Skip to content

Sword of Coming 261

บทที่ 261 ดวงจันทร์เหนือมหาสมุทร

ตอนที่ฟ่านเอ้อร์เดินออกจากตรอก หญิงสาวชุดเขียวที่อายุยังน้อยคนนั้นก็เดินเข้าไปในร้านยาฮุยเฉินแล้ว

เมื่อนางเดินเข้าไปร้าน เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังประชันความงามกันก็พลันสีหน้าหม่นหมอง พวกนางหันมามองหน้ากันเอง เมื่ออยู่ห้องเดียวกับหญิงสาวผู้นี้ ความละอายใจที่ตนเองสู้ไม่ได้พลันบังเกิดขึ้นมาในใจของพวกนาง

เมื่อเทียบกับความเกรงใจมีมารยาทของฟ่านเอ้อร์แล้ว สตรีผู้นี้ไม่ได้เป็นกันเองหรือเข้าถึงง่ายขนาดนั้น นางก้าวยาวๆ ไปตรงม่านไม้ไผ่ เดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้หญิงในร้านยาคนไหนกล้าส่งเสียงห้ามปราม

เจิ้งต้าเฟิงกำลังนั่งสูบยาอยู่บนขั้นบันไดหน้าห้องหลัก

หญิงสาวสวมชุดเขียวกวาดตามองไปรอบด้าน ยกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง ม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่งก็พุ่งจากใต้ชายคาห้องปีกข้างมาปรากฎอยู่ด้านหลังนางในเสี้ยววินาที แล้วนางก็นั่งลงเริ่มดื่มเหล้า

แน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องรู้จักคนผู้นี้ บุคคลแรกที่เขาได้พบเจอหลังจากลงใต้มาถึงนครมังกรเฒ่าก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลฟ่านที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ฟ่านจวิ้นเม่าผู้นี้

ห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าได้แก่ฝู ซุน ฟาง โหว ติง

ไม่พูดถึงฝูฉีเซียนพสุธาและตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น ตระกูลซุนมีชื่อเสียงเรื่องรากฐานลึกล้ำ มีเซียนพสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์

ตระกูลฟางที่แม้ว่าจะไม่มีก่อกำเนิดคอยสร้างความยำเกรงให้แก่ฝูงชน แต่กลับมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดสองคนและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าโอสถทองอยู่คนหนึ่ง ราชวงศ์ด้านล่างภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะในยุทธภพ ตระกูลฟางมีพลังอำนาจสูงสุด มีโรงรับจำนำ สำนักคุ้มกันภัย ร้านค้าโรงเตี๊ยมจำนวนมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อเทียบกับตระกูลฝูและตระกูลซุนแล้ว ตระกูลฟางได้รับผลประโยชน์น้อยนิดราวหัวแมลงวัน ใช้วิธีการสะสมจากน้อยจนกลายเป็นมาก

พลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดของตระกูลโหว เหล่าเค่อชิงข้ารับใช้ห้าขอบเขตกลางเหล่านั้นไม่ทำให้พวกเขาได้เปรียบใดๆ แต่มีบุตรอนุภรรยาคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปนานหลายปีได้กลายเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหู แม้ว่าหลังจากที่ออกจากบ้านไปแล้ว นักปราชญ์ผู้นั้นจะไม่เคยหวนคืนกลับบ้านเกิดมากราบไหว้บรรพบุรุษ แต่ตระกูลโหวก็ได้รับผลประโยชน์ลึกล้ำจากเรื่องนี้ ทุกปีจะต้องส่งคนไปเยี่ยมเพื่อคารวะสวัสดีปีใหม่ที่สำนักศึกษากวานหู

ตระกูลโหวนอกจากเรือข้ามฟากที่จะเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว ยังมีเส้นทางการเดินเรือจากนครมังกรเฒ่าไปยังอุตรกุรุทวีปมากที่สุด ระยะทางส่วนใหญ่ล้วนไม่ยาวไกล มีตั้งแต่หลายหมื่นลี้ไปจนถึงสามแสนลี้ ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางมังกรเดินที่สุดปลายทางทิศเหนืออยู่ที่แคว้นซูสุ่ยสายนั้น ตระกูลโหวก็ยึดครองไปแล้วถึงครึ่งหนึ่ง หลายพื้นที่รวมๆ กันแล้วก็มากพอไม่ให้ใครมาดูถูกได้

ตระกูลโหวมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซียนมากมายทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป เมื่อผ่านการดำเนินการอย่างยากลำบากมานานเกือบสองร้อยปี ก็สามารถช่วยประคับประคองช่วยเหลือสำนักบนภูเขาของที่แห่งนั้นได้หลายแห่งแล้ว

เดิมทีตระกูลติงเกือบจะถูกตัดชื่อออกจากห้าแซ่ใหญ่ เพราะถูกตระกูลหนึ่งที่ช่วงร้อยปีที่ผ่านมาลุกผงาดอย่างรุ่งเรืองคอยจ้องเขม็งหมายเข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะเมื่อตอนนั้นตระกูลติงสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับฉู่หยางบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตโอสถทองของนครมังกรเฒ่า ซึ่งก็คือบุคคลที่สร้างกระท่อมฝึกตนใกล้กับหอมังกร พลังต้นกำเนิดจึงเสียหายอย่างหนัก อำนาจและชื่อเสียงร่วงดิ่งลงเหว

