Skip to content

Sword of Coming 311

บทที่ 311 ลอบฆ่า

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเดินออกมาจากร่มไม้ช้าๆ มือกุมด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แกว่งซ้ายแกว่งขวาไปมา ท่าทางเช่นนี้เหมือนมือกระบี่เสียที่ไหน เหมือนเด็กซุกซนที่ถือกลองป๋องแป๋งเสียมากกว่า เมื่อเขาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน หม่าเซวียน สตรีผีผา ใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด

ชายฉกรรจ์ไม่ชายตาแลยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในยุทธภพทั้งหลายเหล่านี้ แค่ยิ้มพูดกับคนหนุ่มที่น่าจะอยู่บนเส้นทางเดียวกับตนว่า “คิดมากเกินไปแล้ว เจ้ายังไม่มีหน้าตาใหญ่โตขนาดนั้น ร้อยปีของยุทธภพแห่งนี้ คาดว่าคงมีแค่ติงอิงคนเดียวที่พอจะมีคุณสมบัติ ส่วนเจ้า…”

เขายื่นฝ่ามือข้างที่ว่างออกมาแล้วส่ายนิ้ว “ยังไม่เข้าขั้น”

ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ชายฉกรรจ์ปักกระบี่ยาวลงบนพื้น ฝ่ามือยันด้ามกระบี่ ท่วงท่าเกียจคร้าน พูดกลั้วหัวเราะกับคนทั้งสองกลุ่ม “อย่ามัวยืนอึ้งกันอยู่สิ เชิญพวกเจ้าต่อได้เลย หากฆ่าไม่ได้จริงๆ ข้าค่อยลงมือก็ยังไม่สาย วางใจเถอะ กระบี่ที่ออกจากฝักของข้าวันนี้จะเล่นงานเจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียว รับรองว่าไม่ทำร้ายพวกเจ้ามั่วซั่วเด็ดขาด”

หม่าเซวียนถ่มน้ำลายปนเลือดทิ้งแล้วหัวเราะกำเริบเสิบสาน “คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เซียนกระบี่ลู่มาช่วยคุมหลังให้ การเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่วันหน้าคนในยุทธภพพูดคุยถึงศึกใหญ่ครั้งนี้ก็คงเลี่ยงจะเอ่ยถึง ‘หม่าเซวียน’ ไม่ได้ สามารถต่อสู้อย่างสุดกำลังได้แล้ว!”

หม่าเซวียนโก่งหลังขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงว่าตั้งแต่ไหล่ลามไปถึงแขนของเขาปรากฎภาพลายสักพยัคฆ์ลงขุนเขาตัวหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่าตื่นตกใจ

ไม่เพียงเท่านี้ บนแผ่นหลังที่นูนสูงยังมีภาพวาดที่คล้ายคลึงกับภาพของเทพทวารบาล เป็นภาพของชายฉกรรจ์หนวดยาวชุดเขียวถือดาบยาวคนหนึ่งกำลังหลับตา ยืนเอาดาบยันพื้น แผ่ไอความเย็นที่เข้มข้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าพยัคฆ์ลงภูที่อยู่ตรงไหล่เสียอีก

รอยยิ้มของใบหน้ายิ้มที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงยิ้มกดลึก สองนิ้วคีบก้านต้นหญ้าที่ไม่รู้ว่าไปดึงจากไหนเอามาเคี้ยวเบาๆ

หนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออธิบายให้ยาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายฟังเบาๆ “เห็นได้ชัดว่าหม่าเซวียนก็พบเจอเรื่องมหัศจรรย์ ได้รับโชควาสนาเล็กๆ น้อยๆ มาบางส่วนเช่นกัน ท่านพ่อข้าเคยเล่าให้ฟังว่า นี่เรียกว่าวิชาอัญเชิญเทพ ในสัญญาหกสิบปีคราวก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว เคยมีคนอาศัยวิชานี้เปิดฉากสังหารทั่วทิศอยู่นอกด่าน ไล่ล่ากองทหารม้าแห่งทุ่งราบสองพันนายแล้วสังหารเสียเกลี้ยง”

เห็นสายตามืดทะมึนของสตรีอุ้มผีผา ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจไต่ทะยานขึ้นเป็นลำดับก็หัวเราะหึหึ “หากไม่มีความสามารถใหม่ๆ มาเพิ่ม ไหนเลยจะกล้ามาเข้าเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสสนใจทองเล็กน้อยแค่นั้น?”

