บทที่ 272 แม่นางหนิง ขอโทษนะ
เฉินผิงอันไม่รอให้หนิงเหยาพูดจบก็เอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่าแม่นางหนิงเจ้ารอสักครู่ จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วแอบดื่มเหล้า
หนิงเหยาไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย
หรือว่าเจ้าหมอนี่แอบไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อตน? ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เดินทางจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงภูเขาห้อยหัวติดหนี้บานเบอะ โดยลงในบัญชีของนางหนิงเหยา?
หรือยกตัวอย่างเช่นเขาทำตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นหายไปตั้งนานแล้ว ฝึกกระบวนท่าหมัดแค่ไม่กี่พันครั้งก็รู้สึกว่าไม่มีอนาคต ตอนนี้เลยสะพายกล่องกระบี่ เริ่มฝึกกระบี่แล้ว สุดท้ายกลายเป็นว่าทั้งหมัดทั้งกระบี่ต่างก็ไม่ได้เรื่องทั้งคู่?
หรือว่าตอนที่เฉินผิงอันท่องอยู่ในยุทธภพเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ รอบกายมีสตรีรู้ใจที่โง่งมห้อมล้อมกลุ่มใหญ่ ตอนนี้กำลังรอคอยเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยม?
หนิงเหยาคิดไปเหนือใต้ออกตก สารพัดจะคิด
มีเพียงเรื่องเดียวที่นางไม่ได้คิดถึงคือเฉินผิงอันทำกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมให้หาย
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว เขาจะต้องเอากระบี่มาส่งแน่ๆ
ดื่มเหล้าแล้ว เฉินผิงอันก็พลันลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมาเผชิญหน้ากับหนิงเหยา ด้านหลังหนิงเหยาก็คือหอจิ้งเจี้ยนแห่งนั้น ราวกับว่านางคือศูนย์รวมจิตวิญญาณนับหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงของจูอวี๋และโยวหวง ตอนนั้นที่เฉินผิงอันนั่งยองอยู่มุมกำแพง เขาคิดเรื่องราวอะไรมากมายให้วุ่นวายไปหมด ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนในหนังสือที่มีประโยคหนึ่งเอ่ยว่า ‘ปักดอกจูอวี๋เต็มหัว ขาดข้าเพียงคนเดียว’ ‘นั่งเดียวดายในป่าไผ่มืดครึ้มเงียบสงบ’ (ป่าไผ่มืดครึ้มตรงกับชื่อกระบี่โยวหวง) นึกถึงอาเหลียงและตัวอักษรเหมิ่ง นึกถึงตัวอักษรแกะสลักที่มีประวัติยาวนานยิ่งกว่าเช่นคำว่าเหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ) เฉินผิงอันยังถึงขั้นนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่คนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่ภาพที่เขานั่งเซ่ออยู่บนขั้นบันไดของภูเขาห้อยหัวแล้วเจอนางอย่างแน่นอน
หนิงเหยานั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างคนใจเย็น นางเอนตัวไปข้างหลัง เท้าข้อศอกลงบนขั้นบันไดที่อยู่สูงกว่าอย่างเกียจคร้าน หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง คิ้วสองข้างที่เป็นเหมือนดาบแคบยิ่งขยายยาวชวนให้คนใจสั่น
พอเห็นภาพนี้ เฉินผิงอันกลับพูดไม่ออกสักคำ หันหน้ากลับไปดื่มเหล้าอีกครั้ง
เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด
จู่ๆ หนิงเหยาก็เลิกคิ้ว นั่งตัวตรง เอ่ยถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลายเป็นผีขี้เหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
คำพูดที่กว่าจะปลุกระดมความกล้าได้มากเพียงพอ คำพูดที่ไต่ขึ้นมาที่ปากอย่างยากลำบากราวกับปีนขึ้นเขาถูกกลืนกลับลงท้องไปด้วยความตกใจ แต่ละคำเป็นเหมือนร่างที่ร่วงหล่นไปจากหน้าผา กระดูกกระแทกแตกย่อยยับ
เฉินผิงอันถอนหายใจอย่างเศร้าอาลัย นั่งยองลงไปบนพื้น ยกสองมือเกาหัวไม่พูดไม่จา
หนิงเหยาลุกขึ้นยืน พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะตัวสูงขึ้นนะ?”
เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน ยื่นมือไปขวางไม่ให้หนิงเหยาเดินลงมาจากบันได “แม่นางหนิง เจ้ารอข้าพูดประโยคนี้ให้จบก่อน!”
เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นสูง ยืดอกตั้ง กำน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้แน่น สายตาจ้องมองไปยังแม่นางที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนนั้น
หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ คล้ายเดาไม่ออกว่าเฉินผิงอันคิดจะทำอะไรกันแน่
เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางหนิง…”
เขารีบส่ายหน้า เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ว่า “หนิงเหยา ข้าชอบเจ้า”
หนิงเหยานั่งกลับลงไปบนขั้นบันได “แน่จริงเจ้าก็พูดดังๆ สิ”
เฉินผิงอันจึงแผดเสียงตะโกนไปว่า “หนิงเหยา! ข้าชอบเจ้า!”
หนิงเหยาถาม “เจ้าเป็นใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ไม่มีความสำรวมระมัดระวังตนอีก พูดอย่างห้าวหาญว่า “เฉินผิงอันแห่งหลงเฉวียนต้าหลี!”
แม้เฉินผิงอันเองก็รู้ว่า หลังส่งมอบกระบี่ให้แม่นางหนิงแล้ว ได้อยู่ด้วยกันอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดควรไปเห็นบ้านเกิดที่แม่นางหนิงเติบโตมา รวมถึงทำความรู้จักกับสหายของนางที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะพูดมันออกไปดีหรือไม่ นั่นถึงจะเป็นวิธีการที่มั่นคงที่สุด ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือหนิงเหยาไม่ชอบเขา แต่ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นเพื่อนกันได้
ทว่าเฉินผิงอันไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น
หนิงเหยาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นางถามเฉินผิงอันด้วยสีหน้าประหลาด “ชอบคนคนหนึ่งแล้วร้ายกาจมากนักหรือ?”
เฉินผิงอันมึนงง ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบนางอย่างไร
เฉินผิงอันอดตำหนิอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งของแคว้นซูสุ่ยกับอาจารย์ของผู้เฒ่าพายเรือบนเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้ คนหนึ่งปากอีกา อีกคนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมถ่ายทอดประสบการณ์ในยุทธภพให้
หนิงเหยาลงบันไดมาด้วยก้าวเดียว พอหยุดอยู่หน้าเฉินผิงอันแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมา “เอามา”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที คลายเชือกออก ปลดกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลัง ดึงกระบี่ยาวเล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นผู้หลอมออกมายื่นส่งให้แม่นางที่อยู่ตรงหน้า
พอรับกระบี่ยาวมาแล้ว หนิงเหยาก็ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อตรวจสอบความคมของมัน เพียงแขวนไว้ตรงเอวฝั่งขวาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า สวนไหล่กับเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนั้น
พอเฉินผิงอันหันขวับไปมองก็เห็นแค่ว่านางชูมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นการอำลา
ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เพราะความกล้าหาญทั้งหมดล้วนถูกใช้กับประโยคนั้นไปหมดแล้ว
เขาเหม่อมองนางอยู่เนิ่นนาน ไม่ยอมถอนสายตากลับ ไม่ยอมหันหน้ากลับมา
นางยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล เรือนร่างค่อยๆ หายไปท่ามกลางม่านราตรี
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา เดินไปยังบันไดตรงตำแหน่งที่ตัวเองนั่งก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มพร่ำพูดถึงถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันพูดมันออกไป
แม่นางหนิง เจ้าสบายดีไหม?
