Skip to content

Sword of Coming 330

บทที่ 330 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา

เฉินผิงอันวางคันเบ็ดตกปลาลง ขยับมาอยู่ข้างกายเผยเฉียน

หญิงชราที่อยู่ทางฝั่งนั้นหันหน้ามายิ้มมองเด็กหญิงร่างผอมแห้งแล้ว สายตาของนางแฝงไว้ด้วยแววคลุมเครือสนุกสนาน นางยกแขนที่เล็กบางของตัวเองขึ้น เกี้ยวก็พลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ภูตประหลาดบนภูเขาทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงโครงกระดูกมือกระบี่ต่างก็พากันหันมามองอย่างพร้อมเพรียง น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ เป็นฝ่ายขออภัยขบวนรับเจ้าสาวขบวนนี้ก่อน

นกมีทางของนก หนูมีทางของหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยินหยางที่มีความแตกต่าง บนโลกมีกฎระเบียบ ก็เหมือนกับการพบเจอกันครั้งนี้ หากไม่เป็นเพราะเผยเฉียนละเมิดกฎด้วยการหันไปมองอย่างโจ่งแจ้งใจกล้าก่อน ถ้าเช่นนั้นการที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายยอมขอโทษ ขบวนงานแต่งของเทพภูเขากลุ่มนี้ก็ไม่มีทางสนใจการดำรงอยู่ของเฉินผิงอันกับเผยเฉียนอีก พวกมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นี่ก็คือสาเหตุที่น้อยครั้งนักที่พวกชาวบ้านและนายพรานหลายคนซึ่งอยู่อาศัยบริเวณใกล้ภูเขาและทะเลสาบมาหลายชั่วอายุคนจะเจอกับพิบัติภัย

หญิงชราเห็นว่าเฉินผิงอันรู้กาลควรไม่ควรจึงพยักหน้าให้เขา โบกมืออีกครั้ง ขบวนรับเจ้าสาวที่ยิ่งใหญ่ก็กลับมาตีฆ้องตีกลอง เดินหน้าไปรับตัวฮูหยินของเทพภูเขาอีกครั้ง

เด็กหญิงร่างผอมแห้งเกือบจะก่อเรื่องครั้งใหญ่ ทว่าคราวนี้เฉินผิงอันกลับไม่ได้กล่าวโทษเผยเฉียน นางไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้ถึงกฎเกณฑ์ของพวกเขา เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ และนี่ก็เป็นเพราะเขาเฉินผิงอันสอนได้ไม่ดีพอ ไม่อาจโทษนางได้ แต่หากเฉินผิงอันพูดถึงกฎเกณฑนี้ให้นางฟังตั้งแต่แรก แล้วนางยังทำตัววู่วามแบบนี้อีกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เฉินผิงอันถามเบาๆ “เจ้ามองเห็นพวกมัน? ได้ยินเสียงตีกลอง?”

เผยเฉียนที่ใบหน้าเล็กๆ ซีดขาวพยักหน้ารับ “ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยลุกขึ้นมา นึกว่าฝันไป น่ากลัวเกินไปแล้ว”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมากดตรงหว่างคิ้วของเผยเฉียนเบาๆ ช่วยให้นางสงบจิตใจ

หากไม่ระวังเจอกับวัตถุหยินและสิ่งชั่วร้าย มนุษย์ธรรมดาย่อมมองไม่เห็น อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนาอยากทำร้ายคน แต่หากปราณหยางในร่างของมนุษย์ธรรมดาไม่อุดมสมบูรณ์มากพอ ก็ง่ายที่จิตวิญญาณจะส่ายไหวไม่อยู่นิ่ง ทำร้ายรากฐานของพลังชีวิตโดยที่มองไม่เห็น ในคำบอกเล่าถึงภูตผีปีศาจมากมายในโลกมนุษย์ บางคนที่ถูกเสนียดจัญไร พอล้มป่วยก็ลุกไม่ขึ้นอีก ส่วนใหญ่มักเกิดจากสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ นั่นคือหยินและหยางขัดแย้งกันเอง

โชคดีที่เผยเฉียนไม่เป็นอะไรมาก เฉินผิงอันจึงพูดเตือนนาง “แม้จะไม่แน่ใจว่าเหตุใดเจ้าถึงมองเห็นพวกมัน แต่หากวันหน้าเจออะไรแบบนี้อีก ต้องทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะชักนำปัญหามาสู่ตัว ถูกฝ่ายตรงข้ามมองว่าท้าทาย โชคดีที่ขบวนรับเจ้าสาวของคืนนี้มีพื้นเพเป็นฝ่ายธรรมะ คาดว่าสถานะของพวกเขาที่อยู่ในภูเขาแถบนี้น่าจะคล้ายคลึงกับขุนนางในโลกมนุษย์ ถึงได้ไม่ถือสาพวกเรา”

เผยเฉียนยังหวาดผวาไม่หาย จึงรีบพยักหน้ารับรัวๆ

เฉินผิงอันถาม “ตลอดหลายปีที่เจ้าอยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยน เคยเห็นพวกผีเร่ร่อนตามข้างในและข้างนอกเมืองบ้างไหม?”

เผยเฉียนที่หน้าม่อยส่ายหน้าอย่างแรง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นสิ่งสกปรกพวกนี้เลย สักครั้งก็ไม่เคย!”

เฉินผิงอันครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยกำชับว่า “เดินทางอยู่ข้างนอก ขึ้นเขาลงน้ำ ห้ามพูดจาบุ่มบ่ามเรียกพวกมันว่า ‘สิ่งสกปรก’”

เผยเฉียนอ้อรับหนึ่งที “จำไว้แล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ เอ่ยปลอบใจว่า “นอนต่อเถอะ มีข้าช่วยเฝ้ายามให้ ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก”

เผยเฉียนหรือจะยังกล้านอนหลับ นางดึงดันจะขอไปอยู่ที่ริมแม่น้ำกับเฉินผิงอันให้ได้ ตอนนี้นางเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างสิ้นเชิงแล้ว ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง ไม่กล้าขอเสื้อผ้าหรือรองเท้าใหม่อะไรอีกแล้ว นางรู้สึกว่าแค่ได้กินอิ่มนอนหลับอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว

เฉินผิงอันหยิบคันเบ็ดตกปลาขึ้นมาอีกครั้ง เผยเฉียนหยิบหินก้อนหนึ่งมาวาดวงกลมลงบนพื้นดิน นางเหมือนคนโดนงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี คราวนี้ไม่กล้าเงยหน้ามองรอบด้านอีก เพราะรู้สึกว่าความมืดมิดโดยรอบจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดน่าขนพองสยองเกล้าซ่อนตัวอยู่ นางเอ่ยถามว่า “ในตำราเล่มนั้นที่เจ้ามอบให้ข้าบอกไว้ว่า อะไรที่ไม่ควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่ควรฟังอย่าฟัง คือหลักการนี้ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้ ดูท่าต้องรอให้นางเจอกับความยากลำบากเสียก่อนถึงจะเรียนรู้อะไรเข้าหัว แม้ว่าคำสอนของอริยะประโยคนี้ไม่ควรจะอธิบายด้วยตัวอย่างเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธหลักการในตำราที่กว่านางจะใคร่ครวญออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายนี้ไป จึงกล่าวว่า “หลักการประโยคนี้ยิ่งใหญ่มาก เจ้าเข้าใจแบบนี้ก็บอกไม่ได้ว่าผิด แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเพียงพอนัก วันหน้าอ่านหนังสือรู้จักตัวอักษรมากแล้วก็ย่อมเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นเอง”

