Skip to content

Sword of Coming 259

บทที่ 259 เบื้องบนยอดกลุ่มเขา มีเทพแห่งการต่อสู้

ตรงเอวของเฉินผิงอันห้อยป้ายไม้ที่ทำมาจากต้นกุ้ยหนึ่งแผ่น ด้านหน้าสลักประโยคพิลึกพิลั่นว่า ‘มีชีวิตอยู่ในแสงจันทร์ ทยอยกันเบ่งบานในโลกมนุษย์’ อีกด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘แขกกุ้ยสกุลฟ่าน’ ใช้คำว่าแขกกุ้ยไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติ (แขกกุ้ย 桂客 (กุ้ยเค่อ) ออกเสียงเหมือนคำว่า 贵客 (กุ้ยเค่อ) ที่แปลว่าแขกผู้มีเกียรติ แต่ กุ้ยเค่อคำแรกนี้ใช้กุ้ย 桂 ที่แปลว่าต้นกุ้ย กุ้ยฮวา) อีกอย่างแผ่นป้ายไม้กุ้ยที่ฟ่านเอ้อร์มอบให้เฉินผิงอันเองกับมือนี้ ยังแอบสลักตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันคำว่า ‘สหายฟ่านเอ้อร์’ ลงไปอีกด้วย นี่ต้องเป็นฝีมือของฟ่านเอ้อร์แน่นอน คนคนหนึ่งที่แอบขุดดินสองจินไปซ่อนไว้ใต้เตียง จะทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลก

เพียงไม่นานก็มีคนออกมาต้อนรับเฉินผิงอัน คือสตรีแต่งงานแล้ววัยกลางคนผู้หนึ่ง ระหว่างที่เดินเยื้องย่างมาไม่มีกลิ่นอายของเสน่ห์เย้ายวนใจคนแม้แต่น้อย แม้ว่าหน้าตาจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่บุคลิกกลับดีเยี่ยม เรียบง่ายสง่างาม อีกทั้งเมื่อเฉินผิงอันสังเกตบรรยากาศรอบตัวนางก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางคนหนึ่ง นางแนะนำตัวว่านางเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเรือเกาะกุ้ยฮวาในนาม พูดด้วยรอยยิ้มว่านางได้เปรียบที่อายุมากแล้ว คุณชายเฉินเรียกนางว่าน้ากุ้ยก็ได้ กุ้ยคำเดียวกับกุ้ยฮวา เฉินผิงอันจึงเรียกนางว่าน้ากุ้ยหนึ่งคำ แล้วพูดว่าเดินทางไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้คงต้องรบกวนแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้ายิ้มบางๆ “คนทำการค้าอย่างพวกเรา มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากอะไร”

นางชี้ไปยังแผ่นป้ายไม้ตรงเอวเฉินผิงอันแล้วอธิบายว่า “เมื่อมีป้ายแขกกุ้ยที่จะได้รับมาจากเจ้าประมุขเท่านั้นแผ่นนี้ ไม่ว่าคุณชายเฉินจะซื้ออะไรบนเกาะกุ้ยฮวาก็ล้วนลดเจ็ดส่วน”

จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รอยยิ้มมีความสนิทสนมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “คุณชายฟ่านฝากมาบอกข้าผู้เป็นน้าแล้ว ดังนั้นจึงจะแหวกกฎให้คุณชายเฉินอีกครั้ง ของทุกชิ้นลดราคาหกส่วน” (การลดราคาของจีนจะพูดกลับกัน ลดหกส่วน ความจริงแล้วคือลดสี่ส่วนในสิบส่วน หรือ 40% ดังนั้นยิ่งจำนวนตัวเลขน้อยก็จะยิ่งมีส่วนลดมากเท่านั้น เช่นลดสามส่วน เท่ากับว่าลด 70%)

แม้ว่าเฉินผิงอันจะพยักหน้ารับ แต่ในใจตัดสินใจแล้วว่า หากไม่ใช่สิ่งของที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ การเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนี้จะไม่ซื้อของอะไรเด็ดขาด ในเมื่อคนอื่นเห็นเจ้าเป็นสหาย เจ้าก็ควรจะเห็นคนอื่นเป็นสหายเช่นกัน ดังนั้นระหว่างเพื่อนที่แท้จริง การทำการค้าไม่ใช่เรื่องที่เฉินผิงอันถนัด เพราะไม่รู้ว่าจะกะระดับความพอดีได้อย่างไร

น้ากุ้ยสตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันเดินไปยังจวนใหญ่ประตูสูงที่มีชื่อว่ากุ้ยกง คอยแนะนำขนบธรรมเนียมประเพณีบนเกาะกุ้ยฮวาให้เด็กหนุ่มฟังไปตลอดทาง พูดถึงขนมกุ้ยฮวาและเหล้ากุ้ยจื่อให้เขาฟังโดยเฉพาะ บอกว่าจะต้องชิมให้มากๆ หน่อย ในเรือนเล็กของจวนเดี่ยวที่เฉินผิงอันไปพักมีอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ แค่ขอเอาจากแม่นางกุ้ยฮวาหรือก็คือสาวใช้ผู้รับผิดชอบดูแลเรือนก็พอ

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดื่มเหล้าน่ะข้าชอบ”

สตรีแต่งงานแล้วเหลือบตามอง ‘น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด’ ใบนั้นแล้วคลี่ยิ้ม “แบบนั้นก็ดี”

บนเกาะกุ้ยฮวามีต้นกุ้ยนับพันต้น ต้นบรรพบุรุษสูงเสียดฟ้าที่อยู่บนยอดเขามีอายุมากกว่านครมังกรเฒ่าซะอีก เซียนสำนักกสิกรรมบางคนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนำมาปลูกไว้ด้วยมือตัวเอง การที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถกลายมาเป็นเรือข้ามฟากลำหนึ่ง ต่อให้ผ่านระยะเวลามานานเป็นพันปีก็ไม่เคยมีความเสียหาย อีกทั้งเมื่อรากของต้นกุ้ยบนเกาะหยั่งรากแผ่ขยายลามออกไป บวกกับที่ตระกูลฟ่านใช้เวทอาคมที่พิเศษมาเพิ่มดิน เกาะกุ้ยฮวาจึงยังเติบโตได้อย่างเชื่องช้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของต้นกุ้ยฮวาบรรพบุรุษต้นนั้นทั้งสิ้น และการที่เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านขายมีราคาสูงเทียมฟ้า แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาด นั่นก็เป็นเพราะดอกกุ้ยฮวาที่นำมาหมักเป็นเหล้าเอามาจากต้นกุ้ยอายุพันปีต้นนั้น พ่อค้ารายใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับแจกันสมบัติทวีปและนครมังกรเฒ่าจะซื้อบ้างเป็นบางโอกาส โดยส่วนใหญ่จะนำไปมอบเป็นของขวัญหรือไม่ก็เก็บไว้ดื่มเอง