แม่นางหนิง ข้าออกจากบ้านคราวนี้ได้พบเจอเรื่องที่น่าสนใจมากมาย เล่าให้เจ้าฟังดีไหม?
แม่นางหนิง เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ตอนนั้นที่ข้ารับปากเจ้าว่าจะฝึกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้ง ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นครั้งแล้ว
แม่นางหนิง เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง พอเจ้ายิ้ม ข้าจะต้องรู้สึกทุกครั้งว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในโลก
หนิงเหยา ข้าได้เจอกับอาเหลียง แต่อาจารย์ฉีไม่อยู่แล้ว
หนิงเหยา ข้าเคยไปที่แคว้นหวงถิง ต้าสุย แคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย นครมังกรเฒ่า ไปมาหลายสถานที่ ได้พบเจอแม่นางมากมาย แต่พวกนางล้วนไม่งดงามเหมือนเจ้า
แม่นางหนิง เมื่อก่อนเจ้าถามข้าว่าชอบเจ้าหรือไม่ ข้าบอกว่าไม่ชอบ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้ข้าชอบเจ้ามากถึงขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ ขอโทษนะ
แม่นางหนิง ได้พบเจ้า ข้าดีใจมาก
……
บนลานกว้างหยกขาวตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตน้อยที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะนั่งเปิดหนังสืออยู่บนเบาะต่ออีกครั้ง หลายวันมานี้คือวันถือศีลกินเจที่สำคัญของใต้หล้ามืดสลัว แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาห้อยหัวไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นคนของใต้หล้าไพศาล ดังนั้นประตูบานใหญ่ที่ทะลุไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่บานนี้ต้องรอยามจื่อของวันมะรืนถึงจะเปิดใหม่อีกครั้ง หาไม่แล้วที่นี่ย่อมเป็นหนึ่งในแถบที่คึกคักที่สุดของภูเขาห้อยหัว
เพราะที่นี่มีแต่คนผ่าน ไม่มีของผ่าน
ศูนย์กลางการขนส่งที่แท้จริงอยู่กึ่งกลางภูเขาห้อยหัว
ท่าเรือแปดแห่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งรวมถึงศาลาจัวฟ่างและหอซ่างเซียงต่างก็มีทางลาดเอียงสายใหญ่ที่โยงไปถึงกึ่งกลางภูเขา ในอดีตด้วยเรื่องที่ว่าจำเป็นต้องเจาะผนังภูเขาเพื่อสร้างท่าเรือใหญ่ไว้กลางภูเขา จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนเคยทะเลาะกันมาก่อน เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคิดว่าเพื่อแนวโน้มของสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว เหตุใดภูเขาห้อยหัวต้องปล่อยให้เงินค่าควันธูปมากมายขนาดนั้นเสียเปล่าไปโดยไม่รู้จักไขว่คว้ามา?