เผยเฉียนรู้สึกว่าคุยกับเฉินผิงอันเยอะๆ ถึงจะข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจลงไปได้ จึงถามชวนคุยว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมในตำราถึงยังมีประโยคที่ว่า ‘ขงจื๊อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับหรือจิตวิญญาณ’ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรแปลกๆ มากมายขนาดนั้น สรุปว่าเป็นหลักการของปราชญ์ที่ผิด หรือเจ้าที่ผิดกันแน่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอแค่เจ้าอ่านหนังสือให้มาก ถึงเวลานั้นก็จะรู้เองว่าเป็นข้าที่ผิด หรือหลักการของอริยะปราชญ์ที่ผิด”

เผยเฉียนรู้สึกขัดใจเล็กน้อย นางจึงเงียบอยู่นานไม่ยอมคุยต่อ แต่ในที่สุดก็อดไม่ไหวจนต้องถามอีกหนึ่งคำถาม “เจ้าเอาชนะพวกมันไม่ได้ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ในเมื่อพวกเราทำผิดก่อน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเอาชนะพวกมันได้หรือไม่ได้ด้วยล่ะ?”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ “หากเอาชนะได้ เจ้าก็ไม่ต้องก้มหน้าขอโทษคนอื่นไงล่ะ พวกมันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกเรา เป็นฝ่ายยอมถอยให้พวกเรา ยกตัวอย่างเช่นเสียงตีกลองตีฆ้องของพวกมันหนวกหูจะตาย พวกมันก็ต้องขอโทษพวกเรา หากจ่ายเงินชดใช้ด้วยก็ยิ่งดี”

เฉินผิงอันถาม “ต่อให้ข้าเอาชนะพวกมันได้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”

เผยเฉียนอึ้งตะลึงไปครู่ ก่อนจะเค้นรอยยิ้มออกมา “ก็พวกเราเป็นพวกเดียวกันไงล่ะ”

สายตาของเฉินผิงอันจ้องนิ่งไปที่น้ำในลำธารและสายเบ็ดตกปลา พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ผิดและถูกไม่เกี่ยวกับว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน”

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยให้คำตอบที่แน่ชัดว่าตัวเองสามารถเอาชนะภูตผีประหลาดบนภูเขาได้หรือไม่ เพราะกลัวว่าหลังจากนางรู้ความจริงแล้ว ในใจจะไร้ความยำเกรง ไม่รู้จักหนักเบาอีก

สำหรับตบะคร่าวๆ ของเทพภูเขาที่รอเจ้าสาวคนใหม่ผู้นั้น เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอในที่ว่าการของโลกมนุษย์ หรือเทพอภิบาลเมืองที่ดูแลเรื่องในโลกมืด หากพวกเขาออกมาตรวจตราภายนอกก็ล้วนต้องมีการชูธงเหนือขบวน ซึ่งยังมีความเคยชินเป็นการตีฆ้องเปิดทาง หากระดับขั้นสูงหน่อย เสียงฆ้องที่ถูกตีก็จะยิ่งดัง ครั้งนี้เนื่องจากเป็นขบวนรับเจ้าสาว ส่วนใหญ่จึงมีการตีฆ้องตีกลองดังถี่รัวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง แล้วก็ไม่ได้ให้พวกภูตผีถือแผ่นไม้ที่สลักคำว่า ‘ห้ามส่งเสียงดัง’ หรือ ‘หลีกทาง’ รวมไปถึงป้ายขุนนางที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด แต่ก็ยังยึดตามกฎบางอย่างของวงการขุนนางเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเสียงฆ้องดังเก้าครั้งต้องเปิดทางให้ ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบพิธีการ และน่าจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของ ‘เทพภูเขา’ ท่านนั้นจึงต้องวางมาดต่อหน้าของพวกภูตผีปีศาจที่อยู่ในเขตการปกครองและบริเวณรอบด้าน

นี่หมายความว่าตำแหน่งขุนนางหลังจากที่เทพภูเขาท่านนี้ตายไป ถือได้ว่าเป็นเจ้าเมืองคนหนึ่ง นอกจากจะมีศาลเทพภูเขาและร่างทองคำแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่จะตั้งจวนเป็นของตัวเอง หากอยู่ในแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีปก็ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ที่ปกครองแม่น้ำและภูเขาแถบหนึ่งแล้ว คล้ายคลึงกับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเด็กชายชุดเขียวคนนั้น

อย่างน้อยก็มีตบะเทียบเท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นขอบเขตเจ็ด ประตูมังกร

ส่วนคำตอบข้อที่ว่าเฉินผิงอันสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่นั้น ง่ายมาก อวี๋เจินอี้ที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวซึ่งมีปราณวิญญาณบางเบาก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรแล้ว

เหตุใดเฉินผิงอันถึงยอมลงเดิมพันกับม้วนภาพวาดทั้งสี่นั้น นอกจากจะให้ความสำคัญกับขอบเขตวรยุทธ์ในปัจจุบันของพวกเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้น จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ ฯลฯ แล้ว ยังเป็นเพราะสนใจคุณสมบัติของคนพวกนี้

อันที่จริงสำหรับเรื่องนี้โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์เคยคาดการณ์มาไว้นานแล้ว เขาเคยบอกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าของวิถีวรยุทธ์ในอีกสามสิบสี่สิบปี

ร่างจริงของ ‘โจวเฝย’ ผู้เป็นเจ๋อเซียนเป็นถึงเจ้าประมุขของสกุลเจียงสำนักกุยหยก อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดหยกดิบ สายตาของเขาย่อมมองไม่ผิดเป็นแน่

เพียงแต่คำว่า ‘มีหวัง’ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแน่นอนเสมอไป ถึงอย่างไรบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ราบรื่น อยู่ดีๆ ก็อาจตายไปก่อนวัยอันควร

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังตัดสินใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่า การเดิมพันเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญต่อทุกภาพวาดเพื่อซื้อสองคำว่า ‘มีหวัง’ มา ย่อมต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน

เผยเฉียนไม่รู้ว่าตกปลาน่าสนุกตรงไหน นั่งทีหนึ่งก็นานเกินครึ่งวัน แถมยังไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไร จึงเริ่มหาเรื่องชวนคุย “ที่บ้านเกิดของเจ้ามีพวกตัวประหลาดให้พบเห็นบ่อยๆ ไหม? ถ้าอย่างนั้นคนอย่างข้าจะเสี่ยงอันตรายหรือไม่? วันหน้าข้าจะอยู่ห่างจากเจ้ามากเกินไปไม่ได้”

เฉินผิงอันแน่วแน่อยู่กับการตกปลา

นี่ก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าจะปลาเล็กปลาใหญ่ แค่ตอดเหยื่อเบาๆ การสั่นไหวน้อยๆ บนเส้นเอ็นจะส่งมาถึงคันเบ็ดและฝ่ามือ จากนั้นกระชากคันเบ็ดดึงปลาขึ้นมา ในด้านคุณสมบัติแล้ว นี่ไม่ต่างจากการแบ่งแยกระหว่างการทุ่มพละกำลังเพียงอย่างเดียวกับการแบ่งพละกำลังมากน้อยในขณะที่รับมือกับพายุลมกรดของศัตรูสักเท่าไหร่ หากใช้กำลังน้อย ความมุ่งมั่นทั้งหมดก็ต้องอยู่ในส่วนที่เล็กละเอียด อีกอย่างเฉินผิงอันยังจงใจเลือกไม้ไผ่ที่เล็กบาง หากนำมาตกปลาในลำธารหรือในบ่อน้ำอาจจะยังดีหน่อย แต่หากเจอกับแม่น้ำสายใหญ่ ตกปลาใหญ่ที่หนักเจ็ดแปดจินขึ้นไป ในระหว่างที่งัดข้อแข่งกำลังกัน ขอแค่ไม่ทันระวังเล็กน้อยก็ง่ายที่สายเบ็ดจะขาด หรือแม้แต่คันเบ็ดก็อาจหักไปด้วย

