บทที่ 302 เสียใจ
แนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แท้จริงแล้วส่วนใหญ่บนภูเขามักจะเป็นผู้ตัดสิน
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลไปจากป้อมอินทรีบิน
ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน
ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของพวกเขาคล้ายจะเป็นตัวตัดสินว่าป้อมอินทรีบินจะดำรงอยู่หรือล่มสลาย
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มบวกกับคนหนุ่มอีกสองคน ซ้ำร้ายยังมีเชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดห้าสีรัดพันกาย
เรียกได้ว่าผู้เฒ่ากวานสูงตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาของศัตรู หาใช่เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกองกำลังมาก แค่เพราะอีกฝ่ายมีสมบัติอาคมให้ใช้ไม่หมดหมดสิ้น
เผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่อายุยังน้อยสองคนตรงหน้า ราวกับรู้ว่าตัวเองต้องตาย ผู้เฒ่าจึงมีสีหน้าหดหู่ เต็มไปด้วยความจนใจ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนที่เด็กหนุ่มชุดทองแทงข้าหนึ่งกระบี่ ข้าย่อมระเบิดโอสถทองของตัวเองไปแล้ว จากนั้นค่อยใช้จิตหยินที่หลงเหลืออยู่ระเบิดร่างเจ้าให้ตายตกไปตามกัน ถึงอย่างไรในยุคสมัยที่ข้าผู้อาวุโสรุ่งเรืองก็เคยเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ได้สัมผัสธรณีของขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อน ต่อให้เจ้าหลบพ้นก็ไม่มีทางดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าเปลือกนอกที่งดงามนี้ก็อาจจะไม่เหลือแล้วก็ได้”
ลู่ไถพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ
แต่หางตากลับแอบจับจ้องแขนทั้งสองข้างของผู้เฒ่าผู้กวานสูงตลอดเวลา นั่นต่างหากถึงจะเป็นไม้ตายที่แท้จริงของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์และฉลาดถึงเพียงนั้น จึงก้มหน้าลงมองตามสายตาของเขาไป จุ๊ปากพูด “ล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น”
ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านด้วยความรู้สึกหงอยเหงาเล็กน้อย “ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสำคัญของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งแห่งภูเขาไท่ผิงปรารถนาอยากได้กวานห้าขุนเขาของข้า แต่ข้าไม่ยอมมอบให้เขา ต่อให้ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ก็ตาม เขาที่ไม่ได้สมใจจึงแอบไปติดต่อกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างลับๆ ออกเงินให้พวกเขาเปิดฉากสังหาร สังหารเพื่อนสนิทของข้าจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หัวเราะหึหึ “ข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้กินหญ้า จึงหาโอกาสปลิดชีพผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของพวกเขาสองคน พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แทบไม่ต่างจากพวกเจ้าเลย หากโชคดีก็มีหวังว่าจะเลื่อนขอบเขตสู่ก่อกำเนิด ขอบเขตโอสถทองก็ยิ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน ดังนั้นภูเขาไท่ผิงจึงโมโหเจียนคลั่ง ไม่คิดจะรักษามาดอะไรอีกทั้งนั้น ภายนอกป่าวประกาศว่าเป็นโอสถทองหนุ่มคนหนึ่งที่ประมือกับข้า สุดท้ายเล่นงานจนขอบเขตของข้าถดถอย แต่ความจริงล่ะเป็นเช่นไร? ฮ่าๆ ภูเขาไท่ผิงตัวดี เบื้องหลังโอสถทองหนุ่มคนนั้นมีเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งคอยช่วยหนุนหลังต่างหาก เพื่อให้ข้าฝึกปรือฝีมือของโอสถทองหนุ่ม พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้โอสถทองหนุ่มว่าสังหารขอบเขตโอสถทองแก่ๆ คนหนึ่งได้ แถมยังมีประโยชน์ทำให้ขอบเขตของเขามั่นคงยิ่งกว่าเดิม ได้ทั้งสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม ได้ทั้งมอบผลประโยชน์ให้แก่เขา พวกเจ้าว่าสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ร้ายกาจหรือไม่ล่ะ?”
