บทที่ 275 เฉินเจอเฉินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
ขณะที่นางทนไม่ไหวเตรียมจะถีบเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกลับหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า
ราวกับว่าถูกใครกระชากลากเข้าไปในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง
ทั้งสายตาและทั้งหัวใจของนางพลันวูบโหวง แต่จากนั้นก็เต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล
ในวินาทีที่นางเตรียมจะชักกระบี่ออกมาฟันให้ฟ้าดินแห่งนั้นปริแตกหวังสืบเสาะร่องรอยอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม นางพลันหน้าแดงก่ำ ราวกับได้ยินเสียงบางอย่างจึงร้องอ้อรับหนึ่งที ก่อนจะแค่นเสียงหึเย็นชาใส่ตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป
จากนั้นนางก็พุ่งทะยานไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังลานกว้างตรงตีนเขาเดียวดาย
เจอคนที่แม่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ห่าเหวอะไรอีกครั้ง นักพรตน้อยโมโหแทบระเบิด ขว้างตำราในมือลงพื้นอย่างแรง ดีดตัวผลุงขึ้นมาจากเบาะนั่ง ด่ากราดเสียงดัง “นังเด็กนี่ เจ้าคิดว่าภูเขาห้อยหัวคือลานบ้านของเจ้าหรือไง?! นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สามครั้งแล้วนะ สามครั้งแล้ว! ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชั่วชีวิตก็อาจจะไม่เคยมาเยือนที่นี่สักครั้ง เจ้ากลับดีนัก วันเดียวมาตั้งสองครั้งแล้ว!”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หาวหวอด “เจ้าแน่จริงก็เล่นงานนางเลยสิ”
นักพรตน้อยกล่าวอย่างโมโห “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้า? หากไม่เป็นเพราะข้าสงสารในชาติกำเนิดของนาง ป่านนี้ก็คงต่อยให้นาง…”
เด็กสาวผู้มีบุคลิกองอาจเดินเข้าไปในประตูใหญ่กระจกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเอนตัวมาข้างหลังเล็กน้อย หันหน้ามาพูดว่า “เจ้าจะมาสงสารข้าทำไม ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้าสักหน่อย”
นักพรตน้อยรู้สึกว่าประโยคนี้ของแม่นางน้อยกล่าวได้ไร้เหตุผล แต่ก็เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่นิดๆ
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่บนเสาผูกม้าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
……
หน้าประตูร้านเหล้าในภูเขาห้อยหัวแห่งเดียวกัน หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมานอกร้าน เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบ
แต่หลิวโยวโจวกลับนั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณนอกกำแพงสูงของเรือนหลังหนึ่ง กำลังนับมดอย่างคนว่างงาน
ส่วนหญิงชราเซียนพสุธาก็คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่รบกวนอาการเหม่อลอยของนายน้อยตัวเอง
ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา หลิวโยวโจวที่ดวงตาฉายประกายคมกล้าลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับหญิงชราเหมือนอยากโอ้อวดความรู้ของตน “ข้ามองจนเข้าใจแล้ว มดที่เติบโตอยู่ในภูเขาห้อยหัวไม่ได้แตกต่างจากมดที่เกิดในหมู่บ้านคนธรรมดาเลย”
หญิงชราเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของเด็กหนุ่มแล้วจึงยิ้มบางพยักหน้ารับเบาๆ
หลิวโยวโจวชำเลืองตามองไปยังต้นไหวโบราณด้วยความสนใจที่ไม่มากนัก “ไม่ซื้อแล้วๆ แพงเกินไป ข้าเสียดายเงินอั่งเปาที่ตัวเองสะสมมาตั้งนานหลายปีพวกนั้น”
หญิงชราโล่งอก นางกลัวจริงๆ ว่าด้วยความบุ่มบ่าม นายน้อยจะทุบหม้อข้าวขายเหล็กซื้อเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไหมาจริงๆ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางดื่มเหล้าหวงเหลียงนี้เข้าไปไม่มีความหมายมากนัก ต่อให้สกุลหลิวธวัลทวีปจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่ควรใช้เงินมือเติบถึงขนาดนี้ ถึงเวลานั้นนายน้อยไม่มีทางถูกลงโทษแน่นอน ไม่แน่ว่าเจ้าประมุขและเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายอาจจะยังกัดฟันเค้นรอยยิ้ม พูดชมเชยว่าไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานสกุลหลิว ใจกว้างดุจแม่น้ำ จ่ายเงินตาไม่กะพริบก็ควรเป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวควรต้องมีไม่ใช่หรือ?
แต่นางกลับต้องโดนตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใช่ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองเด็กหนุ่มด้วยสาเหตุนี้ แต่นางอยากให้เด็กหนุ่มได้ดียิ่งกว่านั้น เงินอั่งเปาตั้งมากมาย เอามาซื้ออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ? จะต้องเอาไปซื้อเหล้าไหหนึ่งเพียงเพื่ออยากเอาชนะทำไม?
หลิวโยวโจวเดินย้อนกลับไปที่จวน แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ท่านยายหลิ่ว ท่านว่าท่านน้าหลิ่วกลับมาจากทุ่งราบน้ำแข็งทางเหนือสุดหรือยัง?”
ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึง ‘น้าหลิ่ว’ บนใบหน้าที่ยับย่นของหญิงชราเผยประกายแห่งความภาคภูมิใจออกมาในทันที “น่าจะกลับมาแล้ว หากโชคดี นังหนูนั่นก็น่าจะเลื่อนสู่ขั้นเก้าของขอบเขตวรยุทธ์แล้ว นายน้อย ตามข้อตกลง ถึงเวลานั้นสามารถบอกให้นางพาท่านไปหาประสบการณ์ที่ทุ่งน้ำแข็ง สังหารปีศาจใหญ่ได้”
ถึงอย่างไรหลิวโยวโจวก็ยังมีนิสัยเป็นเด็ก น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย “จะรีบเป็นขอบเขตเก้าเร็วอะไรขนาดนั้น ท่านพ่อข้าบอกว่าขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีวรยุทธ์ของน้าหลิ่วมีความหมายมาก ทำให้นางไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ขอบเขตสิบปลายทางที่อ่อนแอเลย บิดาข้าเลยพูดเกลี้ยกล่อมน้าหลิ่วตรงๆ บอกว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็อย่าฝ่าทะลุขอบเขตง่ายๆ”
หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าประมุขย่อมต้องหวังดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่กลับระงับเอาไว้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว นี่กลับไม่ใช่เรื่องดี เกรงว่าคงจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดในการเลื่อนขอบเขตเหนือขอบเขตสิบขึ้นไป แน่นอนว่าหากเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาก็แล้วไปเถอะ เพราะว่าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างถูไถก็ถือว่าเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว แต่น้าหลิ่วของเจ้ากลับไม่ใช่แบบนั้น”
หลิวโยวโจวไม่เคยสนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาอยู่แล้ว กลับกันคือหันไปคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องที่สุดแทน เขาถอนหายใจกล่าวว่า “น้าหลิ่วก็จริงๆ เลย วันๆ เอาแต่พูดว่าผู้ชายดีๆ ในใต้หล้าไปตายที่ไหนกันหมด แถมยังชอบมาถามข้าว่าเจอผู้ชายดีๆ บ้างหรือไม่ ข้าเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะตอบนางอย่างไร? แต่ท่านพ่อข้าแนะนำคนหนุ่มที่โดดเด่นของธวัลทวีปให้กับนางตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นว่าน้าหลิ่วจะสนใจ น่าปวดหัวจริงๆ”
ความคิดของหลิวโยวโจวเหนือล้ำเกินคนธรรมดาไปไกล เขาถามคำถามที่ทำให้หญิงชรารู้สึกขบขับอีกครั้ง “หากมีวันหนึ่งกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจกลบทับกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จ จะทำอย่างไร? มดรังนั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินกันช้าขนาดนั้น ถึงเวลาคิดจะย้ายบ้านคงไม่ทันกาลกระมัง?”
หญิงชราสีหน้าปราณีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายน้อย กำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งตระหง่านไม่ล้มมากี่ปีแล้ว มีใต้หล้าแห่งนั้นกั้นขวางอยู่ ประมาณทุกๆ ร้อยปีเผ่าปีศาจจะต้องมีศึกนองเลือดครั้งใหญ่เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ เดรัจฉานป่าเถื่อนเหล่านั้นต้องทิ้งศพไว้ใต้กำแพงเมืองตั้งเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปมือเปล่าทุกครั้งไม่ใช่หรือ? ปีศาจใหญ่ที่พลังการต่อสู้น่าครั่นคร้ามบางส่วน อย่างมากสุดพวกมันก็ได้แค่ขึ้นมายืนบนหัวกำแพงเมืองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องถูกเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขับไล่ออกไป”
หลิวโยวโจวร้องอ้อหนึ่งที แต่สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ความคิดเดิมของตัวเองอย่างไม่อาจถอนตัวออกมาได้ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “จวนหยวนโหรวของพวกเรายังสู้รังมดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถย้ายไปไหนได้ ยังดีที่ธวัลทวีปอยู่ห่างจากภูเขาห้อยหัวไกลที่สุด เฮ้อ นาตยทวีปสิที่น่าสงสาร ถึงเวลานั้นควันดินปืนคงลอยไกลนับหมื่นลี้เลยกระมัง ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่านนั้นจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ สกัดกั้นเผ่าพันธ์ปีศาจที่มีมืดฟ้ามัวดินไว้ข้างนอกแผ่นดินได้หรือไม่”
