บทที่ 336 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา
ค่ำคืนนี้ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งนี้มีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน
หลังจากที่ห้าคนนั้นเดินออกมาจากในห้อง ลมหายใจของเด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็เริ่มหนักอึ้ง
นี่ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ
ความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นต้องเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เจือปนไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ประหนึ่งหญิงสาวผู้บอบบางเผชิญหน้ากับบุรุษที่มีความคิดชั่วร้าย ดั่งลูกน้องที่เคารพยำเกรงในอำนาจที่มองไม่เห็น ดั่งคนที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงพวกคนที่จิตใจชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด
ทว่าอาการหายใจติดขัดที่เกิดขึ้นเมื่อเหยาหลิ่งจือมองไปยังคนห้าคนที่อยู่บนชั้นเดียวกันกลับเป็นการหยั่งรู้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
อยู่ในป่าผืนเดียวกัน ดั่งกระต่ายและกวางพบเสือกับหมี อยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน ดั่งกุ้งและปลาพบเจอเจียวกับมังกร
เหยาหลิ่งจือรับหน้าที่หน่วยสอดแนมของกองทัพชายแดนมานานถึงสามปีแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ร่วมรบในศึกเป็นตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าไม่เคยมีครั้งใดที่เหยาหลิ่งจือคิดอยากจะถอยหนี ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ถึงจะถูก
นางคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเหยารุ่นนี้ อายุแค่สิบสี่ปีก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อีกทั้งยังมีหวังว่าจะฝ่าคอขวดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตอนอายุสิบห้า หรือเป็นขอบเขตห้าตอนอายุสิบเจ็ด นางก็ล้วนคู่ควรกับคำว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์’ ทอดสายตามองออกไปทั่วราชวงศ์ต้าเฉวียน ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือในยุทธภพ เหยาหลิ่งจือก็ถือเป็นหยกดิบชั้นเยี่ยม เพียงแค่ผ่านการเจียระไนเล็กน้อยก็สามารถส่องแสงเปล่งประกาย ไม่มีใครสงสัยว่าในอนาคตนางจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบังคับลมได้อย่างราบรื่น กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่พิชิตพื้นที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่
โดยเฉพาะในข้อที่ว่ายอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ พลังพิฆาตจะรุนแรงมากพิเศษ นี่ก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย
ในยุทธภพ การเข่นฆ่าของปรมาจารย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการงัดข้อกับคนในระดับที่ฝีมือสูสีเท่าเทียมกัน บนสนามรบแสวงหาคำว่าหนึ่งคนคือด่านปราการอันแน่นหนา ร้อยศัตรู พันศัตรูมิอาจต่อกร
เหยาหลิ่งจือกำวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนก้อนเงินไว้ในมือแน่น วัตถุชิ้นนี้ก็คือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังเป็นเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย (จินอูคือนกสามขาในตำนาน จิงเหว่ยหมายถึงเส้นแวงและเส้นรุ้ง) ที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเรียกเหน็บแนมว่า ‘เสื้อเกราะแอ่งน้ำ’ คือสมบัติตระกูลเซียนอย่างสมชื่อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากองทัพชายแดนสกุลเหยาฝากความหวังไว้ที่เหยาหลิ่งจือสูงแค่ไหน
ผู้ติดตามหนุ่มมองห้าคนที่อยู่บนชั้นสองแล้วตบโต๊ะ แสร้งพูดอย่างโมโหว่า “อาศัยว่ามีคนมาก เลยคิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ?”
ตอนที่คนหนุ่มพูดประโยคนี้ คิ้วตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
ในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เต็มสามโต๊ะ ด้านนอกยังมีทหารม้าอีกหลายร้อยนาย คงเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองไร้ยางอายเกินไปหน่อย เขาจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ทหารกล้าในกองทัพซึ่งแต่งกายเป็นข้ารับใช้ที่นั่งอยู่อีกสองโต๊ะก็พากันหัวเราะตามอย่างครื้นเครง
พวกเขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวของคนบนชั้นสองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าพลังอำนาจของคนเหล่านั้นน่าเกรงขามมากพอ ถึงขั้นทำให้จิตใจคนสั่นสะเทือนได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า?
