Skip to content

Sword of Coming 334

บทที่ 334 ด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม

(*ชื่อตอนด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม เปรียบเปรยว่าทำสิ่งที่ซับซ้อนหรือมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนเกิดขึ้นในสถานที่เล็กแคบ)

จอมยุทธ์พเนจรหรือพวกคนที่เก็บตัวสันโดษในโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่มักมีนิสัยแปลกประหลาด ไม่อาจใช้หลักการของคนทั่วไปไปประเมินได้

เฉินผิงอันจึงไม่ได้รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของชายชุดเขียวที่เก็บงำอำพรางตนอย่างลึกล้ำคนนั้น

ก็เหมือนกับที่หลิวจงคนลับมีดเคยพูดก่อนหน้านี้ เส้นทางใต้ฝ่าเท้าของทุกคนกว้างใหญ่ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ทางแคบๆ เหมือนไส้แกะสักหน่อย ยิ่งไม่ใช่สะพานไม้ท่อนเดียว ทุกคนล้วนสามารถเดินไปทางใครทางมันได้อย่างไม่มีปัญหา

นอกโรงเตี๊ยม บุรุษสวมชุดเขียวท่าทางมอซอตกอับไม่ได้เดินจากไปไกลนัก อันที่จริงเขาไปนั่งอยู่หน้าประตูนอกโรงเตี๊ยมนั่นเอง ข้างกายคือสุนัขผอมแห้งที่นอนหมอบ บุรุษหันไปมองหมาตัวนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตของตนสู้มันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฉับพลันเขาก็นึกอยากร่ายบทกลอนสักบทหนึ่ง เพียงแต่ว่าค้นหาถ้อยคำในท้องอยู่นานก็ยังไม่สามารถแต่งผลงานดีๆ ที่ถูกเด็กหนุ่มขาเป๋เหน็บแนมว่าเป็น ‘กลอนเลี่ยนๆ ’ ออกมาได้ บุรุษปลอบใจตัวเองอยู่ในใจว่า ไม่เป็นไร บทประพันธ์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ความเลิศล้ำเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จะบังคับฝืนใจกันไม่ได้

ชั้นที่สองของโรงเตี๊ยม

เฉินผิงอันลังเลว่าควรจะเชิญจูเหลี่ยนออกมาดีหรือไม่

สาเหตุเป็นเพราะเขาอยากอยู่ในราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้ให้นานอีกสักหน่อย ข้างกายมีแค่เว่ยเซี่ยนคนเดียว อย่างมากที่สุดก็ได้แค่ปกป้องเผยเฉียน ยากที่จะให้ความช่วยเหลือเขาได้ หากต้องตกอยู่ท่ามกลางอันตรายเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว รอบกายมีแต่ศัตรูรายล้อม เฉินผิงอันกังวลว่าตนที่ต้องวุ่นวายรับมืออยู่คนเดียวอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาด

หลังจากที่เฉินผิงอันเชิญเว่ยเซี่ยนออกมาจากภาพวาดหนึ่งได้สำเร็จแล้ว ก็ไม่ได้ไปยุ่งกับภาพที่สอง นี่ไม่ใช่เพราะเขาเสียดายเงินฝนธัญพืช เงินฝนธัญพืชสิบเอ็ดเหรียญแลกมาด้วยฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนคนหนึ่ง บุคคลที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าซึ่งศัตรูนับหมื่นก็มิอาจต่อกร ถือว่าคุ้มค่า แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีอกดีใจว่าตัวเองควบคุมอีกฝ่ายได้แล้ว

ตอนนั้นการที่เขาตั้งเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญไว้เป็นเกณฑ์สูงสุด ไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าคนอย่างเว่ยเซี่ยนมีค่าแค่นี้ แต่เป็นเพราะตอนนั้นเขากลัวว่าภาพที่นักพรตเฒ่าซึ่งตอนพบหน้ากันครั้งสุดท้ายคล้ายจะอารมณ์ไม่ดีผู้นั้นมอบให้ ตนจะไม่มีปัญญาเลี้ยงได้ไหว ส่วนฝ่ายนักพรตเฒ่าก็ทั้งไม่ทำผิดกฎ ทั้งยังทำให้คนสะอิดสะเอียนได้ แล้วจะให้เฉินผิงอันทุ่มเงินเดิมพันต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร

ถึงอย่างไรเงินฝนธัญพืชก็เป็นเงินที่มีค่ามากที่สุดในบรรดาเงินสามชนิดของเทพเซียน หนึ่งเหรียญก็เท่ากับหนึ่งล้านตำลึงเงิน คือภูเขาเงินลูกย่อมๆ แล้ว ราชวงศ์ต้าหลีที่หลังจากฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลูเคยบอกว่าพลังแห่งแคว้นของตัวเองเป็นอันดับหนึ่งทางภาคเหนือของแจกันสมบัติทวีป ปีหนึ่งมีรายรับเท่าไหร่? แค่หกสิบล้านตำลึงเงินเท่านั้น แน่นอนว่านี่ยังเป็นแค่เงินที่สกุลซ่งต้าหลีเอาออกมาวางให้เห็นภายนอกเท่านั้น

การที่เขาอยู่นิ่งๆ มาตลอดหลายวันนี้ก็เพราะเฉินผิงอันยังขบคิดความหมายที่ผิดปกติจากถ้อยคำของนักพรตน้อยผู้แบกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองไม่ออก เห็นชัดๆ ว่าไอ้หมอนั่นคิดจะขุดหลุมฝังตน อีกทั้งหลุมที่ว่านี้ยังอยู่ในภาพวาดของจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์นี่ด้วย การที่นักพรตเฒ่าแค่ขุดหลุมเล็กๆ ให้เฉินผิงอันก็คงเพราะไม่อยากลดเกียรติของตัวเอง แต่เจ้านักพรตน้อยนั่นกลับทุ่มแรงเต็มที่เพื่อขุดหลุมใหญ่

เฉินผิงอันวางเงินฝนธัญพืชที่เหลืออยู่ไว้ข้างฝ่ามือ ก่อนจะหยิบเหรียญหนึ่งโยนใส่ภาพวาดเบาๆ

ภาพที่ไอหมอกลอยขึ้นมา มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

ในห้องโถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงผ้าม่านเคาะกระบอกยาสูบ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางโต๊ะคิดเงิน ชำเลืองตามองไปทางนอกประตู “บัณฑิตตกอับคนนั้นไม่ธรรมดา”

สตรีแต่งงานแล้วดีดลูกคิดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ท่านปู่สาม ท่านบ่นมากี่รอบแล้ว ข้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร ไม่มีทางทำให้เขาโมโหจริงๆ หรอก”

ผู้เฒ่าใช้ข้อศอกยันไว้บนโต๊ะคิดเงิน พ่นควันโขมง เอ่ยเสียงหนัก “หากชอบจริงๆ ก็แต่งให้เขาไปซะ ถ้าพ่อเจ้าไม่เห็นด้วย วันหน้าข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าเอง”

สตรีแต่งงานแล้วกระทืบเท้า อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ท่านปู่สาม ท่านพูดเหลวไหลอะไรน่ะ ข้าจะชอบเขาได้อย่างไร?!”

ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “เขาก็ดูดีนี่นา แม้จะไม่รู้ภูมิหลัง แต่คนหนุ่มที่แม้แต่ข้ายังมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก ในชายแดนต้าเฉวียนแห่งนี้จะมีได้สักกี่คน? โกนหนวดเคราให้สะอาด ไม่แน่ว่าหน้าตาอาจจะพอใช้ได้”

สตรีแต่งงานแล้วเมินคำพูดประโยคหลังของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ใช้ปลายคางชี้ไปทางห้องด้านบนที่เฉินผิงอันพักอยู่ “จะมีได้สักกี่คน? ท่านปู่สาม แขกหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดขาว ห้อยน้ำเต้าสีแดงผู้นี้ รวมไปถึงข้ารับใช้ที่ติดตามเขามา ท่านมองออกหรือไม่ว่าตบะของเขาสูงต่ำตื้นลึกเท่าไหร่? มองไม่ออกสินะ ในร้านนอกร้าน แปบเดียวก็มีเพิ่มมาตั้งสามคนแล้วไม่ใช่หรือ?”

ผู้เฒ่าทิ้งประโยคหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกลับไปที่ห้องครัว หมายจะหาอะไรให้ตัวเองกินอิ่มท้อง “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย สมแล้วที่ต้องเป็นหม้ายมานานหลายปีขนาดนี้”

สตรีแต่งงานแล้วเคยชินกับนิสัยของผู้เฒ่ามานาน จึงตะโกนตามหลังผู้เฒ่าไปเบาๆ “ไม่ว่าจะอย่างไร คนสามคนที่พักอยู่ด้านบนล้วนถือเป็นผู้มีพระคุณ ท่านห้ามวางยาพวกเขาโดยพลการเด็ดขาด จอมยุทธ์สองคนคราวก่อนนั้นถูกท่านถอดเสื้อผ้าจนเกลี้ยงแล้วเอาไปโยนไว้หน้าประตูใหญ่เมืองหูเอ๋อร์ ชายชาตรีดีๆ สองคนถูกท่านทำร้ายจนเกือบจะแขวนคอตายเหมือนสตรีในห้องหอเสียได้”

ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “ข้าไม่ใช่พวกเลวทรามต่ำช้าสักหน่อย จะวางยาคนอื่นไปทำไม ข้าต่างหากที่กลัวว่าเจ้าจะวางยาเด็กนั่นให้สลบ จะได้สมใจปรารถนา”

สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นทำท่าตบ “ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกจริงๆ”

ผู้เฒ่าชอบต่อล้อต่อเถียงกับนาง จึงกล่าวว่า “เจ้าลองไปถามเจ้าวั่งไฉด้านนอกดูสิว่าในปากมันมีงาช้างงอกออกมาได้ไหม?”

สตรีแต่งงานแล้วสวนกลับ “ข้าไม่ใช่หมาสักหน่อยจะได้คุยกับวั่งไฉรู้เรื่อง ไม่เหมือนท่าน”

ผู้เฒ่าใช้กระบอกสูบยาชี้สตรีแต่งงานแล้ว “วันหน้าใครที่มาถูกใจเจ้า ฝาโลงบรรพบุรุษของเขาคงปิดไว้ไม่อยู่เป็นแน่”

สตรีแต่งงานแล้วไม่ถือสาคำพูดเหล่านี้ เปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในหมู่ชาวบ้านมานานหลายปี เคยเจอลูกค้าทุกประเภท พวกที่พูดจาสัปดน พวกที่พูดจาทิ่มแทงใจ หรือพวกที่พูดด้วยความริษยา มีอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน นางเพียงกดเสียงเบาถามไปเรื่องอื่นว่า “ปีศาจใหญ่ตนนั้นคงไม่ได้ถูกคนผู้นี้สังหารหรอกกระมัง?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเป็นแม่ทัพใหญ่ลูกน้องมือหนึ่งของเทพวารีทะเลสาบซงเจิน เฮอๆ มีแต่พวกเซียนดินเท่านั้นถึงจะมีความสามารถค้ำฟ้าขนาดนี้ แม้จะบอกว่าบัณฑิตเสเพลผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ผู้เฒ่าที่มีความรู้ลึกซึ้งที่อยู่ในสำนักศึกษาสักหน่อย หากนี่เป็นฝีมือของพวกอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ พวกเขาก็ไม่มีทางทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ไม่จำเป็นต้องจงใจปิดบังตัวตนกระมัง?”

สตรีแต่งงานแล้วจมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด

สุดท้ายผู้เฒ่าพูดโน้มน้าวว่า “เอาเถอะ เรื่องดีๆ ไม่พูดซ้ำสอง จะบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ข้ารู้สึกว่าบัณฑิตตกอับคนนั้น นอกจากจะจนไปหน่อย ขี้เหร่ไปนิด ปากเสียไปบ้าง ไม่เอาการเอางานสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงแล้วก็ถือว่าใช้ได้ จะดีจะชั่วก็ยังหนุ่มแน่น…”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าดำคล้ำเครียด พูดประโยคหนึ่งลอดไรฟัน “ไสหัวไป!”

ผู้เฒ่าหลังค่อมสีหน้าเป็นปกติ หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที

ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเหมือนผิวต้นไม้เก่าแก่เป็นตะปุ่มตะป่ำ หากถูกยุงกัดแล้วผู้เฒ่าย่นหว่างคิ้วเล็กน้อย เกรงว่าคงสามารถหนีบยุงให้ตายได้เลย

ผู้เฒ่าเอาสองมือที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้านไพล่ไว้ข้างหลัง มือซ้ายวางทับข้อมือขวา มือขวาหิ้วกระบอกสูบยา

ผู้เฒ่าพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ดึกๆ ดื่นๆ หน้าหนาวแบบนี้มีเสียงแมวครางมาจากที่ใดกัน น่าแปลกใจนัก วันนี้เจ้าเป๋น้อยยังถามข้าเรื่องนี้อยู่เลย”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าแดงก่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด่า “แก่กะโหลกกะลา สมแล้วที่ต้องเป็นโสดไปทั้งชีวิต!”

เด็กหนุ่มขาเป๋เพิ่งจะเก็บกวาดโต๊ะเสร็จ ได้ยินบทสนทนาช่วงสุดท้ายของผู้เฒ่าหลังค่อมกับเถ้าแก่เนี้ยะก็ถามด้วยสีหน้าสงสัย “เถ้าแก่เนี้ยะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? โรงเตี๊ยมของพวกเราไม่ได้เลี้ยงแมวนี่นา หรือว่าเป็นแมวป่าข้างนอกที่แอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม? ถ้าข้าจับตัวมันได้จะซ้อมให้อ่วมเลย ข้าก็ว่าแล้วเชียว พวกน่องไก่ หมั่นโถวในห้องครัวมักจะหายไปเป็นประจำ น่าจะเป็นมันที่แอบขโมยไปกิน เถ้าแก่เนี้ยะท่านวางใจเถอะ ข้าจะต้องลากตัวมันออกมาให้ได้…”

สตรีแต่งงานแล้วหยิบไม้ปัดขนไก่ออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงินแล้วฟาดใส่ศีรษะของเด็กหนุ่มขาเป๋อย่างแรง “ลากออกมา ใครใช้ให้เจ้าลากตัวมันออกมา!”

