วยความโกรธเคือง “ทำไมถึงมีแค่ท่านปู่ของข้าที่ตาย?”

เด็กชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและขุ่นเคืองถลึงตากว้าง สายตาของเขาดุร้ายเหมือนหมาป่ากระหายเลือด คำรามเดือดดาล “ตอบข้ามา!”

ชายฉกรรจ์สวีหย่วนเสียขมวดคิ้ว

นักพรตจางซานเฟิงหันไปมองผู้เฒ่าหน้าซีดขาวที่จากโลกนี้ไปแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ คำตอบบางอย่าง หากพูดออกมา นั่นต่างหากที่ทำร้ายคนอย่างแท้จริง ตอนแรกผู้เฒ่าอยากจะยึดความดีความชอบไปเพียงลำพัง จึงพาตัวไปตกอยู่ในวงล้อมของปีศาจที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ ประเมินศัตรูต่ำเกินแล้วบุ่มบ่ามบุกเข้าไป หากไม่เป็นเพราะเขากับจอมยุทธ์สวีเห็นแก่คุณธรรมของคนในยุทธภพ ยอมสละชีวิตทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเข้าไปช่วยอีกฝ่าย ไผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีแต่จะยิ่งแย่กว่าตอนนี้

ทว่าแม้ผู้เฒ่าจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่ก็จริง แต่ความเห็นแก่ตัวนี้ก็เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าเข่นฆ่าสังหารศัตรูไปตลอดทาง ถึงท้ายที่สุดก็ต่อสู้อย่างดุเดือดจนตัวตาย แค่คำว่า ‘อยู่ในวงการธุรกิจต้องคุยภาษาธุรกิจ’ ย่อมไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ทั้งหมด น้ำเป็นแบบไหนก็เลี้ยงดูคนให้แบบนั้น หากไม่เป็นเพราะผู้เฒ่ามีความรู้สึกที่จริงใจอย่างถึงที่สุดต่อบ้านเกิดของตัวเองอย่างเมืองแยนจือแห่งนี้ เขาก็ย่อมไม่มีทางทุ่มเทสุดชีวิตแบบนี้แน่นอน

ความรู้สึกของคน เรื่องราวบนโลก เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากที่สุด

เพราะหากนำมาวิเคราะห์แยกแยะอย่างละเอียด ก็เหมือนสุราที่แยกออกจากกันเป็นหยด ไร้กลิ่นไร้รสชาติ

เด็กชายที่เป็นเดือดเป็นแค้นตะเบ็งเสียงดังลั่น ยื่นนิ้วชี้กราดทุกคน “พวกเจ้าทุกคนคือฆาตกร!”

บุตรชายคนโตของนักพรตเฒ่ารีบบอกให้ภรรยาดึงตัวบุตรชายที่เสียสติกลับมา จากนั้นก็หันไปขออภัยเจ้าเมืองหลิวและทุกคน

สีหน้าของเจ้าเมืองหลิวยังคงเป็นปกติ ปากก็เอ่ยว่าคำพูดของเด็กไม่ควรถือสา กลับกันยังหันไปขอโทษบุรุษคนนั้น แล้วกล่าวคำพูดทำนองว่าครั้งนี้เป็นเพราะเขาผู้เป็นเจ้าเมืองบกพร่องในหน้าที่ ถึงได้ทำผิดต่อครอบครัวของพวกเขา ทำให้ครอบครัวของพวกเขาขาดเสาหลักไป หลังจากนี้จะต้องไปขอขมาถึงที่บ้านอย่างแน่นอน ฯลฯ

ทว่าในใจของขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของประชาชนผู้นี้คิดอย่างไร ความสัมพันธ์ที่นักพรตจงเมี่ยวผูกไว้กับจวนเจ้าเมืองจะลดน้อยลงไปเพราะเหตุนี้หรือไม่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้

ดังนั้นถึงได้มีคำบอกว่า โชควาสนาและร่มเงาบรรพบุรุษบนโลกใบนี้ ต่อให้ส่งไปถึงมือของลูกหลานแล้ว แต่ก็ยังต้องดูที่โชคชะตาของแต่ละคนด้วย มีบางคนคว้าไว้ได้อยู่ บางคนปล่อยให้หลุดมือไป บางคนคว้าไว้ได้มาก บางคนคว้าไว้ได้น้อย อีกอย่างคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น

