บทที่ 298 ออกหมัด
ในหอหลักของป้อมอินทรีบิน คนสกุลหลวนหลายสิบคนที่เป็นเสาหลักของป้อมล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ หมดอาลัยตายอยาก
ไม่ว่าอย่างไรเจ้าประมุขหลวนหยางก็คิดไม่ถึงว่า เซียนซือจากไท่ผิงซานที่ขอให้สหายสนิททุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญตัวมาจะกลับกลายมาเป็นตัวการหายนะที่แท้จริง
สี่มุมของห้องโถงใหญ่วางกระถางไฟไว้สี่ใบ กิ่งต้นสนต้นไป่ที่อยู่ด้านในเผาไหม้จนสิ้นซากไปนานแล้ว ก่อนหน้านี้เซียนซือท่านนั้นบอกว่าหอหลักแห่งนี้คือสถานที่สำคัญที่ภูตผีปีศาจปรารถนาอยากครอบครองมาเนิ่นนาน จึงจำเป็นต้องเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาเผาศาลรวมกับยันต์ที่มีเฉพาะในไท่ผิงซานมาจัดวางค่ายกลขจัดสิ่งสกปรก เมื่อทำเช่นนี้พวกผีร้ายนอกรีตที่มีใจชั่วร้ายก็จะไม่สามารถฉวยโอกาสกับป้อมอินทรีบินได้อีก
แถมยังบอกด้วยว่าต้องให้แน่ใจก่อนว่าในหอหลักแห่งนี้ปลอดภัย เขาถึงจะออกไปกำจัดปีศาจปราบมาร ผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์เพียงลำพัง
ป้อมอินทรีบินย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว
เมฆดำด้านนอกกดทับลงมาเหนือศีรษะจนผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือการก่อกวนจากภูตผีปีศาจตัวจริงเสียจริง คนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างพวกเขา เพื่อการคงอยู่ของตระกูล ให้ยกดาบปะทะกับศัตรู ต่อให้เจอกับเหล่าผู้กล้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งวิถีมารในแคว้นเฉินเซียง ก็ยังเห็นเป็นภารกิจพึงปฏิบัติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากต้องตายก็คือตาย
แต่จะให้พวกเขาไปรับมือกับภูตผีวัตถุหยิน แค่คิดก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญผวา ปราณหยางบนร่างคล้ายจะลดน้อยลงไปอีกหลายส่วน
ก่อนหน้านี้หลวนหยางไม่ได้เชื่อเซียนซือจากไท่ผิงซานท่านนี้จนหมดใจ ต่อให้คนผู้นี้จะมีมาดสูงส่งคล้ายเจ๋อเซียนที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวบนโลก ต่อให้มีสหายสนิทเป็นตัวกลางช่วยแนะนำ หลวนหยางก็ยังไม่กล้าประมาทง่ายๆ นี่คือสภาพจิตใจที่ตระกูลสูงศักดิ์ในยุทธภพจำเป็นต้องมี เป็นเหตุให้ตอนที่คนผู้นั้นจูงม้าขาวเดินไปตามตรอกเล็กใหญ่ หลวนหยางจึงให้ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่ใช้ข้ออ้างว่าช่วยนำทางติดตามไปด้วยระยะทางหนึ่ง กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ที่ติดไฟในเวลานั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมาปะทะจมูกซึ่งแผ่ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงอย่างแท้จริง
แม้ว่าเหอหยาที่จะพอเข้าใจวิชาอภินิหารอย่างหยาบๆ เพราะโชควาสนานำพา ไม่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แต่ในอดีตเคยติดตามนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วทิศ ถือเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง แน่ใจว่าวิธีการของเซียนซือท่านนี้เป็นวิธีการที่ตระกูลเซียนใช้กันอย่างเปิดเผย ป้อมอินทรีบินที่เดิมทีก็อับจนหนทางให้ไปต่อถึงได้วางใจลงอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเซียนซือชุดขาวท่านนั้นมือหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น อีกมือม้วนชายแขนเสื้อถือพู่กันจึงเขียนยันต์อักษรสีชาดภาพแล้วภาพเล่าลงบนเสาใหญ่ไม้หนานมู่ของห้องโถงใหญ่ได้อย่างราบรื่นดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเจริญตาเจริญใจ
เหอหยาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือของป้อมอินทรีบินยังถึงขั้นยืนประกบซ้ายขวา คอยช่วยถือตลับชาดสีแดงสดชุ่มราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ให้แก่เซียนซือท่านนั้นด้วยตัวเอง
ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหอหยากลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ถลึงตาปูดโปน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจ้องมองเซียนซือชุดขาวที่ยืนอยู่ระหว่างหลวนหยางและฮูหยินเขม็ง สีหน้าเหมือนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของคนผู้นี้เต็มที
เขาแก่ปูนนี้ มองโลกอย่างเรียบง่ายมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีลูกหลาน ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ล้วนถือเป็นความกรุณาที่สวรรค์มอบให้เป็นพิเศษ จะต้องกลัวตายไปทำไม? แต่เหอหยาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลหลวนได้อย่างไร
คนที่มีสิทธิ์นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าแซ่หลวนของป้อมอินทรีบินที่อายุมากแล้ว บวกกับที่การเข่นฆ่าสังหารในตรอกเล็กของปีนั้นทำให้คนส่วนใหญ่สั่งสมอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เลือดลมเสื่อมถอย พอสูดควันจากกิ่งสนกิ่งไป่จากในกระถางไฟเผาศาลนั่นเข้าไป แต่ละคนจึงหน้าดำคล้ำ แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง เกรงว่าไม่ต้องให้บุรุษชุดขาวลงมือ พวกเขาก็คงขาดใจตายไปเองก่อนแล้ว
ส่วนลูกหลานอายุน้อยที่ไม่มีที่นั่ง พวกเขาล้วนยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสในฝ่ายของตัวเอง พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์ไม่สูง แต่ละคนนอนพังพาบอยู่บนพื้น ต้นกล้าที่มีตบะดีบางคนยังพอจะนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ พยายามให้ตัวเองรักษาสติไว้ให้ได้มากที่สุด
บุรุษชุดขาวร่างสูงใหญ่ยังคงลูบแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือชิ้นนั้น เพียงแต่มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนบ่าของหลวนหยางเจ้าปราสาทเบาๆ พลางยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าประมุขหลวนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองชักนำหมาป่าเข้าบ้าน ข้าเล่นงานป้อมอินทรีบินเช่นนี้ก็แค่เพราะอยากจะประหยัดแรงสักหน่อย หากเปิดฉากสังหารขึ้นมาจริงๆ ชายชาตรีที่มีวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าคงหนีพ้นความตายไปไม่ได้ ตั้งใจวางแผนมาหลายสิบปี คนมีใจเล่นงานคนไร้เจตนา หรือคนบนภูเขาเล่นงานคนล่างภูเขา พวกเจ้าไม่ตายแล้วใครจะตายล่ะ?”
ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลวนหยางตัวสั่นสะท้าน บรรดาคนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ มีเพียงนางที่สีหน้าเป็นปกติ คงเป็นเพราะไม่ได้รับควันพิษพวกนั้น แต่นางตกใจจนเสียขวัญมานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาในป้อมอินทรีบิน อีกทั้งยังเป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากบางครั้งที่ออกไปท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยไปไกลจากป้อมอินทรีบินเกินร้อยลี้ด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทนรับกับมรสุมครั้งนี้ได้?
บุรุษร่างสูงใหญ่ยกมือออกจากไหล่ของหลวนหยางมาบิดใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว การกระทำนุ่มนวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา
แต่กลับไม่ใช่สายตาหื่นกามของบุรุษที่ปรารถนาในตัวสาวงาม เป็นสายตาของช่างคนหนึ่งที่มองผลงานชิ้นหนึ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตเสียมากกว่า
เขาดึงมือกลับอย่างอาลัยอาวรณ์ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่การต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุครั้งนั้นไม่ได้เดือดร้อนมาถึงป้อมอินทรีบินของพวกเรา หากถูกคนมีใจมองแผนการครั้งนี้ออก สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็เท่ากับขาดทุนย่อยยับ อันที่จริงตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังสามารถเสพสุขกับวันเวลาอันสงบสุขไปได้อีกครึ่งปี แต่อาจารย์ของข้ากังวลจริงๆ ว่าหากพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกันที่พยายามทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดไปดึงดูดความสนใจของสำนักฝูจีขึ้นมาอีกครั้ง แบบนั้นจะทำอย่างไร? ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายลับจึงรีบเดินทางมาทันที”
ในห้องโถงใหญ่ไม่มีใครเปิดปากพูดได้ ดังนั้นเซียนซือท่านนี้จึงรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีใครเออออคล้อยตาม จึงเหมือนมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในความสมบูรณ์แบบ
บุรุษร่างสูงใหญ่มองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่แล้วพูดถากถาง “พวกเจ้าแอบคิดว่าตัวเองจะโชคดี คิดว่านักพรตเฒ่าและนักพรตน้อยคู่นั้นจะช่วยพวกเจ้าได้ใช่ไหม? ขอแนะนำพวกเจ้าว่าจงตัดใจซะเถอะ ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าคนหนึ่ง ข้าไม่ตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ถือว่าเขาโชคดีแล้ว การที่ข้าไม่แตะต้องเขา ก็เพราะว่าปราณวิญญาณและเลือดลมอันน้อยนิดของพวกเขาสองคนยังพอจะมีประโยชน์เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรอยู่บ้าง”
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้คงไม่ใส่ยาลับลงไปในกระถางไฟมากมายถึงเพียงนั้น คนเป็นใบ้กันทั้งห้อง แม้แต่ด่าสักคำยังทำไม่ได้ ยิ่งอย่าหวังว่าจะเห็นภาพพวกเขาโขกหัวขอร้อง น่าเบื่อจริงๆ
ฉวยโอกาสที่อาจารย์ยังไม่ลงมือ บวกกับที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงขึ้นแล้ว เขาจึงอยากจะหาความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง พอกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดนิ่งที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่กำลังโคจรลมปราณกำจัดยาออกจากร่าง ก่อนหน้านี้มองไม่ออกจริงๆ ไม่นึกว่าสตรีเรือนกายเล็กบางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่อำพรางตัวได้อย่างมิดชิด สตรีมีตบะวรยุทธ์ในขั้นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง บีบคางนาง สตรีแต่งงานแล้วสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาคมปลาบ
เขายิ้มบางๆ หยิบขวดกระเบื้องที่ใสแวววาวจนส่องแทนกระจกได้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชำเลืองตาไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอ ทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้นนานแล้ว แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง ตาเหลือก ฟองขาวฟูมออกจากปาก ดูท่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ดวงตาของบุรุษเป็นประกาย น่าสนใจแหะ มีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่น้อย หากเอาไปโยนไว้ในพรรคลำดับสาม ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ได้รับความสำคัญคนหนึ่ง ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรให้ทำก็ผลักเรือตามน้ำสนับสนุนเขาสักครั้ง เจ้าเด็กนี่จะทำสำเร็จหรือไม่ จะสามารถมีชีวิตรอดไปเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักตนได้ไหม ก็ต้องดูที่วาสนาของเขาเองแล้ว