นางยังไม่สาแก่ใจ จึงเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาแล้วไล่ตีเด็กหนุ่มที่ขาไม่ดี แต่เด็กหนุ่มกลับวิ่งหนีอย่างรวดเร็วราวกับบิน

จากนั้นนางก็โยนไม้ปัดขนไก่ทิ้ง ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ค่อยๆ เดินย่องขึ้นไปชั้นบน ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปกลับครบหนึ่งรอบก็ยังไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไร กลับมาที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งก็นั่งเหม่อลอย แล้วจึงเดินไปยังถิ่นของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ด้านหลังผ้าม่าน หยิบเนื้อตากแห้งขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง พร้อมกับเหล้าดอกบ๊วยหมักครึ่งปีกาเล็กอีกหนึ่งกาเดินไปนอกโรงเตี๊ยม เห็นบัณฑิตตกอับที่นั่งอยู่ข้างหมาก็ร้องเรียกหนึ่งที พอบุรุษชุดเขียวเงยหน้าขึ้นก็โยนทั้งเนื้อและเหล้าให้เขาพร้อมพูดเสียงเย็น “หนึ่งตำลึงเงิน จดลงบัญชีไว้ ไม่ได้ให้เจ้าฟรีๆ”

จนกระทั่งสตรีแต่งงานแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องโถงใหญ่ บุรุษชุดเขียวถึงได้ดึงสายตากลับมา พูดอย่างสะท้อนใจว่า “วั่งไฉ เจ้ารู้ไหมว่านี่เรียกว่าอะไร? นี่เรียกว่าบุรุษไม่ควรรับบุญคุณจากสตรีมากที่สุด”

เขาฉีกเนื้อเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้วั่งไฉที่นอนหมอบอยู่ข้างเท้า จากนั้นก็ลูบคลำเคราของตัวเอง “หากข้าโกนหนวดทิ้งจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ?!”

ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เฉินผิงอันกำลังใช้มือกดภาพวาดเบาๆ หันหน้ามามองทางหน้าประตู

โชคดีที่สตรีแต่งงานแล้วไม่ได้เคาะประตูรบกวนเขา

รอจนนางเดินลงไปข้างล่างแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ทุ่มเงินต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชเข้าไปในภาพวาดรวดเดียวสิบสองเหรียญ

แต่จูเหลี่ยนก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว

เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ข้างมือขึ้นมาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนจะเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ไม่เหลือเหล้าอยู่แล้ว จึงได้แต่วางมันลงเบาๆ

เงินฝนธัญพืชสิบเหรียญที่เทพหยินสกุลซ่งในนครมังกรเฒ่าจ่ายให้เป็นค่าแผ่นไม้ไผ่ ส่วนแบ่งที่แบ่งกับลู่ไถตอนอยู่ป้อมอินทรีบินอีกยี่สิบเหรียญ บวกกับการเดินทางเข้าออกภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันมีเงินฝนธัญพืชรวมกันแล้วยี่สิบเก้าเหรียญ เพื่อเว่ยเซี่ยน ให้ภาพวาดกินไปสิบเอ็ดเหรียญ เหลืออยู่สิบแปดเหรียญ

ตอนนี้บนโต๊ะจึงเหลือเงินฝนธัญพืชแค่หกเหรียญเท่านั้น

จูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ยังคง ‘วางมาด’ อยู่บนภาพวาด ไม่ยอมเดินออกมา ถ้าเช่นนั้นหลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมาร และสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิงเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวล่ะ จะต้องให้เฉินผิงอันควักเงินฝนธัญพืชออกมาอีกกี่เหรียญ?

เฉินผิงอันถอนหายใจ ชำเลืองมองตาแก่ที่ยิ้มตาหยีอยู่ในภาพวาด

หากยังโยนเหรียญเข้าไปอีก ตนคงล้มละลายแล้วจริงๆ แม้จะบอกว่าเขามีเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยเก็บสะสมไว้ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นแค่จำนวนเท่านั้น เพราะหากเอามาหักเป็นเงินฝนธัญพืชจริงๆ จำนวนก็ต้องหดเข้าไปอีกเยอะมาก

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเก็บภาพวาดนั้นเข้าไปในกระบี่บินสืออู่ แล้วจึงเปิดประตูห้อง เดินลงไปดื่มเหล้าที่ชั้นล่างเพื่อดับความกลัดกลุ้ม ก่อนหน้านี้เพราะต้องแบกเว่ยเซี่ยนขึ้นไปไว้ชั้นบนจึงลืมบรรจุเหล้าใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แกว่ง ‘เจียงหู’ ที่ว่างเปล่า ในใจเฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงนักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าลูกยักษ์สีทอง แล้วก็อดนินทาอีกฝ่ายในใจไม่ได้ อีกฝ่ายบอกว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เหลืออีกหกลูกนั้น ‘ที่สุด’ ในเรื่องใดบ้าง ลูกที่นักพรตน้อยแบกเอาไว้คงไม่ใช่ว่าบรรจุเหล้าได้มากที่สุดหรอกกระมัง?

เฉินผิงอันไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเดาถูกจริงๆ แต่ถือว่าเดาถูกแค่ครึ่งเดียว

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองที่มีชื่อว่า ‘โต่วเลี่ยง’ (ปริมาณที่มากมาย) ลูกนั้นสามารถบรรจุน้ำซึ่งรวมถึงน้ำของสุราในใต้หล้าได้มากที่สุดจริงๆ แล้วก็เพราะเหตุนี้น้ำของทะเลบูรพาถึงได้ลดระดับลงไปหลายฉื่อ

นี่เป็นเหตุให้มีซิ่วไฉยากจนคนหนึ่งจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แล้วยังเพิ่มคำประจบเข้าไปด้วยว่า ‘น้ำเต้าลูกเล็กๆ กลับสามารถเลี้ยงเจียวหลงไว้ได้นับร้อยนับพันตัว มรรคาจารย์เต๋าช่างประเสริฐ ประเสริฐเลิศล้ำ ประเสริฐเหนือประเสริฐ’

แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่เพราะการนั่งลงถกปัญหากับนักพรตเฒ่าได้ทำลายใบบัวในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาไปหลายใบ ถึงได้กล่าวประโยคนี้เพื่อหวังจะได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเปลืองแรง

ในศาลบุ๋นที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักดั้งเดิมที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม’ ของลัทธิขงจื๊อในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้น เหล่าอริยะที่ทุกวันนี้รูปปั้นของพวกเขายังถูกตั้งบูชาไว้สูงต้องไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้แน่นอน ทำลายสิ่งของของคนอื่น แล้วยังกล้าทำตัวไร้ยางอาย แต่ซิ่วไฉเฒ่าที่เทวรูปถูกย้ายออกจากศาลบุ๋นกลับทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าพวกเซียนลัทธิเต๋าที่อยู่ในหอป๋ายอวี้จิงซะอีก

พอเฉินผิงอันลงมาชั้นล่าง เถ้าแก่เนี้ยะก็คลี่ยิ้มดุจดอกไม้ผลิบาน

หล่อเหลา มีเงิน บุคลิกก็ดี ยิ่งมองเฉินผิงอัน สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งถูกตาต้องใจ