หญิงชราหลุดหัวเราะขำกับอาการตีตนไปก่อนไข้ของนายน้อยตัวเอง “ใช่สิ ระหว่างธวัลทวีปของพวกเรากับภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ ไม่เพียงแต่มีนาตยทวีปกั้นขวาง ยังมีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ต่อให้เอาอาณาเขตของอีกแปดทวีปมารวมกันก็ยังสู้ไม่ได้อยู่อีกด้วย นายน้อยจะต้องกังวลอะไร”
หลิวโยวโจวพึมพำ “ข้าไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของธวัลทวีปหรอก แค่รู้สึกว่าสงครามทำให้คนตายมากมาย เลยไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ จะดีจะชั่วนาตยทวีปก็ยังมีบุคคลอันดับหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งคอยบัญชาการณ์ แต่พวกเราต่างก็เคยไปเยือนอาคเนย์ใบถงทวีปมาแล้ว อีกเดี๋ยวยังจะไปที่ฝูเหยาทวีปด้วย ดูเหมือนว่าทั้งสองแห่งนั้นจะไม่มีใครที่ร้ายกาจมากพอจะเอาออกหน้าออกตาได้”
หญิงชรายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม “นายน้อย จะเอาทุกคนมาเปรียบเทียบกับบิดาของท่านไม่ได้หรอกนะ ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่สู้เจ้าประมุขของพวกเราไม่ได้ก็ไม่ร้ายกาจแล้วหรือ? คิดแบบนี้ไม่ได้หรอก”
คนที่มีเงินที่สุดของธวัลทวีป กับผู้ฝึกลมปราณที่แข็งแกร่งที่สุดของธวัลทวีป คือคนคนเดียวกัน
บิดาของหลิวโยวโจว
บุรุษคนนี้มีตบะสูงยิ่งกว่า และพลังการต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษคนใดๆ ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลิว
จุดที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่ว่า ธวัลทวีปที่ผู้คนห้าวหาญ เหล่าเซียนซือชื่นชอบการต่อสู้กลับไม่เคยมีใครที่สามารถพิสูจน์ความสามารถในท้ายที่สุดของบุรุษผู้นี้ได้สำเร็จ
บุรุษผู้นี้มีประโยคหนึ่งที่เป็นที่นิยมของคนบนภูเขา ‘เรื่องที่สามารถใช้อาวุธเซียนและอาวุธกึ่งเซียนมาแก้ไขได้ ก็คงไม่ต้องใช้หมัดใช้เท้าแล้วกระมัง?’
หลิวโยวโจวคล้ายจะไม่พอใจบิดาของตัวเองเล็กน้อย “มีเมียมากขนาดนั้น ดีตรงไหนกัน”
ตีให้ตายหญิงชราก็ไม่กล้าวิจารณ์ข้อดีข้อเสียของเจ้าประมุขท่านนี้
เจ้าประมุขนิสัยดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากคนที่เป็นข้ารับใช้ไม่เข้าใจกฎระเบียบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตระกูลหลิวครอบครองเทือกเขาที่มีเหมืองแร่หยกเงินเกล็ดหิมะไว้อย่างอยู่หมัด ต้นไม้ใหญ่เรียกลม แต่ละปีคนใช้ที่ต้องตายเพราะปากมีมากมาย ลูกหลานของสกุลหลิวแต่ละฝ่ายที่ตายอย่างเฉียบพลันก็มีไม่น้อย
เวลานี้หลิวโยวโจวสวมชุดไผ่เหลือง ‘เย็นสบาย’ สมบัติอาคมที่เคยเป็นของรักของกษัตริย์ราชวงศ์ใหญ่ชิ้นนี้ถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก
ส่วน ‘หลบร้อน’ เสื้อไม้ไผ่อีกชิ้นหนึ่งที่สกุลหลิวธวัลทวีปหามาเข้าคู่กันได้นั้น ก็ได้รับการขนานนามให้เป็นพื้นที่มงคล
หลิวโยวโจวชอบเอาพวกมันมาผลัดกันสวม
สวมใส่สบาย แถมยังไม่ดูโอ้อวดตัว เพราะถ้าเป็นพวกชุดคลุมอาคมของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าหรือเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างจะดูสะดุดตาเกินไป นี่ไม่เท่ากับเป็นการบอกให้คนอื่นรู้ว่าข้ามีเงินมากหรอกหรือ?
แม้ข้าจะมีเงิน แต่ข้าไม่ชอบพูด
อีกอย่างข้าหลิวโยวโจวก็ไม่ถือว่ามีเงินอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อคืนถึงตัดใจซื้อเหล้าลืมทุกข์ไหหนึ่งไม่ได้เล่า?
หลิวโยวโจวถอนหายใจ “ท่านยายหลิ่ว ข้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”
น้ำเสียงของหญิงชรายืนกราน “นี่เป็นคำสั่งของเจ้าประมุข ห้ามท่านไปเด็ดขาด”
หลิวโยวโจวถามคำถามข้อหนึ่งที่ทิ่มแทงใจคนอย่างมาก “สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือนักโทษและผู้ลี้ภัย ความสัมพันธ์กับพวกเราที่อยู่ทางฝั่งนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เรื่องสกปรกในภูเขาห้อยหัวมีมากมาย พวกเขาต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเผ่าปีศาจมานานขนาดนี้ จะไม่มีใครสักคนที่พอโมโหจัดแล้วคิดทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ หันไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจบ้างหรอกหรือ?”