เพียงแต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหรือตายก็ล้วนมีโชควาสนาอันประเสริฐให้เสพสุข ส่วนคนอื่นๆ ในห้องโถงก็จะมีลาภตาให้มองกันจนอิ่ม
บุรุษที่แสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนจากไท่ผิงซานยื่นนิ้วไปกดตรงหว่างคิ้วของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น ลากเอาควันสีเขียวมรกตเหม็นคาวเส้นหนึ่งออกมา ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นลูกกลมหนึ่งลูก เขาดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ควันกลุ่มนั้นก็กระจายไปทั่วห้องโถง
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพลันมีสติกลับคืนมา กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง บุรุษกลับยัดยาสีแดงเม็ดหนึ่งใส่ปากเขาเสียก่อน
เขาโยนเด็กหนุ่มไปไว้กลางห้องโถง แล้วโบกแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้ง สลายลมปราณบริสุทธิ์แท้จริงในร่างของสตรีแต่งงานแล้วที่นางรวบรวมมาต้านควันพิษอย่างยากลำบาก จากนั้นค่อยบังคับลมผลักให้นางเข้าหาเด็กหนุ่ม
บุรุษยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกท่านโปรดรับชมให้ดี”
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ ขดตัวงอ ร่างสั่นเหมือนเป็นโรคลมชัก แต่พอเขามองเห็นสตรีแต่งงานแล้ว สายตากลับเร่าร้อนขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวคืบคลานเข้าหานางช้าๆ
บุรุษจุ๊ปากพูด “สำนักนอกรีตนอกรอยอย่างพวกเรา เทียบกับสำนักใหญ่ที่เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวอย่างมั่นคงไม่ได้ อุดมคติหรือความคิดบางอย่าง ไม่เพียงแต่ได้แค่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนคนอื่น ยังขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของโลก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความสำเร็จในท้ายที่สุดมีขีดจำกัด แม้แต่ธรณีประตูของขอบเขตโอสถทองก็ยังเป็นความเพ้อฝันที่เกินตัว”
กล่าวมาถึงตรงนี้บุรุษก็รู้สึกแค้นเคืองยากจะระงับอารมณ์ แต่แล้วก็หัวเราะ ยิ้มบางๆ พูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น “แต่ก็อย่าได้ดูถูกสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกร เจ้าหนู เจ้ากินยาหนันเคอ (กิ่งก้านต้นไม้ที่เอนไปทางทิศใต้) ที่มีสรรพคุณดีเลิศเม็ดนั้นของข้าเข้าไป ตอนนี้จิตใจของเจ้าจะผ่อนคลาย เป็นความรู้สึกเหมือนการลอกคราบอย่างที่หาได้ยาก แต่หนึ่งในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์จะถูกขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด นี่ก็คือวิชาลับไม่แพร่งพรายของสำนักข้า ส่วนอะไรคืออารมณ์อะไรคือปรารถนา ยาหนันเคอล้วนมีประเภทที่สอดคล้องกับพวกมัน เม็ดที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลมีราคาแพงที่สุด เจ้าอย่าปล่อยให้เสียเปล่าเด็ดขาดเชียว ขอแค่รักษาสติเสี้ยวหนึ่งไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างนี้เจ้าก็ปล่อยตัวเสพสุขให้เต็มที่ เมื่อทนไปได้ถึงท้ายที่สุด มีชีวิตรอดมาได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ เส้นทางการฝึกตนของเจ้าในอนาคตย่อมราบรื่น และต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน”
สตรีแต่งงานแล้วตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่ร่างกลับขยับไม่ได้ ในที่สุดก็เผยความสิ้นหวังและหวาดกลัวออกมาเสี้ยวหนึ่ง
บุรุษยังคงเอ่ยยั่วยุเด็กหนุ่มต่อไป “วางใจเถอะ ทุกคนในห้องโถงใหญ่ล้วนต้องตายกันหมด ดังนั้นไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวล วิถีสวรรค์ไร้น้ำใจ การฝึกตนไหนเลยจะมีแบ่งแยกดีชั่ว…”
บุรุษร่างสูงใหญ่ใจสั่นสะท้าน พลันเงยหน้าขึ้น กำด้ามแส้ปัดฝุ่นแน่น ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
เห็นเพียงว่าบนเสาคานมีคนผู้หนึ่งกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน เขาก้มหน้าลงมองผู้ฝึกตนลัทธิมารผู้นั้น หยิบพัดไม้ไผ่จากชายแขนเสื้อมาพัดโบกเบาๆ “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ชอบพูดกับตัวเองมากขนาดนี้เลยรึ?”
เขาก็คือลู่ไถ
บุรุษหรี่ตากล่าว “สหายท่านนี้ ครั้งนี้เจ้ากับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แค่ผ่านทางมาดูเรื่องสนุก หรือคิดจะทำลายเรื่องดีๆ ของคนอื่น? หรือว่าศึกใหญ่กลางภูเขานอกป้อมอินทรีบิน พวกเจ้าสองคนก็คือคนในสถานการณ์?”
