บทที่ 361 ถึงนครมังกรเฒ่า
เรือข้ามฟากลำนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ ก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปยังต้องจอดเทียบท่าอีกสามครั้ง ท่าเรือที่อยู่ทางเหนือสุดก็คือท่าเรือฉางชุนซึ่งอยู่นอกภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักใบถง สี่ฤดูของที่นี่ล้วนเป็นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันคิดแต่อยากจะไปถึงนครมังกรเฒ่าอย่างสงบสุขปลอดภัย เวลาที่จอดเทียบท่าเรือทั้งสามแห่งนี้รวมกันแล้วก็เกือบสิบวัน เขาไม่ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนลงจากเรือไปเดินเล่นตามร้านค้าต่างๆ ของท่าเรือ เด็กหญิงผิวดำเกรียมจึงได้แต่ยกม้านั่งมานั่งบนระเบียง มองภาพความเจริญรุ่งเรืองที่ผู้คนเบียดเสียดกันอย่างแออัดตรงท่าเรือทั้งสามแห่ง บางครั้งเว่ยเซี่ยนก็จะมาคุยเล่นเป็นเพื่อนเผยเฉียน
แต่ว่าถึงแม้จะไม่ได้ลงจากเรือ เฉินผิงอันกลับขอให้ผู้ดูแลอาวุโสของตำหนักพยัคฆ์เขียวช่วยไปซื้อของมาให้หลายอย่าง พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนเองก็มอบใบรายการให้กับผู้ดูแล
เว่ยเซี่ยนต้องการตำราที่บอกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่ต่างๆ หลูป๋ายเซี่ยงซื้อกู่ฉินของเชื้อพระวงศ์ในวังที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านคันหนึ่ง สุยโย่วเปียนไม่ได้ต้องการอะไร ยังคงวางท่าว่ามีเพียงกระบี่อยู่ข้างกายก็เพียงพอแล้วเหมือนเดิม จูเหลี่ยนกลับเขียนรายการหนังสือมายาวเหยียด ผลคือเฉินผิงอันบอกว่าให้จูเหลี่ยนเก็บกลับไป บอกว่าท่าเรือตระกูลเซียนไม่ขายหนังสือพวกนี้ เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วให้เขาไปเลือกหาด้วยตัวเองในร้านหนังสือของหมู่ชาวบ้าน จูเหลี่ยนเสียดายอย่างสุดแสน ทว่าก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด เดิมทีนิยายกองโตที่ผู้เฒ่าหลังค่อมคิดจะซื้อนั้น ลำพังแค่ดูจากชื่อหนังสือบนหน้ากระดาษ เฉินผิงอันก็รู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะแล้ว ให้ตายก็ไม่ยอมมอบให้แก่ผู้ดูแลเรือ เพราะเขาไม่อาจขายหน้าด้วยเรื่องนี้ได้จริงๆ
เฉินผิงอันนอกจากจะฝึกท่ายืนนิ่ง เดินนิ่ง นอนนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแล้ว วิชากระบี่ที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ก็ไม่ได้ละทิ้ง ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างก็สามารถฝึกด้วยกันได้ นอกจากนี้ยังศึกษาคาถาตระกูลเซียนบทนั้นด้วย แม้ว่านี่จะเป็นวิชาชั้นสูง ทว่าการหลอมวัตถุบนโลกกลัวเรื่องไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจทำงานได้ดีมากที่สุด ต่อให้มีฝีมือเลิศล้ำก็ไม่อาจลงมือได้ กระบี่บินชูอีและสืออู่ที่เนื่องจากไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เฉินผิงอันหลอมเอง ดังนั้นเขาจึงแค่ต้องเลี้ยงกระบี่ก็พอ อีกทั้งยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่าง ‘เจียงหู’ ลูกนี้ เขาจึงยิ่งไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเข้าไปอีก แต่หากตนหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วยตัวเอง จำนวนและมูลค่าของวัตถุดิบล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ก็มากจนทำให้คนอ้าปากค้างได้อย่างแท้จริง ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเหมือนหลุมที่ไร้ก้นมากเท่านั้น
ประโยค ‘จ่ายเงินเหมือนน้ำไหล’ ที่นักพรตผู้เฒ่าตงไห่เจ้าอารามกวานเต๋าผู้นั้นให้หลูป๋ายเซี่ยงนำมาบอกต่อ นอกจากจะต้องการสัพยอกแล้ว ยังเป็นเรื่องจริงที่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจล้มล้างได้
ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะสร้างมาได้เกินครึ่ง ประตูใหญ่ของจวนเปิดอ้า ต้อนรับแขกจากแปดทิศ ยิ่งอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เฉินผิงอันก็ยิ่งอันตราย ดังนั้นตอนอยู่บนสะพานหินโค้งที่ใกล้กับยอดเขาเทียนแจว๋ของภูเขาชิงจิ้ง เฉินผิงอันถึงได้สะดุดล้มหัวทิ่ม ตอนนั้นเขายังไม่สามารถควบคุมชุดคลุมอาคมจินหลี่ให้ไปขัดขวางการพุ่งทะยานดุจกองทัพม้าเหล็กของปราณวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปราณวิญญาณจึงเกิดปะทะกับลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในร่างกาย ถึงได้เสียการควบคุม
ต่อให้ชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสามารถรับและถ่ายโอนปราณวิญญาณได้มากแค่ไหน แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังมีขีดจำกัด หากจินหลี่กักเก็บน้ำไว้จนเต็มอิ่มแล้ว ปล่อยให้ปราณวิญญาณพุ่งไปตามช่องโพรงลมปราณใหญ่แต่ละแห่งในร่างกายก็ถึงคราวที่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันต้องถดถอยลงแล้ว
ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ว่าควรจะเลือกอะไรมาหลอมเป็นสมบัติอาคมชิ้นแรกของถ้ำสวรรค์ หากเลือกน้ำของห้าธาตุก็จะง่ายหน่อย เพราะบนแผ่นหยกนั้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้ยกการหล่อหลอมน้ำเป็นตัวอย่าง อธิบายถึงมหามรรคาที่ซุกซ่อนอยู่ในบทความขอฝน อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมน้ำคร่าวๆ หนึ่งในนั้นได้เน้นย้ำถึงวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญอย่าง ‘แก่นน้ำ’ สมบัติทุกชิ้นที่สามารถรวบรวมแก่นของการโคจรทางน้ำเอาไว้ได้ล้วนถือเป็นแก่นน้ำ เพียงแต่ว่าระดับขั้นมีความแตกต่าง น้ำในลำคลองที่พ่อปู่ลำคลองเฝ้าบัญชาการณ์กับน้ำในแม่น้ำที่ตำหนักมังกรโบราณพิทักษ์ดูแล สมบัติแห่งแก่นน้ำที่เกิดขึ้นมาตามโอกาสย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
สามารถพูดได้ว่าใช้แก่นน้ำระดับใดมา ‘หลอมน้ำ’ ก็จะเป็นตัวตัดสินระดับขั้นสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำของเฉินผิงอันโดยตรง
เรือข้ามฝากจอดอยู่ข้างท่าเรือฉางชุน เผยเฉียนยืนอยู่บนม้านั่งมองไปทางท่าเรือ จ้องตาเป็นมัน กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันเวลานี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะคือตราประทับตัวอักษรน้ำที่น่ารักและน่าใกล้ชิดสนิทสนม เขาเองก็กลุ้มเหมือนกัน
ที่กลุ่มยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เฉินผิงอันเข้าใจวิชาที่ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บทนั้นได้อย่างลึกล้ำแล้ว จึงเดาได้ว่าหากเขาหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ทุกครั้งที่ประทับมันลงไปเพื่อช่วยให้เทพวารีบนโลกซึ่งมีวาสนากับเขาได้ยกระดับโชคชะตาน้ำ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิด ข้อดีก็คือเดิมทีเมื่อประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ตราประทับตัวอักษรน้ำก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งส่วน แต่คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาอีกต่อไป ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าน้ำของห้าธาตุ เขาจะเลือกหล่อหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนี้แหละ!
เมื่อเกี่ยวพันไปถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็จะไม่เหมือนเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดทองของเจียวเฒ่าอีกต่อไป เนื่องจากไม่ใช่แค่การหล่อมหลอมสิ่งของให้กลายเป็นภาพมายาว่างเปล่าธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นอันดับต่อไปก็จำเป็นต้องมีเตาโอสถสำหรับหลอมวัตถุหนึ่งใบ นี่ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้าอีกเหมือนกัน เพราะหาซื้อได้ไม่ง่าย ต้องไปหาตระกูลเซียนที่เต็มใจจะขาย และต่อให้หาเจอแล้ว หากคิดจะซื้อเตาโอสถที่ดี จะบอกว่าง่ายก็ง่าย แต่บอกว่าไม่ง่ายก็เรียกว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ต้องดูว่าในกระเป๋าของเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนเท่าไหร่
ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสไม่เหลือเงินแล้ว!