หญิงสาวพูดเสียงเย็น “ข้ามาก็เพราะทอง เงินก้อนนี้ สะอาด”

หม่าเซวียนเยาะหยัน “ทำไม คงไม่ได้หลงรักเจ้าบัณฑิตยากจนคนนั้นจริงๆ หรอกนะ? พวกบัณฑิตที่ไม่ต้องการหน้าตาจะมีสักกี่คนกันเชียว หากเขารู้เรื่องราวในอดีตของเจ้าคงเสียใจจนไส้เขียว ไม่แน่ว่าอาจด่าเจ้าสาดเสียเทเสียจนเทียบหญิงคณิกาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากเขาด่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าเลยสักนิด ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้ามีตรงไหนบ้างที่สะอาด? รีบไสหัวไปซะ วันหน้าเมื่อเจ้ากับบัณฑิตยากจนผู้นั้นแต่งงานกัน นายท่านจะมอบทองให้พวกเจ้าสองคนห้าร้อยตำลึงเอง ถือซะว่าเป็นเงินค่าร่วมหลับนอนกับหญิงโสเภณีแล้วกัน”

โจวซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ปากก็เรียกคนเขาว่าเมียน้อย ที่แท้ก็มีใจให้เขาจริงๆ”

สตรีอุ้มผีผาสวมเล็บปลอมเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง

ใบหน้ายิ้มพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่งงาน? ก่อนข้าจะมาที่นี่เคยได้พูดคุยกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงคนหนึ่ง คุยถูกคอกันไม่น้อย พูดถึงเรื่องราวน่าสนใจในยุทธภพ หนึ่งในนั้นก็พูดถึงเรื่องสนมผีผา คงเป็นเพราะบัณฑิตคนนั้นเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว เขาพูดแค่ว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีสตรีไร้ยางอายที่หลงระเริงตนได้มากขนาดนี้ ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าสนมผีผาคนนั้นก็คือคนข้างหมอนของตัวเอง เฮ้อ ในเมื่อเป็นคนเลอะเลือนขนาดนี้ คิดดูแล้วงานแต่งครั้งนี้ก็คงสำเร็จได้ด้วยดี”

สีหน้าของหญิงสาวเศร้าสลด แต่จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยว

เฉินผิงอันใช้ใจมอง ใช้หูฟังโดยที่ไม่มีความร้อนรนกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย

ไม่เพียงแต่ตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนากลางถนน ดูเหมือนว่ากระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในบ้านที่เขาพักก็ถูกยันต์อักษรบ่อพันธนาการเช่นกัน

ชายที่กุมด้ามกระบี่ท่าทางเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ที่ ‘ใกล้มรรคา’ คนที่สามที่เฉินผิงอันเคยพบเจอ สองคนก่อนหน้านี้คือผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวสีเงินและฝานกว่านเอ่อร์ ทว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์แล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์ของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้สูงกว่าไม่น้อย หากดูจากตอนนี้ก็เหมือนว่าจะห่างจากผู้เฒ่าแซ่ติงไม่มากเท่าไหร่

แต่ขนาดหม่าเซวียนยังมีความสามารถที่เก็บไว้ก้นกรุ ก็เห็นได้ชัดว่ายุทธภพแห่งนี้ไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่คิดไว้

หากสืออู่วัตถุฟางชุ่นอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่ใช่ชูอี สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

ตอนนี้สถานการณ์ที่เขาเจอสมกับคำว่าศัตรูล้อมหน้าล้อมหลังอย่างแท้จริง

โจวซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางยาเอ๋อร์ คงต้องรบกวนแล้ว”

หญิงสาวที่สวมรองเท้าเกี๊ยะกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านปู่ก็พูดแล้ว ข้าหรือจะกล้าแอบอู้ แต่เจ้าจำไว้ว่าต้องช่วยข้าด้วย”

หนุ่มปักบุปผาพยักหน้ารับ “ทำลายบุปผางามคือเรื่องที่โหดร้ายอันดับหนึ่งของโลก ข้าโจวซื่อจะไม่มีทางทำให้แม่นางยาเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”

ใบหน้ายิ้มที่สีหน้าแข็งทื่อโยนก้านต้นหญ้าทิ้ง เขาเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้วก็ใช้มือสองข้างนวดคลึงข้างแก้ม เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่แข็งทื่อตายตัวเหมือนเดิมอีกต่อไป “ข้าอยากจะลองชั่งน้ำหนักของเจ๋อเซียนด้วยมือตัวเองดูสักหน่อย”

ลู่ฝ่างร้องเรียก แล้วเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้น เจ้ายังคาดหวังอยากจะได้สิ่งจอมปลอมพวกนั้นอีกรึ? คนหนึ่งก็ถงชิงชิงที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ คนหนึ่งเฝิงชิงป๋ายที่ก้าวรุดหน้าไม่สนอุปสรรคใดๆ บวกกับเจ้าที่มึนๆ งงๆ อีกคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรเลย ต่างคนต่างก็มีวิธีเอาตัวรอด เพียงแค่โชคชะตาของเจ้าแย่กว่าคนอื่นก็เท่านั้น รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจงใจปกปิดความสามารถที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลา เล่นกับไฟระวังมันจะเผาไหม้ตัวเอง”

หม่าเซวียนปล่อยพลังอำนาจให้ไต่ทะยานสู่จุดที่สูงที่สุดในชีวิตของการเล่าเรียนวรยุทธ์ในรวดเดียว ไม่มีเหตุผลให้มัวรั้งรออีก