ลู่ไถชำเลืองตามองเด็กหนุ่มบนพื้นที่ถูกความใคร่มัวเมาจิตใจ ส่งเสียงจุ๊ๆๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนมาจากผลของยาเม็ดนั้นใช่ไหม? ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ความใคร่ของเจ้าในเวลานี้ อย่างน้อยก็มีสามถึงสี่ส่วนที่เกิดจากความต้องการในใจของเจ้าจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้หมอนี่จะถูกใจเจ้า เพราะเดิมทีเจ้ามันก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งเกือบจะสัมผัสโดนหัวเข่าของสตรีแต่งงานแล้วเริ่มดิ้นรนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งในใจและร่างกายล้วนเป็นเช่นนี้ ดังเลือดเลือดจึงไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด แต่กลับเป็นเลือดสีดำที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า กลิ้งตัวอยู่บนพื้นอย่างทรมาน
บุรุษร่างสูงใหญ่ไม่สะทกสะท้าน แค่รู้สึกเสียดายยาเม็ดนั้น เมื่อ ‘บุรุษบนเสาคาน’ ผู้นี้เปิดโผงความลับ จิตแห่งเต๋าที่เปราะบางของเด็กหนุ่มจึงแหลกสลายไปแล้ว
เดิมทีหากไม่มีใครช่วยฉีกกระดาษหน้าต่างชั้นนั้นออกให้เขา เด็กหนุ่มสามารถเดินไปบนทางที่มืดดำจนถึงที่สุดได้ก็ถือว่าเป็นทางออกอย่างหนึ่ง และยังสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาได้จริงๆ นับแต่นี้จะได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน
ลู่ไถสีหน้าเฉยเมย ประกบสองนิ้วกรีดเบาๆ จากบนลงล่างหนึ่งครั้ง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนามว่าเจินเจียนแหวกอากาศออกไป ตรงดิ่งเข้าสังหารเด็กหนุ่มที่กำลังเจ็บปวดทรมาน
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ตะโกนเสียงดังใส่ลู่ไถ “อย่านะ!”
ปลายกระบี่ของกระบี่บินเจินเจียนที่ห่างจากลำคอของเด็กหนุ่มอีกแค่นิ้วเดียวพลันหยุดชะงัก
ลู่ไถมองสตรีแต่งงานแล้วที่ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า “เขาตายไปจะสบายมากกว่า วันนี้หากยังมีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่ ถ้าเขาไม่เกิดใจเคียดแค้นทำร้ายเจ้าจนตาย จากนั้นร่วงลงสู่วิถีมาร กาลเวลาในภายภาคหน้า เขาก็อาจจะทำให้ตัวเองอัดอั้นจนตายเพราะต้องทนรับคำเหยียดหยามจากผู้อื่น”
สตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ส่ายหน้า พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ขอร้องเซียนซืออย่าฆ่าเขา ขอร้องท่านอย่าฆ่าเขาเลย…”
บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นอยู่ในมือถามยิ้มๆ “ข้าแปลกใจนัก เจ้าบุกเข้ามาในค่ายกลแห่งนี้เงียบๆ ได้ยังไง?”
ลู่ไถมือหนึ่งถือพัด อีกมือหนึ่งวางบนเสาคาน ยิ้มตอบ “หากพูดกันถึงค่ายกล ดูเหมือนว่าจะไม่มีค่ายกลไหนที่ร้ายกาจกว่าค่ายกลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลข้า เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ขาดหายไปกลางคัน ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มสลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง แส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงลมหิมะดังเป็นระลอก ทุกครั้งที่เขาสะบัดแส้ก็จะต้องมีเส้นใยเส้นหนึ่งที่ทำมาจากหนวดหรือหางของสัตว์วิเศษในภูเขาแม่น้ำบางชนิดหลุดออกจากแส้ สาดยิงเข้าหาลู่ไถที่ยืนอยู่บนคาน
เส้นใยจากแส้ปัดฝุ่นจำแลงร่างกลายมาเป็นงูขาวที่หนาใหญ่เท่าแขนคน อีกทั้งยังมีปีกหนึ่งคู่ ทั่วร่างแผ่ไปเยียบเย็น เคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ
สำหรับงูขาวสิบกว่าตัวนั้น ลู่ไถไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาตบพัดไม้ไผ่ปิดดังเพี๊ยะ แล้วเริ่มเอามันมาทำเป็นพู่กัน วาดยันต์ลงไปบนเสาคาน ภายใต้ ‘ปลายพู่กัน’ ที่ก็คือปลายพัดไม้ไผ่มีตัวอักษรและภาพวาดสีเงินเก่าแก่โบราณไหลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นตัวอักษรที่เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเดินไปทั่วทิศตามคาน เสาใหญ่ บนพื้น แทรกซอนกลบทับเข้าไปในยันต์สีชาดทุกตัวที่มีอยู่แต่เดิมก่อนหน้านี้
ถือสิทธิแสดงบทบาทเจ้าบ้านแทนเสียเอง
ส่วนเส้นใยงูขาวที่ออกมาจากแส้ปัดฝุ่น ขอแค่ขยับเข้าใกล้ลู่ไถในระยะสองจั้งก็จะแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปเอง
บุรุษมองไม่ออกสักนิดว่านี่คือวิชาอะไรกันแน่ และนี่ต่างหากที่เป็นจุดที่น่ากลัวมากที่สุด
แต่เรื่องที่น่ากลัวกว่านี้เพิ่งจะปรากฏ คุณชายชุดเขียวที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าอิสตรีเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ค่ายกลขนาดเล็กที่ข้าจัดวางเมื่อครู่นี้มักจะมีอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล สามารถสกัดกั้นเวทคาถาทั้งหมดของคนนอกได้ ส่วนตัวเองที่อยู่ภายในก็เป็นดั่งอริยะ ฟังดูแล้วร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ในใจของบุรุษสั่นสะเทือนไม่หยุด ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็หยุดส่ายแส้ปัดฝุ่นในมือ เอามันวางทาบลงบนแขนหนักๆ “เซียนซือท่านนี้ เจ้าไม่เพียงแต่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลอย่างลึกซึ้งกว้างไกล ตัวเองยังเปี่ยมไปด้วยวิชาอภินิหาร ข้านับถือ! ขอแค่เซียนซือยินดีเข้าใจและให้การสนับสนุน ข้ากับอาจารย์ยินดีมอบความจริงใจที่มากพอให้ ยกตัวอย่างเช่นความลับทั้งหมดในป้อมอินทรีบินล้วนจะตกเป็นของเซียนซือทั้งสองท่าน และข้ายังสามารถตัดสินใจโดยพลการ มอบค่าตอบแทนเป็นการส่วนตัวให้เจ้าอีกก้อนหนึ่ง เมื่อกลับไปจะขออาวุธวิเศษระดับสูงชิ้นหนึ่งจากอาจารย์มาให้เจ้า เซียนซือเห็นว่าอย่างไร?”
