Skip to content

Sword of Coming 260

บทที่ 260 ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง

ตรงต้นกุ้ยโบราณต้นบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่ร่มรื่นจนไม่รู้สึกถึงไอร้อนแล้วก็ให้นึกถึงต้นไหวโบราณของที่บ้านเกิด เพียงแต่ว่าต้นกุ้ยตรงหน้ายังมีพุ่มใบหนาครึ้ม แต่ต้นไหวโบราณกลับไม่อยู่แล้ว หลังจากความรู้สึกเสียใจผ่านพ้นไป เฉินผิงอันก็ยิ้มเป็นสุข เขายังคงจำภาพที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแบกกิ่งไหววิ่งไปวิ่งมา หลี่เป่าผิงน่ารักร่าเริง ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เหมือนกับฟ่านเอ้อร์แห่งตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขทุกวัน คนทั้งสองต่างทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาอย่างมาก หวังว่าวันหนึ่งตนจะกลายเป็นคนแบบพวกเขา ไม่รู้ว่านี่จะถือเป็นการเลือกเอาตัวอย่างที่ดีของคนอื่นมาปรับใช้อย่างที่สอนไว้ในตำราของอริยะปราชญ์หรือไม่?

นอกจากเฉินผิงอันแล้ว ใต้ต้นกุ้ยโบราณยังมีผู้โดยสารที่มาขึ้นเรือข้ามฟากซึ่งจับกลุ่มกันสองสามคน ต่างก็เป็นแขกที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ละคนชี้ไม้ชี้มือใส่ต้นไม้โบราณสูงอายุต้นนี้ และยังมีหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกตำแหน่งเหมาะๆ ได้แล้วก็บอกให้ช่างวาดภาพส่วนหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาที่มาเตรียมรออยู่ตรงนี้โดยเฉพาะช่วยยกพู่กันวาดภาพให้กับพวกนาง และยังมีครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่งบอกให้จิตรกรผู้ฝึกลมปราณที่มีฝีมือเลิศล้ำช่วยวาดภาพครอบครัวให้กับพวกเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ก่อนหน้านี้ตอนนั่งอยู่บนรถม้าฟ่านเอ้อร์เคยเตือนเฉินผิงอันว่า แขกที่สามารถเดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปทำการค้าที่ภูเขาห้อยหัวได้นั้น ขอบเขตมีสูงต่ำ ชาติกำเนิดมีดีเลว แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันก็คือ คนเหล่านี้ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ต่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่คดเคี้ยวอ้อมไปอ้อมมา แต่ไม่ว่าใครก็สามารถยกเอาบุคคลยิ่งใหญ่หรือตระกูลเซียนออกมาข่มคนอื่นได้ เพราะนอกจากตระกูลฟ่านจะมีคลังทรัพยากรสองสามแห่งเป็นของตัวเองอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว แขกหลายคนที่ใจกว้างมือเติบก็มักจะมาฝากส่งสินค้ากับเกาะกุ้ยฮวาเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ไม่ขาดภูมิหลังและทรัพย์สินเงินทอง และบางคนก็อาจร่ำรวยจนเป็นเจ้าของแคว้นได้มากกว่าตระกูลฟ่านด้วยซ้ำ เพียงแค่ขาดโชควาสนาที่จะได้ครอบครองเรือข้ามฟากและเส้นทางการเดินเรือที่ปลอดภัยมั่นคงก็เท่านั้น

เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว ดังนั้นคำเตือนนี้ของฟ่านเอ้อร์จึงถือเป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร

ตอนนี้เฉินผิงอันกำลังยืนนิ่งๆ อยู่ไกลๆ รอจนนักวาดภาพวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดพู่กันและส่งมอบภาพวาดเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันถึงเดินขึ้นหน้า เดินสวนไหล่กับหญิงสาวที่สองมือประคองม้วนภาพวาดด้วยท่าทางเบิกบาน เขาชำเลืองตามองภาพวาดที่อยู่ในมือของผู้ฝึกลมปราณหญิงท่านนี้ ภาพวาดนั้นเหมือนตัวจริงอย่างยิ่ง ไม่ใช่แบบตายตัวขยับไม่ได้อย่างภาพเทพทวารบาลที่ติดหน้าประตูบ้านของที่บ้านเกิด เพราะเสื้อผ้าและเส้นผมของหญิงสาวบนม้วนภาพวาดสะบัดพลิ้วเชื่องช้า ใบไม้บนต้นกุ้ยก็ขยับกระเพื่อมเป็นระลอก แต่ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเฉินผิงอัน เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าจริงๆ ของหญิงสาวกับใบหน้าในรูปภาพมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ดูเหมือนว่านักวาดภาพจะช่วยเสริมเติมแต่งให้ดูดีขึ้น เฉินผิงอันทอดถอนใจชื่นชม เมื่อเทียบกับวิธีคัดลอกลายบนเรือคุนที่เคยโดยสารมาก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป

นักวาดภาพวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แล้วสะบัดข้อมือ ด้านหลังเขาก็มีแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งยกโต๊ะตัวเล็กออกมา พร้อมจัดวางสี่สมบัติในห้องหนังสือ

จิตรกรถามยิ้มๆ ว่า “คุณชายอยากวาดภาพด้วยหรือไม่? การเดินทางไกลข้ามทวีปของเกาะกุ้ยฮวาเราในครั้งนี้ ก่อนจะไปถึงภูเขาห้อยหัว ระหว่างทางต้องผ่านสิบทัศนียภาพ ทุกที่ล้วนมีความงามในแบบฉบับของตัวเอง หนึ่งในนั้นก็คือต้นกุ้บบรรพบุรุษต้นนี้ อาศัยบารมีของกุ้ยเซียน ภาพวาดที่พวกเราจรดพู่กันวาดลงไปจะมีกลิ่นหอมจางๆ อบอวล รับรองว่าหนึ่งร้อยปีสีก็ไม่ซีด อีกทั้งมดแมลงก็ทำลายไม่ได้ คุณชายจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”

ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกจากบ้านก็เก็บป้ายไม้แขกกุ้ยแผ่นนั้นไปแล้ว เขาพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากได้ภาพวาดสามภาพที่เหมือนกัน ขอถามท่านจิตรกรว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่?”

นักวาดภาพวัยกลางคนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เปิดเผยตัวตนจริงๆ หรือเป็นลูกหลานคนมีเงินที่ไร้ประสบการณ์ทางโลก คนทั่วไปอย่างมากสุดก็ต้องการแค่ภาพเดียว ไหนเลยจะอยากได้สามภาพรวด เพียงแต่ว่าใครก็ไม่รังเกียจเงินที่วิ่งเข้ากระเป๋าของตัวเอง จิตรกรจึงยิ้มบางๆ ตอบว่า “หนึ่งภาพสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากคุณชายต้องการสามภาพ ราคาจะถูกลง เก็บคุณชายแค่ยี่สิบห้าเหรียญเท่านั้น”

แม่นางกุ้ยฮวาที่รูปโฉมอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับจินซู่ในเรือนกุยม่ายยิ้มหวาน อธิบายเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากคุณชายมีป้ายไม้พิเศษของเกาะกุ้ยฮวา ยังสามารถลดราคาได้อีก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มี ข้าเป็นแค่แขกธรรมดา”

หนึ่งภาพสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สำหรับเฉินผิงอันที่ทุกครั้งต้องซื้อเหล้าที่ถูกที่สุดแล้ว นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่อยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลโข แต่วันนี้เฉินผิงอันกลับไม่มีความลังเลใดๆ เขาควักเงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญออกมาวางบนโต๊ะตัวเล็กที่แม่นางกุ้ยฮวาถือไว้ตามคำบอกของนาง เพราะจิตรกรตระกูลฟ่านจะไม่รับเงินผ่านมือตัวเอง จากนั้นจิตรกรวัยกลางคนก็บอกให้เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ย ต้องเปลี่ยนตำแหน่งติดต่อกันอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถึงหาตำแหน่งที่ดีที่สุดของทัศนียภาพนี้ได้ เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่นักวาดภาพจ้องมองมา เขามีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด นักวาดภาพเอ่ยปลอบใจด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรอยู่สองสามประโยคถึงผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แขนขาทั้งสี่ไม่แข็งทื่ออีกต่อไป แต่สีหน้ากลับยังเกร็งอยู่บ้าง จิตรกรไม่กล้าจู้จี้จุกจิกมากนัก คิดกับตัวเองว่าอย่างมากตอนที่จรดพู่กันวาดภาพ ตนแค่ตั้งใจให้มากหน่อยก็พอ

แม่นางกุ้ยฮวาคนนี้ยกยิ้มอย่างอดไม่อยู่ ในสถานที่ที่มีเทพเซียนมากมายมารวมตัวกันอย่างเกาะกุ้ยฮวา แขกที่ขี้อายเช่นนี้มีให้เห็นไม่มากนัก เคยมีชายหญิงบางส่วนที่ใจกล้าหน่อยถามว่าสามารถขึ้นไปยืนบนกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษให้จิตรกรวาดภาพยืนสูงมองไกลได้หรือไม่ ส่วนสตรีก็ถามว่าจะหักกิ่งต้นกุ้ยมาถือไว้ในมือได้ไหม แน่นอนว่าไม่ได้

นักวาดภาพวัยกลางคนยกพู่กันขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กระดาษเซวียนจื่อหายากที่มาจากแคว้นชิงหลวนแผ่นหนึ่งไหลลงมาจากบนโต๊ะเล็ก บินช้าๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แล้วลอยนิ่งไม่ขยับ ราวกับวางอยู่บนโต๊ะวาดภาพที่ราบเรียบ นักวาดภาพไม่ได้รีบร้อนจรดพู่กันลงบนกระดาษ แต่เริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง เขียนตัวอักษรต้องกดลึกสามส่วน (เปรียบเปรยถึงการเขียนพู่กันอย่างทรงพลัง) การวาดภาพบุคคลก็ต้องวาดให้มีชีวิตชีวา จับจิงชี่เสินของบุคคลที่วาดออกมาให้ได้

นักวาดภาพเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือพู่กัน สายตาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้ ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่ มือสองข้างที่กำเป็นหมัดแน่นวางทิ้งไว้ข้างลำตัวสองด้าน สายตาเป็นประกายเจิดจ้า ผิวคล้ำเล็กน้อย สวมรองเท้าสานคู่หนึ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายจนดูเหมือนยากจน แต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ทำให้คนมองรู้สึกสกปรกมอซอแม้แต่น้อย หุ่นก้านเมื่อเทียบกับบุรุษชาวใต้ที่แข็งแกร่งกำยำก็แค่เตี้ยกว่าเล็กน้อย บางทีหากอยู่ในแถบทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป นี่น่าจะเป็นหุ่นของเด็กหนุ่มเท่านั้น

แต่จิตรกรที่มีฝีมือชำนาญในการวาดภาพกลับสังเกตเห็นด้วยความตกตะลึงว่าตนไม่อาจจับจิงชี่เสินของเด็กหนุ่มได้ ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่มี แต่นักวาดภาพไม่แน่ใจ มักรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะจรดพู่กันวาดอย่างไรก็ยากที่จะวาดให้ถึงระดับ ‘คล้ายคลึงอย่างมาก’ ได้ นักวาดภาพไม่อยากปล่อยไก่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวที่แน่นอนแล้วกลับต้องมาผิดพลาดเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน) เงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญ เขาสามารถดึงมาได้ห้าเหรียญ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

นักวาดภาพวัยกลางคนได้แต่แข็งใจเริ่มวาดภาพโดยแสร้งทำเป็นว่ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ภาพเหมือนของเด็กหนุ่มภาพแรกบอกได้แค่ว่ารูปร่างภายนอกเหมือนมากเท่านั้น อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณอย่างเขาเลย ต่อให้เป็นจิตรกรทั่วไปในวังของราชสำนักล่างภูเขาก็ล้วนวาดได้ ตัวจิตรกรเองไม่พอใจอย่างถึงที่สุด แต่ความลำบากใจนี้กลับไม่อาจพูดมันออกมาได้

หลังจากวาดเสร็จ นักวาดภาพพักผ่อนเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนนั้นก็ปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาดื่มเหล้า ยิ่งดื่มเหล้าเขาก็ยิ่งผ่อนคลาย เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางของแผ่นดินทิศเหนือ ใบหน้ามีรอยยิ้มสุขใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คงนึกถึงเรื่องที่งดงามหรือนึกถึงใครบางคน พอดึงสายตากลับมาแล้ว เด็กหนุ่มก็ยกสองแขนขึ้นกอดอก ยืดอกตั้งตรง คลี่ยิ้มสดใส

จิตรกรชำเลืองตามาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ แรงบันดาลใจพลันบังเกิด รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร

ดังนั้นภาพวาดที่สองจึงดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน อารมณ์อันซับซ้อนของเด็กหนุ่มที่ต้องเดินทางไกลจากบ้านเกิดค่อยๆ ไหลพรั่งพรูออกมาจากปลายพู่กันของจิตรกร

ระหว่างที่นักวาดภาพวัยกลางคนหยุดพัก เด็กหนุ่มก็ดื่มเหล้าอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป ไม่ได้ยกสองแขนขึ้นกอดอก และดูเหมือนว่าไม่อยากให้น้ำเต้าบรรจุเหล้าปรากฎอยู่ในภาพวาดจึงแอบซ่อนเอาไว้ด้านหลัง ทว่าลักษณะพลังอำนาจที่มองไม่เห็นของเด็กหนุ่มกลับยิ่งหนักแน่นเข้มข้น คล้ายผู้ใหญ่ที่ต่อให้จากบ้านเกิดมาไกลแค่ไหนก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี

ภาพวาดภาพที่สาม ตัวจิตรกรเองค่อนข้างพอใจมาก

แม่นางกุ้ยฮวานำม้วนภาพวาดทั้งสามมาใส่แกนหยกขาวอย่างคล่องแคล่ว พอเฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ มาหา มองภาพทั้งสามภาพแล้วก็ดูเหมือนจะชอบใจมาก ไม่มีความเห็นต่างแม้แต่น้อย ตอนที่มอบภาพวาดให้เด็กหนุ่ม อันที่จริงนักวาดภาพวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย “หวังว่าคุณชายจะพอใจ”

เฉินผิงอันใช้สองมือรับม้วนภาพทั้งสามมา คลี่ยิ้มกว้างสดใส “ดีมากแล้ว! ขอบคุณนะ!”

นักวาดภาพวัยกลางคนรู้สึกโล่งอก ยิ้มตอบว่า “วันหน้าหากคุณชายยังอยากได้ภาพวาดสามารถนัดหมายข้าล่วงหน้าก่อนได้ ทิวทัศน์อีกเก้าแห่งของเกาะกุ้ยฮวาหลังจากนี้ ข้ารับรองว่าจะวาดให้ตรงเวลา ลดราคาให้คุณชายเก้าส่วนทุกภาพ ข้าชื่อซูอวี้ถิง คุณชายสามารถถามเอาจากแม่นางกุ้ยฮวาคนใดก็ได้บนเรือ ถึงเวลานั้นก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วบอกลาจากไป

อันที่จริงเฉินผิงอันเกรงใจที่จะบอกว่า เก้าทัศนียภาพบนทะเลหลังจากนี้คงมีโอกาสไม่มากแล้ว ดูจากท่าทางของเจิ้งต้าเฟิงที่หากไม่ขุดหลุมฝังเขาให้ตายก็ไม่มีทางยอมเลิกรา รวมไปถึงนิสัยชอบหาความทรมานใส่ตัวของเฉินผิงอันแล้ว หลังจากนี้เขาน่าจะไม่ได้ออกจากเรือนพักแม้แต่ครึ่งก้าว

กลับมาถึงห้องพักในเรือนเล็กกุยม่าย เฉินผิงอันจับพู่กันขึ้นเขียนจดหมาย ทุกขีดตัวอักษรยังคงเขียนอย่างตั้งใจ เน้นบรรยายอย่างเปี่ยมอรรถรส อย่าว่าแต่เปรียบเทียบกับชุยตงซานลูกศิษย์ของตัวเองเลย เกรงว่าแม้แต่หลี่เป่าผิงก็ยังเทียบไม่ติด

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเขียนจดหมายไปให้ที่สำนักศึกษาซานหยาและหลงเฉวียนบ้านเกิดคนละฉบับ เพียงแต่กลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน ถึงอย่างไรนครมังกรเฒ่าก็เป็นของคนแซ่ฝู เขาจึงไม่กล้าวู่วาม พอรู้ว่าบนเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านมีจุดพักม้าของตระกูลเซียนที่สามารถส่งข่าวผ่านกระบี่บินได้จึงคิดว่ารอให้ขึ้นเรือก่อนค่อยว่ากัน พอดีกับครั้งนี้บังเอิญมากที่ได้วาดภาพเหมือนสามภาพ จึงส่งภาพหนึ่งพร้อมจดหมายไปให้หลี่เป่าผิง ภาพหนึ่งส่งไปที่หลงเฉวียนบ้านเกิด ถึงเวลานั้นค่อยให้เด็กน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช่วยไปที่สุสานของพ่อแม่เขา เอาภาพวาดไปเผา ให้พ่อแม่ได้รู้ว่าตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก ดังนั้นตอนที่อยู่ใต้ต้นกุ้ยเฉินผิงอันถึงได้ซ่อนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้ จะให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ว่าเขากลายเป็นผีขี้เหล้าน้อยไปแล้ว

เขียนจดหมายสองฉบับเสร็จเรียบร้อย ม้วนภาพวาดสองภาพติดไปด้วย เฉินผิงอันก็ออกจากบ้านพักอีกครั้ง มุ่งหน้าไปที่จุดพักม้าของตระกูลเซียน คราวนี้เฉินผิงอันเจอกับแม่นางกุ้ยฮวาจินซู่ที่นอกประตู แม้เฉินผิงอันจะยืนกรานว่าจะไปส่งจดหมายที่จุดพักม้าด้วยตัวเอง แต่จินซู่ก็ยืนกรานว่าจะพาเขาไป แม้นางจะไม่ได้พักอยู่ในเรือนเล็กกุยม่าย แต่ก็ยังเป็นสาวใช้ของเรือน หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เฉินผิงอันยังต้องทำด้วยตัวเอง นางจะต้องถูกน้ากุ้ยและตระกูลฟ่านลงโทษแน่นอน เฉินผิงอันจนใจ จึงได้แต่ปล่อยให้นางติดตามไปด้วย ยังดีที่พอไปถึงจุดพักม้าแล้ว จินซู่ยังคงเงียบงัน ไม่สอดมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องใด ต่อให้เฉินผิงอันจะยังเก็บป้ายไม้แขกกุ้ยเอาไว้ จ่ายเงินเกล็ดหิมะด้วยสถานะของแขกทั่วไป หญิงสาวก็ยังทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

จินซู่มาส่งเฉินผิงอันถึงหน้าประตูเรือนเล็กก็หยุดเดินแล้วบอกลา กลับไปถึงเรือนพักของตัวเองเห็นว่าน้ากุ้ยอยู่ในลานบ้านของเรือเล็กที่เงียบสงบ ที่แท้พวกนางสองคนก็พักอยู่ด้วยกัน

ต่อให้เป็นผู้เฒ่าของเกาะกุ้ยฮวาก็ยังไม่รู้ว่า จินซู่คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสตรีวัยกลางคนผู้นี้

จินซู่นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสตรีแต่งงานแล้ว สตรีแต่งงานแล้วถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ? เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนั้น?”

ต่อให้เผชิญหน้าอยู่กับอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ จินซู่ที่เกิดมาก็มีนิสัยนิ่งขรึมเย็นชาก็ยังไม่มีรอยยิ้มส่งไปให้อีกฝ่าย “นิสัยประหลาดเล็กน้อย”

น้ากุ้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ายังอยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างเกาะกุ้ยฮวา อยู่แต่บนเรือข้ามฟากที่แล่นไปแล่นกลับบนท้องทะเล อันที่จริงโอกาสที่ได้รู้จักผู้คนจึงมีน้อยมาก จะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนแปลกก็เป็นเรื่องปกติ”

จินซู่ทำหน้ากระเง้ากระงอดเหมือนสาวน้อยอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำ พูดอย่างแง่งอนว่า “ข้าก็เคยลงเรือเข้าไปยังเมืองชั้นในมาหลายครั้ง เคยเห็นคนหนุ่มสาวมากความสามารถมากมายของนครมังกรเฒ่า”

สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะพรืด “จากนั้นก็หลงรักซุนเจียซู่ตั้งแต่แรกเห็น? ถึงขั้นปฏิเสธความหวังดีจากฝูหนันหัวอย่างไม่แยแส? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลฟ่านคาดหวังให้เจ้าสนิทสนมกับฝูหนันหัวมากกว่า? เพียงแต่ว่าถึงแม้ตระกูลฟ่านจะเป็นคนทำการค้า แต่ขนบธรรมเนียมของครอบครัวดีงามมาโดยตลอด ต่อให้เจ้าจะไม่รู้ความ เกือบจะก่อเรื่องสร้างหายนะ พวกเขาก็ยังไม่คิดจะทำให้เจ้าลำบากใจ ลองเปลี่ยนมาเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นในนครมังกรเฒ่าดูสิ? ป่านนี้เจ้าคงทนทุกข์ทรมานไม่น้อยแล้ว”

สีหน้าของจินซู่ดุดัน “ตระกูลฟ่านปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ในอนาคตข้าย่อมตอบแทนพระคุณของพวกเขา แต่หากกล้าบีบบังคับข้าในเรื่องนี้ ข้าจะ…”

ไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ สตรีแต่งงานแล้วก็โน้มตัวมาข้างหน้า ยื่นมือมาตบหน้าผากลูกศิษย์ตัวเองหนักๆ หนึ่งครั้ง โมโหจนกลายเป็นขำ “เลิกพูดจาวางโตไร้สาระเสียที ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตที่กว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้ต้องโซซัดโซเซเต็มที นึกว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้ายกาจจริงๆ หรือไง? หากพูดถึงแค่ด้านพรสวรรค์ เจ้าก็พอๆ กับคุณชายน้อยฟ่านนั่นแหละ อยู่ในนครมังกรเฒ่าอาจจะน่าตกตะลึง แต่หากเทียบกับทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ไม่ถือว่าอยู่ในอันดับสูงสุดแล้ว และหากนำไปเปรียบเทียบกับคนทั้งใต้หล้าไพศาล…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที คิดจะรับลูกศิษย์ ‘ที่น่าภาคภูมิใจ’ สมใจตนสักคนนั้นยากเพียงใด คิดจะให้ลูกศิษย์ฝ่าทะลุขอบเขต เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ดังนั้นในเรื่องการรับลูกศิษย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญอีกที เป็นรองแค่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนมรรคาของตัวเองเท่านั้น เซียนพสุธาขอบเขตสิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่นางรู้จัก เพื่อพิสูจน์สภาพจิตใจของลูกศิษย์ในอนาคตของตัวเอง ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยสิบปี มากสุดก็นานถึงร้อยปี หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะรับพิธีกราบอาจารย์จากลูกศิษย์คนนั้น

เด็กสาวผู้หยิ่งทระนงในตัวเองเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนนอก นางจึงลุกขึ้นย้ายตำแหน่งไปนั่งข้างสตรีแต่งงานแล้ว กอดแขนน้ากุ้ยพูดออดอ้อนว่า “ก็จินซู่ยังมีอาจารย์ที่ดีอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ”

น้ากุ้ยใช้นิ้วจิ้มหญิงสาวหนึ่งที เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะมีอาจารย์ที่ดี แต่ข้าน่ะมีลูกศิษย์เกเรที่ไม่เคยทำให้คนอื่นวางใจได้”

หญิงสาวกอดแขนสตรีแต่งงานแล้ว เอียงศีรษะพิงไหล่ของนาง พึมพำถามว่า “อาจารย์ ท่านว่าซุนเจียซู่ชอบข้าหรือไม่?”

น้ากุ้ยไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดแซวว่า “ฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว แต่หัวใจแรกรักยังอยู่”

ใบหน้าจินซู่เต็มไปด้วยความเขินอาย พูดเสียงกระเง้ากระงอด “อาจารย์!”

สตรีแต่งงานแล้วหันมาจ้องใบหน้าของลูกศิษย์นิ่งๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา “แม่นางที่หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ บุรุษจะไม่ชอบได้อย่างไร?”

จินซู่ฟังแล้วชอบใจ

แต่จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นบุรุษที่โดดเด่นแล้ว ซุนเจียซู่ยังเป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าด้วย คือบุรุษที่มีใจทะเยอทะยานอยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับกิจการและวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ที่สำนักการค้าฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเจ้าสองคนผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการจนได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน แต่หากแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อค้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้ามีแต่จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น”

สีหน้าของหญิงสาวหม่นหมอง

สตรีแต่งงานแล้วลูบเส้นผมสีดำขลับของจินซู่อย่างอ่อนโยน “ทัศนียภาพบนมหามรรคาดีงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่การเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเลือกทุกอย่างล้วนถือเป็นการฝึกตนทั้งสิ้น เดิมทีคนมีชีวิตอยู่บนโลกก็ถือเป็นการฝึกบำเพ็ญตนด้วยความยากลำบากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”

แต่แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม “อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ชอบคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน? เขาเป็นเด็กดีจะตาย หากเจ้าสามารถชื่นชอบเขาได้จากใจจริง ต่อให้อาจารย์จะไม่เหลือศักดิ์ศรี เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปนับพันปีที่มีกับตระกูลฟ่านจนหมดสิ้นก็จะต้องทำให้พวกเจ้าสองคนได้แต่งงานกันสมใจปรารถนาให้จงได้”

จินซู่ร้องโอ้ยแล้วรีบยืดตัวขึ้นนั่งตรง “อาจารย์ ท่านอย่าได้จับคู่มั่วซั่วเด็ดขาด คุณชายน้อยฟ่านผู้นั้นโง่งมจะตาย ไม่มีมาดน่าเกรงขามของวีรบุรุษแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่ทำเรื่องเหลวไหล หากข้าไปถูกใจเด็กน้อยอย่างเขา นั่นต่างหากถึงเรียกว่าถูกผีบังตามอมเมาจิตใจอย่างแท้จริง”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มส่ายหน้า

จินซู่พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ท่านลองมองดูสิ สหายที่ฟ่านเอ้อร์คบหาคนนี้น่าเบื่อแค่ไหน ทึ่มทื่อราวกับตอไม้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เคร่งขรึมตายตัวไปหมด คนแบบนี้ต่อให้ชาติตระกูลดีแค่ไหน ต่อให้ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขามากเพียงไร ความสำเร็จในวันหน้าก็ไม่มีทางสูงไปไหนได้หรอก”

สตรีแต่งงานแล้วทำท่าครุ่นคิด สำหรับเรื่องนี้นางทั้งไม่เห็นด้วยทั้งไม่ปฏิเสธ

……

พอกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง เฉินผิงอันไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจอีกจึงเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน

อันที่จริงไม่ต้องออกมาจากห้องผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็สามารถสังเกตเห็นการฝึกท่าหมัดของเฉินผิงอันได้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังผลักประตูเปิดออกมา ยืนชมวิชาหมัดของเฉินผิงอันอย่างเปิดเผย

เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา ยังคงฝึกวิชาหมัดเงียบๆ

ก่อนหน้าที่จะนั่งเรือข้ามฟากของแคว้นซูสุ่ย การฝึกหมัดท่าเดินนิ่งของเฉินผิงอันค่อนข้างจะช้า ตอนที่อยู่บนเส้นทางมังกรเดินระยะทางสองแสนลี้ รวมไปถึงตอนอยู่บนเรือข้ามฟากหยางจือถังในช่วงหลัง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยู่ในสภาวะที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูของขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดจึงเน้นที่ความไว หมัดที่นับรวมกันแล้วได้สามแสนครั้งเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็สามารถปล่อยออกไปได้เสร็จสิ้น

ตอนนี้เขาฝ่าคอขวดของขอบเขตสาม เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างแท้จริงแล้ว เฉินผิงอันจึงชะลอความเร็วในการออกหมัดลง

ขอบเขตสามหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือการหลอมลมปราณ ไม่ใช่การฝึกลมปราณของผู้ฝึกตน ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจิต วิญญาณและความกล้าสามอย่างนี้

ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนหอไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยพูดว่าขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินผิงอันนี้ ขอแค่ฝ่าขอบเขตไปได้สำเร็จ การหลอมลมปราณหลังจากนั้นก็จะเหมือนควบม้าเดินไปบนเส้นทางที่ราบเรียบ ไร้อุปสรรคขัดขวาง

สำหรับการหล่อหลอมขัดเกลาขอบเขตสี่ เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าว่างเปล่าล่องลอย ไม่เหมือนสามขอบเขตแรกที่เดินเหยียบเต็มฝ่าเท้าได้อย่างมั่นคง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งนัก ไม่รู้ว่าขอบเขตสี่ของตนถือว่าแน่นหนาพอแล้วหรือยัง

ผู้เฒ่าเคยแนะนำว่า ขอบเขตสี่ห้าหกของผู้ฝึกยุทธ์ ทางที่ดีที่สุดควรไปหาโชควาสนาเอาจากซากปรักของสมรภูมิรบโบราณ ลมเยียบเย็น กลิ่นอายชั่วร้าย พายุหมุนที่รุนแรง และลมปราณวุ่นวายที่มีต้นกำเนิดซับซ้อนยุ่งเหยิงล้วนเป็นของดีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะนำมาใช้หล่อหลอมจิตวิญญาณของตัวเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่าทนความลำบากอยู่ดี

นี่คือการต่อสู้กับฟ้าดิน

ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมลดระดับมาเอาสิ่งที่ดีรองลงมา นี่คือวิธีการเข่นฆ่าในสนามรบ เมื่ออยู่ในสมรภูมิ ยิ่งเป็นการต่อสู้นองเลือดเสี่ยงตายมากแค่ไหน ก็ยิ่งสามารถสัมผัสกับคำว่า ‘คนทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู’ ได้มากเท่านั้น

รองลงมาอีกถึงจะเป็นการเข่นฆ่าไล่ล่าในยุทธภพ เอาปรมาจารย์ในยุทธภพหรือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาเป็นหินลับดาบ ขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของตน

ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียนอัดแน่นเต็มฟ้าดินอย่างกำเริบเสิบสาน ผลักไสผู้ฝึกลมปราณทุกประเภทยกเว้นผู้ฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อกำเนิด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเลย ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธ์กี่มากน้อยที่ประมาณตนไม่ดีพอ หรือไม่ความสามารถของผู้ปกป้องมรรคาก็ไม่สูงมากพอ ด้วยความละโมบหวังให้ขอบเขตทะยานขึ้นสูงจึงพาตัวไปตายอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้เรียกร้องให้เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่เสียก่อนถึงจะไปที่ภูเขาห้อยหัว ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแห่งนั้น จากนั้นค่อยเดินลงมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่

ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันต้องอยู่บนกำแพงเมืองนานเท่าไหร่ ต้องกะประมาณความพอดีสักแค่ไหน พยายามปีนขึ้นไปบนหัวกำแพงให้ได้กี่รอบ ผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์

สายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้ามองแต่ที่สูง เมื่อร้อยปีก่อนเขาก็เลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบแล้ว ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องมองไปแต่จุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น

เป็นเหตุให้คำพูดที่ ‘พระวิสุทธิ์จารย์’ บนวิถีวรยุทธ์ต้องเน้นย้ำอยู่หลายรอบ ผู้เฒ่ากลับไม่เคยพูดกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว

ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาหลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามสี่ และขอบเขตหกเจ็ดที่เขาไม่เคยเอ่ยถึงแม้เพียงครึ่งคำ

รวมไปถึงความลี้ลับของบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกขอบเขต เขาก็ไม่เคยพูดเหมือนกัน

อันที่จริงยิ่งผู้เฒ่าพูดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งหวังสูงมากเท่านั้น

ลูกศิษย์ที่ข้าอบรมสั่งสอนมาด้วยมือของตัวเอง ขอบเขตเก้าจะนับเป็นอะไรได้? ขอบเขตสิบยังไม่มากพอเลย!

เจ้าเฉินผิงอันควรพุ่งตรงไปยังขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน!

ต้องทำให้แม้แต่ผู้เฒ่าชุยที่จิตใจสูงเทียมฟ้าอย่างข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าเฉินผิงอันคือแผ่นฟ้าที่อยู่เบื้องบน!

ทว่าเรื่องราวบนโลกก็มหัศจรรย์เช่นนี้ ผู้เฒ่าแซ่ชุยพูดน้อยมาก แต่เฉินผิงอันกลับยิ่งเข้าใจ

โชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าเกิดขึ้นสองครั้งติดในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ครั้งแรกเฉินผิงอันยังไม่รู้ประสา คิดเพียงว่าหมัดหนึ่งยังปล่อยไปได้ไม่สาแก่ใจพอ หลังจากนั้นพอรู้ความจริง ต่อให้ต้องเฝ้าคืนครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะรอให้โชควาสนาเยื้องกรายลงมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอถึงนาทีนั้นจริงๆ เฉินผิงอันกลับรู้สึกในฉับพลันว่า หมัดนี้ของตนยังต้องปล่อยออกไปอีกครั้ง!

จากนั้นก็ต่อยให้เจียวหลงแห่งทะเลเมฆที่จำแลงมาจากลมปราณสีทองพวกนั้นกลับขึ้นไปยังท้องฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็ไร้เหตุผลด้วยกันทั้งคู่

ทีแรกหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอสังเกตการปล่อยหมัดของเด็กหนุ่มนานเข้า ในที่สุดเขาก็มองเบาะแสออก

ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเห็นผี

จิต วิญญาณและความกล้าของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนนี้เริ่มมีเค้าโครงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว รอแค่การหล่อหลอมขัดเกลาเท่านั้น นี่หมายความว่าการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่สู่ขอบเขตหกจะไวมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค หากจะเน้นเอาที่ความเร็วในการไต่ทะยานบนวิถีวรยุทธ์อย่างเดียวก็สามารถทำให้คนที่มองอยู่ข้างๆ ตกใจขวัญกระเจิงได้เลย

หากไม่เป็นเพราะรู้มาก่อนว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อันที่จริงผู้เฒ่าก็คงไม่ตกตะลึงถึงขนาดนี้ แต่นี่ท่านเจิ้งพูดยืนยันอย่างชัดเจนว่าเด็กหนุ่มมีแค่ขอบเขตสี่เท่านั้น

ใต้หล้านี้มีขอบเขตสี่ที่ไหนที่ป่าเถื่อนเผด็จการถึงขนาดนี้?

ชิงเค่อตระกูลฟ่านท่านนี้ค้นพบว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในช่องลมปราณของตัวเองขยับเคลื่อนเหมือนอยากจะพุ่งออกมา

ผู้เฒ่าถึงขั้นมีความรู้สึกว่าอยากลองประชันฝีมือขอความรู้จากเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองขอบเขตที่เก้าของผู้ฝึกลมปราณ ออกกระบี่ต่อผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งอย่างจริงจัง?

ผู้เฒ่ากลัดกลุ้มยิ่งนัก รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ

แต่เพียงไม่นานผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ปล่อยวางได้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ ตนเป็นแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่งที่หลบอยู่ในนครมังกรเฒ่า จะเคยเห็นผู้มีพรสวรรค์ของเก้าทวีปสักกี่คนกันเชียว?

เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้าก็เป็นแค่หนึ่งในคนเหล่านั้นเท่านั้น

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความคิดประหลาด เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้าหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินนิ่งหกก้าวรอบหนึ่งจบจึงพลิกตัวหมุนกลับแล้วออกหมัดไม่หยุด แต่ปากก็ตอบคำถามว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

ผู้เฒ่าจึงได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มที่สามารถอาศัยเส้นสายมาขอให้ตนช่วยประลองกระบี่ด้วยคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนในลำดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีป จิตใจจึงทะเยอทะยาน อีกทั้งยังมีความเป็นเด็กหนุ่ม จึงไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ฉุกละหุกเกินไป เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและปณิธานเช่นนี้ ไม่น่ารังเกียจ

ผู้เฒ่าไม่รู้ว่า

เด็กหนุ่มที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ท่าหมัดที่หยาบๆ ท่านี้ เขาต้องฝึกมาแล้วหลายแสนครั้ง

……

ท่ามกลางแสงสนธยา เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาที่ก่อนหน้านี้ถูกเกาะใหญ่ยักษ์บดบังค่อยๆ ออกเดินทาง หากมีคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าแล้วทอดสายตามองมาไกลๆ ก็จะเห็นถึงโครงร่างที่ใหญ่มโหฬารของเรือข้ามฟากลำนี้

แน่นอนว่าหากยืนอยู่บนเกาะที่ตั้งโดดเดี่ยวกลางทะเลแห่งนั้นก็จะยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เหมือนกับที่ซุนเจียซู่เจ้าประมุขของตระกูลซุนกำลังทำอยู่

ออกจากนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ ซุนเจียซู่ไม่ได้บอกให้ข้ารับใช้ของตระกูลติดตามมาด้วย เพราะข้างกายเขามีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจากสวนลมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง หลิวป้าเฉียว

หลิวป้าเฉียวที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะรีบเร่งเดินทางมายังนครมังกรเฒ่า เวลานี้นั่งยองอยู่บนระเบียงของศาลาชมวิวบนเกาะ ทอดสายตามองไกลไปยังเกาะกุ้ยฮวา ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าและเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด เหนื่อยล้าเพราะเร่งขี่กระบี่ลงใต้มาตลอดทาง ร่างกายและจิตใจจึงอ่อนเพลียอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนความเซื่องซึมบนใบหน้าก็เพราะความคิดนับร้อยกำลังประดังประเดเข้าหากัน ความอัดอั้นขุมหนึ่งแล่นจากท้องขึ้นมาจุกที่ลำคอ อยากจะพ่นออกมา อยากจะระบายมันออกมา แต่ก็กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของเพื่อน

ซุนเจียซู่เอ่ยเบาๆ “ทำไมไม่ไปอธิบายกับเขาที่เกาะกุ้ยฮวา?”

ต่อให้หลิวป้าเฉียวจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่ตลอดทางมานี้เขาเดินทางออกจากสวนลมฟ้าอย่างรีบร้อน ขี่กระบี่มาไกลถึงขนาดนี้ ริมฝีปากจึงแห้งผากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขายื่นมือมาเช็ดหน้า ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าหรือจะมีหน้าไปพบเฉินผิงอัน”

ซุนเจียซู่เอนตัวพิงเสาศาลา นั่งอยู่ข้างกายหลิวป้าเฉียว ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ครั้งนี้ข้าผิดต่อเจ้า”

หลิวป้าเฉียวโบกมือ “โกรธก็ส่วนโกรธ แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล เฉินผิงอันเป็นแค่สหายของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่ได้เท่ากับว่าจะต้องเป็นสหายของเจ้าซุนเจียซู่ด้วย ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉินผิงอันจะมีความลับซุกซ่อนไว้มากมายขนาดนั้น ขนาดเจ้าซุนเจียซู่ยังถูกทรัพย์สินล่อลวงใจอย่างอดไม่ได้ อันที่จริงหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วนี่คือความผิดของข้า เป็นข้าที่ประเมินความสามารถของสหายอย่างเจ้าต่ำไป ซุนเจียซู่ เจ้าเองก็อย่ารู้สึกละอายใจเพราะข้าพูดเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย”

ซุนเจียซู่วางมือพาดไว้บนราวระเบียง หันตัวเบี่ยงข้างมองไป สายลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า บุรุษที่เดิมทีก็หล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งดูล่องลอยเหนือโลกโลกีย์ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เหตุผลเป็นเช่นนี้จริง แต่เดิมทีเรื่องราวไม่ควรเปลี่ยนมาเป็นย่ำแย่ถึงขนาดนี้ เจ้าทั้งไม่ด่าข้าแล้วก็ไม่เตะข้า เวลาอย่างนี้ยังพูดกับข้าอย่างมีเหตุผล เจ้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนที่ไม่ชอบยกหลักการมาพูดถึงขนาดไหน ข้าซุนเจียซู่รู้ดียิ่งกว่าใคร ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าจะตัดขาดกับข้าแล้ว ใช่หรือไม่?”

หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ เจ้าคิดมากไปแล้ว”

หลิวป้าเฉียวกระตุกมุมปากยกยิ้ม “จริงๆ นะ”

ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม “ครั้งนี้เจ้าหลอกต้มข้าเสียจนเปื่อย จะถือว่าเดิมทีใจข้าอยากใฝ่หาดวงจันทร์ แต่จนใจที่ดวงจันทร์ส่องสว่างร่องลึกได้หรือไม่?” (เปรียบเปรยว่าปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความหวังดี แต่คนอื่นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แยแส)

หลิวป้าเฉียวยังคงทอดสายตามองไปทิศไกล ยิ้มกว้างพูดว่า “เปรี้ยวนัก (อีกความหมายหนึ่งคือเจ็บแสบ) เปรี้ยวยิ่งกว่าผักดองของเฉินผิงอันเสียอีก”

ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม แต่ในใจกลับถอนหายใจ

คนทั้งสองคนลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับนครมังกรเฒ่า ซุนเจียซู่พาหลิวป้าเฉียวไปพักที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน

นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก บุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนที่เป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทรท่านนั้นก็ชื่นชอบหลิวป้าเฉียวเด็กรุ่นหลังผู้มีพรสวรรค์ของสวมลมฟ้าเป็นที่สุด

ในฐานะเซียนพสุธา ทุกวันนี้น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าจะกินอาหาร ทว่าวันนี้เขากลับมานั่งร่วมโต๊ะกินอาหารมื้อดึกกับคนหนุ่มสองคน อาหารบนโต๊ะทุกจานล้วนเป็นอาหารที่หลิวป้าเฉียวชอบกิน

หลิวป้าเฉียวคุยเล่นหยอกล้อกับบุรพาจารย์ตระกูลซุนไม่ต่างจากในอดีต คุยโวโอ้อวดได้โดยไม่มีความเขินอาย แถมยังเปิดเผยเรื่องน่าอายและข้อเสียของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง ทำเอาผู้เฒ่าที่ถูกหยอกหัวเราะฮ่าๆ อย่างมีความสุข

หลิวป้าเฉียวยังต้องรีบกลับไปที่สวนลมฟ้า กินข้าวเสร็จก็ห้อยเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆชิ้นนั้นแล้วขี่กระบี่จากไปทันที

ซุนเจียซู่ถือคันเบ็ดตกปลาอยู่ริมตลิ่งเงียบๆ ท่ามกลางม่านราตรี

กลางดึก จู่ๆ ซุนเจียซู่ก็เงยหน้ามองไปด้านบน

หลิวป้าเฉียวขี่กระบี่กลับมาที่นี่ พอพลิ้วกายลงด้านหลังซุนเจียซู่แล้วก็ถีบเจ้าประมุขตระกูลซุนคนนี้ร่วงลงไปในแม่น้ำ

จากนั้นผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าก็ไม่พูดไม่จา ขี่กระบี่มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปอีกครั้ง

ซุนเจียซู่เดินกลับขึ้นฝั่งด้วยสภาพเหมือนไก่ตกน้ำ แต่เขากลับยิ้มอารมณ์ดี

บรรพบุรุษตระกูลซุนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ กล่าวด้วยเจตนาอันดีว่า “ชีวิตนี้ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นอายุหกสิบปี ร้อยปีหรือพันปี ได้มีสหายอย่างหลิวป้าเฉียวสักคนก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าเขาให้มาก”

ซุนเจียซู่ปาดน้ำบนใบหน้าออก พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าก็เพิ่งเข้าใจวันนี้แหละ ท่านบรรพบุรุษ วันหน้าขอให้ข้าทำตามใจตัวเองสักครั้ง ทำเรื่องที่ซุนเจียซู่สมควรทำ แต่ใช้สถานะของเจ้าประมุขตระกูลซุนได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่าตอบรับอย่างไม่ลังเล “เหล่าบรรพบุรุษตระกูลซุนล้วนยินดีที่จะได้เห็น”

ซุนเจียซู่พลันหันมาโค้งคำนับผู้เฒ่า “ขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษที่เมตตา!”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ลุกขึ้น! ทำอะไรไม่เข้าท่า! เจ้าเด็กตัวเหม็น ตอนนี้เจ้าต่างหากที่เป็นประมุขตระกูล!”

ซุนเจียซู่หิ้วคันเบ็ดและข้องใส่ปลาเดินเร็วๆ กลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ แล้วก็ออกจากบ้านบรรพบุรุษตั้งแต่คืนนั้นเพื่อเข้าไปจัดการธุระในจวนตระกูลซุนที่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นใน

หลังจากซุนเจียซู่จากไปได้ไม่นาน ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของตระกูลซุนก็มาหาบรรพบุรุษตระกูลซุน พูดด้วยรอยยิ้มอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตระกูลซุนมีเจ้าประมุขเช่นนี้ ข้ายินดีจะต่อสัญญากับตระกูลซุนไปอีกร้อยปี”

ผู้เฒ่าตอบรับพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง

สุดท้ายผู้เฒ่าเดินไปที่ศาลบรรพชนเพียงลำพัง จุดธูปสามดอกเงียบๆ

……

ร้านยาฮุยเฉิน

ในเมื่อไม่ต้องไปรับโทษที่ศาลบรรพชน ฟ่านเอ้อร์จึงมาคุยเล่นกับอาจารย์เจิ้งอย่างเปิดเผย

ตอนที่เด็กหนุ่มมาเยือนถึงหน้าประตู ชายฉกรรจ์กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน หยอกเย้าสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งในร้านที่มีหุ่นอวบอัดอุดมสมบูรณ์ ถามนางว่าบุรุษบ้านนางที่ทำงานเป็นสารถี ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลับมาถึงบ้านยังมีเรี่ยวแรงเหลือหรือไม่ สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ร้านนานแล้ว จึงตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหวานว่า เตียงที่บ้านข้าต้องหาช่างไม้มาซ่อมตั้งหลายรอบแล้ว

ฟ่านเอ้อร์ที่ได้ยินประโยคนี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สตรีแต่งงานแล้วเขินอายเล็กน้อย ถึงอย่างไรการที่ตนพูดคุยต่อล้อต่อเถียงกับเถ้าแก่ร้านอย่างส่งเดชก็เป็นแค่การพูดเล่นหาเรื่องแก้เหงาเท่านั้น หากอยู่ต่อหน้าคนนอก นางไม่กล้าทำตัวเปิดเผยถึงขนาดนั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมปล่อยสตรีแต่งงานแล้วไปง่ายๆ เขาหันไปพูดกับฟ่านเอ้อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “วันหน้าหากบ้านเจ้าต้องการหาช่างไม้ไปช่วยซ่อมเตียงให้ล่ะก็ มาขอให้พี่สาวคนนี้ช่วยแนะนำคนรู้จักให้ได้นะ”

ฟ่านเอ้อร์ร้องอ้อรับหนึ่งที

จากนั้นในร้านก็เกิดเสียงโจมตีดังสนั่น บางคนบอกว่าจะไปหาเข็มกับด้ายมาเย็บปากเถ้าแก่ร้าน บางคนขู่ว่าต่อให้จ่ายเงินก็ไม่ทำอาหารให้แล้ว เจิ้งต้าเฟิงแค่เจ็บๆ คันๆ ฟังแล้วจั๊กจี้หูเท่านั้น เขาพาเด็กหนุ่มเดินไปที่เรือนหลังทั้งที่ยังหัวเราะร่า ก่อนที่คนทั้งสองจะนั่งลง ฟ่านเอ้อร์ก็ไปหากระบอกยาสูบแล้วใส่ยาเตรียมไว้ให้เจิ้งต้าเฟิงเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหลังพ่นควันออกมาเป็นวง พอนึกถึงว่าในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็ไสหัวออกไปจากนครมังกรเฒ่าเสียที เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีจริงๆ

ฟ่านเอ้อร์นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก ถามว่า “อาจารย์เจิ้ง งานแต่งตระกูลฝู ท่านจะไปหรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าบ่าวที่ต้องเข้าหอคือข้า ข้าก็จะไป”

ฟ่านเอ้อร์พูดเสียงค่อย “ได้ยินมาว่าว่าที่ภรรยาของฝูหนันหัวหน้าตา…ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่”

เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “บุตรสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลินจะไม่สวยได้หรือ? หากมาเป็นภรรยาของข้า ข้าผู้อาวุโสจะไม่ลงจากเตียงเลยคอยดู!”

ฟ่านเอ้อร์ไร้คำพูดโต้ตอบ

อาจารย์เจิ้งไม่ว่าอะไรก็ดีหมด แต่เป็นคนพูดจาโผงผางเหมือนขวานผ่าซากแบบนี้ ทำเอาเขารับไม่ค่อยไหวสักเท่าไหร่

หากพูดถึงแค่เรื่องคุยเล่นกับคนอื่น ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่คุยสนุกกว่า

จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “เฉินผิงอันเห็นเจ้าเป็นเพื่อนแล้วรึ?”

ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก!”

เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าพ่นควันกลุ่มใหญ่ สีหน้าคลุมเครือ “คนโง่มีโชคของคนโง่”

ฟ่านเอ้อร์เถียงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ที่มีขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงเทียมฟ้าอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ห้ามท่านพูดถึงเฉินผิงอันแบบนี้ เขาไม่ใช่คนโง่ เขาฉลาดมากเลยล่ะ ขนาดข้ายังต้องนับถือเขาที่ทำอะไรเป็นตั้งหลายอย่าง ข้ารู้สึกว่าการได้รู้จักเฉินผิงอันคือความโชคดีของข้า”

เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเด็กโง่ที่ขาดไหวพริบคนนี้ “มิน่าเล่าพวกเจ้าสองคนถึงเป็นเพื่อนกันได้”

เจิ้งต้าเฟิงทำสีหน้าเคร่งขรึม พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าเพิ่งจะแน่ใจในสองเรื่อง ฟ่านเอ้อร์ เจ้าจงฟังให้ดี”

ฟ่านเอ้อร์รีบยืดอกตั้งตรง เงี่ยหูรอฟัง

เจิ้งต้าเฟิงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “ศิษย์พี่ของข้า หลี่เอ้อร์ เคยเป็นขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ส่วนข้าเจิ้งต้าเฟิงเคยเป็นขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นหลี่เอ้อร์จึงให้กำเนิดบุตรชายหญิงคู่หนึ่งที่ได้ดิบได้ดีอย่างมาก แต่งงานกับสตรีที่…เรื่องนี้ไม่พูดถึงดีกว่า ส่วนข้าขาดอีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ในอดีตไม่เคยมีใครทำมาก่อนและในอนาคตก็จะไม่มีคนทำได้ นั่นคือเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรง ย้อนกลับมาดูขอบเขตสามของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาสามารถชักนำปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินให้เกิดขึ้นได้ถึงสองครั้ง รวมถึงดูจากทรัพย์สมบัติของเขาในเวลานี้ จึงมีคำพูดหนึ่งที่ถูกต้องและจริงแท้แน่นอน!”

ฟ่านเอ้อร์เบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าจริงจัง “ขอแค่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตใดก็ตามบนวิถีวรยุทธ์ในใต้หล้าไพศาล ก็จะได้รับโชควาสนามาอย่างต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด แน่นอนว่าหากคิดจะนั่งยองในห้องส้วมแต่ไม่ขี้ ก็ไม่ได้เหมือนกัน ควรจะฝ่าขอบเขตก็ต้องฝ่าขอบเขต หาไม่แล้วจะผิดต่อจุดประสงค์ของวิถีวรยุทธ์ กลับกลายเป็นว่าอาจเจอเรื่องไม่ดีแทน”

ฟ่านเอ้อร์ถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ หรือท่านอยากจะพูดว่าตอนนี้ข้าคือขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า? แต่พี่สาวข้าบอกว่าพรสวรรค์ของข้าธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย หรือเป็นเพราะสายตาของนางดีไม่เท่าอาจารย์? ฮ่าๆ มิน่าเล่าอาจารย์ถึงพูดว่าเพราะอย่างนี้ข้าถึงเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันได้ มิน่าล่ะๆ ที่แท้พวกเราก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามอันดับที่หนึ่งและอันดับที่สองของใต้หล้านี่เอง…”

เจิ้งต้าเฟิงไม่รู้ว่าโทสะพุ่งมาจากไหน เขาชี้ไปทางประตูที่มีม่านไม้ไผ่กั้นขวางแล้วด่าฉิวๆ “ไป ไสหัวไปนั่งตรงโน้นเลย”

ฟ่านเอ้อร์รีบยกม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงนั้นแต่โดยดี คิดในใจดูท่าตนคงคิดเตลิดไปไกลแล้ว

นี่เพิ่งจะคบค้าสมาคมกับเฉินผิงอันแค่ไม่กี่วัน เด็กที่แต่เดิมฉลาดเฉลียว จู่ๆ กลับกลายมาเป็นเด็กทึ่มขาดไหวพริบขนาดนี้แล้วรึ?

เจิ้งตาเฟิงสูบยาแรงๆ “อีกเดี๋ยวขอบเขตสามของเจ้าก็จะสามารถฝ่าไปได้อย่างราบรื่นแล้ว เมื่อไปถึงขอบเขตสี่ ข้าจะช่วยช่วงชิงโอกาสเสี้ยวหนึ่งนั้นมาให้เจ้า แม้ว่าจะเลือนรางเต็มที แต่จะดีจะชั่วข้าเจิ้งต้าเฟิงก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า ไม่ได้ห่างชั้นกับหลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้งมากเท่าไหร่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากข้าผู้อาวุโสจะเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำสักครั้ง จะยังมีเรื่องอะไรที่ข้าทำไม่ได้อีก!”

ฟ่านเอ้อร์กล่าวขลาดๆ “ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุด?”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็ไม่ได้ยกหัวสมองไปให้เจ้าคนแซ่เฉินนั่นด้วย”

สีหน้าเจิ้งต้าเฟิงเอาจริงเอาจัง แต่ในใจกลับแอบหัวเราะสนุกสนาน ขณะเดียวกันกับที่เจ้าเฉินผิงอันต้องทนรับความยากลำบากอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาและในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ยังต้องข้ามผ่านด่านใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไม่ต้องคาดหวัง แต่สำหรับเจ้าเฉินผิงอันแล้วกลับอันตรายอย่างถึงที่สุดไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เจ้าผ่านด่านนั้นไปได้ก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญอีก และสุดท้ายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตสี่กลับกลายมาเป็นฟ่านเอ้อร์สหายข้างกายของเจ้า ไม่ใช่ตัวเจ้าเอง แบบนี้น่าสนุกมากเลยใช่ไหมล่ะ?

หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในใต้หล้าไพศาลที่มีลูกรักแห่งสวรรค์นับพันนับหมื่นเดินอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์ ขนาดฟ่านเอ้อร์ที่มีพรสวรรค์ธรรมดาคนเดียวยังสู้ไม่ได้ เจ้าเฉินผิงอันก็อย่าหวังจะช่วงชิงขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรอีกเลย

และเวลานี้เอง ฟ่านเอ้อร์ที่อดกลั้นมานาน สุดท้ายกลั้นไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ตามคำบอกของท่าน เฉินผิงอันเป็นขอบเขตสี่แล้ว หากข้าแอบเป็นขอบเขตสี่อย่างลับๆ ล่อๆ วันใดวันหนึ่งจะปะทะกับเขาหรือเปล่า? อาจารย์ อันที่จริงการที่ข้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็เพราะตอนนั้นไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงอยากเป็นแค่ขอบเขตแปดที่อยู่สูงมากๆ แค่ทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณก็พอแล้ว ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรนั่น ข้าไม่มีความมั่นใจมากนัก อีกอย่างก็ไม่ได้อยากจะเป็นเท่าไหร่ด้วย…”

กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเจิ้งต้าเฟิง

เลือดอันเร่าร้อนและปณิธานยิ่งใหญ่ของเจิ้งต้าเฟิงต้องมาถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าทั้งอย่างนี้

ยังดีที่จิตใจของเจิ้งต้าเฟิงแข็งแกร่งเกินกว่าคนปกติทั่วไป หาไม่แล้วก็คงไม่มีขอบเขตอย่างในทุกวันนี้ เขาจึงมองว่านี่เป็นเพียงความคิดชั่วคราวของเขา และเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่น่าเบื่อเท่านั้น

เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้ม “อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ รอให้เจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก่อนค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นหากเจ้าเปลี่ยนใจก็มาบอกข้าได้”

ฟ่านเอ้อร์ยิ้มตอบ “ตกลง”

เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “รีบไสหัวไปซะ ปณิธานเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มี เห็นแล้วรำคาญลูกตา”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นหิ้วมานั่งกลับมาวางไว้ที่เดิม ตอนที่เดินไปถึงประตูม่านไม้ไผ่ก็หันหน้ากลับมาหัวเราะหึหึพูดว่า “ก็เพราะข้าชอบเสวยสุขเหมือนอาจารย์ไงล่ะ”

เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองค้อน

เด็กหนุ่มเดินผ่านร้านยาที่การค้าซบเซา พอสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายบอกลา เด็กหนุ่มก็ไล่โบกมือตอบรับไปทีละคน

หลังเดินออกมาจากร้านยาฮุยเฉินแล้ว ฟ่านเอ้อร์เงยหน้ามองสีท้องฟ้า ไม่รู้ว่าพี่สาวจะกลับบ้านเมื่อไหร่ หากครั้งนี้นางไปที่ต้าหลีทางทิศเหนือแล้วเจอกับพี่เขยที่เขาไม่ชอบขึ้นมา ตนคงน่าสงสารแย่ พี่สาวดี พ่อแม่ดี เหล่าบรรพบุรุษดี พวกเค่อชิงข้ารับใช้ทั้งหลายก็ดี อาจารย์เจิ้งดี เฉินผิงอันเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักก็ดี มีเพียงพี่เขยที่ไม่ดี? แบบนั้นจะน่ากระอักกระอ่วนสักเพียงใด

เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะ เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กเพียงลำพัง ฉวยโอกาสที่รอบกายไร้ผู้คนปล่อยหมัดมั่วซั่วที่เขาคิดว่าน่าเกรงขามมากที่สุด

น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาต้องยอมศิโรราบให้ตนแน่

พบกันคราวหน้าจะต้องเรียนรู้วีรกรรมของจอมยุทธ์ในยุทธภพ ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง!

ฟ่านเอ้อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี ยิ่งออกหมัดยิ่งเหมือนกระบวนท่าหมัดหวังปา ยังไม่ลืมร้องตะโกนเบาๆ ให้กำลังใจตัวเอง พอหยุดปล่อยหมัดก็จุ๊ปากพูดว่า “วิชาหมัดกระบวนท่านี้ต่อยแล้วสาแก่ใจดีจริงๆ !”

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตรอกเล็กที่อยู่ด้านหลัง ตรงหน้าประตูร้านยาฮุยเฉินมีเด็กสาวสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าคล้ายเพิ่งกลับมาจากเดินทางไกล นางกำลังดื่มเหล้ามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มพลางพึมพำเบาๆ ว่า “ชื่อฟ่านเอ้อร์นี้พ่อแม่ตั้งให้ไม่ผิดจริงๆ ทึ่มชะมัด”

……

บนเกาะกุ้ยฮวาที่ออกเดินทางไกลล่องอยู่บนมหาสมุทร เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในลานบ้านเรือนกุยม่ายท่ามกลางม่านราตรี

เขาหวังจริงๆ ว่าก่อนจะไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตัวเองจะสามารถฝึกหมัดได้หนึ่งล้านครั้ง!

หลังจากเดินนิ่งแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ฝึกไปจนถึงครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันถึงได้กลับเข้าไปในห้องพักของตัวเอง ช่วงอากาศร้อนจัด เด็กหนุ่มนอนอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ที่มีชื่อเสียงและราคาแพงซึ่งเย็นสบายราวกับสายน้ำ เขาวางกล่องไม้ไว้ริมเตียงตามความเคยชิน แค่เอื้อมมือไปก็หยิบถึง

หลับตาลง ค่อยๆ ล่วงเข้าสู่นิทรา

บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังมีรอยยิ้ม

เขาจะได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น ได้ไปฝึกวิชาหมัดบนหัวกำแพงแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version