Skip to content

Sword of Coming 317

บทที่ 317 ศึกใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น

เมื่อได้พบกับพ่อครัวเฒ่าที่ปิดบังชื่อแซ่คนนั้นแล้ว รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนและอาจารย์ของเขาที่ลักษณะคล้ายลิงผอมแห้ง รวมไปถึงฝ่านกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินก็จากมาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้พอได้พบกับพ่อครัวเฒ่าซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรกเข้าจริงๆ ผู้เฒ่าร่างผอมเตี้ยกลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม เวลานี้กลับเริ่มบ่นพึมพำ บอกว่าเสียแรงที่พ่อครัวเฒ่ามีวรยุทธ์เลิศล้ำ แต่สภาพจิตใจกลับไม่ได้เรื่อง ถึงกับทำลายวรยุทธ์ของตัวเองเพียงแค่เพื่อชีวิตที่สงบสุข

เว่ยเหยี่ยนระอาใจกับอีกฝ่ายยิ่งนัก เขาทั้งไม่คล้อยตามและไม่โต้เถียง ปล่อยให้อาจารย์บ่นไป ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ส่ายศีรษะโคลงเคลง บอกให้รัชทายาทดูไว้เป็นตัวอย่าง อย่าได้เลียนแบบนิสัยไม่แสวงหาความก้าวหน้าของพ่อครัวเฒ่าเด็ดขาด หาไม่แล้วต่อให้วรยุทธ์จะสูงส่งแค่ไหน ชั่วชีวิตก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์เท่านั้น

พูดติดลมซะนานกว่าผู้เฒ่าที่เหมือนลิงผอมแห้งจะสังเกตเห็นว่ากุมารทองกุมารีหยกคู่นี้เงียบงัน ไม่มีใครพูดเออออกับเขา จึงจากไปอย่างขุ่นเคือง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ไม่อยู่ขัดจังหวะการกระหนุงกระหนิงกันของพวกเจ้าสองคนแล้ว’

เว่ยเหยี่ยนและฝานกว่านเอ่อร์หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นคนทั้งสองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าทางทิศใต้แทบจะเวลาเดียวกัน รัชทายาทเอ่ยประโยคหนึ่งว่าตามข้ามาแล้วพุ่งทะยานนำไปยังหลังคาแก้วมรกต ฝานกว่านเอ่อร์ตามไปติดๆ นั่นก็คืออาคารที่สูงที่สุดในตำหนักองค์รัชทายาท คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน พอจะมองเห็นกระบี่แหวกฟ้าดินของลู่ฝ่างได้เลือนๆ พอดี พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่ตระการตา ชวนให้คนทอดถอนใจชื่นชมไม่หยุด

เว่ยเหยี่ยนใจสั่นสะท้าน เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่ของยอดเขาเหนี่ยวคั่น กระบี่นี้เกรงว่าคงไม่ด้อยว่าสุยโย่วเปียนในประวัติศาสตร์เลย ไม่รู้ว่าใครที่ทำให้ลู่ฝ่างรับมืออย่างจริงจังเช่นนี้ได้ หรือว่าเจอกับมารเฒ่าติงเข้าให้แล้ว?”

ฝานกว่านเอ่อร์ส่ายหน้า “เหมือนจะไม่ใช่”

เว่ยเหยี่ยนกล่าวขออภัย “เทพธิดาฝาน เดิมทีควรจะไปชมศึกใกล้ๆ เป็นเพื่อนเจ้า แต่ด้วยสถานะของข้า ไม่อาจทำให้ข้ากระทำตามอำเภอใจตัวเองได้”

ฝานกว่านเอ่อร์พยักหน้ารับ “พระวรกายขององค์รัชทายาทล้ำค่าดุจทองคำ วันหน้ายังต้องสืบทอดบัลลังก์ของสกุลเว่ย…”

ไม่รอให้ฝานกว่านเอ่อร์เอ่ยจบ ผู้เฒ่าร่างคล้ายลิงก็พลิ้วกายมาจากทิศไกล เอ่ยกำชับเว่ยเหยี่ยนว่า “อย่าได้ไปรนหี่ตายเชียว ในเมื่อลู่ฝ่างออกกระบี่แล้วก็คงไม่มีสักกี่คนที่สามารถทำให้เขาหยุดมือได้ การตีกันของเทพเซียนเช่นนี้ เดิมทีก็ห้ามไม่ให้คนนอกแอบมองอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับที่มารเฒ่าติงยังชื่นชอบสังหารพวกคนที่คอยชมศึกตามใจชอบอีกด้วย”

เว่ยเหยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “อาจารย์ เมื่อครู่นี้ท่านยังบอกว่าพ่อครัวเฒ่าขี้ขลาดดั่งหนู ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการฝึกยุทธ์ที่ต้องรุดหน้าอย่างห้าวหาญอยู่เลยไม่ใช่หรือ”

ผู้เฒ่าพูดฉุนๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมอนั่นอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ส่วนเจ้าอายุสักเท่าไหร่กันเชียว? พ่อครัวเฒ่าอายุปูนนั้น อะไรที่ควรจะเสพสุขก็ได้เสพสุขมาพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถติดตัว ก็ควรจะหาคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจมาสู้กันอย่างอึกทึกครึกโครม จะดีจะชั่วก็ให้เป็นเหมือนสุยโย่วเปียนที่แม้การบินทะยานจะล้มเหลว แต่ก็ยังสร้างชื่อเสียงอันดีงามทิ้งไว้ในยุทธภพนานนับร้อยปี! เจ้าเว่ยเหยี่ยนยังเด็กนัก ฝีมือยังไม่ยอดเยี่ยมมากพอ คิดจะรนหาที่ตาย นับว่าเร็วไป”

เว่ยเหยี่ยนสนิทกับผู้เฒ่ามาก อีกฝ่ายเป็นทั้งอาจารย์ที่เข้มงวด แล้วก็ยิ่งเหมือนผู้อาวุโสในบ้านที่ปากร้ายใจดี ปกติเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะพูดคุยกันเหมือนสหาย จึงเอ่ยหยอกเย้าว่า “ใช่ๆๆ อาจารย์ท่านพูดถูกทุกอย่าง เหตุผลทั้งหมดใต้หล้านี้ล้วนขึ้นอยู่กับท่าน”

ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ถูกสิ เหตุใดทางฝั่งนั้นฟ้าร้องเสียงดังแต่ฝนกลับตกนิดเดียว (เปรียบเปรยว่าคำพูดคำจา ท่าทางภายนอกเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง แต่แท้จริงแล้วความสามารถกลับน้อยนิด) ไม่เหมือนลักษณะการลงมือของเซียนกระบี่ลู่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นเลย”

ผู้เฒ่าอยากรู้เกินกว่าจะอดทนไว้ได้ “ในใจคันยิบๆ นัก ข้าต้องไปแอบดูสักหน่อย”

ร่างของผู้เฒ่ากระโดดไปตามยอดแหลมบนหลังคาไม่กี่ครั้ง พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลเป็นร้อยจั้ง สุดท้ายกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ หนึ่งจุด

รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนนั่งอยู่บนสันหลังคา ส่วนฝานกว่านเอ่อร์กลับไม่ได้นั่ง ยังคงทอดสายตามองไปยังทิศไกล เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมถอนสายตากลับคืน

เว่ยเหยี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เทพธิดาฝาน ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ถงเซียนซืออยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือยัง?”

ฝานกว่านเอ่อร์เผยสีหน้าเหนื่อยล้าและเลื่อนลอย ส่ายหน้ากล่าวว่า “พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ข้าไม่เคยพบอาจารย์มาก่อน”

เว่ยเหยี่ยนไม่กล้าเชื่อจริงๆ

ชาติกำเนิดและภูมิหลังของฝานกว่านเอ่อร์เหมือนมีเมฆหมอกบดบังมาโดยตลอด ต่อให้เป็นเว่ยเหยี่ยนที่นางและหอจิ้งซินคอยให้ความช่วยเหลือก็ยังรู้สึกเหมือนเดินอยู่กลางเมฆหมอกเช่นกัน รู้เพียงว่าฝานกว่านเอ่อร์คือบุคคลที่มีความสามารถของหอจิ้งซินรุ่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง แต่เรื่องความยิ่งใหญ่ของหอจิ้งซินเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่ในราชสำนักของแคว้นหนันเยวี่ยนเท่านั้นที่มีหมากของหอจิ้งซินอยู่ สี่แคว้นใต้หล้า ทั่วทั้งบนและล่างราชสำนักต่างก็มีเงาร่างของสตรีจากหอจิ้งซินผลุบๆ โผล่ๆ ให้เห็น