ลู่ไถตอบไม่ตรงคำถาม “อาจารย์ของเจ้าคือขอบเขตโอสถทอง?”
บุรุษพยักหน้ารับเบาๆ “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ายินดีบอกนามของอาจารย์ให้เจ้าทราบ เขาก็คือคนที่สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรสองคนของไท่ผิงซาน…”
ลู่ไถรีบโบกมือ “หยุดเลยๆ เจ้านี่มันมีเจตนาอุบาทว์จริงๆ !”
บุรุษทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจ “เหตุใดเซียนซือถึงกล่าวเช่นนี้?”
ลู่ไถถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตโอสถทองน้อยๆ คนหนึ่งของใบถงทวีป ถูกขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเจ้าเอามาทำเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ ขู่ให้ข้าตกใจกลัวตายไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะให้ข้าหัวเราะขำตายน่ะพอได้ เจ้าเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้วเชียว”
จากนั้นลู่ไถก็กุมท้องหัวเราะก๊าก
แน่นอนว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังจะมีตบะขอบเขตโอสถทองจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สีหน้าบุรุษหนักอึ้ง
มารดามันเถอะ ดันมาเจอกับพวกสมองมีรูเสียได้
ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าคนที่จะเป็นบุรุษก็ไม่ใช่ เป็นสตรีก็ไม่เชิงผู้นี้ยังมีตบะลึกล้ำมาก ลึกล้ำจนถึงขั้นที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ลู่ไถหุบยิ้ม เช็ดน้ำตาที่หางตา ดูท่าแล้วจะตลกขบขันมากจริงๆ “นอกจากพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ที่กำลังเลี้ยงทารกผีแล้ว ยังมีพันธมิตรเป็นยอดฝีมือคนอื่นอีกไหม?”
ในใจของบุรุษตกตะลึงสุดขีด ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมแบบนี้ คนล่างภูเขารู้สึกว่าสำนักฝูจีอยู่ห่างไปไกลเป็นพันลี้ ไกลมากๆ แต่ในสายตาของข้า ไม่ได้ถือว่าไกลขนาดนั้น เจ้าคิดว่าแค่คนสองคนก็กล้าวางแผนใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ? จะสามารถควบคุมแผนการครั้งนี้ได้ไหวหรือไง?”
ลู่ไถร้องอ้อหนึ่งที “ดูท่าพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์คงอยากฮุบผลประโยชน์ไว้เพียงลำพังสินะ?”
บุรุษแสร้งทำสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับด่ามารดาอีกฝ่ายไม่หยุด
ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “รู้สึกกระอักกระอ่วนมากเลยใช่ไหมล่ะ ค่าตอบแทนที่ข้าต้องการ พวกเจ้าไม่มีทางนำมามอบให้ได้ แต่พวกเราที่เป็นคนนอกสองคนตีกันเอาเป็นเอาตาย จะทำลายแผนการที่ถูกวางไว้อย่างยากลำบากมาหลายสิบปีได้งั้นหรือ?”
ถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าของบุรุษก็แผ่ปราณสังหารออกมาทันที “เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือว่าจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ไม่กลัวว่าจะพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่ายงั้นรึ?”
โทสะอัดแน่นอยู่ในอกของบุรุษ “เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ข้ากับอาจารย์มิอาจมอบผลประโยชน์ที่มากพอให้พวกเจ้าสองคนได้ แต่จะว่าไปแล้ว การที่พวกเจ้ายื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้จะได้รับประโยชน์อะไร? ทารกผีถูกฟูมฟักหล่อเลี้ยงขึ้นมาจากวิชาลับเฉพาะของอาจารย์ข้าจริง ใต้หล้านี้มีอยู่ตนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ทารกผียอมรับนายตั้งนานแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว เจ้าโชคดีช่วงชิงมันไปได้ แต่จะเลี้ยงได้รอดอย่างนั้นรึ?!”