ความชิงชังความอาลัยที่มีต่อสตรีอุ้มผีผาอาจจะไม่ใช่ของปลอมเสมอไป และการรอจังหวะลงมืออย่างเต็มกำลังนี้ก็ยิ่งเป็นของจริง

เรือนร่างของพยัคฆ์ลงจากภูตัวนั้นขยับเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตจริง เมื่อบนไหล่และแขนของหม่าเซวียนมีแสงสีทองแผ่ขึ้นมาเป็นระลอก เวลาที่หม่าเซวียนกำหมัดซ้าย ตรงร่องนิ้วจึงมีแสงสีทองลอดออกมา

ก้าวหนึ่งก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในชั่วเสี้ยววินาที เหวี่ยงกระแทกหมัดออกไป เสียงพายุคลอเสียงฟ้าร้องก็ดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่กลางอากาศ

เฉินผิงอันไม่ถอย กลับกันยังรุกเข้าหา เขาเอียงศีรษะ ก้มตัวลง ใช้ไหล่ดันแนบประชิดอีกฝ่าย ขณะเดียวกันมือขวาก็กดเข่าของอีกฝ่ายที่กระแทกเข้ามา แล้วดันออกไป ร่างทั้งร่างของหม่าเซวียนถูกดันจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง ทุกก้าวล้วนเหยียบให้พื้นถนนเกิดหลุม โซเซหลายก้าวกว่าจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง

เสียงผีผาดังขึ้นจากสองข้างกายของหม่าเซวียน เส้นใยสีสว่างใสสองเส้นพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันเป็นวงโค้ง

หม่าเซวียนพลันกระทืบเท้ากระโจนไปข้างหน้าอีกครั้ง

ร่างของเฉินผิงอันวูบหายไปมา หลบพ้นการลอบฆ่าของสายผีผามาได้ นอกจากความปราดเปรียวของเรือนกายแล้ว คล้ายว่าถูกอะไรบางอย่างคอยกระชากไปข้างหน้า ถึงได้เร็วจนผิดปกติ

ดวงตาของลู่ฝ่างเป็นประกายวาบ หัวเราะเสียงดัง “หม่าเซวียน ระวังเบื้องหน้า”

หม่าเซวียนชะงักกึก เป็นเหตุให้บนถนนถูกไถคราดเป็นร่องลึกสองเส้น เท้าสองข้างของเขาย่ำลงหนักๆ แขนสองข้างก็ยกขึ้นมาป้องกันเบื้องหน้า

แล้วก็มีหมัดที่น่าเหลือเชื่อหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่แขนของเขาจริงๆ หม่าเซวียนคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล แม่ทัพถือดาบชุดเขียวหนวดยาวที่วาดไว้บนแผ่นหลังพลันลืมตาโพลง

“ไปตายซะ!” หม่าเซวียนแค่หงายหลังเล็กน้อย หนึ่งเท้าเหยียบไปเบื้องหน้า ควงแขนเหวี่ยงหมัดออกไป แขนทั้งข้างที่มีแสงสีทองไหลรินก็ตวัดวาดเป็นภาพหน้าพัดสีทองอยู่กลางอากาศ

ในสายตาของใบหน้ายิ้ม เห็นเพียงว่าคนชุดขาวหิมะใช้มือข้างหนึ่งรับหมัดของหม่าเซวียนแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ ดีดร่างขึ้นสูง ลอยข้ามหัวของหม่าเซวียนมา อีกทั้งยังดีดเท้าเข้าที่ท้ายทอยของหม่าเซวียนหนึ่งที กระโจนเข้าหาสตรีที่ลงมืออย่างลับๆ ล่อๆ ซึ่งหลบอยู่เบื้องหลัง สตรีอุ้มผีผารู้ได้ว่าท่าไม่ดี นิ้วที่อยู่บนเส้นเอ็นจึงขยับลื่นไหลว่องไว ระหว่างสองฝ่ายจึงมีใยแมงมุมสีเขียวมรกตถักทอขึ้นมา

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง ละทิ้งสตรีอุ้มผีผา ตรงดิ่งไปทางฝั่งซ้ายมือ

ซึ่งก็คือใบหน้ายิ้มที่กำลังคลี่ยิ้มน่าสะพรึงกลัว

หากไม่นับรวมลู่ฝ่าง

ในบรรดาคนสองกลุ่มที่เผยกายตรงหน้าตอนนี้ เฉินผิงอันกริ่งเกรงคนท่าทางประหลาดผู้นี้มากที่สุด

ใบหน้ายิ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนต่างก็พูดกันว่าเลือกบีบมะพลับนิ่ม (เปรียบเปรยถึงเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า) เจ้ากลับดีนัก”

เขากางสองแขนออกแล้วทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้า

นาทีถัดมาร่างของใบหน้ายิ้มก็หายวับไป

เฉินผิงอันเปลี่ยนทิศทางอยู่กลางอากาศ ยื่นมือไปคว้าใบหน้ายิ้มที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแล้วถีบเข้าที่ศีรษะด้านหลังของเขาอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