แต่เวลานี้เอง คนหนุ่มผู้หนึ่งที่มาจากทวีปใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้กลับมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ตอนแรกที่เขาเข้ามาในนครมังกรเฒ่าอยู่ในสภาพตกอับชวนเวทนา มาถึงท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสร้างริ้วคลื่นใดๆ ให้เกิดขึ้นในนครมังกรเฒ่าได้ ก่อนจะออกไปจากนครมังกรเฒ่าก็ยังคงตกอับอยู่ดี

ทว่าในช่วงเวลาที่ตระกูลติงกำลังจะเสื่อมถอยล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง คนหนุ่มผู้นี้กลับมาถึงนครมังกรเฒ่าทันเวลา พาคนและเงินมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับตระกูลติง ถึงท้ายที่สุดก็แค่พาหญิงสาวคนหนึ่งจากไปด้วยเท่านั้น

เวลานั้นนครมังกรเฒ่าถึงเพิ่งรู้ว่าคนหนุ่มก็คือลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนที่ชื่อมีคำว่าสำนักระดับใหญ่สุดในอาคเนย์ใบถงทวีป วัยวุฒิของเขาสูงมากเป็นพิเศษ

หลังจากนั้นตระกูลติงที่อาศัยเส้นสายในใบถงทวีปจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา พอจะมีวี่แววว่าสามารถงัดข้อกับตระกูลซุนได้

มีเพียงตระกูลฟ่านที่ไม่อุ่นไม่ร้อน ไม่เคยดึงความสนใจจากใครได้

ในตระกูลไม่มีทั้งบุรพาจารย์ขอบเขตสิบก่อกำเนิด แล้วก็ไม่มีโอสถทองที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถลงมือให้ความช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง ยิ่งไม่มีเด็กรุ่นหลังที่พรสวรรค์เลิศล้ำ แต่ไหนแต่ไรมาก็เอาแต่ตามติดตระกูลฝูทุกย่างก้าว อาศัยร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่ อาศัยความสัมพันธ์ชั้นนี้จึงพอจะรักษาตำแหน่งหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่เอาไว้ได้

ดังนั้นตระกูลโหวที่มีความขัดแย้งกับตระกูลฟ่านถึงกล้าพูดว่าตระกูลฟ่านเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้านให้กับฝูฉีเจ้านคร คอยกินของเหลือเดนจากคนอื่นปีแล้วปีแล้ว กินไม่อิ่มแต่ก็ไม่หิวตาย เจ้าประมุขแต่ละรุ่นล้วนไร้ปณิธานยิ่งใหญ่ นอกจากเรื่องกินแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีก

ส่วนเจ้านครกลับยอมรับมาโดยตลอดว่าตระกูลฟ่านคือหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า แต่คนส่วนใหญ่ของนครมังกรเฒ่ากลับคิดว่าตระกูลติงเป็นตระกูลใหญ่สมชื่อมากกว่า ตระกูลฟ่านไม่ควรอยู่ในลำดับนี้ด้วย และอันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง

เจิ้งต้าเฟิงจ้องหญิงสาวชุดคลุมยาวสีเขียวที่นั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ห่างไปไม่ไกลผ่านกลุ่มควัน

สำหรับคนผู้นี้ ท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงรากฐานของนางอย่างละเอียด บอกแค่ว่าเมื่อมาถึงนครมังกรเฒ่าให้มาหานางก่อน แค่ทักทายให้เห็นหน้ากันก็พอ จากนั้นถึงค่อยไปพูดคุยเรื่องการค้ากับฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า

เจิ้งต้าเฟิงเคยชินกับความลึกลับคลุมเครือของผู้เฒ่ามานานแล้ว สูบยาสูบเป็นเช่นนี้ การกระทำของเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงคร้านจะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับสตรีที่ชื่อว่าฟ่านจวิ้นเม่า ตอนนั้นเขาใช้ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขั้นแปดไปสังเกตฟ่านจวิ้นเม่าก็เห็นแค่ว่านางเป็นผู้ฝึกตนอ่อนเดียงสาที่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ตอนนี้พอเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าแล้วลองมองประเมินนางอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงค้นพบว่าตอนนั้นตนมองผิดไป ฟ่านจวิ้นเม่าในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง

หญิงสาวเอาแต่ดื่มเหล้าไม่พูดไม่จา

เจิ้งต้าเฟิงจึงเงียบงันไปพร้อมกับนางด้วย ถึงอย่างไรหญิงสาวก็หน้าตาสะสวย เขาที่เป็นคนมองย่อมได้เปรียบ

แต่แล้วจู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ส่งเสียงจุ๊ๆๆ ดังเป็นระลอก “ร้ายกาจๆ เมื่อก่อนมักรู้สึกว่านครมังกรเฒ่าไม่ได้มีคนและเรื่องราวประหลาดเยอะอย่างเมืองเล็ก วันนี้ในที่สุดก็ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ แล้ว”