เฉินผิงอันขอเหล้าบ๊วยไหเล็กหมักห้าปีมาหนึ่งจิน แล้วเทใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ยะ

ในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เป็นแค่น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่ถูกลูบคลึงบ่อยๆ จนแวววาวราวกับกระจกเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทว่าแค่มองก็รู้ว่าเป็นของรักของคนอย่างน้อยสองรุ่น ถึงได้กลายมาเป็นของเก่าแก่อย่างในตอนนี้

สตรีแต่งงานแล้วเท้าคางด้วยมือข้างเดียว นั่งเบี่ยงตัวอยู่บนม้านั่งยาว หันหน้าไปมองคนหนุ่มที่เทเหล้าด้วยมือที่มั่นคงอย่างยิ่ง สองข้างแก้มของนางแดงก่ำน้อยๆ กลิ่นหอมของเหล้ายังไม่จางหายไป นางก็ถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณชายใช้ถ้วยดื่มเหล้าไม่สะดวกกว่าหรือ? หากเจ้าดื่มเหล้าหนึ่งจินนี้หมด ก็ต้องเทใส่เข้าไปในน้ำเต้าอีกครั้งไม่ใช่หรือ?”

ทว่าแม้จะพูดเช่นนี้ นางก็ยังไปหิ้วกาเหล้ามาให้ตัวเองดื่ม แล้วก็ไม่ลืมยกกับแกล้มสามจานมากินแกล้มเหล้าด้วย แน่นอนว่ายังถือตะเกียบมาอีกสองคู่

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็ดื่มเหล้าได้ไม่มาก ดื่มหมดก็หมดไป ไม่ต้องเติมเพิ่มอีก”

สตรีแต่งงานแล้วคลี่ยิ้ม “เพื่อนของเจ้าดื่มเหล้าเก่งจริงๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกอายเล็กน้อย ในใจคิดว่า เว่ยเซี่ยน จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นถึงฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้น ทำตัวแบบนี้น่าอายนัก

เฉินผิงอันถามเหมือนชวนคุย “ในเมื่อทหารชายแดนตระกูลเหยามีชื่อเสียงอยู่ที่ชายแดนมากขนาดนี้ เถ้าแก่เนี้ยะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้บุคคลยิ่งใหญ่ในตระกูลเหยามีใครบ้าง?”

สตรีแต่งงานแล้วเลิกคิ้วสูง “โอ้โห คุณชาย เจ้าคงไม่ใช่สายลับแคว้นเป่ยจิ้นหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันชี้ไปยังชั้นบน “มีสายลับที่เป็นแบบข้าด้วยหรือ? พาเพื่อนที่ดื่มเหล้าเก่งติดตามมาด้วย? แถมยังมีเด็กด้วยอีกคน?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ หากเป่ยจิ้นมีสายลับอย่างคุณชาย ไหนเลยจะมีสงครามบ่อยขนาดนี้ ป่านนี้ใต้หล้าคงสงบสุขไปนานแล้ว”

นางดื่มไปค่อนข้างเยอะแล้ว ยืดแขนออกมาคีบเนื้อหมักเต้าเจี้ยวในจานหนึ่งอยู่สองครั้งก็ยังคีบไม่ติด เฉินผิงอันจึงผลักจานไปให้นางเบาๆ นางชำเลืองตามองมาอย่างหยาดเยิ้ม สุดท้ายตัดสินใจวางตะเกียบลง “เรื่องนี้จะเล่าให้เจ้าฟังก็ไม่เป็นไร จะได้สอนให้คนป่าเถื่อนทางใต้อย่างพวกเจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของทหารชายแดนต้าเฉวียนของพวกเราด้วย”

นางเรอดังเอิ้ก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร “แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิตคนนี้คือหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ที่ใช้อักษรตัวเจิงของต้าเฉวียนเรา มีบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน น่าเสียดายที่บุตรชายตายไปสองคน บุตรสาวตายไปหนึ่งคน บุตรสาวคนที่อายุน้อยสุดแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ได้คู่ครองที่ดี ทุกคนต่างก็พูดกันว่าพวกเขาเป็นคู่สร้างคู่สม เป็นคู่รักเทพเซียน มีหลานชายหลานสาวมากมาย คนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดมีอยู่สองคน หลานชายชื่อเหยาเซียนจือ ได้ยินว่าอายุสิบขวบก็เข้าไปอยู่ในกองทัพ หลานสาวที่ชื่อเหยาหลิ่งจือก็ยิ่งร้ายกาจ พรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ดีจนถึงขั้นที่ทุกคนในชายแดนต่างก็รับรู้”

เฉินผิงอันถามด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดถึงต้องลงท้ายชื่อด้วยอักษรตัว ‘จือ’ ทุกคน?”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เป็นรุ่นที่ใช้อักษรตัวจืออย่างไรล่ะ”

เฉินผิงอันยิ่งสงสัย “ตัวอักษรที่กำหนดรุ่นไม่ควรอยู่ตรงกลางหรอกหรือ? หรือว่าต้าเฉวียนของพวกเจ้าไม่เหมือนที่อื่น?”

สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงขุ่น “ข้าจะไปรู้กฎของบรรพบุรุษตระกูลเหยาที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ได้อย่างไร เจ้าจะไม่ยอมให้คนมีเงินมีนิสัยประหลาดบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ชื่อเสียงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยายิ่งใหญ่ขนาดนี้ คนต้าเฉวียนของพวกเจ้าคงมีคนอิจฉาตาร้อนไม่น้อยเลยกระมัง?”

สตรีแต่งงานแล้วมองค้อน “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร? ถามฮ่องเต้งั้นหรือ?”

แล้วนางก็หัวเราะคิกคักกับตัวเอง ท่าทางเย้ายวนมีเสน่ห์ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอให้ตาแก่ฮ่องเต้ถูกใจในความงามของข้า รับข้าเข้าวังเสียก่อน แม้ว่าเขาจะอายุมากไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าขาเตียงของเขาอาจจะทำมาจากทองคำ…”

บางทีอาจเป็นเพราะพูดถึงเรื่องบางอย่างที่สะกิดความทรงจำให้คนหวนนึกถึง สตรีแต่งงานแล้วจึงชูจอกเหล้าขึ้น พูดเสียงดังกังวานว่า “ในชีวิตคนนั้น เส้นทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง ข้าจิ่วเหนียงจะร่วมทางไปพร้อมคุณชายหนึ่งจอก”

เฉินผิงอันดวงตาเป็นประกาย ชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ประโยคนี้ข้าจำไว้แล้ว พูดได้ดี เดินทางด้วยกันหนึ่งจอก!”

คนทั้งสองต่างก็ดื่มเหล้าที่เหลือในจอกของตัวเองจนหมด

ตรงธรณีประตูมีแขกชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาแอบเหลือบมองมายังชายหญิงที่ดื่มเหล้าร่วมกันอย่างสำราญ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขัดเคืองใจ ปากก็บ่นพึมพำไม่หยุด

“สุนัขที่ดีไม่ขวางทาง!”