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเจ็บใจ
เงินฝนธัญพืชไม่เหลือสักเหรียญเดียว ตอนนี้ไม่มีถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วก็หมายความว่าใต้หล้าจะไม่มีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองปรากฎขึ้นอีก ทุกครั้งที่ใช้ไปหนึ่งเหรียญก็จะหายไปจากโลกนี้หนึ่งเหรียญ ศึกที่วัดร้างถูกใช้ไปรวดเดียวตั้งสองเหรียญ
หากไม่ใช่สุยโย่วเปียน แต่เป็นพวกบุรุษหยาบกระด้างอย่างเว่ยเซี่ยนสามคน เฉินผิงอันก็อยากจะหิ้วตัวอีกฝ่ายออกไปอัดสักรอบ
เผยเฉียนแบกม้านั่งกลับเข้ามาในห้อง มานั่งข้างเฉินผิงอัน ถามอย่างเป็นกังวลว่า “เป็นอะไรไป? พวกเรามีเงินไม่พอใช้แล้วหรือ?”
คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับแทงใจดำเต็มๆ
เฉินผิงอันมองเผยเฉียนแวบหนึ่ง ความสามารถในการปลอบใจของนังหนูนี่ไปเรียนจากใครมากันแน่นะ?
เผยเฉียนนึกว่าเฉินผิงอันเริ่มรังเกียจที่ตนเป็นตัวขาดทุน นางตกใจไม่น้อย น้ำตาคลอเจียนหยด ใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมยับยุ่ง “อย่าโยนข้าลงจากเรือนะ วันหน้าข้าจะไม่เรียกร้องว่าจะกินเนื้อกินปลาอีกแล้ว ข้าวหนึ่งถ้วยกับคีบผักดองอีกสามทีก็สามารถเลี้ยงดูข้าได้แล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเจ้ากินมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต กินข้าวมากหน่อยจะใช้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว”
เผยเฉียนเช็ดหน้า พลันยิ้มกว้างอย่างสดใส “พอไปถึงนครมังกรเฒ่า พวกเรามีที่พักไหม? หากมีก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เล็กน้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มี ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังถือว่าพอมีเงิน แต่บอกไว้ก่อนว่า คนอื่นเขาใจกว้างก็เป็นเรื่องของคนอื่นเขา ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะแบมือขอสิ่งของจากคนอื่นเขาได้ส่งเดช”
เผยเฉียนทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง พูดอย่างหมดแรงว่า “เข้าใจแล้ว”
นางยังนึกว่าจะได้ไปเจอกับคนอย่างเหยาจิ้นจือที่มอบของให้ผู้อื่นโดยที่ตาไม่กะพริบ แถมยังขอร้องให้นางรับเอาไว้อีก ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังไม่สามารถปฏิเสธได้ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นไม่ควรเอ่ยเหน็บแนมเหยาจิ้นจือด้วยประโยคนั้นเลย มีครั้งหนึ่งเหยาจิ้นจือที่สวมหมวกคลุมหน้ามาพูดคุยกับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว เผยเฉียนเห็นนางปลดหมวกคลุมหน้าลง ผิวของนางนั้นขาวนวลเนียนยิ่งนัก ทำให้เผยเฉียนละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้อย่างมาก ภายหลังลืมไปแล้วว่าคุยเรื่องอะไรกัน เผยเฉียนถึงได้หัวเราะฮิๆ พลางพูดประจบด้วยถ้อยคำที่แฝงใบมีด “พี่หญิงจิ้นจือท่านหน้าตางดงามปานนี้ ความคิดจะสวยงามก็สมควรแล้ว” เหยาจิ้นจือเองก็ไม่โกรธ เพียงแค่ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวดุจต้นหอมมาจิ้มหน้าผากเผยเฉียนเบาๆ
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป
จากต้นฤดูหนาวก็ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการทั้งอย่างนี้ เรือข้ามฟากแล่นผ่านอาณาเขตของใบถงทวีปมาอยู่เหนือมหาสมุทรระหว่างสองทวีป รอจนขยับเข้าใกล้เกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลของนครมังกรเฒ่า คาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว
ระหว่างนี้มีครั้งหนึ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องได้ถามขึ้นว่า “วิชาหมัดนี้ธรรมดามาก เหตุใดถึงได้ยืนหยัดขนาดนี้?”
เฉินผิงอันตอบมาประโยคหนึ่งว่ารากฐานในการตั้งตัวไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องสูงเท่าไหร่
หลูป๋ายเซี่ยงได้ยินแล้วก็เก็บเอามาครุ่นคิด
รอจนหลูป๋ายเซี่ยงออกไปจากห้อง เผยเฉียนจึงถามเฉินผิงอันเบาๆ ว่าหมายความว่าอย่างไร เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่าคิดหาคำพูดที่สละสลวยสูงส่งไม่ออก ก็เลยพูดส่งเดชไปอย่างนั้น คนที่เล่นหมากล้อมเก่งล้วนชอบคิดอะไรซับซ้อน ทำเอาเผยเฉียนหัวเราะชอบใจ
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เดี๋ยวก็ยกพู่กันขึ้น เดี๋ยวก็วางลง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนเผยเฉียนที่นั่งคัดตัวอักษรอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแล้วร้อนใจยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ออกจากห้องไปหาจูเหลี่ยน ตอนกลับมาเผยเฉียนสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันยิ่งลังเลใจ สุดท้ายก็ได้แต่เก็บพู่กันและกระดาษลงไป
เผยเฉียนสงสัยอย่างยิ่ง
จดหมายสองฉบับก่อนหน้านี้ที่เขียนให้สำนักศึกษาต้าฝูและภูเขาไท่ผิง แล้วให้กระบี่บินพุ่งสวบไปส่ง เฉินผิงอันเขียนได้รวดเร็วมาก
ถ้าอย่างนั้นจดหมายฉบับนี้จะเขียนถึงใครนะ?
เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียง เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
มีคนมาเคาะประตู เผยเฉียนวิ่งไปเปิดประตู เห็นคนผู้นั้นแล้วก็ทำท่าคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที “เผยเฉียนคารวะเทพเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกโล่งสบายขึ้นหลายส่วน
เขาก็คือลู่ยงเซียนดินก่อกำเนิดแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ เฉินผิงอันรีบมาต้อนรับอีกฝ่ายทันที
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย เผยเฉียนก็รินน้ำชาสามถ้วยอย่างคล่องแคล่วว่องไว ยื่นส่งให้เฉินผิงอันก่อน จากนั้นค่อยยื่นให้ลู่ยง แน่นอนว่ายังไม่ลืมรินให้ตัวเองด้วย
ลู่ยงพูดจาปราศรัยตามมารยาทอ้อมไปอ้อมมาอยู่ประมาณหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันก็อดทนพูดคุยกับเทพเซียนลู่ที่ถูกเจียงซ่างเจินข่มตอนอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋อย่างมีมารยาทเช่นกัน
อย่าได้ไม่เห็นเซียนดินอยู่ในสายตา
เฉินผิงอันเคยท่องยุทธภพน้อยใหญ่มามากมาย รู้ถึงน้ำหนักของเทพเซียนพสุธาท่านหนึ่งดี เขาไม่มีทางวางตัวไม่อ่อนน้อมแต่ก็ไม่ยโสต่อหน้าเจียงซ่างเจิน แล้วก็ไม่เกิดใจดูแคลนเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวตรงหน้าผู้นี้เพียงเพราะตัวเองรู้จักจั่วโย่ว ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดที่ได้พิทักษ์พื้นที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ถ้าไม่นับความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนแล้วตัดสินใจเด็ดขาดจะฆ่าเขาเฉินผิงอัน อย่างมากลู่ยงก็แค่ต้องสะบัดชายแขนเสื้อสองสามทีเท่านั้น
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีคิดจะอาศัยอำนาจมาข่มขู่คนอื่น ความประทับใจที่ลู่ยงมีต่อคนหนุ่มผู้นี้จึงดีขึ้นหลายส่วน
อำนาจที่เขาจะอาศัย มาจากเจียงซ่างเจินขอบเขตหยกดิบที่เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ และยิ่งมาจากผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งสั่งให้เจ้าประมุขสกุลเจียงทำเช่นนี้
หาไม่แล้วสำหรับเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่มีญาติไม่มีสหาย หากเป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย อย่างมากลู่ยงกับเขาก็แค่เดินไปบนเส้นทางใครเส้นทางมัน เหตุใดจะต้องประจบสอพลอ ขึ้นเรือมามอบของขวัญให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองถึงที่ด้วย?