หญิงชราคิดก่อนตอบว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าและยอดฝีมือของสามลัทธิจับตามองอยู่ น่าจะไม่มีทางเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อะไรได้ แต่คิดดูแล้ว คนประเภทนี้ย่อมมีอยู่จริง เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยากเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก นายน้อย อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจสถานการณ์ของทางฝั่งนั้นมากนัก ตามการรายงานของสายจวนหยวนโหรว เหล่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่นนี้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ได้มีแค่หยิบมือ แต่มีมากเหมือนหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนตก จนแทบจะเทียบเคียงกับกลุ่มเซียนกระบี่ของเมื่อสามพันปีก่อนได้เลย คนรุ่นนั้นร้ายกาจมากจริงๆ กำราบเสียจนเผ่าปีศาจไม่กล้าท้าทายกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงแปดร้อยปีเต็ม ตลอดชีวิตของเผ่าปีศาจหลายตนล้วนไม่เคยได้เห็นกำแพงเมือง ดังนั้นข้าคิดว่าในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ภูเขาห้อยหัวจะอยู่ในยุคสันติสุขที่มีการค้ารุ่งเรือง”
เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ ด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “แต่เงินส่วนใหญ่ที่ตระกูลหลิวของพวกเราหามาได้ล้วนเป็นทรัพย์สินของคนตายนี่นา”
หญิงชราอยากจะเตือนเด็กหนุ่มว่าอยู่ในภูเขาห้อยหัวต้องระวังคำพูด แต่มองใบหน้าด้านข้างแล้วเห็นสีหน้าหม่นหมองของเด็กหนุ่มก็ตัดใจพูดไม่ลง
พ่อบ้านคนหนึ่งของจวนหยวนโหรวมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ข้างทางมีรถม้าจอดรออยู่สองคัน พ่อบ้านวัยชราพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนที่จวนขอรับ”
หลิวโยวโจวพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นรถม้าคันหนึ่ง
มาถึงจวนหยวนโหรว หลิวโยวโจวมองเห็นบุรุษท่าทางสุภาพและหญิงสาวร่างสูงใหญ่ บุรุษวัยกลางคนที่ทั่วกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรายืนชื่นชมภาพวาดหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง ส่วนหญิงสาวกำลังนั่งดื่มชา
ดูเหมือนบุรุษจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรภาพ เขาถึงเอ่ยชื่นชมว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ภาพนี้ต่างหากถึงเป็นของจริง ไม่เสียแรงที่มีทั้งพละกำลังและรูปแบบที่ถูกต้อง โดดเด่นเปิดเผย เพียงแค่ภาพดอกบัวนี้ ในเวลาห้าร้อยปีก็ไม่มีผลงานใดจะทัดเทียมได้แล้ว”
ระหว่างที่เดินทางมา ด้วยความรอบคอบ พ่อบ้านจึงไม่ได้บอกกับหลิวโยวโจวตามตรงว่าแขกที่มาคือใคร จนกระทั่งก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของจวนหยวนโหรวมาแล้วถึงกระซิบบอกหลิวโยวโจวเบาๆ ว่าเป็นฮ่องเต้กับราชครูราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หลิวโยวโจวประสานมือคารวะ “หลิวโยวโจวคารวะฝ่าบาทและราชครู”
บุรุษหันหน้ากลับมาพูดกับเด็กหนุ่มยิ้มๆ “คราวนี้กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) อาศัยโอกาสที่ราชครูจำเป็นต้องยืมใช้บ่อสายฟ้าขนาดเล็กหลอมกระบี่ ถึงได้มีเวลาว่างแอบอู้งานมาสูดอากาศหายใจที่ภูเขาห้อยหัว เดิมทีไม่อยากจะรบกวนจวนหยวนโหรว เพียงแต่ได้ยินว่าคุณชายหลิวก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวด้วย เลยคิดว่าถึงอย่างไรก็ควรมาขอชาดื่มสักถ้วย”
หลิวโยวโจวยกมือคารวะอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเกรงพระทัยเกินไปแล้ว”
ต้าตวนหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ที่ใหม่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล
เขมือบกลืนอาณาเขตเกินครึ่งของราชวงศ์เดิมบางแห่ง ทุกวันนี้ต้าตวนใหม่จึงรอการฟื้นฟูจากความเสียหายทรุดโทรม ตามหลักแล้วทั้งฮ่องเต้และราชครูต่างก็ไม่ควรออกมาจากราชสำนัก
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่หลิวโยวโจวในเวลานี้ต้องไปคาดเดา ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้าตวนถึงให้หน้าจวนหยวนโหรวขนาดนี้ หลิวโยวโจวกลับรู้อย่างชัดเจน การที่ต้าตวนสามารถเอาชนะราชวงศ์ไท่เสวียนอดีตหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ ศึกล่มแคว้นที่เกี่ยวพันกับกองกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งดำเนินมาเกือบสิบปี จนกระทั่งต้าตวนลากสกุลเซี่ยไท่เสวียนลงมาได้ ตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีป หรือควรจะพูดอีกอย่างก็คือกระเป๋าเงินของบิดาเขา เป็นผู้ที่ลงแรงอย่างมาก
หลังจากยืดเอวขึ้นตรงแล้ว หลิวโยวโจวก็หันไปคำนับราชครูสาวแห่งต้าตวนผู้นั้น “ข้าน้อยเลื่อมใสท่านราชครูมานานแล้ว”
อันที่จริงตระกูลหลิวคือหนึ่งในผู้มีพระคุณที่อยู่เบื้องหลังของราชวงศ์ต้าตวน หลิวโยวโจวที่มีฐานะเป็นว่าที่เจ้าประมุข ไม่จำเป็นต้องลดทอนคุณค่าของตัวเองถึงเพียงนี้
หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก นางวางถ้วยชาลง “นิสัยแตกต่างจากบิดาเจ้ายิ่งนัก ดีมาก”
ฮ่องเต้ต้าตวนเหงื่อตกเล็กน้อย
นี่ถือว่าเป็นคำพูดที่ดีไหม?