นักพรตน้อยที่นอกจากจะมีสถานะเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว ยังเป็นคนสำคัญอันดับสองของภูเขาห้อยหัวด้วยกลับรู้สึกว่าการขุดดินก่อสร้างบนภูเขาห้อยหัว ขอแค่เกี่ยวพันกับตัวของตราประทับภูเขา ต่อให้จะแค่เสี้ยวเดียวก็ถือเป็นการไม่เคารพต่อท่านอาจารย์แล้ว
ตอนนั้นคนทั้งสองทะเลาะกัน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ถึงกับลงไม้ลงมือกันเพราะเหตุนี้ หลังจบเรื่องต่างคนต่างไปจุดธูปสามดอกบนหอซ่างเซียง ทำเอาอาจารย์เจ้าลัทธิที่ปกติพำนักอยู่ฟ้านอกฟ้าตกใจ อาจารย์กลับไปที่หอป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวก่อน จากนั้นจึงร่างโองการด้วยตัวเองหนึ่งฉบับ สองศิษย์พี่ศิษย์น้องถึงยอมหยุดลงได้ แต่นับจากนั้นมา ด้วยความโมโห นักพรตเด็กที่เดิมทีกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือไม่แพ้ศิษย์พี่ก็ไม่สนใจกิจธุระของภูเขาห้อยหัวอีกเลย เขาโยนงานทั้งหมดให้เทียนจวินใหญ่ ส่วนตัวเองก็มานั่งเฝ้าอยู่บนเบาะรองนั่งตรงนี้
บุรุษกอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามักจะหลับตลอดช่วงเวลากลางวัน แต่พอถึงกลางคืนกลับตื่นคืนสติแจ่มชัด ดวงตาของเขาสว่างดุจแสงจันทร์กระจ่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น มองซ้ายทีมองขวาทีเหมือนกำลังรอใครอยู่
รอแล้วรอเล่า แต่คนที่รอก็ยังไม่มาสักที เขาจึงเริ่มหงุดหงิด กระโดดลงจากเสาผูกม้า (ซวนหม่าจวง เสาหินแกะสลักของจีน มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม บ้านคนมีฐานะในสมัยโบราณเอาไว้ใช้ผูกม้า วัวเพื่อแสดงถึงความร่ำรวย และยังมีความหมายถึงการสยบความชั่วร้ายปกป้องบ้านเรือน ภายหลังกลายมาเป็นเหมือนเสาประดับ) เดินอ้อมประตูใหญ่ที่เหมือนกระจกมานั่งยองอยู่ข้างกายนักพรตน้อย ข้างหูได้ยินเพียงเสียงเปิดหน้าหนังสือที่เนิบช้าของอีกฝ่าย
เดิมทีช่วงนี้อารมณ์ของนักพรตน้อยก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นนักพรตเต๋าสายของเทียนจวินใหญ่ แต่กลับสนิทสนมกับลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิ พอเห็นกะเทยแซ่ลู่ผู้นั้นก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ และคำพูดคำจาที่วางโตของกะเทยนั่นก็ยิ่งทำให้เขารำคาญ เรื่องที่ศิษย์พี่เทียนจวินใหญ่แพ้คนอื่นในการต่อสู้ก็ยิ่งทำให้เขาโมโห
เหตุใดใต้หล้าถึงมีเรื่องที่ทำให้คนหงุดหงิดใจมากมายขนาดนี้?
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ป๋ายอวี้จิง ตอนที่ยังไม่ถูกลู่เฉินเจ้าลัทธิน้อยหลอกมาที่ภูเขาห้อยหัวกลับไม่มีเรื่องน่ารำคาญใจมากมายขนาดนี้ ทุกวันเดินเล่นอยู่บนราวระเบียงเป็นเพื่อนเจ้าลัทธิลู่ รอให้อาจารย์กลับจากฟ้านอกฟ้ามาพักผ่อนที่ป๋ายอวี้จิง บางครั้งโชคดียังได้เจอกับท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าเป็นคนที่ยุ่งมาก น้อยครั้งที่จะมาปรากฏตัวที่ป๋ายอวี้จิง หากไม่ไปท่องเที่ยวยังพื้นที่ลับไม่รู้ชื่อ ช่วยทำให้โชคชะตาของบางแห่งมั่นคง สร้างถ้ำสวรรค์สำหรับผู้ฝึกตน ก็มนสิการมรรคาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้บรรลุมรรคาอีกแล้ว ตามคำอธิบายของท่านอาจารย์ คำว่ามนสิการนี้ก็แค่คอยมองจุลมรรคาของคนอื่นเท่านั้น
นักพรตน้อยทนชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “ก็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่งไม่ใช่หรือ มีอะไรให้น่าดูกัน”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นคนที่มีความผิดติดตัว ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่ นานๆ ทีจะมีความสนใจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้”
นักพรตน้อยปิดหนังสือ ยิ้มกว้าง “โอ้ ห่างแค่บานประตูกั้น ตัวอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ยังได้ครอบครองเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียน ความสนใจเล็กๆ น้อยๆ ? น้อยแค่ไหน?”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนส่ายหน้าถอนหายใจ “คุยกับคนแบบเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”
ชายฉกรรจ์เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “ยังคงเป็นคู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพวกเราที่เข้ากันได้ดียิ่งกว่าเรา ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เริ่มเดิมพันเล็กๆ กันแล้วหรอกหรือ”
ประโยคนี้ถึงได้ทำให้นักพรตน้อยสนใจขึ้นมาได้บ้าง “เดิมพันอะไร?”
