บทที่ 363 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งงันอยู่นาน คงเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมเข้ากับเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมดุจถ่านที่นั่งอยู่ข้างกายตนบนตอไม้ในความทรงจำได้ สุดท้ายเขาเอามือลูบหน้า หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “พูดก็พูดไปสิ ไยต้องพ่นน้ำลายเต็มหน้าข้าด้วย?”
แต่สุดท้ายแล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นมา และหากเฉินผิงอันไม่ได้คุยโวโอ้อวดจนเกินไป ถ้าเช่นนั้นยาแค่สองเม็ดก็น่าจะสามารถระงับอาการบาดเจ็บของเขาลงได้ ส่วนจะตัดรากถอนโคนต้นตอของโรคร้ายหรือไม่ น่าจะยังยากมากอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องกินยาวิเศษกี่เม็ดแล้ว
เผยเฉียนยื่นหัวออกมาจากตรงธรณีประตู ยกไม้เท้าเดินป่าในมือขึ้น พูดอย่างโมโห “เจ้าคนนี้ ทำไมไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากยังพูดแบบนี้อีก ระวังข้าจะโกรธล่ะ…”
เจิ้งต้าเฟิงรับขวดกระเบื้องใบนั้นมา หันหน้ามาหัวเราะกับนาง “ข้าตกใจเกือบตาย จอมยุทธ์หญิงตัวน้อยที่สุดยอดเลิศล้ำเกินใครจะเปรียบท่านนี้เป็นใครกันหนอ?”
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งทีแล้วรีบลุกขึ้นยืนให้ดี ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะลงบนพื้นหนักๆ “ฟังให้ดีล่ะ ข้าชื่อเผยเฉียน คือองค์หญิงท่านหนึ่งที่ประสบหายนะพลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันเป็น…อาจารย์ของข้า! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดสำนักของสำนักพวกเรา!”
คำพูดกวนโอ้ยน่าเตะที่บอกว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อนาง เผยเฉียนไม่เคยพูดต่อหน้าเฉินผิงอันมาก่อน
เจิ้งต้าเฟิงกลืนน้ำลาย หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน คงเพราะอยากถามว่าเจ้าเฉินผิงอันที่ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ไปหานังหนูแบบนี้มาจากที่ใด?
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าห้องไปพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าคุยจบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ายินดียื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้ ก็ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ? อีกฝ่ายมีกองกำลังแบบใดบ้าง แต่ละฝั่งมีเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดกี่คน? กองกำลังฝ่ายใดที่นั่งภูดูเสือกัดกัน เซียนดินจากฝ่ายใดจะลงสนามเข่นฆ่า เบื้องหลังของแต่ละคนมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่คิดจะฉวยโอกาสลงมือหรือไม่ ข้าไม่ควรต้องทำความเข้าใจสักหน่อยหรือ? สภาพภูมิศาสตร์ของนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงเส้นบริเวณทางใกล้เคียงแท่นมังกร ข้าไม่ควรต้องรู้ไว้บ้างหรือไร? สามครั้งที่เจ้าประมือกับตระกูลฝู ตระกูลฟางและตระกูลติง ข้าจะไม่อยากฟังบ้างเลยหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงปวดหัวแปลบขึ้นมาทันที ควักขวดกระเบื้องออกมา “เอากลับไปๆ พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เยี่ยวกันคนละไห!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง
เทพหยินแซ่จ้าวปรากฏตัวอยู่ด้านในร้าน พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที ถลกขากางเกงขึ้นด้วยความเคยชิน หิ้วม้านั่งกลับเข้าไปในร้านยา เดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในเรือนด้านหลัง ในห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันและเทพหยินแซ่จ้าวนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เผยเฉียนไม่กล้าวางก้นนั่งลงบนตำแหน่งประธานที่อยู่ทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ จึงเดินไปนั่งบนม้านั่งยาวหันหลังให้กับประตูห้อง ทิ้งตำแหน่งประธานให้เจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันยังบอกให้เว่ยเซี่ยนหลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเอาม้านั่งของตัวเองออกมานั่งฟังในห้องหลักด้วยกัน
ก่อนเจิ้งต้าเฟิงจะนั่งลง ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของเจ้าบ้านอยู่บ้าง เขาคว้าเอาเมล็ดแตงกำมือใหญ่ใส่ในจานเล็กใบหนึ่ง เอามาวางไว้ตรงหน้าเผยเฉียน เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเจิ้งต้าเฟิงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ยกถั่วลิสงโรยเกลือและเนื้อวัวแห้งหมักเต้าเจี้ยวสองจานใหญ่มาให้ตัวเอง
เผยเฉียนมองเมล็ดแตงในจานเล็กของตัวเอง แล้วค่อยหันไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงข้าม ขนาดจานที่ใช้ก็ยังใหญ่กว่าของนาง แบบนี้เกินไปหน่อยไหม?
