Skip to content

Sword of Coming 269

บทที่ 269 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว

ระหว่างฟ้าดินของภูเขาห้อยหัวมีภูเขาลูกใหญ่

ยอดเขาชี้ไปยังน้ำของทะเลใต้

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ เหม่อมองภาพที่สะเทือนจิตใจคนภาพนี้ แม่นางหนิงเดินทางออกจากที่นี่ ก่อนจะไปท่องเที่ยวในใต้หล้าไพศาล

ได้ยินว่าทักษินาตยทวีปคือทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้มากที่สุด ไม่รู้ว่าวันหน้าหลิวเสี้ยนหยางจะแวะเวียนมาที่นี่บ้างหรือไม่?

ขณะที่เกาะกุ้ยฮวายังอยู่ห่างจากอาณาเขตของภูเขาห้อยหัวอีกประมาณครึ่งวัน เรือข้ามฟากที่รายล้อมอยู่รอบด้านมีลักษณะแปลกตาหลากหลาย มีทั้งเต่ายักษ์แบกศิลา มีทั้งเปลือกหอยใสแวววาวที่โผล่พ้นผิวน้ำทะเล เรือคุนที่ใหญ่ยิ่งกว่าของภูเขาต้าเจี้ยวค่อยๆ ลดระดับลงต่ำ มีทะเลเมฆหลากสี ด้านใต้ทะเลเมฆห้อมล้อมไปด้วยนกกางเขนจำนวนนับไม่ถ้วน มีนกกระเรียนเซียนและนกชิงเหนี่ยวเรียงแถวพากันลากหอสูงหลังหนึ่งมา เกาะกุ้ยฮวาที่เป็นหนึ่งในนั้นกลับดูไม่น่าตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันพลันหันหน้ากลับและก้มลงมอง

เห็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างามพิสุทธิ์ บนศีรษะปักปิ่นมุก สวมกระโปรงยาว รัดเข็มขัดหลากสีไว้ตรงเอว…

ทว่าจู่ๆ เฉินผิงอันกลับรู้สึกชาที่หนังศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนเห็นหลิ่วชื่อเฉิงสวมชุดเต๋าสีชมพูในวัดร้างเสียอีก

เพราะเฉินผิงอันมองเห็นลูกกระเดือกของ ‘สาวงาม’ คนนั้น

ไม่ถึงกับรังเกียจ แค่ไม่คุ้นชินก็เท่านั้น

เฉินผิงอันยกมือเกาหัว จ้องมองตรงไปยังบุรุษที่ชอบแต่งกายเป็นหญิงสาวผู้นั้น แล้วอาการขนลุกในใจก็หายวับไป กลายมาเป็นความคิดคำนึง

เมื่อก่อนตอนเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร เฉินผิงอันรู้จักบุรุษคนหนึ่งที่ถูกคนหัวเราะเยาะล้อเลียนว่าเป็นกะเทย นิสัยของเขาขี้ขลาดอ่อนแอ เวลาเดินชอบส่ายเอว เวลาพูดก็ชอบชม้ายชายตา จีบไม้จีบมือ ในเตาเผามังกรของผู้เฒ่าเหยา คนผู้นี้ถูกผู้อื่นดูแคลนมากที่สุด รองเท้าใหม่ที่กว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่เอามาสวมก็รับรองว่าวันนั้นต้องถูกคนอื่นๆ ในเตาเผาเหยียบย่ำจนสกปรก เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่ยอมรับไว้เงียบๆ ตามหลักแล้วเดิมทีเขากับเฉินผิงอันที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนอื่นน่าจะเห็นอกเห็นใจกันถึงจะถูก แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ บุรุษที่ชอบร้องไห้หลั่งน้ำตา พอมาเจอเฉินผิงอันกลับมีความกล้าหาญ วันๆ ชอบพูดจาเสียดสีเฉินผิงอัน คำพูดแต่ละคำล้วนระคายหู เฉินผิงอันไม่เคยสนใจเขา มีอยู่หลายครั้งที่ชายฉกรรจ์ระงับปากตัวเองไม่อยู่ ถูกหลิวเสี้ยนหยางซึ่งเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของผู้เฒ่าเหยามาเจอเข้าโดยไม่ทันระวัง หลิวเสี้ยนหยางตบบ้องหูเขาจนร่างหมุนคว้าง เขาก็ว่าง่ายขึ้นมาทันที จากนั้นยังแอบเอาขนมกินเล่นที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันฝีมือประณีตยิ่งกว่าลูกจ้างในร้านขายขนมไปไว้ในห้องหลิวเสี้ยนหยาง เกรงว่าการกระทำนี้ของบุรุษคงเป็นเพราะต้องการจะขออภัยและประจบเอาใจอนาคตผู้ดูแลเตาเผามังกรอย่างหลิวเสี้ยนหยาง

กระดาษอวยพรที่ติดบนหน้าต่างของเตาเผามังกรล้วนเป็นเขาที่อดตาหลับขับตานอนตัดไปทีละแผ่นทีละแผ่น ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วในตรอกมาเห็นเข้าก็ยังละอายใจที่ฝีมือสู้ไม่ได้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหากบุรุษผู้นี้เป็นสตรีจริงๆ จะทำงานบ้านงานเรือนได้ดีถึงเพียงไหน?