ผ่านประตูใหญ่ของเรือนกุ้ยกงมา สตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันเดินลอดระเบียงไปตลอดทาง ตัวเรือนไม่ได้ดูหรูหราโอ่อ่า แต่เป็นลักษณะแบบบ้านที่มีสะพานเล็กๆ พาดข้ามธารน้ำไหลริน สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันมาที่เรือนแห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่า ‘กุยม่าย’ (เส้นใยเครื่องกุย) เห็นเฉินผิงอันแหงนหน้ามองอยู่หลายครั้งจึงอธิบายว่า “เนื่องจากเส้นใยของดอกกุ้ยมีลักษณะคล้ายเครื่องกุยที่ใช้ในพิธีกรรมของลัทธิขงจื๊อ จึงเรียกว่ากุ้ย (桂 คือการผสมตัวอักษร คืออักษรต้นไม้ 木 กับอักษรกุย 圭) แม้ว่าพื้นที่ของเรือนแห่งนี้จะไม่กว้างขวาง แต่กลับเป็นสถานที่ที่ดีที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สุดของเกาะกุ้ยฮวา”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรไปเปล่าๆ ตนไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ปราณวิญญาณจะเข้มข้นหรือเบาบางก็ล้วนไม่มีความหมายต่อเขา ไม่สู้ยกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแบบนี้ให้คนจ่ายเงินเข้ามาพักอาศัยยังจะดีกว่า จึงพูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “น้ากุ้ย ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ยกให้ข้าคงสิ้นเปลืองเกินไป เปลี่ยนให้ข้าไปอยู่ที่อื่นดีกว่าไหม?”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่เรื่องของเงิน คุณชายเฉินวางใจได้เลย ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายเฉินกับนายน้อยตระกูลข้า ต่อให้วันหน้าสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นเรือนของคุณชายเพียงคนเดียว ไม่เปิดให้คนอื่นเข้ามาพักอาศัยอีก ข้าก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย”

ประโยคนี้ทิ่มแทงจุดอ่อนในหัวใจของเฉินผิงอันพอดี พอนึกถึงฟ่านเอ้อร์ เฉินผิงอันก็เดินเข้าไปในเรือนเล็กกุยม่ายที่สง่างามและเงียบสงบแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ

ในลานบ้านมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว เรือนกายของนางสูงสะโอดสะอง บุคลิกค่อนข้างเย็นชา ต่อให้เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังมีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่พอเห็นสตรีแต่งงานแล้วกับเฉินผิงอัน นางก็รีบคลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันทันทีและกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “คุณชายเฉิน ข้าชื่อจินซู่ จินจากจินเซ่อที่แปลว่าสีทอง ซู่จากซู่หมี่ที่แปลว่าข้าวโพด ซึ่งในตำราบอกว่ามีความหมายเป็นดอกกุ้ยฮวา วันหน้าข้าจะเป็นคนดูแลเรื่องการกินอยู่ของคุณชาย”

พอเด็กสาวผู้เย็นชาคลี่ยิ้มกลับให้ความรู้สึกเหมือนหนึ่งบุปผาเบ่งบานร้อยบุปผาร่วงโรย

เฉินผิงอันค่อนข้างจะระมัดระวังตัว เขายกมือขึ้นกุมประสานไปตามจิตใต้สำนึก “วันหน้าคงต้องรบกวนแม่นางจินซู่แล้ว”

จากนั้นเขาก็มีท่าทางผิดหวังเล็กน้อย รีบปลดกาเหล้าลงมาดื่มอย่างรวดเร็ว

สตรีแต่งงานแล้วเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าและท่าทางผู้คน จึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเด็กหนุ่มอย่างคนความรู้สึกไว แต่กลับไม่ได้คิดลึก มนุษย์บนโลกมีนับร้อยนับพันรูปแบบ เด็กหนุ่มจะมีเรื่องในใจบ้างก็เป็นเรื่องปกติ

สตรีแต่งงานแล้วบอกลาจากไป แต่กลับเจอคนคุ้นเคยคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงหน้าประตูโดยที่นางไม่คาดคิด และตามหลักแล้วเขาก็ไม่ควรจะมาปรากฎตัว เขาก็คือสารถีเฒ่าของตระกูลฟ่านที่ขับรถมาส่งเด็กหนุ่มสองคนเดินทางมายังเกาะกุ้ยฮวา สตรีแต่งงานแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยฟ่านยังมีเรื่องที่จะกำชับสั่งความอีกหรือ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับน้ากุ้ยท่านนี้ สารถีเฒ่าค่อนข้างจะให้ความเคารพอยู่ไม่น้อย เขาส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ได้รับคำสั่งจากเจ้าประมุขให้เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวพร้อมกับคุณชายเฉิน ระหว่างนี้ข้าคงต้องพักอยู่ที่เรือนเล็กกุยม่ายด้วย”

ความแปลกใจในดวงตาของน้ากุ้ยยิ่งเข้มข้น เอ่ยถามว่า “จะให้จินซู่ไปอยู่เรือนอื่นหรือไม่?”

สารถีเฒ่าพยักหน้ารับ “ทางที่ดีที่สุดควรเป็นเช่นนี้ ให้นางเลือกพักในเรือนที่อยู่ใกล้หน่อย ทุกวันแค่เอาอาหารมาส่งก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”

แม้ว่าจะยังสงสัยอยู่ไม่คลาย แต่น้ากุ้ยกลับไม่ได้พูดอะไรให้มากความ หันหน้าไปพูดกับจินซู่ที่สีหน้าเป็นปกติแล้วจากไปพร้อมกัน

สารถีเฒ่าไม่ลืมเอ่ยเตือนอีกประโยค “เจ้าประมุขสั่งความมาว่า คงต้องรบกวนฮูหยินกุ้ยอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือบอกให้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาแผ่ร่มเงาบางส่วนมาที่เรือนเล็กกุยม่ายแห่งนี้ด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนนอกลอบมอง”

น้ากุ้ยพยักหน้ารับ เด็กสาวจินซู่ที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเก็บหัวเชื้อดอกกุ้ยฮวามาร่วมร้อยกว่าดอกอดหันไปมองสารถีเฒ่าและเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะอีกครั้งไม่ได้

หลังจากที่น้ากุ้ยและจินซู่เดินออกจากลานบ้านไปแล้ว ลมภูเขาเย็นๆ ระลอกหนึ่งก็พัดโชยผ่านที่แห่งนี้มา ขณะเดียวกันก็มีร่มไม้เคลื่อนมาปกคลุมลานบ้าน เพียงแต่ว่าแค่แวบเดียวก็หายไป แสงแดดเจิดจ้ากลับคืนมาดังเดิม

สารถีเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์เรียกว่าท่านปู่หม่าหันหน้ามาหาเฉินผิงอัน พูดอย่างเปิดเผยว่า “ข้าชื่อหม่าจื้อ เป็นหนึ่งในชิงเค่อ (ในสมัยโบราณหมายถึงแขกที่เชิญมาอาศัยในบ้านของชนชั้นสูงหรือบ้านของขุนนางเพื่อให้ความช่วยเหลือในตระกูล) ของตระกูลฟ่าน ข้าคือมือกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง แต่พรสวรรค์ไม่สูง พลังการสังหารไม่แข็งแกร่ง ต่อให้เจอกับฉู่หยางข้ารับใช้ตระกูลฝูที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ครั้งนี้ข้าหม่าจื้อได้รับคำสั่งจากเจ้าประมุข แต่ว่าเจ้าประมุขได้รับการไหว้วานมาจากเถ้าแก่เจิ้งร้านยาฮุยเฉินอีกที ดังนั้นข้าจึงจะมาช่วยเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้กับคุณชายเฉิน”

พอได้ยินคำว่าเถ้าแก่เจิ้ง เฉินผิงอันจึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในการตอบแทนของเจิ้งต้าเฟิง จึงยกมือขึ้นกุมคารวะเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เข้ามาในลานบ้านขนาดเล็กแห่งนี้

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “ยังไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพักอยู่ในห้องปีกข้างของเรือนเล็ก วันนี้คุณชายเฉินพักผ่อนให้สบายก่อนเถอะ จะไปเดินเล่นบนเกาะดูก็ได้ ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้เริ่มฝึกกระบี่ คุณชายเฉินก็อาจจะไม่มีเวลาว่างเหมือนตอนนี้อีกแล้ว”

ผู้เฒ่าเดินเข้าไปในห้องหนึ่งที่อยู่ปีกข้าง พอปิดประตูลงแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “หากท่านเจิ้งไม่ได้ล้อเล่น ถ้าอย่างนั้นวิธีการรับรองแขกของเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านเราครั้งนี้ก็ออกจะเกินจริงไปหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์เด็กหนุ่มคนนั้นจะรับได้ไหวจริงๆ หรือ? ต่อให้ข้าหม่าจื้อจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวในกลุ่มของผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองมากแค่ไหน แต่ดีๆ ชั่วๆ ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้านะ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ก็มีกระบี่บินสีหมึกยาวชุ่นกว่าเล่มหนึ่งบินออกมาจากช่องโพรงลมปราณของผู้เฒ่า หลังจากเผยตัวมันก็เริ่มบินวนไปรอบๆ ผู้เฒ่าอย่างเชื่องช้า ปราณกระบี่เข้มข้นลากเอาลำแสงสีดำหลายเส้นยืดขยายมาตามหลัง

ในห้องอัดแน่นไปด้วยปราณกระบี่เย็นสะท้าน ไม่เหลือไอร้อนระอุของหน้าร้อนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

เฉินผิงอันพักอยู่ในห้องหลักฝั่งตรงกันข้าม หลังปิดประตูแล้วถึงได้แกะห่อสัมภาระที่เจิ้งต้าเฟิงโยนไว้ที่หน้าประตูออกอย่างระมัดระวัง

มีตำราเล่มหนึ่งที่ยังเหลือกลิ่นหมึกสดใหม่ การจัดพิมพ์รูปเล่มงดงามสมบูรณ์แบบ ตำรามีชื่อว่า ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มีความเป็นไปได้มากว่าเจิ้งต้าเฟิงอาศัยเส้นสายของตระกูลฟ่าน หาร้านพิมพ์หนังสือที่ไว้ใจได้ แล้วตัวเขาก็รวบรวมฉบับพิมพ์ให้เป็นเล่มด้วยตัวเอง ชื่อหนังสือสี่ตัวที่ปรากฏสู่คลองจักษุดูก็รู้ว่าตั้งใจเขียนมาก จนไม่อาจเอาไปคิดเชื่อมโยงกับเจิ้งต้าเฟิงคนที่ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชายได้เลย

นอกจากหนังสือ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนี้แล้ว ยังมีถุงเงินผ้าฝ้ายเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาอยู่อีกใบหนึ่ง ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว จำนวนเหรียญคงมีไม่มาก ประมาณสิบกว่าเหรียญ เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเงินร้อนน้อยหรือไม่ก็เงินฝนธัญพืช ผลกลับกลายเป็นว่าพอเปิดออกดู ทำเอาเฉินผิงอันตกใจรีบรวบปากถุงปิดเข้าหากัน ไม่นึกเลยว่าในถุงจะเป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เงินฝนธัญพืชต้องเรียกขานว่านายท่านใหญ่! เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมีมูลค่ามากแค่ไหน เฉินผิงอันรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร ภูเขาหลายลูกซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่วมาอยู่ในมือเขาได้อย่างไร? นั่นก็คือผลลัพธ์จากการที่โยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญแล้วเหรียญเล่าออกไปเบาๆ !

เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ได้นับจำนวนให้ชัดเจน ไม่ได้แยกแยะชนิดของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองด้วยว่าเป็นเงินก้งหย่าง? เงินอิ๋งชุน? เงินยาสุ้ย? หรือว่ามีครบทั้งสามชนิด? เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็เก็บมันเข้าไปไว้ในสืออู่วัตถุฟางชุ่นทันที

สุดท้ายคือป้ายหยกหนึ่งแผ่นและจดหมายหนึ่งฉบับ

ป้ายหยกไม่มีลวดลายหรือสลักถ้อยคำอะไรไว้ เป็นเพียงแค่ป้ายหยกสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เรียบง่าย แต่เนื้อสัมผัสนุ่มละเอียด ลูบคลำไปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผ้าแพรต่วนที่ดีที่สุดในโลก แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นของเก่าที่ดีมาก แต่ดีมากแค่ไหน ด้วยความสามารถในการมองของเฉินผิงอันเวลานี้ ยังมองไม่ออก

เฉินผิงอันเปิดจดหมายออกอ่าน ลายมือในจดหมายเหมือนกับลายมือที่เขียนคำว่า ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ จริงๆ เจิ้งต้าเฟิงต้องเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้เองแน่นอน ในจดหมายเขียนเรื่องที่สำคัญๆ อย่างเรียบง่าย บอกว่าคัมภีร์กระบี่เล่มนี้มรรคาไม่สูงส่ง แต่ก็ถือเป็นจุดสูงสุดของการเรียนวรยุทธ์แล้ว วิชากระบี่ที่บันทึกไว้ด้านในล้วนเป็นกระบวนท่าที่ปลดเปลื้องเปลือกนอกกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมที่เป็นจริง เหมาะให้คนดึงดันอย่างเฉินผิงอันตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างมาก เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสิบห้าเหรียญคือการใช้หนี้เงินห้าอีแปะ

