บทที่ 348 ท่านอาจารย์ที่แท้จริง
หลังจากที่เจ้าแม่เทพวารีพูดจบก็ไม่ได้รับคำตอบสักที พอเงยหน้ามองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อาจารย์น้อยผู้นั้นนั่งหลับไปแล้ว มีเพียงเสียงกรนเบาๆ
นางยิ้มอย่างปลื้มใจ ความเป็นตัวของตัวเองและความใจกว้างนี้ของอาจารย์น้อย มองดูเหมือนไม่พิถีพิถัน แต่ในสายตาของนางกลับไม่เป็นรองเหล่าวีรชนผู้กล้าในโลกที่ ‘สิบก้าวฆ่าหนึ่งคน เดินทางพันลี้ไม่หยุดยั้ง’ เลยแม้แต่นิดเดียว
เทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นี้ครุ่นคิดแล้วก็เตรียมจะเดินไปแบกเฉินผิงอันพาไปพักผ่อนที่ห้องรับรอง เผยเฉียนกลับตั้งท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ รีบมาปกป้องอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เจ้าแม่เทพวารีมองค้อน “หรือจะให้เขานอนอยู่ตรงนี้จนตะวันแยงตาล่ะ? ถึงอย่างไรก็น่าจะให้เขาได้นอนบนเตียงใหญ่ที่สบายหน่อย ไม่อย่างนั้นจวนปี้โหยวของข้าจะยังมีหน้าต้อนรับแขกคนใดได้อีก”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที เอ่ยกำชับว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าระวังหน่อย อย่าทำเสียงดังให้พ่อข้าตื่น”
ขณะเดียวกันเผยเฉียนยังหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาห้อยไว้ตรงเอวของเฉินผิงอันอย่างระมัดระวัง
หากทำน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนี้หาย เกรงว่าหากนางไม่ถูกเฉินผิงอันตีตายก็คงถูกเขาด่าตายแน่
ช่วยไม่ได้ สำหรับในหัวใจของเฉินผิงอันแล้ว นางเป็นคนที่ไม่มีค่ามากที่สุด
เจ้าแม่เทพวารีไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับคำเรียกขานของเด็กหญิง นางย่อมมองออกว่า อาจารย์น้อยเฉินไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเด็กหญิง ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กถึงได้จับคู่กันเดินทางหาประสบการณ์อยู่ในยุทธภพ คาดว่าคงเป็นโชควาสนากระมัง วาสนามีพบมีพราก มีมาและจากไป มหัศจรรย์จนไม่อาจหาคำพูดมาบรรยายได้ ก็เหมือนกับคืนนี้จนถึงเช้านี้ ใครเล่าจะจินตนาการได้ว่าเฉินผิงอันที่เพิ่งมาเยือนจวนปี้โหยวครั้งแรกจะนำพาโชควาสนายิ่งใหญ่ขนาดนี้มาให้นาง? ต้องรู้ว่าบนเส้นทางแห่งเทพ แทบจะพึ่งพาได้แค่การสะสมควันธูปในแต่ละวันแต่ละเดือนอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว การเลื่อนขั้นยากยิ่งกว่ามาก ลองจินตนาการดู การเลื่อนขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ นอกจากการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก พระราชโองการจากฮ่องเต้ ใช้โชคชะตาแห่งแคว้นแลกมาด้วยตำแหน่งสูงขององค์เทพบางองค์แล้ว ก็ได้แต่ค่อยๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย เก็บเอาแก่นควันธูปหนึ่งเฉียน หนึ่งตำลึง หนึ่งจินมาจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปในศาล
เจ้าแม่เทพวารีเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล แบกคนหนุ่มที่เมาได้เรียบร้อยที่สุดในใต้หล้าขึ้นมา เขาตัวไม่หนัก และนางเองก็ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่ให้ไปถึงเรือนเล็กโดยตรง แต่แบกเฉินผิงอันค่อยๆ เดินไปทีละก้าว สำหรับเจ้าแม่เทพวารีที่มีนิสัยใจร้อนแล้ว นี่ถือว่าเป็นความอดทนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางอยากรู้อย่างยิ่งว่า ในท้องคนหนุ่มผู้นี้บรรจุความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไว้ได้อย่างไร เหตุใดถึงถูกท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและฉีจิ้งชุนมองเป็นผู้สืบทอดสายบุ๋น ตอนนั้นเขาน่าจะเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?
หากได้สัมผัสกับหลักการเหตุผลตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นเขาต้องมีชาติกำเนิดที่ดีแค่ไหน ต้องมีพรสวรรค์ที่ดีเท่าไหร่ถึงจะได้? หรือว่าเขาจะเป็นลูกรักสวรรค์ในตำนานที่บอกว่าเป็นดวงวิญญาณเทพลงมาจุติ เกิดมาก็รอบรู้?
แต่พอคิดอย่างนี้นางกลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ผู้มีพรสวรรค์แบบใดบ้างที่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาน่าจะไม่ได้ไร้รสนิยมถึงขนาดนั้น
เผยเฉียนเดินอยู่ข้างเจ้าแม่เทพวารี คอยแหงนหน้ามองประเมินสีหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลา พอเห็นว่าเจ้าของจวนแห่งนี้มีรอยยิ้มประหลาด ในที่สุดเด็กหญิงก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าคงไม่ได้ชอบพ่อข้าหรอกกระมัง?”
เจ้าแม่เทพวารีส่ายหน้าพูดเสียงอ่อนโยน “ไม่หรอก ข้าทั้งไม่ชอบ แล้วก็ทั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร หากจะต้องเลือกบัณฑิตคนหนึ่งบนโลกมาเป็นสามีที่พึ่งพากันไปจนแก่เฒ่าจริงๆ ข้าคงจะชอบคนอย่างวิญญูชนเนื้อตัวสกปรกคนนั้นมากกว่า แต่งงานกับผู้ชายแบบเขาถึงจะมีชีวิตอยู่ร่วมกันไปได้ กับคุณชายเฉินผู้นี้ ยาก”
หากนางบอกว่าชอบเฉินผิงอัน เผยเฉียนจะต้องโกรธ แต่พอได้ยินเทพวารีลำคลองหมายเหอบอกว่าไม่ชอบ นางกลับยิ่งโกรธเข้าไปอีก หลุดปากพูดไปว่า “เจ้ามันตาบอด!”
อ่านนิยาย
เจ้าแม่เทพวารีหันมามองเด็กหญิงที่ถลึงตาปูดโปนด้วยความโมโหแล้วเอ่ยกลั้วยิ้ม “โอ้โห หรือว่าสตรีใต้หล้าทุกคนล้วนต้องชอบเฉินผิงอัน ถึงจะเรียกว่าไม่ตาบอด?”
เผยเฉียนแค่นเสียงหึ สีหน้าเย่อหยิ่งประมาณว่า ‘สตรีผมยาวความรู้สั้นอย่างเจ้า ข้าไม่มัวเปลืองน้ำลายพูดด้วยหรอก’
เดิมทีเจ้าแม่เทพวารีก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางนี้ของเผยเฉียนก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ส่วนเผยเฉียนที่รู้สึกว่าโดนดูถูกกลับยิ่งโมโหหนักกว่าเก่า “หัวเราะอะไร พ่อข้าคือผู้มีพระคุณของเจ้า ข้าคือลูกสาวของเขา ข้าก็คือผู้มีพระคุณน้อยของเจ้า หัดให้ความเคารพกันเสียบ้าง!”