ไม่พูดถึงทุ่งราบกว้างนอกด่านอันเป็นพื้นที่รกร้างกันดาร แคว้นหนันเยวี่ยนถือเป็นถิ่นฐานของราชครูจ้งชิว ส่วนแคว้นซงไล่ก็มีเทพเซียนอย่างอวี๋เจินอี้นั่งบัญชาการณ์ เป่ยจิ้นเป็นของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น แล้วก็มีส่วนของถงชิงชิง แต่ถงชิงชิงแทบจะไม่เคยเผยโฉม ราวกับว่าอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์เสียยิ่งกว่าลู่ฝ่างซะอีก เรื่องราวในยุทธภพที่เกี่ยวกับถงชิงชิง หนึ่งตะกร้าก็บรรจุไม่หมด บ้างก็บอกว่านางเป็นคนรู้ใจของติงอิงสมัยยังหนุ่ม เนื่องจากรักแปรเปลี่ยนเป็นแค้นจึงแยกทางกันเดิน บางคนก็พูดเหมือนมีหลักมีฐานว่า อันที่จริงถงชิงชิงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่ง เคยเป็นองค์หญิงของเป่ยจิ้น แล้วก็มีคนบอกว่าเดิมทีถงชิงชิงคือบุรุษที่งดงามดุจนางฟ้า เมื่อฝึกวิชาของตระกูลเซียนจึงเปลี่ยนมาเป็นหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง แต่กลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม รูปโฉมจึงไม่แก่ชรา

เมื่อเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋เจินอี้ออกจากด่านครั้งนี้ได้ปรากฎตัวด้วยภาพลักษณ์ของเด็กน้อยอย่างเหนือการคาดการณ์ จึงมีคนเริ่มคาดเดาว่าถงชิงชิงอาจจะกลับคืนไปเป็นคนชรา หรือกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง บนโลกนี้ไม่มีสาวงามเลอโฉมอีกแล้ว

สำหรับเรื่องพวกนี้ เว่ยเหยี่ยนล้วนไม่เชื่อ

ฝานกว่านเอ่อร์หันหน้ามาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเป็นหญิงสาวตระกูลยากจนในแคว้นซงไล่ แต่ศิษย์พี่หญิงในสำนักท่านหนึ่งที่ท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพถูกใจฐานกระดูกของข้า นางจึงรับข้าเป็นศิษย์แทนอาจารย์ แล้วพาข้าไปอยู่ที่หอจิ้งซิน ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุหกขวบ ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น กราบรูปวาดของอาจารย์ที่แขวนอยู่ในหอสามครั้งก็ถือว่าทำพิธีกราบอาจารย์เสร็จสิ้นแล้ว ในหอเก็บตำราลับมากมายที่เจ๋อเซียนทิ้งไว้ เวทวานรขาวแบกกระบี่ของข้าก็คือหนึ่งในนั้น มันไม่ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ของหอจิ้งซิน”

ฝานกว่านเอ่อร์ยิ้มจืดเจื่อน “ในยุทธภพนี้ คาดว่าข้าคงเป็นคนที่อยากพบ ‘ถงชิงชิง’ มากที่สุดแล้วกระมัง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ฝานกว่านเอ่อร์ก็หัวเราะ พนมมือสองข้างก้มหัวต่ำเอ่ยขออภัย “เรียกชื่อของอาจารย์โดยตรง ขอท่านโปรดอย่าถือสา อย่าถือสา”

เว่ยเหยี่ยนหัวเราะขำกับท่าทางเด็กๆ ที่หาได้ยากของเทพธิดาฝาน แล้วก็ให้ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์คืนนั้นบนสะพานที่นางเอามือตีหัวสิงโตหินบนราวสะพานเล่น

เมื่อเทียบกับเทพธิดาฝานแห่งหอจิ้งซินแล้ว เว่ยเหยี่ยนชอบฝานกว่านเอ่อร์ที่เป็นแบบนี้มากกว่า

และเวลานี้เองตรงขั้นบันไดด้านล่างก็มีเงาของสายลับตำหนักองค์รัชทายาทปรากฏตัวขึ้นมา เว่ยเหยี่ยนพลิ้วกายลงไป ครู่หนึ่งก็กลับมาบนหลังคาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเครียดขรึม “หอจิ้งหย่างก่อเรื่องอีกแล้ว รายชื่อที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุดถูกนำไปเผยแพร่ข้างนอก เวลานี้เกรงว่าคนทั้งเมืองหลวงคงรู้แล้วว่าสิบคนใต้หล้าใหม่ล่าสุดมีใครบ้าง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเหยี่ยนก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาไล่อ่านรายชื่อทั้งสิบคนนั้นออกมา “ไท่ซ่างเจ้าลัทธิมารติงอิง เจ้าประมุขพรรคหูซานอวี๋เจินอี้ โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ เฉินผิงอัน จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน คนลับมีดหลิวจง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน ภิกษุอวิ๋นหนีวัดจินกัง ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งเป่ยจิ้น จอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย”

สามคนสุดท้าย บวกกับเฉินผิงอันผู้นั้น รวมเป็นสี่คนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในรายชื่อ ล้วนเป็นคนหน้าใหม่ทั้งหมด

ฝานกว่านเอ่อร์ถามอย่างตะลึง “อาจารย์ของข้าล่ะ ลู่ฝ่างล่ะ?”

เว่ยเหยี่ยนไร้คำพูดให้ตอบโต้

เขาจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหนเล่า

……

หลังจากที่ลุกขึ้นยืนจากซากปรักหักพังแล้ว จ้งชิวก็สะบัดชุดสีเขียวสลัดฝุ่นผงทั้งหมดที่อยู่บนร่างทิ้ง

เวลาเดียวกันนั้นหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารที่นั่ง ‘รับลม’ อยู่ใต้กำแพงก็รู้สึกเพียงว่ามีสายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านใบหน้าไป จากนั้นเส้นสายตาก็พลันมืดสลัว พอจ้องมองไปชัดๆ โจวซื่อถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ส่วนยาเอ๋อร์กลับอารมณ์ซับซ้อน ทั้งกลัวว่าตัวเองจะถูกแขกไม่ได้รับเชิญท่านนี้หมายตา ถูกล่อลวงจิตใจจนกลายไปเป็นหนึ่งในกลุ่มหญิงงามของตำหนักคลื่นวสันต์ ขณะเดียวกันก็วางใจลงได้ อย่างน้อยตอนนี้ตนก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว

หลังจากที่โจวเฝยปรากฏตัว เหล่าสาวงามของตำหนักคลื่นวสันต์ที่ต่างก็มีฝีมือและศักยภาพอยู่ในระดับขั้นที่สองของยุทธภพก็พากันพลิ้วกายลงตรงจุดที่ห่างไปไม่ไกล ประดุจนางฟ้าโปรยดอกไม้

โจวเฝยมองบุตรชายที่สภาพอเนจอนาถแล้วส่ายหน้า “มีความสามารถเพียงเท่านี้ ต่อให้พาเจ้ากลับไปบ้าน แต่เจ้าจะเอาอะไรไปสู้กับเจียงเป่ยไห่ได้ เจ้าน่ะ จงอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายไปอีกหกสิบปีเถอะ ไม่อย่างนั้นออกไปก็มีแต่ต้องตาย ถ้าไม่ถูกเจียงเป่ยไห่เล่นงานจนตายก็ถูกข้าที่โมโหเจ้าตีจนตาย อีกหกสิบปีให้หลังหากเลื่อนสู่สามอันดับแรกของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ได้แล้ว ข้าจะมาพาเจ้าไป หากแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังทำไม่ได้ เจ้าก็จงแก่ตายอยู่ที่นี่ไปเถอะ”

โจวซื่อมีสีหน้าตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก จึงทำเพียงรับฟังเงียบๆ

โจวเฝยชำเลืองมองยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาแล้วเอ่ยเหน็บแนม “เจ้าคงกำลังคิดว่าไม่ได้ออกไปก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตเคียงคู่อยู่กับสตรีผู้เป็นที่รักสินะ?”

โจวซื่อที่ถูกคนมองความคิดออกอย่างทะลุปรุโปร่งหน้าแดงเล็กน้อย

โจวเฝยยื่นมือคว้าจับกลางอากาศ ยาเอ๋อร์พลันถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกระชากตัวไป จากนั้นโจวเฝยก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ข้างกายมีชุดกระโปรงสีเขียวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันสวมลงไปบนร่างของยาเอ๋อร์ด้วยตัวเอง หลังจากที่ชุดกระโปรงประหลาดสวมลงมาบนร่างก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าบาดแผลบนร่างของยาเอ๋อร์ประสานตัวหายดีอย่างรวดเร็ว เลือดสดไหลกลับเข้าไปในร่าง ลมปราณทั่วร่างที่แต่เดิมเป็นเหมือนน้ำบ่าทะลักทำนบก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลอย่างมั่นคง

โจวเฝยค้อมตัวลงพูดกับโจวซื่อ “เจ้าอยู่ต่อ แต่สตรีที่เจ้ารักกลับต้องจากไป ข้าจะรอเจ้าหกสิบปี หากเจ้าทำตามสัญญาได้สำเร็จก็มีคุณสมบัติที่จะติดตามข้าไปยังสำนักกุยหยกใบถงทวีป และวันนั้นเจ้าก็ไปสู่ขอสตรีผู้นี้ได้เลย แต่หากเจ้าล้มเหลว ครั้งหน้าที่พบกันในตำหนักคลื่นวสันต์ เจ้าก็ได้จะเห็นนางสวมชุดแต่งงานกับตาตัวเอง จากนั้นก็ต้องเรียกนางว่ามารดา”

โจวซื่อรีบร้อนลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ตกลง!”