นี่ก็เหมือนการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้นในปีนั้น เฉินผิงอันชอบความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบนี้อย่างมาก

แม้ว่าจะไม่ได้สนใจเด็กหญิง แต่เฉินผิงอันก็อดนึกถึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เขาค่อยๆ ใคร่ครวญอย่างละเอียดถึงได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากนางสักเท่าไหร่

เขาที่ไม่รู้อะไรเลยตอนอยู่ในตรอกหนีผิง หรือบางทีควรจะพูดว่าในถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เหมือนกับตอนที่นางอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน รอบด้านเต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม ไม่ใช่อันตรายจากภูตผีตัวประหลาดหรือผู้ฝึกตนอะไรทั้งนั้น แต่เป็นการที่สามมื้อไม่เคยได้กินอิ่ม บางครั้งยังต้องทนกับลมหนาวในฤดูหนาวอันโหดร้าย

เขาออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็เหมือนนางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ฟ้าดินยิ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเก่า แต่อันตรายเกินคาดคิดที่มากกว่าเดิมก็พากันกรูเข้าหาติดๆ ลมมรสุมลูกใหญ่มากขึ้น คนคนหนึ่งนึกจะตายก็ตาย

สภาพการณ์ของคนทั้งสองคล้ายคลึงกัน ทว่าการกระทำกลับต่างกันมาก

นางไม่รู้จักทะนุถนอมความโชคดี ขอแค่มีเงินเหรียญทองแดงเล็กน้อยก็จะรีบเอาไปใช้จ่ายมือเติบทันที ส่วนเฉินผิงอันกลับปกป้องกำไรทุกส่วนที่ได้มาไม่ง่ายอย่างระมัดระวัง นางได้ใหม่แล้วลืมเก่า ขอแค่เสื้อผ้าและรองเท้าที่สวมใส่เก่าซีดหรือขาดวิ่นแล้ว นางก็ไม่เคยคิดอาลัยอาวรณ์ หันหน้ากลับได้ก็เริ่มหวังให้มีของชิ้นใหม่ร่วงลงมาจากบนท้องฟ้า ทานที่คนอื่นมอบให้ นางไม่เคยรู้สึกลำบากใจที่จะรับไว้ ถึงขั้นวิงวอนขอความเมตตาจากคนอื่นโดยที่ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ สำหรับความสงสารและความช่วยเหลือที่เพื่อนบ้านทุกคนมีให้ตอนยังอยู่ในตรอกหนีผิง จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังจำไม่ลืม ทุกบุญคุณถูกสลักไว้ในใจ เรื่องการตอบแทนบุญคุณ เขาก็ยิ่งระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าหากทำเลยเถิดไปจะกลายเป็นทำลายโชคชะตาฮวงจุ้ยและขนบธรรมเนียมที่เรียบง่ายของชาวบ้าน

นางเกียจคร้าน ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า ชอบโกหก เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด นางคิดว่าไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด อีกทั้งกับคำถามข้อยากที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร นางกลับเลือกทางลัดที่มองดูเหมือนสบายที่สุด แต่แท้จริงแล้วในระยะยาวกลับลำบากมากที่สุด ส่วนลึกในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูต่อเรื่องราวที่งดงามทุกเรื่อง ขอแค่นางไม่ได้มาครอบครอง นางก็ยอมทำลายมันทิ้งดีกว่า

สำหรับโลกที่มีเจตนาชั่วร้ายกับนางใบนี้ เผยเฉียนเลือกจะตอบแทนมันกลับด้วยความชั่วร้ายที่มากที่สุดของตัวเอง นางเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางคน สัมผัสได้ถึงความดีความเลวของคนอื่นอย่างเฉียบไว ทว่าความเมตตาที่สวรรค์ประทานมาให้ซึ่งยากนักกว่าจะได้มาครองนี้ กลับถูกนางนำมาใช้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ประจบสอพลอคนที่แข็งแกร่งกว่า

ดังนั้นเฉินผิงอันที่น้อยครั้งนักจะเกลียดใครสักคนจึงเกลียดเผยเฉียนมากจริงๆ

เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันได้อยู่ร่วมกับเผยเฉียน เขาจึงเริ่มมองนาง แล้วหันย้อนมามองตัวเอง

ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว จ้งชิวเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าอวี๋เจินอี้จะกลายมาเป็นเจ๋อเซียนประเภทที่พวกเขาเกลียดแค้นชิงชังมากที่สุด

ลู่ไถเคยพูดว่า ไม่เข้าใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ยินดีจะพานางมาอยู่ข้างกาย แต่เป็นเพราะนักพรตผู้เฒ่าบังคับโยนนางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว หากเฉินผิงอันเลือกได้ เขาอยากจะพาเฉาฉิงหล่างมาด้วยมากกว่า ถ้าจ้งชิวยินดีปลดภาระบนบ่าลง เฉินผิงอันก็ยิ่งยินดีพาจ้งชิวออกมาดูทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่เว่ยเซี่ยนหรือจูเหลี่ยนอะไรพวกนี้

ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมมิอาจแก้ไขได้แล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการเรียนรู้ตัวหนังสือ หัดพูดภาษาทางการและภาษากลางให้เป็นคือความจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่นางกลับไม่เต็มใจจะทุ่มเททำเพื่อตัวเอง

เฉินผิงอันยากจะจินตนาการได้ว่าหากตนเปลี่ยนตำแหน่งและตัวตนกับนางได้ เผยเฉียนจะเลือกเช่นไร

เลือกจะเป็นเพื่อนบ้านของซ่งจี๋ซินที่ในใจมีแต่ความเกลียดชังและริษยา แต่ภายนอกกลับแสดงออกว่าพึ่งพาคนมีเงินอย่างเขา? เลือกจะมองดูหลิวเสี้ยนหยางถูกคนต่อยตาย? ทุกวันเอาแต่รังแกกู้ช่านเพื่อหาความบันเทิงให้ตัวเอง? เยาะเย้ยเสียดสีกะเทยผู้นั้นเหมือนกับทุกคนที่อยู่ในเตาเผามังกร?

ประจบเอาใจอาจารย์ฉี อาเหลียง ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง?

แต่ว่าต่อให้เป็น ‘เฉินผิงอัน’ ที่เป็นเช่นนี้ก็ยังโชคดีได้พบเจอกับพวกเขาท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว ไม่ใช่แค่เดินสวนไหล่กันไปครั้งแล้วครั้งเล่า รู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น

เพราะฉะนั้นผู้เฒ่าเหยาก็พูดถูกอย่างมาก

บนโลกมีบุญสัมพันธ์และโชควาสนามากมาย อยู่แค่ที่ว่าจะใช้สองมือของตัวเองไปคว้าไว้อยู่มือหรือไม่เท่านั้น หากแค่สิ่งเล็กๆ ยังปล่อยให้ลอดหลุดร่องนิ้วมือไป ไหนเลยจะมีปัญญาไปช่วงชิงสิ่งที่ใหญ่กว่า?