ส่วนป้ายหยกแผ่นนั้น เจิ้งต้าเฟิงเขียนบอกไว้ในจดหมายแค่สามคำว่า วัตถุจื่อฉื่อ

นอกจากนี้ก็ไม่มีคำแนะนำอื่นๆ อีก ต้นกำเนิดที่มา วิธีใช้เป็นแบบใด ไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว

ทว่าต่อให้มีแค่สามคำนี้ น้ำหนักของมันก็มากพอแล้ว

ตอนนั้นที่เด็กหนุ่มชุยฉานเดินทางไกลไปยังต้าสุย สิ่งที่ราชครูต้าหลีผู้นั้นพกติดตัวไปด้วยก็คือวัตถุจื่อฉื่อชิ้นหนึ่ง

ช่วงท้ายของจดหมาย เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าเรื่องที่หม่าจื้อจะฝึกวิชากระบี่เป็นเพื่อนเขาเป็นแค่รางวัลเล็กๆ น้อยๆ จากการแลกเปลี่ยนสามอย่างเท่านั้น เพื่อให้เฉินผิงอันปรับตัวเข้ากับการ ‘ข่มกำราบ’ ที่มองไม่เห็นซึ่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งได้ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองจะเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ทั้งเป็นการชี้แนะวิชากระบี่ แล้วก็เป็นการสอนให้เฉินผิงอันรู้ด้วยว่าควรจะรับมือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งอย่างไร

พูดถึงเรื่องนี้เจิ้งต้าเฟิงกลับไม่ขี้เหนียวน้ำหมึก อีกทั้งยังแถมประโยคหลักการทำนองว่าคนที่ทนลำบากได้จะเป็นคนเหนือคนเพิ่มมาอีกสองสามประโยค ทว่าต่อให้เฉินผิงอันจะแค่ถือจดหมายฉบับนี้ไว้ในมือ แค่อ่านตัวอักษรเหล่านั้น ก็ยังจินตนาการได้ถึงรอยยิ้มชั่วร้ายเต็มใบหน้าตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเขียนจดหมาย เฉินผิงอันรู้ดีว่าเป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงรู้ถึงสิ่งที่หล่อหลอมเขามาตอนขอบเขตสาม ดังนั้นจึงไม่คิดจะให้ตนสุขสบายในขอบเขตสี่ คาดว่าตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉินคงกำลังชอบใจ พอคิดว่าเขาเฉินผิงอันจะต้องเจอกับความยากลำบากไร้ที่สิ้นสุดบนเรือเกาะกุ้ยฮวา เวลาดื่มน้ำเปล่าไอ้หมอนั่นก็คงคิดว่ากำลังดื่มสุราอยู่เป็นแน่

หาไม่แล้วผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็คงไม่บอกให้เฉินผิงอันเดินเที่ยวเกาะกุ้ยฮวาให้หมดเสียตั้งแต่วันนี้

หลุมนี้ที่เจิ้งต้าเฟิงขุดไว้ เฉินผิงอันจำต้องกระโดดลงไป

คัมภีร์กระบี่และป้ายหยกวัตถุจื่อฉื่อต่างก็ถูกเขาเก็บไว้ในไว้วัตถุฟางชุ่นอย่างเรียบร้อย

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อฉื่อของนางต่างหากที่เรียกว่ามากมายละลานตาอย่างแท้จริง

แต่พอนึกถึงเทพธิดานักพรตหญิงที่เดิมทีมอบความประทับใจแรกที่ดีเยี่ยมแก่เขาผู้นี้ ในใจเฉินผิงอันตอนนี้มีเพียงพยับเมฆเข้มข้นเท่านั้น

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งครั้ง ครั้นจึงออกจากบ้านไปเดินเที่ยวบนเกาะกุ้ยฮวา

มองจากยอดเขาลงไปข้างล่าง เรือข้ามฟากยังไม่ออกเดินทาง ตรงตีนเขายังมีผู้ฝึกลมปราณมากมายทยอยกันเดินขึ้นมาบนเรือ

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมาจากเบื้องล่าง เพ่งมองไปยังทิศไกล สามทิศล้วนเป็นทัศนียภาพยิ่งใหญ่งดงามของผืนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด เป็นภาพที่ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เมื่อมาอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพเช่นนี้ ความรู้สึกที่ตัวเองเล็กจ้อยก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าทวี

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

เรื่องที่เกี่ยวกับสองคำว่าแข็งแกร่งที่สุด

ผู้เฒ่าแซ่ชุยในเรือนไม้ไผ่บอกว่าขอบเขตสามของเขาแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

ไม่ใช่แค่ในแจกันสมบัติทวีป

และการพูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิงหลังจากนั้น อีกฝ่ายก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าหลี่เอ้อร์เคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่มีรากฐานแข็งแกร่งที่สุดและแน่นหนามากที่สุด เพียงแต่ว่าตอนนี้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ เฉินผิงอันจึงเดาเอาว่าหลี่เอ้อร์น่าจะสูญเสียคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไปชั่วคราว

เฉินผิงอันเหม่อมองไปไกลๆ ได้ยินชุยฉานเล่าว่าใต้หล้าไพศาลแห่งนี้กว้างใหญ่มาก มีห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทร เก้าทวีปใหญ่ แจกันสมบัติทวีป กุรุทวีป ธวัลทวีป นาตยทวีปและทวีปเกราะทอง เป็นต้น ทวีปเหล่านี้เป็นดั่งหมู่ดาวที่ห้อมล้อมอยู่รอบดวงเดือนอย่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่กว้างใหญ่ที่สุด และในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีราชวงศ์ใหญ่อีกหลายสิบราชวงศ์ ต้าหลีต้องฮุบกลืนพื้นที่ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้น อาณาเขตถึงจะพอเทียบเคียงกับราชวงศ์เหล่านั้นได้

เฉินผิงอันอดคิดไปถึงปัญหาข้อหนึ่งไม่ได้

เทพแห่งการต่อสู้ ขอบเขตสิบเอ็ดของวิถีวรยุทธ์มีอยู่จริงในใต้หล้าหรือไม่?

ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานแค่หัวเราะหึหึ ไม่ได้ให้คำตอบ

ทวีปเกราะทอง

ซากโบราณสถานสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่ปราณวิญญาณเบาบางอย่างถึงที่สุด เทวรูปใหญ่ยักษ์มากมายที่ ‘ตอนมีชีวิตอยู่’ สูงหลายสิบจั้งหลายร้อยจั้งล้วนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่มีองค์ใดที่โชคดี ร่างของพวกเขาทอดยาวเรียงรายต่อกันไปประหนึ่งเทือกเขาสายหนึ่งที่แตกสลาย

สถานที่แห่งนี้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามทางธรรมชาติของผู้ฝึกลมปราณในทวีป

มักจะมีพายุลมกรดม้วนตัวขึ้นท่ามกลางฟ้าดินอย่างไม่มีลางบอกเหตุเป็นประจำ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองเซียนพสุธาลงมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นไม่ต่างจากคมมีดที่เลาะหนังเถือกระดูก

ตรงพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งซึ่งเศษซากล้มกองอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าตอนที่เทวรูปซึ่งอยู่ในท่าจีบดอกไม้คลี่ยิ้มอย่างเมตตาล้มครืนลงไปบนพื้น ท่อนแขนทั้งท่อนยาวเสมอไหล่ได้หักออก ตอนที่ทั้งแขนร่วงลงไปบนพื้น ดอกไม้ที่นิ้วของพระพุทธรูปคีบไว้แตกสลายไปก่อน นิ้วทั้งห้าเหลือแค่สาม มีนิ้วข้างหนึ่งตวัดโค้งงอนชี้ไปบนฟ้า เพียงแค่นิ้วเดียวก็สูงถึงสิบกว่าจั้ง ไม่ต้องคิดก็จินตนาการได้ว่าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ พระพุทธรูปองค์นี้จะสูงใหญ่มากเพียงใด

เด็กสาวสวมชุดขาวเปลือยเท้าคนหนึ่งยืนอยู่บนนิ้ว ตาสองข้างปิดสนิท มือสองข้างทำมุทรา ยืนตระหง่านรับลม

รูปโฉมของเด็กสาวธรรมดา เหมือนเด็กสาวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่พบเห็นได้ทั่วไปคนหนึ่ง

เด็กสาวไม่ได้ลืมตา แต่ริมฝีปากของนางขยับคล้ายกำลังเอ่ยภาษาท้องถิ่นของทวีปเกราะทองเบาๆ ว่า “เปิด”

พายุหมุนลูกหนึ่งแยกออกเป็นสองส่วนเหมือนถูกคนผ่ากลาง แล้วพุ่งผ่านสองข้างของนิ้วมือหนึ่งของพระพุทธรูปไป มีเพียงเส้นใยถักทอเป็นตาข่ายที่กรีดผ่านข้างแก้มของเด็กสาวไปได้สำเร็จ บนใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยเลือดเป็นเส้นๆ ทันที เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวโฉมหน้าของเด็กสาวก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม

สายลมพัดผ่านเด็กสาว หอบเอากลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ลอยโชยไป

……

น่านมหาสมุทรแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับกุรุทวีป บนยอดเขาขนาดใหญ่ที่ลักษณะของภูเขาคล้ายเหล็กหมาดที่แทงขึ้นฟ้า มีเพียงบนยอดเขาเท่านั้นที่มีแอ่งเว้าทรงกลมลักษณะเหมือนปากถ้วย มองลงไปคล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แต่กลับพอจะมองเห็นได้ว่ามีแสงไฟสาดส่องอยู่ตรงผนังบ่อ ตรงกลาง ‘ปากบ่อ’ ของภูเขาไฟที่ยังปะทุลูกนี้มีชายฉกรรจ์ร่างกายเปลือยเปล่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินสีดำเมี่ยม เท้าคางด้วยมือข้างเดียวท่าทางกำลังใช้ความคิด รอบกายมีเพลิงลาวาไหลริน คลื่นร้อนเดือดพล่านแผดเผา แต่ชายฉกรรจ์กลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย

บุรุษเกิดมาก็มีดวงตาดำสองดวงซ้อนกัน

เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย พึมพำพูดว่า “ธรณีประตูขอบเขตร่างทองนี่ฝ่าไปยากไม่น้อย ต้องโทษที่ตัวเองกินยาวิเศษมากเกินไป? สองร้อยจิน? หรือว่าสามร้อยจิน? ดูท่าเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองแล้วคงไม่สามารถกินเจ้าของเล่นพวกนั้นแทนข้าวอย่างโง่งมได้อีกแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ถ่ายหนักทุกวันก็ยุ่งยากมากแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงเสียหน้าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกแย่”

กระบี่บินคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งจากปากบ่อแทงลงไปด้านล่างอย่างเงียบเชียบ บุรุษร่างกำยำนอนพังพาบอยู่บนพื้น กลิ้งไถลลงไปในทะเลเพลิงอย่างหมดท่า

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตซึ่งมีขนาดไม่ต่างไปจากกระบี่ของมือกระบี่ล่างภูเขาเล่มนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บินพุ่งไปทั่วรอบผนังของภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ ลงไปในทะเลเพลิง

หากอยู่ในพื้นที่แห่งอื่นของอุตรกุรุทวีป ด้วยตบะของเจ้าของกระบี่บินและระดับความคมกริบของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ เกรงว่าภูเขาทั้งลูกคงถูกแทงทะลุทะลวงไปนานแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่แห่งนี้ กระบี่บินที่ฟาดฟันก้อนหินของผนังบ่อกลับได้รับอุปสรรคขัดขวางอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวที่สะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลังคนหนึ่งยืนอยู่บนปากบ่อภูเขาไฟ หลังจากแทงกระบี่โดนชายฉกรรจ์ที่มีลูกตาดำสองชั้นไปหนึ่งครั้ง เสียงปานฟ้าผ่าของของผู้เฒ่าก็ดังก้องไปถึงด้านล่างของบ่อ “ในที่สุดก็หาตัวเจ้าเจอสักที เจ้าสารเลวสมควรโดนแทงพันครั้ง! เลิกแกล้งตายได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าดวงแข็งยิ่งนัก ไม่เป็นไร เจ้าเป็นคนเลือกสถานที่ตายไร้ทางหลบหนีแห่งนี้เอง หากตายอยู่ที่นี่ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกให้ฝัง ไม่แน่ว่าความวอดวายที่ติดตัวเจ้ามาอาจจะลดน้อยลงไปได้หลายส่วน”

ผู้เฒ่ายื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน อ้อมไปด้านหลัง ปาดลงบนด้ามกระบี่เบาๆ หนึ่งที

กระบี่ออกจากฝักพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ร่วงลงมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว พุ่งจากปากปล่องภูเขาไฟลงไปยังทะเลเพลิงผืนนั้น เมื่อกระบี่ยาวจมลงไปยังลาวาแดงฉาน เสียงกัมปนาทก็สนั่นกึกก้อง ลูกคลื่นเปลวไฟสูงหลายจั้งสาดกระเซ็นไปทั่ว