ไม่ต่างจากการใช้ยันต์ย่อพื้นที่

ใบหน้ายิ้มมาปรากฏกายอยู่ด้านหลังอย่างลึกลับอีกครั้ง คราวนี้เขาห่อตัว กางแขนสองข้างออก ปล่อยหมัดสองข้างต่อยเข้าที่จุดไท่หยางสองฝั่งของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกำลังจะลงมือ

คำพูดของลู่ฝ่างที่บอกกับใบหน้ายิ้มอย่างโจ่งแจ้งกลับชิงดังขึ้นมาเสียก่อน “ระวัง เขาจะเอาจริงแล้ว”

ใบหน้ายิ้มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายละทิ้งโอกาสดีเยี่ยมที่จะใช้สองหมัดต่อยศีรษะเฉินผิงอันให้ระเบิดแตก พริบตาเดียวก็ไปยืนอยู่บนถนนหินเขียว

เฉินผิงอันเหมือนเปลี่ยนตำแหน่งกับใบหน้ายิ้ม ฝ่ายหลังไปอยู่บนถนน ส่วนเฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพง

ชำเลืองตามองชายฉกรรจ์กุมด้ามกระบี่ที่ทำลายเรื่องดีของตนถึงสองครั้ง “ทำไมเจ้าไม่ลงมือเสียเลยเล่า?”

ลู่ฝ่างใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ พูดกลั้วหัวเราะ “ล้อมวงรุมเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งกับคนมากมายขนาดนี้ หากแพร่ออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียง”

เฉินผิงอันเงียบงัน

ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แผ่กลิ่นอายความตายเข้มข้น เหมือนกาเหล้าที่เดิมทีเปิดออกแล้ว แต่กลับถูกคนเอาอะไรมาอุดไว้จึงไม่อาจได้กลิ่นจากในกาเหล้าอีกแม้แต่นิดเดียว

ชูอีเหมือนวัวปั้นดินเหนียวที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีความเคลื่อนไหว ความเชื่อมโยงทางจิตกับเฉินผิงอันถูกตัดขาด

ไม่เพียงเท่านี้ ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็สูญเสียประสิทธิผลไปด้วย

ทว่าเมื่อสูญเสียยันต์คุ้มกันกายอย่างจินหลี่ตัวนี้ไป เท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียเงินทุนจากการมองข้ามอาวุธป้องกันกาย แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือไม่มีพันธนาการจากการที่ต้องโคจรปราณวิญญาณไปให้แก่ชุดคลุมอาคมจินหลี่ เหมือนว่าเฉินผิงอันได้ถอดยันต์ลมปราณที่แท้จริงของหยางเหล่าโถวในตอนนั้นออก มือเท้าไร้พันธนาการ ออกหมัดมีแต่จะเร็วยิ่งกว่าเดิม

ชูอีหายตัวไป สืออู่ถูกกักตัวไว้ จินหลี่ไม่มีวิชาอาคมใดๆ

แลกมาด้วยการออกหมัดอย่างเต็มคราบ

การออกหมัดเน้นย้ำในข้อที่ว่าปล่อยเก็บได้ดังใจปรารถนา

และอันที่จริงเฉินผิงอันก็ ‘เก็บ’ ไว้ตลอดเวลา

เพราะสำหรับยุทธภพ เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน รวมไปถึงสิบผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้าของที่แห่งนี้ เขามีแต่ความสงสัยและคลางแคลงใจ

เพียงแต่ว่าคิดไม่ตกก็ส่วนคิดไม่ตก เพราะบางเรื่องก็ยังต้องลงให้เขามือทำ

ลู่ฝ่างเริ่มให้การชี้แนะอีกครั้ง “หม่าเซวียน อย่าตายนะ”

หม่าเซวียนตั้งท่าหมัด แขนซ้ายขวาทั้งสองข้างล้วนกลายเป็นสีทอง ระหว่างที่หายใจจะมีแสงสีทองถูกพ่นออกมาเป็นกลุ่ม

อริยะบุ๋นหนวดยาวชุดคลุมเขียวที่อยู่ด้านหลังของเขา หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เหมือนมีชีวิตจริง ปลายดาบของเขามีลูกแสงสีขาวหิมะลูกหนึ่งส่องแสงสว่างขึ้นมา เส้นใยเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ กระจัดกระจายไปทั่วร่าง เพียงไม่นานดวงตาทั้งคู่ของหม่าเซวียนก็กลายเป็นแสงสีเงินจางๆ

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่กลายมาเป็นเหมือนเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักใหญ่ แสยะปากกล่าวว่า “จินกังมิพ่ายร่างนี้ เดิมทีคิดไว้ว่าจะเอามาลองใช้กับบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างราชครูจ้ง ไอ้หนู เจ้ามันร้ายจริงๆ มาๆๆ ต่อยลงมาบนร่างของนายท่านได้เต็มที่ หากข้าขมวดคิ้วก็ถือว่าข้าแพ้…”

