บทที่ 3 พระอาทิตย์ขึ้น
เมืองแห่งนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีคนอยู่อาศัยหกร้อยกว่าครัวเรือน ครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นส่วนใหญ่เฉินผิงอันล้วนรู้จักหมด ส่วนบ้านที่ร่ำรวยมีเงินมีทอง ธรณีประตูสูง เด็กหนุ่มที่ขาเปรอะโคลนไม่เคยได้ย่างกรายเข้าไปเหยียบ ขนาดซอยกว้างที่มี บ้านใหญ่โตเรียงราย เฉินผิงอันก็ไม่เคยแม้แต่จะเดินผ่าน ถนนทางฝั่งนั้นส่วนใหญ่ ล้วนปูด้วยแผ่นหินสีเขียวแผ่นใหญ่ ต่อให้ฝนตกก็ไม่ต้องเหยียบดินโคลนเฉอะแฉะ ให้กระเด็น แผ่นหินสีเขียวคุณภาพยอดเยี่ยมประเภทนั้น เมื่อผ่านการเหยียบย่ำ บดทับของคนและรถม้ามานานนับร้อยปีจึงถูกเกลาจนมันเลื่อมราวกระจก
สี่แซ่สกุลอย่างหลู หลี่ จ้าว ซ่งคือแซ่สกุลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้ และโรงเรียนในเมืองก็สร้างขึ้นจากเงินของตระกูลทั้งสี่ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างครอบครองเตาเผามังกรขนาดใหญ่ยักษ์สองสามแห่งนอกเมือง ขุนนางที่รับผิดชอบตรวจสอบดูแลการทำเครื่องปั้นเดินเผาก็เป็นพวกเดียวกับคนในตระกูลเหล่านี้
ไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลยที่วันนี้จดหมายสิบฉบับซึ่งเฉินผิงอันต้องเอาไปส่งเป็นของตระกูลที่ขึ้นชื่อเรื่องความฟุ่มเฟือยหรูหราของเมืองแทบทั้งหมด แต่นี่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว มังกรออกลูกเป็นมังกร หงส์ออกลูกเป็นหงส์ หนูออกลูกก็ได้แต่ มุดดินขุดรู พวกคนที่เดินทางไปต่างถิ่นแล้วยังสามารถส่งจดหมายกลับมาบ้านได้ ฐานะทางบ้านย่อมไม่ธรรมดา หาไม่แล้วก็คงไม่มีความมั่นใจมากพอให้ออกจากบ้านเดินทางไกล อันที่จริงจดหมายเก้าฉบับในนี้ เฉินผิงอันต้องไปแค่สองสถานที่คือ ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ เมื่อเหยียบลงบนแผ่นหินสีเขียวที่ใหญ่ราวกับเตียงเป็น ครั้งแรก เด็กหนุ่มก็ให้รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาชะลอฝีเท้า อดรู้สึกว่าตัวเอง ต่ำต้อย กลัวว่ารองเท้าสานของตนจะไปทำให้พื้นถนนสกปรกไม่ได้
จดหมายฉบับแรกที่เฉินผิงอันต้องไปส่งคือ ตระกูลหลูที่บรรพบุรุษเคยได้รับพระราชทานหยกสมปรารถนาจากองค์จักรพรรดิ เมื่อเด็กหนุ่มมายืนอยู่หน้า ประตูบ้านตระกูลหลู เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง
บ้านคนมีเงินก็ย่อมพิถีพิถันเช่นนี้ ไม่พูดถึงตัวบ้านของตระกูลหลูที่ใหญ่โต หน้าประตูยังวางสิงโตหินสูงเท่าตัวคนแผ่บารมีน่ายำเกรงเอาไว้สองตัว ซ่งจี๋ซินบอกว่าของเล่นพวกนี้สามารถป้องกันอันตรายสยบความชั่วร้ายได้ เฉิงผิงอันไม่สนใจว่าจะมีอันตรายหรือความชั่วร้ายอะไร เขาแค่เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าก้อนหินกลมเกลี้ยงที่สิงโตสูงเท่าตัวคนอมไว้ในปากทำขึ้นมาได้อย่างไร? เฉิงผิงอันพยายามข่มกลั้น