Skip to content

Sword of Coming 251

บทที่ 251 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด

เมื่อช่วงเพาะปลูกผ่านไปก็มาถึงช่วยสุดท้ายของการเดินทางในช่องทางเดินมังกรระยะทางสองแสนกว่าลี้ เรือข้ามฟากลำนี้กำลังจะไปถึงปลายทางที่อยู่ทางทิศใต้ของเส้นทางมังกรเดิน

ในเมื่อฝึกเดินนิ่งครบสองแสนรอบแล้ว การฝึกหมัดในลำดับถัดมาของเฉินผิงอันจึงไม่ได้เคร่งเครียด แต่เปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลาย ตามใจตัวเองมากขึ้น หลังจากที่คืนนั้นซื้อเหล้ามาไม่ได้ วันถัดมาเขาก็ไปซื้อมาสามไหตอนกลางวัน บรรจุจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ราคาแพงมาก รสชาติพอใช้ได้ ถึงอย่างไรก็เทียบเหล้าหมักรสดีของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ได้อยู่ดี

จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงยันต์สองแผ่นที่แปะไว้บนผนังออก ล้วนเป็นยันต์สีเขียวธรรมดา แผ่นหนึ่งคือยันต์สงบใจ สามารถช่วยให้เฉินผิงอันมีสมาธิสงบจิตใจ ไม่ต้องถูกโลกภายนอกรบกวนได้ในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่ในอารามใหญ่ของลัทธิเต๋าด้านล่างภูเขาจัดพิธีบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อสักการะบูชาแด่เทพเจ้า ก็มักจะแปะยันต์ประเภทนี้เอาไว้

อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์กำจัดฝุ่นผงคราบสกปรก ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เหล่าขุนนาง ชนชั้นสูงและพวกคนที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์มักจะไปที่อารามเต๋าเพื่อขอยันต์ชนิดนี้มาจากเจินเหริน ยันต์ชนิดนี้ไม่เพียงแต่แผ่ปราณวิญญาณอ่อนๆ ยังสามารถดูดซับไอชั่วร้ายและคราบสกปรกทุกชนิดได้อีกด้วย เป็นเหตุให้ห้องหับสะอาดสะอ้าน

แม้ว่ายันต์ทั้งสองแผ่นต่างก็เป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับขั้นต่ำมาก แต่กลับช่วยเฉินผิงอันได้อย่างมหาศาล หาไม่แล้วคนของเรือข้ามฟากคงต้องสู้กับเฉินผิงอันให้ตายกันไปข้าง การฝึกหมัดทั้งวันทั้งคืนสองเดือนเต็ม เหงื่อของเฉินผิงอันเปียกโชกราวฝนตก หลังจากนี้ยังจะมีใครกล้ามาพักห้องนี้อีก?

ยันต์ทั้งสองแผ่นล้วนเป็นยันต์อักษรแดงที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตอนนี้ปราณวิญญาณเจือจางเต็มที แทบไม่ต่างอะไรจากกระดาษในตำราทั่วไป เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมาจนเคยชินแล้ว เขาไม่อยากจะทิ้งเบาะแสใดๆ เอาไว้ จึงไม่ได้โยนมันทิ้งไปในเส้นทางน้ำ ยังคงเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่น ถึงอย่างไรพวกมันก็ถือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการระหว่างการฝึกหมัดของเขา ข้ามแม่น้ำแล้วจะรื้อสะพานไม่ได้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี

ตอนนี้เฉินผิงอันมั่นใจมากแล้วว่า ยันต์ปึกนั้นที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ตน โดยเฉพาะกระดาษยันต์สีทองและตำราโบราณสองอย่างนี้ที่ต้องมีมูลค่าควรเมือง ต้องรักษาให้ดีแล้วดีอีกถึงจะถูก หลักการนั้นง่ายมาก ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นเดียวก็สามารถสยบขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเทพอภิบาลเมืองแยนจือที่ถูกธาตุมารเข้าแทรกได้อย่างง่าย หากไม่พูดถึงระดับความสูงต่ำของยันต์ เอาแค่วัสดุของกระดาษยันต์ว่าดีหรือไม่ดี ต่อให้เป็นยันต์คุ้มกันชีวิตก้นกรุจากพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่สุดยอดผู้ฝึกลมปราณของแคว้นซูสุ่ย ‘เชิญเทพ’ ออกมาให้เป็นมัลละเกราะทองแผ่นนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหนือกว่ากระดาษยันต์สีทองที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้

ก่อนจะลงจากเรือ เฉินผิงอันก็เก็บห้องจนสะอาดเรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระ คืนแผ่นป้ายไม้ของห้องให้กับทางเรือ ทยอยลงเรือไปพร้อมกับทุกคน ห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหน้ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพูดคุยกัน เสียงของผู้หญิงคุ้นหูมาก เฉินผิงอันแค่กวาดตามองไปแวบหนึ่งก็เห็นว่านางเป็นสตรียังสาวที่มีใฝตรงมุมปาก เฉินผิงอันเห็นนางแล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจ นางก็คือฮูหยินที่พักอยู่เหนือห้องของตน ช่วงที่ผ่านมานี้นางลำบากไม่น้อยเลยจริงๆ เฉินผิงอันเดาเอาว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ต้องรักสามีของนางอย่างจริงใจแน่นอน หาไม่แล้วก็ไม่คงไม่ยอมทนรับความทรมานขนาดนี้

ระหว่างที่เดินลงเรือ เฉินผิงอันได้ฟังเรื่องราวไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคราวก่อนที่แวะบ่อไท่เย่มีคนจับเซียงฉ่าวเหนียงที่หายากได้คู่หนึ่ง แค่ภูตดอกไม้ตัวเดียวก็มีมูลค่าหลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่หากจับได้เป็นคู่ ถ้าคนซื้อไม่ยอมควักเงินเกล็ดหิมะห้าสิบหกสิบเหรียญก็อย่าหวังว่าจะได้เก็บพวกมันเข้ากระเป๋า

ตลอดเวลาสองเดือนที่เดินทางบนเส้นทางมังกรเดิน สุดท้ายพวกคนที่ตกปลาก็ตกมังกรแม่น้ำสองนิ้วได้แค่ไม่กี่ตัว ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น