……

ในตรอกมืดครึ้มแห่งหนึ่งของเมืองแยนจือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แม้จะสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา แต่กลับมีหน้าตางดงามคล้ายดรุณีน้อยคนหนึ่ง เขานั่งพิงผนัง ในอ้อมกอดมีชายกำลังจะตายคนหนึ่งที่กระอักเลือดออกจากปากไม่หยุด ข้างกายคนทั้งสองยังมีบุรุษอีกคนที่ช่วยดูต้นทาง คนทั้งสามก็คือลูกจ้างร้านขายข้าวสาร ล้วนเป็นลูกศิษย์ของมารเฒ่าหมี่ เด็กหนุ่มคือคนในท้องที่ของเมืองแยนจือ ลูกศิษย์ที่มารเฒ่าหมี่เพิ่งรับมาเมื่อปีก่อน

ศิษย์พี่ที่อยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มก็คือมารที่แลกชีวิตกับนักพรตจงเมี่ยว เขาสมกับเป็นมารร้ายคนหนึ่งอย่างแท้จริง เพราะก่อนตายเขายังสามารถยิ้มกว้าง ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยคือ “ศิษย์น้องเล็ก ข้ากับศิษย์พี่รองของเจ้า เจ้าชอบใครมากกว่ากัน?”

มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มประคองคางของบุรุษในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ก้มหน้าลงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง พูดเสียงสะอื้น “ย่อมต้องเป็นท่าน”

บุรุษยื่นมือไปควักตำราที่ออกเป็นสีเหลืองออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ยื่นส่งให้กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงาม

พอเด็กหนุ่มรับตำราลับเล่มนั้นมา บุรุษที่อยู่ในอ้อมกอดก็ตาย เด็กหนุ่มกำตำราลับไว้แน่น ชูมันขึ้นสูง ตะโกนเรียกศิษย์พี่รองหนึ่งทีแล้วหันตัวไปหาเขา

ความสนใจของบุรุษอีกคนอยู่ที่ตำราลับแทบทั้งหมด

เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาอย่างว่องไว มือหนึ่งถือตำรา อีกมือหนึ่งจ้วงแทงเข้าที่ลำคอของศิษย์พี่รอง ที่แท้ในมือเขาก็มีมีดซ่อนอยู่

แทงเข้าแล้วกระชากออก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาสามรอบ ทั่วทั้งลำคอของบุรุษถูกเด็กหนุ่มแทงจนเกือบเละเทะ ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเปรอะไปด้วยคราบเลือดที่กระเซ็นมาโดน ทว่ามุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้ม

บุรุษใช้มือสองข้างกุมลำคอ พิงอยู่ตรงมุมกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง เบิกตากว้างมองศิษย์น้องเล็กที่อยู่ดีๆ ก็สังหารเขาอย่างเหี้ยมโหด

เด็กหนุ่มเก็บตำราลับเล่มนั้นลงไป ยื่นมือมาเช็ดเลือดบนหน้าแล้วเอามือไปเช็ดที่เสื้อผ้าของบุรุษคนนั้นอีกที จากนั้นก็หยิบตำราอีกเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกของเขา พูดกลั้วกหัวเราะคิกคัก “ศิษย์พี่รอง เมื่อครู่ข้าหลอกศิษย์พี่ใหญ่แหละ อันที่จริงข้าชอบท่านมากกว่าเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าข้าต้องชอบตัวเองมากที่สุด ศิษย์พี่ใหญ่ชอบพูดว่าคนเราหากไม่รักตัวเอง ฟ้าดินต้องลงโทษ แม้อาจารย์นิสัยประหลาดของพวกเราจะชอบแดกดันศิษย์พี่ใหญ่บ่อยๆ ว่าเขาไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ แต่ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจได้ดีนักล่ะ แต่ยังไงก็เถอะ เอาเป็นว่าข้ารู้สึกแบบนี้ก็แล้วกัน อีกอย่างเดิมทีพวกเราก็เป็นพวกนอกรีต พวกคนบนวิถีมารอยู่แล้ว ดังนั้นศิษย์พี่รองอย่าได้โทษข้าเลย อย่างมากท่านก็คิดซะว่าได้ไปเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนศิษย์พี่ใหญ่ ไปถึงข้างล่างแล้วฝากบอกศิษย์พี่ใหญ่ด้วยว่า อันที่จริงข้าชอบท่านมากกว่าเขาเล็กน้อย…”

