บทที่ 287 นั่งตรงข้ามมองกัน ตนรู้ตนเอง
แค่เรื่องเล่าเท่านั้น เหล้าเก่าไหหนึ่งเปิดผนึกดินออกแล้วก็ได้แต่ต้องดื่มให้หมด
เหล้าเก่าไหนี้ เรื่องเล็กเรื่องนี้เหมือนถูกหมักอยู่ในท้องของเฉินผิงอันมานานหลายปี พอเปิดมันออก พบเจอกับคนที่ใช่ก็จะมีกลิ่นหอมของเหล้า อีกทั้งเฉินผิงอันต้องเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นถึงจะดื่มร่วมกับเขาได้
ลู่ไถก็คือคนคนนั้นที่จะมาดื่มเหล้าร่วมกันกับเขา
ต่อให้จะเป็นคนที่เฉินผิงอันชื่นชอบ เคารพ และคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างพวกหนิงเหยา อาเหลียง หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน นักพรตจางซานเฟิง เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
น่าเสียดายที่พอฟังเรื่องนี้จบแล้ว ดูเหมือนว่าลู่ไถจะไม่มีความรู้สึกร่วมมากเท่าใดนัก สุดท้ายยังหันกลับมาสักยอกเฉินผิงอัน บอกว่าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง เพราะต้องการจะบอกว่าบุรุษที่ทำผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างข้าไม่อาจมีจุดจบที่ดี สุดท้ายแม้แต่หลุมฝังศพก็ยังไม่เหลือ?
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะขำ ได้แต่กระโดดลงจากรั้วระเบียงกลับเข้าไปในห้องที่ชั้นหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อได้พูดคุยกับลู่ไถ เล่าเรื่องเก่าเก็บเล็กน้อยเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟัง เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าสบายใจขึ้นเยอะมาก เหมือนปมในใจถูกคลายออก
การฝึกวิชากระบี่ช่วงบ่ายของวันนี้ยังคงเป็นกระบวนท่าหิมะทลาย เขารู้สึกว่าอาการติดขัดหายไปบางส่วน สามารถพลิกแพลงได้ตามใจปรารถนาอยู่หลายรอบ
หลังจากวันนั้นมา ลู่ไถก็เปลี่ยนการแต่งกายเสียใหม่ ปักปิ่นหยกลงบนศีรษะ สวมชุดยาวสีเขียว ในมือถือพัดพับที่ทำจากไม้ไผ่เหลือง เปลี่ยนจากโฉมงามสวยสะพรั่งกลายมาเป็นคุณชายผู้สง่างาม นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดังนั้นต่อให้ลู่ไถเดินลงมายังชั้นหนึ่งอยู่เป็นระยะ หากไม่เปิดตำราที่เขาสะสมไว้ออกอ่าน ก็จะต้มชาหนึ่งกามองเขาฝึกคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง เฉินผิงอันก็ไม่เคยพูดอะไร
และไม่เสียแรงที่ลู่ไถคือลูกหลานสำนักหยินหยางที่ได้รับการขนานนามว่ามีความรู้กว้างขวางมากที่สุด เขาเล่าเรื่องมากมายที่เฉินผิงอันไม่เคยได้ยินมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นกระบวนท่าหมัดแบ่งออกเป็นในและนอก กระบวนท่ากระบี่แบ่งออกเป็นปณิธานและปราณ ยังบอกถึงเรื่องสำคัญที่ต้องระวังและคำแนะนำบางอย่างเกี่ยวกับการขัดเกลาขอบเขตสี่ของวิถีกระบี่ หลังจากผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหลอมลมปราณแล้วควรจะปูพื้นฐานของสามจิต (ซานหุน) อย่างไร มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก สามจิตของคนเรา กวางไถคือปราณหยางจากธรรมชาติ ผู้ฝึกยุทธ์หล่อหลอมจิตนี้ ทางที่ดีที่สุดควรเลือกช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ช่วงเวลาที่แสงอรุโณทัยสาดส่อง การฝึกวิชาหมัดจะย่อท้อไม่ได้ ความจริงใจสามารถทำให้หินและทองคำแตกออกได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโชควาสนาและความบังเอิญเกิดขึ้น เมื่อได้รับวาสนา กวางไถซึ่งเป็นหนึ่งในสามจิตจะยิ่งแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
ตอนที่ลู่ไถพูดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันค่อนข้างอับอาย รู้สึกร้อนตัวอย่างมาก
ตอนที่ฝ่าทะลุขอบเขตสามที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนนครมังกรเฒ่า มีเจียวหลงสีทองกระโจนลงมาจากทะเลเมฆที่ทอแสงงดงามอย่างดุดัน แต่กลับถูกเขาปล่อยหมัดต่อยพวกมันกลับคืนไป อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นสองครั้ง
ตอนนั้นลู่ไถนั่งคุกเข่าตัวตรงอยู่ตรงติดกับหน้าต่าง หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายคราวนี้เขาสวมกวานสูง รัดเข็มขัด ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่พลิ้วไหว มีท่วงท่าของปัญญาชนเต็มเปี่ยม เขากำลังดื่มชาที่ตัวเองใช้แก่นน้ำพุจากทะเลสาบน้ำมรกตมาต้ม เขาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบถึงเพียงนี้ แค่ปราดเดียวก็มองพิรุธของเฉินผิงอันออก จึงเค้นถาม นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับตบะบนวิถีวรยุทธ์ เฉินผิงอันจึงเล่าอย่างหมดเปลือก ลู่ไถพ่นน้ำชาพรวดจากปาก ก่อนจะชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน บอกว่าอาจารย์ที่สอนเจ้าเฉินผิงอันวาดยันต์และสอนวิชาหมัดคงเป็นคนที่มีนิสัยไม่ยึดติดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แน่นอน