เสียงคนผู้หนึ่งแผดดังขึ้นมา บัณฑิตตกอับถูกคนเตะจนล้มกะเท่เร่ บุรุษสามคนที่ห้อยมีดไว้ตรงเอวทยอยกันเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่

คนที่เป็นผู้นำมีร่างกายบึกบึน ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น เขากลับยังจงใจเปิดเผยกล้ามเนื้อหน้าอก เขาเดินมานั่งบนม้านั่งยาวฝั่งซ้ายมือของเฉินผิงอัน ลูกน้องสองคนของชายฉกรรจ์เดินไปหยิบเหล้าและถ้วยใส่เหล้ามาอย่างชำนาญ คนทั้งสองนั่งบนม้านั่งยาวอีกตัวหนึ่ง เพียงชั่วพริบตา โต๊ะหนึ่งตัวก็มีคนนั่งจนเต็ม ชายฉกรรจ์กลับไม่ต้องการถ้วยขาวที่มือมีดหนุ่มคนหนึ่งส่งมาให้ กลับมาแย่งถ้วยที่อยู่ตรงหน้าสตรีแต่งงานแล้วไป เทเหล้าบ๊วยใส่ชาม น้ำเหล้ากระฉอกไปทั่ว พอดื่มหมดในรวดเดียวก็เช็ดปาก แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ยกมือกุมท้อง ใบหน้าตื่นตระหนก ชี้มือข้างหนึ่งที่สั่นๆ มายังสตรีแต่งงานแล้วพร้อมพูดเสียงสั่น “เหล้านี่ผิดปกติ…ในเหล้ามียาพิษ”

เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันขยับมือกดด้ามมีด สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย

สตรีแต่งงานแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หม่าผิง ในสมองเจ้ามีแต่ขี้ใช่ไหม? วันนี้มื้อเที่ยงกินขี้เยอะเกินไป ในขี้มีพิษอยู่พอดีก็เลยทำให้สมองเจ้าพังไปด้วยงั้นรึ?”

ชายฉกรรจ์พกมีดหัวเราะหึหึ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ “แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แค่นี้ต้องด่ากลับด้วย”

เพื่อนร่วมงานหนุ่มน้อยสองคนถูกทำให้ตกอกตกใจจึงต้องรีบดื่มเหล้าระงับอารมณ์

ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามามองเฉินผิงอันที่เกะกะสายตา “ไอ้หนู เจ้าเป็นคนจากที่ไหน? รีบเอาเอกสารผ่านด่านออกมา!”

สตรีแต่งงานแล้วขยับปากจะพูด เฉินผิงอันกลับหยิบเอกสารผ่านทางออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกแล้ว เขาวางมันลงตรงหน้าชายฉกรรจ์พกมีดเบาๆ

ชายฉกรรจ์หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าด้านบนประทับตราสีชาดน้อยใหญ่ไว้แน่นขนัดไปหมดก็จุ๊ปากพูด “ตราประทับมีไม่น้อยเลยทีเดียว เดินทางมาไกลขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ชายฉกรรจ์เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็พลันโมโห เห็นใบหน้านอบน้อมและยิ้มประจบจากพวกชาวบ้านในเมืองหูเอ๋อร์มาจนชิน อยู่ดีๆ กลับมีคนที่ไม่รู้จักก้มหัวค้อมเอวเอาใจโผล่มา ประเด็นสำคัญคือยังหล่อเหลาขนาดนี้ เลยคิดอยากหาวิธีจัดการกับเจ้าเด็กนี่ สอนให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาต่างหากที่เป็นงูเจ้าถิ่นของเมืองหูเอ๋อร์แห่งนี้ ขนาดเสือที่ลงจากภูเขามาเจอเข้ากับเขาหม่าผิงก็ยังต้องทรุดตัวนั่งอย่างว่าง่าย มังกรข้ามแม่น้ำก็ต้องขดตัวนอนไม่กล้าหือ เป็นคนอื่นจะมีสิทธิ์มายักคิ้วหลิ่วตาให้จิ่วเหนียงของโรงเตี๊ยมได้อย่างไร

สตรีแต่งงานแล้วพลันถามว่า “ได้ยินว่าในเมืองมีผีอาละวาดอีกแล้ว? คราวนี้ใครโดนผีเข้าล่ะ?”

พอพูดถึงเรื่องอัปมงคลนี้ หม่าผิงก็หมดอารมณ์ โยนเอกสารผ่านทางคืนให้กับเจ้าเด็กหน้าขาว ดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น ก่อนจะพูดงึมงำด้วยความหงุดหงิด “มารดามันเถอะ ช่างเป็นเสนียดจัญไรซะจริง เมื่อก่อนมีแต่คนต่างถิ่นที่ถูกเล่นงาน คราวนี้ดันมาเป็นคนในเมืองเล็กที่โดน ตาเฒ่าหลิวแขนเดียว เจ้ารู้จักใช่ไหม คนที่เปิดร้ายขายกระดาษเงิน ตาแก่มอซอที่ชอบดูฮวงจุ้ยให้คนอื่นน่ะ เขาเสียสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว อากาศแบบนี้ ตอนกลางวันเขากลับไม่สวมเสื้อผ้าวิ่งพล่านอยู่บนถนนใหญ่ แถมยังบอกว่าตัวเองร้อนมาก พวกพี่น้องในหน่วยหลายคนช่วยกันจับตัวเขาขังไว้ ผ่านไปได้ไม่กี่วันก็ขี้เต็มห้องขัง กลิ่นเหม็นตลบอบอวล วันนี้เพิ่งจะคืนสติกลับมาเล็กน้อย ไม่เอาแต่พึมพำภาษาประหลาดอีกต่อไป พวกเราพี่น้องก็เลยอยากมาขอเหล้าบ๊วยจากจิ่วเหนียงดื่มสักสองสามชามเพื่อบำรุงปราณหยางให้แข็งแกร่ง ชำระล้างไออัปมงคลออกไปนี่ไงล่ะ”

สตรีแต่งงานแล้วขมวดคิ้ว “แล้วอย่างนี้จะจัดการกันยังไง? คราวก่อนปรมาจารย์ที่พวกเจ้าทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญมาจากเขตการปกครองได้มอบยันต์เทพเซียนไว้ให้เจ้าแผ่นหนึ่งไม่ใช่หรือ? เขาโม้กับข้าไว้ว่ายังไงนะ บอกว่า ‘ยันต์หนึ่งแผ่น หมื่นผีถอยหนี’?”