หญิงสาวร่างสูงใหญ่ถามยิ้มๆ “เคยไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หลิวโยวโจวมาถึงพักหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้นั่ง เขาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตลอดเวลาส่ายหน้ากล่าวว่า “ยังไม่เคยไป บิดาไม่อนุญาตให้ข้าไปเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน”
หญิงสาวคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนเดียวของข้า ตอนนี้กำลังฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากคุณชายหลิวเต็มใจ ข้าสามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าได้ รับรองว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
หญิงชรามองประสานสายตากับผู้ดูแลเฒ่าแห่งจวนหยวนโหรวด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย
ไม่ได้รู้สึกว่าราชครูต้าตวนกำลังคุยโว แต่นี่เกี่ยวพันไปถึงความต้องการของเจ้าประมุข พวกนางที่เป็นข้ารับใช้ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ
ยังดีที่หลิวโยวโจวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเสียก่อน “ไม่อาจละเมิดคำสั่งของบิดาได้ หวังว่าทานราชครูจะเข้าใจ”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับอย่างไม่ถือสา “อีกไม่นานลูกศิษย์ของข้าก็จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวแล้ว ให้เขาไปฝึกประสบการณ์ที่ธวัลทวีปก็ดีเหมือนกัน หากคุณชายหลิวไม่ถือสาก็พาเขาไปด้วยกันได้”
สีหน้าของหลิวโยวโจวผ่อนคลายลง น้ำเสียงก็เบาสบายขึ้นเยอะมาก เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ยินดีอย่างยิ่ง!”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับบุคคลอันดับที่ห้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เหมือนอย่างบิดาของเขาที่ไร้ศัตรูทัดเทียมมานานแล้วในธวัลทวีป แต่ตัวเขาเองก็ยังพูดว่าหากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อย่างมากสุดตนก็เป็นแค่บุคคลล่างๆ ของคนจำนวนสิบคนเท่านั้น
เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ต้าตวนจึงเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ระยะเวลาแน่ชัดที่เขาจะออกจากภูเขาห้อยหัว หากทราบแล้วกว่าเหรินจะให้คนมาแจ้งจวนหยวนโหรวทันที ไม่ต้องไปส่ง เดี๋ยวพวกเราเดินออกไปกันเอง”
หนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินออกจากจวนหยวนโหรว
หรือจะพูดให้ถูกคือหนึ่งหญิงหนึ่งชาย
เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร สตรีร่างสูงใหญ่ก็เหมือนเป็นฮ่องเต้ต้าตวน ส่วนบุรุษเป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น
หลิวโยวโจวเพิ่งจะได้นั่ง เขากระตุกคอเสื้อของชุดไม้ไผ่เย็นสบายเบาๆ เพราะเหงื่อโซมเต็มกาย ชำเลืองตามองไปยัง ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ที่เป็นสมบัติพิทักษ์จวนหยวนโหรวซึ่งอยู่บนผนังชิ้นนั้นแวบหนึ่งแล้วหันไปสั่งความกับพ่อบ้านวัยชราว่า “เอาลงมาแล้วบรรจุให้ดี นำไปมอบให้กับฮ่องเต้ต้าตวน”
พ่อบ้านวัยชราทำสีหน้าลำบากใจ
หลิวโยวโจวยิ้มกว้าง “เชื่อข้าเถอะ”
พ่อบ้านวัยชราพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วลงมือทำตามคำสั่ง
หลังจากที่พ่อบ้านวัยชราเอาภาพวาดโบราณภาพนั้นออกไปจากห้องโถงแล้ว มองผนังที่ว่างเปล่ากะทันหัน เขาก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านยายหลิ่ว ท่านคิดว่าภาพเด็กหนุ่มล่องเรือภาพนั้น ดีหรือไม่?”
สีหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น กำลังจะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์
หลิวโยวโจวกลับพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน “ไม่แขวนไว้ที่นี่ดีกว่า รอกลับไปถึงบ้าน ข้าจะเอาไปแขวนไว้ที่ห้องหนังสือของตัวเอง! ไปๆๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะวาดด้วยตัวเองหนึ่งรูป! ท่านยายหลิ่ว รีบบอกให้ข้ารับใช้เตรียมหมึกและพู่กันไว้ให้ข้า!”