เรือข้ามฟากลำนี้เดี๋ยวจอดเดี๋ยวเดินทาง ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่มีเงินหนา สุดท้ายพอลงจากเรือก็น่าสงสารพวกข้ารับใช้ของพวกเขาที่ต้องแบกสัมภาระใหญ่น้อย เวลาเดินยังต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกชนจนข้าวของเสียหาย ของพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีราคาแพง ในบรรดานั้นมีของฟุ่มเฟือยหรูหราอยู่ไม่น้อย คาดว่าคงไม่ได้ราคาถูกไปกว่าชีวิตของคนเลย

ตรงท่าเรือมีพื้นที่กว้างขวาง ยังคงเต็มไปด้วยร้านรวงคึกคัก เพียงแต่ว่าของที่พวกพ่อค้าแม่ค้าเรียกขายกลายมาเป็นของพิเศษในท้องถิ่นจากบริเวณใกล้เคียง เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ทำจึงเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ แล้วเขาก็ได้เห็นภูตประหลาดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูตพืชหญ้าที่น่ารักมีชีวิตชีวา สูงไม่เกินหนึ่งนิ้ว บ้างก็ถูกขังอยู่ในกรงไม้ไผ่สีเขียว บ้างก็ยืนอยู่บนแท่นฝนหมึก และยังมีแม่นางน้อยนักทอผ้าที่มีปีกกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ด้านหลังไนปั่นด้าย หลากหลายรูปแบบน่าสนใจไปซะหมด

เฉินผิงอันได้ยินเสียงต่อรองราคาจากลูกค้าบางคนกับเถ้าแก่ร้านจึงรู้ว่าเจ้าตัวน้อยภูตประหลาดเหล่านี้คล้ายคลึงกับเด็กชายชุดเขียวที่อยู่บนกระถางบอนไซของท่านหงหอชิงฝูซึ่งพูดพร้อมกันว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย’ กำหนดราคาจากระดับความหายาก ถูกหน่อยก็หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แพงหน่อยก็สูงถึงสามสิบสี่เหรียญ

สุดท้ายเฉินผิงอันได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ยิ่งขยับไปทางใต้ ภูตประเภทนี้ก็ยิ่งหาง่าย

เฉินผิงอันเดินเข้านอกออกในร้านเล็กใหญ่จนทั่ว แต่กลับไม่ได้ซื้อของ คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเฉินผิงขี้เหนียว แต่เพราะเขาคิดว่าหลังจากส่งมอบกระบี่เสร็จแล้ว ระหว่างที่เดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปยังต้าหลีค่อยซื้อก็ยังไม่สาย

เดินออกจากถ้ำ เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนในที่สุดก็ได้พบเจอกับแสงตะวันอีกครั้ง เขาค้นพบว่าตรงปากถ้ำยังคงมีตัวอักษรที่สลักจากฝีมือของผู้มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ปลายทางของทิศเหนือแล้วยังแน่นขนัดมากกว่าด้วยซ้ำ ราวกับว่าพยายามแย่งพื้นที่กันเพื่อให้ได้สลักลงไป และต้องการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไรอย่างนั้น ตัวอักษรบางตัวเหมือนโมโหคนที่เขียนอยู่ข้างๆ ด้วย เฉินผิงอันที่อยู่ตรงปากถ้ำกวาดตามองไปทีละตัว ตัวอักษรแน่นอนว่างดงาม มีท่วงทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ลึกๆ ในใจเขากลับรู้สึกว่ายังสู้ตัวอักษรลายมือเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้

ด้านนอกท่าเรือคือหุบเขาแห่งหนึ่ง ถนนราบเรียบกว้างขวาง ร้านรวงที่อยู่สองข้างทางดูหรูหรามีระดับกว่าร้านที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือ บนถนนมีคนเดินสวนกันขวักไขว่ เสียงดังจอแจแสดงถึงความรุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุขไร้สงคราม ต่อให้เป็นสุนัขที่นอนหมอบอยู่ข้างทางก็ยังแผ่กลิ่นอายของความสบายใจ

สิ่งแรกที่ปรากฎสู่คลองจักษุก่อนก็คือหอสามชั้นขนาดเล็กที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ชายคาสูงตวัดงอน แขวนป้ายตัวอักษรสีทองเขียนคำว่า ‘ท่าเรืออี้หนวี่’ ตอนนี้เฉินผิงอันคล่องมากแล้ว รู้ว่านี่คือสถานที่ที่ต้องควักเงินเพื่อโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า พอเข้าไป สอบถามพูดคุยกับคนที่โต๊ะคิดเงินอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าเรือข้ามฟากไปยังนครมังกรเฒ่ารอบที่เร็วที่สุดจะมาถึงตอนเที่ยงของวันนี้ ราคาของเรือระดับสูงคือยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ระดับกลางคือสิบเหรียญ เฉินผิงอันสอบถามราคาของเรือระดับล่าง บุรุษผู้นั้นอธิบายด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มแต่ใจไม่ยิ้มว่า เรือข้ามฟากของหยางจือถังที่เดินทางไปนครมังกรเฒ่า ราคาที่ถูกที่สุดคือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะซึ่งจะได้ห้องระดับกลาง ไม่มีระดับล่าง

ผู้คนรอบด้านที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็มีสายตาและรอยยิ้มดูแคลน เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขายหน้า เขาควักเงินเกล็ดหิมะออกมายี่สิบเหรียญเพื่อซื้อหยกประดับในการขึ้นเรือที่ด้านหน้าด้านหลังสลักคำว่า ‘หยางจือถัง’ ‘ห้องระดับสูงสืออี’ เฉินผิงอันเห็นคำว่าสืออีก็นึกถึงตราประทับที่ทิ้งไว้ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว รู้สึกว่าเป็นลางดี เป็นมงคลอย่างมาก เฉินผิงอันจึงหัวเราะเดินออกจากประตู ลองคำนวณเวลาดูแล้วก็เริ่มเดินเล่น คิดจะซื้อเสื้อผ้าสองชุด รองเท้าไม่ต้อง หลายปีมานี้สวมรองเท้าสานจนชินแล้ว อีกอย่างในวัตถุฟางชุ่นก็ยังมีรองเท้าใหม่เอี่ยมอยู่อีกสองคู่

แม้ว่าร้านบนถนนจะดูโอ่อ่ากว่ามาก แต่ของที่ขายไม่ได้แตกต่างจากร้านที่อยู่ตรงท่าเรือทางมังกรเดินสักเท่าไหร่ นั่นก็คือมีพวกภูตต้นไม้ดอกไม้อยู่เหมือนกัน แต่ราคาจะถูกกว่า ให้มองร้อยรอบเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกเบื่อเจ้าตัวน้อยที่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบพวกนี้