เฉินผิงอันถามว่ามีวิธีที่ช่วยชดเชยหรือไม่ ลู่ไถครุ่นคิด ดื่มชาไปแล้วหนึ่งจอกก็พูดว่าเมื่อไปถึงใบถงทวีป สามารถลองไปเสี่ยงดวงที่ศาลอริยะบู๊แห่งหนึ่งที่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยลาดตระเวนอยู่ในโลกมนุษย์ดูได้ ในประวัติศาสตร์มีผู้ฝึกยุทธ์ที่พรสวรรค์เลิศล้ำไม่น้อยไปที่ศาลอริยะบู๊แล้วได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่เหมือนแมวตาบอดเจอหนูตาย กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่ไถก็ทอดถอนใจ บอกว่าก่อนเขาจะออกจากบ้านมาหาประสบการณ์ อาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยคนหนึ่งของราชวงศ์ต้าตวนว่ามีพรสวรรค์ดีเยี่ยมจนน่าตะลึง ร้ายกาจจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายท่านในศาลอริยะบู๊เป็นฝ่ายมาหาถึงที่ด้วยตัวเอง เพราะต้องการมอบโชคชะตาฝ่ายบู๊ให้กับเขาส่วนหนึ่ง และเจ้าหมอนั่นก็หนักข้อกว่าเจ้าเฉินผิงอันเสียอีก เพราะเขาถึงกับออกหมัดต่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลบู๊ที่เป็นฝ่ายมาแสดงไมตรีกับเขาถอยกลับไป
เฉินผิงอันเดาว่าคนผู้นั้นน่าจะเป็นเฉาสือที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่
ลู่ไถถือโอกาสพูดเรื่องหนึ่งที่เป็นการเตือนเฉินผิงอัน แล้วก็ทั้งย้ำเตือนตัวเอง เขาบอกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ดี ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ช่าง
บนมหามรรคา โชคลาภเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่จะรับไว้ได้หรือไม่นั้นกลับสำคัญยิ่งกว่า โชคดีมาพร้อมกับหายนะ ตัวอย่างที่ผู้มีพรสวรรค์ตายก่อนวัยอันควรมีมากจนนับไม่ไหว และเหตุผลก็คือข้อนี้
เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่จู่ๆ ลู่ไถก็เปลี่ยนหัวข้อพูด บอกว่าเจ้าเฉินผิงอันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน กลัวความวุ่นวายทุกอย่าง ไม่เคยไขว่คว้าหาโชควาสนา คิดแต่จะหลบเลี่ยงโอกาส ไม่ดีอย่างยิ่ง
การที่ลู่ไถ ‘บ่น’ เช่นนี้ นอกจากเป็นเพราะก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ยอมคบค้าสมาคมกับเขาแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากเมื่อไม่นานมานี้ปลาวาฬกลืนสมบัติตัวนี้เพิ่งจะเปิดตราผนึกให้เข้าไปยังพื้นที่ลับแห่งที่สี่ซึ่งเป็นพื้นที่มงคลที่ปริแตก อนุญาตให้ผู้โดยสารเข้าไปหาโชควาสนาด้านใน ขอแค่ผู้โดยสารจ่ายเงินหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชก็สามารถเข้าไปฝึกตนหาประสบการณ์ข้างในได้ ผลเก็บเกี่ยวทุกอย่าง ทางเรือข้ามฟากจะไม่มีทางยึดมา แต่หากมีใครยินดีเอามาขายแลกเงินเกล็ดหิมะ ทางปลาวาฬกลืนสมบัติก็ยินดีรับเอาไว้
ปลาวาฬกลืนสมบัติตัวนี้คือวัตถุที่มีเฉพาะในสำนักห้าทัพของทวีปเกราะทอง พื้นที่ลับแห่งนี้มีเวทอาคมโบราณจำนวนมากหลงเหลืออยู่ ยากมากกว่าจะเปิดออกได้ ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล พอได้พื้นที่ลับแห่งนี้มา สำนักห้าทัพก็อิงตามประเพณีนิยมดั้งเดิมฮุบกลืน ‘กิน’ เพียงคนเดียวอยู่นานถึงหนึ่งร้อยปีเต็ม ถึงท้ายที่สุดค้นพบว่าได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นสำนักห้าทัพจึงเปิดพื้นที่ลับที่ชื่อว่า ‘ดินแดนสู่เซียน’ แห่งนี้แก่คนนอก โดยเก็บเงินค่าผ่านทางหนึ่งก้อนเลียนแบบถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี
ดินแดนสู่เซียนพื้นที่ที่ไม่สมบูรณ์แบบแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างถึงหนึ่งพันลี้ ขนาดพอๆ กับถ้ำสวรรค์หลีจู สามารถเลื่อนไปอยู่ในลำดับของหนึ่งในพื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่งได้ ระดับความกว้างขวางของมันเหนือกว่าถ้ำสวรรค์ทั้งสามสิบหกแห่งอย่างแท้จริง
พื้นที่ลับแห่งนี้จะเปิดออกทุกๆ สิบปี ผู้ฝึกลมปราณมีแค่ขอบเขตต่ำกว่าโอสถทองและก่อกำเนิดเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์กลับไม่มีข้อห้ามใดๆ เมื่อสองร้อยปีก่อนมีผู้โชคดีคนหนึ่งที่มาจากฝูเหยาทวีป เขามีขอบเขตแค่ถ้ำสถิต แต่กลับได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนมากอานุภาพชิ้นหนึ่ง และคงเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมง้าวใหญ่ของแม่ทัพเทพชิ้นนั้นได้ อีกทั้งมันยังไม่เหมาะสมกับตัวเอง จึงขายให้กับสำนักห้าทัพ เรียกได้ว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นก็อาศัยความร่ำรวยผลักดันตัวเองขึ้นสู่ขอบเขตโอสถทอง หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชแลกมาด้วยตบะขอบเขตโอสถทอง ใครบ้างจะไม่อิจฉา?
เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วทั้งทวีปเกราะทอง ผู้ฝึกลมปราณพากันแห่ไปที่ดินแดนสู่เซียน มากมายเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ ช่วงแรกๆ จำเป็นต้องเป็นคนที่มีเส้นสายใหญ่พอถึงจะถูกจัดให้เข้าไปที่นั่นได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินฝนธัญพืชเหรียญเดียวอีกต่อไป ผ่านการเข้าๆ ออกๆ มาสามร้อยปี ระหว่างนี้ก็มีโชควาสนาหลากหลายชนิดและสมบัติอาคมปรากฏขึ้นบนโลก เพียงแต่สู้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นไม่ได้ การเข้าเยี่ยมชมดินแดนสู่เซียนจึงไม่เป็นที่นิยมเหมือนช่วงแรกๆ อีก แต่ก็ยังคงมีคนรู้สึกว่ามันคือสถานที่ที่คุ้มค่าแก่การไปเยือน
แต่ลู่ไถย่อมรู้ว่า ‘การเริ่มต้นที่ดี’ นี้ต้องเป็นผลงานของยอดฝีมือสำนักการค้าที่ช่วยแนะนำให้กับสำนักห้าทัพ
วิธีการไม่ต่างจากที่ทำให้ชาดประทินโฉมโด่งดังไปหลายทวีป คือการร่วมหัวกันหลอกลวงผู้อื่น
แต่ลู่ไถกลับรู้ความจริงเท็จและรากฐานหนาบางของดินแดนสู่เซียนชัดเจนที่สุด อาจารย์เคยบอกว่าหากเขาสนใจและมีเวลาว่าง ไม่สู้ลองไปเยือนดูสักครั้ง ดูสิว่าจะสามารถเก็บของผุๆ ที่พอจะมีราคาค่างวดกลับมาได้บ้างหรือไม่
เหตุใดคราวนี้ลู่ไถถึงมาขึ้นเรือปลาวาฬกลืนสมบัติ?
แน่นอนว่าผลทำนายมหามงคลและโชควาสนาบนมหามรรคาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การไปเยือนดินแดนสู่เซียนก็เป็นโชคลาภก้อนหนึ่งที่เขาลู่ไถต้องได้มาครอบครองเช่นกัน
เดิมทีลู่ไถเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันเข้าไปยังดินแดนสู่เซียนด้วยกันอย่างกระตือรือร้นสุดขีด จะได้ไปเที่ยวชมดินแดนเซียนของเซียนและตามหาโชควาสนากับสมบัติอาคมด้วยกัน แต่มาถึงท้ายที่สุด ต่อให้เฉินผิงอันจะยอมให้เขายืมเงินฝนธัญพืชอีกหนึ่งเหรียญ ตัวเขาเองกลับยังยืนกรานว่าจะไม่ไปลองเสี่ยงโชคในครั้งนี้
ลู่ไถจึงได้แต่เข้าไปเองเพียงลำพัง ยี่สิบวันต่อมาก็ออกจากดินแดนสู่เซียนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าจากการเดินทาง วันนั้นเขาก็คืนเงินฝนธัญพืชให้เฉินผิงอันสามเหรียญ เหรียญหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา เขาบอกว่าเป็นดอกเบี้ย หลังจากฟังลู่ไถเล่าถึงประสบการณ์และผลเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่จนจบ เฉินผิงอันถึงได้รับเงินเหรียญนั้นไว้อย่างสบายใจ ที่แท้ลู่ไถก็อาศัยวิชาหยินหยางที่สืบทอดจากตระกูลมาเปิดตราผนึกของจวนโบราณตระกูลเซียนหลังหนึ่ง ตลอดทางมีแต่เรื่องน่าตกใจทว่าไร้อันตราย เขาเกือบจะได้กลายเป็นเจ้าของจวนเซียนโบราณหลังนั้น เพียงแต่ติดที่กฎซึ่งสำนักห้าทัพตั้งเอาไว้ จึงเป็นฝ่ายสละสิทธิ์การควบคุมจวนในพื้นที่มงคลแห่งนั้นด้วยตัวเอง แล้วทำการแลกเปลี่ยนกับสำนักห้าทัพเป็นการส่วนตัว โดยแลกมาด้วยเงินฝนธัญพืชกองโต เนื่องด้วยการค้าข้ามทวีปของสำนักห้าทัพ มีหลายจุดที่จำเป็นต้องใช้เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืช สำนักห้าทัพจึงติดหนี้ลู่ไถไว้ก่อนชั่วคราว ภายในระยะเวลาครึ่งปีจะคืนให้เขาอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังจะเพิ่มเงินปันผลให้พิเศษอีกก้อนหนึ่ง
อย่าได้คิดว่าสำนักห้าธาตุจะขาดทุน เพราะความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น จวนเซียนที่เดิมทีเป็นเหมือนซี่โครงไก่ พอถูกลู่ไถเปิดออกได้สำเร็จ เนื่องจากมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เหมาะแก่การฝึกตน แขกสูงศักดิ์ของปลาวาฬกลืนสมบัติ ยกตัวอย่างเช่นโอสถทองและก่อกำเนิดเซียนพสุธาที่สูงส่งในสายตาของคนบนโลก ก็จะต้องเต็มใจมาพักอยู่ที่นี่ นี่จะเป็นดั่งน้ำสายเล็กที่ไหลยาว สำนักห้าทัพไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย การหาเงินของสำนักการค้าย่อมต้องหากำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ ‘แหล่งเงิน’ ที่เป็นรายรับมั่นคงก้อนนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นเงินทุนที่ช่วยให้หยัดยืนได้อย่างยาวนาน
การกระทำนี้ของลู่ไถทำให้เขากลายมาเป็นคนโชคดีคนที่สามที่ได้ผลเก็บเกี่ยวก้อนโตในประวัติศาสตร์ของดินแดนสู่เซียน
นอกจากนี้ลู่ไถยังได้วิชาลับสู่เซียนของยุคบรรพกาลมาเล่มหนึ่ง และสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาเต่ายักษ์หอมายา’ อีกชิ้นหนึ่งมาจากจวนเซียน
ลู่ไถไม่ได้ขายโชควาสนาสองชิ้นนี้