ชายฉกรรจ์หันไปถ่มเสลดเหนียวข้นลงพื้นอย่างแรง “ปรมาจารย์ตดหมาน่ะสิ มันเป็นนักต้มตุ๋นชัดๆ ข้าโดนต้มเสียจนเปื่อย ช่วงนี้มือปราบหันก็คอยหาเรื่องข้าอยู่เรื่อย”

หม่าผิงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ฝืนเค้นรอยยิ้มส่งให้ ทั้งยังยื่นมือออกมาหมายจะลูบมือเล็กๆ ของนาง สตรีแต่งงานแล้วหดมือกลับอย่างไม่กระโตกกระตาก เมื่อไม่ได้สมใจปรารถนา หม่าผิงจึงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “จิ่วเหนียง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร? อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองหูเอ๋อร์กระมัง? ข้ามีรายได้ไม่น้อย ชาติตระกูลก็ใสสะอาด แถมยังเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน มีพละกำลังมากมายให้ใช้ไม่หมด เจ้าไม่หวั่นไหวบ้างหรือ? จิ่วเหนียง เจ้าอย่าคิดมากเลย พี่ใหญ่หม่าของเจ้าไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดนั้น ข้าไม่ถือสาอดีตที่ผ่านมาของเจ้าหรอก”

สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะเหอๆ

หลังจากนั้นเขาก็ใช้ข้ออ้างว่าเมาคิดจะแตะอั๋งนางอยู่หลายครั้ง แต่สตรีแต่งงานแล้วล้วนหลบมาได้ทุกครั้ง หม่าผิงกับมือปราบที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกสองคนกินอาหารกันจนแทบเกลี้ยงโต๊ะ ปากมันแผล็บ ดื่มจนเมามาย ดูท่าแล้วคงกะจะมากินฟรี สุดท้ายไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป คนทั้งสามขึ้นไปนอนที่ชั้นบน บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่เมืองหูเอ๋อร์

เฉินผิงอันขยับไปนั่งตรงอื่นนานแล้ว ตอนที่เด็กขาเป๋มาเก็บโต๊ะ สตรีแต่งงานแล้วมานั่งข้างเฉินผิงอัน ถอนหายใจยาวเหยียดคล้ายเหนื่อยล้า ก่อนจะยิ้มขื่นกล่าวว่า “หม่าผิงคนนี้คือมือปราบของเมืองหูเอ๋อร์ ครอบครัวของเขาทำอาชีพนี้กันมาหลายรุ่นหลายสมัย แค่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับที่ว่าการของทางการเล็กน้อยเท่านั้น สถานที่ใหญ่แค่ก้นแห่งนั้น คำเรียกขานว่าขุนนางใหญ่ คนที่สวมหมวกขุนนางใหญ่สุดก็เป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มีระดับขั้น อันที่จริงเรียกได้แค่ว่าเป็นพนักงานผู้น้อย ไม่ถือว่าเป็นขุนนางด้วยซ้ำ ทว่ากลับวางท่าใหญ่โตเทียมฟ้า”

เผยเฉียนได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกก็เปิดประตูออกมาเบาๆ ย่อตัวลงนั่งยอง เอาศีรษะลอดร่องราวระเบียงชั้นสองแอบมองคนสองคนที่อยู่ข้างล่าง ผลคือกว่าจะเอาหัวออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางรีบวิ่งเหยาะๆ ลงไปชั้นล่าง เพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้โต๊ะก็ได้ยินสตรีแต่งงานแล้วบ่นเรื่องคนในวงการขุนนางที่ทำตัวเป็นผีตามติด บอกว่ามือปราบพวกนั้นชอบมากินฟรีดื่มฟรีที่โรงเตี๊ยม นอกจากจ่ายเงินเพื่อซื้อความสงบแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีก

เผยเฉียนยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ต้องอดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายกลั้นไม่ไหวจริงๆ เลยกุมท้องหัวเราะก๊ากเสียเลย “จ่ายเงินซื้อความสงบ ซื้อความสงบ (ความสงบในที่นี้ใช้คำว่าผิงอัน ซึ่งเป็นคำเดียวกับชื่อของเฉินผิงอัน ประโยคนี้จึงหมายความได้อีกอย่างว่าจ่ายเงินซื้อเฉินผิงอัน) …โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ข้าขำจะตายอยู่แล้ว เจ็บท้องไปหมดเลย”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดข้างกายเผยเฉียน “ยังเจ็บท้องอยู่ไหม?”

เผยเฉียนที่ถูกดึงหูรีบหยุดเสียงหัวเราะทันที พูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่เจ็บท้องแล้ว แต่เจ็บหู…”

สตรีแต่งงานแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเด็กหญิงผอมแห้งนิสัยร้ายกาจคนนี้หัวเราะอะไร

เฉินผิงอันบอกลาสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะดึงหูเผยเฉียนลากขึ้นไปชั้นบน เผยเฉียนเอียงหัวเดินเขย่งปลายเท้าตามไป ปากก็โหวกเหวกเสียงดังว่าไม่กล้าแล้ว

ขึ้นมาถึงชั้นบนค่อยปล่อยหูเผยเฉียน เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องแล้วหันมากำชับเผยเฉียนว่า “ห้ามออกไปข้างนอกอีก”

เผยเฉียนขยี้หูพลางพยักหน้ารับ

รอจนเฉินผิงอันปิดประตูลงแล้ว เผยเฉียนถึงขยับไปยืนข้างราวระเบียง นางมองลงไปสบตากับสตรีแต่งงานแล้วที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี เผยเฉียนแค่นเสียงเย็นในลำคอ ก่อนจะเดินกระโดดโลดเต้นกลับห้องตัวเอง ปิดประตูตามหลังอย่างแรง

นอกโรงเตี๊ยม แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง คนผู้หนึ่งควบม้ามาถึง คือเด็กสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่ง นางมัดผมหางม้า มีหน้าตางดงามอ่อนหวาน แต่กลับมีกลิ่นอายของความเหี้ยมหาญ ด้านหลังสะพายธนูมาหนึ่งคัน พกดาบเล่มหนึ่งไว้ตรงเอว นางทิ้งม้าให้รออยู่นอกประตูอย่างไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กังวลว่าม้าจะหายไป

บุรุษชุดเขียวยังคงนั่งหยอกล้อสุนัขตัวนั้นอยู่นอกประตู

เด็กสาวมองบุรุษแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เหลียวซ้ายแลขวา เห็นสตรีแต่งงานแล้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง นางก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก หยุดเดินแล้วพูดกับสตรีแต่งงานแล้วว่า “ท่านปู่ให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ช่วงนี้อย่าเปิดโรงเตี๊ยม ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กสาว สตรีแต่งงานแล้วไม่มีท่าทางเย้ายวนทรงเสน่ห์อีกต่อไป นางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเหมือนคุณหนูในห้องหอที่เดินออกมาจากตระกูลใหญ่ เอานิ้วชี้วางตั้งบนริมฝีปากบอกให้รู้ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จากนั้นค่อยเอ่ยเบาๆ ว่า “หลิ่งจือ ข้าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว”

เด็กสาวพูดเสียงขุ่น “ไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น!”

สตรีแต่งงานแล้วถามยิ้มๆ “จะดื่มเหล้าบ๊วยสักหน่อยไหม?”

ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเดือดดาล

ดื่มเหล้า?!