ความวู่วามอยากจะลูบมือไปสัมผัสหินกลมนั้น เขาเดินขึ้นบันได เคาะที่จับหน้าประตูซึ่งเป็นหัวสิงโตทองสัมฤทธิ์ เพียงไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูเดินออกมา พอได้ยินเขาบอกว่ามาส่งจดหมาย คนผู้นั้นก็ใช้สองนิ้วคีบมุมหนึ่งของจดหมายไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พอรับจดหมายไปแล้วก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ เข้าไปในบ้าน ครั้นจึงปิดประตูใหญ่ที่แปะรูปภาพเทพแห่งความร่ำรวยหลากสีสันลง
และขั้นตอนการส่งจดหมายของเด็กหนุ่มหลังจากนั้นก็เรียบเรื่อยไร้รสชาติเช่นนี้ มุมถนนของตรอกเถาเย่มีบ้านของตระกูลที่ไม่โด่งดังนักตั้งอยู่ คนที่มาเปิดประตูคือชายชราร่างเล็กเตี้ยหน้าตาใจดีคนหนึ่ง พอรับจดหมายไป เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หนู ลำบากเจ้าแล้ว จะเข้ามานั่งพักดื่มน้ำร้อนสักหน่อยไหม?”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเขินอาย ส่ายหัวแล้ววิ่งจากไป
ผู้เฒ่าคนนั้นเก็บจดหมายสอดเข้าไปในชายแขนเสื้อเบาๆ ไม่ได้รีบร้อนกลับเข้าบ้าน แต่เงยหน้าทอดสายตาพร่ามัวมองไปยังทิศไกล
สุดท้ายเส้นสายตาของเขาขยับจากสูงลงมาต่ำ ขยับจากไกลมาเป็นใกล้ จ้องนิ่งไปยังต้นท้อที่ขึ้นอยู่สองฝากถนน ก่อนที่ชายชราซึ่งมองดูแล้วแก่หง่อมเลอะเลือนจะเค้นรอยยิ้มออกมาบางๆ แล้วจึงหมุนกายจากไป
ผ่านไปเพียงไม่นาน นกขมิ้นน้อยสีสันน่ารักตัวหนึ่งก็บินมาเกาะอยู่บนกิ่งท้อพลางส่งเสียงร้องจิ๊บๆ แผ่วเบา
จดหมายที่เก็บไว้เป็นฉบับสุดท้าย เฉินผิงอันต้องนำไปส่งให้กับอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน ระหว่างทางได้เดินผ่านแผงดูดวงแผงหนึ่งที่มีนักพรตหนุ่ม สวมชุดเต๋าเก่ามอซอนั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะ บนศีรษะของเขาสวมกวาน (冠 กวานคือเครื่องประดับที่ใช้ครอบศีรษะ) ทรงสูงลักษณะคล้ายดอกบัวผลิบานดอกหนึ่ง
พอนักพรตหนุ่มเห็นเด็กหนุ่มวิ่งเหยาะๆ ผ่านมาก็รีบเอ่ยทักทาย “เจ้าหนุ่ม เดินผ่านแล้วก็อย่าผ่านเลยไป มาลองเลือกเซียมซีดูสักอัน นักพรตผู้ต่ำต้อย (มาจากคำว่าผินเต้า 贫道 ซึ่งเป็นคำที่นักพรตใช้เรียกตัวเองอย่างถ่อมตัว) จะช่วยทำนายให้เจ้าเอง ช่วยให้เจ้ารู้โชคลาภ รู้เภทภัยได้ล่วงหน้า”
เฉินผิงอันไม่ได้หยุดเท้า แต่หันหน้ากลับไปโบกมือปฏิเสธ
นักพรตหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้ เขายืดตัวมาด้านหน้า เพิ่มระดับน้ำเสียงให้ดังขึ้นอีก “เจ้าหนุ่ม ปกตินักพรตผู้ต่ำต้อยจะทำนายให้ใครต้องเก็บเงินสิบอีแปะ วันนี้ยอม แหกกฎตัวเอง จะเก็บเจ้าแค่สามอีแปะ! แน่นอนว่าหากจับได้ใบดี เจ้าจะเพิ่มอีก หนึ่งอีแปะเป็นรางวัลก็ได้ หากโชคดีมาเยือน จับได้ใบดีเลิศ นักพรตผู้ต่ำต้อยก็เก็บเงินเจ้าแค่ห้าอีแปะเท่านั้น ดีไหม?”