เผยเฉียนชูนิ้วโป้ง “วิธีการรับรองแขกของเจ้า ข้านับถือ!”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาทำท่ากดลงเบื้องล่างสองที “จดจำไว้ในใจก็พอ อย่าเอาแต่พร่ำพูด”
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง แทะเมล็ดแตงแรงๆ อย่างใส่อารมณ์
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ดื่มเหล้าได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงลอกเปลือกถั่วลิสงโรยเกลือออกพลางส่ายหน้าตอบ “แตะเหล้าไม่ได้สักหยด ช่วงนี้ไม่ได้ดื่มแล้ว”
เทพหยินแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเนิบช้า “อีกหกวันให้หลัง อากาศจะหนาวจัด ที่แท่นมังกรของตระกูลฝู เจิ้งต้าเฟิงจะต้องเปิดศึกใหญ่ไม่ตายไม่เลิกรากับฝูฉี ซึ่งก็หมายความว่าสุดท้ายคนที่สามารถรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรแห่งนั้นได้ มีเพียงคนเดียว หากเจิ้งต้าเฟิงตายก็ง่ายหน่อย พวกเราแค่ขึ้นไปช่วยเก็บศพเขามาก็พอ ไม่มีอันตรายอะไร ในเมื่อตระกูลฝูสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าคนหนึ่งได้ ก็ถือว่าได้หน้าได้ตามากพอ ย่อมยินดีที่จะทำใจกว้างไม่ถือสาร้านยาฮุยเฉินอีกต่อไป”
เห็นว่าเฉินผิงอันมองมายังตน เทพหยินก็ยิ้มขื่น “แน่นอนว่าข้าไม่อาจมองเจิ้งต้าเฟิงไปตายอยู่บนแท่นมังกรคาตาตัวเองได้ หากเขาตายไป ข้าก็คงไม่มีทางได้เป็นเทพหยินนี่ต่อ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะปกป้องลูกหลานอะไร ดังนั้นต่อให้ถึงเวลานั้นบนแท่นมังกรจะถูกร่ายตราผนึกไว้เต็มไปหมด ข้าก็ยังมีวิธีที่จะบุกเข้าไป แต่ก็ได้แค่ช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงตายช้ากว่าเดิมครู่หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันยังยืนกรานจะลงมือช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นศึกใหญ่ที่วุ่นวายทันที ไม่พูดถึงโอสถทองและก่อกำเนิด เกรงว่าขอแค่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง นอกจากตระกูลฟ่านแล้ว ห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่าก็คงพากันยื่นเท้าเข้าเหยียบย่ำ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นี่คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ข้าทราบแล้ว ไหนลองพูดถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุดบ้างสิ”
ในใจเทพหยินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เดิมทีรูปลักษณ์ของเทพหยินก็เป็นภาพมายาล่องลอย ใบหน้าคลุมเครืออยู่แล้ว จึงมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน เขาพูดต่อไปว่า “หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงใช้สามหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนโอสถทองอันดับหนึ่งในนครมังกรเฒ่าอย่างฉู่หยางล้มลง และยังเปิดศึกใหญ่กับบุรพาจารย์ก่อกำเนิดตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น ตระกูลฝูตั้งรกรากมีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานขนาดนี้ จวนของพวกเขาจึงถูกสร้างให้มีลักษณะคล้ายสำนักศึกษา คล้ายอารามเต๋าในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมานานแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนั้นจึงไม่ง่ายเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “แสร้งอ่อนแอให้ศัตรูเข้าใจผิด คนที่ข้าอยากจะล้มให้ได้มาตั้งแต่ต้นก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับขอบเขตเอาไว้ ตาแก่ที่ถือทวนเหล็กผุๆ มาแกว่งส่ายอยู่ตรงหน้าคงถูกข้าคว่ำ แล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเหี่ยวๆ ของเขาไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงนัก เทพหยินพยักหน้ารับรองด้วยรอยยิ้ม “เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดเกินจริงสักเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจจะเปิดเผยขอบเขตที่แท้จริงออกมาเร็วเกินไปจริงๆ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นี่ก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงดี
หากเปลี่ยนเป็นหลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว อาจจะไม่มัวมาอำพรางเก็บซ่อนอยู่เช่นนี้
ในความเป็นจริงแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น นอกจากอาจารย์ฉีกับหยางเหล่าโถว รวมไปถึงหลี่ซีเซิ่งพี่ชายของหลี่เป่าผิง เกรงว่าคงเป็นคนเฝ้าประตูชายโสดขึ้นคานนี้ที่ถึงจะเป็นบุคคลที่มีความรู้มากที่สุด ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ สิ่งที่แสวงหาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างจึงกลับกลายเป็นว่าไม่บริสุทธิ์อย่างหลี่เอ้อร์ เนื่องจากมากปรารถนา แต่จิตใจคับแคบ ดังนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงในเวลานั้นจึงลำบากยากเข็ญ เป็นเหตุให้ต้องมีเฉินผิงอันและบท ‘ความจริงใจ’ มาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็คือบุตรเขยตระกูลติง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงที่พาภรรยากลับบ้านเดิมคนนั้นที่ทำร้ายให้เจิ้งต้าเฟิงต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? เหตุใดถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง กลายเป็นลงไม้ลงมือกันแทน?”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้ามืดทะมึน เพียงแค่ฉีกเนื้อวัวหมักเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก
เทพหยินแซ่จ้าวคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตัวดีนั่นมีภูมิหลังไม่เล็กเลยจริงๆ พอมาถึงร้านยาฮุยเฉินก็พูดเข้าประเด็นทันที ความหมายคร่าวๆ มีอยู่สองข้อคือ หนึ่งเขาชื่อตู้เหยี่ยน คือหลานสายตรงของบรรพจารย์จงซิ่งแห่งสำนักใบถงผู้นั้น อีกข้อหนึ่งก็คือปีนั้นเขาตู้เหยี่ยนปิดบังสถานะท่องไปทั่วนครมังกรเฒ่า บรรพบุรุษของคนหนุ่มแซ่ฟางผู้นั้น ในอดีตก็คือลูกสมุนที่คอยตามก้นเขาต้อยๆ พอมาถึงรุ่นคนหนุ่มนี้มีบุตรโทนเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงหวังว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเห็นแก่หน้าของเขา อย่าปล่อยให้ควันธูปของคนอื่นต้องขาดหาย ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าตอบรับ เขาก็รับรองว่าสำนักใบถงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับร้านยาฮุยเฉิน”
เทพหยินชำเลืองตามองเจิ้งต้าเฟิงที่คอยแอบตวัดตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้วแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า นึกว่าตัวเองไร้ผู้ใดทัดเทียมแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าข้างกายตู้เหยี่ยนมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยังกล้าหัวเราะเยาะคนอื่นเขาที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนว่าเต็มใจเป็นสุนัขที่เห่าคนไปทั่ว เจิ้งต้าเฟิง ทีนี้เป็นอย่างไร อยากดื่มเหล้าไหมล่ะ? อยากดื่มก็ดื่มสิ ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเจ้าได้อีกแล้ว ก็แค่ฝูฉีที่เป็นก่อกำเนิดขอบเขตสิบขั้นสูงสุด บวกกับอาวุธที่ระดับขั้นอย่างน้อยก็กึ่งเซียน นอกจากนี้ยังได้เปรียบด้านชัยภูมิบนแท่นมังกรเท่านั้น นายท่านใหญ่เจิ้งอย่างเจ้าก็ยังสามารถล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่ง ยักไหล่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้นี่ช่างทรมานซะจริง ประเด็นสำคัญคือเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ยังไร้คุณธรรมนัก