เพียงแต่ว่าการที่เขาดูอย่างเดียวไม่ยอมซื้อกลับไม่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบแล้ว เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ เข้านอกออกในร้านโน้นร้านนี้ จากนั้นเขาก็เจอร้านหนึ่งที่มีพวกผู้สูงศักดิ์อยู่กันเต็มห้องโถง เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูด้วยอาการอึ้งงันเล็กน้อย ที่แท้ตรงหน้าประตูใหญ่ก็วางฉากบังลมสูงเท่าตัวคนไว้อันหนึ่ง ด้านบนเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าสีม่วงทอง นางยืนอยู่บนริมหน้าผาทอดสายตามองทะเลเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา ชายกระโปรงโบกสะบัด ล่องลอยสูงส่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งมวล

น่าจะคล้ายคลึงกับม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำบนเรือคุนที่ใช้เวทลับบนภูเขาคัดลอกออกมา

มีหลายคนที่กำลังยืนชี้ไม้ชี้มืออยู่ตรงหน้าฉากบังลม คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยการสมน้ำหน้า พูดถึงบุญคุณความแค้นหลายร้อยปีระหว่างสวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง พูดถึงเทพธิดาใหญ่ซูท่านนี้ที่ในอดีตเคยโดดเด่นเลิศล้ำ สูงส่งเหนือผู้ใด ครั้งเดียวในชีวิตที่นางยอมแหกกฎสวมอาภรณ์ซึ่งไม่ใช่ชุดของสำนักก็คือครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรพบุรุษของร้านนี้โดยที่นางไม่รับค่าตอบแทนใดๆ และเมื่อสิบกว่าปีก่อนรูปแบบชุดกระโปรงที่นางยอมแหวกกฎสวมนี้ก็กลายมาเป็นที่นิยมทั่วทั้งเหนือและใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนหญิงหรือคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ คนนับร้อยนับพันต่างก็พากันสวมใส่ นั่นเป็นปรากฎการณ์ที่ต้องเรียกว่าคนตามกระแสเหมือนฝูงห่านที่วิ่งตามกันเป็นพรวน

มีหญิงสาวคนหนึ่งหัวเราะพรืด “ร้านนี้ยังไม่ยอมปลดฉากบังลมอันนี้ออก ก็คือเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่รู้ว่าหากซูเจี้ยมาเห็นด้วยตัวเองจะอับอายจนต้องขุดหลุมดำดินหนีไปเลยหรือไม่”

มีผู้ฝึกลมปราณหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าดำคร่ำเครียดเพราะอดทนอดกลั้นมานาน ในที่สุดก็เปิดปากด้วยความเดือดดาล ช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเทพธิดาที่ตนเองเลื่อมใสมาเนิ่นนาน “ต่อให้ตบะของเทพธิดาซูจะถดถอยแค่ไหนก็ยังคงเป็นเทพเซียนแท้จริงที่บริสุทธิ์ไร้มลทินแปดเปื้อน พวกเจ้าหยุดพูดสาเสียดสีนางเสียที หากเทพธิดาซูมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ แม้แต่ผายลม พวกเจ้าก็คงไม่กล้าปล่อย!”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะตาหยีพูดว่า “ก่อนหน้าที่ซูเจี้ยจะถูกหวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าโจมตีจนสภาพจิตใจแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง จะให้ข้าเลียพื้นรองเท้าเทพธิดาคนนี้ก็ยังได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ ต่อให้เทพธิดาซูเจี้ยมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ ข้าก็ยังกล้ายื่นมือไปหยิกแก้มนาง ลูบเอวบางๆ ของนาง! จุ๊ๆ ไม่รู้ว่าจะให้สัมผัสเช่นไร…”

นักพรตหนุ่มหน้าแดงก่ำ โมโหจนสั่นไปทั้งตัว “ทำไมถึงมีคนชั่วร้ายเลวระยำแบบเจ้าได้!”

บุรุษหัวเราะฮ่าๆ “ทำไมถึงมีได้? คำตอบง่ายมาก ลองไปถามพ่อกับแม่เจ้าดูสิ”

นักพรตหนุ่มกำมือสองข้างเป็นหมัดแน่น ดวงตาพ่นไฟจ้องเจ้าคนสารเลวผู้นั้นเขม็ง

บุรุษจุ๊ปากพูด “ทำไม? จะฆ่าข้าให้ตายงั้นรึ? มาสิ ฆ่าคนตายที่นี่ ฆาตกรไม่เพียงแต่ต้องติดคุก ยังถูกเอาเรื่องไปถึงสำนักด้วย มาๆๆ หากวันนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ตาย ก็จะไม่ถือว่าเจ้าชื่นชอบซูเจี้ยจริงๆ ! หากเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตาย อีกเดี๋ยวข้าจะไปลูบภาพของเทพธิดาซูเจี้ยที่ฉากบังลมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย”

ชายวัยกลางคนเถียงคอเป็นเอ็น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยาบโลน

นักพรตหนุ่มหมุนตัวจากไปอย่างห่อเหี่ยว

บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ก่อนเอ่ยเย้ยหยันว่า “เด็กชั่วที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ยังกล้ามาประลองฝีมือกับนายท่านใหญ่อย่างข้า! อย่าเพิ่งไปสิ ข้าจะไปลูบจริงๆ แล้วนะ ใบหน้านี่ช่างนุ่มนวล เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเทพธิดาใหญ่ซู ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จิตใจแห่งกระบี่แหลกสลาย ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่พวกเจ้าได้เจอนาง นางอาจจะไปอยู่ที่หอนางโลมแล้วก็ได้…”

นักพรตหนุ่มก้าวเร็วๆ จากไป ไม่อยากฟังคำพูดสกปรกที่ทำให้คนโมโหอีกแล้ว

เฉินผิงอันเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้าน ไม่ได้สนใจสองฝ่ายที่ตีฝีปากกัน เขาจ่ายสามสิบตำลึงเงินเต็มๆ เพื่อซื้อเสื้อผ้าที่ธรรมดาที่สุดสองชุด อันที่จริงร้านนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา กิจการของพวกเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีมากมาย แม้ว่านี่จะเป็นแค่หนึ่งในร้านสาขาจากจำนวนหลายร้อยร้าน ทว่าชุดคลุมอาคมสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้น ต่อให้เฉินผิงอันเป็นแค่คนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญ มองปราดๆ ก็ยังรู้ว่ามันไม่เป็นรองเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของฉู่หาวเลย