โจวเฝยยิ้มกว้าง ลูบศีรษะโจวซื่อเบาๆ “บุตรชายคนดี”

สตรีที่ถูกตัดสินชะตาชีวิตเพียงแค่ชั่วเวลาดีดนิ้วมือรู้สึกเหมือนร่างจมหายเข้าไปในอุโมงค์น้ำแข็ง

เฝิงชิงป๋ายยืนอยู่ห่างไปไกลมาก เขาไม่กล้ามาแหยมกับโจวเฝยผู้นี้เลยสักนิด

ทุกครั้งที่โจวเฝยพูดจบหนึ่งประโยค เฝิงชิงป๋ายก็จะขยับเท้าออกห่างไปเรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบ

การ ‘ล่องเรือผ่านขุนเขานับหมื่น’ ของเจ๋อเซียน ยิ่งผู้ฝึกตนมีแผนการยิ่งใหญ่เท่าไหร่ สิ่งที่ต้องละทิ้งก็ยิ่งมีมาก และสติปัญญาก็ยิ่งเปิดออกช้าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นลู่ฝ่าง เพราะว่าตอนอยู่ใบถงทวีปเขาเป็นเซียนดินก่อกำเนิดแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นการมาเยือนที่แห่งนี้ย่อมมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจิตมาร เคาะด่านหัวใจ

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ลู่ฝ่างก็ยังต้องเดินทีละก้าวจากเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ประสา กราบอาจารย์ผู้เป็นยอดฝีมือระดับสองเล่าเรียนวิชา บรรลุเวทกระบี่ได้ด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดถึงแม้จะอยู่ภายใต้การพันธนาการจากกฎเกณฑ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ถูกกักตัวอยู่ในกรงขังขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปราณวิญญาณเบาบาง เขาก็ยังสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่แห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ได้ นี่ก็คือความแข็งแกร่งของลู่ฝ่าง

เฝิงชิงป๋ายรู้ดีว่าตัวเองสู้ไม่ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด สถานะเจ๋อเซียนของเขาได้มาโดยบังเอิญ แม้ว่าจิตวิญญาณจะไม่ครบถ้วน ทิ้งกายหยาบไว้ที่ใบถงทวีปเช่นเดียวกับลู่ฝ่าง แต่ความทรงจำส่วนใหญ่ก็ยังหลงเหลืออยู่ ได้แต่อาศัยเนื้อหนังมังสาของคนอื่นในพื้นที่มงคลดอกบัวใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ลู่ฝ่างพุ่งตรงไปที่ความตั้งใจเดิม แสวงหามรรคา พิสูจน์มรรคา ส่วนเฝิงชิงป๋ายนั้นถอยมาเลือกในอันดับรองลงมา นั่นคือใช้เวทคาถาแสวงหามรรคา

ส่วนโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ที่ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงในใบถงทวีปคือใคร มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นเจ๋อเซียนประเภทเดียวกับเฝิงชิงป๋าย อีกทั้งยังน่าจะฉกฉวยโอกาสได้มากกว่าเขา เห็นได้ชัดว่ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมหามรรคา แต่มาเพื่อท่องเที่ยวผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น ทว่ามาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว? มาอยู่ครั้งหนึ่งก็นานเกือบห้าสิบปี ถ้าอย่างนั้นโจวเฝยเป็นใครกันแน่ถึงได้มีกำลังวังชาและทรัพย์สินเงินทองมากมายถึงเพียงนี้?

สำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี?

เฝิงชิงป๋ายทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด บวกกับคนหนุ่มชุดขาวที่โผล่มากะทันหันผู้นั้น ตนช่างดวงซวยอย่างถึงที่สุด

ในอดีตโชควาสนาของพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ช่วงชิงมายากถึงเพียงนี้

ติงอิง โจวเฝย อวี๋เจินอี้ จ้งชิว ลู่ฝ่าง บวกับคนหนุ่มผู้นั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่หากเอาไปวางไว้ในทุกๆ ช่วงเวลาหกสิบปีก็ล้วนมีหวังว่าจะได้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า โดยเฉพาะคนสามคนที่ยังไม่เผยตัวตนอย่างติง โจว อวี๋ ต่อให้เผชิญหน้ากับเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด หลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลัทธิมาร สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิง จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ พวกเขาก็ล้วนสามารถงัดข้อด้วยได้!

โจวเฝยที่กำลัง ‘คุยเล่น’ อยู่กับบุตรชาย เฉินผิงอันที่ยังคงคุมเชิงกับจ้งชิว บวกกับเขาเฝิงชิงป๋าย

บนถนนเส้นนี้มีเจ๋อเซียนยืนอยู่สามคน

แต่ทันใดนั้นก็มีคนสองคนเดินเคียงไหล่กันมากั้นขวางทางถอยหนีของเฝิงชิงป๋าย

หลิวจงคนลับมีดที่เปิดร้านขายผ้าแพรต่วนอยู่ในเมืองหลวง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานผู้พิชิตทุ่งหญ้ากว้างนอกด่าน

ในมือของเฉิงหยวนซานถือทวนเหล็กหนึ่งอัน สายตาจับจ้องมาที่จอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นเขม็ง

ส่วนหลิวจงคนลีบมีดกลับมองโจวเฝย แล้วค่อยชำเลืองมองเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า คล้ายว่ากำลังเลือกคู่ต่อสู้

เฝิงชิงป๋ายถอนหายใจ กำกระบี่ยาวในมือแน่น ปวดหัวอย่างถึงที่สุด หากที่พึ่งใหญ่ของตนยังไม่มา ตนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว ต่อให้ที่พึ่งใหญ่ไม่มา ขอแค่พี่น้องที่รักมาก็พอแล้ว

เฝิงชิงป๋ายดวงตาเป็นประกาย คลี่ยิ้มถูกใจ

ห่างออกไปไกลมีชายชุดดำลักษณะสุภาพสง่างาม ตรงเอวห้อยมีดยาวคนหนึ่งเดินมา

เฝิงชิงป๋ายยิ้มพลางโบกมือทักทาย “พี่ใหญ่ถัง มาแล้วหรือ?”

บุรุษวัยกลางคนพยักหน้ารับน้อยๆ

เฉิงหยวนซานใจกระตุก รู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย

ผู้ที่มาคือเสาหลักแห่งเป่ยจิ้น แม่ทัพใหญ่หลงอู่ ถังเถี่ยอี้ ในฐานะแม่ทัพอันดับหนึ่งของปัจจุบัน น้อยครั้งนักที่เขาจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกด้วยตัวเอง คนบนโลกจึงรู้แค่ว่าชาวบู๊ที่มีชาติตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้ชอบใช้มีด ทว่าวิชามีดตื้นหรือลึก ตบะสูงหรือต่ำ กลับไม่มีใครรู้ นอกจากจะนำทัพได้เชี่ยวชาญดุจเทพสงครามแล้ว ถังเถี่ยอี้กลับถูกผู้คนกล่าวขานถึงเรื่องส่วนตัวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งมากกว่า เล่าลือกันว่าคนผู้นี้ชื่นชอบการเขียนคิ้วมากเป็นพิเศษ เขาวาดคิ้วให้ภรรยาและอนุในรูปแบบต่างๆ และเมื่อผลงานของเขาปรากฏสู่ตลาด สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงของเป่ยจิ้นต่างก็พากันลอกเลียนแบบ

เฉิงหยวนซานเอ่ยเบาๆ “หลิวเหล่าเอ๋อร์ อย่าได้ประมาท ถังเถี่ยอี้ผู้นี้ใช้มีดได้อย่างเผด็จการ เชี่ยวชาญการตัดสินแพ้ชนะในมีดเดียว เป็นตายในสองมีด”

หลิวจงกล่าวอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ใช้มีด? ข้าไม่สนใจเขาหรอก”

เขาชี้ไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกล “เจ้าเด็กนั่น เป็นของข้า”

หลิวจงไม่แยแสเฉิงหยวนซานอีก เขาเดินดิ่งไปข้างหน้า แม้แต่เฝิงชิงป๋ายก็ไม่สนใจ เอาแต่เดินหน้าไปอย่างเดียว มือหนึ่งลูบคลำเส้นผมสีดอกเลาเบาๆ อีกมือหนึ่งซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ

ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานต้องรับมือกับยอดฝีมือถึงสองคน

แต่แล้วเฉิงหยวนซานก็ทำในสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน เขาถือทวนเดินไปข้างถนน เปิดทางให้กับถังเถี่ยอี้ ยื่นมือบอกเป็นนัยว่าเชิญไปรวมตัวกับเฝิงชิงป๋ายได้ตามสบาย เขาจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด

ตอนที่ถังเถี่ยอี้เดินผ่านข้างกายเฉิงหยวนซาน ยังไม่ลืมหันหน้าไปยิ้มถามเขาว่า “จะไม่รับมีดข้าสักสองทีจริงๆ หรือ? แค่สองมีดเท่านั้น รวดเร็วมากเลยล่ะ”

เฉิงหยวนซานหลับตาทำสมาธิไม่สนใจอีกฝ่าย

เฝิงชิงป๋ายรู้สึกนับถือปี้เซิ่งท่านนี้ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีอารมณ์ทำสมาธิได้อีก

ถังเถี่ยอี้เดินตรงไปหาเฝิงชิงป๋าย พูดเหมือนตำหนิ “คราวก่อนที่พบกัน ตกลงกันไว้แล้วว่าครั้งนี้เจ้าแค่มาจับปลาในน้ำขุ่นเท่านั้น เหตุใดถึงกลายเป็นรบแนวหน้าไปได้?”