ตอนนั้นเฉินผิงอันย่อมต้องเกลียดกะเทยที่พูดจาไม่เข้าหูอยู่แล้ว แต่เขากลัวว่าตัวเองจะยั้งมือไม่อยู่ต่อยให้อีกฝ่ายร่อแร่ใกล้ตาย เฉินผิงอันในเวลานั้นติดตามผู้เฒ่าเดินขึ้นเขาลงห้วยรอบเมืองเล็กเสียจนทั่วแล้ว เรื่องการตัดฟืนเผาถ่านก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำ บวกกับที่ฝึกวิธีหายใจจากหยางเหล่าโถวทุกวัน พละกำลังของเขามีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่าบุรุษวัยฉกรรจ์

สุดท้ายมีครั้งหนึ่งชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยผู้นั้นรับผิดชอบเฝ้ายามตอนกลางคืนแล้วทำพลาดครั้งใหญ่ ไฟในเตาเผามังกรดับลงขณะที่เขาอยู่ยาม เขาที่ตกใจกลัวจึงเผ่นหนีไปตอนกลางดึก ค่อนข้างฉลาดเล็กน้อย เพราะเขาไม่กล้าหนีไปที่เมืองเล็ก แต่เผ่นหนีเข้าไปในป่าลึก

ความผิดนี้หากอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดต้องโดนโทษประหารเพราะถือเป็นการทำลายให้ตระกูลผู้อื่นขาดลูกหลานสืบทอด ผู้เฒ่าเหยาที่ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกให้ชายฉกรรจ์แข็งแรงหลายสิบคนไล่ตามคนสารเลวที่สมควรโดนแทงพันครั้งผู้นั้นไป แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่คุ้นชินกับทางภูเขาเป็นอย่างดีก็อยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย

สองวันต่อมาชายผู้เป็นกะเทยถูกจับมัดกลับมาที่เตาเผามังกร ผู้เฒ่าเหยาตัดมือตัดเท้าของเขา โบยจนเนื้อแตกเห็นไปถึงกระดูกสีขาว

คนที่หาเขาเจอก็คือกลุ่มบุรุษที่เวลาปกติเขาเทิดทูนมากที่สุด

ไม่มีใครเห็นใจบุรุษที่ก่อหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ ต่อให้มีก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าเหยาก็ไม่เคยโมโหมากขนาดนี้มาก่อน

ก่อนจะถูกตัดมือตัดเท้า บุรุษผู้เป็นกะเทยก็ตกใจจนปัสสาวะราดกางเกงแล้ว พอถูกคนจับกดลงบนพื้น ร่างก็สั่นเทิ้มไปหมด ถูกไม้กระบองฟาดก็แผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า พอถูกทุบรัวๆ ไม่นับ กะเทยผู้นั้นก็เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกแร่เนื้ออยู่บนเขียง กะเทยก็คือกะเทย ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นลมหมดสติ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความกล้าหาญของบุรุษเลยแม้แต่นิดเดียว

สุดท้ายกะเทยผู้นั้นไม่ได้ถูกตีจนตาย นอนป่วยอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีก็ดึงดันเอารอดชีวิตมาได้

ระหว่างนี้ลูกศิษย์ในเตาเผามังกรหลายคนต่างก็ต้องผลัดกันมาดูแลเขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลายคนไม่เต็มใจรับงานลำบากนี้ เลยมาขอให้เฉินผิงอันช่วยทำแทน เฉินผิงอันถือเป็นคนที่พูดง่ายที่สุดในเตาเผามังกร ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่กะเทยผู้นั้นไม่ชอบหน้ามากที่สุดที่มาดูแลเขาบ่อยที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนทั้งสองต่างก็ไม่พูดคุยกัน ถึงอย่างไรต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบกัน

ทุกวันเฉินผิงอันเพียงแค่เก็บยาต้มยา กะเทยผู้นั้นบางครั้งก็เหม่อลอย เหม่อมองกระดาษหน้าต่างเก่าคร่ำคร่าที่ซีดขาวเพราะถูกลมพัดและฝนสาด บางทีอาจกำลังคิดว่าวันใดที่สามารถลงจากเตียงไปทำงานได้แล้ว ระหว่างที่ว่างจากการทำงานจะต้องไปเปลี่ยนกระดาษหน้าต่างแผ่นใหม่ให้เป็นสีแดงสดสวยงาม