แต่ก็มี ‘แต่’ อีกนั่นแหละ

ตนจำความดีงามของบิดามารดาได้ และภายหลังก็จดจำถ้อยคำไม่กี่ประโยคที่พูดคุยกับผู้เฒ่าเหยาได้อย่างขึ้นใจ

แล้วนางล่ะ?

ดูเหมือนจะไม่มีคนสอนนางในสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ตอนนี้เฉินผิงอันสอนนางไปแล้วไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่แยแสสิ่งใด สันดานเปลี่ยนยากอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันหงุดหงิดใจเล็กน้อย

ปีนั้นที่พาพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีเดินทางไปต้าสุยด้วยกัน ภายหลังมีชุยตงซาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยอึดอัดใจมากขนาดนี้มาก่อน

เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดตกปลา

เผยเฉียนเท้าคาง ถามว่า “ทำไมถึงไม่ตกปลาต่อแล้วเล่า ปลายังไม่กินเบ็ดเลยนะ ต้มปลาน่ะอร่อยจะตาย ปลาตากแห้งก็รสชาติเยี่ยม”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้อง

เดิมทีเขาอยากจะพูดเรื่องบางอย่างกับนางไปตามตรง ยกตัวอย่างเช่นว่าหากเฉาฉิงหล่างอยู่ที่นี่ ขอแค่เขาเต็มใจอยากเรียน ข้าก็พร้อมจะสอนวิชาหมัดให้เขาอย่างใจกว้าง สอนวิชากระบี่ให้เขาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ต่อให้เฉาฉิงหล่างอยากเป็นผู้ฝึกตน ข้าก็สามารถช่วยเขาได้ เงินฝนธัญพืช สมบัติอาคม ขอแค่ข้ามีก็สามารถมอบมันให้กับเขาได้ทุกชิ้นตามลำดับขั้นตอน แต่เจ้าเผยเฉียน ต่อให้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ ทว่าแม้แต่ท่าเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ข้าเฉินผิงอันก็ยังไม่เต็มใจให้เจ้าได้ดูนาน

เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงครั้งนั้นที่อาเหลียงปรากฏตัว

ภายหลังพวกเขาได้เดินทางร่วมกัน

เขาเองก็มองตนแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ สายตาของเขาก็เหมือนที่ตนมองเผยเฉียนในเวลานี้ หรือไม่ก็เหมือนตอนที่ตนมองเฉาฉิงหล่างในลานบ้านเวลานั้น?

เฉินผิงอันพลันถามนาง “อยากลองเรียนตกปลาดูไหม?”

เผยเฉียนพูดเบาๆ “ไม่เรียนได้ไหม? ทุกวันข้ายังต้องท่องหนังสือและคัดตัวอักษร กลัวเรียนในสิ่งที่เจ้าสอนได้ไม่ดี”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน กลับไปนอนเถอะ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกเดี๋ยวขบวนรับเจ้าสาวขบวนนั้นจะย้อนกลับมา พาเจ้าสาวไปยังจวนของเทพภูเขา ถึงเวลานั้นเจ้าจำไว้ว่าแค่แกล้งทำเป็นนอนหลับก็พอ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนรับผิดชอบห่อสัมภาระกับคันเบ็ดตกปลา”

เผยเฉียนนึกถึงว่าคืนนี้สิ่งสกปรกพวกนั้นยังจะต้องผ่านไปอีก จึงไม่กล้าปฏิเสธเฉินผิงอัน กลับเข้าไปยังกระโจมอย่างลังเลใจ นอนพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มม่อยหลับ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอายันต์สงบใจแผ่นหนึ่งไปแปะไว้นอกกระโจมของนางเงียบๆ

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ขบวนรับเจ้าสาวเกี้ยวแปดคนหามก็ย้อนกลับมาทางเดิมอย่างครึกครื้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูเอิกเกริกกว่ามาก ด้านหลังมีภูตผีปีศาจที่แต่งกายเป็น ‘คนบ้านเดิมของเจ้าสาว’ ติดตามมาจำนวนมาก ก็แค่มาเพิ่มความครึกครื้นให้เท่านั้น บางตนก็จำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังเป็นสัตว์ป่าที่เดินมาด้วยร่างเดิม ในบรรดานั้นมีแมงมุมตัวหนึ่งที่ทั่วร่างเป็นสีดำดุจหมึก ตัวใหญ่ดุจแท่นโม่ และยังมีวานรร่างกายกำยำอีกสองตัวที่วิ่งทะยานอยู่ในผืนป่าเร็วราวกับบิน รวมไปถึงผีผู้หญิงใบหน้าอาบเลือดที่สวมชุดตอนที่ตัวเองถูกฝังลงหลุม

เห็นเฉินผิงอันที่อ่านหนังสืออยู่ริมลำธาร ปีศาจหลายตนทำท่าคันไม้คันมืออยากท้าทาย

เพียงแต่ว่าผีหลายตนที่รับหน้าที่คุมท้ายขบวนช่วยกำจัดความคิดนี้ของพวกมันไป

เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ห่างออกไปไกลมีสาวใช้คนหนึ่งที่ในมือถือโคม สวมชุดกระโปรงสีทับทิม เท้าไม่เหยียบพื้น ร่างล่องลอยไปข้างหน้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ยอบตัวคารวะ พูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ วันนี้เป็นวันมหามงคลของนายท่านบ้านข้า เมื่อครู่นี้หมัวมัว (คำเรียกผู้หญิงที่มีอายุมาก) ให้บ่าวนำความมาแจ้งแก่ท่านผู้สูงศักดิ์ ถามท่านว่าสนใจจะไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ไหม? ใต้เท้าเจ้าเมืองของข้ามีชื่อเสียงด้านความเที่ยงธรรม ผู้สูงศักดิ์เดินทางมาร่วมงานเลี้ยง ไม่เพียงแต่ไม่ลดทอนอายุขัยของท่าน ยังจะมีของขวัญมอบให้ด้วย”

เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่กล้ารบกวนท่านใต้เท้าเจ้าเมืองจริงๆ หวังว่าแม่นางจะช่วยขอบคุณหมัวมัวของจวนที่มีน้ำใจเชื้อเชิญแทนข้าด้วย”

บ่าวหญิงไม่โกรธเคืองที่คนผู้นี้ไม่รู้จักดีชั่ว กลับกันยังยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็ขออวยพรให้คุณชายเดินทางราบรื่น ในรัศมีแปดร้อยลี้รอบที่แห่งนี้ หากคุณชายพบเจอปัญหาใดๆ สามารถแจ้งนาม ‘จินหวง’ ของนายท่านข้าได้ตลอด รับรองว่าตลอดการเดินทางของท่านจะมีแต่ความราบรื่นปลอดภัย”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มพลางกุมมือขอบคุณ “ขอยินดีกับใต้เท้าเจ้าเมืองมา ณ ที่นี่ด้วย”

บ่าวหญิงคลี่ยิ้มแล้วเดินนวยนาดจากไป ร่างของนางล่องลอยประดุจควันธูป

บ่าวหญิงกลับไปรายงาน หญิงชราได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีไปร่วมงานเลี้ยงก็แค่ยิ้มรับ น่าเสียดายที่คนหนุ่มคนนี้พลาดโอกาสใหญ่เทียมฟ้าไป

