บทที่ 271 แม่นางหนิง ไม่เจอกันนานเลยนะ
วันนี้หลังจากที่ไปเรือนซือเตามาแล้ว สุดท้ายเฉินผิงอันกับจินซู่ก็ไปที่หอจิ้งเจี้ยน เมื่อเป็นเช่นนี้แผนการเดินทางในวันนี้จึงร่นระยะทางน้อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปไกล
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้ากำแพงเรือนซือเตาที่ปิดแผ่นรายการไว้เต็มไปหมด เฉินผิงอันเจอชื่อของคนที่คุ้นเคยสามชื่อ ชุยฉาน สวี่รั่ว ซ่งจ่างจิ้ง
จำนวนใบประกาศจับของชุยฉานมีเยอะที่สุด มากถึงหกแผ่น คนที่เอาใบประกาศมาติดมาจากทวีปใหญ่สี่แห่ง แค่คิดก็รู้ได้ว่าในอดีตศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในใต้หล้าไพศาลมากถึงเพียงใด
สวี่รั่วจากสำนักโม่และอ๋องแห่งแคว้นต้าหลีต่างก็มีกันคนละแผ่น เหตุผลนั้นประหลาดมาก คนที่ให้รางวัลนำจับสวี่รั่วคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ลงนามว่า ‘หลิวโหรวสี่เทวนารีน้ำใสแห่งทะเลสาบเจิงหรง’ ระหว่างถ้อยคำที่เขียนบรรยายเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความรักอาลัย
ส่วนคนที่ลงประกาศจับซ่งจ่างจิ้งลงนามว่าหานว่านจั่นแห่งทวีปเกราะทอง อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นี้มีเงินเยอะมาก แต่ไม่มีที่ให้ใช้ เหตุผลของเขาจึงมีแค่รู้สึกว่าแจกันสมบัติทวีปที่เป็นทวีปเล็กไม่คู่ควรให้มีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตปลายทาง
ตอนที่เฉินผิงอันกับจินซู่หมุนกายจากไปได้เดินสวนทางห่างๆ กับคนสามคนที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนน
เฉินผิงอันอดใจไม่ไหวมองซ้ำไปอีกหนึ่งรอบ เพราะผู้หญิงคนนั้นสูงมากจริงๆ เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้า เรือนร่างได้สัดส่วน ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวไร้ฝักไว้เล่มหนึ่งคล้ายกระบี่ใหม่ที่เพิ่งออกมาจากเตาหลอม ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ระหว่างที่หญิงสาวร่างสูงใหญ่ก้าวเดิน กระบี่ยาวก็สะท้อนเส้นแสงใสสว่างสีขาวหิมะเป็นระลอก
อันที่จริงไม่ใช่แค่เฉินผิงอันเท่านั้น คนมากมายที่อยู่สองฝากฝั่งของถนนต่างก็กำลังมองประเมินหญิงสาวประหลาดผู้นี้กันแทบทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเคียงไหล่มากับนาง กระซิบกระซาบกันอยู่เป็นระยะ บางครั้งหญิงสาวจะพยักหน้ารับ น้อยครั้งมากที่จะเอ่ยพูดอะไร
ด้านหลังคนทั้งสองคือข้ารับใช้วัยกลางคนคนหนึ่งที่มีปราณสังหารเข้มข้นจนยากจะปกปิดได้ อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตเจ็ดลงมา ยังสร้างร่างทองไม่สำเร็จจึงปกปิดลมปราณไว้ไม่อยู่ ทว่าหากเป็นขอบเขตเจ็ดขึ้นไป แล้วยังสามารถสร้างบรรยากาศเช่นนี้ได้ นั่นก็ค่อนข้างน่ากลัวแล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นคนของใต้หล้าไพศาล จั่วโย่วแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็คือตัวอย่างที่สุดโต่งที่สุด
ต่อให้เดินห่างไปไกลมากแล้ว จินซู่ก็ยังอดหันหน้ากลับมามองแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ แม้ว่าสตรีนางนั้นไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เลิศหรู หรือถึงขั้นไม่ได้เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง ทว่าจินซู่กลับรู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่เป็นเช่นนี้อย่างที่ตัวนางเองก็บอกเหตุผลไม่ถูก