แต่ต่อให้ลู่ไถจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเฉินผิงอันพลาดโอกาสในการพบเจอโชคยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไป เฉินผิงอันก็ยังไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก เขาเพียงเอาเงินฝนธัญพืชที่ได้แถมมาเหรียญนั้นวางลงบนโต๊ะ บางครั้งที่อ่านหนังสือจนเบื่อก็จะใช้นิ้วหมุนเหรียญเงินฝนธัญพืช ปล่อยให้มันกลิ้งไปกลิ้งมาบนหลังมือ สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่ก็คือวิธีที่ดีในการแก้เบื่อ เห็นผลทันตา
นี่ทำให้ลู่ไถอัดอั้นอย่างยิ่ง
อุตส่าห์พูดด้วยความหวังดีเสียยาวเหยียด กลับไม่สามารถสั่นคลอนเฉินผิงอันได้เลย
ดังนั้นทุกครั้งที่ลู่ไถดื่มชาจะไม่เคยเชิญให้เฉินผิงอันมาร่วมดื่มด้วยกัน แน่นอนว่าตัวเฉินผิงอันเองก็คงไม่มีความคิดอยากจะดื่ม
ลู่ไถเป็นคนที่ประณีตพิถีพิถันอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เสแสร้งแกล้งทำให้ดูเหมือน เขาเกิดมาในตระกูลของผู้สูงศักดิ์ที่อยู่มานานนับพันปี อีกทั้งยังเป็นตระกูลเซียนด้วย จึงไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลธรรมดาในโลกมนุษย์จะเปรียบเทียบได้ ดังนั้นบุคลิกท่วงท่าของลู่ไถจึงกลมกลืนเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นทั้งการถูกกล่อมเกลามาจากสภาพแวดล้อมที่ดี และทั้งการได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่พบและเห็นเป็นประจำ
ชาที่ใช้ในการประลองชาต้องใหม่ ฝีมือการชงและอุปกรณ์การชงต้องเก่าแก่ น้ำแร่ที่ใช้ชงชาต้องใสสะอาดและมีน้ำหนักมาก คนที่ดื่มชาก็ต้องมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์และมีไหวพริบ
ลู่ไถอยู่กับเฉินผิงอันนานวันเข้าก็รู้สึกว่าเฉินผิงอันเคร่งขรึมตายตัวเกินไป จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ของเขานั้นเกินพอ แต่ไหวพริบไม่มากพอ
และนั่นย่อมผิดต่อชาดีๆ ของเขา
ก็เหมือนกับวันนี้ ลู่ไถพูดถึงเรื่องน่าเสียดายที่ ‘เงินหล่นจากฟ้าเหมือนฝนเทกระหน่ำ เจ้าเฉินผิงอันกลับไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคา’ เฉินผิงอันก็ได้แต่ฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
คงเป็นเพราะลู่ไถรู้สึกว่าเคาะตีอย่างไรไม้แข็งทื่อนี้ก็ไม่มีทางฟื้นตื่นขึ้นมาได้ จึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดโน้มน้าวให้เฉินผิงอันเชื่อ เปลี่ยนมาพูดเรื่องไร้แก่นสารที่กว้างขวางอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ทว่าเรื่องราวบนโลกล้วนอนิจจัง เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ยอมรับฟัง ยังฟังอย่างตั้งใจมากด้วย
“เฉินผิงอัน เจ้าฝึกหมัดฝึกกระบี่ ใจของเจ้าล้วนมั่นคงมาก นี่คือจุดที่ร้ายกาจของเจ้า แต่เจ้าต้องระวังไว้ว่า ใจมั่นคงหาใช่ใจตายด้านไม่ จิตใจนิ่งสงบเหมือนน้ำนิ่ง แต่ห้ามเป็นน้ำตายในบ่อเด็ดขาด”
นี่คือคำพูดที่ลู่ไถพูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ขนาดตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เหลวไหลสิ้นดี
แต่เฉินผิงอันกลับยอมหยุดกระบวนท่ากระบี่น่าเบื่อหน่ายที่ฝึกซ้ำไปซ้ำมาเป็นครั้งแรก มานั่งอยู่ด้านหน้าเขา คุกเข่าเลียนแบบท่านั่งดื่มชาของลู่ไถ ท่าทางของเฉินผิงอันค่อนข้างจะขัดเขินไม่เป็นธรรมชาติ แตกต่างจากความสง่างามของของลู่ไถราวฟ้ากับเหว เหมือนชาวนาที่เลียนแบบการนั่งของนักปราชญ์ผู้เฒ่าซึ่งได้แต่โคลงศีรษะ ทำท่าให้ดูคล้ายไปอย่างนั้น
เฉินผิงอันทำท่านี้ ลู่ไถรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก ลูกหลานสกุลลู่ผู้หล่อเหลาที่ถูกขนานนามให้เป็นผู้ไร้เทียมทานด้านการประลองชาในรุ่นคนหนุ่มสาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางชำเลืองตามองประเมินเฉินผิงอันที่นั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ถูกเขามองอย่างนี้ เฉินผิงอันย่อมต้องยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม
สำหรับการเป็นบัณฑิตที่แท้จริง ยังคงเป็นสิ่งที่เฉินผิงอันปรารถนา
เพราะมีอาจารย์ฉี มีหลี่ซีเซิ่ง และยังมีเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินที่แคว้นไฉ่อี ต่อให้เป็นจางซานเฟิงที่มีอารมณ์อยากแต่งกลอนเป็นบางครั้ง ก็ยังทำให้เฉินผิงอันปรารถนาอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง
เฉินผิงอันระงับความไม่สงบในใจ เอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าสภาพจิตใจของข้าสุดโต่งเกินไป?”