ลู่ไถหมุนพัดไม้ไผ่ ใช้ปลายด้านล่างเคาะคานเบาๆ ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์สุดขีด “จะไม่อนุญาตให้ข้ากระทำความดีแสดงคุณธรรมน้ำมิตรบ้างเลยรึ”
บุรุษโกรธจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นระริก หากไม่เป็นเพราะสตรีแต่งงานแล้วที่ในหัวใจมีทารกผีอยู่ตรงนี้ด้วย หากเกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตหลังถือกำเนิดของทารกผี จะทำลายแผนใหญ่ร้อยปีในอนาคตของอาจารย์ หากไม่เป็นเพราะมีความกังวลในหลายๆ เรื่อง เขาก็อยากจะทุ่มสุดความสามารถที่มี ต่อสู้ตัดสินให้รู้เป็นรู้ตายกับเจ้าหมอนี่สักครั้ง
ลู่ไถพูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ “ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายอีกแล้วใช่ไหม? จะขอบคุณข้ายังไงดีล่ะ?”
คราวนี้กลายเป็นว่าบุรุษหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้ดีไปกว่าคนสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินที่ถูกเวทลับควันพิษสักเท่าไหร่
ลู่ไถพลันหมดสนุก หุบพัด เทยาสีขาวหิมะหลายเม็ดจากชายแขนเสื้อมาไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นก็โยนเข้าไปตามกระถางไฟที่ใช้เผากิ่งสนกิ่งไป่ ใช่ว่าบุรุษถือแส้ปัดฝุ่นจะไม่อยากขัดขวาง แต่หลังจากกระบี่บินที่ใหญ่จนน่าเหลือเชื่อเล่มนั้นปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งแล้วร่วงดิ่งลงมาจากอากาศเบื้องบนครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ทันสัมผัสพื้นก็ลอยขึ้นใหม่ ทำเอาเขาที่วุ่นอยู่กับการหลบเลี่ยงรู้สึกเปลืองแรงอย่างมาก
จากนั้นปราณสังหารที่แท้จริงก็พุ่งพรวดเข้ามา
บุรุษถือแส้เกือบจะโดนเล่นงานจึงร้องคำรามอย่างเดือดดาล แส้ปัดฝุ่นเหลือแค่ด้ามยาวที่สลักคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ เท่านั้น เส้นใยสีขาวหิมะทั้งหมดล้วนหลุดออกจากด้าม กลายเป็นงูขาวมีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินว่ายวนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังอื้ออึงบาดแหลมแสบแก้วหู โอบล้อมปกป้องเขาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
บุรุษลูบคลำข้างแก้มของตัวเองที่ถูกบาดลึกจนเป็นร่องเลือดเห็นถึงกระดูก หากไม่เป็นเพราะเบี่ยงหน้าหลบได้เร็วพอ เกรงว่าคงถูกกระบี่นั้นแทงทะลุศีรษะไปแล้ว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม!
อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านค่ายกล!
คำพูดคำจาวางโตไม่มีละอาย กล่าวว่าค่ายกลของตระกูลตัวเองเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า!
ลู่ไถหลุดหัวเราะพรืด “พาตัวมาติดร่างแหเอง โทษคนอื่นไม่ได้นะ”
บนเสาใหญ่ ตัวอักษรสีเงินเหล่านั้นส่องประกายแสงระยิบระยับ จากนั้นก็ร้อยเรียงเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ถักทอให้ห้องโถงใหญ่กลายเป็นตาข่าย
ส่วนเส้นด้ายที่ถักทอแหดักปลานี้ก็คือตัวอักษรและภาพวาดทั้งหลายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในแหจับปลา นอกจากบุรุษที่ไม่ทันระวังถูกกักตัวอยู่ภายในแล้ว ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง
ลู่ไถพลิ้วกายลงมาจากคานด้านบน ไม่สนใจกรงขังแห่งนั้น เขาเดินเข้าหาฮูหยินเจ้าปราสาทที่ใบหน้าไร้สีเลือด ดวงตาทั้งคู่ของสตรีแต่งงานแล้วไร้ชีวิตชีวา เหงื่อแตกท่วมร่าง ตรงเก้าอี้ที่นางนั่งยังมีกลิ่นคาวจางๆ ลอยออกมา
เดินผ่านข้างกายสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถง สตรีแต่งงานแล้วที่วิถีวรยุทธ์แอบเลื่อนสู่ขอบเขตสี่อย่างลับๆ ผู้นี้สามารถขยับร่างกายได้เป็นปกติแล้ว นางกำลังโอบเด็กหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบ สีหน้าทึ่มทื่อเลื่อนลอยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ลู่ไถโยนไข่มุกเหล่านั้นลงไปในกระถางไฟ ควันสีขาวหิมะจึงคลุ้งกระจายไปรอบด้านเป็นระลอก พอทั้งเด็กและผู้ใหญ่แห่งป้อมอินทรีบินสูดดมเข้าไป สีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาแดงปลั่ง ทว่าถึงแม้ร่างกายของทุกคนจะไม่เป็นอะไร แต่พลังจิตกลับถูกเผาผลาญไปอย่างหนัก อายุขัยเกิดความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
สตรีแต่งงานแล้วพลันหันหน้ามาถามเอาผิดกับแผ่นหลังของลู่ไถ “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าต้องพูดเรื่องพวกนั้น เจ้าเองก็เป็นตัวการชั่วร้ายเหมือนกัน!”
ลู่ไถหันหน้ากลับมามองนางแล้วยิ้มบางๆ ถามว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นให้ข้าสังหารพวกเจ้าสองคนเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยดีไหม ให้หมดเรื่องกันไป จะได้ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องกังวลอีก?”