คนบางคนมักจะมีความแตกต่างอยู่เสมอ แค่มองครั้งเดียวก็ทำให้คนจดจำได้หลายปี แต่คนบางคนที่ต่อให้ผ่านไปอีกสักกี่ปีก็ไม่เคยจดจำไว้ในหัวใจ
เฉินผิงอันกลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพียงไม่นานก็เดินไปบนเส้นทางของตัวเอง ดื่มเหล้าคำเล็กๆ เป็นระยะ เขาแค่นึกถึงสะพานหินโค้งของที่บ้านเกิดเท่านั้น แน่นอนว่าคิดไปคิดมาก็คิดถึงสะพานโค้งสีทองบนสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ยาวไกลเหมือนไร้ที่สิ้นสุดแห่งนั้นด้วย
ตลอดทางที่เดินมา หญิงสาวร่างสูงใหญ่ไม่เคยมองสังเกตใคร
นางเดินตรงดิ่งไปที่หน้ากำแพงของเรือนซือเตา แหงนหน้ากวาดตามองรายการนำจับอย่างรวดเร็ว ตอนที่สายตากวาดผ่านประกาศส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทางไร้ความสนใจ คร้านจะมองให้มากเกินครั้งเดียว แต่สุดท้ายพอสายตาไปหยุดอยู่ที่กระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่ตรงมุมซ้ายสุด ดวงตานางกลับเป็นประกายวาบ
การเดินทางลงใต้มายังภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ได้โดยสาร ‘หอหอยกาบ’ เรือข้ามฟากที่อยู่ในนามราชวงศ์ของตน จากทิศเหนือของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางบินผ่านทะเลสาบเจิงหรงหนึ่งในห้าทะเลสาบใหญ่ ผ่านภูเขาสุ้ยซานที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วก็ผ่านทักษินาตยทวีป ตลอดทางมานี้นางอยู่ในห้องตลอดเวลา อ่านตำราโบราณที่เก็บไว้ในคลังลับของราชวงศ์บางแห่งที่ล่มสลายไปแล้ว ไม่เคยออกมาปรากฎตัวให้ใครเห็น ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ นั่นก็เพราะนางต้องใช้ความคิดว่าหลังจากหล่อหลอมกระบี่ที่ภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้แล้ว ระหว่างที่เดินทางกลับทิศเหนือควรจะหาเรื่องอะไรให้ตัวเองทำ
นางยื่นมือไปกระชากกระดาษนำจับแผ่นนั้นมาไว้ในมือ หันไปพูดกับทางประตูใหญ่ของเรือนซือเตาอย่างเฉยเมยว่า “เงินรางวัลนำจับนี้ ข้ารับไว้แล้ว”
ก่อนหน้านี้บุรุษหล่อเหลามองตามสายตาของสตรีร่างสูงใหญ่ไป ปากก็คอยบ่นพึมพำตลอดเวลา ตอนที่นางจ้องมองประกาศแผ่นนี้ เขาก็ท่องในใจตัวเองว่า “อย่าฉีกแผ่นนี้ อย่าฉีกแผ่นนี้ เปลี่ยนไปเป็นแผ่นไหนก็ได้…”
ผลกลับกลายเป็นว่าสวรรค์ไม่เป็นใจ หญิงสาวกลับฉีกประกาศแผ่นเก่าที่ไม่รู้ว่าแปะอยู่ตรงนี้มานานกี่ปีแล้วแผ่นนั้นไป
ใบหน้าของปรมาจารย์ข้ารับใช้ด้านหลังชายหญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับรู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
ชายฉกรรจ์พูดด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “ราชครู พวกเราจะไปก่อเรื่องที่นครจักรพรรดิขาวกันจริงๆ หรือ ยักษ์ใหญ่วิถีมารที่อยู่ใกล้ๆ กับพวกเราก็เป็นรองแค่เจ้านครจักรพรรดิขาวไม่กี่ระดับเท่านั้น เขาเองก็อยู่ในลำดับสิบพญามารแห่งใต้หล้าไพศาลเหมือนกัน เหตุใดราชครูถึงไม่ไปหาเขา? ไปกลับรอบหนึ่ง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถอุ่นเหล้าหนึ่งกาให้ราชครูอยู่ในวังหลวงได้เสร็จพอดี แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเพราะกริ่งเกรงราชครู มารตนนี้จึงเร้นกายไปจากโลกภายนอก แถมยังมีข่าวลือออกมาว่าได้ย้ายสำนัก…”