สีหน้าของหญิงชราแฝงแววครุ่นคิด
สาวใช้สี่คนของจวนหยวนโหรวหน้าตางดงามอ่อนหวานชวนให้คนหวั่นไหว สองคนในนั้นยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต เมื่อพวกนางที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเฝ้ามองนายน้อยที่ผู้คนพากันเล่าลือถึงทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดวาดภาพนั้นจนเสร็จ เหล่าสาวใช้ก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อยถึงจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ นั่นยิ่งทำให้พวกนางดูน่าหลงใหลมากกว่าเก่า
หลิวโยวโจวค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเอง แม้จะวาดไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ความจริงใจกลับเต็มเปี่ยม
ภาพวาดของหลิวโยวโจวมีความคล้ายคลึงกับตัวอักษรของคนบางคนที่อยู่บนกำแพงของร้านแห่งหนึ่ง
น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นหลิวโยวโจวตัดใจซื้อเหล้าหวงเหลียงไหหนึ่งไม่ได้ หาไม่แล้วหากได้เห็นตัวอักษรยึกยือเหล่านั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่วีรบุรุษผู้เลื่อมใสกันและกันมาพบเจอกันช้าไปก็เป็นได้
……
ระหว่างฟ้าดินมีกำแพงแห่งหนึ่งที่สลักตัวอักษรใหญ่ทั้งหมดสิบแปดตัว
เต้าฝ่า (กถามรรค) เฮ่าหราน (ซื่อตรงและยิ่งใหญ่) ซีเทียน (แดนนิพพาน)
เจี้ยนชี่ฉางฉุน (ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน) เหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ)
ฉี เฉิน ต่ง เหมิ่ง
หลังจากศึกแห่งการเดิมพันที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งยอดฝีมือลำดับสูงสุดมาฝั่งละสิบสามท่าน เผ่าปีศาจทำลายข้อตกลง ไม่เพียงแต่ไม่ส่งมอบกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองมาให้ กลับยังอับอายจนพานเป็นโกรธ พากันบุกโจมตีเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เพียงแต่เมื่อเทียบกับศึกเดิมพันที่ทุ่มสุดตัว ใช้ชีวิตแลกชีวิตอย่างครั้งก่อนหน้านี้แล้ว พละกำลังที่ใช้ในการโจมตีกำแพงเมืองสามครั้งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปะติดปะต่อคราวนี้กลับด้อยกว่าหนึ่งระดับ ว่ากันว่าในเผ่าปีศาจมีปีศาจใหญ่หลายตนไม่คิดจะให้ความร่วมมือกับการโจมตีกำแพงเมืองครั้งนี้ ดังนั้นพวกเผ่าปีศาจจึงไม่มีมาดอันใหญ่โตโอหังเท่าใดนัก
ช่วงแรกเริ่มสุดกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แค่มีตัวอักษรเพิ่มขึ้นมาสิบแปดตัวเท่านั้น
เนื่องจากกำแพงยาวแถบนี้เคยเป็นค่ายกลด่านใหญ่ที่อริยะสามลัทธิร่วมมือกันสร้างขึ้นมา เว้นเสียจากว่าจะถูกทำลายให้พังพินาศในรวดเดียว หาไม่แล้วเพียงไม่นานก็จะฟื้นตัวกลับคืนสภาพเดิม หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นกำแพงเมืองที่สูงเท่าไหร่ หรือเป็นขุนเขาที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็คงพังราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว เผชิญหน้ากับการจู่โจมอย่างดุดันและเต็มกำลังของเหล่าปีศาจใหญ่ที่มีฝีมือในระดับสูงสุด รวมไปถึงการออกกระบี่ที่เฉียบคมบนหัวกำแพงเมืองของเหล่าเซียนกระบี่แต่ละรุ่น ปราณกระบี่ที่ซัดกระจายไปทั่วทิศจึงทำลายตัวกำแพงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ปักหลักห่างออกไปร้อยลี้มีจำนวนมากดุจฝูงมดที่เกาะกลุ่ม เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งหยุดการโจมตีไปได้หนึ่งเดือนกว่า
กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงได้อยู่ท่ามกลางความสุขสงบอย่างที่หาได้ยาก
ลำพังเพียงทางเดินม้าบนหัวกำแพงก็กว้างถึงสิบลี้
มีผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่คนหนึ่งมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ลูกหลานของผู้เฒ่าไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในเมืองทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่ตระกูลนานแล้ว แต่ผู้เฒ่าไม่เคยลงจากหัวกำแพง เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาปีแล้วปีเล่า ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด เขาไม่เคยอนุญาตให้ลูกหลานในตระกูลมาพบ กลับเป็นเด็กต่างแซ่บางคนที่เขายอมส่งยิ้มให้ในบางครั้ง
เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่
ต่างกันแค่คำเดียว กลับต่างราวฟ้ากับเหว
และที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่กับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ต่างกันแค่คำเดียวก็ห่างชั้นกันไกลโขเช่นกัน
เพราะเซียนกระบี่คนหนึ่งที่คิดจะมีชีวิตรอดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างยาวนาน ไม่ได้อาศัยแซ่ แต่อาศัยแค่พลังในการต่อสู้
ในฐานะของคนที่มีอายุมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าผ่านมาหลายฝนหลายหนาว และแน่นอนว่าเคยมีความเสียดายมาหลายครั้ง ความเสียดายครั้งล่าสุดนี้อาจถือว่าเป็นครั้งใหญ่ในชีวิตอันยาวนานของผู้เฒ่า ผู้เฒ่าเสียดายที่เพราะกฎข้อบังคับ ทำให้ตนไม่อาจลงสนามสู้รบ ถึงได้ทำให้เด็กรุ่นหลังคู่รักเทพเซียนคู่นั้นต้องตายอย่างไม่สมเกียรติ
ผู้เฒ่าเห็นพวกเขาสองคนเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่ปีแล้วปีเล่า ขอบเขตไต่ทะยานครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างคนต่างกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ในท้ายที่สุด