สตรีแต่งงานแล้วที่กอดเด็กหนุ่มรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองลู่ไถอีก
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินเจ้าปราสาท เอามือสองข้างไพล่หลัง ก้มตัวลงมองนาง “ตอนนี้พลังต้นกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้าแทบไม่เหลืออยู่เลย ถึงอย่างไรก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกตายอย่างมีคุณค่า หรือเลือกที่จะตายเพราะถูกคนอื่นกำจัดแล้ว”
ในการมองเห็นของลู่ไถ ใบหน้างามพิสุทธิ์ของสตรีแต่งงานแล้วปริร้าวแตกระแหงเป็นร่องลึก แผ่กลิ่นอายแห่งความตายสีดำออกมาเป็นเส้นๆ ดวงตาคลอประกายน้ำชุ่มฉ่ำในสายตาของคนปกติก็ยิ่งกลายมาเป็นสีดำสนิททั้งดวง
สตรีแต่งงานแล้วที่มีชีวิตสูงศักดิ์อยู่ดีกินดีผู้นี้ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ทำสีหน้าเลื่อนลอยไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้ว่าวิญญาณของเจ้ากลับเข้าร่างแล้ว ฉวยโอกาสตอนนี้ที่เจ้ามีสติก่อนตาย และยังมีพละกำลังเหลือพอให้ตัวเองได้เลือก ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ร่างเจ้าจะไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป ถึงเวลานั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก”
หลวนหยางกำลังจะลุกขึ้นพูด แต่ลู่ไถกลับโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขาจึงถูกผนึกความรู้สึกทั้งห้า นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม กลายมาเป็นเหมือนหุ่นเชิดตนหนึ่งในเสี้ยววินาที เพียงแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการอ้อนวอน
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ พึมพำว่า “ไม่ต้องตายได้ไหม?”
ลู่ไถถอนหายใจ จู่ๆ ก็หาคำพูดมาโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ออก
เงียบงันไปนาน ลู่ไถหันกลับไปทางประตูใหญ่ เอนกายพิงเก้าอี้ที่สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่ออีกสักครู่หนึ่งแล้วกัน”
……
นอกหอหลักของป้อมอินทรีบิน
ผู้เฒ่าแต่งกายมอซอมองไก่ตัวผู้ที่กินข้าวเหนียวและน้ำพุสะอาดตายคาที่ไปกับตาของตัวเอง
วันนี้หลวนฉางกับหลวนซูก็ติดตามมาอยู่ข้างกายของนักพรตหวงซ่างและเถาเสียหยางโดยบังเอิญพอดี เพราะสองพี่น้องไม่ต้องการหลบอยู่ใน ‘รังที่สุขสงบ’ อย่างหอหลัก ไม่อยากจะหลบอยู่ภายใต้ปีกปกป้องของ ‘เซียนซือไท่ผิงซาน’ ผู้นั้น ในเมื่อผู้เฒ่ายังเดินอยู่ภายนอก พวกเขาสองพี่น้องก็อยากจะให้ความช่วยเหลือด้วยอีกแรง
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองทะเลเมฆสีดำที่กดทับลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วกัดฟัน คราวนี้คงต้องเรียกสมบัติก้นกรุออกมาใช้แล้ว เขาจึงนำถ้วยสีขาวใบใหญ่สองใบออกมาถือไว้ในมือข้างละใบ แล้วหันไปพูดกับคู่พี่น้องว่า “ข้าต้องยืมเลือดจากพวกเจ้าสองคนสักสองสามหยด ถึงจะสามารถเชื้อเชิญสิงโตหินสองตนหน้าประตูศาลบรรพชนสกุลหลวนของพวกเจ้าได้ นี่คือวัตถุพิทักษ์เรือนที่ในปีนั้นท่านปู่ของพวกเจ้าขอมาจากยอดฝีมือคนหนึ่ง คือท่าไม้ตายที่แท้จริงของป้อมอินทรีบิน”
ผู้เฒ่าชูมือสองข้างขึ้นสูง กล่าวเสียงหนัก “เร็วเข้า! จากนั้นพวกเราต้องรีบไปที่ศาลบรรพชน! ช้ากว่านี้จะไม่ทันกาลแล้ว!”
หลวนฉางหลวนซูหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็ใช้มีดกรีดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล แล้วแยกกันบีบเลือดใส่ถ้วยขาวกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า
ผู้เฒ่าพลิกข้อมือ ถ้วยขาวสองไปก็หายวับไป “ตลอดทางนี้อาจจะเจอกับภูตผีเข้ามาขัดขวาง ข้าอาจจะไม่มีเวลาได้ดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าสี่คนต้องดูแลตัวเองให้ดี หรืออาจยังต้องช่วยเปิดทางให้ข้า ตายไปแล้วอาจไม่มีคนช่วยเก็บศพให้พวกเจ้า ดังนั้นจะไปหรือไม่ไป ตอนนี้พวกเจ้าจงตัดสินใจให้ดี”
สองพี่น้องและสองเพื่อนรักพยักหน้ารับพร้อมกัน
ผู้เฒ่าจึงตวาดเบาๆ “ไป!”