บุรุษตายตาไม่หลับ

เด็กหนุ่มยังคงบ่นพึมพำ ส่ายศีรษะโคลงเคลง มือก็ลูบคลำไปคลำมาบนร่างของศพทั้งสอง เมื่อเห็นว่าไม่มีอาวุธวิเศษอะไรที่ตัวเองพลาดไปอีกแล้วจึงคลอเพลงในลำคลอเบาๆ เหมือนเวลาที่ไปเลือกซื้อผักในตลาด

แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อ หยุดมือที่ป่ายปัดไปมา หยิบตำราสองเล่มออกจากสาบเสื้อหน้าอกมาวางไว้เหนือศีรษะของตัวเองแต่โดยดี

น้ำเสียงแก่ชราที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดซึ่งแฝงไว้ด้วยถ้อยคำเย้ยหยันที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยไม่ต่างกันดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา “ใช้ได้จริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ข้ามารเฒ่าหมี่ภาคภูมิใจที่สุด เรียนรู้วิชาได้ไม่กี่มากน้อย แต่กลับมีสันดานของมารเต็มเปี่ยม”

ฟันของเด็กหนุ่มกระทบกันดังกึกๆ คราวนี้เขากลัวแล้วจริงๆ

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงหันไปถ่มเลือดออกมาหนักๆ หนึ่งที พอเลือดสัมผัสโดนกำแพงก็กลายมาเป็นควันเลือดสีดำกลุ่มหนึ่ง

มารเฒ่าหมี่ที่จำศีลแฝงตัวอยู่ในเมืองแยนจือมาเกือบยี่สิบปีสบถด่าเบาๆ “เฉินเสี่ยวหย่ง เจ้าเซียนหลิวหลีตัวดี ต่อให้ครั้งนี้เจ้าหนีออกไปจากเมืองแยนจือได้สำเร็จ ข้าก็จะฆ่าสุนัขตกน้ำอย่างเจ้าให้จงได้!”

ผู้เฒ่าหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตารังเกียจ “ลุกขึ้นมาเถอะ เก็บตำราสองเล่มนี้ให้ดี ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าต่างก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ถือเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน

มารเฒ่าหมี่หยิบตะเกียงน้ำมันขนาดเล็กดวงหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ดวงวิญญาณสองดวงก็ถูกดึงออกมาจากศพของลูกศิษย์ทั้งสอง แล้วพากันบินเข้ามาในตะเกียง ใบหน้าของลูกศิษย์ลอยขึ้นมาเหนือน้ำมันตะเกียงที่เหนียวหนืด เป็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่เพียงไม่นานก็วูบหายไป ผสานรวมเป็นหนึ่งกับน้ำมันตะเกียง

ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มองดูอยู่เสียวสันหลังวาบ

ปลายตรอกเล็กสองฝั่งมีคนปรากฏกายฝั่งละคน พวกเขาเดินขยับเข้ามาใกล้ช้าๆ ซึ่งก็คือคู่สามีภรรยาที่ไปเยือนร้านขายข้าวสารก่อนหน้านี้ เอวของสตรีแต่งงานแล้วยักย้ายส่ายสะบัดยิ่งกว่ากิ่งหลิวที่ถูกลมแรงพัด “มารเฒ่าหมี่ บังเอิญจริง เจอกันอีกแล้ว”

สายตาของมารเฒ่าหมี่เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หัวเราะหยันกล่าวว่า “ทำไม คิดจะกลับคำรึ? พวกเราสองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ถ้วยหลิวหลีเป็นของข้า สมบัติส่วนที่เหลือของตาเฒ่าเฉินเป็นของพวกเจ้า”

สตรีแต่งงานแล้วกางกรงเล็บข้างหนึ่งเป็นตะขอครูดไปบนผนังช้าๆ ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “พูดแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้เซียนหลิวหลีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง เขาแกล้งตายได้ แต่จะให้พวกเราสองผัวเมียรอความตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาคงไม่ได้ มารเฒ่าหมี่ เจ้าควรจะแบ่งกำไรให้พวกเราสักหน่อยหรือเปล่า อย่างไรก็ไม่ควรให้พวกเราสองผัวเมียเดินทางมาเสียเที่ยวหรอกกระมัง?”