พอจะเห็นได้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆมีเงาร่างที่พร่าเลือนกำลังแหวกว่ายอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวเล่มนั้นก็เป็นเหมือนฉมวกแทงปลาที่ไล่ล่าตามจ้วงแทงไม่ลดละ

สี่ทิศรอบภูเขาไฟ แต่ละทิศล้วนมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นเขามา มีนักพรตเต๋าวัยชราที่ใช้ยันต์แปะไปบนหินก้อนแล้วก้อนเล่า มีหลวงจีนที่พนมสองมือเป็นตราประทับ จากนั้นก็ตบลงไปบนพื้นเบาๆ มีคนถือม้วนภาพวาดที่ดูเหมือนว่าจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุดม้วนหนึ่ง ลากจากตีนเขายาวขึ้นมาด้านบนประหนึ่งปูพรมบนพื้นดิน และยิ่งมีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวที่ในมือถือพู่กันกำลังสาดหมึกลงไปบนพื้น เขียนประโยคคำสอนของอริยะลัทธิขงจื๊อมากมายหลายประโยค

ผู้เฒ่าบนยอดเขาที่พยายามใช้กระบี่สองเล่มสังหารคนชั่วเอ่ยเย้ยตัวเองว่า “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง ไล่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพที่ยังไม่ถึงขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งกลับต้องเปลืองแรงมากถึงขนาดนี้”

พอผู้เฒ่าคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่สำนักของเขาเท่านั้นที่เดือดร้อน ยังมีคนบนภูเขาและล่างภูเขาอีกนับไม่ถ้วนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม ในใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองท่านนี้ก็เดือดดาลสุดขีด กล่าวอย่างมีโทสะว่า “คนที่ฆ่าผู้อื่นเพื่อความบันเทิงอย่างเจ้า ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ตายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!”

……

สองกองทัพเผชิญหน้า เสียงรัวกลองดังสะเทือนฟ้า

ในกองทัพใหญ่แห่งหนึ่ง บนหอสูงที่สร้างขึ้นชั่วคราวมีบุรุษสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งนอนหลับอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งนอน มองดูแล้วอายุไม่ถึงสามสิบปี มีดรุณีน้อยหน้าตางามล่มเมืองสองคนนั่งอยู่สองด้านของตั่งนอน คนหนึ่งช่วยนวดคลึงจุดไท่หยาง อีกคนหนึ่งก้มตัวทุบน่องให้บุรุษเบาๆ

ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือด้านหลังบุรุษมีธงใหญ่ของแม่ทัพหลักตั้งตระหง่าน เสียงผืนธงสะบัดตามลมดังพั่บๆ

หญิงสาวหน้าตางามล้ำแต่กลับมีกิริยาท่าทางเหมือนสาวใช้คนหนึ่งค่อยๆ ทุบน่องด้านนอกของบุรุษชุดแพรอย่างระมัดระวัง นางชำเลืองตามองสตรีอีกคนหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มพูดเสียงหวานว่า “คุณชาย ได้ยินว่าคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดคนหนึ่งและผู้ฝึกตนขอบเขตเก้าจากสำนักการทหารคนหนึ่งคอยช่วยคุมกองทัพให้ ดูท่าอดีตสามีของเสียซิ่วเรา คงจะรักเสียซิ่วมากจริงๆ ถึงได้บันดาลโทสะเพื่อสาวงาม ช่างน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก คุณชาย ไม่สู้ท่านคืนเสียซิ่วให้เขาไป กระจกแตกกลับมาประสานกันอีกครั้ง (ปรียบเทียบถึงสามีภรรยาที่พรัดพรากจากกันไป หรือทะเลาะกันกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง) ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไร…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีหน้าตางดงามก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก “ถึงอย่างไรคุณชายก็ชิมแม่นางเสียซิ่วของเราไปพอสมควรแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่เคยเต็มใจอยากแบ่งปันความเท่าเทียมกับเหล่าพี่น้อง นี่ไม่เท่ากับทำลายความสำราญของคุณชายหรอกหรือ? ใต้หล้านี้มีสตรีที่ไหนเผด็จการแบบนี้บ้าง”

โฉมสะคราญอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าเสียซิ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ใช้นิ้วหัวแม่มือสองข้างกดจุดไท่หยางของชายชุดแพรเบาๆ แล้วหมุนคลึงด้วยท่าทางนุ่มนวลระมัดระวัง

บุรุษชุดแพรยิ้มตาหยี “เสียซิ่วขี้อาย ข้าผู้เป็นคุณชายสงสารนาง ส่วนเจ้านั้นทนรับความลำบากได้ไหว หากข้าผู้เป็นคุณชายเอ็นดูเจ้าอย่างโง่งม เอาแต่สงสารเจ้าท่าเดียว ไม่เข้าอกเข้าใจสตรี เจ้าจะไม่ก่อกบฏหรอกหรือ?”

หญิงสาวที่ทุบขาคลี่ยิ้มเบิกบาน เลิกคิ้วใส่ ‘เสียซิ่ว’ ผู้นั้นเบาๆ

ฝ่ายหลังไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายท้าทายแม้แต่น้อย

บุรุษชุดแพรยกขาขึ้นเบาๆ “ถอดรองเท้าให้ข้า!”

วินาทีนั้นสายตาของหญิงสาวพลันเร่าร้อน ขยับไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตั่งนอน มือทั้งสองข้างที่สั่นเทาขยับปลดรองเท้าหุ้มแข้งให้บุรุษ

บุรุษลุกขึ้นนั่ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ทวีปฝูเหยาของพวกเราใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปนั่นแค่หน่อยเดียว น่าเบื่อชะมัด”

เขาเปลือยเท้า ยื่นมือสอดลึกเข้าไปในคอเสียของหญิงสาวที่ชื่อว่า ‘เสียซิ่ว’ สุดท้ายหยิบลูกกลมสีทองที่ยังมีไอร้อนของคนงามออกมาหนึ่งเม็ด บีบเบาๆ บนร่างก็สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเงินที่มักถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของสำนักการทหาร ที่น่าประหลาดก็คือเสื้อเกราะตัวนี้เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล และตรงหัวใจก็ยิ่งมีรูเล็กๆ รูหนึ่งเหมือนเคยถูกกระบี่ยาวแทงทะลุ

บุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะวิเศษไม่รู้ชื่อเดินไปข้างหน้าช้าๆ หลายก้าว แต่แล้วจู่ๆ ก็หันมาพูดกับสตรีที่ชื่อเสียซิ่วด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าเรื่องใดอดีตสามีของเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจตามเขาได้ทัน นั่นก็คือการทำรื่องตลก”

เขายื่นมือข้างหนึ่งชี้ไปยังธงผืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ห่างไปไกล มุมปากตวัดโค้ง พูดกับหญิงสาวว่า “ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เชิญผู้ฝึกกระบี่มาแล้วยังจะเชิญผู้ฝึกตนสำนักการทหารมาอีก คุณชายของเจ้าเกือบจะถูกเขาทำให้ขำตายซะแล้ว”

สาวงามที่ถอดรองเท้าให้บุรุษหนุ่มนั่งลงไปบนพื้น เอาหลังพิงตั่งนอน กุมท้องหัวเราะเสียงดัง ฉายเสน่ห์ชวนมอง

บุรุษหันไปทางกองทัพใหญ่ของศัตรู แหงนหน้าหัวเราะดังก้อง “ภรรยาของคนอื่นดี ภรรยาหม้ายของคนอื่นก็ยิ่งดี!”