ฝู่จวิน (มีสองความหมายคือหนึ่งเป็นคำเรียกเจ้าเมือง ผู้ว่าในสมัยโบราณอย่างให้ความเคารพ สองคือคำเรียกที่ลูกหลานเรียกบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างให้ความเคารพ หรือคำเรียกที่มนุษย์เรียกเทพเซียนอย่างให้ความเคารพ) ของพวกนางมีชื่อเสียงในด้านความใจกว้าง คืนนี้ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้วนได้ดื่มเหล้าหมักดอกกล้วยไม้หนึ่งจอก นำโสมคนพันปีท่อนเล็กๆ กลับไปได้หนึ่งท่อน คนอื่นคิดจนหัวแทบแตกเพื่อให้ได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองของจวน เจ้าหมอนี่กลับดีนัก ไม่รู้จักเห็นค่า ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็คงเอามีดไปจี้คอบังคับให้คนอื่นยอมรับของขวัญของตนไม่ได้

บนเกี้ยวแปดคนหาม มือที่ขาวนวลราวรากบัวข้างหนึ่งเลิกผ้าม่านที่ถูกถักอย่างประณีตขึ้น สตรีนางนี้สวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ บนศีรษะสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง มองไม่เห็นโฉมหน้า นางมองผ่านผ้าโปร่งสีแดงไปยังหญิงชราที่อยู่ข้างนอก

หญิงชราโค้งตัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนู มีเรื่องใดจะสั่งความหรือเจ้าคะ?”

น้ำเสียงอ่อนนุ่มดังลอดออกมาจากผ้าคลุมหน้าสีแดงสด “อีกนานเท่าไหร่ถึงจะไปถึงจวน?”

นางคือสตรีธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากตระกูลผู้มีความรู้ เมื่อหลายปีก่อนบังเอิญได้พบกับเจ้าเมืองของเขตการปกครองที่ ‘ปลอมตัวออกไปเยี่ยมชาวบ้าน’ แล้วตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เพียงแต่หากคิดจะให้เทพภูเขาท่านหนึ่งสู่ขอนางไปเป็นภรรยาหลวงอย่างถูกต้องตามประเพณี ร่างของมนุษย์ในโลกคนเป็นจะทำลายคุณความดีในโลกคนตายของนางและคุณความชอบของจวนเจ้าเมือง นางปักใจรักเขา หลังจากครบกำหนดไว้ทุกข์สามปี ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเจ้าเมือง นางได้ช่วยปูทางแห่งความเจริญไว้ให้แก่วงศ์ตระกูล หลังจากนั้นก็ปลิดชีพตัวเองอย่างไม่เสียดาย ใช้ร่างหยินแต่งเข้าสู่จวนของจินหวง เรียกได้ว่าชอบด้วยเหตุผล ไม่ละเมิดกฎระเบียบพิธีการ ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องงดงามที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึง

จวนหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา แสงไฟถูกจุดสว่างไสว งานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืนมีเสียงจอกสุราชนกันคลอไปด้วยเสียงผู้คนพูดคุยสนุกสนานดังตั้งแต่ค่ำจรดเช้า

เจ้าบ่าวสวมชุดคลุมยาวสีทอง พลังอำนาจน่าเกรงขาม นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานที่สูงที่สุด ข้างกายคือฮูหยินคนใหม่ที่เป็นดั่งนกน้อยแอบอิงคน

มือกระบี่โครงกระดูกขาวน่าจะมีตำแหน่งที่สูงมากในจวนแห่งนี้ น่าเสียดายที่มันเป็นแค่โครงกระดูกโครงหนึ่ง ย่อมไม่สามารถดื่มสุราได้ ได้แต่ยืนอยู่ใต้เสาคานของห้องโถงใหญ่อย่างเคร่งขรึม ในขณะที่เจ้าเมืองจินหวงกำลังร่ำสุราก็เงยหน้าชำเลืองตามองสีท้องฟ้านอกตำหนักแวบหนึ่ง ก่อนจะแอบส่งสายตาให้มือกระบี่โครงกระดูกขาว ฝ่ายหลังพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ ครั้นจึงเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่

บุรุษที่มากไปด้วยบารมีหัวเราะเสียงเย็น “ทุกท่าน สุรามงคลก็ดื่มไปแล้ว อันดับต่อไปก็ถึงคราวที่คนบางคนต้องดื่มสุราลงทัณฑ์บ้างแล้ว ข้าปฏิบัติต่อสหายเป็นอย่างดี แต่ในบรรดาพวกเจ้ากลับมีคนไม่น้อยที่กล้าไปสมคบคิดกับปีศาจน้ำไร้ระดับคนหนึ่ง พยายามจะมาโจมตีจวนของข้าจินหวง คิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยรึไง?”

ประตูใหญ่พลันปิดลงดังปัง

บุรุษหันหน้าไปยิ้มอ่อนโยนให้กับฮูหยินของตนเอง ตบหลังมือที่เย็นเฉียบของนาง “ไม่ต้องกลัวนะ”

เขายิ้มขออภัย ก่อนกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม งานเลี้ยงฉลองวันแต่งงานกลับต้องมาเป็นแบบนี้ เฮ้อ”

หญิงสาวไม่กลัวสามีที่เป็นเทพภูเขาท่านนี้ นางเอ่ยหยอกเย้าว่า “หรือจะยังให้ข้าแต่งให้ท่านอีกหน? ร้อยปีพันปีให้หลัง ท่านแค่ดีกับข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”

บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ ได้ภรรยาที่เป็นเช่นนี้ เขาที่เป็นสามียังจะต้องการอะไรอีก?

นอกจากกองกำลังฝีมือดีกลุ่มหนึ่งของจวนซึ่งโครงกระดูกขาวเป็นผู้นำแล้ว ยังมีทหารม้าที่พักผ่อนอยู่ที่อื่นอีกกลุ่มหนึ่ง ทหารม้ากลุ่มนี้มีผู้ฝึกลมปราณอยู่เป็นจำนวนมาก กองทหารสองกองมารวมตัวกัน ออกจากจวนเทพภูเขาที่นาทีก่อนยังร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน บุกไปสังหารกองทหารกลุ่มที่หมายจะลอบโจมตีจวนในช่วงเช้าตรู่ ส่วนในตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางผู้ช่วยของจวน และผีที่มีตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมองดูเหมือนเมาเละเทะพากันนั่งตัวตรงทันที หยิบอาวุธออกมาจากใต้โต๊ะ กวาดตามองรอบด้านเหมือนเสือจ้องมองเหยื่อ

เส้นชายแดนที่มุ่งไปทางเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นนี้ ไม่เพียงแต่มีเทือกเขาทอดยาว ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกเรียกว่าน้ำแปดร้อยลี้ด้วย ในทะเลสาบมีเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีศาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักอยู่หนึ่งแห่ง ขนาดใหญ่มาก ควันธูปรุ่งโรจน์ ปีศาจใหญ่ของทะเลสาบตั้งตนเป็นเทพวารี ราชสำนักแคว้นใกล้เคียงเป่ยจิ้นทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมฟังคำสั่งจากเขา สองร้อยปีที่ผ่านมานี้ ศาลเทพวารีและจวนจินหวงมองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาโดยตลอด ความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าไม่มีใครมีศักยภาพมากพอจะออกจากถิ่นของตัวเองบุกไปสังหารอีกฝ่ายก็เท่านั้น

นี่คือการช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขาที่สมกับคำว่าน้ำและไฟไม่ถูกกันอย่างแท้จริง

ผู้ชนะจะได้ทำลายร่างทอง ทำลายศาลเทพและสะบั้นควันธูปของอีกฝ่าย ผู้แพ้ก็จะตกต่ำไปนับแต่นั้น ขอแค่ร่างทองแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยก็หมายความว่าแม้แต่โอกาสจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งก็ยังหมดหวังแล้ว