สีหน้าของมารเฒ่าหมี่เดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวดำคล้ำ

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้มหน้า ขยับตัวไปยืนชิดมุมผนัง แอบกลอกตาเงียบๆ

……

บนป้อมเหนือกำแพงเมืองประตูตะวันออก เนื่องจากแม่ทัพหม่าพาทหารออกจากกำแพงเมืองเพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนด้านใน ตรงนี้จึงไม่มีคนคอยเฝ้ายามอีก

ชายหนุ่มสวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงด้านนอกชั้นบนสุดของป้อม ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปทางตรอกที่มารเฒ่าหมี่อยู่แล้วหลุดหัวเราะขำ “แค่ถ้วยหลิวหลีซังกะบ๊วยเล็กๆ ใบเดียว วัตถุไร้ราคาที่ปีนั้นข้าใช้ดื่มเหล้า ต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตกแบบนี้ด้วยหรือ? หนึ่งพันปีให้หลัง แคว้นไฉ่อีเปลี่ยนมาเป็นน่าเบื่อขนาดนี้แล้วหรือไง?”

เขามองเพียงครั้งเดียวก็ไม่อยากจะเสียเวลามองอีก ยังคงหันไปมองทางจวนเจ้าเมืองบ่อยครั้งกว่า “จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ หึหึ คิดไม่ถึงสินะว่า ‘ยันต์แผ่นนี้’ ที่เจ้าสั่งให้คนนำมาเพิ่มให้เมื่อสองร้อยปีก่อนจะถูกเอามาเก็บไว้ในเมืองแยนจือด้วยภาพลักษณ์ของตราประทับเทียนซือ แล้วก็น่าจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฮ่องเต้แคว้นไฉ่อี ถึงไม่ยอมเพิ่มปราณวิญญาณรักษาไว้ให้ดี อีกทั้งการปรากฏขึ้นของสุสานรรกร้างก็น่าจะทำลายแผนการที่พวกเจ้าสองฝ่ายจัดวางไว้ เป็นเหตุให้ข้าหลุดออกจากกรงขังได้ในที่สุด ที่สุดแล้วคนคำนวณก็ไม่สู้ฟ้าลิขิตจริงๆ”

มือหนึ่งของเขาจับราวระเบียง อีกมือหนึ่งทำมุทราคิดคำนวณสถานการณ์ของแคว้นไฉ่อีโดยมีจุดเริ่มต้นเป็นเมืองแยนจือตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อนจนถึงตอนนี้ แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้ม มองไปทางทิศเหนือ ไม่ใช่แค่ทิศเหนือของแคว้นไฉ่อี แต่มองไปยังทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป จุ๊ปากพูด “ยอดฝีมือ สมกับเป็นยอดฝีมือ แคว้นไฉ่อีขาดสมบัติพิทักษ์แคว้นที่สืบทอดต่อกันมานานไปชิ้นหนึ่ง พรรคหลิงซีที่ปกป้องแคว้นก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ถูกคนขโมยอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติพิทักษ์พรรคชิ้นนั้นไป ประเทศเพื่อนบ้านสามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋มีหรือจะยอมนิ่งดูดาย? ฉวยโอกาสที่คนป่วยเอาชีวิตของเขา นี่คือหลักการที่ง่ายมาก บวกกับที่ฮ่องเต้ละเลยกิจบ้านเมืองมานานปี ราชสำนักและคนใกล้เคียงเมืองหลวงแคว้นไฉ่อีจึงวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้ว ขอแค่เกิดภัยพิบัติขึ้นอีกครั้ง ย่อมต้องทำให้ชาวบ้านเป็นเดือดเป็นแค้น ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อจลาจลครั้งใหญ่ และความวุ่นวายครั้งนี้จะนำมาซึ่งสงครามโกลาหลของหลายแคว้น”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูพยักหน้า “ในเมื่อแนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรรับลูกศิษย์สักสองสามคน”

เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว เรือนกายพลันพร่าเลือน ชั่วพริบตาก็หายวับไป

นาทีถัดมาเขาก็เดินออกมาจากในตรอกคับแคบมืดสลัวแห่งนั้น

มารเฒ่าหมี่และสองสามีภรรยาที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายตกใจจนไม่กล้ากระดุกกระดิก

การบดขยี้ทางด้านพลังอำนาจเช่นนั้นก็เหมือนกับกุ้งปูตัวเล็กตัวน้อยที่ไหลตามกระแสน้ำไปอย่างเชื่องช้า แล้วไปเจอเข้ากับเจียวหลงที่ร่างใหญ่โตจนแทบจะอัดแน่นเต็มท้องน้ำ