บุรุษที่สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเหมือนน้ำค้างแข็งทะยานตัวขึ้นสูง แหวกอากาศจากไป กระโดดข้ามกองทัพใหญ่ของฝั่งตรงข้าม ลอยตัวอยู่เหนือหัวของกองทัพม้านับพันนับหมื่นนายประดุจสายรุ้งสีขาวที่พาดผ่านกลางนภา

……

ทางทิศเหนือสุดของธวัลทวีป พื้นที่ที่มีหิมะและน้ำแข็งขาวโพลนไร้ที่สิ้นสุด พายุหิมะพัดกระโชกแรงจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์

มีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมหนังเตียวสีขาวกระจ่าง บางครั้งเมื่อลมหิมะพัดมาก็จะกระชับเสื้อคลุมให้แน่นเข้า นั่นถึงทำให้เห็นว่าเรือนกายใต้ชุดคลุมเพรียวบาง เบื้องใต้หมวกขนเตียวขนาดใหญ่ที่กดลงต่ำเผยให้เห็นดวงตาใสสว่างคู่หนึ่ง

ตรงเอวของคนผู้นี้ห้อยดาบยาวฝักดำที่เผยให้เห็นเพียงส่วนเล็กๆ

นางมักจะคอยยื่นมือออกมาจากชุดคลุมตัวใหญ่ ใช้นิ้วโป้งลูบด้ามดาบเบาๆ

เผยให้เห็นข้อมือขาวนวลดุจรากบัว ดูเหมือนผิวของนางจะขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก อีกทั้งยังมีประกายแวววาวเปล่งแสงเป็นระลอก

น่าจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง

แต่นางกลับกล้าเดินทางอยู่ท่ามกลางแผ่นดินที่มีเพียงหิมะหนาวเหน็บเสียดแทงขั้วกระดูกเพียงลำพัง นางเดินอยู่ในทิศเหนือสุดของธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของเก้าทวีปใหญ่

ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งยังไม่กล้าประมาทมาเดินท่องอยู่ทางทิศเหนือเพียงลำพังแบบนี้

หญิงสาวควักหมั่นโถวลูกหนึ่งที่แข็งราวกับเหล็กออกมากัดกินเบาๆ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าตลอดเวลา

พื้นที่ที่หนาวเหน็บสุดขั้วของธวัลทวีปเงียบสงัดไร้ผู้คน แต่มักจะมีปีศาจใหญ่ปรากฏตัวอยู่เป็นประจำ อาศัยสภาพแวดล้อมที่ฟ้าอำนวยดินอวยพรจึงรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด ในบรรดาขอบเขตโอสถ นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ล้วนไม่มีใครยินดีมาที่นี่เพื่อโรมรันต่อสู้กับเหล่าเดรัจฉานปีศาจใหญ่ที่เจ้าเล่ห์ชั่วร้าย หากสร้างความโกรธเคืองให้กับเหล่าปีศาจก็มักจะถูกโอบล้อมโจมตี ถึงเวลานั้นนั่นแหละที่เรียกว่า เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบอย่างแท้จริง

หญิงสาวหยุดเดิน เพิ่งกินหมั่นโถวลูกนั้นหมดพอดี

ท่ามกลางลมหิมะที่พร่ามัวเบื้องหน้ามีศีรษะขนาดมหึมาของหมาป่าหิมะตัวหนึ่งโผล่ออกมา

เมื่อมันปรากฏตัว พายุหิมะในรัศมีร้อยลี้ล้วนหยุดนิ่ง

หญิงสาวขยับหมวกขนเตียว เงยหน้าขึ้น ยืนคุมเชิงอยู่กับหมาป่าหิมะที่สูงดุจภูเขาลูกย่อม

นางส่งเสียงเรอหนึ่งที

จากนั้นก็ยกดาบขึ้น

ครู่หนึ่งต่อมา ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นในฟ้าดิน นางจึงสอดดาบกลับเข้าฝัก

นางเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “ขอยืมหัวของเจ้าไปใช้หน่อย เอามาแลกเป็นเงินค่าเครื่องประทินโฉม”

เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้เบื้องหน้าหมาป่าหิมะตัวนั้น ร่างของปีศาจใหญ่ถึงจะเหมือนภูเขายักษ์ที่ถล่มครืนลงมา

นางมองศีรษะหมาป่าขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกตัดด้วยดาบเดียวอย่างลำบากใจเล็กน้อย นางจะต้องแบกหัวใหญ่ถึงขนาดนี้กลับไปเองจริงๆ หรือ?

ดังนั้นนางจึงหันกลับไปมองพายุหิมะที่อยู่ห่างไปไกล ยกมือกวักพลางตะโกนเรียก “เจ้า มานี่ ช่วยข้าเอาศีรษะนี้กลับไปที ถ้าเจ้าไม่ตาย ค่าตอบแทนของเจ้าก็คือศพทั้งหมดที่เหลืออยู่ของหมาป่าหิมะ”

หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินทางกลับ ด้านหลังมีวานรย้ายภูเขาตนหนึ่งแบกหัวหมาป่าท่วมเลือดด้วยสองมือเดินตามมา

ต่อให้บริเวณใกล้เคียงกับศพไร้หัวของหมาป่าหิมะจะมีปีศาจใหญ่หลายตนอยากลงมือช่วงชิงมาครอบครองเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าข้ามเส้นอันตรายออกไปแม้แต่ก้าวเดียว

……

ใต้หล้าไพศาลมีห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร แต่ละแห่งล้วนมีอาณาบริเวณกว้างขวาง

บนพื้นที่แห่งหนึ่งที่ ‘แผ่นดินยุบตัว’ พังถล่มลงไปก็ได้ถูกทะเลสาบผืนใหญ่ท่วมทับปกคลุม

ใต้ทะเลสาบมีซากปรักหักพังของสนามรบโบราณอยู่หนึ่งแห่ง บุรุษคนหนึ่งกำลังไล่จับวิญญาณวีรบุรุษที่จิตยังไม่ดับสลายแล้วเอาใส่ข้องจับปลาเล็กๆ ที่ห้อยไว้ตรงเอว