ศึกใหญ่ในสองสถานที่อย่างการแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามในห้องโถงใหญ่ของจวนจินหวง และการปะทะกันนอกหุบเขาเปิดฉากขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน

ในห้องโถงใหญ่มีเจ้าเมืองหวงจินนั่งบัญชาการณ์ด้วยตัวเอง จึงมีบางคนที่แล่นเรือไปตามลม (เปรียบเปรยว่าปรับตัวไปตามสถานการณ์ ดูทิศทางลม) รีบโขกหัวอ้อนวอนในทันที การเข่นฆ่าโรมรันเกิดขึ้นอย่างประปราย สถานการณ์โน้มเอียงสู่ฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน

ทางฝั่งของหุบเขา บุรุษสวมเกราะทอง ด้านในสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนหนึ่งนำพาภูตผีปีศาจในทะเลสาบหลายร้อยตนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเปิดฉากสังหารกับทางฝ่ายของจวนเทพภูเขาอย่างอึกทึกครึกโครม

โครงกระดูกขาวที่พกกระบี่สนิมเขรอะตนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง หลังจากตายไปดวงวิญญาณก็ไม่แหลกสลาย แม้จะไม่กลับสู่พลังการต่อสู้ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยปราณสังหาร เมื่ออยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของปีศาจแม่น้ำก็เหมือนเข้าไปยังดินแดนไร้ผู้คน

เทพวารียืนอยู่บนรถศึกคันใหญ่ที่ม้ามังกร (สัตว์เทพในตำนาน หัวเป็นม้าร่างเป็นมังกร) ซึ่งเป็นสัตว์น้ำตัวหนึ่งเป็นผู้ลาก ในมือถือทวนเหล็กหนึ่งด้าม ด้านบนสลักตัวอักษรที่โบราณและเรียบง่าย คือสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ใต้ทะเลสาบ

มันทำตัวกำเริบเสิบสานมานานหลายร้อยปี ยึดทรัพย์ปล้นชิง ดังนั้นถึงแม้จะสร้างร่างทองคำช้ากว่าเจ้าเมืองจินหวงเกือบร้อยปี อีกทั้งยังไม่ถูกราชสำนักมองว่าเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ถึงกระนั้นตบะและขอบเขตของมันก็ยังเหนือกว่าเจ้าเมือง ครั้งนี้จึงอาศัยช่วงเวลาที่จวนเทพภูเขาแต่งภรรยา ปลุกระดมรวบรวมภูตผีปีศาจบนภูเขามากลุ่มใหญ่ ทุ่มเงินก้อนโตติดสินบน ศักยภาพโดยรวมจึงกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างมั่นคง ถึงได้กล้าออกจากทะเลสาบใหญ่ ยกทัพขึ้นบก หวังจะตีรวบบุกยึดจวนจินหวงแห่งนั้นให้ได้ในคราวเดียว

การช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างเทพภูเขาและเทพแม่น้ำในครั้งนี้คงต้องดูที่ว่าใครวางแผนได้สูงส่งและยาวไกลยิ่งกว่าแล้ว

เฉินผิงอันปลุกเผยเฉียนตั้งแต่เช้า คนทั้งสองกินอาหารแห้งง่ายๆ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ตั้งใจเดินอ้อมผ่านทิศทางที่ตั้งของจวนจินหวงแห่งนั้น

เฉินผิงอันดีดตัวกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ตนหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

งานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเทพภูเขา เหตุใดถึงกลายเป็นการเข่นฆ่าที่เหมือนไฟลามทุ่งแบบนี้ไปได้?

สนามรบที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีบุรุษเกราะทองคนหนึ่งกำลังร่ายเวทคาถา ไอน้ำแผ่อบอวลไปทั่วพื้นดิน เขายืนอยู่บนกระดูกสันหลังสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง ในมือถือทวนเหล็ก

มือกระบี่โครงกระดูกขาวเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว ต่อให้มันจะพยายามทุ่มอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังเรียกรวมผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งมาอย่างลับๆ แต่เมื่อเจอกับปีศาจใหญ่แห่งสายน้ำที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตนนี้ มันและผู้ใต้บังคับบัญชามากมายของเจ้าเมืองก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี เพียงแต่ว่าจวนจินหวงได้เปรียบในเรื่องของชัยภูมิ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างจึงล้มตายเสียหายไม่ต่างกัน

บุรุษชุดคลุมสีทองคนหนึ่งเดินออกจากตำหนักหลักที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว พอเดินออกจากประตูก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ร่างของเขาพลันขยายใหญ่ สองจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง รอจนกระทั่งไปถึงปากทางเข้าหุบเขา ร่างสีทองอร่ามของเขาก็สูงถึงสิบจั้งแล้ว เขาพลันกระโดดตัวขึ้นสูง พริบตาเดียวก็ก้าวผ่านสนามรบที่การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ปล่อยหมัดต่อยไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดที่มีร่างเป็นปลาสีเขียวตัวนั้น

เฉินผิงอันไม่ชมศึกต่ออีก พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “ไปกันเถอะ”

เผยเฉียนถามหยั่งเชิง “เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ในหูมีเสียงดังครืนๆ อยู่ตลอดเวลาเลย”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนเสร็จนานแล้วออกมา เอามาคีบไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วตบลงบนหน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ โดยเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย จึงไม่บดบังการมองเห็นของนาง พลางเอ่ยเตือนว่า “ตั้งใจเดินทางอย่างเดียวก็พอ มันไม่มีทางร่วงลงมา แต่ก็อย่าฉีกมัน เมื่อมีมันอยู่ ภูตผีปีศาจทั่วไป หากเห็นเจ้าแล้วจะถอยห่างไปด้วยตัวเอง”

ทว่าเวลานี้เอง เสียงคำรามดังสะเทือนเลือนลั่นราวฟ้าผ่าพื้นดินแตกแยกก็ดังขึ้น

นางตกใจสะดุ้งโหยง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกขาอ่อนเดินไม่ไหว พูดเสียงสั่น “ข้ากลัว ขาไม่เชื่อฟัง เดินไม่ไหวแล้ว”

สำหรับภูตผีปีศาจในป่าเขาที่กินเนื้อคนในความรู้สึกของนางเหล่านั้น นางกลัวจริงๆ ตอนนี้จึงไม่ได้แกล้งสำออยให้เฉินผิงอันสงสาร

เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย ครั้นจึงหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาอีกแผ่นหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนถือไว้ในมือ “ยันต์สองแผ่นนี้ล้วนเป็นสิ่งของของเทพเซียน ปกป้องเจ้าได้แน่นอน”

เผยเฉียนชำเลืองตามองยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยมองยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ในมือแผ่นนั้น พูดเสียงสะอื้น “ให้ยันต์ข้าเพิ่มอีกสักแผ่นเถอะ ข้าจะได้ถือไว้ทั้งสองมือ”

เฉินผิงอันจึงได้แต่หยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาให้นางอีกหนึ่งแผ่น เผยเฉียนที่ถือยันต์ไว้มือละหนึ่งแผ่นเดินไปได้สองก้าวก็โซเซ ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง นางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ

เฉินผิงอันพูด “ยันต์สองแผ่นบนมือมีราคามาก ถือไว้ให้ดี แผ่นที่อยู่บนหน้าผากก็ยิ่งล้ำค่า เอาไปซื้อบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้เลย หากเจ้าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง เดินตามข้าไปได้ทัน ข้าก็จะลองพิจารณาดูว่าจะมอบให้เจ้าหนึ่งแผ่น”