ชายฉกรรจ์กอดดาบถามหยั่งเชิง “แบ่งให้ข้านั่งบนเบาะสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”
นักพรตน้อยไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเย็นตอบ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ไม่ตื๊ออีก พูดต่อไปว่า “เหล่าเหยาที่อยู่ข้างๆ เดิมพันกับนักพรตหญิงพกดาบคนนั้นว่า ก่อนฟ้าจะสาง ตอนที่แม่นางน้อยกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะกลับไปคนเดียวหรือว่าสองคน”
นักพรตเด็กถาม “แล้วทำไมไม่เดิมพันว่าจะไม่ได้กลับไปเลยสักคนล่ะ?”
ชายฉกรรจ์อุ้มดาบส่ายหน้า มองไปยังทิศไกล “นางต้องกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่”
นักพรตน้อยถาม “เพราะเกียรติของสองแซ่อย่างหนิงและเหยา?”
ชายฉกรรจ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
นักพรตน้อยดวงตาเป็นประกาย โบกชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ หลังจากท่องสองชื่อซึ่งเป็นภาษาบุรพแจกันสมบัติทวีปอยู่ในใจ ยันต์สีเขียวสองแผ่นก็วาดเสร็จในเวลาเดียวกันแล้วพุ่งวับหายไป
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำลายยันต์สองแผ่นที่บางเบายิ่งกว่าควันเขียวให้แตกสลาย กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่สมควรฟังอย่าฟัง”
ยันต์สองแผ่นนั้น แผ่นหนึ่งคือยันต์ฟ้าดินตอบรับ อีกแผ่นคือยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้า ฝ่ายแรกสามารถพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่สถานที่ใดมีการพูดคุยเกี่ยวกับถ้อยคำที่คนวาดยันต์ท่องลงไป ยันต์แผ่นนี้ก็จะเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันทึกบทสนทนาเอาไว้ได้ ส่วนฝ่ายหลังยันต์ไล้ใบหน้าสามารถตามหาบุคคลที่ถูกวาดภาพไว้บนยันต์และส่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาได้
ยันต์ทั้งสองชนิดมีระดับขั้นสูงมาก แล้วก็วาดสำเร็จได้ยากมากด้วย แต่หากเป็นบนภูเขาจะถือเป็นซี่โครงไก่สำหรับสายยันต์ลัทธิเต๋า เพราะยันต์ตอบรับก็ดี ยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้าก็ช่าง เมื่อเจอกับสถานที่ที่มีตราผนึกเวทอาคมและสถานที่ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็จะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นไปชนเข้ากับจวนใหญ่ที่มีเทพทวารบาลเฝ้าพิทักษ์ ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง สุสานไร้ญาติ เป็นต้น
ต่อให้วัสดุในการเขียนยันต์จะดีแค่ไหน แต่แรงสะท้อนกลับจะรุนแรงมาก ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป พอผู้ฝึกลมปราณสังเกตเห็น ย่อมถูกมองเป็นการท้าทาย เมื่อไล่ตามเบาะแสมาก็ง่ายที่จะเจอกับคนวาดยันต์ สุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง
ดังนั้นยันต์สองแผ่นนี้จึงเหมาะสมให้เอาไปใช้ตรวจสอบความจริงจากสถานที่ที่ ‘ไร้อาคม’ เท่านั้น
แต่ว่านักพรตน้อยคิดจะควบคุมยันต์สองแผ่นในถิ่นของตัวเองย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น
น่าเสียดายก็แต่ถูกเซียนกระบี่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นดีดนิ้วทำลายทิ้งไปแล้ว
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถาม “จะเดิมพันหรือไม่?”