นางตัดบทคำพูดของบุรุษ “การที่ข้าสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ คนผู้นั้นถือว่ามีความชอบใหญ่หลวง ลืมบอกฝ่าบาทไปว่า เขาถูกข้าสังหารไปแล้ว”
บุรุษอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างเสียดายว่า “เหตุใดราชครูไม่เกลี้ยกล่อมให้เขามาสวามิภักดิ์กับเรา หากได้คนผู้นี้มาช่วยเหลือ…”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่หัวเราะ “ข้าเคยทำแล้ว แต่เขามีข้อเรียกร้องข้อหนึ่ง บอกว่าต้องการให้ข้าไปเป็นอนุภรรยาของเขา ข้าคิดดูแล้วรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับการยกน้ำชงชาให้เขาแล้ว ฆ่าเขาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า”
บุรุษถอนหายใจก่อนหนึ่งครั้ง แต่แล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้จึงตีอกชกตัวพูดว่า “ราชครู เจ้าบอกข้ามาตามตรง คำพูดพวกนี้พูดกันก่อนที่จะต่อสู้ใช่ไหม?”
หญิงสาวรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ตบไหล่บุรุษพร้อมยิ้ม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ภายหลังมารตนนั้นคุกเข่าขอร้องโขกหัวยอมรับผิดอยู่แทบเท้านาง นางไม่ได้ตอบรับ หลังออกมาจากลัทธิมารที่กลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพแห่งนั้น นางควบม้าอยู่บนทางเล็กท่ามกลางภูเขา ปลายทวนยาวที่ถืออยู่ในมือยังปักตรึงศีรษะนั้นเอาไว้ เดิมทีคิดจะถือไปให้ฝ่าบาทที่อยู่ในวังหลวงได้ทอดพระเนตร ให้เขาได้เห็นว่าศีรษะของพญามารที่เขาเอาแต่ติดใจคิดถึงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่พอนึกถึงว่าฮ่องเต้ต้องบ่นที่ตนไม่คิดถึงส่วนรวม เลยสะบัดข้อมือสลัดศีรษะนั้นให้หลุดจากปลายทวน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน
ดังนั้นนางจึงรู้สึกผิดต่อฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกายเล็กน้อย
ฮ่องเต้คนหนึ่งที่แม้แต่เรื่องแต่งตั้งหรือปลดฮองเฮา คัดเลือกรัชทายาท เลือกสถานที่สร้างสุสานเชื้อพระวงศ์ก็ยังต้องสอบถามตน ถือว่าหาได้ยากมากในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
นางต้องรู้จักทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี
บุรุษเสียดายจนหัวใจเริ่มด้านชาแล้ว พูดแบบเนือยๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบให้คนส่งข่าวไปที่เมืองหลวง บอกให้พวกเขาเอาเสื้อเกราะตัวนั้นมาให้ราชครู เจ้านครจักรพรรดิขาวฝีมือไร้เทียมทานเกินไป ราชครูจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
จู่ๆ นางก็ส่ายหน้า ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “หากเปิดศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกับเจ้านครจักรพรรดิขาว จะสวมเสื้อเกราะแท่นเงินทองตัวนั้นหรือไม่ก็ไม่ได้ต่างกัน ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็น”
น้ำเสียงของบุรุษหนักอึ้ง “ขอร้องเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ข้าจะขอร้องเจ้าอีกครั้ง อย่าให้ถึงขั้นตัดสินเป็นตายกันเลย เอาแค่รู้แพ้รู้ชนะก็พอแล้ว จากนั้นก็ชมเมฆหลากสี เล่นหมากล้อม เดินเล่นริมแม่น้ำสายใหญ่ร่วมกับเจ้านครจักรพรรดิขาวก็พอ…”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่ชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาทอยากจะให้มีวันหนึ่งที่เจ้านครจักรพรรดิขาวแต่งเข้าเป็นเขยของราชวงศ์เราอย่างนั้นหรือ?”