ทว่ากะเทยที่เห็นได้ชัดว่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้ ชายฉกรรจ์ที่ระหว่างนอนป่วยติดเตียงก็ยังกัดฟันเดินจากหน้าประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ยังคงตายอยู่ดี

ตายเพราะประโยคหนึ่ง

เป็นคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจจากช่างคนหนึ่งในเตาเผา ตอนนั้นเฉินผิงอันต้มยาอยู่ที่หน้าประตู หันหลังให้กับช่างและกะเทย ฝ่ายแรกหัวเราะหยอกเย้ากะเทยว่าวันนั้นเจ้าถูกโบยจนเสื้อผ้าขาดเห็นก้นขาวนวลเนียน เหมือนผู้หญิงจริงๆ

ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม

เพราะถ้อยคำที่พวกบุรุษในเตาเผามังกรด่ากะเทยผู้นี้เวลาปกติหยาบคายและรุนแรงกว่านี้ก็มี กะเทยผู้นี้แทบไม่เคยทะเลาะกับใคร เป็นเพราะไม่กล้า อย่างมากก็แค่ด่าลับหลัง ประมาณว่า ‘กล้าด่าข้า เชื่อหรือไม่ว่าสุสานบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าระเบิดแน่’

ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ประโยคที่ไม่เจ็บไม่คันนี้ วันนั้นกะเทยที่ลุกขึ้นนั่งได้ด้วยตัวเองแล้วกลับชวนเฉินผิงอันคุยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นเขาพูด เฉินผิงอันที่นิสัยเหมือนน้ำเต้าตันรับฟังอย่างอดทน พอพูดถึงกระดาษหน้าต่าง เฉินผิงอันก็ชมจากใจจริงว่าเขาตัดกระดาษได้สวยมาก เขาหัวเราะ

แล้วคืนนั้นกะเทยที่ใจเล็กยิ่งกว่าเข็มกลับใช้กรรไกรแทงเข้าไปที่ลูกกระเดือกของตัวเอง ยังไม่ลืมใช้ผ้าห่มคลุมร่างตัวเองเอาไว้ ไม่ให้คนที่เข้าห้องมาเห็นสภาพการตายของเขาในทันที

ถึงขั้นไม่มีใครกล้ายกศพของเขาออกมา เพราะน่าสยดสยองและเป็นอัปมงคลเกินไป

ยังดีที่เฉินผิงอันเห็นความเป็นตายของคนข้างกายมาจนเคยชินแล้ว สำหรับเรื่องพวกนี้เขาจึงไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ล้วนเป็นเขาที่ลากเอาหลิวเสี้ยนหยางมาช่วยงาน ยุ่งจนหัวหมุน ระหว่างนั้นไม่มีทั้งความเสียใจหรือความปลงอนิจจังอะไรมากมายนัก มีเพียงตอนที่เฝ้าอยู่ในห้องโถงวิญญาณ เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องตั้งโลงศพที่ว่างโล่งและวังเวงเพียงลำพัง เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด นั่งพึมพำอยู่ข้างเตาไฟว่า “ในเมื่อชาตินี้ไม่ชอบเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ไปเกิดเป็นผู้หญิงเถอะ”

อันที่จริงตอนที่คุยกันวันนั้น กะเทยถามเฉินผิงอันว่า ทำไมทั้งๆ ที่เป็นคนแรกที่พบตัวเขา ถึงได้ปล่อยเขาไป แถมยังชี้บอกทางเส้นเล็กที่เข้าไปลึกในภูเขาให้กับเขา

เฉินผิงอันบอกว่า ข้ากลัวเจ้าถูกจับกลับไปแล้วจะโดนผู้เฒ่าเหยาตีตาย ถึงเวลานั้นคนอย่างเจ้าที่ใจกล้าเท่าเมล็ดงา พอกลายเป็นผีอาฆาตแล้ว คงไม่กล้าไปแก้แค้นใคร ก็มีแต่ข้าที่เจ้าจะกล้ามาแก้แค้น

ตอนนั้นกะเทยหนุ่มหัวเราะอย่างเบิกบานมากเป็นพิเศษ

อันที่จริงต่อให้เป็นตอนนี้ที่เฉินผิงอันย้อนนึกถึง ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนนั้นที่กะเทยหัวเราะ ดูแล้วขี้เหร่มาก

แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ

‘หญิงสาว’ หน้าตางดงามที่ยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยโมโหจนไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้งแล้ว ถูกชายผู้หนึ่งจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้ หากไม่เป็นเพราะนาง หรือพูดให้ถูกคือเขาเกรงว่าจะทำให้ต้นกุ้ยเสียหาย สร้างความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น เขาคงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นออกมาแล้วรุมแทงเจ้าคนที่มีตาสุนัขผู้นี้ให้ตายไปนานแล้ว

หลังจากคืนสติ เฉินผิงอันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองบุ่มบ่ามไร้มารยาทเกินไป จึงยกมือกุมประสาน กล่าวขออภัย “ขอโทษด้วย ข้าใจลอยไปหน่อย”