นักพรตน้อยหมดความสนใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ล่ะ ผีพนันอย่างเจ้านิสัยการเล่นพนันย่ำแย่จนติดสามอันดับแรกของภูเขาห้อยหัวได้เลย ข้าเดิมพันกับเจ้า หากแพ้ ข้าต้องมอบของให้กับเจ้า แต่หากชนะ ก็ไม่มีทางได้ของมาแน่ เดิมพันอะไรกัน ไม่เด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์สีหน้าหดหู่ “ชีวิตนี้ข้าไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ขนาดเป็นผีพนันก็ยังอยู่อันดับหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
นักพรตน้อยนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหัวเราะฮ่าๆ “อย่างเจ้าน่ะถือว่าดีแล้ว ลองมองกระบี่ผุๆ สองเล่มที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยนแล้วหันกลับมามองตัวเองดูสิ ผู้คนจากที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาล ใครบ้างที่ไม่เคารพนอบน้อมต่อเจ้า? ในสายตาของพวกเขา เซียนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้า ต่อให้ผายลมก็ยังหอม”
ชายฉกรรจ์กอดดาบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าการที่ข้าได้มาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่ ไม่ควรมีอะไรให้ไม่พอใจสินะ”
นักพรตเด็กวางตำราลง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า
ชายฉกรรจ์พึมพำว่า “สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว จากบ้านไปหนึ่งร้อยปี บ้านเกิดก็คงเปลี่ยนเป็นมาตุภูมิแล้ว สำหรับผู้ฝึกลมปราณ หนึ่งพันปีก็ถือว่าใช่ แล้วนักโทษลี้ภัยพลัดถิ่นที่จากบ้านมานานเกินหมื่นปีอย่างพวกเราล่ะ?”
นักพรตน้อยไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้
เพราะตอบยากเกินไป
……
ฝั่งของภูเขาห้อยหัวคือยามดึกฟ้ามืดมิด อีกฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่กลับเป็นช่วงกลางวันที่แสงแดดส่องเจิดจ้า
มีคนสองคนนั่งเฝ้าประตูอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัว
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเสื้อเทาคนหนึ่งกำลังหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างโจ่งแจ้ง ข้างกายมีนักพรตหญิงวัยกลางคนพกดาบอาคมคนหนึ่งยืนอยู่
นักพรตหญิงขมวดคิ้วถาม “แม่หนูหนิงไปที่ภูเขาห้อยหัวโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ถึงเวลานั้นหากเทียนจวินใหญ่ซักถามขึ้นมา ข้าคงต้องตอบไปตามตรง”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “พูดไปตามความจริงได้เลย ข้ารับผิดชอบเอง”
ห่างไปไกลมีเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา พวกเขาต่างก็เป็นลูกรักซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
แม้ว่าพวกเขาจะมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่กันแทบทุกคน เรียกได้ว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ ทว่าในศึกใหญ่ช่วงที่ผ่านมา ระยะเวลาไม่ถึงสามปี เด็กกลุ่มนี้ก็ออกรบกันไปแล้วถึงสามครั้ง และเพื่อนก็น้อยลงไปสองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่มีฉายาว่าตั๊กแตนน้อย เขาตายในสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมือง อีกคนหนึ่งฝึกประสบการณ์สำเร็จจึงกลับไปยังสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพกกระบี่ยาวสองเล่มตรงเอว เล่มหนึ่งมีฝักชื่อว่าคัมภีร์ อีกเล่มหนึ่งไร้ฝัก ชื่อว่าลายเมฆ
เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มมาตั้งแต่เกิด แต่กลับมีปราณสังหารเข้มข้นที่สุด ตรงเอวพกกระบี่สายฟ้าม่วง
เด็กสาวแขนเดียวคนหนึ่งสะพายกระบี่สยบขุนเขาที่ใหญ่เกินตัวไปมาก
เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมหน้าตาอัปลักษณ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบากพกกระบี่นงคราญ
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเห็นพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ (เป็นคำด่า สมัยโบราณคำว่ากระต่ายใช้ด่าผู้หญิงที่สำส่อน ลูกกระต่ายจึงเป็นคำด่าว่าลูกไม่มีพ่อ) แล้วก็ชักสีหน้า หลอมกระบี่ของตนต่อไป
กลับเป็นนักพรตหญิงดาบอาคมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่คลี่ยิ้มทักทายเด็กทุกคนอย่างจริงใจ
เรียกคนเหล่านี้เป็นเด็ก ก็แค่เพราะดูจากส่วนสูงและอายุของพวกเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทุกคนต่างก็มีอนาคตยาวไกล ระดับความสูงของความสำเร็จในอนาคตแทบจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่มองเห็น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงแล้วลงจากหัวกำแพงไปยังสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารในแต่ละครั้งมาด้วยตัวเองก็ยิ่งชนะใจและได้รับความเคารพที่มากพอจากผู้คน
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าเจ้าแซ่อะไรก็ล้วนต้องลงสนามรบ
แน่นอนว่าก็มีความแตกต่างในบางเรื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับตบะและขอบเขตของอาจารย์กระบี่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่บ้านยากจน ได้แต่ยอมรับอาจารย์กระบี่ที่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่จัดหาให้แต่โดยดี ส่วนพวกลูกหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ซึ่งลงสนามรบตั้งแต่อายุน้อย ข้างกายย่อมต้องมีคนติดตามอย่างลับๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้ารับใช้มีฝีมือที่ยังไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบชั่วคราว ทว่าเว้นเสียจากจะตกอยู่ในอันตรายที่ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางลงมือช่วยเหลือง่ายๆ เด็ดขาด
ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินทางแถบทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกแทรกซึมไปด้วยปราณกระบี่ที่สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากโบราณมาจวบจนปัจจุบัน
ทว่าทั่วทุกอณูพื้นที่ทางทิศใต้กลับอาบโชกไปด้วยเลือดของบรรพบุรุษ
คนกลุ่มนี้มีนิสัยแตกต่างกันออกไป เด็กอ้วนตอแยอยู่กับนักพรตหญิงดาบอาคม พูดจาต่ำช้าหยาบโลนเลียนแบบคนบางคน ผลกลับถูกนักพรตหญิงจากภูเขาห้อยหัวตอกกลับจนใบ้กิน เด็กสาวแขนเดียวพยายามเพ่งตาจ้องมองวิธีการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เด็กหนุ่มหล่อเหลาทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนเด็กหนุ่มตัวดำกลับเหม่อมองไปยังประตูใหญ่บานนั้นอย่างทึ่มทื่อ ห่างแค่เพียงเอื้อมมือก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว อีกอย่างที่นั่น ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็มีแค่ดวงเดียว ทัศนียภาพของที่นั่น ภูเขาเขียวน้ำใส เด็กหนุ่มไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าแบบไหนคือภูเขาเขียวน้ำใส
เด็กหนุ่มหล่อเหลาใช้ฝ่ามือของมือสองข้างตบไปที่ด้ามกระบี่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะหงุดหงิดงุ่นง่าน บ่นไปด้วยว่า “หากได้เจอไอ้หมอนั่น ข้ากลัวว่าจะอดไม่ไหวชักกระบี่ฟันออกไป ถึงเวลานั้นเจ้าต้องห้ามข้าด้วยนะ”
เด็กหนุ่มตัวอ้วนหัวเราะหึหึ “ห้ามเหิ้มอะไรกัน ฟันให้ตายไปเลย ถึงเวลานั้นพอเจ้าถูกหนิงเหยาสับเป็นเนื้อบด ขาดคนขวางหูขวางตาไปทีเดียวถึงสองคน ก็ไม่เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ วางใจเถอะ กระบี่สองเล่มอย่างคัมภีร์และลายเมฆ ข้าจะช่วยเก็บรักษาให้เอง”