“ได้เลย”

ครั้นแล้วเฉินผิงก็อันยกเท้าถีบ

ในสายตาของทุกคนปรากฏภาพลวงตาราวกับถนนใหญ่ทั้งเส้นถูกเท้านี้เหยียบให้ถล่มลงไปหลายฉื่อ

หนึ่งหมัดของกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ไม่มีการกักเก็บพลังกระแทกโครมลงบนหน้าอกของหม่าเซวียน

แรงกระแทกทำให้ภาพวาดอริยะบู๊เครายาวชุดเขียวที่อยู่ด้านหลังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา

เรือนกายสูงใหญ่กำยำของหม่าเซวียนส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วปลิวลิ่วกระเด็นออกไป

เฉินผิงอันตามติดราวกับเงาตามตัว

แล้วก็ปล่อยไปอีกหมัด ร่างของหม่าเซวียนบิดเบี้ยวเหมือนธนูโค้ง การออกหมัดครั้งนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนองศาเล็กน้อย เป็นเหตุให้ร่างของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับคู่หูที่อยู่ด้านหลังพอดี

“ลู่ฝ่างช่วยข้าด้วย!”

สตรีอุ้มผีผาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง หลังจากส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ไม่ได้อยู่เฉยรอความตาย ไม่เสียแรงที่นางเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทั้งไม่ได้ถอยหนี แล้วก็ไม่ได้หลบซ้ายหลบขวา แต่ดีดปลายเท้าพุ่งพรวดไปด้านหน้า พยายามจะหลบอยู่ด้านหลังหม่าเซวียนที่มีร่างจินกังมิพ่าย ในใจคิดว่าไอ้หมอนั่นคงไม่ถึงกับต่อยหมัดทะลุร่างของหม่าเซวียนมาได้

ขอแค่เขาหยุดชะงักเล็กน้อย เชื่อว่าลู่ฝ่างต้องออกกระบี่ทันที

ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของสตรีอุ้มผีผาออก หมัดที่สามถึงได้กระแทกลงบนหน้าท้องของหม่าเซวียน

ร่างทองไม่เพียงแต่แตกสลายเพราะถูกแรงกระเทือน ดวงตาทั้งคู่ทีเดิมทีเป็นสีเงินอ่อนของหม่าเซวียนก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่าหวาดกลัว

แผ่นหลังของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับสตรีอุ้มผีผาที่ตอนแรกนึกว่าจะได้เปรียบแต่กลับกลายเป็นเข้าเนื้ออย่างแรง

สายเอ็นของผีผาถูกแรงชนจนเกิดเสียงโกลาหลไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำแล้วก็ถีบเท้าสองข้างตัดสลับกันถอยกรูดอยู่กลางอากาศ

แต่ก็ยังช้าเกินไป

หมัดของเฉินผิงอันต่อยทะลุผีผาที่อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาว กระแทกเข้าที่หน้าท้องของนางอย่างแรง เหวี่ยงแขนเป็นครึ่งวงกลม ทั้งหญิงสาวและผีผาที่แตกพังต่างก็ถูกพลังของหมัดบิดหมุน จากนั้นก็เหวี่ยงเข้าไปชนผนังด้านหนึ่ง เรือนกายแอบอิ่มนั้นแทบจะฝังลงไปในผนังทั้งหมด เป็นตายไม่รู้ชัด ผีผาในอ้อมอกร่วงหล่นบนพื้นอย่างหมดสิ้นซึ่งพลัง

ลู่ฝ่างที่อยู่ห่างออกไปไกลคลี่ยิ้มน้อยๆ ยังคงไม่ออกกระบี่

แม้ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมองเขาเป็นศัตรูที่แท้จริงก็ตาม

เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง “ใบหน้ายิ้ม จำไว้ว่าอย่ามึนงงสับสนไปกับความเร็วในการออกหมัดทุกครั้งของเขาเด็ดขาด เพราะเขายังเร็วกว่านี้ได้อีก พยายามอย่าให้เขาเข้ามาประชิดตัว อาวุธลับหรือยาพิษอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่สู้เอาออกมาลองดู”

ลู่ฝ่างแสร้งทำท่าเป็นเข้าใจในฉับพลัน “อ้อ ใช่แล้ว คนที่เขาอยากฆ่าจริงๆ แท้จริงแล้วคือแม่นางยาเอ๋อร์และคุณชายใหญ่โจว”

ถูกวิชาหมัดของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนจิตใจ ยาเอ๋อร์หญิงสาวจากลัทธิมารไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะฝืนใจยืนชมเรื่องสนุกอีกแล้ว ต่อให้หลังจบเรื่องจะถูกเจ้าลัทธิเฒ่าซักไซ้เอาความผิด แต่อย่างไรก็คงดีกว่ามีจุดจบอเนจอนาถอย่างหม่าเซวียน

ฝ่ายโจวซื่อก็ยิ่งตัดสินใจได้นานแล้วว่าจะนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือ

แต่ลู่ฝ่างกลับพูดออกมาแบบนี้ คนทั้งสองจึงประหวั่นพรั่นพรึง

แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันขยับตัวเข้าหาพวกเขาในแนวขวาง

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือยาเอ๋อร์ที่สวมรองเท้าเกี๊ยะ

นางกำลังจะขยับหลบกลับต้องเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

กำแพงด้านหลังของนางระเบิดออกอย่างไร้ลางบอกเหตุ กระบี่ยาวที่เรียวบางอย่างถึงที่สุดเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มือทั้งคู่ของนักฆ่ากุมด้ามกระบี่ จ้วงแทงรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ปลายกระบี่แทงทะลุมาจากแผ่นหลังของหญิงสาว มือสองข้างที่จับกระบี่แนบอยู่กับแผ่นหลังของยาเอ๋อร์ นักฆ่าห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง หญิงสาวที่น่าสงสารจึงถูกผลักไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้

ราวกับหน้าท้องของหญิงสาวมีกระบี่ไร้ฝักยาวสามฉื่อผุดออกมา

ปลายกระบี่แทงเข้าหาเฉินผิงอัน

ตรงเข้าสู่จุดจงถิง

จุดจงถิงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคางมังกร ตำแหน่งตรงกับเส้นกึ่งกลางเบื้องหน้าของเฉินผิงอันพอดี

ลู่ฝ่างกำด้ามกระบี่อย่างเงียบเชียบ

แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยออก

ชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด เฉินผิงอันก็หายตัวไป

เขาใช้ยันต์ฟางชุ่นแผ่นสุดท้าย

นักฆ่าคนนั้นปล่อยมือข้างหนึ่งที่กุมกระบี่มากดท้ายทอยของหญิงสาวแล้วผลักไปด้านหน้าอย่างแรง เรือนกายอรชรไถลออกจากตัวกระบี่ ล้มฟุบหน้าคว่ำลงบนพื้นดินที่ห่างออกไปหลายจั้ง กระดูกสันหลังขยับน้อยๆ น่าจะกระอักเลือดไม่หยุด เลือดไหลนองเปียกซึมอาภรณ์ด้านหลัง หญิงสาวดิ้นรนลุกขึ้น พยายามจะพลิกตัวกลับมา แต่เพิ่งจะงอข้อศอกได้เล็กน้อยก็ร่วงกระแทกกลับลงบนพื้นถนนอย่างแรงอีกครั้ง

นักฆ่าคนนั้นคือบุรุษหนุ่มเปลือยเท้า ม้วนแขนเสื้อพับขึ้น เขาหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่กำลังปรับลมหายใจ พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ได้ยินว่าขอแค่สังหารเจ้าก็จะได้สมบัติอาคมไปครอง ข้าก็เลยมา”

เขาสลัดกระบี่หมุนควงอย่างสง่างาม “ข้าชื่อเฝิงชิงไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ เลื่อนสู่อันดับสิบคนคือส่วนหนึ่ง บวกกับส่วนที่แลกมาด้วยหัวของเจ้า ก็น่าจะได้กำไรก้อนโตแล้ว”

เฝิงชิงไป๋กล่าวอย่างจนใจ “น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารเจ้าได้ด้วยกระบี่เดียว หากปะทะกันซึ่งๆ หน้า ข้าก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเสมอไป แต่ไม่เป็นไร ข้าสามารถร่วมมือกับลู่ฝ่างได้ เขาเป็นคนเดียวของที่นี่ที่มีคุณสมบัติเป็นเซียนกระบี่ ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปแน่นอน”

หม่าเซวียนที่อัญเชิญเทพเข้าร่างได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ บัดนี้ร่างทองพังทลาย

หญิงสาวอุ้มผีผาที่ร่างจมหายเข้าไปในผนัง แน่นิ่งไม่ขยับ ตรงมุมกำแพงยังมีเสียงหินแตกร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง

หญิงสาวงดงามที่มีชื่อเสียงในลัทธิมารซึ่งแอบประคับประคองเชื้อพระวงศ์อย่างลับๆ มานานหลายปีนอนจมอยู่ในกองเลือด รองเท้าเกี๊ยะและเท้าสีหิมะขาวผ่องคู่นั้นสะดุดตามากเป็นพิเศษ

แต่ยังมีลู่ฝ่าง เฝิงชิงไป๋ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ ใบหน้ายิ้ม และหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ

เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กท่องอยู่ในใจว่า “หมัดแล้วหมัดเล่า ต่อยหัวสุนัขของพวกเขาให้ระเบิด ข้าจะได้ไปถอดเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกเขามา แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องขายได้เงินเยอะ”

เด็กหญิงมองสภาพน่าสังเวชของหญิงสาวคนนั้นอยู่ไกลๆ โดยเฉพาะรองเท้าเกี๊ยะคู่นั้นที่นางอดมองหลายครั้งไม่ได้ ในใจคิดว่าแต่งตัวเป็นจุดสนใจขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จะตายเร็ว