บุรุษชูนิ้วโป้ง กล่าวอย่างคนหน้าหนาไร้ความละอาย “ราชครูวางแผนได้รัดกุมแม่นยำยิ่งนัก!”
หญิงสาวตอบอย่างเฉยเมย “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะแต่งงานให้กับวิถีวรยุทธ์อย่างเดียวเท่านั้น”
บุรุษถอนหายใจ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก
เมื่อหญิงสาวร่างสูงใหญ่ฉีกใบประกาศนี้ลงมา ไม่มีคนใดของเรือนซือเตาออกมาต้อนรับ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มาชมความคึกคักใกล้บริเวณกำแพงก็พากันแยกย้ายแตกฮือ
ในบรรดายอดฝีมือสิบคนล่าสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าต้องเป็นคนบนยอดเขาที่เคยเผยโฉมต่อชาวโลกมาก่อนในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา หาไม่แล้วจะถูกคัดออก
สุดท้ายผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่เดิมทีมีด้วยกันสิบท่าน อย่างเช่นพวกเทียนซือใหญ่จากภูเขามังกรพยัคฆ์ ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่เก้าคนเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวได้เลื่อนสู่ลำดับขั้นนี้
อีกทั้งสตรีที่เป็นเทพแห่งการต่อสู้ผู้นั้นยังกระโจนสู่ห้าอันดับแรกในรวดเดียว
อันดับที่สี่ก็คือเจ้านครจักรพรรดิขาว
หญิงสาวร่างสูงใหญ่หันไปพูดกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างหลังว่า “เจ้าเดินทางไปที่แจกันสมบัติทวีปแทนข้า หากคนเขาไม่เต็มใจมอบฝักกระบี่มาให้ก็ช่างเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำบากใจ”
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นข้ารับใช้พยักหน้ารับ
ก่อนจะเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันกับจินซู่ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เฉินผิงอันอยากจะเข้าไปดูว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีกระบี่ของชายฉกรรจ์สวมงอบหรือไม่ หากมี จะชื่อว่าอะไร? ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนที่ถูกสังหารไปมีกี่ตนกันแน่? ส่วนจินซู่นั้นอยากไปดูกระบี่พกของเซียนกระบี่หญิงที่ตัวเองชื่นชมเลื่อมใส
คนทั้งสองต่างก็มีความปรารถนาเป็นของตัวเอง จึงแยกย้ายกันไปดูในสิ่งที่ตนต้องการ
หอจิ้งเจี้ยนแบ่งออกเป็นสองชั้นบนและล่าง กระบี่ที่สร้างเลียนแบบซึ่งอยู่ชั้นบนไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม ส่วนชั้นหนึ่งนั้นสามารถเดินตรงเข้าไปข้างในได้ เพราะของเลียนแบบในหอจิ้งเจี้ยนนั้นอ้างอิงตามผลการสังหารปีศาจทุกระยะหนึ่งพันปี แล้วนำไปจัดวางไว้ในห้องหนึ่ง ดังนั้นจำนวนของกระบี่เซียนในห้องจึงมีไม่เท่ากัน แต่ไม่มีห้องใดที่ว่างเปล่า แค่มีมากหรือมากกว่าเท่านั้น เฉินผิงอันเดินดูไปตลอดทาง จดจำชื่อที่โบราณเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง คนที่สามารถสลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่และกระบี่ของพวกเขาน่าจะถูกบูชาไว้บนชั้นสองอย่างเป็นความลับ