ผู้เฒ่ารู้สึกว่าคนหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะทำให้ผู้คนมีความหวัง
ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ชั่วร้าย หนุ่มสาวยังมีคนดี
คืนนี้ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงเพียงลำพัง กระบี่พกที่นอกเหนือจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาหักไปเล่มแล้วเล่มเล่า สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไม่ใช้มันซะเลย
ผู้เฒ่าและเด็กๆ ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่รู้จักผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่ามีอายุอยู่มากี่ปีคนนี้ดี บวกกับที่ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด จึงไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่านานแล้ว
แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับมีเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่งที่ทำหน้าหนาดึงดันมาสร้างกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ด้านหลังกระท่อมของผู้เฒ่า
ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจรุกรานกำแพงเมือง เด็กหนุ่มจะทำเพียงแค่เฝ้าผู้เฒ่าและกระท่อมของตัวเอง หาไม่แล้วเขาก็ไม่มีทางลงมือ
อันที่จริงก็ไม่มีใครตำหนิเด็กหนุ่มต่างถิ่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่คนหนึ่ง สามารถขึ้นมากินดื่มขับถ่ายอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ผู้เฒ่าที่กรอบตาลึกโบ๋ หน้าตอบโหนกแก้มสูงจมอยู่ในภวังค์ความคิด
หากไม่เป็นเพราะอยู่บนหัวกำแพง แต่ไปอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว เกรงว่าใครก็ตามที่ได้เห็นผู้เฒ่าตัวเล็กผอมบางจนแทบไม่อาจต้านทานลมผู้นี้ก็คงไม่มีทางเชื่อว่า ผู้เฒ่าถูกคนเสเพลคนหนึ่งที่สามารถสลักคำว่าเหมิ่งไว้บนกำแพงเมืองเรียกว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า’
ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนสามีภรรยามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า ผู้เฒ่าไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ยังต้องการให้ข้าทำอะไรอีกไหม? พูดมาได้เลย ขอแค่ไม่เกี่ยวข้องกับทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าทั้งสองแห่ง แค่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้า จะถูกต้องตามกฎหรือไม่ ข้าก็ล้วนช่วยได้ อีกอย่างตอนนั้นที่ข้าฝืนเก็บดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของพวกเจ้าเอาไว้ เดิมทีก็ถือเป็นการทำผิดกฎอยู่แล้ว แต่ตาเฒ่าสองคนนั้นก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
บุรุษที่กุมมือสตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า “แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วหันไปถลึงตาใส่บุรุษ ยิ้มพูดว่า “มี”
ผู้เฒ่าเค้นรอยยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง “พ่อตาแม่ยายได้เจอลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตางั้นรึ? อืม เป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้พวกที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมาเป็นเขย ว่ามาเถอะ จะให้ข้ามอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เจ้าเด็กนั่น หรือจะให้ข้าสอนวิชากระบี่เขาด้วยตัวเอง?”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างลังเล “อาจจะยากกว่านั้นสักหน่อย”
ผู้เฒ่าผอมแห้งหันหน้ามาถาม “หมายความว่าไง?”
บุรุษกล่าวอย่างจนใจ “สะพานแห่งอมตะของเด็กคนนั้นถูกคนสะบั้นขาดไปแล้ว”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ทำลายสะพานอมตะของคนอื่นคือสิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเชี่ยวชาญที่สุด แต่หากจะให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ นั่นน่ะยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์เสียอีก อีกอย่างถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หากเป็นสะพานแห่งอมตะที่คนอื่นช่วยสร้างขึ้น ในประวัติศาสตร์ไม่มีเซียนกระบี่ร้ายกาจคนใดที่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ ถึงอย่างไรการฝึกตนก็ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักฟ้าดินอยู่แล้ว สะพานขาดแล้วค่อยซ่อมสะพานเพื่อฝึกตนก็ยิ่งถูกมหามรรคาเคียดแค้น มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกจับตามองไม่ปล่อย พวกเจ้าพิจารณาดีแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามรึ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรคนอื่นเดินขึ้นฟ้าไม่ง่าย แต่ข้ากลับไม่ยาก”
สตรีแต่งงานแล้วลังเลตัดสินใจไม่ได้ นางเคยเถียงกับบุรุษเรื่องนี้มาก่อนแล้ว บุรุษรู้สึกว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่แน่เสมอไปว่าวิถีวรยุทธ์จะไม่ดี ในฐานะที่นางคือเซียนกระบี่ซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดเขาและเห็นทัศนียภาพของมหามรรคามาก่อน ย่อมรู้ดีว่าภูเขาของวิถีวรยุทธ์ต่ำกว่าของพวกนางหนึ่งระดับ ในเมื่อนี่เป็นความจริง อีกทั้งยังมีที่มาและหลักฐาน ใช่ว่านางจะดูแคลนวิถีวรยุทธ์ของเด็กคนนั้น แต่การเดินบนเส้นทางสายขาดเส้นนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเดินไปสู่จุดสูงสุดอาจยิ่งน้อยเข้าไปอีก มันน้อยมากจริงๆ อีกทั้งอะไรคือทางสายขาด? แล้วอะไรคือสะพานอมตะของผู้ฝึกลมปราณ?
ถึงเวลานั้นลูกสาวของพวกเขาจะทำอย่างไร?
บุรุษหันมาพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ไม่งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม? ให้เจ้าเด็กนั่นลองพยายามเอาเอง สุดท้ายเดินไปได้ถึงตรงไหนก็ให้เป็นเรื่องของเขาเถอะ”
สตรีแต่งงานแล้วยังไม่ยอมถอดใจ เอ่ยถามว่า “ไม่อย่างนั้นข้าขออาวุธเซียนชิ้นหนึ่งจากท่านปู่เฉิน ถือว่าเป็นสินเจ้าสาวของลูกสาวเรา?”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็ล้วนเคยชินที่จะเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่เฉิน มีเพียงคนสองคนที่เป็นข้อยกเว้น
แน่นอนว่าคนบางคนที่สวมงอบพกดาบไปจากที่แห่งนี้ก็เคยเป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
บุรุษกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะได้ใช้อาวุธเซียนที่ยากจะกำราบหรือไม่ พูดแค่ว่าเขาเฉินผิงอันคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง ไหนเลยจะอยากได้รับโชควาสนาที่คนอื่นโปรยทานมาให้แบบนี้…”
สตรีแต่งงานแล้วตัดบทเหตุผลใหญ่โตของบุรุษ “แต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มอยู่เลยนะ”
บุรุษไม่รู้จะเถียงนางอย่างไร
แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบสองสามีภรรยาคู่นี้มาก แต่ก็ไม่ชอบมาฟังพวกเขาเถียงกันเรื่องหยุมหยิม
เพียงแต่พอได้ยินชื่อของเด็กหนุ่ม ผู้เฒ่าก็หันหน้ามาถามอีกครั้ง “เด็กหนุ่มก็แซ่เฉิน?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านว่าบังเอิญหรือไม่ หลังจากเขาดื่มเหล้าหวงเหลียง ตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปบนกำแพงตามใจปรารถนาก็คือคำว่าปราณกระบี่ยาว”
ผู้เฒ่าหันมามองคู่สามีภรรยา
บุรุษโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “นี่ไม่ใช่แผนการของพวกเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ”
สตรีแต่งงานแล้วก็พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยสีหน้าจริงใจ
ด้วยกลัวว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ผู้คนเคารพเลื่อมใสจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขากำลังเล่นงานเขา
หากผู้เฒ่าโมโหขึ้นมา
ผลลัพธ์…ยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้!
ผู้เฒ่ายื่นมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
คว้าเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากภูเขาห้อยหัวที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาที่หัวกำแพงของใต้หล้าแห่งนี้
ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่กลบเกลื่อนไปทั่วฟ้าดิน ดำรงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ประหนึ่งน้ำทะเลที่ไหลซัดกรากเข้ามาในช่องโพรงลมปราณของเด็กหนุ่ม
จนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
เหมือนปลาน้อยตัวหนึ่งที่เดิมทีแหวกว่ายอยู่ในลำธารสายเล็ก แล้วถูกคนโยนขึ้นมาบนฝั่ง แถมฝั่งที่ว่านั้นยังเป็นประเภทที่พื้นดินแห้งแตก แสงแดดแผดจ้า ดีดร่างดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที ไอน้ำบนตัวที่เหลืออยู่อีกไม่มากก็หายไปไม่มีเหลือ
ผู้เฒ่ามองประเมินเด็กหนุ่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเจ็บปวดแวบหนึ่งแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง ส่งเด็กหนุ่มกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ภูเขาห้อยหัว ก่อนจะหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับสองสามีภรรยาที่ไม่เข้าใจการกระทำของเขา “แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
……
เฉินผิงอันร่างส่ายโงนเงน กว่าจะหยุดยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
‘การเดินทางไกล’ ครั้งนี้ เฉินผิงอันลำบากเท่าไหร่ อันที่จริงผีสาวโครงกระดูกในแผ่นยันต์ที่ถูกเฉินผิงอันกำราบในแคว้นไฉ่อีซึ่งตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่กลับลำบากยิ่งกว่า เพราะร่างของนางแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ อีกทั้งใน ‘เรือนไหว’ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติของกล่องกระบี่ก็มีปราณหยินที่เข้มข้นมาก จึงสามารถสกัดกั้นปราณกระบี่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมองเห็นผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่งและสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงกำแพงเมืองยาวเหยียดที่เห็นแค่แวบเดียว
ตรงลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย เด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงเอวพกกระบี่สองเล่มเดินออกมาจากผิวกระจก นางครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ชะลอฝีเท้า แม้ว่าสีหน้าจะยังไร้อารมณ์ แต่ก็ถือว่านางเป็นฝ่ายทักทายนักพรตน้อยที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ผู้นั้นก่อน “ครั้งนี้คุ้นเคยกับเจ้ามากกว่าครั้งก่อนนิดหนึ่งแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่สนิทกันอยู่ดี”
นักพรตน้อยพึมพำ “ไร้ขื่อไร้แปขนาดนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าไม่ดูแลบ้างเลยหรือไง?”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่แหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีที่มีดวงจันทร์แค่ดวงเดียวพลางพูดกับตัวเองเบาๆ “เพื่อพวกเจ้าแล้ว พวกเราตายกันไปมากมายขนาดนั้น ใต้หล้าไพศาลไม่เห็นดูแลบ้างล่ะ?”