เฉินผิงอันกำสองหมัดแน่น จากนั้นก็คลายออก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง

ฝึกวิชาหมัดมานานขนาดนี้ คงได้เวลาที่จะปล่อยออกไปบ้างแล้ว

……

บนยอดเขากู่หนิว จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงหนักคล้ายไม่กล้าแน่ใจนัก “เป็นเช่นนี้จริงรึ? หากสังหารคนนั้นผู้นั้น นอกจากจะได้รายชื่อใหม่เอี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายชื่อ ยังจะได้โชคลาภอีกสามส่วน? เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นความลับของแต่ละแคว้นและเอกสารคดีลับของหอจิ้งหย่าง ทุกๆ ครั้งที่ระยะเวลาหกสิบปีจะมาถึง ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่จะเป็นแผนของติงอิงหรือไม่?”

อวี๋เจินอี้ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ซื่อบริสุทธิ์กำลังใช้มีดแกะสลักสลักซี่พัดไม้ไผ่หยกซี่หนึ่งอย่างตั้งใจ เหมือนคนลุ่มหลงในรักที่ปฏิบัติต่อผิวพรรณของสตรีผู้เป็นที่รัก ได้ยินคำถามของจ้งชิวก็ไม่ได้ตอบ แต่จ้องมองลวดลายเล็กละเอียดบนด้ามไม่ไผ่ตาไม่กะพริบ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา นี่สำหรับอวี๋เจินอี้ที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแล้ว ต้องไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน

ในฐานะปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นรองแค่ติงอิง อากาศร้อนหรือหนาวไม่อาจทำอะไรอวี๋เจินอี้ได้นานแล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าตอนอายุเจ็ดสิบปีเขาได้ตำราลับของเซียนมาเล่มหนึ่ง จึงบรรลุเจตนารมณ์สวรรค์มาหลายสิบปี เชี่ยวชาญเวทคาถาเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีคนพูดจาอย่างมาดมั่นว่าเคยเห็นอวี๋เจินอี้ขี่เมฆทะยานหมอก ขี่นกกระเรียนขี่นกหลวนด้วยตาตัวเอง และช่วงเวลานั้นรูปลักษณ์ภายนอกของอวี๋เจินอี้ก็เริ่มเปลี่ยนจากผู้เฒ่าผมขาวมาเป็นชายฉกรรจ์ เด็กหนุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นเด็กอย่างในทุกวันนี้

หลังจากปิดด่านมาสิบปี เมื่อฝ่าด่านสำเร็จ ในที่สุดคนและฟ้าก็รวมเป็นหนึ่ง คนทั้งโลกต่างก็หวังให้อวี๋เจินอี้ผู้นำฝ่ายธรรมะต่อสู้กับติงอิงสักครั้ง ทางที่ดีที่สุดคือสังหารอีกฝ่ายให้ตายไป คืนความสงบสุขให้แก่โลก ฮ่องเต้หลายพระองค์จะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ขนาดนอนหลับก็ยังฝันว่าถูกเขาตัดหัว ปรมาจารย์ของทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมก็จะได้ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ แม้แต่พวกบุคคลยิ่งใหญ่ของลัทธิมารก็ยังหวังให้บรรพบุรุษเฒ่านิสัยประหลาดผู้นี้รีบตายไปเร็วๆ หรือไม่ก็รีบสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ในตำนานอย่างการบินทะยานขึ้นฟ้า สรุปก็คืออย่าได้อยู่ในโลกมนุษย์อีกเลย แปดสิบปีแล้ว ควรจะเปลี่ยนคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของอันดับหนึ่งได้แล้ว

นอกจากบุรุษอย่างอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวที่เป็นทั้งสหายและเป็นทั้งคู่แค้นกันแล้ว บนยอดเขากู่หนิวยังมีหญิงสาวหน้าตางามเพริศพริ้งที่สวมชุดฮุยอีอันสูงศักดิ์ ชุดเฮยอีนี้เป็นสีเขียวเข้ม คือชุดพิธีการสูงสุดของฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน จะสวมใส่ก็ต่อเมื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญเช่นการประชุมราชสำนัก งานพิธีบวงสรวง เป็นต้น บนยอดเขาเวลานี้มีราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่เคารพกฎมากที่สุด ถ้าเช่นนั้นสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ก็ต้องเป็นโจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนเท่านั้น

นางยังมีตัวตนอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ นั่นคือเจ้าของหอจิ้งหย่างคนปัจจุบัน รับผิดชอบจัดอันดับยอดฝีมือในใต้หล้า ยี่สิบปีต่อหนึ่งครั้ง

โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ปรารถนาในความงามของโจวฮองเฮาผู้นี้มานานแล้ว หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอว่า หากไม่เป็นเพราะจ้งชิวเฝ้าอยู่ข้างวังหลวง บิดาของเขาก็คงเข้าวังไปแย่งชิงตัวคนมานานแล้ว

อวี๋เจินอี้วางไม้ไผ่หยกในมือชิ้นนั้นลง ยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาครั้งหนึ่ง ลมหายใจนั้นเป็นเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่บนดวงหน้าของเด็กน้อยเนิ่นนานไม่ยอมสลายไป เขาตอบคำถามของจ้งชิวก่อน “น่าจะไม่ผิด แต่ติงอิงผู้นี้คาดเดาจิตใจได้ยาก เมื่อเทียบกับร่วมแรงกันสังหารมือกระบี่หนุ่มที่โผล่มากะทันหันผู้นั้นแล้ว แผนรับมือของติงอิงหลังจากนี้ต่างหากที่พวกเราควรระวังมากกว่า”

อวี๋เจินอี้เพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “ข้าไม่วางใจสถานการณ์ทางตรอกจ้วงหยวน ราชครูจ้งทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปจับตามองด้วยตัวเอง”

เรียกขานว่าราชครูจ้ง

ดูท่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะบางเบามากจริงๆ

จ้งชิวขมวดคิ้วพูด “แผนล้อมสังหารที่ตรอกจ้วงหยวน ไม่เพียงแต่มีติงอิงคอยเฝ้าพิทักษ์ ลู่ฝ่างยังพกกระบี่ไปด้วยตัวเอง มีอะไรให้ต้องไม่วางใจอีก?”

อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่วางใจติงอิง แล้วก็ไม่วางใจลู่ฝ่าง”

สีหน้าของจ้งชิวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ลู่ฝ่างผู้นี้เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา มีอะไรให้ต้องไม่วางใจ? เพียงแค่เพราะเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับมือกระบี่ผู้นั้นน่ะรึ?”

บุคคลอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า เจ้าประมุขพรรคหูซาน พระอาจารย์ของกษัตริย์แคว้นซงไล่ เทพเซียนผู้เฒ่าในสายตาของคนบนโลกผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาทุกเรื่อง แต่ความเย็นชาห่างเหินที่แผ่ออกมาจากกระดูกนั้น ใครก็ตามที่ยิ่งสนิทสนมกับเขาก็จะยิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

อวี๋เจินอี้กล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่ไป ข้าไปเองก็ได้”

จ้งชิวแค่นเสียงเย็นหนึ่งที ก่อนจะพุ่งตัวลงไปยังตีนเขาเหมือนอินทรีบินโฉบโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองโจวฮองเฮา

กลายเป็นเงาดำเล็กๆ หนึ่งจุดที่เด้งขึ้นเด้งลงอยู่ตรงตีนเขาหลายครั้ง เพียงไม่นานก็หายไปจากภูเขากู่หนิว

โจวฮองเฮาทอดถอนใจ “แข็งแกร่งดุจจ้งชิวก็ยังไม่สามารถบังคับลมได้เหมือนเซียนที่บันทึกไว้ในตำราโบราณ เจ้าล่ะ อวี๋เจินอี้ ตอนนี้ทำได้หรือยัง?”

อวี๋เจินอี้เงียบเป็นคำตอบ

โจวซูเจินหัวเราะ “ต่อให้ไม่ได้ขี่เมฆบังคับลม แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังสง่างามสูงส่งอยู่ดี”

ตอนที่นางยังเป็นเด็กสาวได้พบจ้งชิวและอวี๋เจินอี้ครั้งแรกในตลาดต่างแคว้น ฝ่ายแรกฉายประกายคมกริบ ฝ่ายหลังเก็บงำประกาย แต่ก็ยังทำให้นางตื่นตะลึงระคนชื่นชมได้อยู่ดี

อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ร่างของเขาสูงไม่ถึงหน้าอกของโจวฮองเฮา แต่เมื่อเขาลุกขึ้นยืน โจวซูเจินกลับรู้สึกเหมือนถูกไล่ลงไปยังตีนเขา ได้แต่แหงนหน้ามองคนผู้นี้ที่อยู่บนยอดเขา

อวี๋เจินอี้ถาม “สิบคนใต้หล้า แน่ใจแล้วหรือว่าไม่มีผิดพลาด?”

โจวซูเจินพยักหน้ารับ “แน่ใจแล้ว”

จู่ๆ นางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ “เหมือนการสอบใหญ่ที่ราชสำนักมีต่อขุนนางยิ่งนัก เพียงแต่ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นนี้”

อวี๋เจินอี้เอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปไกล ท่าทางอ้างว้าง

ฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนที่อำพรางตนได้อย่างลึกล้ำถามคำถามข้อหนึ่ง “ถงชิงชิงไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่?”

อวี๋เจินอี้เงียไปครู่หนึ่ง “คงมีแค่ติงอิงที่รู้กระมัง”

โจวซูเจินหันหน้ากลับมามองเทพเซียนที่สูงส่งเหนือใครผู้นี้ “ขอบเขตวรยุทธ์ของติงอิงสูงแค่ไหนกันแน่?”

อวี๋เจินอี้ตอบด้วยประโยคประหลาด “ไม่รู้ว่าข้ารู้หรือไม่รู้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version