หลิ่วชื่อเฉิงที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูไม่เสียเวลาพูดให้มากความ มาถึงก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สองสามีภรรยาที่อยู่ในตรอกแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปทันที แม้แต่ขี้เถ้าสักเม็ดก็ไม่เหลือไว้ ส่วนพวกอาวุธวิเศษ อาวุธอาคมหรือเงินเกล็ดหิมะอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องหายไปจากฟ้าดินตามไปด้วย

ดอกบัวสีชมพูที่รัดพันกิ่งก้านบนอาภรณ์ไม่ใช่วัตถุที่ตายนิ่ง พวกมันโบกสะบัดอยู่บนชุดเต๋าอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวลเป็นระลอก

เดิมทีชุดนักพรตเต๋านี้ก็เหมือนบ่อดอกบัวบ่อหนึ่งอยู่แล้ว

ขนาดเป็นมารเฒ่าหมี่ที่พบเห็นมรสุมมามากมายก็ยังเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เอ่ยถามว่า “เหตุใดเซียนซือไม่สังหารข้าไปพร้อมกันด้วย?”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สวมชุดนักพรตเต๋าแล้วต้องกำจัดปีศาจปราบมารเท่านั้นรึ? จะไม่อนุญาตให้ข้าสวมมันเพื่อความสวยงามบ้างเลยหรือไง?”

มารเฒ่าหมี่ไร้คำพูดตอบโต้

แม่งเอ๊ย นี่ต้องเป็นยักษ์ใหญ่บนวิถีมารอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดในตำนานด้วย

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ดีดนิ้วหนึ่งที มารเฒ่าหมี่ก็ถูกดีดปลิวออกไปยังสุดตรอก “อย่ามาอยู่ให้ขวางหูขวางตา รีบไสหัวไปซะ อีกเรื่องนะ ลูกศิษย์คนนี้ของเจ้า ข้ารับเอาไว้แล้ว”

เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเด็กหนุ่ม เอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลง ยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าหนู ชื่อแซ่อะไร?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า กลืนน้ำลาย กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ตอบเซียนซือ ข้าชื่อหยวนเถียนตี้”

“หืม?”

เขาฉงนเล็กน้อย “ตี้จากคำว่าเทียนตี้ที่แปลว่าฟ้าดินน่ะรึ?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า สีหน้าซีดขาว กลัวว่านาทีถัดมาหัวสมองของตัวเองจะระเบิด อีกอย่างเขาก็ไม่กล้าโกหกอีกฝ่าย จึงตอบไปตามตรงว่า “ตอนที่ท่านแม่ตั้งท้องข้า ที่บ้านยากจน ตอนท้องได้เก้าเดือน นางยังต้องทำนา ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ทันระวังเลยคลอดข้าก่อนกำหนดอยู่ในนา บิดาข้าจึงตั้งชื่อให้ข้าว่า ‘เถียนตี้’ (ผืนนา)”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ยิ้มกว้าง ตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นชื่อของเจ้าก็ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าชอบ วันหน้าเจ้าก็คือลูกศิษย์ของข้าแล้ว อาจารย์จะมอบของขวัญเข้าสำนักให้เจ้าชิ้นหนึ่งก่อนก็แล้วกัน”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็เห็นว่าอาจารย์ประหลาดผู้นี้ยกมือขึ้นดีดนิ้ว ปราณสกปรกสีแดงฉานเป็นเส้นๆ ก็ผุดพุ่งกรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศอย่างบ้าคลั่ง มารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่ยักษ์ แล้วอาจารย์ที่ได้มากะทันหันซึ่งเป็น ‘ชายหนุ่ม’ สวมชุดเต๋าสีชมพูก็ใช้สองนิ้วถูอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งที ลูกกลมปราณสกปรกที่ใหญ่เท่าอ่างน้ำก็หดตัวกลายเป็นลูกกลมขนาดเล็กใหญ่แค่กำปั้น

ฝ่ามือของ ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ตบเบาๆ ลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ลืมบอกเจ้าไป จะเป็นลูกศิษย์ของข้า ต้องมีชีวิตรอดก่อนถึงจะได้ หากสามารถทนได้ถึงฟ้าสาง เจ้าก็จะกลายเป็น…บุคคลยิ่งใหญ่คนที่สองของสำนักเราแล้ว”