ฝีเท้าของเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกลชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด นักพรตหนุ่มกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน รีบตีเหล็กตอนยังร้อนโดยการตะโกนเสียงดังว่า “เช้าตรู่แบบนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าคือลูกค้าคนแรก ไหนๆ นักพรตผู้ต่ำต้อยจะเป็นคนดีแล้วก็ขอเป็นให้ถึงที่สุด ขอแค่เจ้านั่งลงเลือกเซียมซี นักพรตผู้ต่ำต้อยจะเขียนยันต์เพิ่มให้เจ้าด้วย มันจะช่วยขอพรจากบรรพบุรุษและสั่งสมบุญให้แก่เจ้า ด้วยความสามารถของนักพรตผู้ต่ำต้อย ไม่กล้าพูดว่าทำให้คนไปเกิดในตระกูลร่ำรวยใหญ่โตได้ แต่หากจะให้มีโชคลาภ มาเยือนสักเล็กน้อยกลับยังพอจะลองดูได้”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะหมุนตัวย้อนกลับมานั่งบนม้านั่งตัวยาวหน้าโต๊ะด้วยอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
นักพรตหนุ่มสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายคนหนึ่ง กับเด็กหนุ่มยากจนอีกคนหนึ่ง คนสองคน ที่ต่างก็มีชีวิตยากลำบากนั่งเผชิญหน้ากัน
นักพรตคลี่ยิ้มพลางผายมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมา
เฉินผิงอันยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่เลือกเซียมซี ท่านแค่ช่วยเขียนยันต์ให้ข้าใบหนึ่งได้หรือไม่?”
ในความทรงจำของเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่านักพรตหนุ่มพเนจรที่เดินทางมาถึงที่นี่ได้มาอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้อย่างน้อยก็ห้าหกปีแล้ว หน้าตาเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สักเท่าไหร่ ท่าทางดูเป็นมิตรกับทุกคน เวลาปกติก็มักจะช่วยคลำกระดูกทำนาย ดวงชะตา อ่านใบเซียมซีดูดวงให้กับผู้คน บางครั้งก็ช่วยเขียนจดหมายให้กับคนอื่น ที่น่าสนใจก็คือ กระบอกเซียมซีบนโต๊ะที่ด้านในมีไม้เซียมซีอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปด อันนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ชายหญิงมากมายในเมืองล้วนเคยจับกันมาหมดแล้ว แต่กลับไม่มีใครเคยจับได้อันที่ดีเลิศ แล้วก็ไม่เคยมีใครเขย่าเจออันที่เลวร้าย ราวกับว่าในบรรดาเซียมซีทั้งหนึ่งร้อยแปดอันนี้มีเพียงเป็นกลางกับดี ไม่มีร้ายอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นหากเป็นช่วงวันปีใหม่ เพื่อเป็นการเปิดฤกษ์ที่ดี ให้ชาวบ้านในเมืองจ่ายเงินแค่สิบอีแปะก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังพอรับได้ ทว่าหากเจอกับเรื่องราวที่ทำให้วุ่นวายใจเข้าจริงๆ กลับไม่มีใครยินดีมาที่นี่เพื่อเสียเงินเปล่าแน่นอน หากจะบอกว่านักพรต คนนี้เป็นพวกต้มตุ๋นก็ออกจะใส่ร้ายอีกฝ่ายมากเกินไป เมืองใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามีคนที่สามารถแสร้งเป็นเทพหลอกเป็นผีมาตบตาผู้คนจริงๆ คงถูกขับไล่ออกไปนานแล้ว ดังนั้นหากจะพูดถึงความดีความชอบของนักพรตหนุ่มคนนี้ย่อมไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการดูดวงหรืออ่านใบเซียมซีของเขา แต่กลับเป็นน้ำมนต์แผ่นยันต์ที่เขาเขียนซึ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก หลายคนที่หากเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ พอดื่มเข้าไปแล้ว เพียงไม่นานอาการเจ็บป่วยก็ล้วนหายดี
นักพรตหนุ่มสายหน้า “นักพรตผู้ต่ำต้อยไม่หลอกลวงเด็กและคนชรา บอกแล้วว่าจะอ่านเซียมซีบวกกับเขียนยันต์ให้ โดยเก็บเงินเจ้าแค่ห้าอีแปะ”
เฉินผิงอันโต้กลับเบาๆ “สามอีแปะต่างหาก”
นักพรตพูดกลั้วหัวเราะ “หากจับได้ใบดีเลิศ ก็ต้องจ่ายห้าอีแปะไงล่ะ”
เฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้วจึงยื่นมือออกไปจับกระบอกเซียมซี แต่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านนักพรต ท่านรู้ได้อย่างไรว่าบนตัวข้ามีเงินห้าอีแปะพอดี?”