เฝิงชิงป๋ายหัวเราะร่า “เสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวยอย่างไรล่ะ”

เมื่อปีก่อนคนทั้งสองรู้จักกันที่เมืองชายแดนแห่งหนึ่งของเป่ยจิ้น ตอนนั้นถังเถี่ยอี้เพิ่งจะยกทัพปราบปรามคนเถื่อนของทุ่งหญ้ากว้างให้ถอยร่นกลับไป จึงได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนทั้งสองเพิ่งพบกันก็เหมือนสนิทกันมาหลายปี เฝิงชิงป๋ายยังถึงขั้นอยู่ในกองทัพที่ถังเถี่ยอี้เป็นผู้นำนานเกินครึ่งปี เขาร่วมศึกใหญ่ครั้งหนึ่งด้วยสถานะของทหารสอดแนม หากไม่เป็นเพราะเฝิงชิงป๋ายยืนกรานจะท่องเที่ยวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำต่ออีกครั้ง ถังเถี่ยอี้ก็คิดจะขอตำแหน่งแม่ทัพจากฮ่องเต้แคว้นเป่ยจิ้นมาให้เขา

เฝิงชิงป๋ายได้พบกับคนที่คุ้นเคยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”

ถังเถี่ยอี้หันหน้าไปมองปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่ยืนนิ่งไม่ขยับก่อน แล้วค่อยหันกลับมาถลึงตาใส่เฝิงชิงป๋าย “อวี๋เจินอี้ป่าวประกาศแล้วว่าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ขนาดข้าก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ตัวเจ้าเองจะไม่รู้เลยรึ? ตอนนี้มีคนมากเท่าไหร่ที่อยากได้ชีวิตน้อยๆ ของเจ้า เจ้านึกว่ามีแค่เฉิงหยวนซานคนเดียวจริงๆ รึไง?!”

เฝิงชิงป๋ายเม้มปากกลั้นยิ้ม

แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ เรื่องราวนี้มากพอจะให้พวกเขาสองพี่น้องที่มาพบกันอีกครั้งในต่างถิ่นดื่มสุรารสเลิศร่วมกันหลายกา

แม้ถังเถี่ยอี้จะเกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าต่อให้เป็นในใบถงทวีป เฝิงชิงป๋ายก็ไม่เคยพบใครที่ถูกคอถูกใจเขาได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย พรสวรรค์เลิศล้ำ ฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นคำชื่นชมที่งดงามสักแค่ไหนก็ล้วนเอามาใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่ในอกอัดแน่นไปด้วยตำราพิชัยสงครามผู้นี้ได้

บทประพันธ์เป็นเพียงเรื่องเล็ก ยุทธภพก็เพียงเท่านี้

ต้องรู้ว่าบทประพันธ์ยิ่งใหญ่คือตำราพิชัยสงคราม วรยุทธ์ยิ่งใหญ่คือยุทธศาสตร์ทางทหาร

นี่ก็คือความคิดของถังเถี่ยอี้

เกรงว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวคงมีแค่ถังเถี่ยอี้คนเดียวที่คิดเช่นนี้

เฝิงชิงป๋ายคิดจะเล่นแง่สักหน่อย จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ขอแค่พี่ใหญ่ถังไม่ปรารถนาในศีรษะนี้ของข้า…”

ไม่รอให้เฝิงชิงป๋ายพูดจบ

เส้นสายตาของเขาก็ถูกกลบทับไปด้ายพายุมีดสีขาวหิมะที่ท่วมฟ้าถมดิน

นาทีสุดท้ายในชีวิต เฝิงชิงป๋ายมีเพียงความเลื่อนลอย

เจ๋อเซียนเฝิงชิงป๋ายถูกฟันออกเป็นสองท่อนคาที่ ร่างแต่ละครึ่งแยกกันกระแทกลงบนผนังสองฝั่งของถนน

ถังเถี่ยอี้เก็บมีดใส่ฝักช้าๆ

นั่นก็คือ ‘เลี่ยนซือ’ มีดปีศาจที่สูญหายไปหลายปีเล่มนั้น

หนึ่งในสี่โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ เทียบเคียงได้กับกวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของติงอิง ชุดกระโปรงสีเขียวของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน และร่างอรหันต์ทองคำของวัดป๋ายเหอ

สีหน้าของถังเถี่ยอี้ไม่มีทั้งความทุกข์และความสุข เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินทางมา เพิ่งจะได้ยินว่าเจ้าเลื่อนขั้นกลายเป็นสิบคนล่าสุดของใต้หล้า อยู่ในอันดับล่างสุด อันดับสิบ ตัวข้าเองก็อยู่บนรายชื่อนี้เช่นกัน นั่นคืออันดับที่เก้า เฝิงชิงป๋าย เจ้าคงเข้าใจว่าหลังจากได้พูดคุยกับอวี๋เจินอี้เป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่งแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้จนถึงท้ายที่สุด ซึ่งเดิมทีก็เป็นเช่นนั้นจริง และที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาช่วยเจ้าจริงๆ แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือ เจ้าไม่ควรอยู่อันดับสิบ ข้าอันดับเก้า สองพี่น้องไม่ควรอยู่บนรายชื่อในเวลาเดียวกัน”

ถังเถี่ยอี้ถอนหายใจน้อยๆ “เจ๋อเซียนก็ตายได้เหมือนกันนี่นะ”

หยิบกระบี่ที่อยู่บนพื้นเล่มนั้นมาห้อยไว้ตรงเอว ถังเถี่ยอี้จงใจเปิดเผยช่องโหว่ของตัวเองเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา

เพราะว่าบนโลกแทบไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดคนไหนที่เคยเห็นวิชามีดของเขามาก่อน คนที่เคยเห็นก็ล้วนตายภายใต้คมมีดของถังเถี่ยอี้หมดแล้ว

เมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากที่ฮ่องเต้ของราชสำนักเป่ยจิ้นเกือบถูกผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพลอบฆ่าได้สำเร็จ ก็เริ่มสติวิปลาส จับตัวยอดฝีมือระดับหนึ่งระดับสองหลายสิบคนไปอย่างลับๆ ซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็ถูกส่งมาเป็นตัวฝึกปรือวิชามีดให้กับแม่ทัพใหญ่หลงอู่ท่านนี้ เป็นเหตุให้ยุทธภพของแคว้นเป่ยจิ้นหมองหม่น ทรัพยากรผู้คนขาดแคลนกลางคัน ลู่ฝ่างที่อยู่บนยอดเขาเหนี่ยวคั่นไม่สนใจเรื่องทางโลก หอจิ้งซินที่มีรากฐานลึกล้ำก็ให้ความสำคัญกับการแทรกซอนกำลังเข้าไปยังราชสำนักของแคว้นอื่น เห็นได้ชัดว่ามีปณิธานอยู่ที่ใต้หล้า หาใช่ที่ยุทธภพไม่ จึงไม่เคยสอดมือเข้าแทรกเรื่องการเข่นฆ่าและบุญคุณความแค้นในยุทธภพแคว้นเป่ยจิ้น

ถังเถี่ยอี้อยู่ที่เป่ยจิ้น ในมือกุมกำลังทหารชายแดนที่เก่งกล้ามากที่สุดหลายแสนนาย เวลาว่างก็มักจะจับสาวงามมาวาดคิ้ว ชีวิตอิสระเสรีเกินจะเปรียบ

เขาเป็นอย่างที่เฉิงหยวนซานกล่าวจริง วรยุทธ์ที่เขาเรียนมาชั่วชีวิตนี้มีเพียงสองมีดเท่านั้น หนึ่งมีดอานุภาพเกรียงไกรทำลายได้แม้แต่เหล็กกล้า หนึ่งมีดถอยออกมาเพื่อหาจุดอ่อนของศัตรูแล้วค่อยรุกหน้าโจมตี

ดังนั้นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ตบะเทียบเท่าถังเถี่ยอี้ไม่ได้ ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว ปรมาจารย์มากมายที่ขอแค่ตบะไม่สูงกว่าถังเถี่ยอี้ก็อันตรายมากเช่นกัน