หลังของเด็กหนุ่มชนกับกำแพง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกนี้ยากจะพรรณนา ราวกับว่าหว่างคิ้วจะปริแตกอย่างไรอย่างนั้น

‘หลิวชื่อเฉิง’ ไม่อนาทรร้อนใจกับอาการของเขา เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอลืมตาขึ้นก็มองไปทางทิศตะวันตก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ยังคงเป็นนครจักพรรดิขาวของศิษย์พี่ใหญ่ที่มีกลิ่นหอมหวนมากกว่า”

……

หายนะไร้เหตุผลครั้งนี้ระเบิดขึ้นฉับพลันจนคนไม่ทันรับมือ แต่ก็ปิดฉากลงเร็วเช่นกัน และนี่ก็ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เป็นเหตุให้คนของจวนเจ้าเมืองและทหารกล้าที่แม่ทัพหม่าพาเข้ามาในเมืองต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าพวกปีศาจยังมีแผนการที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมรออยู่ แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แสงอรุโณทัยสาดไกลไปหมื่นจั้ง เมืองทั้งเมืองก็เริ่มกลับคืนมาเป็นปกติ จำนวนของชาวบ้านที่ถูกอาคมมารลดน้อยลง ทุกคนรอคอยให้เซียนซือพรรคหลิงซีขี่นกหลวนหลากสีเดินทางมาที่นี่เพื่อปลอบใจเหล่าทหารอย่างกระวนกระวาย ทว่าพวกเขากลับ ‘ผิดนัด’ ตั้งแต่เที่ยงไปจนถึงยามค่ำคืนก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน จากนั้นเจ้าเมืองหลิวก็ ‘ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น’ โชคดีที่เมื่อผ่านยามจื่อไป (เวลา 23.00 น.- 01.00 น.) เมืองแยนจือก็ไม่มีเรื่องชวนสังเวชที่เกิดจากการก่อกวนของพวกปีศาจเกิดขึ้นอีก ระหว่างนี้มีแค่โจรข้างถนนที่คิดจับปลาในบ่อน้ำขุ่น บุกเข้าบ้านคนอื่นเพื่อปล้นชิงของมีค่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกแม่ทัพหม่าที่กำลังโมโหพากำลังพลเข้าปราบปราม สังหารคนชั่วที่หยิบอาวุธหมายต่อสู้สองคนให้ตายคาที่ อันที่จริงคนที่น่าสงสารสองคนนั้นก็แค่หยิบไม้กระบองขึ้นมาป้องกันตัวตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น

ผ่านไปอีกคืนหนึ่ง เมืองแยนจือยังคงสงบสุขปลอดภัย แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาท ทหารสวมเสื้อเกราะกลุ่มใหญ่จับกลุ่มกันลาดตระเวนในเมืองอย่างเข้มงวดทั้งกลางวันและกลางคืน

และเช้าตรู่วันถัดมา นกหลวนไม่ได้บินมาถึงกลางอากาศเหนือเมือง แต่เป็นเซียนกระบี่หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ขี่กระบี่มาถึง คนหนึ่งพวกเฉินผิงอันสามคนรู้จัก นางก็คือเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่ อีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคหลิงซี พอคนทั้งสองพลิ้วกายลงที่จวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหลิวก็หายป่วยทันใด หลังจากที่มานั่งอยู่ในจวนเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นที่ถึงแม้จะมีบุคลิกท่าทางไม่ธรรมดา คำพูดคำจาและการวางตัวสง่างาม แต่กลับปกปิดความเป็นกังวลกลางหว่างคิ้วไว้ไม่อยู่ มานั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ หลังจากแน่ใจว่าปราณสกปรกในเมืองแยนจือถูกกำจัดจนสะอาดเอี่ยมหมดแล้ว เพียงไม่นานก็บอกลาไปพร้อมกับเด็กสาวเซียนกระบี่แซ่ฟู่ ทะยานลมจากไปไกล รีบกลับไปที่พรรคหลิงซี

นี่เป็นเพราะว่าระหว่างที่พวกเขาเดินทางลงใต้มาให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ จู่ๆ ก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากทางสำนักว่าสมบัติที่พิทักษ์พรรคมาเป็นเวลาพันปีชิ้นนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

เพียงแต่ว่าเรื่องลับสำคัญที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสำนักแบบนี้ ผู้เฒ่าจากพรรคหลิงซีย่อมไม่มีทางเอามาบอกเล่าแก่คนนอกอยู่แล้ว