สายตาของลู่ไถมองผ่านเบาะรองนั่งของผู้เฒ่าไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างออกไป
เขาสามารถพูดในทะเลสาบหัวใจกับเฉินผิงอันได้โดยที่แน่ใจว่าจะไม่ถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนลอบฟัง แต่เฉินผิงอันดันตอบกลับมาไม่ได้ วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพ พวกชาวบ้านอาจจะรู้สึกว่ามหัศจรรย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา นี่กลับเป็นวิธีแย่ๆ ที่มีระดับขั้นต่ำมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ลู่ไถที่อยากรู้การตัดสินใจของเฉินผิงอันจึงได้แต่แลกเปลี่ยนความคิดกันทางสายตาเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เห็นอยู่คาตาว่าคนหนุ่มสองคน ‘เล่นหูเล่นตา’ กันไปมา ทว่าผู้เฒ่ากวานสูงที่กำลังจะเดินไปพบจุดจบของชีวิตกลับไม่ได้สนใจ เขายกแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดปลายกระบี่แหลมคมที่แทงทะลุหัวใจออกเบาๆ ท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยมาดของวีรบุรุษนี้ทำให้ผู้เฒ่ากระอักเลือดไม่หยุด เพียงแต่ว่าสีหน้าของผู้เฒ่ายังคงเป็นปกติเหมือนไม่รู้สึกรู้สา “หากจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นกระบี่ประจำกายของมือกระบี่อันดับหนึ่งแคว้นเฉินเซียงที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจีกระมัง เดิมทีก็ถือว่าเป็นสมบัติอาคมกึ่งเซียนบนภูเขาอยู่แล้ว พอกินเลือดหัวใจของข้าผู้อาวุโสเข้าไป ในที่สุดก็มีพัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น ได้นั่งตำแหน่งของสมบัติอาคมอย่างมั่นคงแล้ว”
ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มชุดทองที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่ ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว “ไอ้หนู เจ้านี่มันมีเงินจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ชักกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝัก แต่มันคงไม่ได้เป็นสมบัติอาคมเหมือนกันหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้สักคำ
ผู้เฒ่าดึงสายตากลับมามองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลมบนนภาพัดแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างของผู้เฒ่าที่สภาพสะบักสะบอมพัดดังพึ่บพั่บ
“สมบัติที่มีอยู่ติดกายของข้า เด็กเปรตสองคนอย่างพวกเจ้าที่ทำลายมหามรรคาของข้า อย่าได้หวังว่าจะได้พวกมันไปครอง!”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “การตายของข้าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว กระบี่ยาวตรงหัวใจ เข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจบนแขนสองข้าง บวกกับกวานห้าขุนเขาบนศีรษะ เบาะรองนั่งใต้ก้นก็พอจะถือว่าเป็นสมบัติได้หนึ่งชิ้น มีสมบัติอาคมห้าชิ้นถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แทบไม่ต่างอะไรจากเซียนดินก่อกำเนิด! หากบวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามเล่ม เซียนบนยอดเขาของห้าขอบเขตบนก็เท่านี้เองมิใช่หรือ?”
ร่างของผู้เฒ่าเริ่มเน่าเปื่อย เถ้าธุลีเป็นกลุ่มร่วงเผลาะๆ ลงมา แต่ตรงจุดตันเถียนกลับส่องประกายแสงจ้าแสบตาที่สาดยิงออกไปสี่ด้านแปดทิศ
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ชูอีสืออู่และม่ายกวางล้วนพากันถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ออกห่างจากผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่กำลังจะระเบิดจุดตันเถียนของตัวเองผู้นี้
รวมไปถึงชือซินกระบี่ยาวที่ดื่มเลือดผู้เฒ่าจนอิ่มก็ถูกเฉินผิงอันใช้เวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ดึงออกมาจากหัวใจเขาเช่นกัน เพียงแต่ว่าก่อนจะดึงออกมายังไม่ลืมคว้านหนักๆ อีกที ปั่นขยี้หัวใจของผู้เฒ่าจนเละ เห็นได้ชัดว่าต่อให้จะเสี่ยงที่กระบี่ยาวต้องระเบิดไปด้วย แต่เฉินผิงอันก็ต้องการทำให้แน่ใจว่าผู้เฒ่าต้องตายอย่างแน่นอน
ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำ เมื่อเข็มขัดห้าสีที่สำคัญอย่างถึงที่สุดสำหรับลู่ไถหลุดออกไปจากแขน ผู้เฒ่ากวานสูงก็พลันรู้สึกว่าร่างโล่งสบาย ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนถูกรังแกที่ตกอยู่ในสภาพอับจนอีก ผู้เฒ่าหรี่ตาลง แค่รอให้เชือกพันธนาการปีศาจบนแขนอีกข้างถูกเด็กหนุ่มชุดทองดึงกลับไปเท่านั้น
แต่ผู้เฒ่ากลับต้องอึ้งงันราวไก่ไม้
เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ระดับขั้นสูงมากเส้นนั้นไม่เพียงแต่ไม่หนีหายไป กลับกันยังรัดแขนของเขาแน่นขึ้นอีก แสดงออกชัดเจนว่าพร้อมยอมเป็นสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับร่างเขา
จนกระทั่งถึงบัดนี้ที่ใช้ครบทุกวิธีการที่มีแล้ว แต่สุดท้ายกลับยังไม่อาจพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกระทำ ผู้เฒ่าถึงได้ระเบิดความดุร้ายที่สะกดกลั้นเอาไว้และความหวาดกลัวลนลานที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมา
ความกระวนกระวายหวาดหวั่นอย่างที่ห้ามไม่อยู่นี้ ไม่เป็นรองปีนั้นที่ถูกโอสถทองหนุ่มของภูเขาไท่ผิงไล่ฆ่าเลยสักนิดเดียว
ไอ้คำพูดที่บอกว่าอีกฝ่ายมีเซียนดินก่อกำเนิดให้การปกป้องคุ้มครองอย่างไร้ยางอาย บีบให้ผู้เฒ่าต้องกลายมาเป็นตัวขัดเกลาฝีมือของโอสถทองหนุ่มอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าเป็นเพียงคำโกหกพกลมของผู้เฒ่ากวานสูง
นี่ก็เพื่อสร้างบรรยากาศจอมปลอมว่าตัวเองยินดีกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญ หลังจากที่เชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดหลากสีคลายตัวออก เขาก็จะแบ่งแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่ง สละทิ้งเลือดเนื้อและตบะเผ่นหนีไปให้ไกล แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหาย แต่ก็ยังดีกว่าสิ้นชีวิต วันหน้าค่อยไปหาต้นกล้าดีๆ ในหมู่ชาวบ้านสักต้น แต่งเรื่องน่ารันทดหดหู่ให้อีกฝ่ายฟัง หลังจากนั้นก็ช่วยเหลือด้านการฝึกตนให้กับอีกฝ่าย พอถึงโอกาสเหมาะๆ ค่อยช่วงชิงร่างของอีกฝ่ายมา
ไม่สนแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายอีกแล้ว!
ต่อให้บนแขนยังมีเชือกพันธนาการปีศาจอยู่ แต่หากยังไม่ลอกคราบออกไปก็เท่ากับว่าอยู่เฉยๆ รอความตายอย่างแท้จริงแล้ว
มหาสมุทรลมปราณและห้องโอสถของผู้เฒ่ากวานสูงระเบิดแตกพร้อมกัน แรงระเบิดสาดกระเซ็นไปแปดทิศรอบด้าน ปราณวิญญาณแตกกระจายประหนึ่งสะเก็ดไฟที่แตกลั่นยามชายฉกรรจ์ตีเหล็กในห้องหลอมกระบี่
เนื่องจากลู่ไถคือผู้ฝึกลมปราณจึงทนรับแรงระเบิดได้ยากลำบากยิ่งกว่า ต่อให้อยู่ห่างมาตั้งห้าสิบจั้งแล้ว เขาก็ยังต้องถอยแล้วถอยอีก แม้สถานการณ์จะสุ่มเสี่ยงเต็มที ลู่ไถก็ยังพยายามใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าให้เลือกหาตำแหน่งที่ตัวเองปลอดภัยให้เจอ แล้วใช้สถานการณ์นี้เป็นดั่งโอกาสในการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ นี่ย่อมมีประโยชน์ต่อเขามาก
มีภาพลมปราณซัดตลบยุ่งเหยิงกั้นขวางอยู่ ลู่ไถมองเห็นท่าทางของเฉินผิงอันได้ไม่ชัด แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยรอบคอบระมัดระวังตัวแจของเฉินผิงอัน เขาต้องเลือกใช้แผนการที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน
โดยไม่ทันรู้ตัวลู่ไถก็มองเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันไปแล้ว ในสถานการณ์คับขันบางครั้งที่ต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยินดีที่จะเชื่อหรืออาจถึงขั้นพึ่งพาเฉินผิงอันในระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่แสวงหาความเป็นอมตะ สำหรับลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีหวังว่าจะพิสูจน์มหามรรคาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ผู้เฒ่ากวานสูงไม่กล้าวาดหวังถึงความดีงามพร้อมสรรพ แม้จะสัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่ามีกระบี่บินหลบซ่อนอยู่หลายจุด แต่ก็อาศัยเสี้ยววินาทีที่ห้องโอสถระเบิดทำให้แสงเจิดจ้า แสงแสบตาพุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้า เล็งหาช่องว่างเหมาะๆ แล้วพาแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่งเผ่นหนีไปไกลอย่างเด็ดเดี่ยว
แม้ว่าบนจิตหยินจะมีด้ายสีทองเส้นหนึ่งรัดพันแน่นอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางแรงสะเทือนเลือนลั่นที่แม้แต่ผีและเทพยังหลั่งน้ำตานี้ย่อมมองข้ามไปได้โดยสิ้นเชิง
คิดไม่ถึงว่าถึงแม้เด็กหนุ่มชุดทองจะไม่หลงกล ไม่ได้ยื่นมือไปรับกวานห้าขุนเขามา แต่ปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้นดิน แต่จิตหยินของผู้เฒ่ากวานสูงมั่นใจมากว่าเด็กหนุ่มชุดทองที่เหยียบอยู่บนกระบี่บินไม่มีทางตามตนได้ทัน เว้นเสียจากเขาจะขี่กระบี่พลางใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วย อีกทั้งก่อนหน้านั้นต้องรู้ทิศทางที่แน่ชัดที่ตนหนีไป ทั้งสามอย่างนี้จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาศที่ว่านี้ยังมีแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เพราะเพียงไม่นานจิตหยินก็จะสลัดเชือกพันธนาการปีศาจหลุด ก่อนหน้านี้ตอนที่ห้องโอสถและมหาสมุทรลมปราณระเบิดพร้อมกัน ปราณวิญญาณบนเชือกพันธนาการปีศาจแทบไม่เหลืออยู่แล้ว จึงยากที่จะพันธนาการจิตหยินไว้ได้อีก
หาไม่แล้วเหตุใดผู้ฝึกตนบนภูเขาถึงกลัวคำว่า ‘เหตุไม่คาดฝัน’ มากที่สุด?
บนท้องฟ้า เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีทองใช้ยันต์ย่อพื้นที่สองครั้งติด ครั้งแรกคือออกไปจากกระบี่บินเจินเจียน ครั้งที่สองก็คือหลังจากที่แก่นจิตหยินกลุ่มนั้นโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า เฉินผิงอันชัก ‘ปราณยาว’ ที่ยืมมาจากผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกจากฝักเป็นครั้งแรกด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นไม่วอกแวก ในสมองมีแต่ภาพในวัดร้างที่อาจารย์ฉีปล่อยหนึ่งกระบี่ใส่หลิ่วชื่อเฉิงบุรุษชุดเต๋าสีชมพู
หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงไป!
จิตหยินที่น่าสงสารเหมือนจอกแหนไม่สมประกอบใบหนึ่งที่ถูกปราณกระบี่ไหลบ่ากระแทกผ่านไป
บนโลกนี้ไม่เหลือร่องรอยของผู้เฒ่าอีกแม้แต่นิดเดียว
หลังจากฟันกระบี่ออกไปได้สำเร็จ เฉินผิงอันในตอนนี้ก็มีสภาพอเนจอนาถดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด แขนทั้งแขนข้างที่ถือกระบี่ ‘ปราณยาว’ เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาวโพลน เป็นเหตุให้นิ้วทั้งห้ากำด้าม ‘ปราณยาว’ ไม่อยู่ กระบี่ยาวร่วงตกลงไปบนพื้น ไม่เพียงแค่นี้ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็ร่วงลงมาอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วย
ชูอีสืออู่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย บินวนอยู่รอบร่างที่กำลังร่วงลงกระแทกพื้น แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ยังดีที่ลู่ไถซึ่งมียันต์ดอกบัวพลิบานอยู่บนมือและเท้าพุ่งเข้ามารับตัวของเฉินผิงอันกลางทาง สุดท้ายประคองให้เขายืนบนกระบี่บินที่ค่อยๆ ลดระดับลง ส่วนตัวลู่ไถเองนั้นยืนอยู่กลางอากาศนอกกระบี่บิน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัดรุนแรง
ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่สภาพน่าสังเวชก็ทั้งสงสาร ทั้งโมโห “เฉินผิงอัน เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว! ชีวิตนี่ยังจะเอาไว้ไหม ปล่อยให้เขาหนีไปแล้วอย่างไร แค่วิญญาณหยินกลุ่มเดียวเท่านั้น คิดจะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจถึงขั้นเป็นร้อยปี ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้ายังต้องกลัวเขาอีกงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันเบี่ยงศีรษะไปถ่มเลือดออกจากปากหนึ่งคำ และยังมีแก่ใจไล่สายตามองตามก้อนเลือดไปอีกนาน ทำเอาลู่ไถที่มองดูอยู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา หันหน้าไปมองสนามรบกลางอากาศที่ผู้ฝึกตนเฒ่าตายไป ไม่ได้มีสีหน้าลำพองใจที่ประสบความสำเร็จ “ข้ากำลังไล่ฆ่าคนนี่นา”
ลู่ไถรีบควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาทาที่มีกลิ่นหอมอีกทั้งเนื้อยายังเข้มข้นออกมากลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เทลงไปบนแขนข้างที่สภาพน่าสยดสยองจนแทบทนมองไม่ได้ของเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ทนกับความลำบากได้ดีก็ยังแสยะปากแยกเขี้ยว ลู่ไถช่วยอธิบายให้เบาๆ ว่า “ทนเอาหน่อย มันสามารถทำให้กระดูกของคนมีเนื้องอกขึ้นมาใหม่ได้”
ลู่ไถสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังกวาดตามองไปรอบด้านคล้ายกำลังมองหาอะไรอยู่ จึงเข้าใจได้ทันควัน พูดเสียงขุ่นว่า “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยรับกระบี่ยาวและเชือกพันธนาการปีศาจไว้แทนเจ้า ตอนนี้อยู่ในเข็มขัดหลากสีของข้าชั่วคราว แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าเชือกพันธนาการปีศาจเสียหายหนักมาก ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะไม่น้อยถึงจะสามารถซ่อมแซมมันได้เป็นปกติดังเดิม แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เงินก้อนนี้ข้าต้องเป็นคนออกให้แน่นอน”
เฉินผิงอันโล่งอก จากนั้นก็ถามต่อทันที “แล้วกวานสูงชิ้นนั้นล่ะ?”
ลู่ไถเหลือกตามองสูง “ใต้ฝ่าเท้าพวกเราคือผืนป่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเจอเข้าหรอก หาเจอง่ายนักล่ะ”
คนสองคนบนกระบี่บินเล่มเดียวกันค่อยๆ ลดตัวลงบนพื้น
เฉินผิงอันถอนหายใจ เบาะรองนั่งใบนั้นถูกทำลายไปแล้ว น่าเสียดายไม่น้อย การกำจัดปีศาจปราบมารครั้งนี้สุดท้ายกลับเหลือแค่กวานสูงห้าขุนเขาชิ้นเดียว
แต่สำหรับก่อนหน้านี้ที่ ‘ทวนกระแส’ ดึงดันจะสังหารผู้ฝึกตนเฒ่าให้ตายคาที่ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของตัวเอง ‘จม’ ลงไป ไม่ได้เป็นความรู้สึกเหมือนมายาล่องลอยที่จับต้องไม่ได้อีก
การเปลี่ยนแปลงหรือควรจะพูดว่าโอกาสในครั้งนี้คล้ายคลึงกับการเลือกของเทพหยินบิดากู้ช่านระหว่างเดินทางไกลไปต้าสุยอย่างมาก
เฉินผิงอันรู้สึกว่าการเข่นฆ่าครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีกวานห้าขุนเขาอันนั้น ต่อให้เชือกพันธนาการปีศาจจะพังภินท์ลงอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ถือว่าขาดทุน
ตอนนี้ยังได้กำไรก้อนโตด้วย
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่ชือซินกระบี่ยาวที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความชั่วร้ายเล่มนั้น ตอนนี้ระดับขั้นเพิ่มขึ้นไปสูงมาก หากเอาไปขายต่อก็มีแต่เงินทั้งนั้น
แต่ถึงอย่างไรสมบัติอาคมบนโลกใบนี้ก็เป็นแค่ของนอกกาย มีเพียงวิชาหมัดและเวทกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะเป็นต้นทุนในการหยัดยืนที่เฉินผิงอันอยากคว้าไว้ให้อยู่มืออย่างแท้จริง
ลู่ไถพลันเอ่ยขึ้นกลั้วหัวเราะ “กวานห้าขุนเขาอันนั้นสวยมากจริงๆ ดูเหมือนว่าตาแก่นั่นยังไม่เคยสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ คงไม่รู้ภูมิหลังที่แท้จริงของกวานห้าขุนเขานี้ เดี๋ยวพอข้ากลับไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเมื่อไหร่ จะไปที่หอหนังสือของตระกูลแล้วพลิกเปิดหาตำราภูมิศาสตร์ดูหลายๆ เล่มหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”
เฉินผิงอันพูดพลางหัวเราะพลาง “ใช้ได้เลยนะเจ้า นี่คือหมายความว่าอยากเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองสินะ แค่เจ้าบิดก้นก็รู้แล้วว่าเจ้าจะผายลมอะไรออกมา”
ลู่ไถพูดเสียงขุ่น “เฉินผิงอัน จะดีจะชั่วเจ้าก็เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มาบ้าง ช่วยพูดจาให้สุภาพหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันร้องโอ้ยหนึ่งที “บุรุษตัวโตๆ สองคน จะมัวพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
ลู่ไถตวัดตามองค้อน
ต่อให้เดินทางมาร่วมกัน หากนับรวมช่วงที่โดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติจากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีปก็เป็นระยะทางหลายพันลี้ แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกทนรับท่าทางแบบนี้ของเขาไม่ได้อยู่ดี
คนทั้งสองพลิ้วกายลงกลางผืนป่านอกป้อมอินทรีบิน จิตของลู่ไถขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ม่ายกวางกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็พุ่งสวบจากไป
ลู่ไถเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับของตัวเองให้เฉินผิงอันฟังว่า “เมื่อเทียบกับเจินเจียนแล้ว พลังการต่อสู้ของม่ายกวางค่อนข้างธรรมดา แต่ตอนที่ม่ายกวางถือกำเนิดก็มีวิชาอภินิหารที่หายากอย่างการ ‘ค้นหาสมบัติ’ ติดตัวมาด้วย”
“ได้ยินไหม เป็นกระบี่บินเหมือนกัน แต่ของคนอื่นเขากลับไม่เหมือนกัน” เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พูดยิ้มๆ ชูอีกับสืออู่กลับเข้ามาซ่อนตัวอยู่ข้างในแล้ว
แต่ว่าครั้งนี้ต่อให้เป็นชูอีก็ยังไม่ระบายความขุ่นเคืองใส่เฉินผิงอัน คงเป็นเพราะศึกตัดสินเป็นตายในครั้งนี้ไม่เหมือนสองครั้งตอนที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองและตอนที่อยู่เหนือกองทัพนับหมื่น คุณความชอบของพวกมันมีไม่มาก
แต่สาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นเพราะ แม้ปากของเฉินผิงอันจะพูดว่าอิจฉาคนอื่น แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงซาบซึ้งใจในตัวของชูอีและสืออู่อย่างมาก
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชำเลืองตามองแขนที่กระดูกขาวโผล่อย่างน่ากลัวแล้วเบ้ปาก
ลู่ไถตาแดงก่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็เหมือนว่าจะเงียบขรึมไป
เฉินผิงอันปรายตามองเขา “เจ้าน้ำตาเป็นผู้หญิงไปได้!”
ลู่ไถอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันจึงหัวเราะ หัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาก
ตอนอยู่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเคยถูกผู้เฒ่าเปลือยเท้าด่าทำนองนี้มาก่อน ตอนนั้นเขาเสียใจมาก
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพอด่าคนอื่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่หัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง ในใจก็พลอยรู้สึกสงบตามไปด้วย เขานั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ถามว่า “ทำไมต้องสู้สุดชีวิตขนาดนี้ด้วย?”
เฉินผิงอันทำสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้พวกเราก็ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า เจ้าไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ข้ามารับมือที่ทะเลเมฆ เรื่องที่รับปากเจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ภายหลังผู้เฒ่าลัทธิมารคนนั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะสังหารข้า ข้าไม่ทุ่มสุดชีวิตก็ต้องตาย ยังจะทำยังไงได้อีก”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ ทำท่าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พูดเสริมไปว่า “ในเมื่อต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่น คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนย่อมไม่ผิด หากเชือกพันธนาการปีศาจถูกทำลายไปจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางโทษเจ้า เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจของข้าเอง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่พวกเรารับมือกับกลุ่มคนที่มาดักปล้นชิงทรัพย์ ข้ารู้สึกว่าสามารถหยุดมือได้แล้ว แต่เจ้าก็ยังไล่ตามไปฆ่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือหลักการเดียวกัน”
ลู่ไถเอ่ยขอโทษ “เข็มขัดเส้นนั้นเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า ขอโทษด้วยนะ”
เฉินผิงอันโบกมือบอกให้ลู่ไถรู้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร เห็นว่าลู่ไถมีสีหน้าหม่นหมองก็ยิ้มปลอบใจเขา “นี่ไม่ได้เป็นเพราะข้าไม่แยแส แต่เป็นเพราะข้าเต็มใจเชื่อเจ้า ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องเมื่อเจ้าทำไปแล้ว แสดงว่าเจ้าเองก็ต้องชั่งน้ำหนักและคิดใคร่ครวญมาดีแล้ว ระหว่างสหาย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ”
ลู่ไถน้ำตาคลอขึ้นมา เฉินผิงอันจึงพูดด้วยความปรารถนาดีว่า “เจ้าน่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ เมื่อก่อนข้ามีสหายในยุทธภพอยู่สองคน ก็คือนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกที่เคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ พวกเขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยแบบเจ้าเลย เจ้าขี้เกรงใจเกินไปแล้ว”
คนคนหนึ่งที่เห็นคนอื่นเป็นสหายไปทั่ว มักจะไม่มีสหายที่แท้จริง
คนคนหนึ่งที่ปากชอบเรียกขานคนอื่นว่าพี่น้อง แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เคยเห็นใครเป็นพี่น้อง
ดังนั้นลู่ไถจึงรู้ดีว่าคำว่า ‘สหาย’ ที่หลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอันนี้ มีน้ำหนักมากแค่ไหน
มากจนสามารถฝากความเป็นความตายไว้ให้ได้!
และในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็ทำอย่างนี้จริงๆ ตอนที่ผู้เฒ่ากวานสูงใช้ห้าขุนเขากดทับลงมา ขอแค่ลู่ไถลงมือช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย ต่อให้เฉินผิงอันหลบอยู่ในหลุมใหญ่ใต้ ‘ตีนเขา’ ก็ยังต้องถูกปราณวิญญาณกดกำราบ หายใจไม่ออกตายอยู่ในนั้น
พอลู่ไถคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มกลัดกลุ้มทุกข์ใจคิดมาอีก ท่าทางจึงยิ่งเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่
เพราะตอนนั้นที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก เขาคือผู้ฟังคนเดียวที่ได้ยินเฉินผิงอันเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความฝันและความปรารถนาจากปากของเขาเอง
ดังนั้นลู่ไถจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เฉินผิงอัน การแบ่งของกันครั้งนี้ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน”
เฉินผิงอันเหลือกตามองสูง คร้านจะพูดให้เปลืองน้ำลายอีก
เงียบงันกันไปนาน
มีเพียงแสงแดดของฤดูใบไม้ร่วงที่ส่องลอดผ่านร่องใบไม้ที่แน่นหนาลงมาในผืนป่า
ในที่สุดลู่ไถก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลัวตาย ข้ากลัวการมีชีวิตอยู่ เจ้าว่าพวกเราหัวอกเดียวกันไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าเป็นลูกผู้ชายกว่าเจ้าเยอะ”
กว่าลู่ไถจะยอมพูดความในใจกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกสาดน้ำเย็นใส่หน้า จึงพลันโมโหเดือด “เฉินผิงอัน! ทำไมเจ้าถึงได้น่าเบื่อขนาดนี้!”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ข้าเป็นผู้ชายเต็มตัว จะต้องการให้ผู้ชายอีกคนมารู้สึกว่าข้าน่าสนใจไปทำไม ข้าเป็นบ้าหรือไง?”