ลู่ยงดื่มน้ำชารสชาติจืดจางไปสองถ้วยแล้ว ในที่สุดก็เข้าประเด็น “คุณชายเฉินไปเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ทั้งที ถือเป็นเกียรติของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้า ตอนนั้นอันที่จริงข้ากำลังหลอมโอสถอยู่เตาหนึ่งพอดี เป็นยานั่งลืมตนของลัทธิเต๋า ยานี้มีฤทธิ์อ่อนโยน เหมาะให้ผู้ฝึกตนใช้เวลานั่งสมาธิเข้าฌานมากที่สุด นอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือสามารถบำรุงจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังหล่อเลี้ยงช่องโพรงหัวใจให้อบอุ่น ชื่อยาคือนั่งลืมตน แต่อันที่จริงในโลกมนุษย์ยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งที่แม้จะหยาบไปบ้าง แต่กลับตรงอย่างยิ่ง นั่นคือเมื่อกินยานี้เข้าไปแล้ว นั่งก็คือการฝึกตน ลืมเรื่องการฝึกตนแต่เดิมไปสิ้นก็ยังไม่เป็นไร”
พอพูดถึงเรื่องการหลอมโอสถ ลู่ยงก็มีสีหน้าสดชื่นท่าทางกระฉับกระเฉงราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจิน “ใจคือนายของกาย คือแม่ทัพของร้อยวิญญาณ เพียงแต่ว่าจิตใจนั้นยากจะสงบนิ่งมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ ศาสนาพุทธจึงมีคำกล่าวที่ว่าจิตใจดุจลิงที่ไม่อยู่นิ่ง ความคิดดุจม้าที่แล่นเตลิด เป็นเหตุให้การฝึกตนมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ผูกม้าแห่งความคิด มีจวนหยกกักขังลิงแห่งจิตใจ โอสถนั่งลืมตนที่ข้าหลอมขึ้นนี้หลอมสำเร็จได้ยากอย่างถึงที่สุด ต่อให้โชคดีหลอมได้สำเร็จ วัตถุดิบสำหรับสิบเม็ดในหนึ่งเตา อย่างมากสุดก็หลอมออกมาได้แค่สามสี่เม็ดเท่านั้น การที่มันยังได้รับความนิยมจากเซียนดินมากมายในใบถงทวีป เพราะมีความอัศจรรย์ข้อหนึ่งที่เซียนซือหลอมโอสถของสำนักอื่นไม่เคยมี ยานั่งลืมตนที่มาจากมือข้าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวสามารถหล่อเลี้ยงเทพทวารบาลสององค์ที่เหมือนกับเทพทวารบาลซึ่งแปะอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านชาวบ้านล่างภูเขาให้มาลอยอยู่เหนือจิตใจ ช่วยปกป้องจิตใจของผู้ฝึกลมปราณ!”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “หล่อเลี้ยงเทพทวารบาลให้อยู่นอกห้องหัวใจ นับเป็นฝีมือของเทพเซียนแล้ว”
ลู่ยงชอบใจคำกล่าวนี้มากจึงลูบหนวดยิ้มกริ่ม
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังหลอมยานั่งลืมตนเตานี้ ‘พอดี’ ในความเป็นจริงแล้วหากคิดจะหลอมยานี้ให้สำเร็จ นอกจากต้องใช้วัตถุดิบวิเศษกองใหญ่แล้ว ยังต้องรอให้ถึงเวลาที่ฟ้าอำนวย และยิ่งต้องเผาผลาญ ‘ดินอวยพร’ ซึ่งก็คือโชคชะตาอันล้ำค่าในแถบภูเขาชิงจิ้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดและโอสถทองของสำนักใบถงก็ยังแย่งชิงกันได้อย่างไร? ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเทพเซียนแห่งการหลอมโอสถของฝ่ายอื่นถึงหลอมออกมาไม่ได้ นอกจากจะเป็นเพราะวิชาการหลอมยาของลู่ยงสูงส่งอย่างแท้จริงแล้ว โชคชะตาน้ำและภูเขาที่มีเฉพาะในภูเขาชิงจิ้งก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
นี่คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดการสร้างพรรคก่อตั้งสำนักและการบุกเบิกก่อตั้งจวนของเทพเซียนพสุธาถึงได้ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเซียนดินของใบถงทวีปยังเห็นมันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกเจ็ดก็สามารถเอามาสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงได้เหมือนกันน่ะสิ?”
ลู่ยงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “แน่นอน เพียงแต่ว่าหากเอายานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าไปมอบให้แก่พวกคนมุทะลุที่เดินไปบนทางตันเหล่านั้น ก็ออกจะเป็นการเอาวัตถุดิบใหญ่ไปใช้กับเรื่องเล็กเกินไปหน่อย ไม่ต่างจากยื่นดอกโบตั๋นให้วัวเคี้ยว”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าตำหนักพูดถึงยานั่งลืมตนนี้กับข้า เพราะเห็นแก่หน้าของเจียงซ่างเจิน จึงคิดจะขายให้ข้าเฉินผิงอันในราคาที่ต่ำลงหน่อย ใช่หรือไม่?”
หัวใจลู่ยงบีบรัดตัว
เจ้าหมอนี่ถึงขั้นกล้าเรียกชื่อเจียงซ่างเจินออกมาตามตรง
ลู่ยงหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณชายเฉินดูแคลนตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าเกินไปหน่อย คบค้าสมาคมกับสหาย จะพูดเรื่องราคาอะไรกัน ยาเตานี้พูดแล้วก็บังเอิญนัก พอคุณชายเฉินไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋ ข้าส่งคุณชายและเจ้าประมุขเจียงจากไปแล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วย! ถึงกับหลอมออกมาได้มากถึงหกเม็ดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ข้าลู่ยงหลอมโอสถมา โชควาสนาเช่นนี้ ในหนึ่งชีวิตมีได้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ดั่งว่าสวรรค์คอยให้ความช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าคุณชายเฉินมีวาสนายิ่งใหญ่กับตำหนักพยัคฆ์เขียว และกับข้าลู่ยง โชควาสนาบนมหามรรคา ข้าหรือจะกล้าเก็บซ่อนไว้เพียงลำพัง? จึงเอายานั่งลืมตนทั้งหกเม็ดนี้มาให้คุณชายเฉิน!”
เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย
มารดาข้า บนโลกนี้ยังมีคนที่พูดจาได้เหลวไหลยิ่งกว่าข้าอยู่อีกหรือ?
วิชาการประจบสอพลอของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ นางสามารถลองเรียนรู้ดูได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น ‘คนอ่านหนังสือ’ มากยิ่งกว่านางเสียอีก?
ลู่ยงเองก็คงรู้สึกได้ว่าคำพูดประโยคนี้ของตน ‘ไม่ค่อยเข้าที’ สักเท่าไหร่ จึงแสร้งพูดอย่างเสียดายว่า “แม้ว่าจะเป็นจุดที่มหามรรคาชี้ไป จึงจำเป็นต้องทำตามเจตนารมสวรรค์ แต่ข้าก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หวังเพียงว่าวันหน้าคุณชายเฉินจะพูดถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าในทางที่ดีต่อหน้าเจ้าประมุขสกุลเจียงสักหน่อย กิจการของสกุลเจียงมีอยู่เกินครึ่งในใบถงทวีป ไม่แน่ว่ายาวิเศษที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าหลอมออกมาในวันหน้าอาจนำมาใช้ชดเชยยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ได้ นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นคุณชายเฉินแค่รับไว้อย่างสบายใจ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าประมุขสกุลเจียงดูแคลนผลผลิตที่เล็กน้อยนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่ตำหนักพยัคฆ์เขียวได้กลายมาเป็นสหายของคุณชายเฉินก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”
เผยเฉียนรีบรินชาอีกถ้วยยื่นส่งไปให้ตาเฒ่าลู่ขี้ประจบ อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าลู่
เฉินผิงอันย่อมคิดเยอะกว่าเผยเฉียน
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงเจียงซ่างเจิน รวมไปถึงกิจการของตระกูลเจียงและผลผลิตของตำหนักพยัคฆ์เขียว
ยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ อันที่จริงค่อนข้างจะร้อนลวกมือ
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็คิดจะปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม หากเปลี่ยนเจียงซ่างเจินมาเป็นตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่า ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีพื้นที่ให้ปรึกษากันได้ เรื่องการค้านี้ เดิมทีก็เป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรของเจ้าและข้าทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินให้มากนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากกล่าวว่า “ความหวังดีของเจ้าตำหนักลู่ ข้าขอรับน้ำใจเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่ายานั่งลืมตนเตานี้มีมูลค่าควรเมืองเกินไป ข้าย่อมไม่กล้าช่วงชิงของรักของผู้อื่นมาครอบครอง อีกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจียงซ่างเจินก็ธรรมดายิ่ง…แต่เรื่องที่เจ้าตำหนักลู่นำยามามอบให้ ข้าสามารถส่งจดหมายไปให้แก่เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกได้ฉบับหนึ่ง เพื่อปฏิเสธเรื่องยานี้ จะไม่ทำให้เจ้าตำหนักลู่ลำบากใจเด็ดขาด”
ลู่ยงมีสีหน้าเป็นปกติคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
แต่ลึกๆ ในใจกลับหงุดหงิดกับการวาดงูเติมหางของตัวเอง
เขาไม่ควรจะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ เพราะคิดอยากจะให้เฉินผิงอันฟังความนัยที่ตนต้องการให้เขาช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักพยัคฆ์เขียวกับสกุลเจียงออก
ชั้นที่หนึ่งด้านล่างของเรือข้ามฟากลำนี้ มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สีหน้ามืดทะมึน
เจ้าโง่ลู่ยงผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเลยจริงๆ
ในห้องยังมีผู้ฝึกตนหญิงที่หน้าตางดงาม แต่กลับสีหน้าซีดขาวอยู่อีกคนหนึ่ง นางก็คือเซียนดินโอสถทองที่ก่อนหน้านี้เกือบถูกฝ่ามือหนึ่งของเจียงซ่างเจินตบตายอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋
ส่วนนักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งร่ายเวทอำพรางตานั้นก็คือเจียงซ่างเจินที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือข้ามฟาก เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเปิดคาบสอนที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวแล้วก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักกุยหยกในทันที แต่เลือกที่จะแอบขึ้นมาบนเรือข้ามฟาก แล้วตรงมาหาผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตโอสถทองที่ถูกแงะออกมาจากร่องหินอย่างน่าสงสารผู้นี้ หลังจากที่เจียงซ่างเจินมาเคาะประตูจนทำให้นางต้องเปิดประตูอย่างหงุดหงิด วินาทีที่เจียงซ่างเจินถอนคาถาอำพรางโฉมหน้าและลมปราณที่ปกปิดออก ฝ่ายหลังก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าร้องอ้อนวอน