น่าเสียดายก็แต่ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่พอเห็นช่องโหว่ของถังเถี่ยอี้แล้วกลับไม่ได้ละโมบในคุณความชอบพุ่งเข้ามาเสี่ยงอันตราย ผู้เฒ่าเพียงเดินจากไปเงียบๆ

เผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งเป่ยจิ้นท่านนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่มีพลังให้ต้านทาน กลับกันเลยด้วยซ้ำ เขาคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะสูงมาก แต่หากเจอกับสองมีดของถังเถี่ยอี้เข้าอย่างจัง ตนย่อมต้องบาดเจ็บไม่น้อย ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงเป็นคราวที่คนอื่นมาเด็ดหัวตนบ้างแล้ว

ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นเฝ้าอยู่ด้านหลัง คนรอดีดหนังสติ๊ก

ถังเถี่ยอี้พลันก้มหน้าลงมอง เห็นเพียงว่าลวดลายที่สลักอยู่บนฝักมีด ‘เลี่ยนซือ’ ในมือเล่มนั้นเหมือนมีปรอทเงินไหลริน แผ่ประกายแสงห้าสีจางๆ จากนั้นก็ไล่ตามด้ามมีดและฝ่ามือของเขา ขยายลามมาถึงไหล่ คอของถังเถี่ยอี้ ถังเถี่ยอี้ยังคงกำด้ามมีดไว้ตลอดเวลา รอจนประกายแสงเหล่านั้นผลุบหายเข้าไปในผิวหนัง เส้นเอ็นและกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ถังเถี่ยอี้ถึงรู้สึกว่าในที่สุดเลี่ยนซือที่เพิ่งได้มาโดยบังเอิญเมื่อไม่นานนี้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของตนอย่างแท้จริงแล้ว

โจวเฝยที่อยู่ห่างออกไปจุ๊ปากพูด “โชคไม่เลวเลยจริงๆ สังหารเจ๋อเซียนคนหนึ่ง ได้รับสมบัติอาคมที่ยอมรับตัวเองเป็นเจ้านายไปอีกชิ้น กลายเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ลำดับในรายชื่อต้องขยับขึ้นหน้าไปอีกแน่”

โจวเฝยหันหน้าไปยิ้มตาหยีสั่งสอนโจวซื่อบุตรชายและยาเอ๋อร์ “เห็นหรือยัง เป็นคนควรเป็นเช่นนี้ รอจนนาทีสุดท้ายแล้วค่อยลงมือถึงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นยิ่งกระโดดโลดเต้นออกไปเสนอหน้าเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งตายอนาถมากเท่านั้น พวกเจ้าลองดูสองตะพาบเฒ่าอย่างติงอิงและอวี๋เจินอี้ พวกเขาปรากฏตัวแล้วหรือยัง? ยังใช่ไหมล่ะ อืม และยังมีถงชิงชิงนางมารเฒ่าแห่งหอจิ้งซินอีกคนที่หลบซ่อนอำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งนัก ไม่ว่าใครก็หานางไม่เจอ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ มีเจ๋อเซียนที่ไหนบ้าง พอมาอยู่ที่นี่แล้วต้องใช้ชีวิตหนีตายแบบนี้ ขนาดติงอิงเองก็ยังหาตัวนางไม่พบมาหลายปีแล้ว ความสามารถในการแสวงหาโชคและหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้าย นางคืออันดับหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ”

โจวเฝยหัวเราะเสียงฝาดเฝื่อน

มาเจอกับบิดาที่นิสัยประหลาดเช่นนี้ เขาโจวซื่อไม่กลายเป็นบ้าก็ถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว

เพื่อช่วยท่านอาลู่ผู้นั้นทำลายจิตมาร ต้องทำเรื่องสกปรกโสมมมากมาย อันที่จริงโจวซื่อเองก็มองออกว่า ไม่ว่าจะเป็นสาวงามหรืออำนาจ บิดาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด

ปีนั้นตอนที่เขายังเป็นเด็กเคยเห็นท่านอาลู่บุกเข้ามาในตำหนักคลื่นวสันต์กับตาตัวเอง บิดาของเขายืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจ

และระหว่างคนทั้งสองยังมีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ยินยอมพร้อมกระโจนสู่ความตายมายืนขวางไว้เพื่อปกป้องบิดา

นางก็คืออาจารย์แม่ที่ท่านอาลู่ให้ความเคารพนับถือมากที่สุด

บิดาโจวเฝยเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด เขาผลักหญิงสาวที่ลุ่มหลงในรักคนนั้นออก เดินขึ้นหน้าไปทีละก้าว ปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุแผ่นหลังไปทีละชุ่น ในสายตาของบิดามีเพียงลู่ฝ่าง จนกระทั่งใบหน้าแทบจะแนบชิดกับลู่ฝ่างถึงได้หยุดเดิน แล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ลู่ฝ่าง ตื่นหรือยัง?”

โจวซื่อถอนหายใจ

นี่ก็คือการฝึกตนของตระกูลเซียนบ้านเกิดบิดา ช่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก

ยาเอ๋อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยิ่งเงียบงัน

อาจารย์ของนาง หรือก็คือเจ้าลัทธิมารลูกศิษย์เพียงคนเดียวของติงอิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อปีก่อน หลังกลับมาถึงลัทธิ ไม่ว่าจะรักษาตัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่มองดูร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยทรุดโทรม พลังชีวิตไหลหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนตายของวีรบุรุษในสายตายาเอ๋อร์ผู้นี้กลับประหลาดยิ่งนัก ‘เจินเหรินอยู่บนโลก โดนไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่จม แล้วเซียนเหรินล่ะ? ข้าเองก็เคยเห็นมาแล้ว’

ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิ สำหรับเจ๋อเซียนที่ไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจนพวกนี้ นางไม่ได้มีอคติและความเกลียดแค้นมากนัก นางถึงขั้นไม่ฝันใฝ่ถึงการบินทะยานที่กล่าวถึงในตำนาน นางหลงรักโลกมนุษย์อันเป็นบ้านเกิดของตน คิดแค่อยากจะงัดข้อกับฝานกว่านเอ่อร์ที่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา พรสวรรค์หรือจิตใจทะเยอทะยานล้วนไม่แพ้ให้ตน ประคับประคองสนับสนุนองค์ชายรองให้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็รวบรวมสี่แคว้นให้เป็นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางเป็นฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน เป็นมารดาของแผ่นดินก็ดี หรือจะให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำยุทธภพรุ่นใหม่ต่อจากติงอิง อวี๋เจินอี้ก็ช่าง นางล้วนพึงพอใจมากแล้ว

เพียงแต่ว่าครั้งนี้หอจิ้งหย่างกับ ‘เทพเทวา’ ท่านนั้นกลับเลือกภูเขากู่หนิวของแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นสถานที่บินทะยาน ส่วนนางดันถูกท่านปู่ผู้นั้นหาตัวพบ กลายมาเป็นทหารแนวหน้า

นางเศร้าใจและขมขื่นอย่างยิ่ง อดหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหลังนั้นในตรอกไม่ได้

อาจารย์ปู่ของข้าหนอ ทำไมท่านไม่ออกมาทำอะไรสักหน่อยเล่า?

ถังเถี่ยอี้จากไปแล้ว เพราะเจอกับโจวเฝย เขาไม่มีความมั่นใจมากพอ ต่อให้ได้ครอบครองมีดเลี่ยนซือที่สมบูรณ์แบบ ลางสังหรณ์ก็ยังบอกกับเขาว่าปะทะกับโจวเฝย มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น

ก็เหมือนกับที่เมื่อหลายปีก่อนพวกปรมาจารย์น่าสงสารทั้งหลายต้องกลายมาเป็นหินลับมีดเมื่อเจอกับเขาถังเถี่ยอี้

ดังนั้นเขาจึงไปหาเรื่องปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานแทน

แต่ที่ทำให้ถังเถี่ยอี้โมโหก็คือเจ้าหมอนั่นกลับดอดหนีไปก่อนแล้ว ทั้งยังเก็บลมปราณ กลายเป็นเหมือนปลาที่ลงสู่แม่น้ำอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้

ถังเถี่ยอี้เคียดแค้นอยู่ในใจ หากเป็นเมืองหลวงแคว้นเป่ยจิ้น เฉิงหยวนซานมีแต่ต้องรอความตายเท่านั้น

เขาสามารถโยกย้ายกองทัพของทั้งเมืองไล่ล่าปรมาจารย์คนใดก็ได้ที่หล่นจากอันดับรายชื่อ

แน่นอนว่าความคิดที่จะสังหารติงอิงกับอวี๋เจินอี้นั้น ถังเถี่ยอี้ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่น้อย ไม่มี แล้วก็ไม่กล้ามี

ครั้งนี้เขาแอบออกจากเป่ยจิ้นมาแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเงียบเชียบ และแทบทุกก้าวล้วนอยู่ในแผนการของอวี๋เจินอี้ บางทีอาจจะนานยิ่งกว่านั้น นั่นคือเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาได้มีดปีศาจเลี่ยนซือเล่มนี้มาครอบครอง

ถังเถี่ยอี้ไม่ได้ปรารถนาในการคว้าแสงเงินแสงทองบินทะยานเพื่อไปเยือนบ้านเกิดของเซียนอะไรทั้งนั้น เพราะแค่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีพื้นที่มากพอให้เขาแสดงความสามารถของตัวเองแล้ว!