เป็นอย่างที่ผู้เฒ่าคาดการณ์ไว้ วัตถุหยินที่หลบซ่อนตามตำแหน่งต่างๆ ของป้อมอินทรีบินเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของผู้เฒ่า จึงพากันกรูออกมา ไม่แอบอำพรางตนอีกต่อไป
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งพลันปรากฏตัวบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง เขายืนอยู่บนชายคาที่ตวัดงอน กำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกล ตำแหน่งที่มองไปก็คือจุดที่กลุ่มของผู้เฒ่ากระโดดขึ้นบนหลังคาแล้ววิ่งตะบึงไปทางศาลบรรพชน
ปลายนิ้วของสองมือเฉินผิงอันต่างก็คีบยันต์ไว้แผ่นหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปล่อยออกเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ชูอี สืออู่!”
แสงกระบี่สองเส้นพายันต์สองแผ่นพุ่งไปยังศาลบรรพชนตระกูลหลวนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พากันนำยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไปปักตรึงบนเสาสองต้น
ประกายแสงสีทองเจิดจ้าสองกลุ่มระเบิดขึ้นบนเสาคานทันที หลังจากนั้นแสงสองเส้นก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก่อนที่ยันต์กระดาษเหลืองอีกสองแผ่นจะถูกพวกมันพาไปบนหลังคาสองแห่งที่อยู่ห่างจากเบื้องหน้าของกลุ่มผู้เฒ่าไปไม่ไกล
การไปกลับครั้งสุดท้าย ชูอีกับสืออู่ได้พายันต์สยบปีศาจอีกสองแผ่นไปเปิดทางให้ผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรก
เฉินผิงอันใช้ยันต์สยบปีศาจหมดแล้ว จึงไม่ได้ไปจับตามองความเคลื่อนไหวที่ศาลบรรพชนอีก
เดินทางอยู่ในยุทธภพ กำจัดปีศาจปราบมาร ความเป็นความตายล้วนต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
ทำชั่วเป็นเช่นนี้ ทำความดีก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เมฆดำเหนือศีรษะกำลังจะกดทับลงบนนคร
ราวกับว่าม่านฟ้าลดตัวลงต่ำจนคนรู้สึกว่าแค่เอื้อมมือไปก็คว้าถึง แค่พวกชาวบ้านพูดเสียงดังหน่อยก็อาจได้ยินไปถึงหูของเซียนที่อยู่บนสวรรค์
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป
คนในยุทธภพของป้อมอินทรีบินมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์เหนือเมฆดำ แต่เขามองเห็น
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่ไม่รู้ว่าตบะลึกล้ำหรือตื้นเขินท่านหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีแดง ปากท่องคาถาบังคับให้ทะเลเมฆสีดำที่ปกคลุมทับขอบเขตของป้อมอินทรีบินค่อยๆ กดทับลงมา เวลาสำคัญมาถึงแล้ว ผู้เฒ่าจะใช้เลือดชำระล้างป้อมอินทรีบิน ดึงเอาแก่นเลือดเนื้อทั้งหมดมาหล่อเลี้ยงทารกผีที่จะแหวกหัวใจถือกำเนิดตนนั้น
เฉินผิงอันเริ่มกระโดดไปตามหลังคาแห่งต่างๆ ร่างของเขาพุ่งไปด้วยความเร็วสุดขีด เนื่องจากสวมชุดคลุมสีขาวจึงเหมือนลากเอารุ้งสีขาวหิมะตามหลังไปด้วย
สุดท้ายเขาพลิ้วกายลงบนสนามประลองยุทธ์ของป้อมอินทรีบิน นอกจากเฉินผิงอันแล้วก็ไม่มีใครอีก
เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ตั้งท่าหมัดโบราณที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันไพศาล
กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
จินหลี่ชุดคลุมอาคมบนร่างของเฉินผิงอันที่ถูกร่ายเวทอำพรางตาไว้ บัดนี้ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วเช่นกัน
ชุดคลุมยาวสีทองที่มีเจียวหลงว่ายวน
เฉินผิงอันหลับตาลง ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างเฮือกนั้นไหลเวียนอย่างรวดเร็วตามการโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุด ประหนึ่งน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปแรงๆ
ไม่เพียงแต่สนามประลองยุทธ์ทั้งแห่งที่สั่นสะเทือน อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนชั้นวางไม้ก็ร่วงกราวลงมาด้วย ถนนหลายเส้นในบริเวณใกล้เคียงล้วนเกิดฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
หนึ่งหมัดถูกปล่อยขึ้นฟ้าไปก่อน
หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปอีกรัวๆ
เป็นกระบวนท่าของไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่ปณิธานหมัดกลับเป็นของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ไม่เคยสอนวิชาหมัดแบบนี้ให้เฉินผิงอัน
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันปล่อยหมัดออกไปจะต้องอาศัยแรงส่งจากการกระทืบเท้าด้วย
พื้นดินสั่นสะเทือนส่งเสียงดังครืนครั่น แทบไม่ต่างจากวัวดินพลิกตัว
ผู้เฒ่าเคยบอกว่าเมื่อปล่อยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกไป ครั้งแรกที่หมัดนี้ปรากฏขึ้นบนโลกก็สามารถต่อยให้ม่านฝนบนท้องฟ้าถอยกลับขึ้นไปหนึ่งร้อยจั้ง ไม่กล้าแตะต้องโลกมนุษย์อีก
เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้เมื่ออยู่ต่อหน้าหมัดของข้า ทะเลเมฆอึมครึมในเวลานี้ล้วนต้องกลิ้งกลับขึ้นไปบนฟ้า เหมือนม่านน้ำฝนที่กดทับลงมาเหนือศีรษะของผู้เฒ่าในเวลานั้น!
โดยที่ไม่ทันรู้ตัวการกระทำของเขากลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน