บทที่ 304 โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความอยุติธรรม
จากคำบันทึกใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเซียนกล่าวว่าใบถงทวีปมีภูตผีปีศาจบนภูเขาอยู่เป็นจำนวนมาก และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้
ต่อให้เวลาส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะจงใจเดินอ้อมผ่านสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นหรือไม่ก็สถานที่อันตรายเต็มไปด้วยไอสกปรกที่แค่มองก็ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวแล้ว แต่ในบางครั้งก็ยังเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นกลางดึกของคืนนี้ เฉินผิงอันมองไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แสงไฟสว่างไสว ในมือของเฉินผิงอันไม่มีแผนที่ เพราะคิดอยากจะหาอาหารมาเพิ่มจึงเดินตามเส้นทางที่มีแสงไฟไป เพราะว่าแผนที่ชัยภูมิส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งของต้องห้ามของราชวงศ์ในแคว้นนั้นๆ ถูกเก็บรักษาไว้เข้มงวดแน่นหนายิ่งกว่าอาวุธทางการทหารเสียอีก
ในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานในยามวิกาล แต่หน้าประตูเมืองมีทหารคอยตรวจเอกสารผ่านทาง รอจนเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเมืองได้อย่างราบรื่นและหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ยังไม่ปิดกิจการเพื่อเข้าพัก ทว่าเถ้าแก่กลับโบกมือส่ายหน้า บอกว่าเงินของเฉินผิงอันไม่ถูกต้อง ที่โรงเตี๊ยมของพวกเขาไม่รับ แต่ละแคว้นต่างก็มีเหรียญทองแดงในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก แต่หากกระทั่งทองจริงและเงินขาวก็ยังไม่รับก็ออกจากประหลาดไปสักหน่อย ยังดีที่เถ้าแก่ช่วยชี้ทาง บอกว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่สามารถนำเงินและทองมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินของเมืองพวกเขาได้ หลังจากเปลี่ยนเสร็จแล้วค่อยมาเข้าพักในโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันจึงไปที่ร้านแห่งนั้น โต๊ะคิดเงินของร้านนี้สูงมาก สูงแทบจะครึ่งตัวคน เฉินผิงอันเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จึงเหยียบลงบนม้านั่งตัวเล็ก บอกว่าต้องการแลกเงิน มอบเงินก้อนสีเงินไปให้สองสามก้อน แลกมาด้วยเงินเหรียญทองแดงทงเป่าหนึ่งกองและตั๋วเงินอีกหนึ่งปึ กเงินเหรียญทองแดงหนักมาก คุณภาพก็ดีเยี่ยม ส่วนด้านบนของตั๋วเงิน เฉินผิงอันเห็นว่ามีตราประทับสีชาดของโรงฝากเงินกับของราชสำนักประทับอยู่อย่างเป็นทางการจึงไม่ได้คิดอะไรมาก พอกลับไปที่โรงเตี๊ยมก็จ่ายเงินแล้วแสดงเอกสารผ่านทาง เถ้าแก่จึงจดบันทึกเอาไว้อย่างรอบคอบ เตรียมไว้เผื่อขุนนางฝ่ายกระทรวงครัวเรือนของท้องที่มาขอตรวจดู
วันต่อมาเฉินผิงอันเตรียมจะออกไปข้างนอก เถ้าแก่ยังคงดีดลูกคิดอยู่ที่เดิม เขาเอ่ยเติมเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า ที่นี่มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง นั่นคือเวลาที่พูดคุยกับคนอื่นห้ามพูดคำว่ากระดาษออกมาเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นคำว่าวางแผนการรบบนกระดาษ หรือตัวอักษรเปล่าบนกระดาษ (หมายถึงสิ่งที่เขียนลงบนกระดาษโดยที่ไม่ได้พูดออกมา) ที่ห้ามพูดออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าถูกคนจับโยนออกไปนอกเมืองก็อย่าหาว่าเขาไม่เตือน
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วก็ออกไปซื้อของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือและเสื้อผ้าอีกสองชุด ตอนที่กลับโรงเตี๊ยมมากินข้าว รู้สึกเพียงว่ารสชาติของอาหารจืดชืด หลังจากนั้นเขาก็ออกจากเมือง เดินไปได้หลายสิบลี้ยังพอจะมองเห็นเค้าโครงของเมืองได้อย่างเลือนราง แต่จู่ๆ กลับเจอกับฝนห่าใหญ่ เฉินผิงอันยืนหลบฝนอยู่ในศาลาผุพังแห่งหนึ่งบนภูเขา ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงฝึกเดินนิ่งและฝึกหมัดไปอย่างเชื่องช้า ผลกลับกลายเป็นว่าได้เห็นภาพที่น่าตกใจภาพหนึ่ง นั่นคือเมืองที่อยู่ห่างไปทางตีนเขากลับหลอมละลายอยู่ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ กลายมาเป็นเพียงแค่ดินโคลนเละๆ กองหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันรีบควักเอาของที่ซื้อจากเมืองเล็กมาดู รวมไปถึงพวกเงินเหรียญทองแดงและตั๋วเงิน แล้วก็พลันชาไปทั้งหนังศีรษะ
สิ่งของทั้งหมดกลับกลายมาเป็นเพียงกระดาษขาวที่ถูกตัดให้เป็นรูปร่างต่างๆ เหมือนกระดาษที่คนเป็นในโลกเผาไปให้แก่คนตายในยมโลก
ราวกับขบขันท่าทางตกอกตกใจของเฉินผิงอัน เสียงหลุดหัวเราะพรืดจึงดังออกมาจากกำแพง ก้องสะท้อนอยู่ภายในศาลา
เฉินผิงอันแค่ตกใจในความน่าเหลือเชื่อของเมืองเล็กประหลาดก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้กลัวเรื่องลี้ลับเหล่านี้ ดังนั้นพอในศาลามีคนแกล้งทำเป็นผีหลอก เฉินผิงอันจึงคืนสติอย่างว่องไว เขาเพียงนั่งลงไปบนม้านั่งตัวยาวที่ทำมาจากต้นไม้เก่าแก่ในภูเขาลึกซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมกำแพง หันหน้าเข้าหากำแพงสีขาวซีดฝั่งตรงข้าม ยกเหล้าขึ้นดื่มเงียบเงียบ
เว้นเสียจากว่าตนดวงซวยอย่างมากจึงมาเจอกับปีศาจใหญ่หรือไม่ก็มารตัวเอ้ที่เชี่ยวชาญในการปลอมตัว ไม่อย่างนั้นเกินครึ่งอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นพวกที่ตบะตื้นเขิน เจ้านั่นหลอกให้คนธรรมดาตกใจกลัวได้ไม่ยาก ซึ่งก็พอดีกับที่เฉินผิงอันคิดจะตบมันให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ไม่ยากเช่นกัน
เจ้าคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมาเจอตอแข็งเข้าให้แล้วแสร้งกดเสียงให้ต่ำลึกน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม “เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางกำแพงแห่งนั้นช้าๆ ตบลงไปหนึ่งที ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งก็แปะอยู่ด้านบน เสียงร้องไห้และเสียงวิงวอนดังมาจากด้านในทันที น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนเสียงของเด็ก เฉินผิงอันไม่ได้ปลดยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นลงมา เพียงถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือไม่?”
เจ้านั่นรีบตะโกนตอบ “กลัวแล้วๆ กลัวจนแทบจะมีชีวิตฟื้นกลับคืนมาอยู่แล้ว!”
“ออกมาเถอะ เลิกทำหลบๆ ซ่อนๆ ได้แล้ว มาพูดกับข้าให้รู้เรื่องว่าเมืองเล็กแห่งนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เฉินผิงอันปลดยันต์สยบปีศาจลงมา เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม
เด็กอายุน้อยคนหนึ่งที่ท่าทางยังหวาดผวาไม่คลายเดินออกมาจากกำแพง เสื้อผ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็ปักลายของทางการ เพียงแต่ว่าไม่ได้มีสีสันสดใสเหมือนของราชวงศ์ต่างๆ ในโลกมนุษย์ มีแค่สองสีคือสีดำกับสีขาว เขายืนอยู่ตรงมุมกำแพงด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ มองมายังนายท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่เพียงแต่โค้งตัวคารวะ ยังพึมพำอะไรแปลกๆ หนึ่งคำ จากนั้นก็พูดแนะนำตัวเอง ที่แท้เขาก็คือเทพเจ้าที่คนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ก่อน ภายหลังเมื่อเปลี่ยนฮ่องเต้และเปลี่ยนแซ่ของแคว้นใหม่ เขาจึงถูกคัดให้เป็นขุนนางของราชวงศ์เดิมโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่มีตำแหน่งขุนนาง ตบะที่เดิมทีก็เบาบางอยู่แล้วจึงยิ่งลดน้อยถดถอยลงไปอีก
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่คือบุตรชายคนเล็กที่เป็นลูกรักของทูตใหญ่ในแคว้นศักดินาแห่งหนึ่ง ภายหลังตายไปยังไม่ทันครบเจ็ดวันก็มีเทพเซียนขี่เมฆผ่านทางมา อีกฝ่ายเข้ามาในห้องโถงที่ตั้งป้ายวิญญาณของเขา ช่วยเหลือบิดาเขาดำเนินการอยู่พักหนึ่ง เขาจึงได้กลายเป็นเทพเจ้าที่องค์หนึ่งที่ระดับขั้นไม่สูง แต่ก็ได้รับควันธูปอย่างโชติช่วงสมบูรณ์ นี่ก็เพื่อหวังให้เขาคอยช่วยปกป้องฮวงจุ้ยของสุสานบรรพชน ภายหลังเกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ทุกอย่างจึงมลายหายไปดั่งควันที่ลอยผ่านหน้า
จากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา เหตุการณ์ที่ไม่ได้สลักสำคัญส่วนใหญ่มักจะน่าสนใจเสมอ เฉินผิงอันจึงถามเรื่องของที่มาของคนกระดาษในเมืองเล็กจากเทพเจ้าที่ที่ไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้วตนนี้ ที่แท้ในอดีตชาวบ้านในเมืองเล็กนับหมื่นคนต้องมาตายด้วยหายนะยิ่งใหญ่จากน้ำมือมนุษย์ภายในค่ำคืนเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนแตกตื่นขวัญผวา ทางราชสำนักจึงออกคำสั่งให้เมืองรอบด้านปิดข่าวนี้ไว้เป็นความลับ อีกทั้งยังเชิญพระสงฆ์ที่มีวิชาอาคมสูงมาทำพิธีกรรมครั้งหนึ่ง นั่นถึงทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย
เฉินผิงอันถามว่าหลังจากพายุใหญ่ผ่านไปแล้วเมืองเล็กแห่งนั้นจะเป็นอย่างไร เด็กชายพูดยิ้มๆ ว่าไม่เป็นอะไร ขอแค่อากาศดีๆ ท้องฟ้าสดใสสักสองสาม วันเมืองเล็กแห่งนั้นก็จะกลับคืนมาเป็นสภาพเดิม
เฉินผิงอันจึงขยับมานั่งยองอยู่บนพื้น หันหน้าเข้าหาเมืองเล็กแล้วเผากระดาษเงินเสื้อผ้ากระดาษเหล่านั้นอยู่ในศาลา
เด็กชายขยับมานั่งยองอยู่ด้านข้าง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “นายท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นคนจิตใจดีงามถึงเพียงนี้”
เฉินผิงอันยิ้มให้เป็นการตอบรับ
จากนั้นจึงถือโอกาสถามถึงสภาพภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้รอบสถานที่แห่งนี้ว่ามีตระกูลเซียนหรือมีท่าเรือบ้างหรือไม่ เด็กชายไล่ตอบทีละคำถามโดยไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว
มันบอกว่าขึ้นเหนือไปประมาณแปดร้อยลี้มีภูตผีปิศาจที่ตั้งตัวเป็นราชาแห่งขุนเขาคอยก่อความวุ่นวายอยู่จริง แต่ก็ไม่ได้ดักปล้นหรือรังแกพวกนายพรานและชาวบ้านบนภูเขาบ่อยนัก บนภูเขาและล่างภูเขาจึงถือว่าค่อนข้างสงบสุข น้อยครั้งที่จะมีข่าวว่าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ในช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของมันเลื่องลือ แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาบางส่วนก็ยังต้องเดินอ้อมไปทางอื่น เพียงแต่ว่าภายหลังเจอกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งจึงทำตัวสงบเสงี่ยมลง ได้ยินว่ามีแค่แมวน้อยหมาน้อยสองสามตัวเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ความเป็นจริงเป็นเช่นไรก็บอกไม่ได้เหมือนกัน คนด้านนอกเล่าลือกันไปสารพัดอย่าง บางคนก็บอกว่าเซียนซือของสำนักฝูจีรู้สึกขวางหูขวางตา แล้วก็มีคนบอกว่าขณะที่พระธุดงค์องค์หนึ่งของศาสนาพุทธมาปักกลดอยู่ตรงนั้น ได้มีปีศาจที่ตาไร้แววทำให้ยอดฝีมือสำนักพุทธเดือดดาล ถึงได้เจอกับหายนะครั้งนี้
เฉินผิงอันรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ไพล่นึกไปถึงการเดินทางบนภูเขาในขอบเขตของต้าหลีที่ผีสาวสวมชุดแต่งงานปรากฏกาย จนถึงวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่อาจลืมได้
ในศาลามีกิ่งไม้แห้งอยู่บางส่วน ภายใต้ความช่วยเหลือของเด็กชาย กิ่งไม้แห้งจึงถูกรวบมารวมกัน พอก่อไฟแล้วหนึ่งคนหนึ่งภูตประหลาดก็พากันนั่งอยู่ข้างกองไฟ
แม้มองดูแล้วใบหน้าของเด็กชายจะอ่อนเยาว์อยู่มาก แต่ในความเป็นจริงกลับมีชีวิตอยู่มาห้าร้อยปีแล้ว มันอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เฉินผิงอันฟังว่า “การที่ปีศาจบนภูเขาลูกนั้นทำตัวเป็นกระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังของตัวเอง นอกจากจะเป็นเพราะนิสัยของราชาแห่งขุนเขาตนนั้นค่อนข้างจะอ่อนโยนแล้ว พวกลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มีหลายคนที่นิสัยดุร้ายอำมหิต แน่นอนว่าไม่ได้มีจิตใจเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ แต่เนื่องจากเขาปกครองพื้นที่แห่งหนึ่งจึงกลัวว่าชื่อเสียงจะฉาวโฉ่มากที่สุด หากแค่คนพูดถึงก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความหวาดกลัว เล่าลือกันไปอย่างนี้สักสิบปี ร้อยปีหรือพันปี แล้วถ้าวันหนึ่งลูกศิษย์ตระกูลเซียนที่กินอิ่มแล้วว่างงานไม่มีอะไรทำนึกอยากจะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นผู้กำจัดปีศาจกำราบมารขึ้นมา จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เด็กชายยื่นฝ่ามือสองข้างมาอังไฟพลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฆ่าหรือไม่ฆ่า ฆ่าเด็กไปแล้วเดี๋ยวผู้ใหญ่ก็มา ฆ่าผู้ใหญ่ไปแล้วเดี๋ยวคนแก่ก็ตามมา ต่อให้มีความสามารถที่จะฆ่าหนึ่งคนสองคน หรือมาสามคนก็ฆ่าได้หมด พอฆ่าทิ้งหมดเรื่องราวก็ใหญ่โต หน่วยงานในท้องถิ่นแจ้งเรื่องไปยังราชสำนัก ฮ่องเต้รู้สึกว่าเสียหน้า สุดท้ายก็ย่อมต้องเชิญเซียนซือให้ออกจากภูเขามาปราบไม่ใช่หรือ?”
เด็กชายกล่าวอย่างหน่ายใจ “นั่นน่ะน่ารำคาญมากที่สุด”
เฉินผิงอันจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ก็คงเละเป็นโจ๊กไปนานแล้ว ชาวบ้านด้านล่างภูเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร พูดแค่เมืองเล็กแห่งนั้น คนตายไปตั้งหมื่นกว่าคน ญาติพี่น้องมิตรสหายของพวกเขาที่อยู่ต่างถิ่นจะคิดอย่างไร เวลาเพียงชั่วข้ามคืน คนทั้งหมดกลับไม่มีใครเหลืออยู่เลย คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลัวเป็นเหมือนกัน”
เด็กชายอึ้งตะลึง ดูเหมือนว่าจะไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน
ภายหลังเด็กชายจึงเล่าเรื่องน่าสนใจของบริเวณใกล้เคียงให้ฟัง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องที่เขาฟังคนอื่นเล่ามาอีกที ถึงอย่างไรเวลาหลายร้อยปีก็จำเป็นต้องหาความบันเทิงมาฆ่าเวลาเสียบ้าง
หลังสายฝนห่าใหญ่หยุดตก เฉินผิงอันจึงบอกลากับเทพเจ้าที่น้อยตนนี้แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง
ทิ้งเด็กชายให้ยืนพึมพำกับตัวเองอยู่นอกศาลาคนเดียว
ระหว่างนี้เฉินผิงอันเดินผ่านสุสานแห่งหนึ่งก็เห็นว่ามีบัณฑิตยากจนที่เตรียมจะเข้าเมืองหลวงไปสอบกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าหลุมศพขนาดใหญ่ แต่ละคนเผยสีหน้าละอายใจที่ตนเองสู้ไม่ได้และทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่หยุด
จากนั้นเขาก็เห็นว่าบริเวณใกล้กับหลุมศพมีจิ้งจอกสีขาวหิมะสองตัววิ่งออกมาแล้วทำท่าคารวะเหมือนคน
ยังมีจิ้งจอกอายุน้อยอีกหลายตัวที่นอนหมอบอยู่บนหลุมศพ พวกมันหัวเราะคิกคัก ตรงหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ฉายสีหน้าเพ้อฝันและเขินอาย ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ปีศาจที่ดุร้ายอะไร แต่กลับคล้ายเด็กเล็กจอมตะกละมากกว่า
บัณฑิตเหล่านั้นพากันคารวะกลับคืน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่หัวเราะขำยกใหญ่ รู้ดีว่านี่ต้องเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของปีศาจจิ้งจอกแน่นอน พวกมันกำลังล่อลวงใจคน แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เป็นกังวลเท่าใดนัก เพราะปีศาจจิ้งจอกบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอยู่ในทวีปใดก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีนิสัยหรือการกระทำที่ดุร้ายโหดเหี้ยม นับตั้งแต่โบราณกาลมาธรรมชาติของพวกมันก็ใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่แล้ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมาใกล้ชิดเพราะหวังผ่านด่านความรักเพื่อเพิ่มขอบเขตและตบะของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เปิดโปงโดยการบอกกล่าวให้บัณฑิตพวกนั้นเข้าใจว่า บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วเป็นแค่หลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่เฝ้าอยู่ข้างหลุมศพเงียบเงียบ
แล้วก็จริงดังคาด วันที่สองพวกบัณฑิตก็ออกจากจวนแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี รู้สึกเพียงว่านี่เป็นการพบเจอกันที่งดงามครั้งหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เกิดมาชาตินี้
เฉินผิงอันจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
เดินไปหน้าอีกสามร้อยลี้เฉินผิงอันก็มาถึงแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเป่ยจิ้น ตอนที่เดินผ่านเมืองแห่งนี้เจอตลาดพอดี เฉินผิงอันจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลมาสองไม้จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าวัดหรูชวี่ของแคว้นเป่ยจิ้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ในวัดมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ท่านหนึ่งบรรลุมรรคคา ถูกขนานนามว่าแท่นบงกชหิน หินยักษ์มีขนาดกว้างถึงห้าจั้ง สามารถบรรจุคนได้หลายร้อยคน และคนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้มันโยกคลอนได้ ไม่มีใครสามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ฮ่องเต้เป่ยจิ้นที่เสด็จมาเยือนทางทิศตะวันตกเคยได้ทดลองโยกหินด้วยตัวเองก็ให้สำราญพระทัยอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของวัดหรูชวี่ยิ่งขจรขจายไปไกล
แต่พอเฉินผิงอันสอบถามคนหลายคน ทุกคนกลับบอกว่าไม่รู้ว่าต้องไปวันหรูชวี่อย่างไร เฉินผิงอันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เด็กชายพูดถึงเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว เวลาสองร้อยปีในโลกมนุษย์มากพอให้หลายเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยืนหยัดไม่ย่อท้อ จนกระทั่งถามจนรู้ถึงที่ตั้งซากปรักของวัดแห่งนั้นถึงได้ยอมเลิกรา เมื่อเดินทางไปถึง รอบด้านเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏ ไม่มีทั้งกลิ่นอายของคนแล้วก็ไม่มีทั้งกลิ่นอายของปีศาจ มีแต่ความทรุดโทรมเสื่อมสภาพ ท่ามกลางแสงสายัณห์ เฉินผิงอันเจอหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์ใดๆ
เฉินผิงอันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลสองไม้หมดก็โยนด้ามไม้ไผ่ทิ้งลงพื้น แล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกจากประตูใหญ่ของวัดร้างไปแล้ว ยอดบนสุดของหินก้อนนั้นก็มีคนตัวจิ๋วโผล่หัวเล็กๆ ออกมา
มันขยับขึ้นมานั่งบนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ
ที่แท้สาเหตุแท้จริงที่หินบงกชก้อนนี้สามารถโยกคลอนได้นั้น เป็นเพราะมันได้ให้กำเนิดคนจิ๋วดอกบัวซึ่งเป็นภูตก้อนหินตนหนึ่ง มันชอบซ่อนตัวแล้วแอบหัวเราะคิกคัก ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะโยกก้อนหินมันก็จะรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด โยกตัวไปซ้ายทีขวาทีก็หินก็โยกคลอนตามไปด้วย จึงทำให้ทุกคนเข้าใจผิด
เพียงแต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งมันรู้สึกเบื่อแล้ว การโยกของแท่นบงกชหินจึง ‘ศักดิ์สิทธิ์บ้างไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง’ สุดท้ายก็ ‘แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา’ ที่แท้เป็นเพราะมันไปจากแท่นดอกบัวหินแล้ว มันอยากไปตามหาสหายที่อยู่ห่างไปไกล อยู่เพียงลำพังมาปีแล้วปีเล่า มันรู้สึกเหงาอย่างมาก
สุดท้ายมันก็พบเจอสหายสองคน คนหนึ่งคือภูตงู อีกคนหนึ่งคือภูตกวางแม่น้ำ คนจิ๋วดอกบัวที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ถูกพวกมันสองตนหลอกเอาแขนเล็กข้างหนึ่งที่ ‘รวบรวมขึ้นมาจากรากเมฆาและแก่นดิน’ รวมถึงใบบัวเฉิงหวง (ชื่อสัตว์ในตำนานโบราณ) หนึ่งกลีบ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังยืนหยัดที่จะตามหาสหายต่อไป และในที่สุดมันก็ได้เจอกับภูตดอกไม้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดจากมัน มันจึงพานางกลับมาที่แท่นบงกชหิน เล่นสนุกด้วยกัน หยอกพวกนักท่องเที่ยวด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดมีวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลกลับค้นพบว่าปราณวิญญาณในแท่นบงกชหินไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่เหลือเลยแม้สักนิดเดียว ภูตดอกไม้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
แท่นบงกชหินที่สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีใครให้ความสนใจอีก สุดท้ายก็ถูกละทิ้งหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงภูตน้อยแขนเดียวที่มักจะมานั่งอยู่ริมแท่นหิน คลอเพลงพื้นบ้านในลำคอ แกว่งเท้าเบาๆ
บางครั้งมันก็รู้สึกเสียใจ เพราะมันไม่รู้ว่าตอนนี้สหายทั้งสามคนนั้นมีชีวิตที่ดีหรือไม่
หากมีชีวิตไม่ดี เหตุใดถึงไม่มาหาตนล่ะ มันจะได้ปลอบช่วยปลอบใจพวกเขาไง
แต่หากมีชีวิตที่ดี แล้วทำไมถึงยังไม่มาหาตนอีกล่ะ มันจะได้ร่วมดีใจไปกับพวกเขา
มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เจ้าตัวน้อยหันขวับกลับมาก็ค้นพบว่าคนต่างถิ่นที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะคนนั้นนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของก้อนหิน กำลังมองพระอาทิตย์ตกดินพลางดื่มเหล้า
พอสังเกตว่าตนหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มมาให้มัน
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน กระโดดทิ้งตัวลงไปในก้อนหินยักษ์ทันที
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วกระโดดลงจากก้อนหิน ออกไปจากวัดหรูชวี่แห่งนี้จริงๆ ไม่แกล้งหยอกภูตน้อยตนนี้อีก
เจ้าตัวน้อยหลบซ่อนในก้อนหินอยู่นานถึงได้กล้าโผล่ออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ กวาดตามองไปรอบด้านพักหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ถึงได้ขึ้นมาตรงตำแหน่งที่คนผู้นั้นนั่งเมื่อครู่ แล้วมันก็พลันเบิกตากว้างเพราะมองเห็นว่ามีเหรียญเงินที่ปราณวิญญาณโอบล้อมอยู่เหรียญหนึ่ง
ภูตบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ล้วนชอบเงินของเทพเซียนบนภูเขา เพราะกินพวกมันเป็นอาหาร
การที่วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้ เฉินผิงอันทำไปเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น
แต่รอจนเฉินผิงอันออกไปจากเมือง เดินพ้นไปจากถนนหลวง เพิ่งจะเข้ามาในภูเขาก็พบว่าบนทางเล็กเบื้องหน้ามีเจ้าตัวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ มือข้างหนึ่งของมันกำเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นที่เมื่อเปรียบเทียบของกับร่างของมันแล้วนับว่าใหญ่โตกว่ามากเอาไว้แน่น สายตามองเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยทั้งกระวนกระวายใจแล้วก็ทั้งดีใจด้วย
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหาช้าๆ เจ้าตัวน้อยมีนิสัยขี้ขลาดมาตั้งแต่เกิดจึงหายตัววับไปจากเส้นทาง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็นว่าเจ้าตัวน้อยเดินตามหลังเฉินผิงอันไปบนภูเขาได้เกือบหนึ่งร้อยลี้
เฉินผิงอันก็ไม่เป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้มัน ปล่อยให้มันเดินตามตนมาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล
หนึ่งคนตัวใหญ่หนึ่งคนตัวเล็กจึงเดินทางร่วมกันไปแบบนี้
พอไปถึงป่าเก่าแก่ในภูเขาลึกที่เด็กชายพูดให้ฟังก็พบว่าหนทางอันตรายจริง ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะพ้นเดินออกไปจากขอบเขตของพื้นที่แห่งนี้ได้เจอกับปีศาจน้อยตนหนึ่งที่เหมือนคลุ้มคลั่ง เสื้อผ้าที่มันสวมใส่ขาดวิ่น เดินโซซัดโซเซ ปากก็พร่ำพูดประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเสียใจว่า “จิตใจเช่นนี้ จะกลายเป็นพระได้อย่างไร? จะกลายเป็นพระได้อย่างไร…”
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนไม่สนใจอะไรอีก รีบวิ่งปรู๊ดมาหลบอยู่ข้างเท้าเฉินผิงอันทันที
หลังจากนั้นมาเจ้าตัวน้อยก็ไม่เหลือใจระแวดระวังอีก หากไม่กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก็จะมานั่งอยู่บนหัวไหล่ของเขา
ภายหลังเฉินผิงอันพาสหายใหม่ที่พูดไม่ได้ตนนี้เดินผ่านแคว้นแห่งหนึ่งที่มีสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน หลายชีวิตต้องสิ้นล้มประดาตาย วีรบุรุษผู้กล้าถูกบีบให้ผันตัวมาเป็นโจร ยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นราชา สร้างกองกำลังใหญ่กองหนึ่งขึ้นมา
เรื่องราวที่เฉินผิงอันได้ยินมาตลอดทางล้วนเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษผู้กล้าที่สามสิบหกคน บอกว่าพวกเขาองอาจผึ่งผายแค่ไหน วรยุทธสูงส่งมากเสียจนดึงภูเขาชักแม่น้ำได้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันยอมไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็คิดว่าหากมีโอกาสจะลองไปเยือนภูเขาแห่งนั้นเพื่อพบกับเหล่าวีรบุรุษดู ต่อให้อีกฝ่ายอาจจะไม่ยินยอมดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับตน แต่แค่ได้สัมผัสกลิ่นอายจอมยุทธ์ของพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ผลคือพอเฉินผิงอันไปเยือนด้วยความเลื่อมใสกลับไปเจอเข้ากับร้านเถื่อนที่เอาเนื้อมนุษย์มาทำเป็นซาลาเปา เฉินผิงอันเห็นว่าเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาด้วยกันหมดสติไปแล้ว จึงแสร้งทำเป็นหมดสติตามไปด้วย เขาถูกคนจับมัดมือมัดเท้าเอาไป ด้านหลังร้าน โยนไว้บนเขียงหั่นเนื้อหมูขนาดยาวและใหญ่ จากนั้นก็มีลูกจ้างร้านถือมีดเลาะกระดูกเดินหาวเข้ามาหาพวกเขา
ส่วนทางฝ่ายของเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ในขณะที่เพชฌฆาตกำลังจะลงมือประหารโจรใหญ่คนหนึ่ง กลับมีคนหลายสิบคนบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษ โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่มือสองข้างถือขวานคู่ที่ไล่ฟันสังหารผู้คนไปตลอดทาง เขาหัวเราะร่าด้วยความสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นพวกชาวบ้านที่มาชมเรื่องสนุกหรือพวกขุนนางล้วนถูกขวานของเขาผ่าออกเป็นสองท่อนไปหลายคน
มีชายผิวดำเกรียมร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งตวาดด่า ชายถือขวานถึงได้หยุดมืออย่างขลาดกลัว สีหน้ากระดากอาย ไม่เหลือความดุร้ายอีกแม้แต่นิดเดียว
บุรุษผิวดำคนนั้นมองชายฉกรรจ์ร่างกำยำแวบหนึ่งก็โบกมือบอกให้เขาถอยออกไป กวาดตามองรอบด้านด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ที่มากกว่านั้นคือความปลื้มปิติและความสะใจ
เมื่อครู่นี้เขาตวาดสั่งสอนชายฉกรรจ์ถือขวานคู่ไปด้วยคำพูดที่ดุดันเอาเรื่องก็จริง ทว่าสายตาที่มองแผ่นหลังของคนสนิทในเวลานี้กลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
คนทั้งกลุ่มช่วยคนจากลานประหารได้สำเร็จจึงพากันขึ้นม้าที่เตรียมรอไว้ไม่ห่าง แล้วควบม้าออกไปจากเมืองที่โกลาหลวุ่นวายแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ทหารของทางการกลับไม่มีใครกล้าออกจากเมืองไล่ตามไป
รอจนคนทั้งกลุ่มพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยความฮึกเหิม เดินเข้าไปในร้านของตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน กลับค้นพบว่าในร้านไม่มีคู่สามีภรรยาที่คุ้นเคยอยู่แล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวคนเดียว บนโต๊ะสุราเบื้องหน้าเขาวางกระบี่ยาวไว้เล่มหนึ่ง
ปราณกระบี่เข้มข้นน่าพรั่นพรึง
เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันก็เดินออกมาจากร้าน
ในร้านที่อยู่ด้านหลังมีทั้งคนตายและมีทั้งคนเป็น คนเหล่านั้นล้วนเป็นวีรบุรุษชายชาตรีในสายตาของคนบนโลก ซึ่งบางคนก่อนจะตายก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจจริงๆ
กลับเป็นกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ส่วนใหญ่ล้วนเงียบงัน บ้างก็เป็นฝ่ายหยุดมือด้วยตัวเองหลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเขาทั้งไม่พ่นคำพูดโอหังหยาบคาย และในดวงตาก็ไม่มีแววอาฆาตอยากแก้แค้น กลับกันคือมีเพียงความเลื่อนลอยราวกับกำลังพูดว่า ในเมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้แล้วก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เดินออกมาจากร้านเห็นว่าข้างทางมีม้าผูกไว้หลายตัว คิดดูแล้วเฉินผิงอันก็เดินไปจูงม้าสูงใหญ่ตัวหนึ่งมา พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วถึงที่สุด
แรกเริ่มยังค่อยๆ ปล่อยให้ม้าเยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นควบม้าห้อตะบึงไปในยุทธภพ