อันที่จริงหากไม่เป็นเพราะศักดิ์ศรีค้ำคอ หลักๆ คือกลัวว่าจะทิ้งภาพความทรงจำที่ไม่น่าประทับใจให้แก่เด็กสาวจากสำนักโองการเทพคนนั้น ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนนี้ก็คงไม่มีทางมาที่เมืองแยนจือ ความปลอดภัยของแคว้นไฉ่อีจะสำคัญเท่ากับอาภรณ์เซียนไฉ่อีได้อย่างไร? นี่คือรากฐานของพรรคพวกเขาเชียวนะ

หลังจากนั้นก็มีเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเกิดขึ้นในจวนเจ้าเมือง นั่นก็คือเซียนกระบี่เด็กสาวที่ว่ากันว่ามาจากสำนักโองการเทพผู้นั้นถูกใจหลิวเกาซินบุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองหลิว บอกว่าสามารถช่วยแนะนำนางให้เข้าไปอยู่ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพได้ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าหลิวเกาซินจะกลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบุรพาจารย์ฝ่ายในบางท่าน

นำมาซึ่งความปลื้มปิติของทุกคน

มีเพียงเด็กสาวคนเดียวเท่านั้นที่กลัดกลุ้ม จากนั้นนางก็ถูกบิดามารดาด่า ถูกพี่สาวใหญ่พี่ชายรองด่า แม้แต่อาจารย์กุนซือเฒ่าของจวนเจ้าเมืองก็ยังด่านาง

แม้ว่าเด็กสาวหน้ากลมจะมีศักดิ์สูงมากในสำนักโองการเทพ เวลาอยู่ต่อหน้านักพรตเฒ่าจ้าวหลิว ผีชางหยางหว่างก็มีเพียงสีหน้าเย็นชาให้เห็น แต่พอมาเจอกับหลิวเกาซินนางกลับพูดง่ายอย่างมาก หัวเราะรื่นเริงอารมณ์ดีตลอดเวลา แถมยังลากหลิวเกาซินไปเดินเล่นในเมือง ซื้อของใช้สำหรับสตรีด้วยกัน

ไม่เหมือนกับเมื่อปีก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจากไปอย่างเชื่องช้า ฤดูร้อนกว่าจะมาถึงก็ยาวนาน

ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ แรกฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ปลายฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรกของฤดูร้อน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ผ่านไปทั้งอย่างนี้

วันนี้พอฟ้าสาง เด็กสาวหลิวเกาซินก็เดินทางออกจากเมือง นางไม่ได้อิดออดอาลัยอาวรณ์มากนัก หลังจากทิ้งจดหมายไว้ให้คนในครอบครัวเรียบร้อย เด็กสาวที่ตาแดงก่ำก็ติดตามพี่หญิงฟู่ที่มาจากตระกูลเซียนผู้นั้นไป พวกนางต่างก็ขี่ม้าสีขาวหิมะคนละตัว เสียงฝีเท้าม้าที่เหยียบอยู่บนพื้นหินส่งเสียงดังกุบกับ ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากครอบครัวและบ้านเกิดไปทุกที

เพียงแต่ว่าเมื่อเด็กสาวควบม้าขาวเดินไปบนถนนที่ผู้คนบางตา นางก็พลันใจกระตุก หันขวับไปมองด้านหลัง นางมองเห็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ยืนอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างไปไกล เขากำลังโบกมือลานางเบาๆ

เด็กสาวทำปากยื่น หันขวับกลับมา ใบหน้านองน้ำตา หยาดน้ำตาหยดเผลาะๆ ลงเป็นสาย

อารมณ์ของหลิวเกาซินดีขึ้นในชั่วพริบตา นางเชิดหน้าขึ้นสูง หันหลังให้กับคนผู้นั้นที่มาส่งตนเดินทาง แล้วเด็กสาวก็หัวเราะอย่างมีความสุข

เด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่หันหน้าไปมอง รู้สึกเพียงว่าเด็กหนุ่มที่อยู่บนหลังคาค่อนข้างจะคุ้นตาอยู่บ้าง แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงคร้านจะนึกให้วุ่นวาย

หลังจากส่งหลิวเกาซินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็นั่งอยู่บนหลังคาเพียงลำพัง ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลงมาดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า

เด็กหนุ่มจิบเหล้าคำเล็กๆ พอคิดถึงอาจารย์ฉีก็มีลมฤดูใบไม้ผลิพัดวนเวียนตรงชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version