ลู่ไถพูดเสียงหงอย “ก็ได้ ข้าบ้าเอง”
จากนั้นเขาก็พูดพึมพำเสียงเบาราวเสียงยุง “ขนาดตัวข้าเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
เฉินผิงอันที่เงี่ยหูฟังถึงกับอึ้งตะลึง “หมายความว่าไง?”
ลู่ไถทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายลงบนพื้น “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ข้าก็คือตัวประหลาด ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่รู้ความลับนี้มีแค่พ่อแม่ข้า อาจารย์อีกสองคน แล้วก็บรรพบุรุษของตระกูลอีกหนึ่งคน เจ้าคือคนที่หก พอขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว ข้าถึงจะสามารถ…”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย เฉินผิงอันก็ได้ยินไม่ถนัดแล้ว
เฉินผิงอันต้องข่มกลั้นความอยากรู้ไว้เป็นนาน
ลู่ไถที่เงยหน้ามองเหม่อไปบนท้องฟ้าถึงพูดว่า “อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ในเมื่อข้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมสามารถยอมรับทุกความคิดเห็นของเจ้าได้”
เฉินผิงอันขยับตำแหน่งมานั่งใกล้ลู่ไถ เอ่ยถามเบาๆ ด้วยความอยากรู้ แต่ก็อดรู้สึกลำบากใจไปด้วยไม่ได้ “เวลาที่ผู้หญิงเป็นวันนั้น เจ็บปวดมากเลยใช่ไหม?”
ลู่ไถเหมือนถูกฟ้าผ่า หันหน้าดำทะมึนกลับมา พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทำไมเจ้าไม่ไปถามแม่นางคนนั้นที่เจ้าชอบล่ะห๊ะ?!”
เฉินผิงอันยกมือเกาหัวโดยไม่รู้ตัว “ข้ากล้าเสียที่ไหน”
ลู่ไถพลันหัวเราะ ชี้ไปที่แขนข้างนั้นของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันสบถหนึ่งคำแล้วรีบวางแขนข้างที่เลือดเนื้อกำลังงอกช้าๆ ลง เจ็บชะมัด
คนทั้งสองเงียบงันกันไปอีกครั้ง
ตอนที่ลู่ไถลุกขึ้นนั่งพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนั่นกำลังเสียใจ แถมยังเป็นความเสียใจที่มากล้นอีกด้วย
ลู่ไถรู้สึกเหลือเชื่อ
ไม่รู้ว่าใต้หล้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เฉินผิงอันคิดไม่ตกได้ขนาดนี้
เห็นเพียงว่าบนหัวเข่าของเฉินผิงอันวางตราประทับเล็กๆ อันหนึ่งที่ลู่ไถไม่เคยเห็นมาก่อน
วันนี้หายนะใหญ่มาเยือนป้อมอินทรีบิน แต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย
และเขาเฉินผิงอันก็ยังมีชีวิตอยู่
ถ้ำสวรรค์หลีจู
ทุกคนเองก็อยู่อย่างเป็นสุขปลอดภัย ถึงขั้นที่ว่าขนาดเด็กบ้านนอกอย่างเขาเฉินผิงอันก็ยังได้ออกมาท่องยุทธภพไกลขนาดนี้
เพราะพวกเรามีอาจารย์ฉี
แล้ว
อาจารย์ฉีล่ะอยู่ที่ไหน?