เฉินผิงอันเดินออกจากร้านมาแล้ว คนผู้นั้นก็ยังไม่ไปไหน คนที่มามุงดูอยู่รอบกายเขาเปลี่ยนมาเป็นคนกลุ่มใหม่แล้ว มีทั้งชายและหญิง พวกเขายืนกันอยู่หน้าฉากบังลม ผู้ชายส่วนใหญ่มีสีหน้าเสียดาย แต่ผู้หญิงกลับหัวเราะหยันสีหน้าไม่พอใจ บรรยากาศลี้ลับยากจะหยั่ง ชายวัยกลางคนที่ว่างงานคนนั้นเริ่มพูดจาหยาบคายหมิ่นเกียรติ ทำให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกสะใจอย่างมาก ต่อให้จะรู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่พอได้ยินเขาบอกว่าตัวเองคือเถ้าแก่ร้านขายของจิปาถะที่อยู่ข้างๆ พวกนางก็ยังชักชวนบุรุษที่มาด้วยกันให้เข้าไปดูร้านของเขา ฝ่ายชายมีหรือจะเต็มใจ ใจอยากจะตะบันหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้ให้หน้าเละใจจะขาด

พฤติกรรมของบุรุษต่ำช้านั้นไม่ผิด แต่สายตาการทำธุรกิจนั้นไม่เลว เขาพยายามพูดจาเหยียดหยามเทพธิดาซูของภูเขาตะวันเที่ยงสุดฤทธิ์ ยิ่งพูดก็ยิ่งระคายหู พวกผู้หญิงก็ฉลาดกันอย่างมาก คำพูดที่เอ่ยจากปากไม่คล้อยตามบุรุษคนนั้นสักคำ กลับกันยังช่วยพูด ‘คัดค้าน’ อยู่หลายคำ บุรุษที่ทำเพื่อเรียกลูกค้าก็ยิ่งรู้ใจ ยิ่งพูดน้ำลายแตกฟอง ทำให้พวกนางอารมณ์ดี อย่างยิ่ง หางตาคอยชำเลืองมองพวกบุรุษที่เดินทางมาด้วยกัน ราวกับกำลังบอกกล่าวกับพวกเขาด้วยความสาแก่ใจว่า ซูเจี้ยที่พวกเจ้าหลงรักตั้งแต่แรกเห็นตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าจะยังชื่นชมนางอีกไหม?

บุรุษโบกไม้โบกมือ พอพูดจนอารมณ์ไต่ทะยานถึงขีดสุดก็ถึงกับเดินไปที่ฉากบังลม ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางห่างจากฉากกั้นเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นตบหน้าซูเจี้ยในภาพวาดที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ปากก็ด่าทอนางไปด้วย

เฉินผิงอันคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าพูดถึงซูเจี้ยตอนอยู่ในเมืองเล็ก

ตอนนั้นคนต่างถิ่นต่างก็เข้ามาในเมืองเล็กเพื่อหาโชควาสนา มีเพียงหลิวป้าเฉียวที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินกับคุณชายสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยเท่านั้นที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่ด้านนอกก็มีคนที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน

และจุดที่ทำให้เฉินผิงอันประทับใจในตัวหลิวป้าเฉียวมากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ของสวนลมฟ้า แต่เป็นเพราะตอนที่เขาพูดว่าสักวันหนึ่งซูเจี้ยจะรู้สึกว่าข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนที่นางยินยอมพร้อมใจแต่งงานด้วยได้ คำพูดของเขาไม่ใช่วลีห้าวหาญยิ่งใหญ่ของชายชาตรีอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อมีคนถามเขาว่าหากวันหนึ่ง เทพธิดาซูที่เจ้าคิดถึงคะนึงหาชอบเจ้าโดยไม่สนใจความเห็นของคนในครอบครัวจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร? หลิวป้าเฉียวในเวลานั้นกลับเงอะงะตอบไม่ถูก ได้แต่พึมพำเบาๆ ว่า ‘นางจะชอบข้าได้อย่างไร?’

เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปทางฉากบังลม มองชายที่มีร้านค้าอยู่ติดกับร้านนี้

บุรุษกำลังจะพาพวกผู้หญิงไปซื้อของที่ร้านตัวเอง จู่ๆ พบว่ามีเจ้าเด็กหน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งโผล่มาก็ถามอย่างหงุดหงิดว่า “มองอะไรของเจ้า?”

เฉินผิงอันตอบ “มองเจ้า”

บุรุษถลึงตาใส่ “เจ้าแน่จริงก็ลองมองอีกครั้งดูสิ?”

เฉินผิงอันพยักหน้าแล้วจ้องหน้าบุรุษต่อ พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “ตกลง”

ต่อให้เป็นพวกหญิงสาวบนภูเขาที่ไม่ชอบซูเจี้ยก็ยังหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้ตลกมาก

สำนักของพวกนางและสหายข้างกายอยู่ไม่ห่างจากภูเขาตะวันเที่ยง ดังนั้นจึงได้พบหน้ากันบ่อย คนทั่วทั้งบนและล่างสำนัก ตั้งแต่บุรพาจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ฝ่ายนอกล้วนมีความเคารพเลื่อมใสต่อภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง ในอดีตบุรุษในสำนักไม่ว่าเด็กหรือแก่ก็ล้วนไม่ยอมให้คนนอกพูดจาไม่ดีต่อเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงแม้เพียงครึ่งคำ เพียงแต่ว่าตอนนี้ซูเจี้ยตกต่ำ คนนอกไม่มีใครได้เห็นหน้านางอีก คนที่ชื่นชอบนางถึงพอจะสำรวมกิริยากันได้บ้าง

บุรุษที่ทำการค้าอยู่ในหุบเขาอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าอยากตายรึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

บุรุษพูดด้วยสีหน้าดุดัน “แล้วเจ้ามายืนบื้อเป็นท่อนไม้อยู่ตรงนี้ทำไม?! รู้หรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสทำการค้าอยู่ที่นี่มาทุกรุ่นทุกสมัย เทพเซียนผู้เฒ่าที่ข้ารู้จักมีมากกว่าคนที่เจ้าเคยพบเจอซะอีก?!”