……

ติงอิงกับเด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่าง คนหนึ่งนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่ง คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือที่สั่นสะท้าน

หลังจากที่ติงอิงรู้ว่าถงชิงชิงไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรก เขาก็ถอนหายใจ หันหน้ามาเอ่ยกับเด็กชายยิ้มๆ ว่า “ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้นช่าง…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นมารร้ายใหญ่อย่างติงอิงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะวิจารย์ถงชิงชิงอย่างไรถึงจะถูกต้องที่สุด

ติงอิงรู้จักถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินดีกว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้

หนึ่งเพราะคนทั้งสองอายุเท่ากัน เป็นคนรุ่นเดียวกัน อีกทั้งยังรู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว ติงอิงคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์อีกคนหนึ่งตามหลังหลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมาร อายุยังน้อยก็เลื่อนขั้นเป็นสิบคนหลังของใต้หล้า ดังนั้นจึงท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังมานานแล้ว สถานะของถงชิงชิงในเวลานั้นคล้ายกับฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินในเวลานี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์ที่วางแผนทุกก้าวย่าง กุมเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ในกำมือแล้ว อาจารย์ของนาง ถงชิงชิงคือผีขี้ขลาดอย่างเต็มตัว เมื่อถูกบีบให้ต้องขึ้นเป็นเจ้าหอจิ้งซินคนถัดไป นางกลับหน้าด้านอยู่ในสำนักเฉยๆ ไม่ยอมออกไปแสวงหาช่วงชิงใต้หล้ามาให้แก่สำนัก ติงอิงใจกล้าไม่เกรงใคร มีครั้งหนึ่งเขาแอบลอบเข้าไปในหอจิ้งซิน ไปเยือนศาลาชมจันทร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม ผลคือเจอกับถงชิงชิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในศาลา นางขดตัวพิงราวระเบียง เด็กสาวกำลังพร่ำพูดระบายความในใจ ไม่ทันสังเกตเห็นติงอิงเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการตำหนิว่าอาจารย์ของนางใจร้ายใจดำ คิดจะขับไล่นางออกจากสำนัก ตำหนิศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงที่โง่เกินไป ไม่รู้จักตั้งใจเรียนวรยุทธ์ ถึงขนาดเอาชนะตนที่แอบอู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มนับนิ้วพูดถึงยอดฝีมือทั้งหลายในยุทธภพว่าพวกเขาร้ายกาจอย่างไร ดุร้ายแค่ไหน สุดท้ายแม้แต่ยอดฝีมือระดับสองนางก็ไม่ปล่อยผ่าน รู้จักแต่ละคนดีราวกับเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง เสมือนว่าคนพวกนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ร้อยปียากจะพานพบ…

ติงอิงรู้สึกเหมือนเห็นผีเข้าจริงๆ ไฉนใต้หล้าถึงมีสตรีที่กลัวตายได้ขนาดนี้

ถึงอย่างไรถงชิงชิงก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ขยับเข้าใกล้ยี่สิบคนของใต้หล้า ในที่สุดนางก็สังเกตเห็นติงอิง จากนั้นนางก็ทำท่าเหมือนคนเห็นผีเช่นกัน

ประโยคแรกที่นางพูดกับติงอิงคือประโยคที่แฝงไว้ด้วยการสะอื้น บอกว่าขอแค่ไม่ฆ่านาง นางก็จะแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

แน่นอนว่าถงชิงชิงคือสาวงามคนหนึ่ง นางงดงามน่าหลงใหลยิ่งกว่าลูกศิษย์อย่างฝานกว่านเอ่อร์ และโจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนมากนัก

ทว่าต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ติงอิงจดจำได้แม่นยำที่สุดก็คือสีหน้าของถงชิงชิงในเวลานั้น น้ำตาคลอดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่น ท่าทางอ้อนวอนที่อ่อนแอบอบบางคล้ายกวางสาวในป่าลึกที่พบเจอเข้ากับนายพรานถือมีดพร้าโดยบังเอิญ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาติงอิงหลงใหลในการฝึกวรยุทธ์ ไม่เคยมีความรักฉันท์ชายหญิง กับถงชิงชิงเองก็ไม่มีริ้วคลื่นความรักใดๆ เกิดขึ้น ทว่านิสัยของถงชิงชิง รวมไปถึงสีหน้าของนางในศาลาจิ้งซินปีนั้นกลับยากที่จะทำให้ติงอิงลืมเลือนได้

การพบกันครั้งนั้นไม่ได้มีปัญหาใดเกิดขึ้น ติงอิงไปที่หอเก็บตำราของหอจิ้งซินแล้วขโมยตำราลับมาเล่มหนึ่ง แล้วจึงหลบหนีออกไปอย่างเงียบเชียบ

หลังจากที่ติงอิงจากไปแล้ว ถงชิงชิงที่ตกใจก็รีบกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง ไม่แม้แต่จะนำข่าวที่มีคนบุกรุกเข้ามาไปบอกใคร

ภายหลังติงอิงเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในศึกโกลาหลของแคว้นหนันเยวี่ยนเมื่อหกสิบปีก่อน ติงอิงช่วงชิงกวานดอกบัวสีเงินชิ้นนั้นมาได้ กลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ภายหลังยังสังหารเจ๋อเซียนอีกหลายสิบคน ได้รู้ความลับของพวกเขาคนแล้วคนเล่า ระหว่างนี้ก็มีครั้งหนึ่งที่ติงอิงได้บังเอิญเจอกับถงชิงชิง ช่วงเวลานั้นเกรงว่านางคงไม่มีหน้าจะอยู่ต่อในหอจิ้งซินอีกแล้วถึงได้เริ่มออกมาท่องยุทธภพ ทว่าเรื่องราวไม่ราบรื่นดังใจปรารถนา อีกทั้งนางยังมีรูปโฉมงดงามสะดุดตา จึงถูกเจ้าสำนักปิงฝูเหมินซึ่งเป็นหนึ่งในสามลัทธิมารเวลานั้นจับตัวไป หากไม่เป็นเพราะติงอิงเดินทางผ่านปิงฝูเหมินพอดีแล้วช่วยถงชิงชิงไว้ได้ เกรงว่าเทพธิดาท่านนี้คงกลายไปเป็นที่ระบายความกำหนดของเจ้าหมูอ้วนผู้นั้นไปแล้ว ติงอิงไม่ได้ช่วยนางเปล่าๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาสอบสวนเค้นถามก็ได้รู้ความลับที่สำคัญมากมายของหอจิ้งซิน รวมไปถึงเวทลับชั้นเยี่ยมหลายสิบวิชาที่นางจดจำได้อย่างแม่นยำ เกินครึ่งล้วนเป็นวิชาที่ใช้รักษาชีวิตและวิชาเผ่นหนีเอาตัวรอดทั้งสิ้น หรือไม่ก็คือวิชาแปลงโฉมที่มหัศจรรย์ พลังการสังหารยิ่งใหญ่ นางได้เห็นผ่านตาแล้วก็ไม่เคยลืม สามารถจดจำได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่อาจเล่าเรียนจนเป็นแม้แต่วิชาเดียว…

หากไม่เป็นเพราะติงอิงไม่ได้ต้องการรู้ทั้งหมด เกรงว่านางคงแล่นกลับไปที่หอจิ้งซินแล้วขโมยวิชาลับตระกูลเซียนมาให้เขาอีกหลายๆ เล่ม อีกทั้งยังตบอกรับรองด้วยดวงตาคลอน้ำตาเจียนจะหยดว่า พวกมันสามารถทำให้ติงอิงไร้ศัตรูทัดเทียม มีวิชายุทธ์เลิศล้ำผงาดค้ำฟ้า รวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งเดียว…

นางคงลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นติงอิงก็ได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว

หลายปีต่อมา หลังจากที่ถงชิงชิงกลับหอจิ้งซินไปสืบทอดตำแหน่งเจ้าหอ ติงอิงได้ไปหานางครั้งหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เจอตัวนาง เขารู้เลยว่าผีขี้ขลาดผู้นี้น่าจะฝึกวิชาลับไม่แพร่งพรายของหอจิ้งซินได้สำเร็จ สามารถทำให้สตรีที่แก่ชรากลับคืนสู่ความเยาว์อีกครั้ง อีกทั้งฝีมือยังเหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำ อายุยิ่งน้อยเท่าไหร่ ฝีมือก็ยิ่งลึกล้ำเท่านั้น แต่แน่นอนว่านางย่อมสูญเสียรูปโฉมที่งามล่มบ้านล่มเมืองแต่เดิมไป ทว่าสำหรับถงชิงชิงแล้ว เกรงว่าค่าตอบแทนก้อนนี้คงไม่นับเป็นอะไรได้ แล้วก็จริงอย่างที่ติงอิงคาดการณ์ไว้จริงๆ สุดท้ายถงชิงชิงก็ได้เลื่อนสู่สิบอันดับในใต้หล้า

ดังนั้นการมาเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ ติงอิงจึงคอยจับตามองเด็กทุกคนที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ในตัว

หามาหกเจ็ดคนแล้วก็ล้วนไม่ใช่ถงชิงชิง

ที่น่าสนใจก็คือไม่แน่เสมอไปว่าเด็กเหล่านี้เรียนวรยุทธ์แล้วจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง แต่หากฝึกวิชาตระกูลเซียนของเจ๋อเซียนย่อมต้องรุดหน้าได้พันลี้ในหนึ่งวันอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าติงอิงไม่มีความสนใจจะเลี้ยงดูพวกนางให้เป็นอวี๋เจินอี้หรือโจวเฝยคนถัดไป

สุดท้ายติงอิงก็มาเจอกับเฉาฉิงหล่างที่อยู่ใต้เปลือกตาตัวเอง เพราะจู่ๆ เขาก็เกิดความคิดประหลาดอย่างหนึ่งว่า ต่อให้เขาจะเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่ติงอิงรู้สึกว่าด้วยนิสัยเพื่อรักษาชีวิตแล้วล้วนทำได้ทุกวิธีการของถงชิงชิง บวกกับวิชาลับประหลาดมากมายของหอจิ้งซิน โดยเฉพาะอาคมเซียนหลายเล่มที่เกี่ยวพันกับการถ่ายโอนวิญญาณ ไม่แน่ว่านางอาจจะมาซ่อนอยู่ในร่างของเฉาฉิงหล่างจริงๆ ส่วนร่างที่แท้จริงถูกนางเอาไปซ่อนไว้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ คนมีชีวิตอยู่ย่อมเลี่ยงได้ยากที่จะไม่เผยพิรุธ แต่หากเป็น ‘คนตายคนหนึ่ง’ กลับหาเจอได้ยากแล้ว

เพียงแต่ว่าทุกอย่างล้วนถูกพลิกคว่ำเพราะรายชื่อนั้น ถงชิงชิงกลับไม่อยู่ในรายชื่อสิบคน

นี่หมายความว่าตอนนี้ถงชิงชิงต้องไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กแน่นอน!

เห็นได้ชัดว่าถงชิงชิงที่ขี้ขลาดอย่างถึงที่สุดแน่ใจแล้วว่าตนที่รู้จักตัวตนของนางดีจะต้องมาหานาง และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหลังจากครั้งก่อนที่นางได้อยู่ในอันดับสิบคน นางก็รีบอนุมานวิชาเซียนนั้นย้อนกลับทันทีโดยการบวกอายุเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ตบะลดต่ำลง ติงอิงมั่นใจเลยว่าสิบคนบนรายชื่อก่อนหน้าวันนี้ ต้องเป็นโจวซูเจินเจ้าหอจิ้งหย่างคนปัจจุบันที่เล่นตุกติก เพราะเดิมทีฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์ของหอจิ้งซินอยู่แล้ว

แต่โจวซูเจินไม่สามารถตัดสินใจลำดับบนรายชื่อในท้ายที่สุดได้ เพราะคนสิบคนที่เพิ่งจัดอันดับใหม่นั้นเป็นการตัดสินใจจาก ‘เทพเทวา’ บางท่าน นี่ถึงทำให้ถงชิงชิงเผยพิรุธออมา

เวลานี้นั่งอยู่ในลานบ้าน ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เขาอยากรู้มากกว่า เจ๋อเซียนที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ ตอนอยู่บ้านเกิดจะเป็นผู้ฝึกตนแบบใด

ส่วนข้อที่ว่าคราวนี้ถงชิงชิงใช้ ‘ตัวตน’ ไหน หรือไปหลบซ่อนอย่างลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ใด ติงอิงไม่อยากรู้อีกแล้ว แค่นี้ก็น่าสนใจมากพอแล้ว

ต่อให้ตนเดาความจริงได้ผิดพลาด ถงชิงชิงสามารถเอาชนะเขาติงอิงในครั้งนี้ได้ ติงอิงก็ไม่คิดมาก

เรื่องที่เขาติงอิงแสวงหาคือได้ครอบครองชะตาแห่งบู๊อย่างน้อยแปดส่วนของใต้หล้า ใช้เรือนกายที่บริสุทธิ์บินทะยานในตอนกลางวัน สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีคนทำได้ในอนาคต เดินไปให้ไกลยิ่งกว่า สูงยิ่งกว่าจูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียน!

เขาจะต้องเอาชนะเทพเทวาของฟ้าดินแถบนี้ให้ได้

อย่างน้อยก็ต้องบีบให้อีกฝ่ายยอมทำลายกฎเกณฑ์แล้วลงมือด้วยตัวเอง ออกมาสั่งหารตน ถ้าอย่างนั้นต่อให้เขาติงอิงต้องตายก็ไม่เสียดายแล้ว

ติงอิงหันกลับไปมองทางหน้าต่างแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าต้องปล่อยเจ้าออกไปแน่ แต่ว่าถึงเวลานั้นเจ้านายของเจ้าย่อมต้องร่างสลายมรรคามอดดับไปแล้ว หวังว่าวันหน้าเจ้าจะยังหาตัวเขาที่จุติมาเกิดใหม่ได้เจอ ช่วงชิงโอกาสในอีกหกสิบปีข้างหน้าร่วมกับเขา แค่นี้เท่านั้น”

ติงอิงลุกขึ้นยืน

……

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างร่องลึก ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัดโดยที่ไม่มีลม

หลิวจงคนลับมีดเดินเข้าหาเฉินผิงอัน ไม่สนใจเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างปี้เซิงเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้และเฝิงชิงป๋ายเลยแม้แต่น้อย

ในด้านความมุ่งมั่นตั้งใจ หลิวฉงได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าอยู่ในสามอันดับแรกของใต้หล้า สำหรับเรื่องนี้อวี๋เจินอวี้มีข้อสรุปมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้อวี๋เจินอี้ยังเคยออกจากพรรคหูซาน เดินทางมาหาหลิวจง เกลี้ยกล่อมคนผู้นี้ว่าเพียงวางมีดเล่มนั้นในมือลง เส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขามีแต่จะกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

เพียงแต่ว่าหลิวจงไม่ได้ตอบรับ เขาบอกว่ามีดเล่มนั้นคือภรรยาของเขา ไม่อาจทอดทิ้งได้ นี่เรียกว่าไม่ควรทอดทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก

อวี๋เจินอี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มพลันหัวเราะเสียงดัง ดื่มเหล้าร่วมกับหลิวจงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วถึงจากไป

นี่ไม่ใช่ข่าวลือเล็กๆ ที่เล่ากันปากต่อปากในยุทธภพ แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของอวี๋เจินอี้เป็นคนพูดเองกับปาก

หลิวจงคนลับมีดไม่ได้อยู่ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ชื่อเสียงไม่ดีไม่เลว ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ เพียงแต่ว่าทุกคนที่ตายด้วยน้ำมือของเขามักจะมีสภาพอเนจถอนาถอย่างถึงที่สุด ยิ่งเป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือ สภาพการตายก็ยิ่งน่าเวทนาจนแทบทนมองไม่ได้ ถึงขั้นทำให้คนที่เห็นขย้อนเอาน้ำดีออกมา

จ้งชิวกลับขึ้นมาเดินบนถนนอีกครั้งแล้ว

เขา เฉินผิงอัน หลิวจง อยู่ในสภาวะที่ถ่วงดึงซึ่งกันและกัน

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ข้ายังต่อสู้กับเขาไม่จบ หลิวจง เจ้ารอให้พวกเรารู้ผลแพ้ชนะก่อนแล้วค่อยชักมีดก็ยังไม่สาย ส่วนข้อที่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะประมือกับข้า หรือจะต่อสู้กับเขา ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้”

สายตาของหลิวจงฉายประกายเร่าร้อน ก่อนจะชักมีดฆ่าคน เขาต้องเริ่มบดฝันเหมือนการลับมีดด้วยความเคยชิน มองดูแล้วน่าขนลุกขนชันยิ่งนัก

ผู้เฒ่าคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ก็ได้ ขอแค่พวกเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าฉวยโอกาสโจมตีตอนที่คนอื่นอ่อนแอ ขอแค่มีความมั่นใจว่าจะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงท้ายที่สุดก็พอ แต่หากไม่มี…”

เขาชี้ไปที่เฉินผิงอัน “ราชครูจ้งตอนนี้ก็เจ้าจากไปได้เลย ปล่อยเขาไว้กับข้าก็พอ ชั่วชีวิตนี้ข้าหลิวจงยังไม่เคยกรีดผ่าท้องของเจ๋อเซียนมาก่อนเลย”

สำหรับราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ในเมืองเดียวกัน หลิวจงรู้สึกนับถือจากใจจริง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านตัวเองก็เคยเอ่ยเช่นนี้กับปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานมาก่อน

จ้งชิวชี้ไปที่ชุดเขียวบนร่างของตัวเองที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าว่าข้าเหมือนคนเต็มใจจะหยุดมือหรือไม่?”

หลิวจงถอนหายใจ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอให้พวกเจ้ารู้ผลแพ้ชนะกันก่อน”

จ้งชิวถาม “โจวเฝยก็เป็นเจ๋อเซียนเหมือนกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ไปฆ่าเขาล่ะ?”

หลิวจงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้า เวลาที่สับเนื้อเขา แต่ละมีดย่อมโดนเนื้อเน้นๆ แบบนั้นถึงจะให้ความรู้สึกที่ดี โจวเฝยผู้นั้นเชี่ยวชาญเวทปีศาจ ไม่แน่ว่าแม้แต่ศพก็อาจจะไม่มี ข้าทุ่มชีวิตแก่ๆ เปลืองแรงมากมายขนาดนั้น ถึงเวลากลายเป็นว่าไม่ต่างจากเอาตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ข้าไม่ทำหรอก”

จ้งชิวส่ายหน้าอย่างระอาใจ

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจหลิวจงคนลับมีดผู้นี้ เขาผายฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้า บอกเป็นนัยแก่จ้งชิวว่าสามารถสู้กันต่อได้แล้ว

หลิวจงอึ้งตะลึง กระทืบเท้าผาง “โอ้โห ท่าทางเช่นนี้มันช่างหล่อเหลาสง่างามซะจริง น่าเสียดายที่ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่พวกสาวๆ ไม่อย่างนั้นคงหวั่นไหวแน่แล้ว ไม่ได้ๆ หากปล่อยให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพ จะไม่เป็นการทำร้ายแม่นางงดงามหลายสิบหลายร้อยคนหรอกหรือ ต้องฆ่าๆ เลือกเจ้า ไม่ใช่เลือกโจวเฝย เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงๆ”

จิตใจของจ้งชิวและเฉินผิงอันต่างก็เหมือน ‘เข้าสู่มรรคา’ สงบนิ่งดุจบ่อน้ำเก่าแก่ไร้คลื่นแล้ว จึงคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของหลิวจง

หลิวจงพลันสงบปากสงบคำทันที

เขาที่อยู่ใกล้กับคนทั้งสองมากที่สุดรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เพราะดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงน้ำหยดดังติ๋ง

นาทีถัดมาพายุรุนแรงลูกใหญ่ก็พุ่งมาปะทะใบหน้า แม้ว่าหลิวจงจะยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่ชายแขนเสื้อและเส้นผมต่างก็ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิ่ง

ที่แท้จ้งชิวและคนหนุ่มผู้นั้นเหวี่ยงหมัดใส่กัน พายุหมัดจึงพัดกระจายไปทั่วด้าน รอบกายของคนทั้งสองเกิดฝุ่นผงคละคลุ้ง ก้อนหินสีเขียวบนถนนปริแตก พัดกระจุยกระจายไปทั่ว

หลิวจงยกมือตบเศษหินก้อนหนึ่งที่กระเด็นมาเร็วดุจลูกธนู เบิกตากว้างมองไป ไม่ยอมพลาดแม้สักชั่วขณะเดียว

เจ้าพวกตัวดี คนทั้งสองลงมือครั้งนี้เรียกได้ว่าจะต่อยตีกันจนภูเขาร้าวแผ่นดินปริแตกจริงๆ

จ้งชิวที่สวมชุดสีเขียวกับเฉินผิงอันที่สวมชุดสีขาวขยับตัวว่องไวจนเงาร่างของพวกเขาแทบจะกลายมาเป็นควันขาวและควันเขียวแล้ว

ทุกที่ที่คนทั้งสองผ่าน ฟ้าพลิกดินตลบ

การต่อสู้ประชิดตัวที่อันตรายสุดขีดนี้ ไม่มีครั้งไหนที่เงาร่างของคนทั้งสองแยกออกห่างจากกันเกินหนึ่งจั้ง อย่างมากก็แค่ห่างกันไม่เกินสามช่วงแขน หากตัดออกคนละหนึ่งช่วงแขนก็หมายความว่าต่อให้คนทั้งสองถูกหมัดกระแทกใส่ ก็ไม่มีทางถอยออกไปเกินหนึ่งช่วงแขน!

คนอื่นทำพิธีกรรมในเปลือกหอยทาก (เปลือกหอยทากเปรียบเปรยถึงสถานที่ที่เล็กแคบ ประโยคนี้เปรียบเปรยถึงการกระทำเรื่องราวใหญ่โตในพื้นที่แคบย่อมยากที่จะทำออกมาได้ดี ซึ่งสามารถแยกออกไปได้อีกสองความหมาย หนึ่งแสดงถึงคนที่มีความสามารถเนื่องจากทำเรื่องใหญ่ได้แม้จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ สองแสดงถึงการถูกพันธนาการ ถูกจำกัด) แต่เจ้าคนบ้าสองคนนี้กลับคิดจะทำลายเมืองเขย่าภูเขาในพื้นที่แค่ตารางนิ้วเดียวด้วยเรือนกายที่มีเลือดเนื้อจริงๆ น่ะหรือ?

เงาร่างที่ล่องลอยทั้งสองแทบจะทำลายถนนทั้งเส้นให้พังพินาศ

แต่ราวกับเหมือนตกลงกันมาก่อนแล้ว สิ่งปลูกสร้างและอาคารสูงสองข้างจึงไร้ความเสียหาย

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ควบคุมปณิธานหมัดได้ในระดับอัศจรรย์สูงสุดอย่างแท้จริง

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา

โจวเฝยพลันตบหน้าผากตัวเอง “จ้งชิวตัวดี นี่เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายอย่างเดียวเลยนี่นา”

“ไปเถอะๆ ทนมองต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรก็ยังมีติงอิงและอวี๋เจินอี้คอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะพวกนี้”

สองมือของโจวเฝยแยกกันคว้าจับไหล่ของโจวซื่อและยาเอ๋อร์ราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบ จากนั้นก็พุ่งทะยานจากไป

แม้ว่าสาวงามแห่งตำหนักคลื่นวสันต์จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังลอยตัวขึ้นกลางอากาศล่องลอยติดตามโจวเฝยไป

ตรงสุดปลายทางของถนน ฝุ่นคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน

ตรงมุมหัวเลี้ยว จ้งชิวทะยานร่างจากไปตามถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่งด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าใบหน้าของราชครูท่านนี้จะเปื้อนฝุ่นมอมแมม แต่เขากลับไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวแม้แต่น้อย กลับกันคือเหมือนว่าได้ทำเรื่องที่สาแก่ใจเรื่องหนึ่งเสียมากกว่า

ส่วนเฉินผิงอันยังยืนอยู่บนถนนเส้นเดิม เขาเดินออกมาจากกลุ่มฝุ่นที่ฟุ้งตลบเพียงลำพัง ไม่เหลือปณิธานหมัดและพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้ามอยู่แม้แต่นิด

เหมือนคนหนุ่มธรรมดาที่สุดคนหนึ่งที่แค่เดินออกมาหนึ่งก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิวจงคนลับมีดแล้ว

หลิวจงกะพริบตาปริบๆ ถามว่า “ไม่ตีกันแล้วได้ไหม?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

หลิวจงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าได้ ทุกคนต่างก็ไม่มีความแค้นต่อกัน ถนนกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างเดินได้ไม่มีปัญหา!”

เฉินผิงอันเบี่ยงสายตามองไปทางเรือนหลังนั้นพลางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

หลิวจงหัวเราะหึหึ “ก่อนจะไป ขอปากมากถามสักคำได้ไหมว่า เจ้ากับราชครูจ้งเป็นอะไรกัน?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ให้คำตอบว่า “เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”

เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “รีบไปซะ ตามไปให้ทันจ้งชิว หากเป็นไปได้ก็ช่วยเขารับมือกับคนผู้หนึ่ง หากเจ้าเชื่อข้าก็อย่าหนี มีเพียงร่วมมือกับจ้งชิวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตจนถึงท้ายที่สุด”

หลิวจงพยักหน้ารับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินสวนไหล่เฉินผิงอันไป ส่วนเฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เบี่ยงเท้าขยับมาด้านข้างหนึ่งก้าวก็มายืนอยู่ระนาบเดียวกับแผ่นหลังของหลิวจงพอดี

อีกฝั่งหนึ่ง จ้งชิวหยุดยืนนิ่ง คนผู้หนึ่งที่มีหน้าตาเป็นเด็กยืนอยู่บนกระบี่เล่มหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ สกัดขวางทางไปของจ้งชิว

ส่วนทางฝั่งของเฉินผิงอัน ติงอิงที่สวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะก็เดินออกมาจากตรอกเล็กอย่างเชื่องช้า

ระหว่างสองนิ้วของผู้เฒ่าคีบกระบี่บินเล่มหนึ่งที่สั่นสะท้านส่งเสียงร้องครวญไม่หยุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version