การจัดวางของหอจิ้งเจี้ยนผ่านการใคร่ครวญอย่างตั้งใจยิ่ง ของเลียนแบบกระบี่ทุกชิ้น นอกจากจะวางไว้บนชั้นกระบี่ที่มีสีสันแตกต่างกันแล้ว ด้านหลังชั้นกระบี่ยังมีภาพวาดเซียนกระบี่สูงครึ่งตัวคน มีชีวิตชีวาเหมือนจริง อันที่จริงเรียกว่าภาพวาดคงไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเกิดจากการรวมตัวกันของไอหมอกสีขาว แจ่มชัดทุกรูขุมขนเหมือนตัวจริงมายืนอยู่
แม้ว่าของเลียนแบบกระบี่พกของเซียนกระบี่ฝ่ายชายจะมีมากกว่า แต่เฉินผิงอันดูเร็ว จินซู่ดูช้า ดังนั้นพอถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันกับจินซู่จึงมาเจอกันในห้องสุดท้ายพอดี และที่บังเอิญมากก็คือ คนทั้งสองแทบจะมายืนเคียงไหล่กันในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งมอง ‘จูอวี๋’ (ชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน เป็นไม้ยืนต้น ใบคู่รูปกลมรี ดอกสีเหลือง ผลเข้ายาสมุนไพรได้ มีสรรพคุณในการรักษาโรคฝันเปียกหรือองคชาติไม่แข็งตัว) ของเซียนกระบี่ชายด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีเล็กน้อย คนหนึ่งจ้องมอง ‘โยวหวง’ (ป่าไผ่ที่มืดทึบ) ของเซียนกระบี่หญิงด้วยแววตาซับซ้อน
ประเด็นสำคัญคือเซียนกระบี่ชายหญิงสองท่านนี้ต่างก็ไม่มีภาพเหมือนอยู่ด้านหลัง
จู่ๆ ก็มีคนเบียดเฉินผิงอันกระเด็น ปากก็สบถด่าไม่หยุด ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ฟังภาษาทางการที่ไม่รู้ว่าเป็นของทวีปไหนไม่ออก รู้แค่ว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดมาก คนผู้นั้นถ่มน้ำลายใส่ชั้นวางกระบี่และกระบี่ที่สร้างขึ้นเลียนแบบ ถือโอกาสชักสีหน้าถมึงทึงใส่เฉินผิงอันที่ปักหลักยืนอยู่ตรงนี้ด้วย จากนั้นก็พ่นภาษาที่เฉินผิงอันไม่เข้าใจใส่เขาอีกชุดใหญ่ ก่อนที่คนผู้นั้นจะสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ฟังภาษาทางการของทวีปตัวเองไม่ออกจึงจากไปอย่างเดือดดาล
จินซู่ถอนหายใจอย่างสะท้อนใจหนึ่งที “ไปกันเถอะ”
ตอนนั้นที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันได้ยินเว่ยป้อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตช่วงนั้น ไม่พูดถึงสงครามที่เผ่าปีศาจกำลังรุกรานกำแพงเมืองปราณกระบี่ เอาแค่ศึกที่ทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะเทือนซึ่งเป็นศึกตัดสินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะตกเป็นของเผ่าพันธ์ปีศาจหรือเป็นของผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่ไม่เพียงพอ เว่ยป้อเล่าว่าในศึกใหญ่อันดุเดือดนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ชายหญิงคู่หนึ่งได้ตายไป เป็นโศกนาฎกรรมของผู้กล้า เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ มีวิชากระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้า กลับถูกปีศาจใหญ่สังหารภายใต้สายตาของคนมากมาย!
ถูกสังหาร!