คนผู้นั้นหรี่ดวงตาที่เหมือนกับดอกท้อซึ่งเบ่งบานท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิลง ประกบนิ้วสองนิ้วทิ่มมาที่เฉินผิงอัน จากนั้นงอนิ้วน้อยๆ แสดงถึงความหมายของการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง

เฉินผิงอันไม่แค่หันหน้ามาอีกต่อไป แต่หันกลับมาทั้งตัว ตบไปยังตำแหน่งว่างบนกิ่งไม้สูงข้างกายของตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “แทนคำขอโทษ ข้าสามารถเป็นตัวแทนกุ้ยฮูหยินอนุญาตให้เจ้ามาชมทิวทัศน์ของภูเขาห้อยหัวตรงนี้ได้”

เขาเอาสองมือไพล่หลัง เชิดดวงหน้าที่งามดั่งบุปผาแรกแย้มขึ้น ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าชอบผู้ชายรึ? หรือว่าขอแค่หน้าตาดี จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง?”

เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ส่ายหน้าอย่างแรงแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง

แน่นอนว่าเขาชอบแค่ผู้หญิง

อีกทั้งยังชอบผู้หญิงแค่คนเดียว

ใกล้กับมือทั้งคู่ที่ไพล่หลังของชายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ปรากฏปราณกระบี่สองกลุ่มหนึ่งทองหนึ่งขาว เล็กบางมากจนแทบจะมองไม่เห็น

เห็นได้ชัดว่าหากพูดจาไม่เข้าหู เขาจะใช้กระบี่บินสังหารคนทันที

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “พูดไปแล้วเจ้าอาจจะโมโหมากกว่าเดิม แต่เจ้าแต่งกายแบบนี้ สวยมากจริงๆ”

เฉินผิงอันใช้สองมือวางค้ำไว้บนกิ่งไม้ ดวงตาใสกระจ่าง “เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”

คนผู้นั้นที่ตัวเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิงขมวดคิ้ว

เขาจากไปเงียบๆ ไม่ได้ไปจากยอดเขา แต่ไปยืนอยู่ใกล้กับราวรั้วบนหอชมวิว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล

เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ตะโกนใส่แผ่นหลังของเขาว่า “ข้าไปแล้วนะ หากเจ้าอยากไปชมวิวบนต้นไม้ ทางที่ดีที่สุดควรฉวยโอกาสตอนนี้ที่คนยังน้อย ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮูหยินคงไม่สบอารมณ์เป็นแน่”

คนผู้นั้นไม่สะทกสะท้าน

รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกลแล้ว เขาถึงหันกลับมามองต้นกุ้ย สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นไปชมทัศนียภาพของภูเขาห้อยหัวในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม

ส่วนปราณกระบี่สองเส้นนั้นได้ถูกเขาเก็บเข้าไปในเข็มขัดหลากสีตรงเอวนานแล้ว

อันที่จริงพวกมันไม่ใช่ปราณกระบี่ แต่เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ระดับขั้นสูงมาก แค่รูปร่างไม่สะดุดตาก็เท่านั้น แบ่งออกเป็นชื่อเจินเจียน (ปลายเข็ม) และม่ายหมาง (แสงบนรวงข้าว)

เกิดมาก็มีแล้ว

คือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด

หากในชีวิตมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มก็เท่ากับว่า ไม่มีสักหนึ่งในหมื่น (เปรียบเปรยว่าหาได้ยาก) ของบรรดาผู้ฝึกกระบี่ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำว่าหนึ่ง แต่อยู่ที่คำว่าไม่มี

ประเด็นสำคัญคือระดับขั้นของกระบี่ยังดีเยี่ยมจนน่าตกใจ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน หาไม่แล้วก็ไม่มีทางรับเขาเป็นลูกศิษย์

แต่ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหยกดิบได้นั้น อาจารย์ไม่ได้บอก เขาเองก็ไม่ได้ถาม เพราะเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหลงใหลในศาสตร์ของการอนุมานบนมหามรรคามากกว่า น่าเสียดายก็แต่อาจารย์บอกว่าเขาคงเดินไปบนทางเส้นนี้ได้ไม่ไกลนัก ไม่สามารถสืบทอดวิชาของอาจารย์ได้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน รวมไปถึงตัวอาจารย์เองต่างก็ยุยงให้เขาฝึกวิชากระบี่ อันที่จริงเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังให้ตนเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ ครอบครองตำแหน่งใหญ่อันดับหนึ่งจริงๆ แต่เป็นเพราะมีเจตนาร้าย อยากจะเห็นเรื่องตลกของตนก็เท่านั้น

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก

เขากลัวความสูง

ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กลัวความสูง มันเข้าท่าแล้วหรือ