ก็แค่พวกคนบุ่มบ่ามในยุทธภพเท่านั้น
คนในยุทธภพของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกตัดกระดูกสันหลังกันไปนานแล้ว เป็นได้แค่สุนัขกลุ่มหนึ่งที่นอนหมอบส่ายหางขอความสงสารเมตตาอยู่หน้าประตูราชสำนักเท่านั้น
และคนที่ลงมือตัด ทุบกระดูกสันหลังของทั้งยุทธภพให้แหลกละเอียดด้วยมือตัวเอง วันนี้ก็นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี
ผู้ที่เจตนาดีไม่มา ผู้ที่มาเจตนาไม่ดี
เถ้าแก่เนี้ยะที่มีฉายาว่าจิ่วเหนียงไม่ได้รู้สึกโล่งอกเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน กลับกันยังหนักใจมากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ท่านปู่สามแจ้งชื่อแซ่ของตัวเองไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังบีบบังคับกันถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาเพราะคำว่า ‘เหยา’
หากเกิดข้อพิพาทกันขึ้นมา กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องนี้ไปสร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเหยา
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ตรงผ้าม่านพยักหน้าให้สตรีแต่งงานแล้วเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มขื่น เดิมทีอีกฝ่ายก็เหมือนนักประพันธ์ร่ำสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา (สุภาษิตที่มีความหมายเปรียบเปรยถึงว่าเจตนาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือมีเจตนาอย่างอื่น) อยู่แล้ว พวกเขาอาจจะกลัวว่าใต้หล้ายังไม่วุ่นวายพอด้วยซ้ำ คงต้องการลากคนทั้งตระกูลเหยาลงน้ำ
ทั้งที่รู้ดีว่าทุกวันนี้ตระกูลเหยาอยู่ท่ามกลางมรสุมที่พัดแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่เงียบๆ ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร และนางกับโรงเตี๊ยมก็ได้แต่ทนแล้วทนอีก ทว่าเวลานี้นางกลับไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนบนชั้นสองถอยกลับไป คนเขาหวังดีออกหน้าช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับต้องการให้คนเขาทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดอง สตรีแต่งงานแล้วทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
บัณฑิตชุดเขียวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้คือ?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเฝื่อน “ผู้สูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวง ไม่ควรมีเรื่องด้วย”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่กำลังจะพูด สตรีแต่งงานแล้วก็เอ่ยอย่างระอาใจเสียก่อน “จงขุย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า เลิกก่อกวนได้แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายมาก ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจเจ้าอีก”
บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็ยอมปิดปากเงียบจริงๆ
เฉินผิงอันหลุบตามองต่ำมายังชั้นหนึ่ง ถามว่า “รังแกสตรีคนหนึ่งอย่างเถ้าแก่เนี้ยะ ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่กระมัง?”
ผู้ติดตามหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ออกมาทำการค้า รินเหล้าให้ลูกค้าแค่ไม่กี่จอก จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่หัวใจของชายหนุ่ม “ลองถามใจตัวเองดู”
คนหนุ่มอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเหล้าคำใหญ่ ก่อนจะเช็ดปาก พูดด้วยรอยยิ้ม “หากประโยคนี้ออกมาจากปากของอาจารย์ฉู่แห่งสำนักศึกษา ข้าต้องตั้งใจใคร่ครวญให้ดีอย่างแน่นอน แต่เจ้าน่ะ คู่ควรด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เหตุผลก็คือเหตุผล ยังต้องแบ่งด้วยหรือว่าออกมาจากปากของใคร? เจ้าชอบรังแกคนที่อ่อนแอ หวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่หรือ? เชื่อว่าขอแค่เป็นคนที่หมัดแข็งแกร่งกว่าเจ้า จะมีเหตุผลหรือไม่ เจ้าก็คงต้องยอมฟังกระมัง?”