ลู่ไถอึ้งตะลึง เขาที่มีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดอย่างถึงที่สุดไม่กล้าตอบรับแบบขอไปที แล้วก็ไม่กล้าให้ข้อสรุปส่งเดช
หากเป็นคนปกติ ลู่ไถคงแต่งเรื่องส่งเดช หรือไม่ก็พูดบางอย่างที่ทั้งไม่ถูกและไม่ผิด
แต่วันนี้เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้
คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เฉินผิงอันมีสีหน้าจริงจัง ลู่ไถยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนพาตัวเองมาติดกับ
แต่แล้วลู่ไถก็เกิดความคิดบางอย่าง พลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง มาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? เดิมนึกว่ามีเพียงเหยียบลงบนแผ่นดินของใบถงทวีปก่อน จากนั้นเมื่อได้ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปด้วยกัน ผ่านอุปสรรคและความยากลำบากนานัปการ ต้นกล้าของโชควาสนาในครั้งนี้ถึงจะแตกหน่อ คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วถึงขั้นที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวขนาดนี้ ลู่ไถทำจิตใจให้มั่นคง เริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ ส่งชาหนึ่งถ้วยให้เฉินผิงอันด้วยสีหน้าจริงจัง “ดื่มช้าๆ รอให้เจ้าดื่มหมดแล้ว ข้าค่อยพูดความคิดเห็นของข้า”
เฉินผิงอันไม่รู้ความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ คิดเพียงว่านี่เป็นการถามตอบธรรมดาที่ช่วยคลี่คลายข้อข้องใจเท่านั้น จึงพยักหน้ารับ รับถ้วยชามาแล้วดื่มคำเล็กๆ
หลังจากผ่านมรสุมบนเกาะกุ้ยฮวามาได้ เฉินผิงอันได้เจอกับคนพายเรือเฒ่าที่แอบรักกุ้ยฮูหยินมาหลายปี เขาเป็นทั้งคนถ่อเรืออันดับหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวา ยิ่งเป็นข้ารับใช้เพียงหนึ่งเดียวก่อนที่ลู่เฉินจะบินทะยาน เคยล่องเรือท่องไปทั่วสี่ทิศ ตอนนั้นเฉินผิงอันฝันประหลาดอย่างหนึ่งว่าได้เข้าไปในหนังสือหนึ่งเล่มแล้ว ‘อ่านตำราตลอดทั้งคืน’ ตอนอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่คนพายเรือเฒ่าโบกมือสร้างขึ้นมาที่ท่าเรือ เขาได้ถามตอบกับคนพายเรือเฒ่าอยู่พักหนึ่ง เป็นเหตุให้คนพายเรือผู้นั้นกล่าวว่า ‘อย่าได้คิดจะทำลายมหามรรคาของข้า’
ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดถึงหลักการของปลายไม้บรรทัดสองข้าง
เขาคิดว่าหลักการของคนพายเรือสุดโต่งเกินไป มองดูเหมือนมีเหตุผล แต่อันที่จริงกลับไร้เหตุผล
เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ไม่ใช่ ‘การยึดทางสายกลาง’ อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือ
และรากฐานของลัทธิเต๋าก็คือสี่คำว่าวิถีเต๋าคือวิถีธรรมชาติ
ดังนั้นการอ่านหนังสือในค่ำคืนนั้น เฉินผิงอันยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่ามีคนกล่าวว่า หลักการของลัทธิพุทธ ไม่ได้อยู่ที่จุดสูง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันสูงมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเหตุผลนั้นมีความเป็นจริงหรือไม่
คนผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของลัทธิพุทธเรามีความรู้ลึกล้ำกว้างไกลถึงเพียงนั้น ทว่าหลังจากการถามตอบในครั้งหนึ่งกลับมาพูดทอดถอนใจซึ่งแฝงไว้ด้วยความละอายที่ตัวเองสู้ไม่ได้กับลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นการส่วนตัวว่า มรรคาของคนบางคนสูงจริงๆ แต่ว่า…
น่าเสียดายก็แต่เนื้อหาหลังจากคำว่า ‘แต่ว่า’ เฉินผิงอันกลับจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้แม้แต่คำเดียว อาจเป็นเพราะคนผู้นั้น หรือไม่ก็ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้กล่าวไว้
วันนี้ที่เฉินผิงอันเอ่ยถาม แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการถามลู่ไถ เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้น
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันฝึกหมัดและเริ่มเรียนหนังสือเป็นต้นมา
เขาจะไม่เคยคิดถึงอนาคตของตัวเองมาก่อนเลยจริงๆ หรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเคยมีสัญญาหกสิบปีกับพี่สาวเทพเซียนวิญญาณกระบี่ และตอนนี้ก็มีสัญญาสิบปีกับหนิงเหยา
‘การท่องไปบนภูเขาเที่ยวไปตามลำน้ำ’ ทั้งสองครั้งของเฉินผิงอัน จากแรกเริ่มสุดที่บอกว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วที่สุด’ ก็กลายมาเป็นว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วมากกว่าเดิม แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่สุดด้วย’
หนึ่งในประโยคที่มีน้ำหนักที่สุดของเฉินผิงอัน ตอนนั้นคนที่ฟังประโยคนี้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ นั่นคือตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เขาพูดกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิดตรงไหน เจ้าต้องบอกข้าด้วยนะ”
เส้นทางหัวใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าตอนหลังผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วจะปล่อยหมัดต่อยลงมาบนร่างและจิตวิญญาณของเขามากน้อยเท่าไหร่ แต่เฉินผิงอันก็ยังคงสงสัยตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แต่นี่คือก้าวที่เขาจำเป็นต้องก้าวออกไป
และก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็ได้เปิดเผยสภาพจิตใจ หรือควรจะเรียกว่าความรู้สึกแท้จริงซึ่งเป็นดั่งภาพมายาจับต้องไม่ได้ออกมาด้วยประโยคที่ไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว นั่นคือตอนที่พูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาบนภูเขาห้อยหัว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฉินผิงอันปฏิเสธตัวเองมาโดยตลอด
“เป็นเพราะข้าทำได้ไม่ดีพอ”
ทำได้ไม่ดีพอก็คือทำผิด
บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เข้มงวดกับตัวเองเช่นนี้?