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด
ทำอืดอาดยืดยาดในเรื่องที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงในการฝึกตน หยดน้ำสามารถกร่อนจิตใจ เศษดินก็สามารถทำให้ร่างทองสกปรกแปดเปื้อน ไม่ระวังไม่ได้
เขาแค่จะรอให้ลู่ยงเผยตัวแล้วจัดการเรื่องที่เขามอบหมายให้สำเร็จอย่างเหมาะสมก็จะหวนกลับไปยังสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดของใบถงทวีปทันที ยังมีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอีกเป็นกองพะเนินรอให้เขาไปจัดการ ยกตัวอย่างเช่น ‘บุตรโทน’ ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ากระทำการโดยพลการ เจียงเป่ยไห่ผู้นั้น เจียงซ่างเจินนึกอยากจะตัดมือตัดเท้าเจ้าลูกล้างลูกผลาญผู้นี้แล้วโยนให้ไปเกิดเป็นขอทาน เป็นนางโลมอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาทุกภพทุกชาติซะจริง ดูท่าหกสิบปีที่ตนไม่อยู่ในตระกูล เจ้าคนปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถน้อยนิดผู้นี้ได้เย่อหยิ่งทะนงตนจนลืมแม้แต่หน้าที่ซึ่งตนต้องกระทำไปแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนมีลูกหลานได้ยากมาก อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับห้าขอบเขตกลางที่แค่คิดจะแตกหน่อขยายกิ่งก้านสาขาก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองแล้ว
ชั้นบน ลู่ยงไม่กล้ามีความคิดและอุบายอะไรที่เกินความจำเป็นอีกแล้ว ในที่สุดก็คิดแค่อยากจะมอบยานั่งลืมตนขวดนั้นออกไป
เพียงแต่ทุกเรื่องล้วนเริ่มต้นยาก แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะง่าย เดินผิดไปหนึ่งก้าว กลับกลายเป็นว่ายิ่งยากลำบากกว่ากัน
เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องที่ลับหลังเจียงซ่างเจินใช้ทั้งพระเดชและพระคุณต่อตำหนักพยัคฆ์เขียว เขาแค่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องที่เขามีความสัมพันธ์กับเจียงซ่างเจินก็มีแค่เรื่องที่จั่วโย่วต้องการให้เจียงซ่างเจินนำโอสถปีศาจมามอบให้เขาเท่านั้น จะมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ฝึกวิชาหมัดเพื่อต่อชีวิต นั่นคือรากฐานแห่งการหยัดยืนภายนอกของเฉินผิงอัน
จิตใจและความคิดบริสุทธิ์ ดึงรั้งไว้ได้อยู่นิ่ง หยัดยืนได้อย่างมั่นคง บนโลกที่จิตใจคนซับซ้อน อันที่จริงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันแน่ใจแค่ว่าในเมื่อเจียงซ่างเจินมาปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ ลู่ยงก็ไม่มีทางกล้าเกิดใจคิดร้ายต่อตน ดังนั้นต่อให้ไม่รับยานั่งลืมตนขวดนี้เอาไว้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะแตกหักกับตำหนักพยัคฆ์เขียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ยงยังเป็นเซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่ง เขามีแต่จะยิ่งทะนุถนอมตบะและตำแหน่งฐานะของตัวเองในทุกวันนี้
นี่จึงลำบากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าที่เสียใจภายหลังอย่างสุดแสน
ถึงท้ายที่สุด ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งอย่างไร คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังพูดจานุ่มนวลน่าฟัง แต่กลับไม่ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นเอาไว้
หรือว่าจะต้องทำตามคำหยอกล้อของเจียงซ่างเจิน เซียนดินก่อกำเนิดอย่างเขาต้องร้องไห้โวยวายว่าจะแขวนคอตายในถิ่นของตัวเองต่อหน้าเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งจริงๆ?
ลู่ยงทำไม่ลง
ดังนั้นจึงได้แต่บอกให้เฉินผิงอันคิดพิจารณาดูอีกสักครั้ง ส่วนลู่ยงก็ออกจากห้องของเฉินผิงอันไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นเดียวกันของเรือข้ามฝาก
ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเปิดประตูก็มองเห็นใบหน้าที่ตนไม่อยากพบเจอมากที่สุด เจียงซ่างเจินผู้มีสีหน้าเฉยชา
เจียงซ่างเจินที่เกลียดคน ‘ทำตัวอวดฉลาด’ ที่สุดในชีวิตไม่คิดจะเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับลู่ยงแม้แต่ครึ่งคำ เขาร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ของขอบเขตหยกดิบออกมาโดยตรง สร้างห้องแห่งนี้ให้กลายเป็นคุกแห่งหนึ่งไว้รอนานแล้ว พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปคว้า กระชากก่อกำเนิดเฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวเข้ามายังฟ้าดินในห้อง ในห้องมีเสาคานสีทองหลายต้นที่มีมังกรทองสีทองล้อมวนปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า พวกมันเริ่มพุ่งออกมาจากเสาเบื้องบน ประหนึ่งโซ่ตรวนสีทองหลายเส้นที่ทะลุผ่านช่องโพรงลมปราณที่สำคัญในร่างของลู่ยง มังกรทองตัวสุดท้ายคือตัวที่มีอำนาจบารมีมากที่สุด กรงเล็บของมันกดลงบนศีรษะของลู่ยง ตบให้เขาล้มลงไปบนพื้น
เจียงซ่างเจินเดินมาหยุดอยู่หน้าก่อกำเนิดเฒ่าที่นอนหมอบอยู่บนพื้น เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนท้ายทอยของเขา พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “เกียรติยศหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าก็มอบให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวของเจ้าไปหมดแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้จักพอ นึกจริงๆ หรือว่าข้าเจียงซ่างเจินมีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ เพราะปิ่นหยกชิ้นนั้นของเขาทำให้ข้าหวนรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ข้าก็จะไม่อธิบายถึงมหามรรคามอบโชควาสนาให้แก่ลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่จะตบดวงจิตต้นกำเนิดของตาเฒ่าลู่อย่างเจ้าฝังเข้าไปในผนังหินให้กลายเป็นภาพวาดฝาผนังไปแล้ว?!”
เจียงซ่างเจินเพิ่มแรงที่ฝ่าเท้าอีกเล็กน้อย ลู่ยงผู้น่าสงสารเมื่ออยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ แม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญก็ยังร้องไม่ออก มีเพียงจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารผู้นี้รู้สึกเพียงว่าอยู่ไม่สู้ตาย
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้น “ผู้ฝึกตนกี่มากน้อยบนโลกที่ไม่รู้จักหลักการหยุดเมื่อพอสมควรเช่นเจ้าลู่ยง! ลำพังแค่โชควาสนาเล็กน้อยแค่นี้ ได้กลายเป็นคนบนภูเขาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว? ขนาดข้าเจียงซ่างเจินยังต้องนอบน้อมเจียมตน แค่เพื่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งก็สามารถสะกดกลั้นจิตสังหารที่ท่วมท้นอยู่เต็มท้อง ยอมพูดคุยดีๆ ต่อหน้าเฉินผิงอัน เจ้าลู่ยงกลับดีนัก เก่งกาจยิ่งกว่าข้าเจียงซ่างเจินเสียอีก!”
ท้ายทอยของลู่ยงยุบลงไปเล็กน้อยแล้ว หากผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง คาดว่าจิตต้นกำเนิดคงระเบิด โอสถทองและทารกก่อกำเนิดต่างก็แตกสลายอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินต้องถูกลูกหลงจนบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ ไปด้วย แต่ดูจากท่าทางแล้ว เจียงซ่างเจินไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาพวกนี้เลย
เดิมทีเจียงซ่างเจินรับปากแล้วว่าหากตำหนักพยัคฆ์เขียวมีลูกศิษย์ที่พรสวรรค์พอใช้ได้ ในอนาคตที่คนผู้นั้นเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็สามารถไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ตามหาโชควาสนาของตัวเองได้
และด้วยเหตุนี้ก็ถือว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวผูกความสัมพันธ์กับสกุลเจียงและสำนักกุยหยกแล้ว
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น วันหน้าอย่างน้อยก็จะไม่มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนใดกล้าชี้หน้าด่าประณาม ล่วงเกินผู้อาวุโสของเรือข้ามฟากตำหนักพยัคฆ์เขียวอย่างลู่ยงอีกต่อไป
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
โชควาสนามาถึงมือแล้ว กลับคว้าไว้ไม่อยู่ กลายเป็นหายนะเข้ามาแทน คราวนี้ทุกเรื่องก็ล้วนหมดหวัง
สืบย้อนเรื่องไปไกลอีกหน่อย เป็นเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันซึ่งไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน คนวัยเดียวกันทั้งสองคนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงในโรงเรียนของฉีจิ้งชุนได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะจ้าวเหยาที่ได้รับ ‘ตราประทับอักษรตัวชุน’ ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของฉีจิ้งชุนไป ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับราชครูชุยฉานต้าหลีในเวลานั้น เด็กหนุ่มจ้าวเหยาที่ฉีจิ้งชุนฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้ เด็กหนุ่มผู้นั่งรถเทียมวัวที่แม้แต่คนเฝ้าประตูเจิ้งต้าเฟิงก็ยังชื่นชอบ ก็ยังถูกชุยฉานมองเป็นมดตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อยแค่นั้นไม่ใช่หรือ? เป็นเหตุให้ตราประทับอักษรตัวชุนหายไปจากฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง
หากจ้าวเหยาไม่ได้ ‘ฉลาด’ มากถึงเพียงนั้น แต่ยอมตายโดยไม่ยอมใช้ตราประทับตัวอักษรชุนมาแลกกับโชควาสนาจากชุยฉาน
ฉีจิ้งชุนที่ตอนนั้น ‘ลมวสันต์ยังอยู่ในชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่ม’ จะยอมปล่อยให้ชุยฉานเอาตราประทับไปได้อย่างไร?