คนหนุ่มพยักหน้ารับ “คำพูดเหล่านี้ ข้ารับฟังไว้แล้ว มีเหตุผลมากจริงๆ”
จากนั้นเขาก็ขว้างถ้วยเหล้าที่อยู่ในมือ ชูแขนขึ้นสูง กางนิ้วทั้งห้าออกแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูว่าหมัดใครแข็งกว่ากัน? ข้าอยากจะเห็นนักว่าในอาณาเขตของต้าเฉวียนแห่งนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้างัดข้อกับข้า”
สตรีแต่งงานแล้วกังวลว่าเฉินผิงอันที่ยังเด็กจะใช้อารมณ์นำเหตุผล ชิงลงมือก่อน ถึงเวลานั้นจะเสียเปรียบอย่างหนัก จึงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชายอย่าได้วู่วาม คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งจึงออกมาจากเมืองหลวง มีพระราชโองการของฮ่องเต้อยู่กับตัว หากท่านลงมือก่อน ต่อให้มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่กระจ่าง”
ผู้ติดตามหนุ่มมองไปทางสตรีแต่งงานแล้วด้วยสายตามืดทะมึน “หุบปาก! เป็นแค่แม่หม้ายรองเท้าขาด (รองเท้าขาดเป็นคำด่าผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษไม่เลือกหน้า) มีสิทธิ์อะไรมาสอดปากพูด? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
สตรีแต่งงานแล้วหน้าเขียวคล้ำ
ผู้ติดตามหนุ่มชี้ไปยังจิ่วเหนียง แล้วค่อยชี้ไปทางพวกเฉินผิงอันที่อยู่บนชั้นสอง แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “จิ่วเหนียงแซ่เหยาแอบสมคบคิดกับคนในยุทธภพของแคว้นอื่น หวังจะชิงรถนักโทษ มีโทษมหันต์”
สตรีแต่งงานแล้วเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ในที่สุดก็หลุดด่าด้วยคำหยาบคาย “ตะพาบน้อยอย่างเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
คนหนุ่มชี้ไปที่ตัวเอง พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้า? ตะพาบน้อย?!”
เขากระแอมหนึ่งที จัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อิงตามคำพูดของเหยาฮูหยินท่านนี้ เกาซื่อเจินก็ต้องเป็นตะพาบเฒ่าสินะ ฮ่าๆ เจ้าว่าตลกหรือไม่? กลับไปบ้านข้าจะต้องเอาเรื่องตลกนี้ไปเล่าให้เกาซื่อเจินฟังสักหน่อย”
จิ่วเหนียงสตรีแต่งงานแล้วกับท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมหันมามองตากัน ต่างคนต่างใจสั่น
เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน!
ท่านกั๋วกงบุคคลผู้มากความสามารถที่หาได้ยากในราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างยิ่ง
ต้าเฉวียนสงบสุขมานาน สกุลหลิวสืบทอดแคว้นมาถึงสองร้อยปี ยุคแรกของการก่อตั้งประเทศ คนต่างแซ่ที่ได้รับบรรดาศักดิ์รวมแล้วมีจวิ้นหวังสามคน กั๋วกงเจ็ดคน แต่ผู้ที่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์มาจนถึงทุกวันนี้กลับมีแค่สายของเซินกั๋วกงสายเดียว คนอื่นๆ ล้วนทุบถ้วยข้าวที่บรรพบุรุษใช้ชีวิตแลกมาทิ้งไปหมดแล้ว และเซินกั๋วกงก็มีบุตรชายอยู่คนเดียว เป็นบุตรชายที่ได้มาตอนเขาอายุมากแล้ว ก็คือกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้ อยู่ในเมืองหลวงเจ้าหมอนี่ก็มีชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่กำเริบเสิบสาน โด่งดังไปทั่วราชสำนัก อาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษสร้างหายนะใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับอยู่รอดปลอดภัยมาได้ทุกครั้ง ความใจกว้างที่ฮ่องเต้มีต่อเกาซู่อี้ ไม่ว่าองค์ชายหรือองค์หญิงคนใดก็ไม่อาจทัดเทียมได้
ดังนั้นวงการขุนนางของราชสำนักจึงมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า กั๋วกงน้อยออกจากจวน แผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน
ลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดนี้มาเข้าร่วมการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ได้อย่างไร? แม้ฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อสายของเซินกั๋วกงดีเป็นพิเศษ ทว่าด้วยความปรีชาของฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้เด็ดขาด
คนในราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ไม่กลัวว่าจะหาเรื่องให้ไฟลุกลามไหม้ตัวมากที่สุด เกรงว่าคงเป็นเกาซู่อี้ที่ไร้ขื่อไร้แปผู้นี้แล้ว
ซ่งเซียวแม่ทัพใหญ่ที่คุณูปการการต่อสู้เกริกก้อง ควบตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม หลังจากที่หลานชายคนโตถูกเกาซู่อี้รังแก ก็ยังได้แค่ด่าเกาซู่อี้ประโยคหนึ่งว่าไม้กวนขี้
บนชั้นสอง เว่ยเซี่ยนอธิบายถึงภูมิหลังของเซินกั๋วกงให้เฉินผิงอันฟังเบาๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ และในขณะที่ทุกคนนึกว่าเขาที่รู้ถึงปัญหาแล้วจะยอมถอยนั้นเอง เขาที่อยู่บนชั้นสองกลับมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าท่านกั๋วกงน้อยในเวลาเพียงชั่วพริบตา
……
บนถนนด้านนอกโรงเตี๊ยม ทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสารถีกำลังเคี้ยวอาหารแห้งฝืดคอ บางครั้งก็ยกกาน้ำขึ้นดื่ม
เขาเงยหน้ามองนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งที่บินขึ้นไปจากด้านหลังโรงเตี๊ยม แล้วก็มีคนวิ่งตะบึงออกมา รอให้ทหารม้าออกคำสั่ง บนไหล่ของทหารม้าผู้นี้มีนกอินทรีสีขาวปลอดลักษณะสูงสง่าตัวหนึ่งยืนเกาะอยู่ เขาเพียงโบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจ”
คนผู้นั้นจึงถอยออกไปเงียบๆ
ทหารม้าก็คือคนที่นำข่าวมาส่งให้โรงเตี๊ยมตอนแรกสุดคนนั้น สารถีที่อยู่ข้างกายเขายืดเอวตั้งตรง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเลิกผ้าม่านเดินออกมา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชาย เหตุใดถึงไม่เข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยกันเล่า?”
บุรุษยิ้มให้แล้วส่ายหน้า
การควบคุมตัวเองคือความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
สำหรับคนที่เกิดมาในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขาแล้ว การควบคุมคนเป็นเรื่องที่ได้รับกล่อมเกลาจากสิ่งที่เห็นและได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และการใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นกระจกเงาก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก
ในรถมีผู้ฝึกลมปราณสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก รับผิดชอบคอยเฝ้านักโทษคนหนึ่งที่มีความสำคัญสูงสุดคุมตัวไปส่งยังเมืองเซิ่นจิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของต้าเฉวียน คนที่พูดกับทหารม้าคือผู้เฒ่าแก่หง่อมที่สวมชุดเต๋าสีม่วง สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะ มือข้างหนึ่งถือปลายเชือก มืออีกข้างหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น
นักโทษผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ก้มหน้าไม่พูดไม่จา มองเห็นหน้าตาไม่ชัด
ชุดคลุมสีทองขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี ตรงข้อมือและข้อเท้าต่างก็ถูกปักตรึงด้วยวัตถุลักษะคล้ายวัชระ
นอกจากนี้บนลำคอยังมีเชือกสีดำรัดพัน ปลายเชือกอีกฝั่งหนึ่งถูกนักพรตผู้เฒ่าถือไว้ในมือ