แต่สภาพจิตใจเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เป็นเพราะเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกทุบแตก รวมไปถึงความลำบากยากเข็ญมากมายที่ต้องเผชิญหลังจากนั้น โอกาสและความบังเอิญทั้งหลายแหล่ล้วนบีบบังคับให้เฉินผิงอันต้องสร้างสภาพจิตใจที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากทำสำเร็จจะรวบรวมขึ้นเป็นภาพมหัศจรรย์ที่ตะวันจันทราลอยเด่นบนนภาจนกลุ่มดวงดาวหม่นแสง
หากทำไม่สำเร็จก็คงต้องผิดคำสัญญา ผิดหวังในหลายๆ เรื่อง
คนคนหนึ่งหากไม่มีอะไรให้กินย่อมหิวตาย แต่หากพื้นที่ในหัวใจแห้งขอดก็ต้องตายอีกเหมือนกัน แค่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้น วันนี้ไม่ตาย วันหน้าก็ต้องตายอยู่ดี
ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เผชิญกับความทุกข์ยากและสิ้นหวัง ลุกผงาดขึ้นอย่างเคียดแค้น มุมานะในการพัฒนาตน
แต่กลับดิ้นรนสู่ความตายอย่างเงียบเชียบ กินดื่มสำเริงสำราญ ไม่รู้จักควบคุมตน เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาดุจม้าพยศแล่นเตลิด ข้อเสียต่างๆ นานาก็คือความประหลาดของหัวใจคน
ใจคนซับซ้อน จนแม้แต่อริยะและเซียนก็ยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุใดตอนอยู่เมืองเล็กชุยฉานถึงพ่ายแพ้ นี่ก็คือตัวอย่าง
เมื่อไล่ตามเส้นทางแห่งใจเส้นนี้ไป สภาพจิตใจของเฉินผิงอันจึงชัดเจนอย่างยิ่ง เกือบจะทำให้หลิวเสี้ยนหยางต้องตาย คือความผิดของข้าเฉินผิงอัน ดังนั้นหากข้าตายก็ตายไปเถอะ ได้พูดเหตุผลหลักการของตัวเองที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจฟังจนจบก็ถือว่าปัญหาทุกอย่างจบสิ้นกันแล้ว
ก่อนที่กะเทยในเตาเผามังกรคนนั้นจะตาย เฉินผิงอันไม่ได้รับปากชายคนนั้นว่าจะช่วยเก็บตลับชาดให้
เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกอยู่ดีว่าเป็น ‘ความผิด’ ของตัวเอง
และคำสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่ผู้คนพากันพูดก่อนกะเทยคนนั้นจะตาย บอกว่าเฉินผิงอันเจ้าคือคนดี เฉินผิงอันก็ยังคงมองข้ามมันไปโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ฉีจิ้งชุนเต็มใจคารวะเฉินผิงอันในตรอกเล็ก แต่เฉินผิงอันก็ยังจำได้แค่สิ่งที่วิญญาณกระบี่กล่าวไว้ว่า ‘อาจารย์ฉีกำลังเดิมพัน เดิมพันจากส่วนหนึ่งในหมื่นนั้น’ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ฉีถึงเชื่อว่าเขาจะไม่ผิดหวังต่อโลกใบนี้ เฉินผิงอันกลับไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เมื่อคนคนหนึ่งรู้จักโลกใบนี้อย่างแท้จริง เคยเห็นภูเขาใหญ่ที่สูงเสียดแทงชั้นเมฆ เคยเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เห็นภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทัดเทียม หรือถึงขั้นเคยเห็นท่วงทำนองของเหล่าบัณฑิต เห็นชุดขุนนาง ที่ว่าการซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าเกรงขามของหนึ่งแคว้น เห็นการเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นความไม่เที่ยงของคนธรรมดา เคยเห็นกองทัพม้าเหล็กที่มองดูเหมือนจะห้าวหาญกร้าวแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเลือดเย็นอำมหิต เห็นอดีตสหายที่กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งเดินยิ่งห่างไกลโดยที่ทำอะไรไม่ได้ เห็นบิดามารดาค่อยๆ แก่ชราแล้วจากไป โดยที่เจ้าไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้เลย…
ดังนั้นในบางเวลาคนคนหนึ่งก็อาจจะรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า ตัวเองช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน
ความรู้สึกเช่นนี้น่าจะเรียกว่าความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ความเศร้าโศกเสียใจ ยากที่ใครจะรู้สึกเห็นใจเหมือนได้เผชิญด้วยตัวเอง การแบ่งปันความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ชีวิตคนมีแต่การจากลาครั้งแล้วครั้งเล่า…
อันที่จริงสำหรับโลกใบนี้ เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลิวเสี้ยนหยาง หลี่เป่าผิง กู้ช่านล้วนไม่มีทางเป็นเหมือนเฉินผิงอัน
กู้ช่านคิดแต่จะแก้แค้น
หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าฟ้าดินมีแต่เรื่องน่าสนใจ จมจ่อมอยู่ในโลกของใจตนที่เต็มไปด้วยสีสัน แทบไม่เคยสงสัยตัวเอง และยิ่งไม่เคยปฏิเสธตัวเองง่ายๆ
ดังนั้นนางถึงได้เอ่ยประโยคที่ว่า ‘จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?’
ส่วนหลิวเสี้ยนหยางก็พูดตามความต้องการของหัวใจว่า ข้าจะต้องได้เห็นภูเขาที่สูงกว่านี้และได้เห็นแม่น้ำที่ใหญ่กว่านี้ ข้าจะไม่มีทางแก่ตายอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้แน่นอน!
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาอาจจะทำเรื่องอะไรมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพาพวกหลี่เป่าผิงไปที่ต้าสุย แต่สภาพจิตใจและอารมณ์ของเฉินผิงอันจะถูกซ่อนเอาไว้
ความคิดและอารมณ์ส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจะอยู่ในลักษณะที่ ‘ไม่เคลื่อนไหว’
เผาเครื่องปั้นอยู่ในเตาเผามังกรมานานหลายปี เด็กหนุ่มปรารถนาให้มือของตัวเองมั่นคงอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นการแสวงหาจิตใจที่มั่นคงอย่างดึงดัน
ใจไม่มั่นคง เขาก็จะอิจฉาที่ซ่งจี๋ซินมีเงิน อิจฉาที่เขามีคนให้ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกัน อิจฉาที่เขาอ่านออกเขียนได้
อิจฉาหลิวเสี้ยนหยางที่เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องใดแค่ลงมือก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว ยังจะต้องรังเกียจและดูแคลนกะเทยคนนั้น และตอนที่ตามหาตัวเขาพบบนภูเขาครั้งแรกก็จะไม่มีทางชี้บอกเส้นทางให้กะเทยคนนั้นหนีไป กลับกันคือจะเอาความลับนี้ไปบอกผู้เฒ่าเหยาโดยตรง
แต่เรื่องราวมีดีมีร้าย เมื่อใจมั่นคงแล้ว เลือกเส้นทางสุดโต่ง ก็จะ ‘ตาย’ ง่ายเหมือนอย่างที่ลู่ไถพูด ซึ่งอันที่จริงนี่ก็คือการ ‘แกล้งตาย’ ของลัทธิเต๋า