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน แค่ความคิดชั่ววูบความคิดเดียวที่ผิดพลาด ลู่ยงก็จะต้องมาตายอยู่ตรงนี้
เจียงซ่างเจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงเท้ากลับคืนมา แต่ยังเตะไปบนใบหน้าของลู่ยงหนึ่งที ทำให้ร่างของเขากระเด็นไปกระแทกบนเสาต้นหนึ่งที่มีมังกรสีทองล้อมพัน
ลู่ยงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เอนหลังพิงเสาใหญ่ เหนือศีรษะก็คือมังกรทองที่ห้อยตัวลงมา ศีรษะของมันหมุนบิดตามลู่ยงอยู่ตลอด แสดงให้เห็นว่าสามารถกัดหัวของลู่ยงได้ทุกเมื่อ
เจียงซ่างเจินข่มกลั้นโทสะ หุบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งยอง มองสบตาลู่ยงแล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ โกรธหรือไม่?”
ลู่ยงกล่าวอย่างตระหนกลนลาน “มิกล้าๆ!”
ความคิดของเจียงซ่างเจินขยับเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขาก็มีใบหลิวสีเขียวขจีใบหนึ่งปรากฏขึ้น
ลู่ยงตะลึงพรึงเพริด ถึงกับหมอบลงโขกหัวเสียงดังปังๆ “ขอร้องผู้อาวุโสโปรดเว้นชีวิต!”
แต่ไหนแต่ไรมาเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกมีแค่ชื่อเสียงเรื่องกระเป๋าเงินตุงแน่นโด่งดังไปทั่วใบถงทวีป น้อยครั้งนักที่จะมีข่าวว่าเขาสังหารคนแพร่ออกไป
แต่เจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกโปรดปรานเจียงซ่างเจินมาก นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั่วทั้งทวีป เดิมทีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานั้นมีสำนักกุยหยกและสกุลเจียงร่วมกันดูแล แต่เจ้าสำนักกลับไม่สนใจคำครหา ยกทั้งถ้ำเมฆาให้เจ้าประมุขสกุลเจียงที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มไป
เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน สำนักใบถงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘กุยหยกรังแกได้ แต่เจอเจียงให้เดินอ้อมไป’ อีกทั้งเล่าลือกันว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนตายของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งของสำนักใบถงด้วย
เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขตระกูลเจียง มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเพียงแค่ใบหลิวใบเดียว อย่าว่าแต่สำนักใบถงเลย ต่อให้เป็นเซียนดินของสำนักกุยหยกเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ประโยคสั่งเสียท่อนสุดท้ายของผู้เฒ่าก่อกำเนิดสำนักใบถงท่านนั้นก็คือ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เมื่อมาอยู่ในมือของข้า ชื่อเสียงและบารมีของสกุลเจียงเงียบหายไปสองร้อยปี ออกจากภูเขามาครั้งนี้ ถ้าไม่ฆ่าเซียนดินสักคนย่อมผิดต่อบรรพบุรุษ”
ลู่ยงน้ำตาไหลอาบหน้า เงยหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสสังหารก่อกำเนิดปลายแถวอย่างข้าลู่ยงจะไม่ยิ่งสร้างความอัปยศให้แก่สกุลเจียงหรอกหรือ? ผู้อาวุโสควรเปลี่ยนไปฆ่าคนอื่นมากกว่า!”
เจียงซ่างเจินจุ๊ปาก “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีไหวพริบเฉียบไวเหมือนข้า น่าสนใจๆ”
เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งที ใบหลิวใบนั้นและฟ้าดินขนาดเล็กก็หายไปพร้อมกัน
ลู่ยงที่ไปเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่งยังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง “ขอผู้อาวุโสโปรดมอบโอกาสให้ข้าลู่ยงอีกสักครั้ง คราวนี้หากยังไม่สามารถทำให้ท่านผู้อาวุโสพอใจได้ ลู่ยงจะขอร้องความตายด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น ยังหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่เอาความโกรธไประบายใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ถือว่ายังพูดภาษาคนเป็นอยู่บ้าง เอาเถิด ลุกขึ้นได้แล้ว เป็นถึงเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ได้ หากแพร่ออกไปคนอื่นจะนึกว่าข้าเจียงซ่างเจินอาศัยขอบเขตที่สูงกว่ามารังแกคนอ่อนแอ ถือว่าเจ้าโชคดี หากวันนี้เจ้าลู่ยงเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็คงตายไปแล้ว”
ลู่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วน้ำตาก็ไหลพรากอาบใบหน้าที่เหี่ยวย่นอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ไม่สังหาร”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดูจากท่าทางของเจ้าตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าน่าสงสารนัก ดูท่าคงเพราะไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมานานเกินไป จิตใจถึงได้อ่อนลงตามไปด้วย ต้องรู้ว่าปีนั้นหากเจอกับเซียนดินสำนักใบถงที่มีขอบเขตเดียวกัน สุดท้ายต่อให้เขาจะโขกศีรษะขอร้องข้าหนึ่งพันครั้ง ข้าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจมากพอ ยังต้องประทานหนึ่งใบหลิวให้เขาเป็นรางวัล ตัดหัวทารกก่อกำเนิดที่อยู่ในร่างของเขามาซะ คราวนี้กลับไปถึงสำนักต้องหาเรื่องยุ่งยากทำบ้างถึงจะได้”
เจียงซ่างเจินโบกมือ “ออกไปเถอะ หากเจ้าส่งมอบสิ่งของเรียบร้อย เรื่องราวทุกอย่างก็ถือว่าจบลงตรงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีเจ้าย้อนหลัง ลูกศิษย์คนนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังคงสามารถไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้”
เจียงซ่างเจินอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เรียกว่าคนละเรื่องไม่เอามาปนกัน”
ลู่ยงก้าวถอยหลังเดินออกไปจากห้อง พอปิดประตูเรียบร้อยก็พลันตระหนักได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่เขาใช้พักอาศัยบนเรือข้ามฝากลำนี้ แต่เขาหรือจะกล้าเคาะประตูอีกครั้ง ได้แต่ตรงไปขอห้องธรรมดาอีกห้องหนึ่งมาจากผู้ดูแลเรือ
ท่ามกลางม่านราตรี ลู่ยงย้อนกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอันอีกครั้ง พอนั่งลงเรียบร้อยก็ไม่พูดมากความใดๆ หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กลักษณะเรียบง่ายธรรมดาออกมาสามใบ ภายใต้สายตาสงสัยของเฉินผิงอัน ลู่ยงลุกขึ้นพูดว่า “ในขวดกระเบื้องสามใบนี้ ยานั่งลืมตนหกเม็ดบรรจุอยู่ในขวดหนึ่ง ในอีกสองขวดที่เหลือบรรจุยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณไว้ขวดละหกเม็ด ใต้ก้นขวดมีระบุไว้ วัตถุดิบหลักของฝ่ายแรกเลือกมาจากคราบร่างของเจียวเพลิงตัวหนึ่ง ฝ่ายหลังเลือกมาจากตะไคร่ที่มีเฉพาะบนผนังหินแห่งนั้นของสำนัก เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป ใช้ร่วมกันสองเม็ดจะให้ประสิทธิผลที่ดีเยี่ยม สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณ มีคำกล่าวขานที่น่าฟังว่า ‘ร่างทองทาสี’ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกสกัดกั้นอยู่เหนือธรณีประตูขอบเขตโอสถทอง ยานี้ก็จะถูกมองเป็นทางลัดในการฝ่าทะลุขอบเขต”
ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธ
ลู่ยงก็กล่าวขึ้นเสียงหนักว่า “หากวันนี้คุณชายเฉินไม่รับไว้ ลู่ยงไม่กล้าบีบบังคับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องท่านว่าหากคราวหน้าเดินทางผ่านยอดเขาเทียนแจว๋ โปรดอย่าลืมจุดธูปสามดอกให้ข้าลู่ยงเหนือซากปรักหักพังของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าด้วย”
กล่าวจบร่างของลู่ยงก็หายวับไปทันที
เผยเฉียนเบิกตากว้าง
ใต้หล้านี้มีวิธีมอบของขวัญเช่นนี้ด้วยหรือ?