ฝีเท้าของเจ้าแม่เทพวารีแผ่วเบาว่องไว นางถามเบาๆ ว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้ามอบของขวัญขอบคุณเจ้าสักชิ้นดีไหม?”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย เพียงแต่ไม่นานก็หม่นแสงลง พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “ช่างเถิด เจ้ามอบให้เฉินผิงอันเองก็แล้วกัน ข้าไม่กล้ารับของขวัญส่งเดช ไม่อย่างนั้นพอเขาตื่นขึ้นมาต้องรังเกียจที่ข้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ไม่รู้จักมารยาทเป็นแน่ ความหวังดีกลับถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ข้าจะต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปทำไม? เจ้าว่าไหม?”
เจ้าแม่เทพวารีกลั้นหัวเราะอยู่นานกว่าจะสำเร็จ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เป็นไร ข้าย่อมต้องมีของขวัญล้ำค่ามอบให้เฉินผิงอันอยู่แล้ว ส่วนเจ้าน่ะ ในเมื่อเจ้าเป็น ‘ลูกสาวของเฉินผิงอัน’ ข้าในฐานะผู้อาวุโส พบเจอกันครั้งแรก มอบของบางอย่างให้เจ้า ต่อให้เจ้าแอบเก็บไว้ ไม่ให้เฉินผิงอันเห็น แต่อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงอะไรด้วย อีกอย่างเจ้าไม่ได้เอาไปทำเรื่องชั่วร้ายสักหน่อย หลังจากนี้หากเฉินผิงอันรู้เข้า อย่างมากก็แค่ด่าเจ้าไม่กี่คำ ไม่เจ็บไม่คัน จะต้องกลัวอะไร?”
เผยเฉียนแอบหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะพรืด “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เอาไปทำเรื่องชั่วร้าย? ข้าน่ะชั่วจะตายไป หากข้าได้สมบัติตระกูลเซียนที่ร้ายกาจอย่างถึงที่สุดมาครอง หรือได้เรียนเวทคาถาของเทพเซียนที่ยอดเยี่ยม ข้าเห็นใครไม่ถูกชะตา เจอหน้าก็จะหักกระดูกพวกเขาให้ลั่นดังกร๊อบ แม้แต่เฉินผิงอันก็ขวางไม่อยู่! แต่ว่าน่ะ หากถึงเวลานั้นเฉินผิงอันสู้ข้าไม่ได้ ข้าก็จะเห็นแก่หน้าของเขาสักหน่อย จะฆ่าๆๆ ก็ต่อเมื่อข้าอยู่เพียงลำพังคนเดียว ยกตัวอย่างเช่นเจ้าชั่วแซ่จู เจ้าแก่สารเลวผู้นั้น แล้วก็ยังมีนังคนที่ชื่อ ‘โย่วเปียน’ ผู้หญิงหน้าเหม็นที่ตีหน้าเคร่งทั้งวัน ข้าก็ยิ่งฆ่าได้รวดเร็วว่องไว เหมือนเวลาที่ข้าหิวแล้วกินข้าว เพียงพริบตาเดียวก็ต้องให้เฉินผิงอันเติมข้าวถ้วยใหญ่ให้ข้าเพิ่มอีกถ้วย!”
เด็กหญิงยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ดี
แต่เจ้าแม่เทพวารีที่ฟังอยู่กลับอกสั่นขวัญแขวน
จนกระทั่งบัดนี้นางถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าข้างกายเฉินผิงอันมีตัวประหลาดน้อยแบบไหนกันแน่
เปรียบเทียบการฆ่าคนว่าเหมือนการกินข้าว อีกทั้งยังไม่ใช่คำพูดเหลวไหลอย่างเด็กน้อยที่ไม่รู้ความ
เจ้าแม่เทพวารีเปลี่ยนสายตาแบบใหม่มองประเมินเผยเฉียนอย่างละเอียด
เผยเฉียนพลันกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าช่างจิตใจชั่วช้ายิ่งนัก ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น! เจ้าจงใจทำร้ายข้าใช่หรือไม่ คิดจะทำให้เฉินผิงอันเห็นข้าทำความผิดมหันต์ จะได้ขับไล่ข้า แล้วเจ้าก็จะฉวยโอกาสนี้รับตัวข้าเอาไว้ คิดจะให้ข้าเป็นสาวใช้คอยยกน้ำส่งชาอยู่ในจวนปี้โหยวของเจ้า?”
เจ้าแม่เทพวารีไม่เอ่ยตอบ แบกเฉินผิงอันที่หลับสนิทพลางก้มหน้ามองประเมินเด็กหญิงตัวเล็กผอมดำไปด้วย
นางจงใจแสร้งทำเป็นปิดบัง แต่ขณะเดียวกันก็เปิดเผยความเย็นชาในสายตาออกไปเล็กน้อย ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนี้เองหรือ?”
แล้วก็จริงดังคาด เผยเฉียนรีบก้าวถอยไปหนึ่งก้าว แสร้งหัวเราะอย่างผ่อนคลาย “เจ้าแม่เทพวารี ข้าล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง”
เจ้าแม่เทพวารีพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เด็กหญิงที่มีเรือนกายเค้าโครงร่างทองผู้นี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังแทบไม่ต้องคาดหวังว่าจะสามารถควบคุมจิตใจของคนผู้นี้ได้
จู่ๆ เจ้าแม่เทพวารีก็อดนึกไปถึงตอนนั้นที่เผยเฉียนกอบน้ำมา เฉินผิงอันเอ่ยง่ายๆ แค่ประโยคเดียว แม่นางน้อยก็รีบวิ่งกลับไปทางเดิม เอาแก่นน้ำกอบนั้นกลับไปคืน อีกทั้งดูเหมือนว่านางจะทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ ไม่มีความรู้สึกว่าถูกบังคับฝืนใจแม้แต่น้อย
ในที่สุดเจ้าแม่เทพวารีก็ขบคิดเค้าลางบางอย่างได้
คลิก
จากนั้นก็ชื่นชมคนหนุ่มที่แบกอยู่บนหลังในใจ
เผยเฉียนอารมณ์ดี “เมื่อครู่นี้เจ้าแกล้งขู่ข้าให้กลัวสินะ”
เจ้าแม่เทพวารีระอาใจเล็กน้อย เด็กหญิงมีลางสังหรณ์ที่เฉียบไวต่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในใจคนจริงๆ สินะ? หากเป็นคนที่อยู่กับนางนานวันจะต้องเหนื่อยแค่ไหนกัน?
พาเฉินผิงอันมาส่งเรือนเล็กหลังเดี่ยวที่งดงามที่สุดของจวนปี้โหยว ประตูเรือนและประตูห้องต่างก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ขณะที่กำลังจะวางเขาลงบนเตียงที่ทั้งผ้าห่มและผ้าปูเตียงล้วนงดงามสูงค่า เผยเฉียนก็โหวกเหวกขึ้นว่าถอยไปๆ จากนั้นก็ช่วยถอดรองเท้าให้เฉินผิงอัน ห่มผ้าห่มให้เขาเรียบร้อยถึงได้นั่งแปะริมเตียง ถลึงตามองเจ้าแม่เทพวารี ฝ่ายหลังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเองก็มีที่พักเหมือนกัน ข้าจะพาเจ้าไปส่งเดี๋ยวนี้”
เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าต้องเฝ้ายามให้พ่อข้า ป้องกันคนชั่วร้าย”
เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยสัพยอก “พอเถอะน่า เลิกประจบสอพลอได้แล้ว เฉินผิงอันหลับไปแล้วจริงๆ”
เผยเฉียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หันกลับไปมองเฉินผิงอันแวบหนึ่งถึงได้ลุกขึ้นยืน หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาข้าไปงีบหน่อย ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว แต่จำไว้ว่าถ้าพ่อข้าตื่นเมื่อไหร่ต้องรีบไปบอกข้าทันที พวกเรายังต้องรีบเดินทางกันต่อ ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังฟ้าสางจะออกเดินทางพร้อมกับขบวนใหญ่ พ่อข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเสมอ”
เจ้าแม่เทพวารีนับถือเจ้าตัวน้อยแก่แดดผู้นี้จนหมดใจจริงๆ หลังจากพาเผยเฉียนเดินออกจากห้อง นางก็ถามอย่างใคร่รู้ “ขบวนใหญ่? หมายความว่าไง?”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเล่าถึงสถานการณ์ของขบวนเดินทางตระกูลเหยาให้นางฟังคร่าวๆ
เจ้าแม่เทพวารีพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา พวกเจ้านอนหลับให้สบายใจสักสองชั่วยาม เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำเหมือนเมื่อคืน แปบเดียวก็พาพวกเจ้าไปส่งถึงลำคลองหมายเหอตอนบนแล้ว”
เผยเฉียนถึงได้วางใจ ติดตามสตรีรูปร่างเหมือนฟักแคระที่มีเงินอย่างยิ่งผู้นี้ไปยังที่พักของตัวเอง ซึ่งก็คือเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ปากก็หาข้อตำหนิไปเรื่อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ทว่าในใจกลับอิจฉาตาร้อนจะตายอยู่แล้ว ในใจคิดว่าวันหน้าเมื่อตนมีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่จะต้องซื้อบ้านหลังใหญ่แบบนี้ แล้วก็ต้องมีเรือนที่หรูหราโอ่อ่าแบบนี้ แถมยังต้องใช้เงินใช้ทองปูพื้น แล้วก็แปะยันต์กระดาษสีเหลืองให้เต็มห้องด้วย
พาเฉินผิงอันและเด็กหญิงที่เจ้าเล่ห์แสนกลไปพักเรียบร้อย
เจ้าแม่เทพวารีก็เดินก้าวหนึ่งออกไปนอกประตูใหญ่ของจวนปี้โหยว แหงนหน้ามองป้ายที่แขวนหน้าจวนด้วยสายตาเหม่อลอย
ก่อนจะเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาถึงในศาลเทพวารีที่บูชาร่างทองของนางอยู่ เหลืออีกประมาณหนึ่งเค่อก่อนที่ประตูใหญ่จะเปิดรับเหล่าผู้มีจิตศรัทธา นางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในตำหนักหลัก
ก่อนหน้านี้นางสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ฟ้าดินจึงเกิดภาพปรากฎการณ์ผิดปกติ เป็นเหตุให้คนหลายร้อยคนนอกประตูใหญ่ที่มารอจุดธูปพากันก้มหน้ากราบกรานด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุด จิตของนางที่อยู่ในจวนปี้โหยวห่างไปไกลสัมผัสได้ จึงพอจะมีความเข้าใจต่อควันธูปที่บูชาเทพเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ร่างทองดินเหนียวที่ตั้งวางอยู่บนแท่นบูชาในห้องโถงใหญ่กลับคืนมาเป็นสภาพเดิมแล้ว ไม่ได้ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สาดสะท้อนไปทั่วลำคลองหมายเหออีก อันที่จริงเทวรูปนี้เหมือนตัวจริงนางแค่สี่ห้าส่วนเท่านั้น อีกทั้งเรือนกายของเทวรูปยังเป็นสตรีที่อรชรอ้อนแอ้น ชายแขนเสื้อพลิ้วปลิวสะบัด มีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม ประหนึ่งเทพที่ห่มอาภรณ์สวรรค์ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
นางรู้สึกมาโดยตลอดว่ารูปปั้นนี้ไม่ใช่ตัวเองซะเลย งดงามเกินรูปโฉมจริงของนางไปมาก เพียงแต่ว่านี่ก็คือกฎในการสร้างเทวรูปในศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาและแม่น้ำ คนเฝ้าศาลคนแรกสุดของศาลเทพวารีแห่งนี้คือสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่ง หลังจากที่จมน้ำได้ถูกนางช่วยเหลือเอาไว้ จึงยินดีสละสถานะเศรษฐีร่ำรวยในโลกมนุษย์มาทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลให้นางอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง ทำหน้าที่ครั้งหนึ่งก็นานถึงห้าสิบปี จากสตรีแต่งงานแล้วยังสาวก็ค่อยๆ กลายมาเป็นหญิงชราผมขาว เพราะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนจึงมีอายุอยู่ได้แค่แปดสิบปีก็ลาจากโลกนี้ไป แล้วก็เป็นเพราะคนเฝ้าศาลผู้นี้ขยันมุมานะเดินทางไปทั่วทิศ ช่วยรับศิษยานุศิษย์ให้กับตน คอยเปิดโรงทานแจกโจ๊กช่วยเหลือชาวบ้านปีแล้วปีเล่า ก่อนจะจากไป หญิงชรากุมมือที่นิ้วเรียวยาวงดงามดุจหยกมันแพะของเจ้าแม่เทพวารีเอาไว้ พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงแหบแห้งว่าเจ้าแม่ยังคงงดงามถึงเพียงนี้ เทวรูปร่างทองนั้นเป็นเพราะช่างฝีมือไม่ถึง แกะสลักได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นความงามของเจ้าแม่เลย เป็นคนเฝ้าศาลอย่างนางที่ทำงานไม่ดี สุดท้ายหญิงชราถามประโยคหนึ่งกับเจ้าแม่เทพวารีด้วยน้ำตานองหน้า ประโยคที่มีแค่สี่คำเท่านั้น “บาปกรรมหายไปบ้างไหม?”
ไม่รอให้เจ้าแม่เทพวารีตอบคำถาม หญิงชราก็จากโลกนี้ไปก่อน
คนเฝ้าศาลที่ต่อให้ตายก็ยังจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดคนนั้น อันที่จริงช่วงแรกเริ่มนางไม่ใช่คนดีในสายตาของคนบนโลก ตอนที่นางยังสาว บุรุษของนางมีอาชีพเป็นพ่อค้าต้องเดินทางไปข้างนอกอยู่เป็นประจำ นางทนกับความเหงาไม่ไหวจึงไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น หลังเรื่องถูกเปิดเผยก็สมคบคิดกับชายชู้ฆ่าสามี หลังจากนั้นนางก็แต่งงานใหม่ได้สำเร็จ ทั้งยังยึดครองสมบัติทั้งหมดของอดีตสามี รังแกอดีตสามี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แค่ไม่กี่ปี เพราะพบเจอโดยกรรมสัมพันธ์จึงต้องรับกรรมแล้วแยกย้ายจากกัน ครั้งหนึ่งที่นางเดินทางไปเที่ยวชานเมืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บุรุษคนใหม่ของนางที่ได้ใหม่ลืมเก่าจึงทุบตีนางเกือบตายแล้วโยนนางลงไปในลำคลองหมายเหอ
เจ้าแม่เทพวารีที่ตอนนั้นเป็นแค่เทพวารีเล็กๆ ของศาลเถื่อนซึ่งยังไม่ได้รับการแต่งตั้งถึงได้ช่วยนางเอาไว้
มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินที่เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ไม่อาจเข้าใจ
จนกระทั่งได้อ่านตำราของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่บอกว่าเดิมทีนิสัยมนุษย์นั้นชั่วร้าย เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนจึงเปลี่ยนเป็นดีงาม เทพวารีลำคลองหมายเหอถึงได้กระจ่างแจ้งในฉับพลัน
ในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอ นางสามารถอาศัยควันธูปมองจิตใจคน เดิมทีนางรังเกียจความอัปลักษณ์ของจิตใจคนอย่างลึกล้ำ ถึงขั้นไม่ยอมรับควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งเป็นเกลียวเหล่านั้น มักจะรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทำให้คำขอของคนเหล่านั้นเป็นจริง ความชั่วร้ายเสี้ยวหนึ่งก็จะมารัดพันตัวนาง หลังจากนั้นมาสภาพจิตใจของนางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป นางปกครองพื้นที่แถบลำคลองหมายเหอโดยใช้บารมีสยบ ใช้กำลังปราบปรามความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับเทพอภิบาลเมืองหลายท่านที่อยู่ตามเมืองซึ่งตั้งอยู่เลียบลำคลอง แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อราชสำนักมาขอฝนก็ยอมสละพลังที่เหลืออยู่ร่ายใช้เวทอภินิหาร ต่อให้ตบะถดถอย ร่างทองหม่นแสงก็ไม่เสียดาย หวังเพียงได้ตอบสนองในสิ่งที่มีผู้ร้องขอ ไม่สนว่าควันธูปจะมาจากความคิดที่ดีหรือละโมบ อย่างน้อยถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
ทว่าช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาช่างยาวนานนัก ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ความอดทนถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น นางเดินทางไปยังศาลเทพวารีน้อยลงทุกที ยิ่งนานก็ยิ่งชอบอยู่ในจวนปี้โหยวที่ปิดประตูไม่รับแขก มุ่งมั่นอาศัยคาถาจากเซียนเต๋ามาหลอมอาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าเพื่อใช้สิ่งนี้ฆ่าเวลาในช่วงชีวิตการเป็นองค์เทพที่น่าเบื่อหน่าย นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องวงในที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือคาถาที่สืบทอดมาจากบรรพกาลบทนั้นไม่เพียงแต่สามารถหล่อหลอมอาวุธ ยังสามารถหล่อมหลอมน้ำในลำคลองหมายเหอ ยิ่งสามารถหลอมควันธูปในโลกมนุษย์ได้ ถือเป็นวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แห่งตระกูลเซียนที่หากเป็นหนึ่งวิชาก็เชี่ยวชาญทุกวิชาอย่างแท้จริง
เดิมทีคิดว่าในเมื่อเด็กหญิงที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้มาเยือนที่นี่เพราะมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งพรสวรรค์ของนางยังดีขนาดนี้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเจตนารมสวรรค์ที่มองไม่เห็น เผยเฉียนสามารถสืบทอดตำแหน่งเทพของตนและคาถาเต๋าอันสูงสุดไร้ทัดเทียมบทนี้ น่าเสียดายก็แต่ดูเหมือนความจริงจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางก็ได้แต่รอต่อไป การสืบทอดตำแหน่งเทพก็เหมือนการรับลูกศิษย์ของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ระวัง ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์จะเจอกับหายนะ อาจารย์เองก็จะเดือดร้อนร่างมอดม้วยมรรคาดับสลายตามไปด้วย หรือไม่ก็อาจสั่งสอนให้ลูกศิษย์กลายเป็นคนเนรคุณ ทำตัวนอกรีตผิดหลักคุณธรรม หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน
ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่นางนับถือเลื่อมใสมากที่สุด ความรู้ของเขาสูงส่งเท่าไหร่และมากมายเท่าไหร่? แต่สุดท้ายก็สอนคนอย่างชุยฉานออกมาไม่ใช่หรือ?
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดจากหน้าต่างสาดลงมาบนพื้นของตำหนักหลัก เจ้าแม่เทพวารีดึงสายตากลับ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
หญิงชราคนเฝ้าศาลยืนอยู่ตรงหน้าประตู บนใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดี เพราะนี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ
เจ้าแม่เทพวารีเลื่อนขั้นสูงขึ้น ทุกคนที่อยู่ในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็พลอยเป็นดั่งคำว่าหนึ่งคนบรรลุธรรม สุนัขและไก่ต่างก็ได้ขึ้นสวรรค์ตามไปด้วย นับจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่เพียงแต่ปีศาจลำคลองตนนั้นที่ต้องเก็บหางทำตัวสำรวม ไม่กล้าสร้างเรื่องก่อราวอีก เกรงว่าทุกคนตั้งแต่จวนผู้ว่าการ เขตการปกครอง ไปจนถึงอำเภอของแต่ละพื้นที่ก็คงต้องเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นเคารพนบนอบยิ่งกว่าเดิม ต่อให้เป็นนายท่านผู้เฒ่าผู้ว่าการที่เย่อหยิ่งเพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพระคุณนั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าก็อาจต้องเกรงใจตนเพิ่มมากขึ้น
หญิงชราคนเฝ้าศาลถามอย่างกระวนกระวาย “เหนียงเนียง เทพอภิบาลเมือง เทพเจ้าที่ รวมไปถึงพ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับลำคลองหมายเหอของพวกเราต่างก็พากันเดินทางมาแสดงความยินดีกับเหนียงเนียง พวกเขารู้นิสัยเหนียงเนียงดี จึงไม่กล้าไปรบกวนท่านที่จวนปี้โหยว ทุกคนต่างก็เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มารออยู่นอกศาล ท่านจะพบพวกเขาหรือไม่? หากเหนียงเนียงเหนื่อยแล้ว ข้าสามารถช่วยท่านพูดปฏิเสธพวกเขาแทนได้ พวกเขาคงไม่กล้าพูดอะไร”
เจ้าแม่เทพวารีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้ายังพอมีเวลา พบพวกเขาก็แล้วกัน ปกป้องโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำในแถบหนึ่ง สั่งสอนอบรมชาวบ้านนับเก้าแสนคนในอาณาเขต ไม่ใช่สิ่งที่ศาลเจ้าแม่เทพวารีของพวกเราจะทำได้คนเดียว จำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”
ในใจหญิงชราตื่นตะลึงสุดขีด ไม่รู้ว่าเจ้าแม่เทพวารีที่เกียจคร้านผู้นี้เปลี่ยนนิสัยได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี จึงรีบหมุนตัวออกไปทำตามคำสั่งทันที
ขอแค่เจ้าแม่เทพวารีเต็มใจจะใส่ใจ เรียกรวมองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำของที่ต่างๆ มารวมตัวกัน พวกเขาต้องพร้อมใจกันทำตามแน่นอน และศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็จะได้กลายเป็นศาลเทพวารีอันดับหนึ่งของต้าเฉวียนอย่างสมชื่อเสียที!
หลังจากที่สตรีคนเฝ้าศาลรุ่นแรกตายไป ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็เปลี่ยนคนเฝ้าศาลมาคนแล้วคนเล่า แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกอะไรด้วยสักเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ เป็นๆ ตายๆ ก็มีเพียงแค่นี้
เวลานี้เจ้าแม่เทพวารีที่นั่งอยู่เพียงลำพังคล้ายกำลังพูดคุยกับคนรู้จักคนหนึ่ง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าที่เมืองเซิ่นจิ่งมีสองครอบครัวที่เชี่ยวชาญการสร้างเทวรูปมากที่สุด เทวรูปของตระกูลจางขึ้นชื่อเรื่องใบหน้าสั้นแต่งดงาม มีชีวิตชีวามากกว่า ส่วนตระกูลเฉาถูกขนานนามว่าอาภรณ์พลิ้วปลิวลม ล่องลอยดุจเซียน เจ้าคิดว่าแบบไหนเหมาะสมกับข้า? เจ้าชอบช่างของตระกูลใดมากกว่ากัน?”
มุมปากของนางตวัดขึ้น หรี่ตาหัวเราะ โบกมือหนึ่งครั้ง “เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว ตระกูลใดกล้าพูดจาใหญ่โต ตั้งราคาสูงก็เลือกตระกูลนั้น ตอนนี้พวกเราไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงินทองกันแล้ว!”
……
ยามเช้าตรู่ จุดพักม้าริมลำคลอง แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นพบว่าเฉินผิงอันไม่ได้ออกมากินข้าวเช้าก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จูเหลี่ยนจึงอธิบายกลั้วหัวเราะว่านายน้อยออกไปท่องเที่ยวยังไม่กลับมา เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันเมื่อคืน ตั้งใจไปเยือนศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอที่เลื่อมใส ไม่สู้แม่ทัพผู้เฒ่าออกเดินทางก่อน นายน้อยต้องตามไปทันแน่นอน
เหยาเจิ้นหัวเราะเสียงดังบอกว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนวานควรจะพาเขาไปด้วยกัน เดินทางล่าช้าแค่วันสองวันจะเป็นไรไป
จูเหลี่ยนไม่ได้พูดอะไรมากความให้เป็นการวาดงูเติมหาง เพียงยิ้มแล้วถอยออกไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคน
หลูป๋ายเซี่ยงมองเขา จูเหลี่ยนส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้ถามข้า ตอนนั้นนายน้อยไม่ได้ให้ข้าติดตามไปด้วย บอกว่าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด ให้ข้าแจ้งกับคนทางจุดพักม้าให้ด้วย”
เว่ยเซี่ยนแค่ก้มหน้าก้มตาดื่มโจ๊ก จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน
สุยโย่วเปียนไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่ากินก็ล้วนเป็นคนที่มีท่วงทำนองพิเศษเฉพาะตัวที่สุดในบรรดา ‘ข้ารับใช้’ ทั้งสี่คน
ต่อให้เป็นคนที่ไม่แยแสสิ่งใดมากที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ที่ติดตามทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาก็ยังรู้สึกว่าหญิงสาวสะพายกระบี่หน้าตางดงามผู้นี้มีความงามเหนือล้ำไปจากคนปกติ ไม่ใช่ข้ารับใช้ที่คุณชายผู้มีชาติตระกูลคนใดในต้าเฉวียนจะครอบครองได้
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ทำไม ไม่ไว้ใจข้า? ต่อให้ข้ามีความคิดนั้น แต่จะมีความสามารถนั้นหรือ?”
เห็นว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่อยากพูดกับตน รอยยิ้มของจูเหลี่ยนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
อาจารย์และศิษย์สองคนจากลัทธิเต๋านั่งอยู่มุมในสุดของห้อง อิ่นเมี่ยวเฟิงสบตากับเส้ายวนหราน ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักคำเดียว
ทว่าในทะเลสาบหัวใจของคนทั้งสองกลับมีเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นมา
เส้ายวนหรานดื่มโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยพลางใช้เสียงในใจสอบถาม “ภาพปรากฎการณ์ผิดปกติครึ่งคืนหลังที่ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ด้วยหรือเปล่า?”
อิ่นเมี่ยวเฟิงตอบ “ก็ไม่แน่เหมือนกัน ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นภาพปรากฎการณ์การขานรับจากฟ้าดินที่เจ้าแม่เทพวารีท่านนั้นดึงดูดมาเพราะสร้างโอสถทองได้สำเร็จ วิญญูชนจงขุยอาจไม่มีความสามารถที่จะช่วยนางให้ทำเช่นนั้นได้ เพียงแต่ว่าคุณชายเฉินที่ความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้ไม่อาจใช้หลักปกติทั่วไปมาวัดได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจ ขอแค่ไม่เกิดเรื่องแทรกซ้อน พวกเราก็สามารถส่งมอบงานให้กับสกุลหลิวต้าเฉวียนได้แล้ว จวนปี้โหยวจะเลื่อนขั้นเป็นตำหนักหรือไม่ก็มีวิญญูชนจากสำนักศึกษาท่านหนึ่งช่วยจัดการให้ นี่ถือว่าโชคดีมากแล้ว ตอนนี้เทพวารีลำคลองหมายเหออาศัยความสามารถของตัวเองเลื่อนขั้น เรื่องที่เมื่อคืนวานพวกเราไปเยี่ยมเยือนนางก็สามารถยกมาพูดเพื่อพึ่งบารมีนางได้ ไม่แน่ว่าอาจารย์อาจช่วงชิงผลประโยชน์มาให้เจ้าได้ส่วนหนึ่ง”
เส้ายวนหรานพยักหน้ารับ หางตาของเขาชำเลืองมองหญิงสาวสกุลเหยาที่สวมหมวกคลุมหน้าอีกครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก
แม้ว่าเหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือจะเป็นลูกหลานสายตรงตระกูลเหยา อีกทั้งยังได้รับความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทว่าก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับท่านปู่เหยาเจิ้น คนที่นั่งอยู่ในสามตำแหน่งล้วนเป็นนายทหารเก่าแก่ที่ติดตามเหยาเจิ้นออกรบมาเกินครึ่งชีวิต ไม่เกี่ยวกับว่าระดับขั้นจะสูงหรือต่ำ เหยาเจิ้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควร นายทหารเก่าที่ผ่านมาร้อยศึกทั้งสามท่านก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
เหยาเซียนจือขยิบตาให้เหยาหลิ่งจือ ทำปากบุ้ยใบ้
เหยาหลิ่งจือถาม “ทำอะไรของเจ้า?”
เหยาเซียนจือกดเสียงลงต่ำ “เจ้าว่าเป็นเพราะคุณชายเฉินเจอกับคนที่ตาไม่มีแววเลยเปิดฉากกำจัดปีศาจปราบมารไปทั่วสี่ทิศแล้วหรือไม่? เจ้าลองคิดดูนะ คุณชายเฉินอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวจัดการกับภูตผีปีศาจในระยะหลายร้อยลี้ของลำคลองหมายเหอ ภูตผีร่ำไห้ร้องโหยหวน ภาพเหตุการณ์นี้ต้ององอาจสง่างามมากเลยใช่หรือเปล่า?”
เหยาหลิ่งจือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายังไม่ตื่นหรือไง หรือชอบฝันกลางวัน?”
เหยาเซียนจือเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าคุณชายเฉินทำไม่ได้?”
เหยาหลิ่งจือกล่าว “ข้าคิดว่าลำคลองหมายเหอไม่มีภูตผีมากมายขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็มีศาลเทพวารีคอยสยบ”
เหยาเซียนจือหัวเราะฮ่าๆ “ข้าก็ว่าแล้ว อันที่จริงในใจของเจ้าก็เชื่อว่าคุณชายเฉินมีความสามารถนี้”
เหยาหลิ่งจือคิ้วตั้ง “กินโจ๊กของเจ้าไปเลย!”
เหยาเซียนจือหัวเราะอย่างมีความสุข “โจ๊กวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ!”
มีเด็กหนุ่มคนใดบ้างที่ไม่เลื่อมใสวีรบุรุษตัวจริง
เฉินผิงอันพลันสะดุ้งตื่น ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งบนเตียง เหงื่อแตกเต็มศีรษะ
ย้อนนึกดูอย่างละเอียดถึงจะพอวางใจได้ ในความทรงจำของเขา ตนแค่พูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไม่ได้พูดเกี่ยวพันไปถึงศึกตรีจตุ แล้วก็ไม่ได้พูดถึงอาจารย์ฉี แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ อีกเดี๋ยวได้พบกับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอแล้วก็ยังต้องเอ่ยเตือนนางสักสองสามคำ ยามปิดประตูพูดคุยกันสามารถพูดจาได้ตามที่ใจต้องการ แต่หากเปิดประตูออกไปแล้วห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นเขาเฉินผิงอันจากไปแล้วก็แล้วกันไป กลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปนานแล้ว แต่จวนปี้โหยวกับร่างทองในศาลของเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้ากลับไม่อาจเคลื่อนย้ายหนีไปไหนได้
ชำเลืองตามองเห็นรองเท้าหุ้มแข้งคู่ที่อยู่ล่างเตียงก็อึ้งตะลึงไปครู่ เพราะปลายรองเท้าวางชี้ตั้งขึ้นด้านบน เฉินผิงอันส่ายหน้า ดีนักนะ กลัวว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนช่วยถอดรองเท้าให้ข้าอย่างนั้นรึ? ฉลาดและมีไหวพริบจริงๆ แต่เหตุใดถึงไม่ใช้ความฉลาดและไหวพริบนี้กับการเรียนหนังสือ?
พอออกมาจากห้อง เฉินผิงอันก็ยืนอยู่กลางลานบ้าน คำนวณเวลาน่าจะเป็นช่วงปลายยามเฉินแล้ว (ยามเฉินคือเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า) ขบวนเดินทางตระกูลเหยาน่าจะออกเดินทางกันไปนานแล้ว เขากับเผยเฉียนต้องรีบตามไปให้ทัน ไม่พูดถึงระยะทางทางน้ำจากที่นี่ไปถึงโรงเตี๊ยมที่ไกลสามร้อยลี้ ตอนนี้พวกเขาก็ล่าช้ากันมาชั่วยามกว่าแล้ว
แต่เมื่อคืนดื่มเหล้าบุปผาหมักร้อยปีเข้าไป ตอนนี้กลับรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งร่างกายที่ผ่านศึกใหญ่ในโรงเตี๊ยมได้ประสานตัวจนหายดีพอสมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสภาพจิตใจยังผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง ราวกับห้องเก่าห้องหนึ่งที่สะสมของมากมายไว้จนรกรุงรัง ต่อให้เจ้าของห้องจะมองพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่า แต่หากวันใดเก็บกวาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมา เมื่อมองไปอีกครั้งย่อมสบายตามากกว่า
ตรงประตูเรือนมีสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือผีพรายของจวนปี้โหยวที่เมื่อคืนพาเผยเฉียนไปดูผนังบังตา นางคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน เหนียงเนียงให้ข้ามารออยู่ที่นี่ หากคุณชายตื่นแล้วก็ให้พาไปห้องโถงใหญ่ที่พวกท่านดื่มเหล้ากันเมื่อคืน”
เฉินผิงอันยิ้มรับเดินเร็วๆ เข้าไปหาแล้วถามว่า “เด็กผู้หญิงที่ข้าพามาด้วยล่ะ?”
สาวใช้เม้มปากยิ้ม เลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังอธิบายว่า “คุณหนูท่านนั้นตื่นเร็วกว่าท่านเล็กน้อย นอนหลับได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ตื่นแล้ว จากนั้นข้าก็พานางไปเดินชมจวนปี้โหยวหนึ่งรอบ คุณหนูนิสัยร่าเริง คนทั้งจวนต่างก็ชื่นชอบนางมาก”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถามไปตามตรง “นางไม่ได้ขออะไรจากจวนปี้โหยวของพวกเจ้ากระมัง?”
สาวใช้รีบส่ายหน้า “เปล่าๆ นางไม่ได้ขออะไรจริงๆ”
นี่ก็เป็นคนที่โกหกไม่เก่งเหมือนกัน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “นางขออะไร หากล้ำค่าเกินไป พวกเราไม่มีทางเอากลับไปด้วย หากเป็นของธรรมดา ข้าสามารถจ่ายเงินให้ได้”
สาวใช้ตอบอย่างไม่สบายใจ “นางแค่ขอพู่กันและกระดาษที่จวนปี้โหยวซื้อมาจากตลาดไปบางส่วนเท่านั้น บอกว่านับตั้งแต่วันนี้ไปนางจะเรียนเขียนยันต์ แถมยังบอกอีกว่าเงินค่าพู่กันกับกระดาษนี้ ไม่ช้าก็เร็วนางย่อมต้องคืนให้กับจวนปี้โหยว คุณชายเฉิน เป็นแค่กระดาษและพู่กันธรรมดาเท่านั้น ไม่มีค่าเลยจริงๆ ขอคุณชายเฉินอย่าได้ตำหนิคุณหนู ไม่สู้คุณชายคิดเสียว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้คุณหนูดีไหมเจ้าคะ? คุณชายไม่รู้อะไร ข้าไม่ได้พูดคุยกับใครมานานหลายปีแล้ว คุณหนูยินดีคุยเล่นกับข้า ข้าดีใจมาก ดีใจเหมือนได้ฉลองปีใหม่ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามอบให้นางเป็นของขวัญก็แล้วกัน แต่ถึงเวลานั้นข้าจะบอกให้นางมาขอบคุณเจ้า”
สาวใช้คลี่ยิ้มกว้าง ยอบตัวคารวะ “คุณชายเฉินเข้าใจจิตใจผู้อื่นเป็นอย่างดี หวังว่าวันหน้าท่านจะมาเป็นแขกที่จวนปี้โหยวของพวกเราบ่อยๆ”
พอเห็นเผยเฉียน รอยยิ้มของนางก็เจิดจ้าสดใส
เฉินผิงอันถาม “ไม่มีอะไรจะพูดหรือ?”
เผยเฉียนถลึงตามองผีสาวที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน หยิบพู่กันขนกระต่ายหัวเล็กด้ามหนึ่งออกมาอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เลิกเสื้อตัวนอกขึ้น ที่แท้นางซ่อนกระดาษปึกใหญ่ไว้ในเสื้อ
นางรีบพูด “ข้าพูดกับพี่หญิงเซวียนฮวาแล้วว่า พู่กันกับกระดาษนี้ข้าขอยืมไปจากจวนปี้โหยว วันหน้าจะต้องคืนเงินให้แน่นอน! เพียงแต่กลัวว่าเจ้าจะไม่อนุญาต ข้าเลยซ่อนเอาไว้”
เฉินผิงอันถาม “ต่อให้ในอนาคตเจ้าหาเงินได้เอง แต่รู้หรือไม่ว่าระยะทางจากแจกันสมบัติทวีปมาใบถงทวีปนั้นไกลแค่ไหน? วันหน้าจะคืนเงินอย่างไร? หากให้ท่าเรือตระกูลเซียนส่งมาให้ เงินเหล่านั้นเจ้าสามารถเอาไปซื้อบ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้เลย เจ้ารับรองได้หรือไม่ว่าตัวเองจะหาเงินได้มากขนาดนั้น?”
เผยเฉียนสีหน้างงงัน
เฉินผิงอันแค่นเสียงเย็น “ไม่แน่ว่าเป็นเพราะรู้เรื่องนี้ เจ้าถึงได้เต็มใจพูดว่าจะคืนเงินกระมัง?”
เผยเฉียนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน สายตาล่อกแล่กไปมา แต่ไม่กล้ามองสบตาเฉินผิงอันตรงๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกไป
เผยเฉียนรีบพูดหน้าม่อย “ห้ามตีหัวข้า ห้ามดึงหู ตรงอื่นตีได้ตามสบาย!”
เฉินผิงอันฉุนจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “เอาพู่กันและกระดาษมาให้ข้าเก็บ เมื่อครู่นี้พี่สาวบอกแล้วว่านางจะมอบให้เจ้าเป็นของขวัญจากลา”
เผยเฉียนยื่นกระดาษและพู่กันให้เฉินผิงอัน มองผีสาวหน้าตางดงามที่ปิดปากหัวเราะผู้นั้นด้วยสีหน้าซาบซึ้งแทบน้ำหูน้ำตาไหล “พี่เซวียนฮวา เจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ ไม่ถูกสิ เจ้าเป็นผีที่ดีขนาดนี้ ควรจะให้เจ้าได้เป็นเจ้าแม่เทพวารี”
เฉินผิงอันเก็บของลงไปในวัตถุฟางชุ่นที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชำเลืองตามองเผยเฉียน
เผยเฉียนตระหนักได้ทันที รีบโค้งตัวขอบคุณสาวใช้
สองคนหนึ่งผีพากันเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เจ้าแม่เทพวารีมาคอยอยู่นานแล้ว
เมื่อเทียบกับเทพวารีลำคลองหมายเหอคนเมื่อคืนที่นิสัยโผงผาง เปี่ยมไปด้วยความองอาจแห่งยุทธภพ วันนี้ในที่สุดนางก็มีมาดของเจ้าแม่เทพวารีบ้างแล้ว นางเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าแพรที่คล้ายคลึงกับชุดของฮูหยินตราตั้งในราชสำนัก
สาวใช้เซวียนฮวาถอยออกไปแล้ว เจ้าแม่เทพวารีจึงพูดเข้าประเด็นด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง “เฉินผิงอัน บุญคุณเท่าหยดน้ำต้องตอบแทนดุจน้ำพุ แล้วนับประสาอะไรกับบุญคุณที่ใหญ่เทียมฟ้าถึงขนาดนี้ ข้าต้องมอบอะไรให้เจ้าสักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงละอายใจอย่างยิ่งยวด ข้าลองคิดดูแล้ว จวนปี้โหยวไม่มีวัตถุใดที่จะเข้าตาเจ้าได้ อาวุธที่ข้าหลอมถือว่าระดับขั้นพอใช้ได้ เพียงแต่ว่าสมบัติอาคมสองชิ้นล้วนเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า ไม่อาจมอบให้เจ้า อาวุธชิ้นอื่นๆ ก็มีระดับขั้นไม่สูงมากพอ จะว่าไปแล้วต่อให้ยกให้เจ้าทั้งหมดก็ยังไม่มากพอให้ตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นข้าจึงคิดจะมอบคาถาหล่อหลอมของตระกูลเซียนที่อยู่บนป้ายศิลาขอพรนอกศาลให้กับเจ้า”
เจ้าแม่เทพวารีควักแผ่นหยกออกมาหนึ่งชิ้น “เมื่อเจ้าจำบทคาถานี้ได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือทำลายมันทันที หาใช่ข้าตระหนี่ไม่ แต่สิ่งที่จารึกไว้บนป้ายศิลาเกี่ยวพันกับรากฐานการบรรลุมรรคาของเซียนบรรพกาลท่านหนึ่ง แม้ว่าโชควาสนาจะยิ่งใหญ่ แต่ผลกรรมก็ใหญ่ปานกัน นำออกมาเผยแพร่สู่ภายนอกง่ายๆ อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะหากแบกรับไม่ไหวจะกลับกลายเป็นหายนะเอาได้”
เฉินผิงอันพยักหน้าไม่พูดไม่จา ยื่นมือไปรับมาด้วยรอยยิ้มแล้วเก็บไปไว้ในกระบี่บินสืออู่อย่างรวดเร็ว
เจ้าแม่เทพวารีกล่าวอย่างตกตะลึง “ไม่คิดจะปฏิเสธแล้วพูดจาตามมารยาทกับข้าสักคำสองคำหรือ? เจ้าเกรงใจ ข้ามีมารยาท จะได้ดูจริงใจมากขึ้นไงล่ะ”
เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะ “บอกตามตรง ข้าต้องการคาถาหลอมอาวุธชั้นเยี่ยมอยู่จริงๆ ตอนนั้นอยู่ดีๆ จิตหยินก็ออกมาจากร่าง พอความคิดบังเกิดก็ตรงมาที่ศาลเทพวารีของพวกเจ้าเลย โชควาสนาที่จงขุยพูดถึงก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ สวรรค์ประทานให้แต่ไม่รับ จะกลับกลายเป็นหายนะ”
เจ้าแม่เทพวารีเกาหัว “ตามหลักแล้วเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง หากเจ้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แล้วเอ่ยประโยคทำนองว่า วิญญูชนทำความดีไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไรเทือกนั้น จากนั้นข้าก็ร้องโวยวายว่าจะแขวนคอ ต่อให้ตายก็ต้องมอบให้เจ้าให้ได้ เจ้าจึงจำต้องรับไว้ สุดท้ายทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็แยกย้ายกันอย่างมีความสุข แบบนั้นออกจะน่าสนใจไม่น้อย”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มให้ ไม่เอ่ยคำใด
หลังจากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็เตรียมพาคนทั้งสองไปที่ลำคลองหมายเหอ ยังคงต้องใช้วิชาอภินิหารก่อนหน้านี้พาคนทั้งสองไปส่งบริเวณใกล้กับจุดพักม้าทางตอนบนของลำคลอง แม่น้ำและภูเขาพันลี้พลิกกลับในชั่วหนึ่งความคิด นี่ก็คือหนึ่งในอาคมมหัศจรรย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาและแม่น้ำที่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณอิจฉาที่สุด นอกจากเรื่องนี้แล้วก็น่าจะเป็นข้อที่ว่าขอแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในศาลของตนเองก็จะมีอำนาจบารมีเพิ่มเติมเหมือนเวลาที่อริยะลัทธิขงจื๊ออยู่ในสำนักศึกษาหรือเจินเหรินอยู่ในอารามเต๋า
คงเป็นเพราะเจ้าแม่เทพวารีไม่อยากจากลากันเร็วเกินไปนักจึงพาพวกเขาเดินไปทางประตูใหญ่ของจวนปี้โหยว
พอขยับเข้าไปใกล้ประตู นางก็พลันพูดขึ้นว่า “เฉินผิงอัน เจ้ามีตำราผลงานของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งหรือไม่? ทางที่ดีที่สุดควรเป็นตำราที่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมอบให้เองกับมือ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เอามาบูชาไว้ในศาลเทพวารีหรอก แบบนั้นเท่ากับไม่รู้จักกลัวตายเกินไป ข้าจะแอบเก็บไว้ในจวนปี้โหยว วางไว้ที่เดียวกับป้ายที่ข้าแกะสลักขึ้นเองแผ่นนั้น นี่เป็นความปรารถนาสูงสุดในใจข้า และยิ่งเป็นความต้องการส่วนตัวของข้า ตอนนี้ข้าก้าวออกไปก้าวใหญ่บนเส้นทางแห่งการเป็นเทพ ตบะเพิ่มขึ้นพรวดพราด แต่นับจากวันนี้ไปก็ยิ่งจำเป็นต้องนำความรู้ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง อ่านหนังสือตายให้มีชีวิต ลางสังหรณ์บอกข้าว่าหากทำสำเร็จ ข้ายังสามารถเลื่อนขั้นไปได้อีกระดับใหญ่ ไม่แน่ว่าแม้แต่องค์เทพของห้าขุนเขาแห่งราชสำนักต้าเฉวียนก็อาจจะยังสู้เทพวารีลำคลองหมายเหออย่างข้าไม่ได้”
เห็นว่าเฉินผิงอันเงียบ เจ้าแม่เทพวารีก็หยุดเดิน เผยสีหน้าวิงวอนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เฉินผิงอัน ข้าขอร้องเจ้าล่ะ”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่นานมาก “อาจารย์ผู้เฒ่ามอบตำราพื้นฐานของลัทธิขงจื๊อให้ข้าเล่มหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ผลงานของเขา”
ใบหน้าของเจ้าแม่เทพวารีเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี “ขอแค่เป็นหนังสือที่เคยผ่านมือของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งล้วนได้หมด! ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ในตำราต้องมีความหมายที่แท้จริงของมหามรรคาซ่อนอยู่เป็นแน่!”
ในสมองของเฉินผิงอันนึกถึงภาพหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยที่ได้เจอกันครั้งแรก นางห้อยดาบสะพายกระบี่ ในมือถือทวนเหล็กที่สูงเท่ากับตัวนางสองคน ท่วงท่าองอาจผึ่งผายยามที่ต่อสู้กับปีศาจใหญ่ใต้ลำคลอง ยิ่งคิดถึงภาพตอนที่นางเผยตัวนอกศาลเทพวารี บทสนทนาที่นางพูดคุยกับเขาและจงขุย ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่มีความเย่อหยิ่งลำพองใจแม้แต่น้อย แต่สงบนิ่งเป็นกลางจนไม่เหมือนองค์เทพ กลับเหมือนบัณฑิตที่แท้จริงคนหนึ่งมากกว่า
เฉินผิงอันถอนหายใจ หันหน้าไปพูดกับเด็กหญิง “เผยเฉียน หนังสือเล่มนั้นที่ข้าให้เจ้าอ่านซ้ำไปซ้ำมา เจ้าน่าจะท่องจำจนขึ้นใจแล้ว ไม่สู้มอบมันให้แก่เจ้าแม่เทพวารีดีกว่ากระมัง?”
เจ้าแม่เทพวารีอึ้งตะลึง นี่เขาใช้น้ำเสียงสอบถามเด็กหญิงอย่างนั้นหรือ?
และต่อมาภาพที่ทำให้เจ้าแม่เทพวารีมึนงงก็ปรากฎขึ้น
เผยเฉียนกัดริมฝีปากแน่น ให้ตายก็ไม่ยอมเปิดปาก ยิ่งไม่เต็มใจพยักหน้าตอบตกลง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก
เจ้าแม่เทพวารีกัดฟันพูดว่า “อันที่จริงจวนปี้โหยวของข้ามีสมบัติพิทักษ์เรือนอยู่ชิ้นหนึ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ไม่แย่ไปกว่าคาถาเซียนบทนั้นเลย ขอแค่ยินดีมอบหนังสือให้ ข้าก็ยินดีมอบมันให้เป็นการตอบแทน!”
จากนั้นนางก็หันไปมองเผยเฉียนด้วยรอยยิ้ม “นอกจากตอบแทนเฉินผิงอันแล้ว ขณะเดียวกันข้าก็จะมอบของดีให้เจ้าชิ้นหนึ่ง ไม่กล้าพูดว่ามีมูลค่าควรเมือง แต่ก็ถือเป็นสมบัติหายากอันดับหนึ่ง”
ทว่าเผยเฉียนเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่พูดจาไม่ผงกศีรษะ สองมือเล็กที่อยู่ในชายแขนเสื้อกำแน่น
นางทั้งกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธนาง นับจากนี้จะยิ่งรังเกียจนางเข้าไปอีก แต่ก็กลัวด้วยว่าเฉินผิงอันจะพยักหน้าตอบรับเจ้าแม่เทพวารี
และทันใดนั้นเฉินผิงอันที่ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็ค้อมตัวลง คลี่ยิ้มให้เผยเฉียน ลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “ไม่เต็มใจก็ช่างเถิด”
เผยเฉียนกระโดดกอดเฉินผิงอันแล้วร้องไห้จ้าทันที
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่คิดอะไรอยู่ แล้วทำไมถึงร้องไห้ เขาเพียงหันไปยิ้มให้เจ้าแม่เทพวารีอย่างจนใจ “ขอโทษด้วย แต่หลังจากข้ากลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปแล้วจะพยายามหามาให้เจ้าเล่มหนึ่ง ถึงเวลานั้นจะส่งมาให้เจ้า ส่วนเรื่องตอบแทนไม่ตอบแทนอะไรนั่น ไม่จำเป็นหรอก”
เจ้าแม่เทพวารีถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย มองเฉินผิงอันแล้วก็มองเผยเฉียน ก่อนกล่าวด้วยความเสียดายอย่างสุดแสน “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น”
พวกเขามาถึงริมลำคลองหมายเหอ เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนกระโดดลงไปในน้ำ
เจ้าแม่เทพวารีม้วนตลบชายแขนเสื้อ น้ำในลำคลองหมายเหอก็ปรากฏเป็นน้ำวนประหลาดอย่างที่จูเหลี่ยนเห็นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
นาทีถัดมา นางกับเฉินผิงอันและเผยเฉียนก็มายืนอยู่กลางน้ำของลำคลองหมายเหอที่ห่างออกไปสามร้อยลี้ คนหนึ่งพลิ้วกาย คนหนึ่งเหยียบน้ำขึ้นไปบนฝั่ง
เจ้าแม่เทพวารียืนอยู่บนฝั่ง
เฉินผิงอันบอกลาจากไป หลังจากเดินออกไปได้ระยะทางหนึ่งแล้ว เขาน่าจะพูดอะไรบางอย่างกับเผยเฉียน เด็กหญิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาถึงหันหน้ากลับมาโบกมือลากับเจ้าแม่เทพวารี
เจ้าแม่เทพวารียิ้มแล้วโบกมือให้
ยิ่งเดินก็ยิ่งจากไปไกล
เผยเฉียนที่อยู่ด้านหลังยังคงร้องไห้ฮือๆ สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะร้องไห้ทำไม”
เด็กหญิงเอาศีรษะซุกไหล่เฉินผิงอัน “ขอโทษ”
เฉินผิงอัน “หืม?”
เด็กหญิงร้องไห้ปานจะขาดใจ “เจ้าพูดถูก ข้ามันตัวขาดทุน” (ชื่อของเผยเฉียนตรงกับคำว่าเผยเฉียนที่แปลว่าขาดทุน)
เฉินผิงอันโมโหจนกลายเป็นขำ “พูดเหลวไหลอะไรกัน วันหน้าจำไว้ว่าต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี”
เผยเฉียนสูดน้ำมูก พยักหน้ารับอย่างแรก
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “อย่าเอาน้ำมูกมาเช็ดบนตัวข้า”
เผยเฉียนเอนตัวไปด้านหลัง ช่วยเช็ดคราบน้ำมูกและน้ำตาของตัวเองที่อยู่บนแผ่นหลังของเฉินผิงอันให้แล้วหัวเราะหนึ่งที “คิก!”
จนกระทั่งเงาร่างของหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กจากไปไกลแล้ว
เจ้าแม่เทพวารีถึงได้หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
นี่ต่างหากถึงจะคู่ควรเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง!
หนังสือเล่มนั้นที่เฉินผิงอันคิดจะมอบให้นาง หากได้ยินว่าสามารถแลกมาด้วยสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง บนโลกจะมีสักกี่คนที่ใส่ใจคิดสอบถามความเต็มใจของเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย?
นางหุบยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง โค้งตัวคารวะเต็มพิธีการไปยังทิศทางที่เฉินผิงอันจากไป
การเรียนรู้และเข้าใจหลักการเหตุผลมีก่อนและหลังจริงๆ
เมื่อคืนนั่งถกปัญหาพูดคุยเรื่องมหามรรคา วันนี้เช้ามาก็ปฏิบัติตาม นี่ก็คือคำว่าความรู้และการปฏิบัติรวมกันเป็นหนึ่ง
เฉินผิงอันสมกับเป็นจอมปราชญ์ คือท่านอาจารย์ที่แท้จริง!