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหร่วนฉงที่แม้จะไม่มีอคติต่อเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน และไม่ยินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์
และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมลู่ไถถึงคิดว่าเฉินผิงอันไม่มีไหวพริบมากพอ
ดังนั้นสภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่วิญญาณกระบี่เห็นในตอนนั้นจึงเป็นภาพของเด็กน้อยสวมรองเท้าสานที่นั่งเฝ้าสุสานและภูเขา
‘ความเคลื่อนไหว’ เพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนที่ไล่ตามเงาร่างของใครบางคนไปทางทิศใต้
เงาร่างนั้น แท้จริงแล้วก็คือหนิงเหยาที่ขี่กระบี่จากไป
ดังนั้นเมื่อเทียบกับความหวาดกลัวเหมือนเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางๆ ตอนที่เดินทางไปต้าสุยแล้ว ภายหลังที่เฉินผิงอันเลือกนำกระบี่ไปส่งให้แม่นางที่ตัวเองรักจึงมีความสมัครใจเพิ่มขึ้นมา
‘เพราะข้าอยากจะท่องไปในยุทธภพ’
ข้าเฉินผิงอันอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง
ดังนั้นต่อให้จะอิจฉาฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า ต่อให้ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว บนบ่าของเฉินผิงอันจะมีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง แต่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกลับผ่อนคลายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนรองเท้าที่สวมใส่ เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมตัวยาว เพราะคิดอยากเป็นเซียนกระบี่ อีกทั้งยังต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่สามารถสลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ด้วย
จากคนที่กล้าซื้อภูเขาห้าลูกก็รีบปล่อยให้คนอื่นเช่าสามลูก หวังจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองยกให้หลิวเสี้ยนหยางที่ต้องไปจากบ้านเกิด ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ผลิไปถึงช่วงท้ายฤดูใบไม้ผลิก็มอบหินดีงูชั้นเยี่ยมเกือบครึ่งให้กับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู…จาก ‘คนคนหนึ่งที่ในเมื่อข้ารั้งไว้ไม่อยู่ ก็ควรรีบมอบให้กับคนที่ตัวเองห่วงใย’ คนที่ก่อนจะเดินไปทางต้าสุยก็รีบฝากฝังธุระหลังตายกับหร่วนฉง หวังว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมอบภูเขาให้กับใครๆๆ บ้าง เรียกว่ามีชีวิตแต่คิดตาย มีชีวิตอยู่ด้วยความเศร้ารันทดอย่างถึงขีดสุด จนมาถึงวันนี้ เฉินผิงอันได้เปลี่ยนไปราวพลิกฟ้าพลิกดินแล้ว
ทั้งหมดนี้ ได้มาไม่ง่ายเลย
ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งเมาเหล้าถึงได้ตบศีรษะเฉินผิงอันแล้วบอกว่าเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้า อย่าคิดเรื่องที่หนักหนาให้มากเกินไปนัก
นั่นเป็นเพราะผู้เฒ่ามองปราดเดียวก็เห็นถึงปัญหาในใจเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มไม่ควรเป็นเช่นนี้ เมื่อสงบนิ่งถึงขีดสุดแล้วควรมีการเปลี่ยนแปลง ได้เวลาปลดภาระบนบ่าลง ทำเรื่องงดงามที่เด็กหนุ่มผู้ผ่อนคลายควรทำ
เพียงแต่ว่าหลักการบนโลกใบนี้ เคยได้ยินหรือไม่ รู้หรือไม่ เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนจะทำหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลักการในหนังสือและนอกหนังสือ จะนำมาปฏิบัติจริงได้อย่างไร ยากแสนยาก
เฉินผิงอันดื่มชาอึกแล้วอึกเล่า ก่อนหน้าที่ลู่ไถจะบอกคำตอบของตน เฉินผิงอันพลันกล่าวขึ้นว่า “ต่อให้ข้าจะไม่สนิทกับเจ้า แม้ว่าจะให้เจ้ายืมเงินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมกับเจ้า ยิ่งไม่เต็มใจไปที่ดินแดนสู่เซียนกับเจ้า อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะข้ากลัวตาย”
เผชิญหน้ากับไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัวและวานรย้ายภูเขาที่บ้านเกิด เฉินผิงอันคิดว่านั่นเท่ากับตัวเองตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ตอนอยู่ร่องน้ำเจียวหลงคือครั้งที่สอง
เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำเกินสามครั้ง
เฉินผิงอันค่อยๆ วางถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วลง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ของดีที่อาศัยโชคช่วยนั้น ข้าไม่เคยคว้าไว้ได้อยู่มือ”
เฉินผิงอันพูดเหมือนคุยกับตัวเอง “เมื่อครู่ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเมื่อก่อนข้าอาจจะทำถูก แต่หากตอนนี้ยังทำตัวแบบเดิมก็อาจจะผิดแล้วล่ะ หากอยากให้ในการฝึกตนในอนาคต ตัวเองเดินไปได้ไกลกว่าเดิม ก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลง”
ลู่ไถมีสีหน้าประหลาด แต่ก็ยังมีความเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน
อันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาแอบใช้วิชาลับพิศจิตใจของสกุลลู่ที่สืบทอดมาอย่างลับๆ ลอบดูสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยกถ้วยชาขึ้น “ขออีกถ้วยได้ไหม?”
ลู่ไถพูดเสียงขุ่น “เจ้าคิดว่านี่คือการดื่มเหล้าหรือไง?”
แต่ก็ยังเติมน้ำชาให้เฉินผิงอันอีกถ้วย
เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “แต่การที่ข้าไม่ได้ติดตามเจ้าไปยังดินแดนสู่เซียน ข้าคิดว่าตัดสินใจถูกแล้ว เพราะหากข้าเข้าไปพร้อมกับเจ้า ไม่แน่ว่าอาจทำให้เจ้าไม่ได้เงินสักแดงเดียว ตอนนี้เจ้าได้เงินก้อนใหญ่ ข้าได้เงินฝนธัญพืชสามเหรียญ ดีมากแล้ว”
ตัวลู่ไถเองไม่ดื่มชามาพักใหญ่แล้ว เขาเอาสองมือวางบนเข่า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สองเหรียญเจ้าให้ข้ายืม อันที่จริงเจ้าได้เพิ่มมาแค่เหรียญเดียว”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ารู้สึกว่าสามเหรียญ”
ลู่ไถไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แสดงว่าไอ้หมอนี่คิดว่าตนจะไม่มีทางคืนเงินที่ยืมไปใช่ไหม?