ข้อนี้นางเลียนแบบไม่ได้หรอกนะ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เจียงซ่างเจิน ออกมาพบกันหน่อยดีไหม?”
เจียงซ่างเจินยืนอยู่ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ ยิ้มตาหยีโบกมือให้
หลังจากโบกมือทักทายเสร็จ เจียงซ่างเจินก็ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พุ่งตัวออกจากระเบียงจมหายไปในทะเลเมฆด้านหนึ่งของเรือ จากไปอย่างสง่างามเช่นนี้
เฉินผิงอันยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว
ปวดหัว
ลู่ยงเดินไปยังห้องที่เจียงซ่างเจินใช้ ‘พูดเหตุผลกับตน’ อย่างกระวนกระวายใจ หลังเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบรับก็ปลุกความกล้าเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
เขารออยู่นานมากถึงได้ผลักประตูเข้าไป
ไม่เห็นเจียงซ่างเจินอยู่ในห้องแล้ว
มีเพียงเงินฝนธัญพืชกองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ลู่ยงนั่งลงข้างโต๊ะอย่างเหม่อลอย ก่อกำเนิดเฒ่านั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทิ้งแรงๆ
ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้เมื่อกลับไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋จะหลอมยา ชีวิตนี้จะหลอมแค่ยาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คบค้าสมาคมกับพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่อารมณ์แปรปรวนพวกนี้อีกแล้ว!
ทางฝั่งนั้น
เฉินผิงอันเรียกคนทั้งสี่ในภาพวาดมาปรึกษาเรื่องนี้อย่างไม่มีปิดบังอำพราง บนโต๊ะวางขวดกระเบื้องสามใบเอาไว้
ความหมายของเว่ยเซี่ยนคือยาพวกนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน สามารถวางใจได้
คำแนะนำของหลูป๋ายเซี่ยงคือวิธีการของคนบนภูเขามีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้ไหว เพื่อความปลอดภัย เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าก็ให้ขายออกไปด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า
สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด
จูเหลี่ยนพูดตรงไปตรงมาที่สุด เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ขอนายน้อยโปรดมอบยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณให้เขาอย่างละเม็ด แล้วเขาจะลองชิมดูว่ารสชาติเป็นเช่นไร ก่อนไปถึงนครมังกรเฒ่า หากเขาไม่ตายอย่างเฉียบพลันไปเสียก่อน อีกทั้งจิตวิญญาณยังได้รับการบำรุงให้แข็งแกร่ง นั่นก็หมายความว่ายาวิเศษในขวดกระเบื้องสามใบนี้ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะกินเองหรือขายไปเล่นงานคนอื่น
เฉินผิงอันทำเพียงแค่เก็บขวดกระเบื้องทั้งสามใบไว้ในกระบี่บินสืออู่
คืนนั้นจูเหลี่ยนก็แอบมาเคาะประตูขอร้องเฉินผิงอันว่าให้ขายยาของตำหนักพยัคฆ์เขียวแก่เขาสองเม็ด ส่วนเงินเขาขอติดไว้ก่อน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่กลัวตายจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าหลังค่อมหัวเราะเหอๆ นั่งลงข้างโต๊ะ ถูมือกล่าวว่า “ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาจนชินแล้ว ตอนนี้มาอยู่ในใต้หล้าใหญ่แห่งนี้ คงไม่ต้องหวังว่าจะได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีก แต่จะดีจะชั่วก็ต้องพยายามช่วงชิงอันดับหนึ่งในบรรดาคนทั้งสี่ ไม่อย่างนั้นบ่าวเฒ่าจะมีหน้ารับใช้นายน้อยได้อย่างไร หากแม้แต่สตรีคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ สมควรเอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้ตายแล้ว”
จูเหลี่ยนกล่าวต่อว่า “แสวงหาความร่ำรวยในความเสี่ยง ศึกหน้าวัดร้างก่อนหน้านี้ บ่าวเฒ่าสังหารเข่นฆ่าอย่างเต็มกำลังหวังความสาแก่ใจ จึงทิ้งต้นตอโรคบางอย่างไว้บนร่าง หรือท่านจะทนเห็นบ่าวเฒ่าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตทองทีหลังสุดได้?”
เฉินผิงอันถาม “คิดดีแล้วจริงๆ นะ?”
จูเหลี่ยนพยักหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่คิดมาดีแล้ว ด้วยนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (เปรียบเปรยว่าลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) ของบ่าวเฒ่า จะมาเคาะประตูรบกวนการพักผ่อนของคุณชายหรือ?”
เฉินผิงอันเอาขวดกระเบื้องออกมาสองใบ เทยาตระกูลเซียนที่มีสีสันแตกต่างกันออกมาสองเม็ด กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นตายต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ยาสองเม็ดนี้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าจูเหลี่ยนยอมสู้สุดชีวิตไม่คิดถอยหน้าวัดร้าง”
จูเหลี่ยนแบมือรับยาสองเม็ดนี้ไปแล้วโยนเข้าปากโดยตรง จากนั้นจึงหัวเราะหึหึพลางลุกขึ้นยืนเอ่ยลาเฉินผิงอัน “คุณชายให้รางวัลและลงโทษชัดเจน บ่าวเฒ่ายินดีติดตามด้วยความจงรักภักดี”
คำพูดประจบยกยอเช่นนี้ เฉินผิงอันแค่ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาเท่านั้น
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียนที่เอียงศีรษะเอาซีกหน้าแนบกับพื้นโต๊ะ ฝ่ายหลังก็จ้องเป๋งมองตาเขา
แล้วจูเหลี่ยนก็จากไป
ครึ่งคืนหลัง เผยเฉียนไปนอนที่ห้องด้านข้าง เฉินผิงอันฝึกยืนนิ่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนเดินไปเปิดประตู
สุยโย่วเปียนยืนอยู่นอกประตู
นางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณ ต้องการยานั่งลืมตนแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”
“เจ้าอยากจะหยิบเกาลัดในกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์) เป็นเพื่อนจูเหลี่ยนขนาดนี้เชียวหรือ? อยากตายเพราะความสิ้นหวังหรือเพราะอะไร? ขนาดแค่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนก็ยังไม่ยินดีรอ ข้าว่าเจ้าสุยโย่วเปียนกินยานั่งลืมตนทั้งขวดก็ล้วนเสียเปล่า!”