ทั้งสองคน
เฉินผิงอันมองชื่อของเซียนกระบี่ชาย แล้วค่อยหันไปมองชื่อของเซียนกระบี่ฝ่ายหญิง
จินซู่ถามอย่างสงสัย “เฉินผิงอัน ยังไม่ไปหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อนเถอะ ข้าว่าจะเดินดูในหอจิ้งเจี้ยนอีกรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เปิดตลอดสิบสองชั่วยามอยู่แล้ว”
นางถาม “เจ้าจำทางกลับได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงพยักหน้ารับ “จำได้”
จินซู่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็คิดแค่ว่าเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องกระบี่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำวาดฝันอยากจะเป็นอย่างเซียนกระบี่ของใต้หล้าแห่งนั้น จึงตัดใจจากมาไม่ได้ นางเดินออกจากห้องที่อยู่ปลายสุดห้องนี้ แล้วเดินผ่านห้องที่เหลือไปทีละห้อง ราวกับกาลเวลาหมุนย้อนกลับ ร้อยปี พันปี หมื่นปี
คนต่างถิ่นที่มาเยือนหอจิ้งเจี้ยนเพื่อชื่นชมเซียนกระบี่ที่ตนเลื่อมใสมีเยอะมาก ส่วนใหญ่ล้วนมีมารยาท ต่อให้เด็กหนุ่มจะยืนนิ่งอยู่ด้านหน้ากระบี่ที่เลียนแบบ ‘จูอวี๋’ อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนที่นั่งยองในห้องส้วมแต่ไม่ยอมถ่าย ก็ไม่มีใครพูดอะไรมาก แต่ก็มีคนบางส่วนที่นิสัยเสียเหมือนคนก่อนหน้านี้ หากไม่ทำเสียงแค่นพ่นออกจากจมูกก็พูดจาถากถางเย้ยหยัน บ้างก็ถ่มน้ำลายใส่ชั้นกระบี่ที่วางกระบี่เลียนแบบกระบี่จูอวี๋ กระบี่โยวหวงสองเล่มนี้
เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไร
แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้น เหน็บแนม เย็นชา หัวเราะเยาะ สมน้ำหน้า สนุกสนาน และสนใจจากคนเหล่านั้น…
เฉินผิงอันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ก็เหมือนตอนที่อยู่บนผิวทะเลนอกเกาะกุ้ยฮวาในครานั้น
ราวกับว่าโลกทั้งใบหลงเหลือเพียงจิตใจที่ชั่วร้าย
เป็นอีกครั้งที่เฉินผิงอันถูกชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งกระแทกจนกระเด็น คนผู้นั้นก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เตรียมจะใช้หนึ่งหมัดต่อยชั้นวางกระบี่ให้พัง ทว่าเวลานี้เอง นักพรตหญิงวัยกลางคนที่สวมกวานหางปลากลับโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า พูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ห้ามทำลายของที่เก็บไว้ในหอจิ้งเจี้ยน ผู้ที่ละเมิดกฎต้องรับผลที่จะตามมาด้วยตัวเอง”
ชายฉกรรจ์เก็บหมัดลงอย่างขุ่นเคือง เอ่ยถามว่า “ถุยน้ำลายใส่ได้ไหม ถือว่าผิดกฎของภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
นักพรตหญิงเพียงยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบ
ชายฉกรรจ์เข้าใจสารที่ส่งมา จึงขากเสลดเหนียวข้นใส่ชั้นวางกระบี่แล้วหมุนตัวจากไปทันที
ข้างๆ มีคนปรบมือร้องว่าดี ชายฉกรรจ์ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ทำเรื่องที่ผู้คนเบิกบานใจ
เฉินผิงอันยังคงฟังอะไรไม่เข้าใจสักอย่าง
เขาเดินไปที่มุมกำแพงของห้องเงียบๆ นั่งยองลงดื่มเหล้า มีเพียงทุกช่วงเวลาที่แขกบางตา เขาถึงจะรีบลุกขึ้น เดินไปเช็ดคราบน้ำลายที่อยู่บนของเลียนแบบกระบี่จูอวี๋ กระบี่โยวหวงและบนชั้นวางกระบี่ให้สะอาดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลับไปนั่งดื่มเหล้าตรงมุมห้องอีกครั้ง นานเข้าก็มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเด็กหนุ่มคือคนงานของหอจิ้งเจี้ยนที่รับผิดชอบดูแลห้องนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ของเลียนแบบของเซียนกระบี่สองท่านที่เป็นคนบาปของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกคนทำลาย
เฉินผิงอันอยู่ในห้องนี้จนถึงยามค่ำ คนที่มาท่องเที่ยวน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นจำนวนที่เขาลุกขึ้นจึงน้อยตามไปด้วย