นักพรตนั่งยืดตัวตรงพลางจัดเสื้อผ้าของตัวเอง “นักพรตผู้ต่ำต้อยดูจากความหนักบางของโชควาสนาแต่ละคน ใครร่ำรวย ใครยากจน ล้วนดูแม่นมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะหยิบกระบอกเซียมซีอันนั้นขึ้นมา
นักพรตยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม ไม่ต้องตื่นเต้น หากชะตากำหนดมาให้มี สักวันก็ต้องมี หากชะตากำหนดมาให้ไม่มี ฝืนไปก็ไม่มีทางมี จงมองทุกอย่างด้วยใจ ที่เป็นกลาง นี่คือวิธีการที่ดีที่สุด”
เฉินผิงอันวางกระบอกเซียมซีกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้งแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านนักพรต ข้าจะให้เงินท่านห้าอีแปะ แต่ข้าไม่จับเซียมซีแล้ว ขอแค่ท่านนักพรตเขียนยันต์แผ่นนั้นให้ดีกว่าปกติที่ท่านเคยเขียนสักหน่อยได้หรือไม่?”
รอยยิ้มของนักพรตเป็นปกติ เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ได้สิ”
บนโต๊ะมีพู่กัน หมึกและกระดาษวางเตรียมไว้ก่อนแล้ว นักพรตถามถึงชื่อแซ่ของพ่อแม่เฉินผิงอัน บ้านเกิด วันเดือนปีเกิดอย่างละเอียด แล้วจึงหยิบกระดาษยันต์ สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาเขียนปราดๆ แปบเดียวก็เสร็จเรียบร้อย
ส่วนเขาเขียนอะไรบ้างนั้น เฉินผิงอันไม่รู้แม้แต่น้อย
นักพรตหนุ่มวางพู่กันลง หยิบกระดาษยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาเป่าหมึกให้แห้ง “พอกลับไปถึงบ้าน ให้เจ้ายืนอยู่ตรงธรณีประตูด้านในแล้วเผากระดาษแผ่นนี้ตรง ธรณีประตูด้านนอกก็เป็นอันเสร็จสิ้น”
เด็กหนุ่มรับยันต์แผ่นนั้นมาด้วยท่าทางจริงจังแล้วเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง ไม่ลืมเอาเงินห้าอีแปะวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงโค้งตัวขอบคุณอีกฝ่าย
นักพรตหนุ่มโบกมือบอกให้เด็กหนุ่มไปทำธุระของตัวเองต่อ
เฉินผิงอันจึงสาวเท้าวิ่งไปส่งจดหมายฉบับสุดท้าย
นักพรตเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ปรายตามองเหรียญทองแดง ก่อนจะเอื้อมมือไปกวาดพวกมันมากองรวมกันตรงหน้า
และเวลานี้เอง นกขมิ้นน่ารักตัวหนึ่งก็บินโฉบจากกลางอากาศสูงลงมาบนโต๊ะ ใช้จะงอยปากจิกเบาๆ ลงบนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง แต่เพียงไม่นานมันก็ หมดความสนใจจึงกางปีกบินจากไปไกล
“นกขมิ้นอยากมาคาบดอกไม้ น่าเสียดายดอกท้อยังไม่บาน”
หลังจากเอ่ยกลอนประโยคนี้อย่างเนิบช้าจบลง นักพรตหนุ่มก็แสร้งสะบัด ชายแขนเสื้อเบาๆ อย่างสง่างาม ถอนหายใจกล่าวว่า “ชะตากำหนดไว้แปดฉื่อ ควรหรือจะขอหนึ่งจั้ง”
การสะบัดชายแขนเสื้อครั้งนี้ของเขาทำให้ไม้เซียมซีสองอันกลิ้งหลุนๆ หล่นลงมาบนพื้น นักพรตหนุ่มร้องอุ้ยเบาๆ แล้วรีบเก็บมันขึ้นมา ก่อนกวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พอเห็นว่าไม่มีใครให้ความสนใจถึงได้คลายใจ เก็บไม้เซียมซี ทั้งสองยัดเข้าไปซ่อนไว้ในกระเป๋าตรงชายแขนเสื้อกว้างอีกครั้ง