ที่แท้ตอนที่ ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ผู้นั้นดื่มเหล้าก็ได้เลื่อนขอบเขตสู่ขั้นสิบก่อกำเนิด กลายเป็นเซียนพสุธาในสายตาของชาวโลกด้วยเวลาเพียงครู่เดียว

แม้ว่านางจะพยายามกดข่มเบาะแสที่จะบอกให้รู้ว่าตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตไว้อย่างเต็มกำลังแล้ว แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ยังจับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ได้ ในใจจึงทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่หยุด

เขาแน่ใจอย่างยิ่งแล้วว่า

ผู้เฒ่าต้องคิดอยากได้ตัวคนผู้นี้อย่างแน่นอน

ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจเป็นหนึ่งในผู้ที่จะตัดสินแพ้ชนะในใจของผู้เฒ่ามานานแล้วก็เป็นได้

ในที่สุดฟ่านจวิ้นเม่าก็เปิดปากพูดประโยคแรก “วันหน้าเมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า เจ้าต้องฟังคำสั่งจากข้า”

เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้ว

หญิงสาวชุดเขียวลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะเสียงหยัน จากนั้นก็ทำท่าทางหนึ่งที่ประหลาดอย่างถึงที่สุด นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วทำท่าขว้างออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าน่าสะพรึงกลัว ใช้สองมือทำท่าจิ้มเข้าที่หัวใจของเจิ้งต้าเฟิงเบาๆ พูดเนิบช้า “สวบ ตายแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืน นาทีนี้เขาไม่ใช่เถ้าแก่ร้านยาที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกแล้ว

แต่เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่ร่วมศึก ‘ขอตาย’ ห้าครั้งกับหลี่เอ้อร์ อดีตคนเฝ้าประตูที่เคยสังหารคนที่มาค้นหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีต้าหลีอยู่นอกประตูเมืองเล็กไปหลายสิบคน

หญิงสาวยิ้มบางๆ “ตอนนี้ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้”

แต่ไม่นานนางก็เอ่ยเสริมเสียใหม่ว่า “แค่ชั่วคราว”

จากนั้นร่างทั้งร่างของนางก็กลายเป็นควันสีเขียวเข้มที่พุ่งไปยังชั้นเมฆ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลเมฆ

นาทีถัดมานางนั่งอยู่ริมทะเลเมฆ สองเท้าที่ห้อยอยู่กลางอากาศแกว่งเบาๆ เป็นเหตุให้ทะเลเมฆทั้งผืนกระเพื่อมขึ้นลงตามไปด้วย เหมือนเด็กสาวชาวบ้านที่นั่งไกวชิงช้า นางดื่มเหล้ามองไปทางมหาสมุทรผืนใหญ่

ดวงจันทร์ส่องแสงอยู่เหนือมหาสมุทร

ในดวงตาที่ใสกระจ่างของหญิงสาวซึ่งกำลังชมทัศนียภาพมองเห็นเป็นภาพนี้

……

ฟ้าเพิ่งจะสางเฉินผิงอันก็ออกมาฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านขนาดเล็กแล้ว ระหว่างฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงแสงรุ่งอรุณที่นอนแผ่อยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน

รอจนหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผลักประตูออกมา เฉินผิงอันก็เดินนิ่งเสร็จสิ้นแล้ว เขานั่งอยู่บนโต๊ะหินพลิกเปิดตำรา ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ออกอ่าน อันที่จริงระหว่างที่เฉินผิงอันฝึกหมัด เขาไม่เคยละเลยการเรียนหนังสือ มีทั้งหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ตัวเองซื้อมาระหว่างทาง แล้วก็มีบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำที่ ‘ขโมย’ มาจากห้องหนังสือจวนเจ้าเมืองแคว้นไฉ่อี แน่นอนว่ายังมีตำราพื้นฐานลัทธิขงจื๊อที่ซิ่วไฉเฒ่ามอบให้ บวกกับประสบการณ์การเดินทางร่วมกับลูกศิษย์ชุยตงซานทำให้เขาเข้าใจคำว่าคัมภีร์ที่แท้จริงมานานแล้วว่าไม่ได้เรียบง่ายตามที่พูดกันทั่วไปเท่านั้น เพราะการที่ตำราเล่มหนึ่งถูกเรียกว่าเป็นคัมภีร์ได้นั้น ถือเป็นคำเรียกขานที่ยิ่งใหญ่มาก จะถูกยกให้เป็นสุดยอดแห่งตำราที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยิ่งเพิ่มคำว่าแท้จริงเข้าไปก็ยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่

แม้ว่ามองดูเหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะเป็นคนที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ แต่กับเรื่องบางเรื่องเขากลับไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย

เจิ้งต้าเฟิงไม่ชอบเฉินผิงอัน แล้วเฉินผิงอันหรือจะชอบคนเฝ้าประตูเมืองเล็กผู้นี้?

ทว่าคนทั้งสองที่เกลียดขี้หน้ากันไม่ได้หมายความว่าจะมองเห็นแต่จุดที่น่ารังเกียจของอีกฝ่าย คนสองคนที่ชื่นชอบกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองเห็นแต่จุดที่ดีของกันและกัน

ก็เหมือนกับกู้ช่าน อายุยังน้อยแต่กลับเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ เฉินผิงอันกลัวมากว่าเมื่อเขาไปอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซู ติดตามใกล้ชิดกับสกัดคงคาเจินจวิน-หลิวจื้อเม่านานวันเข้า สุดท้ายกู้ช่านจะกลายไปเป็นคนในแบบที่ตนรังเกียจที่สุดตอนยังเป็นเด็ก หลี่ไหว ตอนที่เพิ่งออกจากเมืองเล็ก เขาคือต้นฉบับของเด็กเอาแต่ใจที่เก่งแต่ในบ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เวลาที่สหายถูกรังแก เขาจะกล้ายืดอกปกป้อง แตกต่างจากตอนเดินทางไกลไปยังต้าสุยก่อนหน้านี้ที่เอาแต่หลบเลี่ยงอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันหรือไม่? หลินโส่วอี แม้ว่าจะสุขุมเกินวัย คือวัตถุดิบชิ้นเยี่ยมในการฝึกตน มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตนไปตลอดทาง เฉินผิงอันก็ยังกังวลว่าการมุ่งมั่นฝึกตนเป็นเรื่องดี แต่หากคิดถึงแค่เรื่องการฝึกตนอย่างเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้ามหามรรคา แม้แต่สหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว จะถูกหลินโส่วอีมองเป็นเพียงอุปสรรคขัดขวาง เป็นเหตุให้เขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ยิ่งนานวันทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งห่างเหินกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำอย่างไร?

ยังมีเพื่อนรักของเขาอย่างหลิวเสี้ยนหยาง เมื่อนานมาแล้วอีกฝ่ายเคยป่าวประกาศว่าตัวเองจะต้องได้เห็นภูเขาที่สูงที่สุด เห็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดนอกบ้านเกิด ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่ยอมตายอยู่ในเมืองเล็กเด็ดขาด ถ้าเช่นนั้นหากหลิวเสี้ยนหยางเห็นภูเขายิ่งใหญ่และทัศนียภาพบนภูเขามาจนชินตาแล้ว เขาจะไม่เต็มใจกลับบ้านเกิดหรือเปล่า?

เฉินผิงอันมักจะมีความกังวลเช่นนี้อยู่เสมอ ดังนั้นเขาถึงได้รู้สึกอิจฉาความไร้ทุกข์ไร้กังวลของฟ่านเอ้อร์จากใจจริง

เฉินผิงอันไม่ค่อยเหมือนกับเพื่อนบ้านซ่งจี๋ซินและหม่าขู่เสวียนสักเท่าไหร่ คนทั้งสองถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่พอโบยบินแล้วก็ต้องทะยานสู่ฟ้าสูง หากเป็นของดีที่พวกเขาได้พบเห็นแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง ซ่งจี๋ซินอย่างมากก็แค่พูดแดกดันถากถาง ส่วนหม่าขู่เสวียนที่หากอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะต่อยให้แหลกละเอียดด้วยหมัดเดียว ในเมื่อข้าไม่ได้มาครอง เจ้าก็อย่าหวัง

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลง พลิกเปิดตำรากระบี่ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ที่เจิ้งต้าเฟิงตั้งชื่อให้ชั่วคราวเล่มนั้นต่ออีกครั้ง

หากบอกว่าคัมภีร์ที่แท้จริงคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าอย่างนั้นเวทกระบี่ก็เป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก เพราะเวทกระบี่คือทักษะการโจมตีที่ผู้ฝึกยุทธ์มือกระบี่เรียนรู้ และมักจะมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณเท่านั้นที่สามารถกล่าวถึงคำว่าวิถีกระบี่ได้ เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ถูกหม่าขู่เสวียนต่อยตาย อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย-ซ่งอวี่เซา ราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋-หลินกูซาน เซียนกระบี่แคว้นซงซี-ซูหลางล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ล่างภูเขา ซึ่งจะถูกนับรวมเป็นคนในยุทธภพ ไม่ถูกคนบนภูเขามองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน

ส่วนเจ้าคนที่สวมงอบ ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่ผู้นั้นคือข้อยกเว้น ทั้งๆ ที่ตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า แต่กลับชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ชอบพเนจรร่อนเร่ไปทั่วยุทธภพ

ตำรากระบี่เล่มนี้บันทึกเวทกระบี่ไว้แค่หกกระบวนท่า โจมตีและป้องกันมีอย่างละสองท่า ท่าจู่โจมคือกระบวนท่าหิมะทลายและท่าสยบเสินโถว กระบวนท่าป้องกันได้แก่ท่าขุนเขาและท่าห่มเกราะ อีกสองกระบวนท่าที่เหลือคือเวทกระบี่ที่ใช้หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของมือกระบี่ ไม่ได้ใช้สังหารศัตรู แต่ใช้บำรุงร่างกาย หนึ่งคือหล่อหลอม สองคือเข้าฌาน หล่อหลอมนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับท่าเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา เข้าฌานคล้ายคลึงกับท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หนึ่งขยับหนึ่งนิ่ง

ในบรรดาเวทกระบี่ทั้งหกท่านี้ เฉินผิงอันชอบกระบวนท่าหิมะทลายมากที่สุด การออกกระบี่รวดเร็วฉับไว คนขยับตามกระบี่ คล้ายพายุหิมะที่ซัดตลบปั่นป่วนจนคนมองตาลาย

เวทกระบี่หกกระบวนท่ามีรูปภาพประกอบหกรูป

กระดาษแผ่นที่มีภาพวาดค่อนข้างจะลึกลับและมหัศจรรย์ กระดาษแผ่นนั้นแตกต่างจากสีขาวหิมะของกระดาษแผ่นที่อยู่ข้างกัน สีกระดาษเป็นสีเงินอ่อน ภาพคนที่ถูกวาดไว้กำลังฝึกกระบี่อยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ท่าเริ่มต้นไปจนเก็บกระบี่ ทำซ้ำกลับไปกลับมาเป็นวงจรอย่างเอาจริงเอาจัง อีกอย่างในร่างของมือกระบี่ที่อยู่บนภาพวาดยังมีเส้นใยสีทองเส้นหนึ่งที่ไหลรินช้าๆ ไปตามวงโคจรที่พิเศษ

ต่อให้กระบวนท่าวิชากระบี่ในใต้หล้าจะมากมายซับซ้อนแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นท่าที่ตายตัว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์อ่านแค่ไม่กี่รอบก็สามารถฝึกให้เหมือนได้ถึงแปดเก้าส่วน ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่เส้นทางการโคจรลมปราณที่แท้จริงขณะออกกระบี่ และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเรียนวรยุทธ์ระดับสูงกลายมาเป็นวิชาที่ตระกูลหนึ่งต้องเรียนรู้ ลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธ์มีต้นกำเนิดมาจากช่องโพรงลมปราณตำแหน่งไหน ผ่านช่องโพรงกี่แห่ง สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งไหน ระหว่างนี้ต้องผ่านช่องลมปราณทั้งหมดทั่วทุกหนแห่งในรวดเดียว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงช้าหรือเร็วก็ล้วนพิถีพิถันอย่างมาก ล้วนเป็นหลักความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทำไมถึงมีคำเรียกขานว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอด? นั่นก็เพราะว่าจะไม่มีการเขียนบันทึกลงไปในตำราลับและกระดาษ แต่จะเป็นการสืบทอดกันปากต่อปากระหว่างอาจารย์และศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า

หน้าปกมีอักษรสี่ตัว ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’

คำนำมีหลายสิบตัวอักษร คร่าวๆ คืออธิบายถึงที่มาของตำรากระบี่เล่มนี้

เนื้อหาหลักอธิบายวิธีโคจรลมปราณของกระบวนท่าหกท่าไว้อย่างละเอียด

คำอธิบายประกอบมาจากความเข้าใจที่เจิ้งต้าเฟิงบรรลุมาเอง

เนื้อหาสี่ส่วน เจิ้งต้าเฟิงใช้วิธีการบรรยายสี่ประเภท งดงามเพริศพริ้ง เรียบร้อยสง่างาม กล้าหาญน่าเกรงขาม รวมไปถึงชดช้อยบอบบาง

บางจุดใช้หมึกหนาเข้มข้น ประหนึ่งสตรีโตเต็มวัยในร้านยาฮุยเฉิน บางจุดใช้หมึกเพรียวบาง บางจุดผสมผานทั้งหนาและบางเข้าด้วยกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็คือการโอ้อวดฝีมือในการเขียนพู่กันของเจิ้งต้าเฟิง

แต่จำต้องยอมรับว่าวิธีนี้ของเจิ้งต้าเฟิงทำให้เฉินผิงอันนับถืออย่างยิ่ง ในใจคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นคนเฝ้าประตูซึ่งวันๆ อยู่ว่างไม่ทำอะไร ทุกวันใช้กิ่งไม้ขีดเขียนลงบนพื้นก็ยังสามารถฝึกฝนฝีมือการเขียนพู่กันโดยมีรากฐานแน่นหนาได้ถึงเพียงนี้

หลังจากที่เฉินผิงอันปิดตำราลง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถถึงได้เดินช้าๆ มานั่งลงตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม “สถานที่แห่งนี้ได้ถูกร่มเงาของต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาบดบังภาพปรากฎการณ์เอาไว้แล้ว ขอแค่ความเคลื่อนไหวไม่มากเกินไป แขกบนเรือข้ามฟากที่อยู่ด้านนอกล้วนสัมผัสไม่ถึง เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ได้บอกขอบเขตของข้ากับเจ้าแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่จะประลองกระบี่ ก่อนที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะพูดเกริ่นนำมากสักหน่อย หากพูดถึงเรื่องที่เจ้าเคยรู้มาก่อนแล้ว เจ้าสามารถบอกกับข้าได้โดยตรง ข้าจะข้ามไปเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม

ผู้เฒ่าจึงเริ่มเอ่ยเนิบช้า “บนภูเขามีคำพูดกล่าวว่า หกสิบปีฝึกลมปราณแก่เฒ่า ร้อยปีฝึกกระบี่ยังเด็ก คำกล่าวนี้ก็คือบอกว่าผู้ฝึกลมปราณที่อายุหกสิบปีแล้วเพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนอะไรแล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกถ้ำสถิตที่ต่อให้ตอนฝ่าทะลุขอบเขตจะอายุสูงถึงหนึ่งร้อยปี ก็ถือว่ายังเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุน้อยมีความสามารถ อนาคตสดใสราวกับปูด้วยผ้าแพร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”

ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเปิดปากพูด ผู้เฒ่าที่ถามเองก็ตอบเองว่า “ง่ายมาก ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรามีพลังการสังหารสูงมาก เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า การเป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ใช่เรื่องง่าย จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งต้องมีพรสวรรค์ สุดท้ายจะสามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้หรือไม่ก็คือธรณีประตูใหญ่อีกแห่งหนึ่ง และกว่าจะหล่อเลี้ยงกระบี่บินออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว จะสามารถเลี้ยงให้บรรพบุรุษน้อยที่กินภูเขาเงินภูเขาทองท่านนี้มีชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ยากบวกยากเข้าไปอีก ข้าหม่าจื้ออายุสองร้อยเจ็ดสิบปี เมื่อแปดสิบปีก่อนก็เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองแล้ว ตอนนั้นยังก่อให้เกิดความครึกโครมไม่น้อยในนครมังกรเฒ่า ห้าสกุลใหญ่มีสี่สกุลที่พร้อมใจกันเชื้อเชิญให้ข้าไปเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ตระกูล…บุรุษที่ดีไม่พูดถึงความกล้าหาญในอดีต ไม่พูดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แล้ว จะบอกแค่ว่าตอนนั้นที่ข้าฝ่าทะลุขอบเขตก็เข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว นั่นคือชั่วชีวิตนี้ไม่ต้องไปคิดถึงเทพเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดอะไรแล้ว เพราะอะไร?”

ผู้เฒ่าถามเองตอบเองอีกครั้ง “หนึ่งคือพรสวรรค์ไม่มากพอ สองคือไม่มีเงิน”

ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “หากตระกูลฟ่านเต็มใจทุ่มทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลมาช่วยหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้ข้า ช่วยซื้อวัตถุดิบวิเศษจากทั่วสารทิศมาหลอมเตาหลอมกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ข้าฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตเก้าได้อย่างราบรื่น แต่ต่อให้ตระกูลฟ่านจะดีสักแค่ไหนก็ไม่มีทางทำแบบนี้ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้แซ่ฟ่าน”

แม้ว่าผู้เฒ่าจะเข้าใจ แต่ก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ บนใบหน้าแก่ชราปกปิดความหม่นหมองเซื่องซึมเอาไว้ไม่มิด

ตระกูลฟ่านทำเช่นนี้ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองจะกำลังโน้มน้าวตัวเอง เพื่อให้ตัวเองเปิดใจได้กว้าง เขาพูดเหมือนคุยกับตัวเอง “ก็เหมือนภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยืนเคียงไหล่ทัดเทียมกับลัทธิเต๋าซึ่งยังต้องแบ่งออกเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อจากจวนเทียนซือและเทียนซือต่างแซ่ เทียนซือต่างแซ่หลายต่อหลายรุ่นไม่เคยขาดเทพเซียนพสุธาห้าขอบเขตบนที่ฝีมือเลิศล้ำ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีสถานการณ์ที่มรรคกถาของเทียนซือต่างแซ่เหนือกว่าเทียนซือใหญ่ในจวนเทียนซือด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นตราประทับเทียนซือหรือกระบี่เซียนสักเล่มก็ไม่เคยตกไปถึงมือของเทียนซือต่างแซ่”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงพยักหน้ารับ “ทหารคือศาสตราวุธอันร้ายกาจของแคว้น อันที่จริงพลังอำนาจของตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์และใหญ่โตทั้งหลายไม่ได้แตกต่างจากกองกำลังของแคว้นหนึ่งสักเท่าไหร่ ลำพังพูดถึงแค่ตระกูลหนึ่งหรือแค่แคว้นหนึ่ง หากไม่มีกฎเกณฑ์เลยสักนิด ต่อให้ปัจจุบันจะเจริญรุ่งเรืองมากแค่ไหน แต่ก็เป็นการทิ้งต้นตอของโรคร้ายเอาไว้ เกรงว่าลูกหลานรุ่นหลังคงต้องทุ่มเทพละกำลังอีกหลายเท่าตัวถึงจะแก้ไขปัญหาจากต้นตอได้อย่างแท้จริง”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองพยักหน้าคล้อยตาม เป็นเพราะเข้าใจผิดคิดมาตลอดว่าเด็กหนุ่มคือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นการอธิบายครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงไม่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่

จากนั้นผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็ทอดถอนใจ “แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าในโลกวุ่นวายที่มีเหล่าเซียนซือถือกำเนิด มีปีศาจมารร้ายสร้างหายนะแห่งนี้ก็ยังคงมีบุคคลที่อาศัยแค่ความชื่นชอบของตัวเอง คิดจะใช้หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำผิดไปซะทุกเรื่อง หากจะให้พูดประโยคที่ตรงกับใจ คนอย่างพวกเขาเรียกว่าทำเพื่อความสาแก่ใจโดยไม่สนฟ้าไม่เกรงดิน ในใจของคนนอกที่เฝ้ามองอยู่ย่อมอิจฉาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าคนประเภทนี้มีได้ แต่ห้ามเคารพเลื่อมใสพวกเขาไปซะทุกคน โดยเฉพาะหากดูเรื่องสนุกมาจนชิน แล้ววันหนึ่งถูกหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่กระแทกแสกหน้าของตัวเองเข้าจริงๆ นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าเวทนาโดยแท้”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าต้องเคยเจอกับหายนะอยุติธรรมที่อยู่ดีๆ ก็หล่นลงมาจากฟ้าทำนองนี้มาก่อน

ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที ขอบเขตโอสถทอง โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้เป็นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังมีพื้นที่ให้หยัดยืน ไม่ต่างจากการที่จ้วงหยวน (จอหงวน) ของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปได้กลายเป็นจิ้นซื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำอะไรได้ไม่เสรีเหมือนเทพเซียนที่แท้จริง

หม่าจื้อข่มกลั้นคลื่นกระเพื่อมในใจลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณชายเฉินเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์ แต่ในเมื่อคิดจะฝึกกระบี่ ใช้ข้าเป็นศัตรูในจินตนาการ ก็ควรจะรู้รายละเอียดเบื้องลึกของผู้ฝึกลมปราณ…”

จู่ๆ หม่าจื้อก็หยุดพูดประโยคถัดไป “คิดดูแล้วคุณชายเฉินน่าจะรู้เรื่องพวกนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไม่พูดให้มากความดีกว่าไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อาจารย์หม่าพูดมาได้เลย คำพูดดีๆ ต่อให้พูดมากก็ยินดีฟัง”

หม่าจื้อยิ้มบางๆ “ห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณ ถ้ำสถิต ชมมหาสมุทร ประตูมังกร โอสถทอง ก่อกำเนิด ขอบเขตโอสถทองของข้าในเวลานี้สามารถรวบรวมลมปราณทั้งหมดในมหาสมุทรลมปราณให้กลายเป็นยาสีทองหนึ่งเม็ด ส่วนระดับขั้น ความเล็กใหญ่และภาพลักษณ์ของโอสถทองจะแตกต่างกันไปตามตัวบุคคล โดยทั่วไปแล้วหากดูจากห้องโอสถในช่วงขอบเขตประตูมังกรจะพออนุมานสภาพดีร้ายของโอสถทองได้คร่าวๆ ตัวข้านั้นเป็นเพราะห้องโอสถในช่วงแรกเริ่มหยาบไปหน่อย สร้างโอสถได้ด้วยความบังเอิญ ระดับขั้นของโอสถทองจึงไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ถึงได้รู้ว่าตัวเองไร้ความหวังในขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หากไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ ข้าหม่าจื้อที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ทำไมถึงยังสู้ฉู่หยางที่สร้างกระท่อมฝึกตนที่หอมังกรไม่ได้? ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าพวกที่เป็นขอบเขตโอสถทองเหมือนกันและพวกเด็กรุ่นหลังห้าขอบเขตกลางสักกี่คนในนครมังกรเฒ่าแอบหัวเราะเยาะข้าหม่าจื้อด้วยเรื่องนี้ นานวันเข้าก็มีประโยคหนึ่งที่คนพูดกันติดปากว่า ตอนเด็กเฉลียวฉลาด โตมาใช่ว่าจะมีความสามารถ หม่าจื้อเองก็เช่นกัน…”

พูดถึงเรื่องน่าอายนี้ หม่าจื้อกลับหัวเราะร่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีปมในใจแม้แต่น้อย

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “อาจารย์หม่า ข้าขอถามประโยคหนึ่งที่เกี่ยวกับขอบเขตของท่านได้หรือไม่?”

หม่าจื้อพยักหน้ารับ “ไม่มีอะไรที่ถามไม่ได้”

เฉินผิงอันเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หม่าเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกรตอนอายุเท่าไหร่ ในห้องโอสถมีภาพกี่ภาพ มีทัศนียภาพกี่รูปแบบ?”

ในใจหม่าจื้อกระจ่างแจ้งในฉับพลัน

เป็นลูกหลานตระกูลเซียนอันดับหนึ่งบนภูเขาจริงๆ ด้วย หาไม่แล้วคงไม่มีทางถามคำถามเช่นนี้แน่

เพราะบางทีต่อให้เป็นชั่วชีวิต พวกผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็ไม่มีทางรู้เลยว่าห้องโอสถของขอบเขตประตูมังกรอาจไม่ได้มีม้วนภาพเพียงภาพเดียว ผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่แท้จริงสามารถมี ‘ภาพฝาผนัง’ ในห้องโอสถได้สองภาพ ผู้ฝึกตนอาวุโสที่หม่าจื้อได้สัมผัสมาในชีวิตนี้มีเซียนพสุธาก่อกำเนิดหลายท่านที่มีสองภาพ เทพเซียนขอบเขตหยกดิบท่านหนึ่งมีมากถึงสามภาพ น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง

หม่าจื้อลูบหนวดยิ้ม บอกความจริงตรงไปตรงมาอย่างไม่ได้คิดจะปิดบัง “ก่อนหน้านี้เคยพูดไปแล้วว่าข้าหม่าจื้อเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าโอสถทองตอนอายุหนึ่งร้อยเก้าสิบปี ส่วนขอบเขตประตูมังกรนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว เป็นตอนที่ข้าอายุหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปี เพราะข้าฝึกตนค่อนข้างช้า หาไม่แล้วก่อนอายุร้อยปีให้เป็นปลาหลีข้ามประตูมังกรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”

เฉินผิงอันทำหน้าตะลึงงัน กลืนน้ำลายดังเอื้อก

หม่าจื้อนึกว่าเด็กหนุ่มตกตะลึงในพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของตน รอยยิ้มของผู้เฒ่าจึงเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน

ไม่รู้เลยว่าที่เฉินผิงอันถามอย่างนี้เพราะจำได้ว่าคราวนั้นที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงของตัวเอง แม่นางคนหนึ่งพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจ แต่เฉินผิงอันที่เงี่ยหูฟังกลับได้ยินชัดเจนทุกคำ เช่นว่า ‘ข้าแค่เลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร’ ‘ในห้องโอถสมีหกภาพ’ ‘ยังไม่แต้มนัยน์ตามังกร ยังไม่มีนางฟ้าบินขึ้นสวรรค์’ …

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากลิ่นหอมเงียบๆ เพื่อระงับอาการตกใจ ดื่มแล้วก็รีบดื่มอีกติดๆ กัน ด้วยยังตกตะลึงไม่หาย

หม่าจื้อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับหันมายิ้มปลอบใจเด็กหนุ่ม “คุณชายเฉิน ด้วยพรสวรรค์ที่เลิศล้ำของเจ้า ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์ ความสำเร็จในอนาคตมีแต่จะสูงไม่มีต่ำกว่าข้า ขอแค่ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง มหามรรคาก็มีความหวัง! ไม่สู้ลองเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากการปรับตัวให้เข้ากับปราณกระบี่ของข้าก่อน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ตกลง!”

หม่าจื้อลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามหลอมลมปราณ จิต วิญญาณและความกล้า แบ่งออกเป็นสามหุนเจ็ดพั่ว สามหุนได้แก่ไถกวาง ซ่วงหลิง โยวจิง ข้าก็จะใช้ปราณกระบี่สามอย่างที่ไม่เหมือนกันมาช่วยชำระ ชะล้างและขัดเกลาสามหุนในร่างกายของเจ้าก่อน ข้าจะกะน้ำหนักให้พอดีเอง ไม่ให้ทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิดของเจ้า ช่วงเวลาระหว่างนี้เจ้าสามารถฝึกสี่กระบวนท่าป้องกันและโจมตีจากในตำรากระบี่เล่มนั้นไปพร้อมกันได้เลย ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเจ้าว่าจะทำได้หรือไม่…”

รอยยิ้มของผู้เฒ่าคลุมเครือมีเลศนัย

แม้ไม่รู้ว่าทำไมจิต วิญญาณและความกล้าของเด็กหนุ่มถึงเป็นรูปเป็นร่างมาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่รสชาติการถูกปราณกระบี่ของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ กวาดล้างสามหุนนั้นเป็นเช่นไร อย่าว่าแต่จะกัดฟันฝึกวิชากระบี่เลย จะยืนได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ จะว่าไปแล้ว หากเฉินผิงอันทำได้จริงๆ ต่อให้ยืนหยัดได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม การฝึกเวทกระบี่สี่กระบวนท่าที่บันทึกไว้ในตำรากระบี่เล่มนั้นต้องรุดหน้าอย่างว่องไวแน่นอน

“คุณชายเฉิน ระวังด้วยนะ ข้าจะใช้ปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งมาหยั่งเชิงระดับความหนาบางของสามหุนของเจ้าก่อน”

หม่าจื้อคลี่ยิ้ม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งบินพุ่งออกจากหัวใจของผู้เฒ่ามาหยุดลอยอยู่ระหว่างคนทั้งสอง “กระบี่เล่มนี้ถูกข้าตั้งชื่อให้ว่าเหลียงอิน (ร่มเงาเย็นสบาย) ตอนที่กำเนิดขึ้นมาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งพอดี อยู่ร่วมกับข้ามาสองร้อยกว่าปีแล้ว ไม่ได้แหลมคมเท่าใดนัก แต่เมื่อต่อกรกับศัตรู คิดจะทำร้ายร่างกายและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบกลับทำได้ไม่เลว”

เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้วตบแรงๆ สองที ห้ามไม่ให้กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ที่อยู่ข้างในออกมาวาดลวดลายอวดบารมีต่อผู้อื่น

จากนั้นเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ยืนนิ่งไม่ขยับ แม้แต่ลมหายใจก็ยังเหมือนกับเวลาปกติ

แต่ในใจผู้เฒ่ากลับรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าทวี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version