เฉินผิงอันดื่มชาที่เขาดื่มไม่รู้รสชาติแท้จริงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ต้องเหลือไว้สักหน่อย พลาดแล้วก็คือพลาด จะหวังให้ตัวเองได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกเรื่องไม่ได้ ลู่ไถ เจ้าคิดว่าไง?”
ลู่ไถอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่าเสียงดัง “เฉินผิงอัน ไม่นึกว่าเจ้าก็คือคนคนนั้นที่หลบซ่อนตัวอยู่!”
เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งถ้วยพร้อมความรู้สึกมึนงง
แล้วใบหน้าของลู่ไถก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาโน้มตัวไปด้านหน้า แย่งถ้วยชามาจากมือเฉินผิงอัน โบกชายแขนเสื้อเก็บอุปกรณ์ชงชาทั้งหมดไป ลุกขึ้นยืนแล้วถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างโมโหไม่หาย “ขึ้นดาดฟ้าพิศมรรคา ใครกันแน่ที่พิศมรรคา ใครกันแน่ที่เป็นใบถงแต่งตั้งโหว เจ้ารู้หมดแล้ว ข้าก็แค่โหวตัวเล็กๆ ที่ได้รับแต่งตั้งจากใบถง จะนับเป็นอะไรได้! ขาดทุนข้าจริงๆ !”
ลู่ไถเดินขึ้นเรือนไปด้วยความโมโห กระแทกเท้าที่เหยียบขั้นบันไดจนเกิดเสียงดังตึงตัง
เฉินผิงอันเกาหัวอย่างมึนงง รู้สึกเหมือนพระสูงสองจั้งมิอาจคลำศีรษะท่าน (เปรียบเปรยว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น)
ช่วงเวลาที่ยาวนานมากหลังจากนั้น เฉินผิงอันค่อนข้างอนาถ เพราะลู่ไถกลับไปสวมชุดผู้หญิงอีกครั้ง ไม่เพียงแต่แต่งองค์ทรงเครื่องฉูดฉาดหรูหรา ยังทำตัวสะดีดสะดิ้งกรีดกราย ทุกวันจะต้องลงมาที่ชั้นหนึ่งแกล้งให้เฉินผิงอันขนลุกขนพองเล่น
ต่อให้เฉินผิงอันจะนิสัยดีแค่ไหนก็ทนรับกลิ่นเครื่องประทินโฉมที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโบกลงไปกี่ชั้น ทนรับท่าจีบนิ้ว รวมไปถึงท่ายักคิ้วชม้อยชม้ายชายตาและน้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนแบบนั้นไม่ไหว ดังนั้นตอนเช้าของวันหนึ่งที่ลู่ไถนั่งฮัมเพลงอยู่บนรั้วระเบียง เฉินผิงอันจึงปล่อยหมัดต่อยให้ลู่ไถร่วงตกลงไปในทะเลสาบน้ำมรกต
ลู่ไถพุ่งออกมาจากน้ำด้วยความเกรี้ยวกราด เขาที่มีสภาพเหมือนไก่ตกน้ำต้องข่มกลั้นอารมณ์สุดความสามารถที่จะไม่เอาเจินเจียนและม่ายกวางกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาทิ่มแทงเฉินผิงอันให้ตาย สุดท้ายไม่ได้ลงมือ แค่แผดเสียงด่าทอเฉินผิงอัน บอกว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งหนึ่งของตัวเองแบบนี้น่ะหรือ?! เจ้าเฉินผิงอันยังมีมโนธรรมเหลืออยู่บ้างหรือไม่?
แต่ว่าตอนที่พูดถึงผู้ถ่ายทอดมรรคา เห็นได้ชัดว่าลู่ไถพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก แต่ตอนด่าเฉินผิงอันว่าไม่มีมโนธรรมกลับมั่นใจยิ่ง
หลังจากนั้นมาลู่ไถก็ไม่สนใจเฉินผิงอันอีก
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ตอนที่ปลาวาฬกลืนสมบัติลำนี้ไปถึงท่าเรือสำนักฝูจีของใบถงทวีปเป็นช่วงฟ้าสางพอดี เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อเตือนลู่ไถว่าสามารถลงจากเรือได้แล้ว
แต่บนชั้นสามกลับว่างเปล่า
เฉินผิงอันไม่ได้คิดมาก แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนประหลาดจริงๆ
เขาออกจากปลาวาฬกลืนสมบัติที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นไปบนแผ่นดินของใบถงทวีปเพียงลำพัง
เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนท่าเรือกระทืบเท้าเบาๆ
ก็เหมือนปีนั้นที่เดินจากตรอกหนีผิงเข้าไปยังถนนฝูลวี่ครั้งแรก จากถนนดินเหนียวเดินไปบนถนนที่ปูกระเบื้องหิน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สดใหม่
ไม่มีลู่ไถอยู่ข้างกาย เฉินผิงอันรู้สึกว่าดีมาก แม้ว่าจะคิดอย่างนี้ แต่ก็อดรู้สึกผิดต่อเจ้าหมอนั่นไม่ได้
และในขณะที่เฉินผิงอันก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่เบาสบายและผ่อนคลายนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่ข้างร้านแห่งหนึ่งตรงท่าเรือที่รุ่งเรือง เฉินผิงอันพลันแยกเขี้ยวทันที
ลู่ไถที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียว คาดเข็มขัดหยกปักปิ่นกำลังนั่งยองกินซาลาเปาเนื้ออยู่ข้างถนน พอเห็นเฉินผิงอันก็หันไปมองสุนัขตัวหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายซึ่งมันกำลังมองลู่ไถตาปริบๆ
ลู่ไถจึงโยนซาลาเปาเนื้ออีกลูกหนึ่งในมือให้แก่สุนัขข้างทางตัวนั้น
เสร็จแล้วก็หันมายักคิ้วใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเดินไปหา ลู่ไถยังแทะซาลาเปาเนื้อแป้งบางไส้เต็มแน่นพลางโคลงศีรษะ ท่าทางกวนโอ๊ยอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันก้มตัวลงลูบศีรษะสุนัขตัวนั้นก่อน จากนั้นก็ถีบลู่ไถหนึ่งที