เด็กหนุ่มที่สมองมีปัญหาในสายตาของบุรุษโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าชอบซูเจี้ย”

บุรุษอึ้งงัน ความโมโหลดระดับลงทันควัน เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “ข้ารู้จักหลิวป้าเฉียว”

บุรุษชำเลืองมองกล่องกระบี่ด้านหลังของเด็กหนุ่มแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลาย

เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากมีวันหนึ่งข้าได้เจอกับหลิวป้าเฉียว จะเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องในวันนี้”

บุรุษแสร้งพูดอย่างคนแข็งนอกอ่อนใน “เจ้าขู่ใครน่ะ? เจ้าก็รู้จักหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าด้วยรึ? ข้ายังรู้จักเจ้าสำนักสำนักโองการเทพ รู้จักบุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่ด้วย แต่พวกเขารู้จักข้าไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “พวกเขารู้จักหรือไม่รู้จักเจ้า ข้าไม่รู้ แต่หลิวป้าเฉียวรู้จักข้า ข้อนี้ข้ามั่นใจมาก”

บุรุษโบกมือไล่ “ไป๊ๆๆ อย่ามาโม้น้ำลายเหม็น ขัดขวางการทำการค้าของข้าผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ ไม่นึกว่าขี้หมาข้างทางจะมีเท้าเดินเองได้แล้ว ดวงซวยจริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “ที่ท่าเรือน่าจะมีกระบี่บินส่งข่าวกระมัง?”

แล้วเฉินผิงอันก็พูดเหมือนคุยกับตัวเอง “ช่างเถอะ ข้าไปหาเอาเองก็ได้”

บุรุษที่เริ่มร้อนตัวแสร้งทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ พาชายหญิงจากบนภูเขาที่มีสีหน้าคลุมเครือไปซื้อของที่ร้านตัวเอง

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาจุดพักม้าบนภูเขาที่มีกระบี่บินส่งข่าวจริงๆ ซึ่งร้านนั้นตั้งอยู่สุดปลายทางของถนน จ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้หลิวป้าเฉียว เนื้อหาคือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากหลิวป้าเฉียวได้รับจดหมายแล้วจะไม่แยแส โยนทิ้งไว้ด้านข้าง หรือจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ขี่กระบี่มาสังหารคนถึงที่นี่ เฉินผิงอันก็ไม่สนใจแล้ว

เรื่องบางเรื่อง หากไม่ได้ทำ เฉินผิงอันจะไม่สบายใจ

แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ไม่สบายใจแค่ไหนก็ได้แต่อดทนเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เรือคุนตกจากฟ้าอย่างไร้สาเหตุ

หลังจากเขียนชื่อคนรับและที่อยู่บนจดหมายเสร็จเรียบร้อย คนทั้งจุดพักม้าต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด เวลาพูดกับเฉินผิงอันก็คล้ายจะอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ถึงขั้นมีคนพาเฉินผิงอันออกมาส่งจากจุดพักม้าด้วยตัวเอง แถมยังถามด้วยว่าต้องการให้พาไปที่ท่าเรือหรือไม่ เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้มว่าไม่ต้อง แล้วจึงจากไปเพียงลำพัง

ออกมาจากจุดพักม้าแล้ว เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาค้นพบว่าหลิวป้าเฉียวที่ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูไม่เคยอวดอ้างตน แถมยังพูดล้อเล่นเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาร้ายกาจมาก แม้แต่จุดพักม้าส่งกระบี่บินแห่งนี้ก็ยังรู้จักหลิวป้าเฉียว

ท่าเรือของเรือข้ามฟากหยางจือถังอยู่กึ่งกลางอากาศบนหน้าผาสูงตระหง่านของภูเขาลูกหนึ่ง มีคนเจาะหน้าผาให้เป็นทางเดินเลียบริมผาที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางก็ได้เห็นเรือข้ามฟากมากมายที่มาจอดอยู่กลางอากาศนอกหน้าผา ด้านล่างเรือข้ามฟากคือก้อนเมฆสีขาวล่องลอย ลักษณะของเรือคล้ายคลึงกับที่แคว้นซูสุ่ย แต่สามารถบินทะยานไปท่ามกลางสายลมได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดเหมือนกัน เฉินผิงอันรอเรืออยู่บนทางเลียบหน้าผาข้างท่าเรือหยางจือถัง ตรงนี้มีการเจาะถ้ำขนาดใหญ่ไว้แห่งหนึ่ง มีเพียงพ่อค้าแผงลอยบางตาที่มานั่งค้าขาย เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำมาจากรากต้นไม้โบราณเงียบๆ หยิบแผ่นแป้งแห้งมากัดกิน ดื่มเหล้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามไปช้าๆ

เที่ยงตรง เรือข้ามฟากหยางจือถังที่ลอยมาท่ามกลางทะเลเมฆอย่างมั่นคงก็เข้าจอดเทียบท่าตรงเวลา

เฉินผิงอันติดตามคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือ การนั่งเรือลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าในครั้งนี้ใช้เวลาแค่ประมาณยี่สิบห้าวัน เพราะเรือข้ามฟากหยางจือถังล่องลอยไปในทะเลเมฆ ความเร็วจึงเหนือกว่าเรือข้ามฟากที่ล่องไปตามแม่น้ำเส้นทางมังกรเดินเยอะมาก อีกอย่างระหว่างทางก็ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก เรือข้ามฟากมีแค่สองชั้น เฉินผิงอันอยู่ในห้องชั้นหนึ่ง ห้องค่อนข้างกว้างขวาง แต่ไม่มีระเบียงชมวิว เรือข้ามฟากไต่ทะยานขึ้นสูงลอดผ่านทะเลเมฆไปหนึ่งชั้น เมื่อเปิดหน้าต่างออก การมองเห็นจะเปิดกว้าง เหนือศีรษะคือดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ส่องแสงเจิดจ้าไปหมื่นจั้ง ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยกลิ้งหลุนๆ ประหนึ่งเทือกเขาสีทองเทือกแล้วเทือกเล่าที่ทอดตัวยาวเหยียด

เฉินผิงอันเขียนยันต์สงบใจและยันต์กำจัดสิ่งสกปรกอย่างละแผ่นอีกครั้ง

ปิดประตูฝึกหมัดต่อ

ระหว่างทางมีค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่า บางวันดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกก็ส่องประกายแสงหลากสีงดงาม แล้วก็มีวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ

การเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันในครั้งนี้เปลี่ยนจากเร็วมาเป็นช้า บางครั้งก็จะเปิดหน้าต่างออก ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพลางชมทัศนียภาพนอกหน้าต่างไปด้วย

วันหนึ่งเมื่อเดินทางไปได้เกินครึ่งทาง มีเซียนกระบี่คนหนึ่งทะยานลมผ่านมา ตอนนั้นเรือข้ามฟากกำลังลอดผ่านทะเลเมฆหนาชั้นพอดี เซียนกระบี่ที่อายุยังน้อยคนนั้นแทบจะตามมาติดๆ ด้านหลังเรือ ความเร็วของเขาทำให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางบางส่วนปากอ้าตาค้าง คนผู้นั้นแหวกทะเลเมฆ ดิ่งตรงไล่ตามเรือข้ามฟากมา พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ทะเลเมฆด้านหลังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ถูกแหวกออกเป็นเส้นทางที่กว้างขวาง เนิ่นนานกว่าจะปิดประสานกัน

เขาพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเรือข้ามฟากที่กำลังบินทะยานกะทันหัน กระโดดลงจากกระบี่เบาๆ ก็พลิ้วตัวลงมาที่หัวเรือพอดี แล้วเก็บกระบี่กลับเข้าฝักอย่างสง่างาม ชนชั้นสูงคนหนึ่งของหยางจือถังรีบเดินไปรับหน้าทันที ส่วนข้อที่ว่าการกระทำของเขาเป็นการล่วงเกินหยางจือถัง หรือทำผิดกฎข้อที่ว่าห้ามใครขึ้นเรือข้ามฟากกลางทางหรือไม่ ผู้อาวุโสของหยางจือถังคนนั้นกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว หลังจบเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เฒ่าคนนี้เฉลียวฉลาดยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นจะทำผิดกฎของเรือข้ามฟาก แต่กลับไม่ใช่พวกจองหองอวดดี เพราะพอเขาเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มเสร็จ ยังเป็นฝ่ายจ่ายเงินยี่สิบเหรียญเกล็ดหิมะให้เองโดยที่ไม่ต้องให้ใครบอก

หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า

ทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อประหนึ่งอสนีที่ผ่าข้างหู

หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนมีสมญานามว่าบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตสิบของแจกันสมบัติทวีป นั่นคือคนที่ใช้กำลังของคนคนเดียวข่มทับคนตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงมานานหลายร้อยปีเชียวนะ

ต่อให้จะมีข่าวลือบอกว่าตอนนี้หลี่ถวนจิ่งตายในสนามรบ ทว่าช่วงสุดท้ายของศึกใหญ่ในครั้งนั้น หลี่ถวนจิ่งเพียงแค่ฟันกระบี่อย่างง่ายๆ ก็สามารถทำลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ภูเขาเจินอู่ได้แล้ว นั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต่างก็เห็นกับตา ต่างก็ได้เป็นประจักษ์พยาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งโดดเด่นเกินใคร เผยพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เหมือนกับตอนที่หลี่ถวนจิ่งเป็นหนุ่ม เล่นงานเสียจนซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน โดยเฉพาะท่วงท่าของผู้ไร้เทียมทานอย่างตอนที่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายของซูเจี้ยที่ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ใช้ปลายเท้าเหยียบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทอง ภาพนั้นประทับลงในความทรงจำของผู้คนอย่างลึกล้ำ

และหลังจากที่หวงเหอรับตำแหน่งเจ้าสวนลมฟ้าแล้ว หลิวป้าเฉียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตใหม่ได้อย่างผ่อนคลาย แถมยังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะฝ่าขอบเขตติดต่อกันสองขั้น

หลิวป้าเฉียวไม่ได้ให้ผู้เฒ่าติดตามมา เขาเดินหาห้องหมายเลขที่สิบเอ็ด (สืออี) ของชั้นที่หนึ่งด้วยตัวเอง เจอแล้วก็เคาะประตูเบาๆ

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกำลังตั้งใจฝึกวิชาหมัด แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมของทะเลเมฆที่ถูกชักดึง แต่ก็ไม่ได้หยุดฝึกฝน เซียนบนสวรรค์ขี่กระบี่ผ่านเรือข้ามฟากที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆไปอย่างสง่างามเป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นต่อให้เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ระเบียงทางเดินด้านนอกก็ยังไม่นำไปคิดเชื่อมโยงกับคนที่ขี่กระบี่

รอจนเฉินผิงอันเปิดประตูแล้วได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น เขาจึงแปลกใจอย่างมาก

หลิวป้าเฉียวเข้ามาในห้อง พอเฉินผิงอันปิดประตู เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง สังเกตเห็นยันต์สองแผ่นก็เอ่ยเย้าหยอกว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเป็นคนมีเงินแล้วนะ”

แล้วก็เพราะว่าเป็นหลิวป้าเฉียว เฉินผิงอันถึงไม่ได้เก็บยันต์ทั้งสองแผ่นก่อนจะให้คนเข้ามาในห้อง

เฉินผิงอันยิ้มรับกับคำหยอกล้อของหลิวป้าเฉียว ยืนพิงหน้าต่าง ยกพื้นที่บนเตียงให้กับผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าผู้นี้

หลิวป้าเฉียวใช้สองมือยันบนเตียง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตลอดทางที่ข้าไล่ตามมานี้ลำบากแค่ไหน หลังจากที่ข้าได้รับจดหมายที่เจ้าส่งมาจากท่าเรืออี้หนวี่ก็รีบไปที่ท่าเรือทันที…”

เฉินผิงอันถาม “คงไม่ได้ฆ่าคนกระมัง?”

หลิวป้าเฉียวมองค้อน “ฆ่าคนอะไรกัน พอไอ้หมอนั่นได้ยินว่าข้าคือหลิวป้าเฉียวก็รีบลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขนาดข้าคิดมาตลอดทางว่าจะตบบ้องหูเขาสักหลายๆ ทีก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ ได้แต่ไปที่ร้านด้านข้างซื้อฉากบังลมอันนั้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็ถามโน่นถามนี่ สืบสาวเบาะแสมาเรื่อย กว่าจะแน่ใจว่าเจ้าอยู่บนเรือหยางจือถังเที่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เลยตามมานี่ไงล่ะ”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

หลิวป้าเฉียวถามกลับ “ต้องมีธุระถึงจะมาหาเจ้าได้หรือไง?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “แล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระเจ้าก็จะไล่ตามมาตั้งไกลขนาดนี้?”

หลิวป้าเฉียวกล่าวเสียงขุ่น “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูเลย”

เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องเกี่ยวกับซูเจี้ยภูเขาตะวันเที่ยง คาดว่าศึกใหญ่นองเลือดสามครั้งบนภูเขาเจินอู่วันนั้น หลิวป้าเฉียวที่มองดูอยู่ข้างๆ คงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะสาดเกลือลงบนบาดแผล เดิมทีคิดจะถามว่าหลิวป้าเฉียวได้ไปเอากระบี่อาญาสิทธิ์ที่เมืองหลวงต้าหลีหรือไม่ แต่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลับยิ่งใหญ่ ไม่เหมาะที่จะถาม สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่ถามคำถามที่น่าเบื่อมากที่สุดว่า “เจ้าไม่มีธุระจริงๆ รึ?”

หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่มีอะไรจริงๆ ก็เพราะตอนนั้นข้ากลับจากต้าหลีมือเปล่า ผลคือพอกลับไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งร่วงสู่พื้นแล้วไม่ได้เจอเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาต้าสุย ภายหลังสวนลมฟ้าของพวกเราก็…สรุปคือหลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้หยุดว่างเลยสักเค่อเดียว เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำทุกวันนะ อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะเลื่อนขอบเขตออกจากด่านมาได้ไม่นาน หลังขอบเขตมั่นคงดีแล้วก็รู้สึกเบื่อมาก พอดีได้รับจดหมายกระบี่บินจากเจ้า เลยคิดว่าอย่างไรก็ควรมาพบหน้ากัน กระชับความสัมพันธ์พี่น้องให้แน่นแฟ้นมากขึ้น…”

เฉินผิงอันทนรับความกระตือรือร้นนี้ของหลิวป้าเฉียวไม่ได้มากที่สุด ก็เลยไม่ได้รับคำ

สายตาของหลิวป้าเฉียวแฝงแววตำหนิ ทำนิ้วเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้ ชี้ไปที่เฉินผิงอัน ดัดเสียงเป็นผู้หญิง “ไยคุณชายถึงได้ใจดำเช่นนี้ ตอนนั้นที่อยู่ใต้แสงจันทร์หน้าบุปผา ภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิด คุณชายเคยบอกว่าพวกเราจะจับมือพากันเดินทางไกล…”

เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าขยับก้นไปนั่งบนกรอบหน้าต่าง ยกมือสองข้างกอดอก สีหน้าไร้อารมณ์

ราวกับกำลังบอกว่าเชิญเจ้าทำให้ตัวเองและข้าเฉินผิงอันสะอิดสะเอียนได้ตามสบาย ข้าอยากจะรู้นักว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน

หลิวป้าเฉียวเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ก่อน เขาถอนหายใจเฮือก “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามาพบหน้ากันครั้งนี้ เจ้าก็ยังซื่อบื้อเหมือนเคย เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นของแจกันสมบัติทวีป ใครบ้างที่ไม่ตกตะลึงไปกับพรสวรรค์ของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่มองข้าเป็นตัวเลือกของคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน?”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ตอนอยู่ที่จุดพักม้า พอได้ยินว่าข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้า พวกคนที่อยู่ที่นั่นก็เปลี่ยนท่าทีมามีมารยาททันควัน แถมยังมีคนเดินมาส่งข้าที่หน้าประตูใหญ่ ถามข้าว่าจะให้ช่วยนำทางหรือไม่ กระตือรือร้นมากเลยล่ะ ทำราวกับว่าข้าคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมาก เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ฮ่าๆ”

มองเฉินผิงอันที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี หลิวป้าเฉียวก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย นี่มีอะไรให้ต้องอารมณ์ดีกัน? เพราะว่าชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของข้าหลิวป้าเฉียวเลยทำให้เจ้าเฉินผิงอันได้พึ่งใบบุญที่เล็กจ้อยเท่าเมล็ดงาน่ะหรือ?

เมื่อเฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้หลิวป้าเฉียว ผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมจนแม้แต่หลี่ถวนจิ่งยังต้องหันมามองเสียใหม่ก็เข้าใจเหตุผลในที่สุด

เมื่อเพื่อนร้ายกาจ เขาเฉินผิงอันจึงดีใจ

อันที่จริงเหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เพียงแต่ว่าโลกนี้ซับซ้อนเกินไป คนฉลาดมีเยอะเกินไป โดยเฉพาะเมื่อได้คบค้าสมาคมกับคนบนภูเขามามากจึงมักจะไม่เข้าใจเหตุผลที่เรียบง่ายมากที่สุด

ดังนั้นหลิวป้าเฉียวที่แม้ว่าเกือบจะฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองขั้นก็ยังไม่ดีใจจึงอารมณ์ดีไปพร้อมกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหน้าต่างตรงหน้าด้วย

หลิวป้าเฉียวอดย้อนมาถามใจตัวเองไม่ได้

หากเพื่อนของเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเจ้า ดีกว่ามาก ดีจนทำให้เจ้าได้แต่มองฝุ่นที่เขาทิ้งไว้ข้างหลัง ชั่วชีวิตก็ไล่ตามเขาไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นในใจเจ้าจะรู้สึกอึดอัดนิดๆ หรือไม่?

คำตอบทำให้หลิวป้าเฉียวพึงพอใจมาก ดังนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นสหาย เป็นพี่น้องกับเฉินผิงอันให้ได้

หลิวป้าเฉียวไม่ได้รั้งอยู่ต่อ อันที่จริงหลังจากที่เขาฝ่าทะลุขอบเขต เขาก็ถูกหวงเหอเจ้าสวนลมฟ้าคนใหม่บังคับยัดเยียดภารกิจอย่างหนึ่งของสำนักมาให้ จึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้เขาไปจัดการ แม้คำว่าจัดการนี้ก็คือการสั่งให้พวกผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไปทำก็ตาม หลิวป้าเฉียวลุกขึ้น ถามยิ้มๆ ว่า “ออกมาอยู่ข้างนอก ขาดเงินหรือไม่? ที่ตัวข้าพกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ เจ้าจะยืมไปก่อนไหม?”

พกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ…พูดอย่างกับพกเงินมาหลายตำลึงอย่างนั้นแหละ พ่อเศรษฐี!

เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกรอบหน้าต่าง ส่ายหน้าให้ “ไม่ล่ะ”

หลิวป้าเฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อน จำไว้ว่า คราวหน้าที่กลับถ้ำสวรรค์หลีจู เจ้าต้องไปหาข้าที่สวนลมฟ้า ไม่อย่างนั้นข้า…”

แล้วหลิวป้าเฉียวก็จีบมือเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้อีกครั้ง “จะต้องถูกบุรุษทรยศอย่างเจ้าทำร้ายจิตใจจนขาดใจตายแน่”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเจ้ายังพูดแบบนี้อีก ให้ตายข้าก็ไม่ยอมไปสวนลมฟ้า”

หลิวป้าเฉียวหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ แม้ว่ายังมีความทุกข์ใจที่บอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่งหลงเหลือตรงหว่างคิ้วก็ตาม เขาบอกลาจากไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง จึงหันหน้ากลับมา “ข้ามีเพื่อนที่สนิทมากอยู่ที่นครมังกรเฒ่าคนหนึ่ง เป็นคนที่เชื่อใจได้ หากเจ้ามีเรื่อง ส่งจดหมายกระบี่บินไปยังสวนลมฟ้าก็คงไม่ทันกาล ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปหาเขาได้อย่างสบายใจ เขาชื่อซุนเจียซู่ คือคนรวยอันดับสองของนครมังกรเฒ่า ข้าเคยพูดถึงเจ้ากับเขาในจดหมาย ดังนั้นขอแค่เจ้าบอกชื่อ เขาต้องยอมพบเจ้าอย่างแน่นอน อีกอย่างคนผู้นี้ต้องเข้ากับเจ้าได้ดีแน่!”

เฉินผิงอันตกปากรับคำอย่างว่องไว “ตกลง!”

“ไม่ต้องมาส่งข้า เกรงใจกันเกินไปแล้ว แถมยังดูห่างเหินด้วย วันหน้าพวกเราสองคนยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกมาก” หลิวป้าเฉียวเดินออกไปจากห้อง เห็นว่าไอ้หมอนั่นไม่มาส่งจริงๆ ก็ด่ากลั้วหัวเราะไปหนึ่งที หลังจากปิดประตู เขาไม่ได้ขี่กระบี่พุ่งจากไปในทันที ผู้ฝึกลมปราณเฒ่าที่รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากหยางจือถังลำนี้ยืนอยู่ตรงปลายทางอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงทางเดิน หลิวป้าเฉียวจึงวิ่งเหยาะๆ ไปหาเขา พูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่พักหนึ่งถึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ขี่กระบี่กลับไปทางทิศเหนือ

หนึ่งวันก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าเจอกับภาพเหตุการณ์ที่ปลาบินกระโดดพ้นเหนือทะเลมาบินกลางอากาศซึ่งหาได้ยากยิ่ง ปลาบินหลายล้านตัวที่มีปีกห้าสีบินกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆอย่างยิ่งใหญ่ เรือข้ามฟากหยางจือถังยังหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ แจ้งกับผู้โดยสารว่าจะหยุดพักครึ่งชั่วยามเพื่อสะดวกให้ทุกคนได้ชื่นชมภาพเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอธิบายว่าสาเหตุที่เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เพราะ ปลาบินทะเลใต้ที่มีชื่อว่า ‘ไฉ่หลวน’ (นกหลวนหลากสี) พวกนี้กำลังเฉลิมฉลองที่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเองมีปลาบินบางตัวมีปีกคู่หนึ่งที่สมกับคำว่าไฉ่หลวนอย่างแท้จริงงอกขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้ง

แต่หยางจือถังก็เตือนทุกคนว่าอย่าได้พยายามตามหาปลาบินที่พิเศษตัวนั้นเป็นอันขาด เพราะหากทำให้กลุ่มปลาบินโกรธเคือง เรือข้ามฟากต้องประสบหายนะอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดช่วยคุ้มกันเรือ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกันหยางจือถังก็เอ่ยปลอบทุกคนว่า ปลาบินไฉ่หลวนมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย แถมยังไม่เป็นภัยต่อผู้คน หากบินออกจากมหาสมุทรเข้ามาในชั้นเมฆยังเต็มใจที่จะใกล้ชิดกับผู้คนอีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นเรือข้ามฟากก็อาจถูกฝูงปลาบินมาบินล้อมวน ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ต่อให้ฉวยโอกาสนี้จับปลาบินมาไว้เลี้ยงดูสักสองสามตัวก็ยังไม่มีปัญหา ถือซะว่าเป็นกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก้อนหนึ่งที่หยางจือถังมอบให้กับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านก็แล้วกัน

แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังเดินออกจากห้อง มาที่ท้ายเรือ มองปลาบินไฉ่หลวนที่แหวกว่ายอย่างอิสระเสรี เมื่อเจอกับแสงอาทิตย์สาดส่อง ประกายแสงห้าสีบนร่างของพวกมันก็ไหลเวียนวน งดงามจนไม่อยากละสายตา

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ฟุบตัวลงบนราวระเบียงพลางดื่มเหล้าไปด้วย

แล้วก็จริงดังคาด ฝูงปลาบินไฉ่หลวนค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้เรือข้ามฟาก พวกมันชะลอความเร็วในการบินลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มีปลาบินที่ซุกซนขี้สงสัยบางส่วนบินเดี่ยวแยกออกจากฝูงมาอยู่ข้างกายผู้โดยสารบนเรืออยู่เป็นระยะ หากมีคนเอื้อมมือไปคว้า พวกมันจะเผ่นหนีไปไกลในเสี้ยววินาที แต่ก็มีบางส่วนที่ขยับเข้ามาใกล้มือคน หรือไม่ก็ถึงขั้นหยุดอยู่บนฝ่ามือนิ่งๆ ด้วย

อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน เพราะว่าอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาของพรรคหลิงซีตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นไฉ่อีก็ถักทอมาจากขนของปลาบินไฉ่อี เมื่อเอามาสวมบนร่าง หมื่นอาคมก็ไม่อาจกล้ำกราย ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือคนที่สวมอาภรณ์ไฉ่อียังสามารถทำให้กระบี่บินของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวถอยกลับออกไปได้เอง

เฉินผิงอันเองก็ทำตามทุกคนโดยยื่นมือออกไปนอกราวรั้ว

แต่กลับไม่มีปลาบินยอมเข้ามาใกล้เขาแม้แต่ตัวเดียว

จึงได้แต่หดมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน นอกจากดื่มเหล้าดับทุกข์แล้วยังจะทำอะไรได้อีก

เรือข้ามฟากเคลื่อนหน้าลงใต้ไปอีกครั้ง

สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของนครมังกรเฒ่า

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เดินทางจากทิศเหนือสุดมาจนถึงทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว

สะพายกระบี่มาตลอดทาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version