จุดที่น่าสังเวชที่สุดของนักโทษอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาที่ถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงทะลุศีรษะ ปลายกระบี่โผล่ออกมาจากท้ายทอยด้านหลัง ปักคาหัวของเขาอยู่อย่างนี้
นักโทษคนนี้คือเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการคนหนึ่ง เคยเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หากอยู่ในพื้นที่การปกครองของตัวเอง อย่างน้อยก็มีตบะเทียบเท่าขอบเขตแปด อยู่ในแม่น้ำและภูเขาของพื้นที่แถบหนึ่งสามารถเรียกตัวเองเป็นราชาเป็นอริยะ เมื่อเจอกับขอบเขตเก้าโอสถทองก็ยังมีพลังให้ต่อสู้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ในห้องโดยสารนอกจากผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าแล้วยังมีหญิงสาวอยู่อีกคน ดวงตาของนางที่มองนายทหารท่านนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในกลับฉายชัดโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
หน้าตาของหญิงสาวแค่เรียกได้ว่าหมดจดเกลี้ยงเกลาเท่านั้น เพียงแต่บุคลิกกลับโดดเด่น ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งยิ่งกว่าหิมะ เมื่อเทียบกับสาวงามในสายตาของมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ยิ่งคู่ควรกับคำว่า ‘นวลเนียนผุดผาด’ ถึงอย่างไรในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สาวงามในโลกมนุษย์ก็เป็นแค่เนื้อหนังมังสาที่เน่าเหม็น ผิวพรรณหยาบกระด้าง มีกลิ่นแตกต่างกันออกไป หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อย
ทหารม้าพลันหันหน้ามองไปทางโรงเตี๊ยมคล้ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สีหน้าของผู้เฒ่าเองก็เผยความตกตะลึง “ช่างเป็นพลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธ์ที่น่าตะลึงยิ่งนัก อีกทั้งยังมีจำนวนมากขนาดนี้ โรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งหนึ่งเป็นถ้ำพยัคฆ์บ่อมังกรได้ขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่ากั๋วกงน้อยทายถูกแล้ว เป็นยอดฝีมือของเป่ยจิ้นที่ทุ่มหมดหน้าตัก หมายจะมาชิงตัวนักโทษ?”
หญิงสาวถามหยั่งเชิง “จะให้ข้าไปเตือนท่านกั๋วกงสักหน่อยไหม?”
ทหารม้าส่ายหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราคือแผ่นดินแคว้นต้าเฉวียน เว้นเสียแต่ว่าตระกูลเหยาคิดจะก่อกบฏ ก็ไม่มีทางมีอันตรายอะไรได้”
ดวงตาของนักพรตเฒ่าชุดเต๋าเปล่งแสงวูบวาบ ไม่ได้เอ่ยคำใด
ครู่หนึ่งต่อมา เซียนซือผู้เฒ่ากำลังจะพูด ทหารม้าคนนี้กลับกระโดดลงจากรถม้า เดินตรงดิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว
หลังจากที่นายทหารม้าจากไป หญิงสาวที่มาจากตระกูลเซียนบนภูเขาคนนั้นก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ท่านกั๋วกงน้อยบีบบังคับคนตระกูลเหยาถึงเพียงนี้ อีกทั้งองค์ชายเองก็ไม่ทรงห้ามปราม จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ใต้หล้านี้ใครก็อาจก่อกบฏได้ มีแต่ตระกูลเหยาที่ไม่ทำเช่นนั้น เป็นขุนนางผู้ภักดีต่อแคว้นมานานแล้ว…”
มุมปากของผู้เฒ่าคลี่ยิ้มเย็นชา “ก็อาจจะเสพติดไปแล้วจริงๆ”
นักโทษคนนั้นยังคงก้มหน้า แต่กลับพูดกลั้วหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “พูดถึงขุนนางผู้ภักดีและเสาหลักที่ช่วยค้ำยันชายแดน กลับใช้คำพูดดูแคลนเห็นเป็นเรื่องตลก ต่อให้ราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเจ้าจะเรืองอำนาจได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?”