ตอนนี้บางครั้งที่เขาควบคุมกระบี่บิน ทะยานลมเดินทางท่องเที่ยวไปไกลก็ไม่เคยบินสูงจากพื้นเกินสองจั้ง

เขาชำเลืองตามองกิ่งสูงที่เจ้าหมอนั่นนั่งก่อนหน้านี้แล้วให้รู้สึกว่าอันที่จริงตัวเองก็โง่งมเหมือนกัน

เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนเล็กกุยม่าย หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองยืนอยู่ในลานบ้าน ส่งยิ้มต้อนรับ

เดิมทีเฉินผิงอันเคยเป็นฝ่ายไปหาหม่าจื้อที่พักรักษาตัวอยู่ถึงเรือนพัก สอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถฝึกกระบี่ได้อีกครั้ง สามวันต่อมา เรือนเล็กกุยม่ายก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างที่เคยเป็นเมื่อแรกเริ่มสุด หม่าจื้อช่วยฝึกกระบี่ให้เฉินผิงอัน จินซู่รับผิดชอบส่งอาหารสามมื้อในหนึ่งวัน บางครั้งกุ้ยฮูหยินก็จะมาที่เรือนเล็ก นางไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่ชงชาให้คนทั้งสองดื่มหนึ่งกาแล้วจากไป

ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นที่มีผีงามโครงกระดูกพักผิงอยู่ออกมา กุ้ยฮูหยินนำมาถือไว้ในมือ เพียงไม่นานผีสาวชุดขาวก็ถูก ‘สะบัด’ ออกมา ครั้งแรกที่ได้กลับมาเห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง ผีสาวชุดขาวที่เคยแสดงพลังอำนาจดุร้ายในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีผู้นี้ก็เห็นกุ้ยฮูหยินที่เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง คนพายเรือเฒ่าเซียนพสุธาที่ขอบเขตถดถอยไปยังโอสถทองคนหนึ่ง หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง และยังรวมไปถึงศัตรูอย่างเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง

หากไม่เป็นเพราะผีสาวตายไปแล้ว เกรงว่าจิตวิญญาณคงแหลกสลายไปอีกครั้ง

สุดท้ายภายใต้ความช่วยเหลือของกุ้ยฮูหยิน ‘อริยะจำลอง’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ผีงามโครงกระดูกก็เอ่ยคำสาบานอย่างจริงจังว่าจะจงรักภักดีต่อเฉินผิงอันเป็นเวลาหกสิบปี ค่าตอบแทนก็คือนางสามารถออกจากยันต์ที่ไม่มีปราณวิญญาณราดรดจึงทำให้ดวงจิตของนางค่อยๆ ไหลรินหายไปทีละน้อยแผ่นนั้น เข้าไป ‘พักอาศัย’ อยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวแทน

เพราะในประวัติความเป็นมาของต้นไหวโบราณก็มีคำกล่าวว่า ‘เรือนไหว’ อยู่แล้ว ไม่เพียงแต่พวกภูตไม้ที่ชื่นชอบต้นไหวที่มีอายุนับพันปีขึ้นไป วิญญาณผีและวัตถุหยินก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ทางช้างเผือกเปล่งประกายระยิบระยับ จู่ๆ ผู้เฒ่าพายเรือก็มาหาเฉินผิงอัน พาเขาไปยังท่าเรือที่อยู่ตรงตีนภูเขาเกาะกุ้ยฮวา รอจนเฉินผิงอันไปถึงที่นั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงท่าเรือมีเจียวหลงเยาว์วัยตัวหนึ่งปีนขึ้นมา มันเอาศีรษะวางพาดไว้บนชายฝั่ง ร่างกายส่วนใหญ่จมอยู่ในน้ำทะเล สายตาที่มันมองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และซาบซึ้งใจอย่างไร้เดียงสา

คนพายเรือเฒ่านั่งยองริมท่าเรือ จุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กที่น่าสงสารตัวนี้ หากเป็นมนุษย์เราก็คงอายุประมาณหกเจ็ดขวบกระมัง ตอนนั้นกุ้ยฮูหยินไม่อยากทำให้เจ้าตัวน้อยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ลำบากใจ จึงเก็บไว้แค่ข้องราชามังกร ปล่อยตัวมันไป คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนมันจะไม่มีบ้านให้กลับ จึงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวามา แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้เกินไปนัก ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั้งคืน ว่ายวนเวียนอยู่รอบเกาะกุ้ยฮวาไม่ยอมไปไหน ตอนนี้พวกเราขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวน้อยคงรู้ว่าหากยังขยับไปข้างหน้าต่อย่อมต้องตายสถานเดียว คราวนี้แม้แต่ตอนกลางวันก็ยังร้องไห้งอแง หากไม่เป็นเพราะกุ้ยฮูหยินสงสารมัน จึงช่วยอำพรางลมปราณให้กับมัน เกรงว่าคงถูกพวกผู้ฝึกลมปราณที่เคียดแค้นถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมานานแล้ว”