ม่านราตรีเคลื่อนปกคลุม เป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มแล้วที่ไม่มีคนมาห้องนี้
เฉินผิงอันถึงได้ออกจากหอจิ้งเจี้ยน เขานั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกหอ ถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือ แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น
เซียนกระบี่ชายแซ่หนิง
เซียนกระบี่หญิงแซ่เหยา
เคยมีแม่นางคนหนึ่งแนะนำตัวกับเฉินผิงอันว่า ‘สวัสดี บิดาข้าแซ่หนิง มารดาข้าแซ่เหยา เพราะฉะนั้นข้าจึงชื่อหนิงเหยา’
ตอนที่ต่อสู้กับวานรย้ายภูเขาจากเขาตะวันเที่ยง จากความหมายในคำพูดของแม่นางคนนั้น เห็นได้ชัดว่าบิดามารดาของนางต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างการแสดงออกของนางในถ้ำสวรรค์หลีจูตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เหมือนคนที่สูญเสียบิดามารดาแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้เว่ยป้อจะพูดถึงเรื่องคู่รักเซียนกระบี่ที่ตายในการต่อสู้ เฉินผิงอันก็ไม่เคยนึกไปถึงแม่นางคนนั้น
แต่พอย้อนกลับมานึกดู เบาะแสมีให้เห็นตั้งนานแล้ว
นางไม่ชอบพูดถึงอักษรตัวเหมิ่งที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่
นางบอกว่าวันหน้าบุรุษของตนต้องเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า เซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่ง ไม่มีคำว่าหนึ่งใน
นางท่องอยู่ในใต้หล้าไพศาลเพียงลำพังมาเนิ่นนาน หวังให้ใครสักคนหลอมกระบี่ที่ดีให้เล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันนั่งกอดเข่าอยู่บนขั้นบันได
กล่องกระบี่ที่เขาสะพายอยู่ด้านหลังบรรจุกระบี่สองเล่มที่เขาตั้งชื่อให้ว่ากำจัดปีศาจและปราบมาร
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยังบรรจุกระบี่บินอีกสองเล่มที่เขาตั้งชื่อให้ว่าชูอีกับสืออู่
รองเท้าสานที่สวมบนเท้าก็ยังเป็นคู่หนึ่ง
จูอวี้ โยวหวงในห้องด้านในสุดของหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็ยังมีชีวิตพึ่งพากันและกัน
ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่บนขั้นบันไดนี้นานเท่าใด สองตาของเขาเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างไรชีวิตชีวา แต่แล้วก็พลันคืนสติ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีแม่นางคนหนึ่งยืนอยู่
นางขมวดคิ้วน้อยๆ เจอหน้ากันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “เฉินผิงอัน ทำไมจดหมายที่ส่งไปที่บ้านข้า เจ้าถึงไม่ใช่คนเขียน แต่เป็นหร่วนซิ่ว? เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ตอบไม่ตรงกับคำถามว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ แม่นางหนิง”
นางเห็นท่าทางทึ่มทื่อนั้นแล้วก็ถอนหายใจ รู้สึกระอาใจเล็กน้อย เดินไปนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน พูดเสียงขุ่น “ไม่ได้เจอกันนาน? นี่เพิ่งจะผ่านไปเท่าไหร่เอง”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วเกาหัว
ไม่รู้ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงรู้สึกว่าผ่านมานานมากแล้ว
เดินทางนับพันนับหมื่นลี้
ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง
นางชำเลืองตามองเจ้าคนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม แล้วก็มองกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย นางพลันคลี่ยิ้ม อดพูดไม่ได้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคน…”
หนิงเหยาสังเกตเห็นด้วยความประหลาดใจว่ายังไม่ทันรอให้ตนพูดจบ เจ้าทึ่มที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินผู้นี้ก็ตกใจจนเหงื่อหยดซะแล้ว