สตรีแต่งงานแล้วรู้ว่าตัวเองพลั้งปากพูดผิดไปจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “เอาห้องให้ข้าห้องหนึ่ง พรุ่งนี้ข้าค่อยกลับ เจ้าเองก็พิจารณาเรื่องนี้ให้ดี”

เด็กหนุ่มขาเป๋พาเด็กสาวเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ภายใต้สายตาที่บอกเป็นนัยจากเถ้าแก่เนี้ยะ เขาจึงตั้งใจเลือกห้องพักที่สวยงามและสะอาดสะอ้านมากที่สุดให้กับเด็กสาว

หลังจากที่เสียงฝีเท้าแผ่วเบาระลอกนั้นหายไปแล้ว เฉินผิงอันจึงหยิบเงินฝนธัญพืชที่เหลืออีกแค่หกเหรียญมากองทับไว้ด้วยกัน

แล้วค่อยๆ โยนเข้าไปในภาพวาดทีละเหรียญ

เมื่อเงินฝนธัญพืชเหรียญที่สามหายเข้าไปในภาพวาด เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเชื่องช้า

ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งเดินกะย่องกะแย่งออกมาจากในม้วนภาพวาด

เขากระโดดลงมาจากบนโต๊ะ ยิ้มตาหยีให้เฉินผิงอัน ก่อนจะหันตัวยื่นมือเข้าไปในม้วนภาพวาด แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ขนาดเผยเฉียนยังเคยแอบลูบคลำม้วนภาพวาดนี้มาก่อน แต่สำหรับจูเหลี่ยนแล้ว ภาพวาดนี้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือคว้า แต่กลับไกลสุดขอบฟ้า

ดั่งภาพมายาล่องลอย มิอาจไขว่คว้า

แต่จูเหลี่ยนกลับไม่ได้เป็นเดือดเป็นแค้น กลับกันยังหัวเราะร่า “เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย นายน้อย นี่ก็คือเวทตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถือว่าใช่”

ผู้เฒ่าที่เคยชินกับการปรากฏตัวด้วยเรือนกายของคนหลังค่อมดูไม่เหมือนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ธาตุไฟเข้าแทรกซึ่งผู้คนเล่าลือกันในตำนานเลยสักนิด

บนใบหน้าของผู้เฒ่าแต้มรอยยิ้มไว้ตลอดเวลา สีหน้าเมตตาปราณี ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว คนผู้นี้เกือบจะพลิกยุทธภพของที่นั่นให้คว่ำคะมำหงาย ติงอิงที่ไล่ตามมาทันในภายหลัง เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าเหมือนกัน แต่กลับมีพลังอำนาจของปรมาจารย์ที่เด่นชัดมากกว่า ซึ่งนี่น่าจะเกี่ยวพันกับการที่ติงอิงมีเรือนกายสูงใหญ่ ไม่ชอบแย้มยิ้ม อีกทั้งยังสวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะ

คนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ชื่อว่าจูเหลี่ยนตรงหน้าผู้นี้กลับห่างชั้นกับติงอิงไกลโขนัก

เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนที่ไม่ว่ามีคำพูดอะไรก็เก็บไว้ในท้องแล้ว ดูเหมือนจูเหลี่ยนจะยอมรับชะตากรรมได้ดีกว่าและตรงไปตรงมามากกว่า เขากล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ตอนนี้มาอยู่บ้านเกิดของนายน้อยแล้ว ลำพังแค่ปรับตัวให้เข้ากับการไหลเวียนของลมปราณในใต้หล้าไพศาลก็ต้องใช้เวลาหลายวัน คิดจะกลับคืนสู่ตบะสูงสุดเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก อืม หากพูดตามคำกล่าวของคนในบ้านเกิดนายน้อย ตอนนี้ข้าน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็พูดเย้ยหยันตัวเอง “อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ในครั้งเดียว แต่ก็อาจจะติดชะงักไม่เดินหน้า หรืออาจถึงขั้นถูกปราณวิญญาณของที่แห่งนี้กรอกเทเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณจนลมปราณที่แท้จริงถูกเผาผลาญ ตบะถูกกลืนกินไปทีละนิด แต่ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า นอกจากธรณีประตูบานใหญ่ของขอบเขตเจ็ดแล้ว การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าหลังจากนั้นน่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไรมากนัก”

ถือว่าจูเหลี่ยนพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมามากแล้ว

เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนที่เป็นเหมือนน้ำเต้าตันแล้ว จูเหลี่ยนดูเป็นคนเปิดเผยกว่ามาก

จูเหลี่ยนเดินไปตรงหน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออก หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พูดพึมพำกับตัวเอง “ขอบเขตเจ็ดนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหลังกำเนิดเปลี่ยนเป็นก่อนกำเนิดของผู้ฝึกยุทธ์ในพื้นที่มงคลดอกบัว คือก้าวที่ข้ามออกไปได้ยากที่สุด มีเพียงเลื่อนสู่ขอบเขตที่เจ็ดของวิถีวรยุทธ์ เชื่อว่าหลังจากนั้นตบะก็จะไต่ทะยาน ก็แค่ต้องมานะบากบั่นปีแล้วปีเล่าเท่านั้น ไม่กล้าพูดว่าต้องได้เป็นขอบเขตเก้าแน่นอน แต่ขอบเขตแปดย่อมไม่ยาก”

จูเหลี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มบางๆ “แน่นอนว่าขอแค่ปรับตัวเข้ากับการดำรงอยู่ของปราณวิญญาณที่เข้มข้นในที่แห่งนี้ได้ ไม่ว่าข้าเจอกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดคนใดก็ตามที่มีพื้นฐานธรรมดา ข้าก็ยังมีโอกาสที่จะเสมอกับเขา ไม่ถึงขั้นถูกข่มด้านขอบเขต แค่พบหน้าก็ได้แต่รอความตายสถานเดียวเท่านั้น ส่วนการต่อสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเดียวกัน ขอแค่ไม่ใช่คนแบบคุณชาย โอกาสที่ข้าจะชนะก็มีสูงมาก”

เฉินผิงอันพึมพำ “ด่านสำคัญอยู่แค่ที่ขอบเขตเจ็ดงั้นหรือ?”

ผู้เฒ่าเดินกลับมานั่งข้างโต๊ะ ใช้นิ้วมือข้างหนึ่งเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ “ข้ายินดีอุทิศตัวให้คุณชายอย่างซื่อสัตย์ภักดีเป็นเวลาสามสิบปี หวังว่าหลังจากนั้นคุณชายจะมอบอิสระให้แก่ข้า ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าควรจะคืนอิสระให้แก่เจ้าอย่างไร”

ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง จมจ่อมสู่ภวังค์ความคิด จ้องม้วนภาพนั้นเขม็ง

เฉินผิงอันเดาเอาว่าตัวของม้วนภาพวาดน่าจะคล้ายคลึงกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบหนึ่งในห้าขอบเขตบนก็ยังถูกคนอื่นกุมชะตาชีวิตไว้ในกำมืออยู่ดี

พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะ

ทางฝ่ายของเว่ยเซี่ยน เขาเมาเละดุจขี้โคลน นอนอยู่บนเตียงก็ละเมอพูดด้วยความเมามาย “บนร่างไร้ปราณสังหาร แต่จิตสังหารผุดขึ้นรอบกาย นี่เรียกว่าการปูรากฐานของกษัตริย์”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสามเหรียญสุดท้ายและม้วนภาพวาด กำลังจะเดินไปเปิดประตู จูเหลี่ยนกลับทำแทนแล้ว

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็รีบขยับออกห่างจูเหลี่ยนไปเสียไกล วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

จูเหลี่ยนปิดประตู หันหน้ามาหัวเราะให้ “นังหนูคนนี้ฐานกระดูกดีมากจริงๆ คือบุตรสาวของนายน้อยหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง

แต่เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า จากนั้นหันไปถามคนข้างหลัง “มาหาข้ามีธุระอะไร?”