“ยังกล้าปากดี!”
เซียนซือผู้เฒ่าสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง เชือกเส้นนั้นพลันรัดคอนักโทษแน่น นักโทษสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กัดฟันแน่น ให้ตายก็ไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา
ในโรงเตี๊ยม ภาพเหตุการณ์ประหลาดพลันเกิดขึ้น
คนชุดขาวมาโผล่กลางห้องโถงใหญ่อย่างไม่มีลางบอกเหตุ
กั๋วกงน้อยเกาซู่อี้สัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี ขณะที่กำลังจะก้าวถอยหลังอย่างตกใจ กลับรู้สึกว่าตาลายในฉับพลัน และไหล่ก็ถูกคนคว้าจับเอาไว้
คนอีกสามโต๊ะที่เหลือ นอกจากขันทีที่ยังคงดื่มเหล้าอยู่เหมือนเดิม ทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว
เซียนซือกวานสูงและแม่ทัพเกราะเงินต่างลุกขึ้นยืน คิดจะช่วยเกาซู่อี้ แต่กลับต้องหยุดชะงัก
เพราะมีกระบี่ยาวสีแดงสดเล่มหนึ่งพุ่งจากชั้นสองมาหยุดลอยอยู่ระหว่างโต๊ะสองตัว ปลายกระบี่ชี้ไปที่เซียนซือกวานสูง
ส่วนแม่ทัพเกราะเงินคนนั้น หลังจากหยุดชะงักแล้วก็หันไปมอง เห็นว่ามีคนบนชั้นสองเดินขยับออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มือจับด้ามดาบ หยุดหิมะดาบแคบในมือเหมือนจะหลุดมิหลุดจากฝัก
บุรุษร่างเล็กเตี้ยพลิกตัวข้ามราวระเบียง พลิ้วกายลงตรงธรณีประตูของชั้นหนึ่ง ราวกับว่าจะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางทหารม้าหลายร้อยนายที่อยู่ข้างนอก
ขันทีวัยกลางคนที่สวมชุดหม่างสีแดงมองเหมือนคนอายุสามสิบ แต่ในความเป็นจริงกลับอายุมากถึงแปดสิบปีแล้ว คือหนึ่งในปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับการขนานนามให้เป็นโส่วกงไหว (ชื่อของต้นไหวชนิดหนึ่ง ตอนกลางวันใบจะหุบ ตอนกลางคืนใบจะขยายออก) แห่งวังหลวงต้าเฉวียน หลังจากที่เขามีชื่อเสียงขึ้นมา วังหลวงต้าเฉวียนที่แต่เดิมมักมีข่าวว่าภูตผีออกอาละวาดก็ไม่เคยมีข่าวลือที่แปลกประหลาดอีกเลย ทุกเรื่องเหมือนหายเข้ากลีบเมฆไปหมด
แต่ว่าจุดที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงของขันทีใหญ่ท่านนี้อยู่ที่ปีนั้นเขาสามารถซื้อใจพวกลูกสมุนในยุทธภพมาได้กลุ่มใหญ่ ไล่ตัดรากถอนโคนพรรคอันดับต้นๆ ในยุทธภพหลายสิบพรรคที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียน ตลอดเวลาสามปี ทั่วทุกหนแห่งในยุทธภพมีแต่ลมคาวฝนเลือด ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ล้วนส่งคนมาลอบฆ่าขันทีเฒ่าผู้นี้อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนกลับไปมือเปล่าเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น
คนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับขันทีเฒ่า เซียนซือกวานสูงชื่อว่าสวีถง คือประมุขคนปัจจุบันของอารามฉ่าวมู่ซึ่งเป็นตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในอาณาเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้า สามารถออกคำสั่งแก่ภูตผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกตัวมาให้ตัวเองใช้งาน อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ เชี่ยวชาญการหลอมยา ยาที่หลอมออกมาคือสิ่งที่เหล่าผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์ต้าเฉวียนแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
แม่ทัพเกราะเงินสวี่ชิงโจว คือยอดฝีมือสูงสุดที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในกองทัพต้าเฉวียน อายุไม่ถึงสี่สิบปี ทว่ากลับฝึกวิชาเลี่ยนเหิงได้ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ‘ต้าเฉี่ยว’ ดาบเล่มใหญ่ที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นอาวุธหนักชิ้นสำคัญของสำนักการทหาร ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน ทุกครั้งที่ลงสนามรบจะต้องบุกนำเป็นทัพหน้า รุดโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญ
เกาซู่อี้โคจรลมปราณดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไร้ประโยชน์
เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัว กลับยังกดยิ้มลึกกว่าเดิม “ตระกูลเหยาของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏจริงๆ งั้นรึ?”