เฉินผิงอันกล่าวจบก็ไม่แม้แต่จะยอมให้นางเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงดังปัง
สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าไร้อารมณ์อยู่นอกประตูนานมาก สุดท้ายถึงจากไปอย่างเงียบงัน
ช่วงครึ่งสุดท้ายของคืน คลื่นลมสงบ ทะเลเมฆงดงามเกินบรรยาย
ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงนครขนาดใหญ่ยักษ์ที่เป็นดั่งมังกรโผล่หัวพ้นผิวทะเลซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น
วันนี้เฉินผิงอันไปหาผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่รับผิดชอบดูแลกิจธุระบนเรือข้ามฝาก เป็นฝ่ายเปิดปากสอบถามว่ามีเตาโอสถระดับเยี่ยมขายหรือไม่
ผู้ดูแลบอกว่ามี แม้ว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้ทำการค้าในเรื่องนี้ แต่เจ้าตำหนักผู้เฒ่าทุ่มเทกำลังและจิตใจทั้งชีวิตไปกับเรื่องของการหลอมยา จึงเก็บรักษาเตาหลอมยาจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ในเมื่อคุณชายเฉินคือสหายของตำหนักพยัคฆ์เขียวเรา ถ้าเช่นนั้นเขาจึงกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าตำหนักผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักผู้เฒ่าจะเต็มใจยกของรักให้หรือไม่ เขาเป็นแค่นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ดบนเรือข้ามฟาก ไม่กล้ารับรอง เขาจำเป็นต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกทางตำหนักพยัคฆ์เขียวก่อน
เฉินผิงอันกำหมัดขอบคุณ
เซียนดินขอบเขตโอสถทองที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ด’ ผู้นั้นไม่รู้เรื่องภายในเท่าไหร่จริงๆ แค่แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลเซียนที่มีเบื้องหลังน่าตะลึง ดูเหมือนว่าจะเป็นสหายสนิทกับตระกูลเจียงที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่กล้ารับปากว่าจะสอบถามเรื่องการขายเตาหลอมโอสถจากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเองโดยพลการ นั่นเป็นหัวจิตหัวใจของเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเชียวนะ เตาหลอมโอสถทุกใบที่ยังไม่นำมาใช้งานชั่วคราวล้วนถูกลู่ยงเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ไม่ได้หลอมยา ทุกวันเขาก็จะต้องไปตรวจสอบเช็ดถูเตาพวกนี้ด้วยตัวเองหนึ่งรอบ
กระบี่บินส่งข่าวของยอดเขาเทียนแจว๋ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษจากสำนักใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ราคาแพงลิ่ว แต่คุณภาพก็เป็นไปตามราคา วัสดุดีเยี่ยม ความเร็วสูงสุด เร็วยิ่งกว่าเรือข้ามฟากที่เน้นในความมั่นคงปลอดภัยลำนี้มากนัก
ผลคือเมื่อผู้ดูแลที่ท่าทางเหมือนคนเห็นผีมาพบเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนและร้อนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย
คำตอบของลู่ยงก็คือเขาจะนำเตาหลอมโอสถชั้นเยี่ยมใบหนึ่งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานหลายปีมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนก็คือเงินเทพเซียนที่เขามีอยู่บนร่างตอนนี้ไม่พอให้ซื้อเตาหลอมยาใบนั้น ได้แต่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยขอยืมจากฟ่านเอ้อร์หรือเจิ้งต้าเฟิงถึงจะได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะกำเริบเสิบสานเกินไป ดูเหมือนว่าไม่ควรทำการค้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับลักษณะการทำการค้าของผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว
ในขณะที่เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ พอได้พบกับก่อกำเนิดเฒ่าที่เร่งรุดเดินทางมาจนเนื้อตัวมอมแมม เขาก็พูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา นึกไม่ถึงว่าลู่ยงจะหัวเราะเสียงดังกังวาน กลับกลายเป็นว่าสีหน้าผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม พวกเขาพากันเดินมาที่ห้องของเฉินผิงอัน บอกให้เซียนดินโอสถทองของตำหนักพยัคฆ์เขียวผู้นั้นเฝ้านอกห้องเอาไว้
ลู่ยงถึงได้หยิบเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นพิเศษที่พอจะบรรจุเตาหลอมโอสถที่ตนรักถนอมไว้ได้อย่างถูไถออกมา เมื่อเตาหลอมโอสถเผยกายบนโลกก็ลอยเหนือพื้นโต๊ะมา หนึ่งฉื่อ ทันใดนั้นก็มีเมฆหมอกห้าสีลอยอวลกรุ่นขึ้นมาเป็นระลอก กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้องทันที
เกรงว่านอกจากคนตาบอด ไม่ว่าใครก็มองออกถึงความล้ำค่าผิดไปจากปกติของเตาหลอมยาใบนี้
เผยเฉียนเดินมือเบาเท้าเบาวนไปรอบโต๊ะ จ้องเป๋งไปยังเตาโอสถสีชาดที่สูงเพียงหนึ่งแขนใบนั้น
เตาหลอมยามีห้าขา แบ่งออกเป็นสัตว์ห้าตัวที่แยกเป็นขาข้างหนึ่งของเตา ส่วนศีรษะของสัตว์เหล่านี้อ้าปากกว้างอยู่บนริมขอบของเตาหลอม ไอหมอกห้าสีที่ลอยกรุ่นถูกพ่นออกมาจากปากของพวกมันนั่นเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้าสีที่สอดคล้องกับห้าธาตุ
ใบหน้าของก่อกำเนิดผู้เฒ่าลู่ยงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชี้ไปยังกระถางที่ลอยอยู่กลางอากาศพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เตาหลอมยาใบนี้มีชื่อว่าเตาตู้ทองห้าสี วัสดุหลักที่ใช้หลอมเป็นตัวเตาคือทองจากห้าธาตุ เพราะอิงตามประโยคสั่งสอนของบรรพบุรุษในการหลอมยาของพวกเราที่ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นพันปีที่บอกว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ในอดีตข้าเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่บนเส้นทางการฝึกตนอย่างหนึ่ง ได้รับจวนเซียนจากในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งมา ครานั้นกองกำลังแต่ละฝ่ายช่วงชิงกันอย่างดุเดือด ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็น่าอกสั่นขวัญผวายิ่งนัก ข้าก็แค่โชคดีที่สุด ถึงได้เตาหลอมยาใบนี้มาครอบครอง เพราะเป็นวาสนาที่ได้มาครอง ไม่ได้ซื้อมา ดังนั้นข้าจึงตั้งราคาที่ยุติธรรมสำหรับคุณชาย ไม่กล้าทำตัวเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างต่อหน้าคุณชายเฉิน เงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ แค่ห้าสิบเหรียญเท่านั้น!”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ก่อกำเนิดผู้เฒ่าได้ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง
เฉินผิงอันมุมปากกระตุก
ตั้งห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!
ราคาสูงเทียมฟ้า
แต่ส่วนลึกในใจก็รู้ดีว่าลู่ยงเรียกราคานี้ ยุติธรรมจนไม่อาจยุติธรรมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่มัวคิดมากอีก กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าตำหนักลู่ ข้าต้องอยากซื้อไว้อยู่แล้ว แต่ไม่กลัวท่านหัวเราะเยาะ สหายที่นครมังกรเฒ่าจะยอมให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชจำนวนเท่านี้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่อาจบอกได้”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็กุมหมัดกล่าวว่า “หากทำให้เจ้าตำหนักลู่ต้องมาเสียเที่ยว ข้าก็ต้องขอโทษท่านไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน ในใจเขาคิดว่า มารดามันเถอะ หากผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าจะมีตบะสูงหรือต่ำก็ล้วนพูดง่ายและเข้าใจมารยาทอย่างเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะดีสักเท่าไหร่นะ
หากถามว่าเขาเต็มใจขายเตาตู้ทองห้าสีใบนี้หรือไม่ ก่อนหน้าที่จะเจอกับเจียงซ่างเจินและเฉินผิงอัน หากใครกล้าเปิดปาก เขาก็กล้าด่าคนนั้น หากเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าอาจจะโดนเขาซ้อมสักรอบหนึ่งด้วย
เพียงแต่ว่าเวลานี้ สภาพจิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน คราวนี้หลังจากลู่ยงหวนกลับไปถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวพร้อมกับเงินฝนธัญพืชที่ใช้ชีวิตแลกมากองนั้น เขาคิดไปคิดมาก็คิดตกเรื่องหนึ่งจริงๆ นั่นก็คือควรจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินอย่างไร ดังนั้นพอได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากเฉินผิงอัน เขาจึงไม่เพียงไม่โมโห กลับกันยังรู้สึกยินดี ข่มกลั้นความเจ็บปวดปานหัวใจหลั่งเลือดนำเตาหลอมยาที่เป็นดั่งเงินทุนค่าโลงของเขาลู่ยงใบนี้มา ขอแค่เขาเฉินผิงอันกล้าซื้อ เขาลู่ยงก็กล้าขาย!
ซึ่งในนี้ยังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบซุกซ่อนอยู่ นั่นก็คือระดับขั้นของเตาตู้ทองห้าสีใบนี้สูงเกินไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่ยงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด เพราะคาถาหลอมวัตถุที่เขามีความชำนาญนั้นระดับขั้นไม่สูงมากพอ รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษที่ตัวเองมีอยู่ในครอบครอง หรือไม่ก็วัตถุดิบต่างๆ ที่คนอื่นนำมามอบให้ระดับต่ำเกินไป อาจต้องรอถึงร้อยปี เขาลู่ยงถึงจะใช้เตาหลอมห้าสีได้หนึ่งครั้ง อีกทั้งยาหรือวัตถุที่หลอมออกมาจากเตาใบนี้ แค่ทำให้ได้รายรับที่พอๆ กับรายจ่ายเท่านั้น บางครั้งยังถึงขั้นขาดทุน ต่อให้เป็นลู่ยงก็จำต้องยอมรับว่า เอาเตาใบนี้เก็บไว้ในตำหนักพยัคฆ์เขียว สำหรับเขาลู่ยงแล้ว มันคือซี่โครงไก่ และสำหรับเตาหลอมแล้ว เขาลู่ยงก็คือ…เศษสวะ
ก่อนที่ลู่ยงจะย้อนกลับไปยังห้องของตัวเอง เฉินผิงอันได้แต่พูดประโยคหนึ่งตามมารยาทว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่มิจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”
ลู่ยงอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขั้นทิ้งเตาตู้ทองห้าสีใบนี้ไว้ที่เฉินผิงอัน แถมยังมอบตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดไว้ให้ด้วย