……

บนอากาศเหนือมหาสมุทรใหญ่แห่งหนึ่งที่สูงจนเหมือนว่าเพียงเอื้อมมือก็แตะม่านฟ้าของใต้หล้าไพศาลได้ สถานที่แห่งนี้มีทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ แบ่งออกเป็นสองชั้น ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันร้อยกว่าลี้ กลางทะเลเมฆที่อยู่สูงกว่ามีช่องโพรงเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ชายชราคิ้วยาวร่างผอมบางนั่งอยู่รูเมฆ ในมือถือคันเบ็ดตกปลาสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำให้หยดลงมาได้ แต่กลับไม่มีเส้นเอ็นตกปลา

เหนือทะเลเมฆชั้นที่อยู่ด้านล่าง ห่างจากผู้เฒ่ามาประมาณเจ็ดสิบแปดสิบลี้มีปลาวาฬเมฆหมอกฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่าทำท่าโยนสายเบ็ด ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องพอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีเส้นใยสีเงินยวงเส้นหนึ่งห้อยจากปลายบนสุดของคันเบ็ดสีเขียวมรกตลงมา เส้นใยนั้นเล็กบางจนแทบจะมองไม่เห็น

สายเบ็ดรัดพันร่างของปลาวาฬเมฆหมอกขนาดมหึมายาวหลายลี้ตัวหนึ่ง ปลาวาฬเมฆหมอกที่เกิดมาก็มีพละกำลังมหาศาลสะบัดดิ้นอย่างรุนแรง

ผู้เฒ่ากระชากคันเบ็ดไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นยืน คันเบ็ดถูกดึงจนตวัดเป็นวงโค้งน่าตกตะลึง ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไอ้ตัวดี! พละกำลังมากจริงๆ !”

ทั้งสองฝ่ายงัดข้อกันอยู่หนึ่งก้านธูป ผู้เฒ่าที่ถือคันเบ็ดวิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนทะเลเมฆพลางสบถด่าไปด้วย มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งที่สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นขอบเขตแปด

ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่จะฆ่าปลาวาฬเมฆหมอกสักตัวก็เหลือเฟือ ต่อให้คุมเชิงอยู่กับปลาวาฬเมฆหมอกกลุ่มหนึ่งก็ยังคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคง

แต่ความลี้ลับในการตกปลาของผู้เฒ่าอยู่ที่ว่า เขาใช้ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งรวบรวมขึ้นเป็นสายเบ็ดตกปลาที่เล็กบางราวเส้นผม ใช้สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวรับมือกับปลาวาฬเมฆหมอกตัวหนึ่งที่มีพละกำลังมหาศาลโดยที่สายเอ็นไม่ขาด นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าตกตะลึงที่สุด

เดิมทีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็อยู่ที่คำว่าชำนาญอย่างเต็มตัวอยู่แล้ว

……

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง วัตถุขนาดใหญ่มโหฬารที่เคยเป็นหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่แห่งใต้หล้าไพศาลล่มสลายลง ณ บัดนี้ โชคชะตาแห่งแคว้นขาดสะบั้น

โดยทั่วไปแล้วกองกำลังที่สามารถทำให้ราชวงศ์ใหญ่เช่นนี้ล่มสลายได้ มีเพียงบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเก้าราชวงศ์ใหญ่เท่านั้น

แต่ว่าครั้งนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เมืองที่แคว้นล่มสลาย ท่ามกลางวังหลวงมลังเมลืองที่ควันดินปืนผุดพุ่งไปทั่วทิศมีม้าตัวหนึ่งควบไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ทุกที่ที่ผ่าน ทหารและแม่ทัพฝ่ายบู๊ต่างก็พากันถอยกรูดหลบทางให้ราวกับกระแสน้ำลง

ม้าตัวนี้ควบตรงไปยังตำหนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปเก้าทวีป

ม้าศึกไม่ได้เยาะย่างลงบนบันไดสองฝั่งของผนังมังกรเข้าไปในตำหนักใหญ่ แต่กีบม้ากลับเหยียบย่ำลงบนภาพผนังมังกรโดยตรง ราวกับม้าป่าตัวหนึ่งที่เดินขึ้นเนินเขาที่ลาดเอียง

คนที่ขี่ม้ามีเรือนกายสูงใหญ่ สวมเสื้อเกราะสีทองอร่าม และสวมหน้ากากอำพรางใบหน้า

ในมือถือทวนยาวเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยอักขระยันต์ มีแสงสีทองไหลเวียนวน เมื่อเทียบกับทวนเหล็กของขบวนรบทั่วไปถือว่ายาวกว่ามาก

ม้าที่ควบขี่คือม้าหลงจวีที่เป็นทายาทของเจียวหลง ลักษณะไม่ธรรมดา หาได้ยากยิ่ง

แม่ทัพที่ขี่ม้าผู้นี้ยังห้อยกระบี่ไร้ฝักไว้ตรงเอวเล่มหนึ่ง กระบี่ยาวไร้ประกายคมกริบ มีแต่สนิมเกาะเกรอะกรัง ตัวอักษรเล็กๆ โบราณสองตัวที่พร่าเลือนสึกกร่อนแทบไม่เหลือสภาพดี

ก่อนหน้าที่ม้าจะควบเข้าไปในตำหนักใหญ่ จู่ๆ แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่สร้างคุณความชอบในการทำลายแคว้นผู้นี้ก็ยกแขนขึ้นสูง ชูนิ้วกลางขึ้นไปยังกลางอากาศสูง

แม่ทัพม้าทำท่านี้แล้วก็คล้ายรอการตอบรับจากท้องฟ้า แต่หลังจากดึงบังเหียนม้าให้หยุดนิ่งด้วยท่าทางสบายๆ ครู่หนึ่งก็กระแทกท้องม้าเบาๆ หนึ่งที เดินหน้าต่ออีกครั้ง เมื่อกีบม้าข้ามผ่านธรณีประตูตำหนักใหญ่เข้าไป สุดปลายสายตาที่แม่ทัพผู้นี้มองเห็นก็คือบัลลังก์มังกรที่ถูกขนานนามให้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในใต้หล้าตัวนั้น

แม่ทัพบู๊ก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวไร้ฝักหนึ่งที

ได้ยินว่าฝักกระบี่หายไปในสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป ตนควรจะให้คนไปเอากลับมา หรือควรจะไปด้วยตัวเองดี?

แม่ทัพผู้นี้ปลดหน้ากากและหมวกเหล็กลง

เส้นผมสีดำขลับทิ้งตัวสยายยาวเหยียด

นาง ไม่ใช่เขา

สตรีผู้เป็นเทพแห่งการต่อสู้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version