สุดท้ายคนพายเรือเฒ่าพูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนมันตั้งใจจะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือมาแก้แค้น แม้ว่ามันจะอายุยังน้อย ทว่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมีนิสัยเลือดเย็นเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เกิด เรื่องนี้จึงพูดได้ยาก”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งมาโยนให้เจียวน้อย มันกลืนลงไปตามสัญชาตญาณ สีหน้าคล้ายจะเลื่อนลอยเล็กน้อย

เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยให้มันกลับไป

เจียวน้อยบิดตัวกลับเข้าไปในมหาสมุทร แค่ร้องคร่ำครวญเบาๆ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อยากขยับออกห่างจากน่านน้ำทะเลของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันคิดแล้วก็ขว้างหินดีงูธรรมดากำใหญ่ไปกลางทะเล

เจียวน้อยว่ายน้ำไปอย่างบ้าคลั่งจนเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว ไล่กลืนหินดีงูแต่ละก้อนที่สำหรับมันแล้วเป็นเหมือนอาหารเลิศรส

สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือพูดกับมันว่า “วันหน้าจงตั้งใจฝึกตนให้ดี วันนี้เจ้าได้รับบุญคุณจากข้า หากยังชอบทำร้ายผู้คนเหมือนเจียวเฒ่าตัวนั้น ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว”

เจียวหลงกลับมาหยุดอยู่ข้างท่าเรืออีกครั้ง ชูศีรษะขึ้นสูงเหนือท่าเรือ เบิกตากว้างคล้ายต้องการจดจำใบหน้าของเฉินผิงอันไว้ให้แม่น

ครู่หนึ่งต่อมา มันถึงทิ้งตัวไปด้านหลัง กลับคืนสู่ทะเลกว้างอีกครั้ง

คนพายเรือเฒ่าผ่านมรสุมมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ามีเจตนาดีจึงผูกบุญสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ ไม่แน่เสมอไปว่าทำดีแล้วจะได้ดีตอบแทน”

สีหน้าของเฉินผิงอันเฉยเมย มองไปยังผิวน้ำทะเลที่แสงดาวส่องประกายระยิบระยับเหมือนเศษเงินเศษทอง เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็สะบั้นมันด้วยกระบี่เดียว”

ตอนนั้นคนพายเรือเฒ่านึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนที่ไม่รู้จะหายตัวไปอีกกี่ร้อยปี และยังมีตำราสีทองที่เซียนทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ซึ่งเฉินผิงอันนำมามอบให้เขา จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเฉินผิงอัน

……

สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย

ปีนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ออกเดินทางจากต้าหลีมาด้วยกันมาถึงภูเขาตงซานลูกนี้ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันอย่างในวันวานอีกแล้ว

หลี่ไหวได้รู้จักเพื่อนใหม่สองคน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ขี้ขลาดมาก อีกคนหนึ่งคือเด็กซุกซนตระกูลยากจนที่ใจกล้าเทียมฟ้า คนทั้งสองต่างก็อายุมากกว่าหลี่ไหวเล็กน้อย เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่งทั้งวัน สนุกสนานกันอย่างเต็มคราบ

หลินโส่วอีตอนนี้ตั้งใจมานะฝึกตน อ่านตำราทุกเล่มจนครบถ้วน ไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างห้องหนังสือ หอพักและห้องเรียน โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่

อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยอย่างมากจนกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน ยิ่งนานวันเกาเซวียนก็ยิ่งชอบมาตกปลาเป็นเพื่อนอวี๋ลู่ที่สำนักศึกษา

ส่วนเซี่ยเซี่ยที่นอกจากจะไปฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนแล้ว ทุกวันมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ให้กับชุยตงซานด้วยความยินดี

หลังจากคราวก่อนที่หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายที่อาจารย์อาน้อยส่งมาให้ ภายหลังเป็นช่วงระยะเวลายาวนานมากที่แม่นางน้อยเหมือนจะซึมไป

วันนี้นางโดดเรียนอีกแล้ว นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาของภูเขาตงซานอย่างว่องไวเหมือนแมวป่าตัวน้อยที่คล่องแคล่วปราดเปรียว นางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ เอนหลังพิงลำต้น ตรงคอยังคงแขวนแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่าผู้นำแห่งยุทธภพแผ่นนั้น ภายหลังนางรู้สึกว่ายังไม่น่าเกรงขามมากพอจึงสลักคำว่า ‘ผู้ออกคำสั่งแก่กลุ่มวีรบุรุษ’ เพิ่มเข้าไปอีก หลังจากนั้นพอได้เริ่มแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ แผ่นไม้เล็กๆ ถูกนางสลักถ้อยคำห้าวเหิมเปี่ยมกลิ่นอายในยุทธภพไว้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนคัดลอกมาจากหนังสือนิยาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคทำนองว่า ‘เจ็บใจก็แต่นับจากนี้ไปชีวิตนี้คงไร้ศัตรูทัดทาน’ เป็นต้น

เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ข้างกัน ร่างของเขาโยกขึ้นลงน้อยๆ ไปตามกิ่งไม้ ถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป โกรธหรือ?”