เด็กหญิงผอมแห้งน้ำตาคลอเจียนจะหยด ใบหน้าดำเกรียมยับยู่ เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่หลอกข้านะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เสียงสวบดังทีหนึ่งก็วิ่งพุ่งออกไป กางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนคนหาบน้ำ ในมือกำยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นนั้นไว้แน่น หน้าผากยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแปะอยู่ มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง

นางวิ่งไปได้ระยะทางหนึ่งยังไม่เห็นว่าเฉินผิงอันตามมาก็รีบหันหน้ามาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าวิ่งเร็วๆ หน่อยสิ! หากพวกเราถูกจับได้ขึ้นมา เจ้าตัวใหญ่ พวกมันต้องกินเจ้าก่อนแน่…”

เฉินผิงอันลูบหน้าตัวเองแล้วเดินตามไปเงียบๆ

ดีนักนะ ชื่อเผยเฉียนนี้ไม่ได้ตั้งมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ

คราวนี้เด็กหญิงผอมแห้งไม่กล้าแอบอู้อีก นางวิ่งเร็วมาก แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย

เฉินผิงอันเอาชือซินออกมาห้อยไว้ตรงเอว อีกฝั่งหนึ่งของเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตรงข้ามกันพอดี

สะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ในมือยังถือเบ็ดตกปลา ก้าวเดินไปตามฝีเท้ายามวิ่งของเผยเฉียน เดินเคียงข้างนางไปตลอดเวลา

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กังวลถึงความอันตราย ขอแค่ไม่เอาตัวไปไว้ในใจกลางของสนามรบก็ไม่เสี่ยงแล้ว

เผยเฉียนก้าวเดินถี่กระชั้น ความเร็วในการวิ่งเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แต่เพื่อหนีเอาชีวิตรอดก็ดูเหมือนว่านางจะดึงเอาความคล่องแคล่วและสติปัญญาทั้งหมดมาใช้แล้ว ถึงวิ่งไปบนทางภูเขาได้ไกลถึงสองสามลี้ในรวดเดียว ต้องรู้ว่าเส้นทางภูเขานั้นเดินได้ยากกว่าเส้นทางในเมืองมาก หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้หยุดพัก แต่เปลี่ยนเป็นท่าก้าวเดินปกติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน รอจนคืนสติกลับมาถึงชักขาออกวิ่งอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา

นี่ทำให้เฉินผิงอันที่แอบสังเกตเด็กหญิงอยู่เงียบๆ อึ้งตะลึงไปนาน

จำต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของนางดีมากจริงๆ

นี่ไม่ใช่สายตาของเฉินผิงอันตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู

แต่เป็นสายตาของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหลังจากสังหารติงอิง

ทว่าเรื่องการฝึกตนนี้ก็เหมือนท่าทีที่หร่วนฉงเคยปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน ขอแค่ไม่มองว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันก็ไม่มีทางถ่ายทอดวิชาให้แม้แต่คำเดียว ไม่อาจเป็นอาจารย์และศิษย์กันได้ ต่อให้เป็นศูนย์ฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งอยู่ข้างตรอกจ้วงหยวนพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้น แม้อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่ก็ยังยืนกรานว่าหากลูกศิษย์ฝ่ายในไม่มีคุณธรรมในการฝึกวรยุทธ์ก็จะไม่มีทางถ่ายทอดวิชาหมัดอันสูงส่งให้เด็ดขาด แค่ให้ลูกศิษย์สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอแล้ว

เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้เผยเฉียนเลยแม้แต่น้อย

เพราะสภาพจิตใจของนางตามตบะของตัวเองไม่ทัน ฝึกวิชาหมัด เรียนมรรคกถาระดับสูง นอกจากรังแกคนอื่น ก่อกรรมทำชั่ว ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นตามใจตัวเองปรารถนาแล้ว จะยังทำอะไรได้อีก? อวี๋เจินอี้ถูกเขาด่าคำเดียวว่าฟักเตี้ยก็คิดจะสังหารคนแล้ว ผู้สูงส่งอยู่ในตำแหน่งสูง การกระทำง่ายๆ อย่างแค่ดีดนิ้วหรือสะบัดปลายแขนเสื้อของพวกเขา อาจกลับกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขา

คนเราย่อมมีเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ว่าเผยเฉียนจะมีพรสวรรค์ดีมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กอายุเก้าขวบ ร่างกายยังอ่อนแอ พอวิ่งออกไปได้เจ็ดแปดลี้ก็สิ้นเรี่ยวแรง ขยับเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่ก้าวเดียว นางยืนอยู่ที่เดิม เริ่มคร่ำครวญด้วยความเสียใจ มองชุดคลุมสีขาวของเฉินผิงอันด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ความคิดแรกของนางก็คือเจ้าหมอนี่ต้องทิ้งนางไว้ ไม่สนใจนางอีกแล้วแน่ๆ

เอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น

เผยเฉียนพูดไม่ออกแล้ว

แต่นางกลัวมากว่าคนผู้นี้จะเดินหนีไป

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายนาง เผยเฉียนก็รีบฟุบตัวลงบนหลังเขา พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นางก็กอดคอเขาไว้ ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา

เฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นเล็กระหว่างต้นไม้อย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาว่า “ขอแค่เจ้าไม่ทำเรื่องชั่วร้าย ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่สนใจเจ้า”

เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง ไม่ต้องวิ่งเองแล้วก็เริ่มมีความกล้า สีหน้าท่าทางของเผยเฉียนดีขึ้นมาหลายส่วน พูดถอนสะอื้น “ตกลง นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นคนดี”

กล่าวจบนางก็เช็ดใบหน้าเล็กๆ ลงบนไหล่ของเฉินผิงอันอย่างแรง พลิกกลับไปกลับมาสองรอบ ในที่สุดก็เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าได้อย่างหมดจด

เฉินผิงอันแยกเขี้ยว

ฉวยโอกาสที่ตอนนี้เด็กหญิงวางการป้องกันในใจลงชั่วคราว เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ามักจะคิดว่าข้ามีเงินแล้วก็ต้องให้เจ้าด้วย นี่เป็นเพราะอะไร? ข้ามีหรือไม่มีเงินเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ข้ามีภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งก็ต้องให้เงินเหรียญทองแดงเจ้าหนึ่งเหรียญอย่างนั้นหรือ?”

เด็กหญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ! ทำไมถึงจะไม่ให้ข้าล่ะ เจ้าเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? เจ้าให้เงินข้าแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ก็เหมือนว่าถอนเส้นผมบนหัวไปแค่ไม่กี่เส้นไม่ใช่หรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คนดีก็สมควรต้องทำเรื่องดีสิ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลองเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “หากเจ้ามีเงินมากๆ แล้ววันหนึ่งข้าไม่มีเงินแล้ว เจ้าก็จะยอมให้เงินข้าฟรีๆ โดยไม่คิดอะไรอย่างนั้นหรือ?”

นางเงียบไม่ยอมตอบ

ในใจคิดว่าข้าไม่ใช้เงินทุ่มทับเจ้าให้ตายก็ดีถมไปแล้ว

จากนั้นค่อยกวาดเอาเงินก้อนใหญ่ๆ ทั้งหลายกลับบ้านไปให้เกลี้ยง เงินทั้งหมดก็จะเป็นของนาง!