เผยเฉียนมองจูเหลี่ยนแล้วก็ส่ายหน้า

จูเหลี่ยนรู้กาลควรไม่ควร ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย มีที่พักให้ข้าอีกไหม?”

เฉินผิงอันกล่าว “ออกจากประตูไป ห้องที่สองทางขวามือ แต่ตอนนี้เว่ยเซี่ยนพักอยู่ที่นั่น หากเจ้าไม่เต็มใจจะพักร่วมห้องกับเขา ข้าจะช่วยหาห้องใหม่ให้เจ้าอีกหนึ่งห้อง”

“เดินทางอยู่ในยุทธภพ ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนี้”

จูเหลี่ยนโบกมือ จากนั้นก็ยกมือมาจับปลายคางตัวเอง พูดอย่างครุ่นคิดว่า “นายน้อย ท่านเลือกฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นั้นก่อนหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยกำชับว่า “พวกเจ้าสองคน อย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด”

จูเหลี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “เว่ยเซี่ยนที่หมื่นศัตรูก็มิอาจต่อกร ข้าเลื่อมใสเขามากเลยล่ะ ขอดื่มเหล้าคารวะเขายังแทบไม่ทัน มีหรือจะทำให้เขาไม่พอใจ”

จูเหลี่ยนเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูให้เบาๆ

ทว่าขณะที่เหลือรอยแง้มเล็กๆ จูเหลี่ยนพลันถามขึ้นว่า “ขอถามนายน้อย ท่านต้องจ่ายเงินเพื่อข้าไปเท่าไหร่?”

เฉินผิงอันตอบตามจริง “สิบเจ็ดเหรียญเงินฝนธัญพืช”

จูเหลี่ยนยิ้ม “ทำให้นายน้อยต้องสิ้นเปลืองแล้ว”

ผู้เฒ่าจากไปแล้ว เผยเฉียนก็ยังคงไม่วางใจ นางต้องเดินไปลงกลอนประตูก่อนถึงจะทำท่าโล่งอก

เฉินผิงอันถาม “เว่ยเซี่ยนตีหน้าเคร่งเครียดใส่ทุกวัน ไม่เห็นเจ้าจะกลัว จูเหลี่ยนท่าทางเป็นมิตรขนาดนี้ แต่เจ้ากลับกลัวเสียได้?”

เผยเฉียนพูดเบาๆ “ข้ากลัวก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันถามอีก “มีเรื่องอะไร?”

เผยเฉียนพูดเสียงแผ่วอยู่เหมือนเดิม “ข้ารู้สึกว่าเถ้าแก่เนี้ยะผู้นั้นไม่ใช่คนดี บวกกับเด็กขาเป๋แล้วก็ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่น พวกเขาดูประหลาดมากเลย ที่นี่ใช่ร้านเถื่อนหรือเปล่า? เรื่องที่คนเล่านิทานชอบเอามาเล่ามีพูดถึงเรื่องร้านเถื่อนด้วย พวกเขาชอบวางยาเบื่อคน จากนั้นก็เอาไปทำเป็นซาลาเปาไส้เนื้อคน”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ “คิดเหลวไหลไปเรื่อย รีบไปอ่านหนังสือได้แล้ว”

เผยเฉียนเดินถอนหายใจจากไป

เฉินผิงอันไม่มีอารมณ์เปิดม้วนภาพที่เหลืออีกสองภาพออกดูแล้ว หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน คนหนึ่งเขาไม่ค่อยกล้าเชิญออกจากภูเขา เพราะกลัวว่าเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยาก ส่วนคนหลังก็ยิ่งไม่กล้ายุ่งเกี่ยว

นึกถึงความรู้สึกที่เผยเฉียนมีต่อเว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยน

อันที่จริงลางสังหรณ์ของนางไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย

สายตาที่เว่ยเซี่ยนมองคนคือสายตาของคนที่มองจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นกษัตริย์ของหนึ่งแคว้นที่ได้รับการบันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์

แต่สายตาที่จูเหลี่ยนมองคนนั้นกลับเหมือนคนเป็นที่มองคนตาย สายตาอึมครึม มืดมนดุจบ่อน้ำลึก รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่อาจมองเป็นความจริงใจได้

บนธรณีประตูของโรงเตี๊ยม ลูกค้าชุดเขียวนั่งหันหลังให้กับห้องโถงใหญ่ เงยหน้ามองขอบฟ้ายามสนธยาที่ทอประกายสีสันงดงามจับตา เขาตบเข่าตัวเองเบาๆ ในมือหิ้วกาเหล้าเอาไว้ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าบ๊วยหนึ่งอึกก็จะต้องพึมพำหนึ่งประโยค

“จุดลึกของก้อนเมฆมองเห็นมังกร ยามอยู่ในป่าลึกบังเอิญเจอกวาง ข้างดอกท้อมีสาวงาม บนสนามรบมีวีรบุรุษ ปัญญาชนในตรอกแคบเก่าโทรม…”

เสียงตุ้บดังขึ้น

บุรุษชุดเขียวล้มหน้าทิ่มพื้น แต่ก็ไม่ลืมกำกาเหล้าเอาไว้แน่น

ที่แท้เด็กหนุ่มขาเป๋ก็ถีบเข้าที่หลังเขา พูดอย่างเดือดดาลว่า “ไม่แล้วไม่เลิกสักทีนะ เจ้ายังเสพติดไม่เลิกอีกรึ? ข้าทนเจ้ามานานพอแล้ว!”

บุรุษลุกขึ้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง ปัดฝุ่นบนร่าง เอ่ยเสียงหนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

เด็กหนุ่มขาเป๋ชำเลืองตามองบัณฑิตยากจนที่ดูแปลกตาไปจากเดิม เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ แต่ก็ยังแข็งใจแผดเสียงใส่ “เจ้าเป็นใคร?”

ลูกค้าชุดเขียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเรียกจิ่วเหนียงว่าอะไร?”

เด็กหนุ่มขาเป๋งงงัน “ก็เรียกเถ้าแก่เนี้ยะไงล่ะ”

ลูกค้าชุดเขียวถามอีก “ถ้าอย่างนั้นสามีของเถ้าแก่เนี้ยะ เจ้าต้องเรียกว่าอะไร?”

เด็กหนุ่มขาเป๋โมโหแทบบ้าแล้ว

เขากระโจนออกไปนอกธรณีประตู สาวหมัดต่อยยกเท้าเตะ วิ่งไล่กวดเจ้าคนสารเลวที่เขารู้แค่ว่าแซ่จงคนนี้

บุรุษชูกาเหล้าขึ้นสูง ขยับหลบไปรอบด้าน วิ่งหนีพลางดื่มเหล้าไปด้วย โดนหมัดต่อยหรือโดนเท้าเตะก็ไม่เจ็บไม่คัน

ภายใต้แสงสนธยา

เคยมีคำทำนายเกี่ยวกับบัณฑิต

ซึ่งเป็นประโยคที่ตัวบัณฑิตเองไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังมากที่สุด

ก่อนคนแซ่จงลงจากภูเขา เหล่าผีใต้หล้าไร้ยำเกรง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version