หลังจากเข้าหน้าร้อน แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็เปลี่ยนมาเป็นแม่นางน้อยชุดตัวบางสีแดง นางกล่าวเสียงขุ่น “ไม่ได้โกรธ”

ชุยตงซานถาม “รู้สึกว่าพวกหลี่ไหว หลินโส่วอีห่างเหินจากเจ้าไปทุกทีใช่หรือไม่?”

แม่นางน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ห่างเหินจากข้าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ข้าก็ไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาอยู่แล้ว”

ชุยตงซานยิ้มอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาจารย์ของข้าล่ะสิ?”

แม่นางน้อยมีนิสัยตรงไปตรงมาจึงพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย “อืม”

ชุยตงซานสอดมือสองข้างรองไว้ที่ท้ายทอย พูดเหมือนปลงอนิจจัง “ทุกคนล้วนต้องเติบโต พอโตขึ้นแล้วก็มักจะหยิบของใหม่ โยนของเก่าบางอย่างทิ้ง เก็บๆ ทิ้งๆ อยู่อย่างนี้ แปบเดียวก็แก่แล้ว”

แม่นางน้อยเดือดดาล “อาจารย์อาน้อย พวกเขาก็ตัดใจทิ้งได้อย่างนั้นหรือ?!”

ชุยตงซานหันหน้าไปมองแม่นางน้อยที่สีหน้าเกรี้ยวกราด ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตัดใจหรือไม่ตัดใจเล่า อีกอย่างต่อให้อาจารย์ข้ารู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีทางโกรธ แล้วเจ้าจะโกรธทำไม ไม่มีความจำเป็น”

แม่นางน้อยยกสองมือกอดอก โมโหหนักกว่าเดิม

ชุยตงซานหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางของเมืองหลวงต้าสุย “วันหน้าเจ้าอาจจะได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่ดีมากๆ เติบโตไปด้วยกันอย่างรู้ใจ แล้วจากนั้นสักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องแต่งงาน เจ้าจะชอบสามีของเจ้ามากยิ่งกว่า หรือเจ้าอาจจะได้พบเจออาจารย์ที่ดีกว่าฉีจิ้งชุน แล้ววันหนึ่งก็รู้สึกว่าความรู้ของอาจารย์ฉีไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด และในอนาคตเจ้าก็อาจจะเจอกับ…เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดี หรืออาจถึงขั้นดีกว่าอาจารย์อาน้อยของเจ้า แล้วเจ้าก็จะค้นพบว่าความกลัดกลุ้มเอย ความทุกข์ใจในเวลานี้เอย ก็มีเพียงแค่นี้เอง ถึงเวลานั้นดื่มเหล้าแค่อึกสองอึก มันก็จะหายไปพร้อมกับเหล้าที่ไหลลงท้องแล้ว…”

ชุยตงซานหันขวับกลับมา เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เป่าผิงน้อย เจ้าถึงขนาดไม่ตอบโต้ข้า หากเจ้ายังไม่พูดอะไรอีก ข้าจะพูดต่อไม่ออกแล้วนะ!”

แม่นางน้อยย่นดวงหน้าเล็กๆ ที่งดงาม “ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการเสียใจนะ!”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ ทิ้งตัวไปข้างหลังแล้วพลิกตัวหันข้างนอนเอนลงบนกิ่งไม้เล็กบาง เขาใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ สายตาจ้องนิ่งไปที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายสีแดง

สักวันหนึ่งเมื่อแม่นางน้อยเริ่มตัวสูงขึ้น ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ จะซูบลง ปลายคางแหลมเล็ก ดวงตายังคงคลอประกายน้ำ ทั้งใสสะอาดทั้งเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และอาจยังสวมชุดสีแดง ควบม้าอยู่ในยุทธภพ ดื่มสุราอยู่ท่ามกลางแม่น้ำและภูเขา บางทีอาจจะได้พบเจอเรื่องราวที่ทำให้ดีใจ หรือพบกับคนที่ทำให้เสียใจกระมัง?