นักพรตหนุ่มกระแอมเบาๆ ปั้นสีหน้าเสียใหม่ รอคอยลูกค้าคนถัดไป
เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย เงินของผู้หญิงได้มาง่ายกว่าจริงๆ นั่นแหละ
อันที่จริงไม้เซียมซีที่นักพรตหนุ่มซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ อันหนึ่งคืออันที่ดีที่สุด ส่วนอีกอันหนึ่งคือ อันที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งนี่ก็คือที่มาของรายได้เป็นกอบเป็นกำ
เรื่องนี้จะบอกให้ใครรู้ไม่ได้
เด็กหนุ่มย่อมไม่รู้ความลับที่ซ่อนอยู่นี้ เขาเดินก้าวยาวๆ มาถึงด้านหน้าโรงเรียนแห่งนั้น ป่าไผ่หนาทึบที่อยู่ใกล้เคียงเป็นสีเขียวชอุ่มสบายตา
เฉินผิงอันชะลอฝีเท้าลง ฟังเสียงทุ้มหนักของชายวัยกลางคนที่ดังแว่วมาจากด้านในห้อง “พระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงสว่าง เสื้อคลุมหนังแกะเรียบลื่นดุจน้ำมัน”
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงอ่อนเยาว์ใสแจ๋วที่ดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน “พระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงสว่าง เสื้อคลุมหนังแกะเรียบลื่นดุจน้ำมัน”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่ลอยตัวขึ้นสูงทางทิศตะวันออกซึ่งกำลัง ส่องแสงสว่างไสว
เด็กหนุ่มยืนเหม่อลอย
รอจนเขาคืนสติ เหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนก็กำลังโคลงศีรษะ ท่องบทความตามที่อาจารย์สั่ง “ช่วงแมลงตื่นจากจำศีล ฟ้าดินแปรเปลี่ยน สรรพสิ่งรุ่งเรือง นอนดึกตื่นเช้า สัตบุรุษก้าวเดินเชื่องช้า กระตุ้นปณิธานตน…”
เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าห้องเรียน ขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
บัณฑิตวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีเงินหันหน้ามามอง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องเบาๆ
เฉินผิงอันใช้สองมือยื่นจดหมายไปตรงหน้าเขา กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นี่คือจดหมายของท่านขอรับ”
หลังรับจดหมายฉบับนั้นมา ชายร่างสูงใหญ่สวมชุดสีเขียวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันหน้าหากไม่มีธุระ เจ้าจะมาฟังบทเรียนจากที่นี่บ่อยๆ ก็ได้”
เฉินผิงอันลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะเขาก็คงไม่มีเวลามาฟังอาจารย์ท่านนี้สอนหนังสือ และเด็กหนุ่มก็ไม่อยากโกหกอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้ม กล่าวอย่างเข้าใจว่า “ไม่เป็นไร หลักการล้วนอยู่ในตำรา แต่ชีวิตคนนั้นใช้อยู่นอกตำรา เจ้าไปทำธุระเถอะ”
เฉินผิงอันโล่งอก จึงบอกลาแล้วจากไป
เด็กหนุ่มวิ่งออกไปไกลมากแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาหันหน้ากลับไปมองอีกครั้งเห็นเพียงว่าอาจารย์ท่านนั้นยังยืนอยู่หน้าประตู ปล่อยให้ร่างทั้งร่างอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงแดด มองไกลๆ ราวกับองค์เทพ