เฉินผิงอันเก็บเตาหลอมยาใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มพลิกเปิดตำราลับในการหลอมยาที่ลู่ยงเขียนด้วยตัวเองออกอ่าน อ่านไปได้ครู่หนึ่ง
เขาก็เดินออกจากห้องไปยังห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากที่มีไว้สำหรับกระบี่บินส่งข่าวโดยเฉพาะ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก
นอกจากพูดเรื่องลู่ยงขายเตาให้คร่าวๆ แล้ว ช่วงท้ายของจดหมายลับยังเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ติดค้างน้ำใจเจ้าสองครั้ง’
ในห้องแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโอสถทองของเรือข้ามฟากยืนอยู่ข้างกายลู่ยง เล่าเรื่องที่เฉินผิงอันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้สำนักกุยหยก
ส่วนเนื้อหาในจดหมาย เขาย่อมไม่รู้
ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้ใครจะยังกล้าใช้กระบี่บินส่งข่าวอีก
ลู่ยงอืมรับหนึ่งที
เซียนดินโอสถทองถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าตำหนัก คุณชายเฉินท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”
ลู่ยงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังแล้วก็ยิ้มตอบว่า “อายุน้อยๆ ก็มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งออกมาจากห้องของเฉินผิงอัน ลู่ยงที่เสียเปรียบไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นจากเดิมตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี เพื่อแสดงความจริงใจเขาถึงได้มอบเตาตู้ทองห้าสีไว้ที่เฉินผิงอันอย่างใจกว้าง เพียงแต่เตาใบนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด วัตถุฟางชุ่นธรรมดาอาจเก็บไว้ไม่ได้ อีกทั้งต่อให้ฝืนยัดเข้าไปก็อาจจะทำให้ ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก’ เกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่ลู่ยงเพียงแค่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าลมปราณของเตาพลันหายวับไป อีกทั้งลมปราณในห้องของเฉินผิงอันยังสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด
คือวัตถุจื่อชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เซียนดินก่อกำเนิดถอนหายใจ “มีเงิน มีเงินจริงๆ! ย่อมต้องเป็นลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่สืบทอดตระกูลกันมานานเป็นพันปีแน่นอน เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนเช่นนี้ออกมาท่องเที่ยวอยู่ใต้หล้า แต่กลับชอบให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกาย น่าสนใจยิ่งนัก”
ลู่ยงโบกมือเพราะไม่อยากพูดถึงเฉินผิงอันมากนัก
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ลู่ยงก็กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “โทษทัณฑ์ครั้งนั้นไม่ได้รับไว้อย่างเสียเปล่า ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าโชคดีแล้ว”
เมื่อเรือข้ามฟากจอดเทียบท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลนครมังกรเฒ่าอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้ในที่สุด
มาถึงแจกันสมบัติทวีป
เป็นช่วงปลายฤดูหนาวพอดี
ไม่เห็นเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจอดอยู่ที่ท่าเรือ น่าจะเป็นเพราะย้อนกลับไปยังภูเขาห้อยหัว ตอนนี้ยังไม่กลับมา แค่ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้พบกับกุ้ยฮูหยินอีกหรือไม่
ทว่าเมื่อเฉินผิงอันเห็นผู้ดูแลโอสถทองคนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูโดยที่ไม่มีเงาร่างของเจ้าตำหนักลู่ยง เฉินผิงอันก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว
แล้วก็จริงดังคาด ผู้ดูแลโอสถทองผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างปั้นยากว่า “เจ้าตำหนักมีธุระสำคัญต้องย้อนกลับไปที่ยอดเขาเทียนแจว๋ทันที ดังนั้นจึงฝากคำพูดให้ข้าบอกกับคุณชายเฉินว่า เงินฝนธัญพืชไม่กี่เหรียญนั้น ท่านจะไหว้วานให้คนนำมามอบให้ที่เรือข้ามฟากเมื่อไหร่ก็ได้ หวังว่าคุณชายเฉินจะไม่เก็บเอาเรื่องเล็กๆ นี้ไปใส่ใจ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะพยายามนำเงินฝนธัญพืชมามอบให้ผู้อาวุโสโดยเร็วที่สุด”
เซียนดินโอสถทองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มิกล้าเร่งรัดคุณชายเฉิน เจ้าตำหนักบอกไว้แล้ว อีกอย่างก่อนที่เจ้าตำหนักจะไปจากเรือข้ามฟากก็ได้พูดกับข้าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าไม่ทำตาม”
ไม่กี่วันหลังจากที่ลู่ยงย้อนกลับมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวก็มีกระบี่บินเล่มหนึ่งที่มีความไวสุดขีดพุ่งมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวจนเกือบจะทำให้ห้องกระบี่ของตำหนักแตกสลาย
หลังจากลู่ยงเอาจดหมายลับมาเปิดอ่านอย่างอกสั่นขวัญแขวนก็เดินกลับเรือนพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง
นับแต่วันนี้ไป นอกจากสายหลักของสกุลเจียงจะมอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญให้ลู่ยงโดยเฉพาะแล้ว สำนักกุยหยกจะยังเหมายาทุกๆ หนึ่งร้อยเม็ดที่ออกจากเตาของตำหนักพยัคฆ์เขียว ช่วยนำไปขายให้แก่สี่ทิศของใบถงทวีป
ลู่ยงใช้หมัดทุบฝ่ามือ รีบบอกให้คนลงภูเขาไปสมัครหาลูกศิษย์ ไม่ว่าจะตามหาต้นกล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี หรือเปิดปากขอตัวจากต้าเฉวียนและหนันฉีโดยตรงก็ช่าง สรุปก็คือตำหนักพยัคฆ์เขียวต้องการรับสมัครลูกศิษย์จำนวนมากเข้าสำนัก! พรสวรรค์แย่หน่อยก็ไม่เป็นไร ฝึกตนสักเจ็ดแปดปี ขอแค่ตำหนักพยัคฆ์เขียวให้การอบรมสั่งสอนอย่างตั้งใจ อย่างน้อยก็ต้องสามารถหลอมยาที่ดีที่สุดออกมาได้ ยาทุกเม็ดที่ออกจากเตาล้วนเท่ากับเงินหิมะน้อยที่มีแต่กำไรไม่มีขาดทุนก้อนหนึ่งเลยทีเดียว!
ลู่ยงไปที่ศาลบรรพจารย์ ตอนที่จุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพจารย์ที่อยู่ในภาพแขวน เขาก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “บรรพจารย์ปกป้องคุ้มครองควันธูปของตำหนักพยัคฆ์เขียวให้รุ่งโรจน์สืบทอดไปนานนับพันปีหมื่นปี”
……
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่เดินจากเรือข้ามฟากขึ้นไปบนฝั่งของท่าเรือ
ตอนที่เหลือก้าวสุดท้าย เผยเฉียนจงใจประกบขาสองข้างเข้าหากันแล้วพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยท่ากระโดด นางยืดอกตั้งกล่าวว่า “แจกันสมบัติทวีป ข้ามาแล้ว!”
หึหึ ดูเหมือนว่ายังมีเด็กหญิงที่ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชื่อว่าหลี่เป่าผิงคนหนึ่ง ตอนนี้ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างโง่งมอยู่เลย บังอาจมาเรียกพ่อข้าว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!
พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนพากันเดินลงเรือ แล้วมายืนขนาบสองฝั่งของเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนค้อมเอวถามว่า “นายน้อย หลังจากนี้พวกเราจะไปที่ไหน? เข้าเมืองไปโดยตรงเลยหรือ?”
เฉินผิงอันมีแผนการคร่าวๆ นานแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่าเรือแห่งนี้มีคนตระกูลฟ่านของเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาอยู่ เดี๋ยวพวกเราไปหาพวกเขาก็แล้วกัน ข้าเป็นเพื่อนกับคนผู้หนึ่งที่บิดาตั้งชื่อให้ดีมาก และเป็นผู้สืบทอดของตระกูลพวกเขา เป็นเพื่อนสนิทเลยทีเดียว!”
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เพื่อนของนายน้อยไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลังจากกินยาสองเม็ดของตำหนักพยัคฆ์เขียวเข้าไป บาดแผลที่สะสมตามเส้นเอ็นและกระดูกของจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่ล้วนหายดีหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับการบำรุงอย่างมาก ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อย่างราบรื่น เฉินผิงอันไม่ถาม จูเหลี่ยนก็ไม่เคยบอก
หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปี่ยนกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สามารถถูกเฉินผิงอันเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว
เว่ยเซี่ยนพูดกับเผยเฉียนว่า “เจ้ายังติดค้างน้ำตาลปั้นข้า อย่าลืมซะล่ะ”
เผยเฉียนกลอกตาไปมา พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้ายากจนจนแม้แต่เสียงเหรียญเงินกระทบกันก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินหรอกนะ”
เว่ยเซี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นปีนั้น หลอกลวงเบื้องสูงต้องถูกตัดหัว”
เผยเฉียนแอบชี้ไปที่เฉินผิงอัน จากนั้นก็ชูแขนเล็กๆ ขึ้น วางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งติดกัน พูดกับเว่ยเซี่ยนเสียงเบาว่า “เจ้าดูสิว่าพ่อข้าเป็นเพื่อนกับคนอื่นอย่างไร แล้วดูสิว่าเจ้าเหล่าเว่ยเป็นเพื่อนกับข้าอย่างไร เหล่าเว่ยเจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างสักนิดเลยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ “พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นยึดแผ่นดินมาได้แล้วก็นั่งบนเก้าอี้มังกรได้ไม่มั่นคง”
เผยเฉียนกระทืบเท้าเว่ยเซี่ยนหนึ่งที บ่นว่า “เป็นเพื่อนกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
เผยเฉียนรีบย่อตัวลงปัดขากางเกงให้เว่ยเซี่ยน “เหล่าเว่ยเจ้านี่ก็จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้วยังออกมาพบคนทั้งที่เนื้อตัวสกปรกได้อย่างไร ข้าจะช่วยปัดฝุ่นให้เจ้าเอง”
เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำเดินนำไปยังท่าเรือของเกาะกุ้ยฮวาสกุลฟ่าน
พอนึกถึงว่าตอนนี้ตนยังมีหนี้ติดตัวอีกห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ฝีเท้าของเฉินผิงอันก็หนักอึ้งเล็กน้อย
บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว
หากพูดตามคำพูดติดปากของเผยเฉียนก็คือ กลุ้มใจจริง