ชุยตงซานถอนหายใจ

เขากลุ้มใจเล็กน้อย

หากมีวันหนึ่งแม่นางที่ดีขนาดนี้ชื่นชอบอาจารย์ของเขาเข้าจริงๆ แบบนั้นคงน่ากลุ้มใจอย่างมาก

แต่หากมีวันหนึ่ง นางไม่ชอบอาจารย์ของเขามากที่สุดอีกแล้ว บางทีอาจจะยิ่งน่าเสียดายมากกว่า

ชุยตงซานเบี่ยงตัวนอนหงาย ยกขาไขว่ห้าง เริ่มหลับตานอน

เรื่องการพบกันอย่างผิวเผินและเรื่องใจคนห่างเหินนั้น ต่อให้ชุยตงซานในเวลานี้จะอยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม ทว่าถึงอย่างไรอุปสรรคและประสบการณ์ทั้งหลายก็ล้วนสั่งสมอยู่ในใจ เทียบกับราชครูชุยฉานแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย

มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกแม่นางน้อย

เขาชุยตงซาน รวมไปถึงชุยฉานผู้เฒ่า จั่วโย่ว เหมาเสี่ยวตง หรือแม้แต่ฉีจิ้งชุนเอง ปีนั้นล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของซิ่วไฉเฒ่า ค่อยๆ เติบโตมาด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็หวังว่าจะได้เดินออกจากร่มเงานั้น พอเดินออกมาแล้ว กลับกลายเป็นว่าดียิ่งกว่าเดิม เดินออกมาไม่ได้ ใจคนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป

แม่นางชุดแดงที่อยู่ไม่ห่างเก็บป้ายไม้ ควักเอาม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง ในภาพมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังส่งยิ้มมาให้นาง

แม่นางน้อยเลิกกลุ้มทันที นางค่อยๆ คลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “อาจารย์อาน้อยที่ดื่มเหล้าเป็นแล้วเท่ห์มากจริงๆ รอข้าโตกว่านี้จะต้องให้อาจารย์อาน้อยพาข้าท่องไปในยุทธภพด้วยกัน!”

แม่นางน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งลิงโลด หันหน้ามาตะโกนถามเสียงดัง “ชุยตงซาน ดื่มเหล้ายากหรือไม่?”

ชุยตงซานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เจ้าห้ามดื่มเหล้า!”

หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างโมโห “ทำไม?!”

ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ตัดใจด่าเจ้าไม่ลงแม้แต่ครึ่งคำ แต่กลับตัดใจตีข้าจนตายได้!”

หลี่เป่าผิงถอนหายใจหนึ่งที ส่ายศีรษะกล่าวด้วยน้ำเสียงเวทนา “น่าสงสารจริงๆ”

ชุยตงซานชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “เสี่ยวเป่าผิงเอ๋ย วันหน้าเวลาเจ้าปลอบใจคนอื่น รบกวนช่วยเก็บใบหน้ายิ้มสมน้ำหน้าคนอื่นไปด้วยนะ”

หลี่เป่าผิงทำมือเป็นท่าถือตราประทับ

ชุยตงซานถอนหายใจอย่างเศร้าสลด พึมพำเบาๆ ว่า “ทำดีไม่ได้ดี”

……

ระหว่างภูเขาห้อยหัวกับน้ำทะเลกว้างใหญ่มี ‘ทางน้ำ’ หลายเส้นที่ลักษณะคล้ายน้ำคล้ายเมฆลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อสะดวกให้เรือทุกลำจอดเทียบท่า เรือจำนวนมากที่สามารถทะยานลมจำเป็นต้องลดระดับลงมาถึงพื้นผิวน้ำทะเลก่อน ไม่สามารถขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวได้โดยตรง

เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าเรือที่อยู่เบื้องล่างทางน้ำสายหนึ่งชั่วขณะ แค่ส่งมอบตำราสีชาดที่ลักษณะคล้ายหนังสือผ่านทางพอเป็นพิธี ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่ราคาสูงเทียมฟ้า จากนั้นก็เริ่มขับเอียงไปบนทางน้ำที่มุ่งหน้าเข้าหาภูเขาห้อยหัว

ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบภูเขาห้อยหัวมีเพียงภูเขาลูกนี้ลูกเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ในโลก เรียกได้ว่าอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล

มีนักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผา ด้านหลังคือนักพรตเต๋าร่างผอมแห้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน ในมือถือไม้ปัดฝุ่นที่แต่ละเส้นเป็นสีทองสลับสีเงิน ล้วนเป็นหนวดของเจียวหลง นักพรตเฒ่าถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ต้องการให้ศิษย์ลงมือทำลายเกาะกุ้ยฮวาให้ย่อยยับหรือไม่?”

นักพรตสูงใหญ่ตอบยิ้มๆ “ยินดีแข่งขันก็ต้องรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้ในการต่อสู้แค่ไม่กี่ครั้ง มีอะไรน่าอายกัน ข้าไม่ใช่อาจารย์ปู่ของเจ้าสักหน่อยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ใครตลอดชีวิต”

ระหว่างที่เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้กำลังสนทนา

ใต้หล้ามืดสลัว

มีนักพรตคนหนึ่งถูกคนผู้หนึ่งต่อยจากฟ้านอกฟ้าเข้ามายังโลกมนุษย์ที่อยู่เบื้องใต้ใต้หล้ามืดสลัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version