แม้แต่ศพก็ไม่ช่วยเก็บให้เจ้า

เพียงแต่ว่าคำพูดในใจเหล่านี้ นางไม่กล้าพูดออกไปต่อหน้าเขา

แต่คิดไปคิดมานางก็เริ่มตระหนักได้ถึงข้อหนึ่งนั่นคือ หากคิดจะเอาเงินมาจากมือเจ้าหมอนี่ฟรีๆ คงไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

เขาไปเอาหลักการมากมายที่น่ารังเกียจพวกนี้มาจากไหนกันนะ? อ่านเจอจากในตำราจริงๆ หรือ? แต่นางกลับรู้สึกว่าทุกตัวอักษรบนหนังสือล้วนน่าเบื่อ

คนทั้งสองต่างคนต่างเงียบ

ฟุบคว่ำอยู่บนแผ่นหลังที่อบอุ่นของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเงียบงันไปนาน ก่อนถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นคนดี คนดีในใต้หล้าแห่งนี้ก็ล้วนเป็นแบบเจ้า ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ

มีแรงสั่นสะเทือนส่งมาจากผืนป่าที่ห่างไปไม่ไกล วัตถุขนาดมโหฬารกลิ้งออกมาด้วยพลังอำนาจน่าตกตะลึง เสียงต้นไม้แตกหักดังเป็นระลอก

มันพุ่งตรงมาทางเฉินผิงอันพอดี นั่นคือควายสีดำเขาเดียวที่เขาหัก ร่างโชกไปด้วยเลือด ผิวหนังบนสันหลังปริแตก ระดับความสูงของสันหลังสัตว์เดรัจฉานตัวนี้กลับสูงเกินกว่าบุรุษโตเต็มวัยไปถึงหนึ่งช่วงศีรษะ มันคำรามออกมาด้วยภาษาของมนุษย์ “ไสหัวไป!”

อันที่จริงเฉินผิงอันกะคำนวณทิศทางเส้นทางสายเล็กที่มันต้องผ่านไว้อยู่แล้ว จึงหยุดเดิน

แม้ว่าทั่วร่างของควายตัวนี้จะแผ่ปราณดุร้ายออกมาอย่างท่วมท้น เหมือนมีวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนรัดพันทั่วเรือนกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สั่งสมมาจากการต่อสู้แค่ครั้งเดียว ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่คิดจะลงมือ

นิสัยดุร้ายของควายพลันกำเริบ มันตาแดงก่ำ อยู่ดีๆ กลับเปลี่ยนเส้นทาง พุ่งเข้าชนเจ้าคนที่เกะกะสายตาผู้นั้นอย่างอำมหิต

ต่อให้เรี่ยวแรงของมันจะเป็นเหมือนม้าตีนปลายแล้ว ทว่าหากมนุษย์ธรรมดาโดนมันชน ร่างย่อมแหลกสลายอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันยื่นมืออ้อมผ่านไหล่ไปดึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาจากหน้าผากของเผยเฉียน แล้วโยนไปยังสัตว์เดรัจฉานที่ถูกทำร้ายจนกลับคืนสู่ร่างจริงตัวนั้น

จากนั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝักในชั่วพริบตา

เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป

ควายสีดำถูกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสยบเอาไว้จึงพุ่งมาข้างหน้าได้อย่างเชื่องช้า ในใจรู้ดีว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังจะหันกลับอ้อมผ่านไปทางอื่น พายุกระบี่เส้นหนึ่งกลับฟันผ่าแสกหน้าลงมา

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง วัตถุขนาดมโหฬารเหมือนระฆังทองแดงก็ถูกกระบี่ผ่าออกเป็นสองท่อน

เก็บกระบี่ใส่ฝัก บังคับยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ไม่เหลือปราณวิญญาณอยู่แล้วแผ่นนั้นให้กลับเข้ามาในมือ แล้วเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะชายตามองศพที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน แบกเด็กหญิงเดินหน้าต่ออีกครั้ง

ห่างออกไปไกล เจ้าเมืองจินหวงที่เร่งรุดเดินทางมาถึงก็มีแต่บาดแผลเต็มร่าง เขาพลันมาหยุดอยู่ใกล้กับศพของเทพวารี ในมือถือทวนเหล็กสมบัติอาคมของปีศาจยักษ์ที่นอนอยู่ข้างฝ่าเท้า เทพภูเขาท่านนี้กลืนน้ำลายลงคอ แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวมากนัก กลับกันยังเกิดความเคารพนับถือจากใจจริงอยู่หลายส่วน เขาประสานมือคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้อมส่งเซียนซือ”

เฉินผิงอันไม่หยุดเดิน แค่หันหน้ามายิ้มโบกมือให้องค์เทพของพื้นที่แถบนี้ที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง คราวหน้าหากมีงานเลี้ยงแบบนี้อีก จวนพวกเจ้าอย่าได้เชิญคนอื่นส่งเดช แม้จะเกิดจากความหวังดี ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตนกลัวเรื่องไม่คาดฝันมากที่สุด แต่หากวันหน้าข้าผ่านมายังที่แห่งนี้อีกจะต้องรบกวนท่านเจ้าเมือง ขอดื่มเหล้าสักจอกจากท่านแน่นอน”

มองดูเหมือนว่าวาสนาและหายนะอยู่บนปลายฝั่งสองด้านที่ห่างไกลกัน แต่อันที่จริงกลับอยู่ใกล้กันแค่ชั่วนกจิกอาหารเท่านั้น

เจ้าเมืองเทพภูเขาท่านนั้นกล่าวอย่างอับอาย “ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจำไว้แล้ว”

เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนเดินไปได้อีกหลายสิบลี้ก็วางนางลง หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยจ้องมองตากัน

นางทำหน้าเลื่อนลอยแกล้งโง่

เฉินผิงอันยื่นมือออกมา

นางยู่หน้าเล็กๆ ตบยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน “ยกให้ข้าแผ่นหนึ่งไม่ได้หรือ? ข้าวิ่งอยู่บนทางภูเขามาตั้งไกลขนาดนั้น สุดท้ายก็วิ่งไม่ไหวจริงๆ นี่นา”

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต้องทำให้ดีกว่านี้หน่อย”

เด็กหญิงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินตามมาด้านหลังเขาเงียบๆ

คนใจไม้ใส้ระกำ

คนดีอะไรกัน ถุย ข้ามันตาสุนัขมืดบอดจริงๆ

เฉินผิงอันบิดหูของนาง “วันๆ เอาแต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องดี”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องโอ้ยๆๆ เสียงดัง “ไม่กล้าแล้วๆ”

เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็บิดหูนางอีก

เด็กหญิงตาแดงก่ำ พูดสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ครั้งนี้ไม่กล้าแล้วจริงๆ !”

เดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว เฉินผิงอันเพิ่งจะยื่นมือออกมา เผยเฉียนก็นั่งแปะลงไปบนพื้น ร้องไห้จ้าเสียงดัง

เฉินผิงอันไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป

นางเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดินก็รีบหยุดร้อง ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองด่าเจ้าหมอนั่นในใจ นางจึงหาวิธีที่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ นั่นคือเริ่มท่องเนื้อหาในตำราที่ได้เรียนมา สภาพตอนนี้เรียกว่าน่าอนาถจริงๆ

เฉินผิงอันไม่สนใจนางอีก

เดินอยู่ท่ามกลางผืนป่ากว้างขวางที่มีต้นไม้รกครึ้ม

นึกถึงตราประทับตัวอักษรภูเขาชิ้นนั้น เฉินผิงอันก็ยิ่งเงียบงัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version