คนชุดขาวเพิ่มแรงอีกเล็กน้อย เกาซู่อี้ปวดไหล่แปลบเป็นระลอก แต่ก็ยังฝืนรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
คนผู้นั้นพูดกับเขาว่า “ข้าเป็นแค่คนผ่านทางมา เจ้าหาเรื่องข้าไม่เลิกแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ข้าก็แค่หนีไปทางแคว้นเป่ยจิ้น ส่วนตระกูลเหยาอะไรนี่ พวกเจ้าอยากจะสาดน้ำโคลนใส่พวกเขาก็สาดไป ข้าไม่คิดจะสนใจ”
คำพูดหลอกเด็กพวกนี้ ใครจะเชื่อ?
เกาซู่อี้แยกเขี้ยว เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก “แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าสิ”
เฉินผิงอันเขม้นมองเขา
เกาซู่อี้พูดกับเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงที่เบามาก “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าถูกใจแม่ลูกคู่นั้น ถือเป็นความโชคดีของพวกนาง หาไม่แล้วหลังจากสกุลเหยาถูกฆ่าล้างตระกูล อีกไม่นานพวกนางก็จะถูกส่งตัวไปที่หน่วยเลี้ยงรับรอง (หน่วยงานของทางการ ทำหน้าที่รับรองแขก ทำการแสดง เล่นดนตรี ขณะเดียวกันก็ถือเป็นหอนางโลมของทางการด้วย) กลายเป็นนางบำเรอที่ต้องรองรับอารมณ์บุรุษไม่เลือกหน้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็ลองไปชิมรสชาติของพวกนางดูได้”
กั๋วกงน้อยเพิ่งจะพูดจบ หมัดของเฉินผิงอันก็ส่งมาถึง
ต่อยเข้าที่หน้าผากของเกาซู่อี้โดยตรง
พละกำลังหนักหน่วง ประหนึ่งก้อนหินยักษ์ที่จู่โจมเมือง
ศีรษะของเกาซู่อี้เหวี่ยงไปด้านหลัง แม้ว่าหยกพกตรงเอวจะมีประกายแสงห้าสีสว่างวาบขึ้นมาระลอกหนึ่งแล้วมารวมตัวกันตรงหน้าผากในเสี้ยววินาที แต่เขาก็ยังถูกหมัดนี้ต่อยจนหมดสติกลางอากาศ น้ำลายฟูมปาก
หลังรับพลังจากหนึ่งหมัดมา หยกประดับคุ้มกันกายชิ้นนั้นก็เกิดรอยร้าว
เนื่องจากไหล่ถูกเฉินผิงอันจับไว้ตลอดเวลา ศีรษะของเกาซู่อี้จึงเหวี่ยงไปแล้วเหวี่ยงกลับเหมือนชิงช้า เฉินผิงอันปล่อยหมัดที่สองใส่คนผู้นี้
ดึงผมเส้นเดียวกระตุกทั้งตัว (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นส่วนที่เล็กมาก แต่กลับส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง คล้ายสำนวนน้ำผึ้งหยดเดียว)
เสียงปังดังลั่น
ขันทีวัยกลางคนวางตะเกียบลงอย่างแรง พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าหนุ่ม แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้วกระมัง”
แม้ความประทับใจที่มีต่อกั๋วกงน้อยผู้มีอุบายลึกล้ำจะไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็คงปล่อยให้เกาซู่อี้ถูกคนฆ่าตายอยู่ภายใต้เปลือกตาของตนไม่ได้
หลังจากที่ขันทีผู้นี้ส่งเสียง เซียนซือสวีถงและแม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวก็รู้สึกโล่งอก
ทว่าคนผู้นั้นกลับยังไม่ยอมหยุดมือ
หยกประดับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเกาซู่อี้ชิ้นนั้นแตกกระจาย
เมื่อหยกแตกเป็นผุยผง เกาซู่อี้กลับคืนสติ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดด้วยสีหน้าดุดัน “ไอ้ลูกหมา ข้าจะต้องทำให้เจ้าและตระกูลเหยาไร้ที่ฝังร่าง!”
ขันทีชุดหม่างสีแดงสดลุกพรวดขึ้นยืน คำรามเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น กี่ปีมาแล้ว ยังมีคนกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าตนแบบนี้อีกหรือ?
เถ้าแก่เนี้ยะกรีดร้องเสียงแหลม “หยุดนะ!”
เฉินผิงอันหันกลับไปมอง สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้าเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยความร้อนใจ อยากจะพูดแต่กลับไม่กล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ได้แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “คุณชายมีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันเถอะ เชื่อว่ากั๋วกงน้อยแค่ล้อพวกเราเล่นเท่านั้น”
ขันทีวัยกลางคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธพูดสรุปเหมือนตอกปิดฝาโลง “ไม่ต้องคุยแล้ว ตระกูลเหยาของพวกเจ้าร่วมมือกับคนของเป่ยจิ้นก่อกบฏ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ระหว่างที่พูดขันทีก็ประกบนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดลงไปบนโต๊ะหนึ่งครั้ง
ชูอีสืออู่พุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน แยกกันไปทำลายตะเกียบคู่นั้นให้แหลกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
หมัดที่สามต่อยจนร่างทั้งร่างของเกาซู่อี้ปลิวกระเด็นออกไป เว่ยเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้าประตูขยับเบี่ยงหลบ ปล่อยให้ศพของกั๋วกงน้อยผู้นี้หล่นไปนอกโรงเตี๊ยม
ทหารม้าผู้นั้นเพิ่งจะเดินมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากประตูไปไม่ไกล เห็นศพที่ตกมาอยู่บนพื้น เขาก็ยังไม่ทันคืนสติ เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าเชื่อว่านี่คือความจริง
เฉินผิงอันหันไปพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “รู้หรือไม่ว่าทำไมแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาถึงเกือบถูกลอบสังหารจนตาย? เพราะพวกเจ้าพูดง่ายเกินไป เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนรู้สึกว่าต่อให้แม่ทัพผู้เฒ่าตายไป ลูกหลานสกุลเหยาทุกคนก็ไม่มีใครกล้าพูด กล้าโมโห”
ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วจะไม่ได้ยินคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าของนางเหม่อลอย พูดพึมพำว่า “ตายแล้ว ถูกเจ้าฆ่าตายทั้งอย่างนี้แล้ว เซินกั๋วกงต้องเป็นบ้าแน่ และฮ่องเต้ก็ต้องพิโรธอย่างหนัก สกุลเหยาจบเห่แล้ว”
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวของโรงเตี๊ยมก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
เด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็ยิ่งมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
ในโรงเตี๊ยม มีเพียงเสียงท่องหนังสืออย่างใส่อารมณ์จากเด็กหญิงที่อยู่บนชั้นสองเท่านั้น
และเวลานี้เอง บัณฑิตตกอับพลันยกมือตบไหล่สตรีแต่งงานแล้ว ทั้งๆ ที่หันหลังให้เฉินผิงอัน แต่กลับมีเสียงของเขาดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน “เจ้าฆ่าให้เต็มที่ ข้าจะช่วยฝังเอง”