เอ่ยหยอกล้อไปแล้ว เด็กหนุ่มตัวอ้วนก็พูดอย่างจนใจเล็กน้อย “เรื่องเกี่ยวกับไอ้หมอนั่น หนิงเหยาไม่ยอมพูดอะไรมาก พูดซ้ำไปซ้ำมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น คนโง่จากถ้ำสวรรค์หลีจู คนดีเกินเหตุ คนเห็นแก่เงิน…ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า หากให้เลือก ก็ยังเป็นเจ้าหนอนหนังสือจากสถานศึกษาที่น่าชื่นชอบมากกว่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรเขาก็เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรามาหลายครั้ง แถมยังเคยช่วยต่งถ่านดำหนึ่งครั้ง ถือว่าพอจะคู่ควรกับหนิงเหยาได้อย่างถูไถ”
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ถลึงตาใส่เจ้าอ้วนอย่างดุดัน
ฝ่ายหลังมีหรือจะกลัว ชม้อยชม้ายชายตากลับคืน
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถามขึ้น “พวกเราคิดมากกันไปเองหรือเปล่า ด้วยนิสัยอย่างหนิงเหยา ชั่วชีวิตนี้จะชอบใครได้หรือ?”
เด็กสาวแขนเดียวครุ่นคิดอย่างตั้งใจ นางที่พูดน้อยราวกับว่าคำพูดมีค่าดุจทองคำให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ยาก!”
……
ครึ่งคืนหลังของภูเขาห้อยหัว เด็กสาวองอาจที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มพกกระบี่คู่ไว้ที่เอวมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กับตีนเขาภูเขาเดียวดาย นางเดินตรงไปที่กระจกโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่และนักพรตเด็ก
พริบตาเดียวนางก็เดินออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของกระจก ดวงอาทิตย์ร้อนแรงสาดแสงกลางอากาศ นางเงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ
ส่วนคนรุ่นเดียวกับเด็กสาว เหล่าสหายที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสในตัวนาง แต่ละคนที่หยาบกระด้างกลับรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกว่าวันนี้ที่หนิงเหยากลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงคนเดียว อากาศไม่เลวเลยจริงๆ
เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มแซ่ต่งที่ตัวดำเหมือนถ่านก็หันหน้ามาเรียก “พี่หญิงหนิง?”
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที สาวเท้าก้าวเร็วๆ เดินไปให้ทันพวกเขา
แล้วก็เดินเลยพวกเขาไป
คนสี่คนที่พูดคุยหัวเราะสนุกสนานจึงพากันเงียบเสียงลง
……
นอกหอจิ้งเจี้ยนภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน คิดว่าจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย
หลังจากที่เขาลุกขึ้นยืนก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไกลมีคู่ชายหญิงวัยกลางคนลักษณะเหมือนสามีภรรยาเดินมา พวกเขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่สง่างาม หน้าตาธรรมดา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เพียงแค่มองเขาแวบเดียวก็หันไปมองหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ด้านหลัง
เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ไม่ได้ยกขึ้นดื่มพักใหญ่ไว้ตรงเอว เตรียมจะจากไป
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเรามาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าที่นี่ใหญ่มาก มีอะไรที่ต้องระวังหรือไม่?”
เฉินผิงอันหยุดเท้า ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าพาพวกท่านเข้าไปเดินดูดีไหม?”
ชายหญิงหันมายิ้มให้แก่กันแล้วพยักหน้ารับพร้อมกัน “ดีสิ”