ทั้งๆ ที่ตนก็บอกไปแล้วว่าแตะเหล้าไม่ได้แม้แต่หยดเดียว เจ้าเฉินผิงอันก็ไม่ดื่มเหล้า ถ้าอย่างนั้นก็เอากลับไปผูกเอวซะสิ เจ้ายังจะเปิดจุกน้ำเต้าทิ้งไว้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามอย่างใคร่รู้ “ฟ่านเอ้อร์แค่เล่าให้ข้าฟังว่าก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนตระกูลฟาง ประโยคที่เขาทิ้งไว้ให้คนหนุ่มผู้นั้น คืออะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงโยนเปลือกถั่วลงบนพื้น พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “จะทำให้เจ้าหมอนั่นอยู่ไม่สู้ตาย เหล่าจ้าวเป็นวิชาลับนอกรีตบางอย่าง ถึงเวลานั้นเจ้าเด็กนั่นก็มีสุขให้เสพแล้ว”
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนสี่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยรอยยิ้ม “ลืมแนะนำไป คนผู้นี้ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง เป็นคนบ้านเดียวกับข้า คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีหน้าที่เฝ้าประตู ทว่าตอนนั้นข้าเคยทำการค้าที่ได้เงินไม่กี่อีแปะกับเขา แต่ข้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีร่วมกับเขา”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “แค่ขอบเขตเก้าเท่านั้น เป็นที่ขบขันแล้วๆ”
เฉินผิงอันพูดต่อ “กระบี่บินสืออู่ของข้าเล่มนั้น เจ้าของเดิมก็คืออาจารย์ของเขา หลายสิบปีมานี้ดูเหมือนว่าอาจารย์ของเขาจะรับลูกศิษย์แค่สองคน เจิ้งต้าเฟิงขอบเขตเก้า ศิษย์พี่ของเขาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นไปตลอดทาง แทบไม่ต่างจากเวลาที่พวกเรากินข้าวดื่มน้ำ”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกายวาบ เส้นทางนี้เหมาะกับตนยิ่งนัก! กินข้าวดื่มน้ำก็เดินไปบนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบอะไรนั่นได้แล้ว ทุกวันตนยังต้องคัดตัวอักษร หากลองแอบดื่มเหล้าเพิ่มสักสองคำจะไม่ยิ่งร้ายกาจเลยหรือ?!
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาลูบหน้า พูดอย่างอัดอั้น “ปู่ทวดเจ้าเถอะ…”
คนในม้วนภาพวาดสี่คนที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป
หลังจากเทพหยินแซ่จ้าวพูดเหน็บแนมเจิ้งต้าเฟิงไปแล้วก็เอ่ยต่อว่า “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเจิ้งต้าเฟิงชนะฝูฉีที่ได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพร อันดับต่อมาก็ต้องดูว่าพวกเราจะพาเจิ้งต้าเฟิงที่รอดชีวิตเดินจากแท่นมังกรนอกเมืองมาจนถึงร้านยาฮุยเฉินของเมืองชั้นในแห่งนี้ได้อย่างไร! อันตรายยิ่งนัก คงต้องดูที่บัญชาจากสวรรค์แล้ว แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป การดำรงอยู่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เป็นทั้งความอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่เกียรติยศหน้าตาของชนชั้นสูงที่สั่งสมมาจากตำแหน่ง ‘ต้าจู้’ หลายท่านตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ถือว่าเป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งของพวกเราด้วย ถึงอย่างไรหากมองภายนอก ถ้าเจิ้งต้าเฟิงโชคดีรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรได้ ก็คงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมหางช่วยออกหน้าลงมือแทนสกุลเจียงอวิ๋นหลินหรือตระกูลฝู แม้แต่ตระกูลฟ่านก็ยังไม่กล้าทำลายสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากคิดจะลงมือในทางลับก็มีแค่ระหว่างทางจากแท่นมังกรมาถึงร้านยาแห่งนี้เท่านั้น…”
เทพหยินแซ่จ้าวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “คนผู้นั้นไม่เต็มใจจะลงมือจริงๆ หรือ?”
ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็คือสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เขาและเจิ้งต้าเฟิงออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาปักหลักอยู่ที่นครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงเบ้ปาก “ก่อนข้าจะลงมือ คนผู้นั้นของตระกูลฟ่านก็พูดจาชัดแล้วว่า อย่างมากสุดคือจะไม่ปล่อยให้ตระกูลฟ่านผลักข้าลงหลุม นอกจากนี้จะทำให้ตระกูลฝูไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ หากข้าเจิ้งต้าเฟิงยินดีรนหาที่ตาย นางก็จะมองดูข้าตายกับตาตัวเอง”
คำพูดของสตรีชุดเขียวผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงนำมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ฟ่านจวิ้นเม่าที่ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าในร้านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สตรีสกุลฟ่านที่โยนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากทะเลเมฆแล้วทำลายชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของผู้ถวายงานก่อกำเนิดสกุลเจียงสำนักกุยหยกไปได้โดยตรง คำพูดเต็มๆ ที่นางพูดกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ‘ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีสภาพเละเทะไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จอยู่เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูเจ้าถูกคนปักตรึงตายอีกครั้งก็แล้วกัน’
เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่พูดประโยคดั้งเดิมให้เฉินผิงอันฟัง เป็นอัปมงคลเกินไป แล้วก็น่าอายเกินไป
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ตอนนั้นแม้แต่เทพหยินแซ่จ้าวก็ยังไม่ได้ยิน ขอบเขตของฟ่านจวิ้นเม่าไต่ทะยานมาถึงขอบเขตก่อกำเนิดในทุกวันนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่า เกรงว่านอกจากเจ้าเมืองฝูฉีแล้ว ทุกคนคิดจนหัวแทบแตกก็คงไม่มีทางคิดออกว่าเหตุใดตระกูลฟ่านถึงได้กระทำการในทางที่ตรงข้ามกับผู้อื่น เหตุใดสุดท้ายถึงได้ไม่ยอมพึ่งพาตระกูลฝูแต่โดยดี?
ในตระกูลฟ่าน มีคนพูดจาได้ผลยิ่งกว่าบิดาของฟ่านเอ้อร์ หรือแม้แต่ต่อให้คนทั้งหมดในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านตะเบ็งเสียงรวมกันก็ยังไม่ดังพอเท่าคนผู้นั้น ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เก็บตัวอย่างสันโดษ แม้จะเป็นก่อกำเนิดก็จริง แต่ไม่ถือเป็นบุรพาจารย์อะไร นางก็คือพี่สาวพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่ของฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวในห้องหอที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่นางกลับไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าครั้งนี้นางแค่จะรอชมเรื่องสนุก ไม่ก้าวเข้ามาในน้ำขุ่นบ่อนี้ ปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงกระโจนเข้าหาความตายด้วยความห้าวเหิมเอง
เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น
จากนั้นเทพหยินแซ่จ้าวก็พูดถึงเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงวิชาอภินิหารและสมบัติอาคมคร่าวๆ ของพวกเขา
เมื่อเทียบกับตอนที่ฟ่านเอ้อร์เล่าให้ฟังในรถม้าก็มีคนเพิ่มมาแค่สามคนเท่านั้น อีกทั้งไม่มีก่อกำเนิดคนใดโผล่มากลางคันเพิ่มอีก นี่ถือว่าเป็นข่าวดีที่ไม่เล็กข่าวหนึ่ง
เทพหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แผนที่ชัยภูมิของนครมังกรเฒ่าและแท่นมังกร ข้าสามารถหามาให้ได้คืนนี้”
เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
เทพหยินชำเลืองมองเจิ้งต้าเฟิง แต่กลับระเบิดเสียงสบถหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แม่งเอ๊ย หากเปลี่ยนมาเป็นปกป้องเฉินผิงอันก็คงดี! ต่อให้มีศึกใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยตามเช็ดก้นทุกเรื่อง ต่อให้เป็นศึกตายก็ยังทำให้คนสู้ได้อย่างสบายใจ ไหนเลยจะต้องคอยคิดหาวิธีมาปะชุนอุดรูโหว่ ต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่เช่นนี้?!”
เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองมา “โอ้โห ลืมภาพที่นอนอาบแดดสุขสบายเป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโสทุกวันไปแล้วหรือไง?”
เทพหยินแค่นเสียงหึ
เฉินผิงอันถามอีกรอบ “มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบหลบอยู่เบื้องหลังหรือไม่ หากมี มีกี่คน?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตอบ “แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีขอบเขตหยกดิบเยอะนักหรือ? ไหนเจ้าลองนับนิ้วให้ข้าดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มกระดกนิ้วขึ้นมานับ “ถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา หร่วนฉงถือว่าเป็นคนหนึ่ง สกุลซ่งต้าหลีร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้เขมือบกลืนพื้นที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะยกช่างตีเหล็กขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มทีไม่ใช่หรือ? บรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยคนที่ชอบเป็นนักเล่านิทาน ถือว่าเป็นคนหนึ่ง แต่เมื่อเจอกับหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้าก็ยังไม่กล้าปล่อยหมัดใส่หลี่เอ้อร์ ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้น นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งพันปีจะปรากฏสักครั้ง ภูเขาเจินอู่ต้องมีอยู่คนหนึ่งแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยยินดีปรากฏตัว เจ้าสำนักโองการเทพเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ได้รับบรรดาศักดิ์เทียนจวิน แต่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตบน เจ้าลองนับดู ในหนึ่งทวีปมีขอบเขตหยกดิบแค่กี่คนเอง? แน่นอนว่าเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป และเซียนกระบี่เฉาซีแห่งทักษินาตยทวีป สวี่รั่วจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ คนพวกนี้ไม่นับ เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปเรา”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทียนจวินเซี่ยสือและเซียนกระบี่เฉาซีจะไม่นับได้อย่างไร สองคนนี้ต่างก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา เพียงแต่เป็นบุปผาบานส่งกลิ่นหอมนอกกำแพงเท่านั้น แม้จะไปมีตบะและชื่อเสียงอยู่ในทวีปอื่น แต่รากฐานยังอยู่ในบ้านเกิดของพวกเรา โดยเฉพาะเฉาซีผู้นั้นที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเดียวกับบ้านข้า คราวก่อนข้ายังเจอเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนนี้ในตรอกหนีผิงอยู่เลย เฉาซีเป็นคนไร้คุณธรรม แอบเล่นตุกติกกับภาพเทพทวารบาลของบ้านข้า แต่พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงมองเส้นสนกลในออกจึงฉีกทิ้งไปให้”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่ฉีกเนื้อวัวแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
คนสี่คนในภาพวาด
พวกเขาที่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยายามทำให้ตัวเองมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติใกล้จะเกร็งหน้าไม่อยู่แล้ว
‘บ้านเกิด’ ของเฉินผิงอันออกจะพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
คนเฝ้าประตูคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า? แล้วก็มีศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ? ในตรอกหนีผิงอะไรนั่นก็มีเซียนกระบี่ที่ชื่อว่าเฉาซี? ห่างออกไปไกลอีกนิด ก็คือ ‘พื้นที่มังกรผงาด’ ของเทียนจวินลัทธิเต๋า?
เจิ้งต้าเฟิงอยากจะหาเหตุผลให้ตัวเองสักหน่อย จึงกล่าวว่า “แต่แจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแค่กี่คน? แค่สองคน หลี่เอ้อร์ ซ่งจ่างจิ้ง อันดับต่อมาก็เป็นข้าแล้วใช่ไหม? คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบเหมือนกันกระมัง?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกจะตอบไปตามตรง “ท่านผู้นั้นที่อยู่ในบ้านข้าก็น่าจะเป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงขยี้หน้าตัวเอง “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรงแล้วเหมือนกันเถอะ!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าลองเดินไม่กี่ก้าวแล้วเลื่อนสู่ขอบเขตสิบให้ข้าดูอีกครั้งสิ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นเรื่องมหามงคลหรอกหรือ? ข้าก็ไม่ต้องไปที่แท่นมังกร แต่ทำกับข้าวเลี้ยงฉลองโต๊ะใหญ่รอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่ในร้านยาฮุยเฉิน ดีหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้ง
หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบง่ายขนาดนั้น เหตุใดหลี่เอ้อร์ต้องออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู
ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวค่อนข้างคล้ายคลึงกับความต่างระหว่างขอบเขตสิบสองกับขอบเขตสิบสามของผู้ฝึกกระบี่
ส่วนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานนั้น แค่ลองคิดจินตนาการอย่างเดียวก็พอ
ธรณีประตูสองแห่งนี้ เมื่อเทียบกับร่องปราการธรรมชาติสองเส้นระหว่างขอบเขตห้าและหก กับขอบเขตสิบและสิบเอ็ดของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปก็ยิ่งยากจะจินตนาการได้มากกว่า
ขนาดเจิ้งต้าเฟิงที่คิดว่าจิตใจตัวเองสูงส่งยิ่งกว่าฟ้าก็ยังไม่กล้าเพ้อฝันถึงขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ที่เลื่อนลอยไร้ความหวัง
ทางหัวขาด เหตุใดถึงเรียกว่าหัวขาด?
อยู่กับหยางเหล่าโถว ‘เสินจวิน’ แห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ว่าอริยะรุ่นใดล้วนต้องมาเยี่ยมเยือนทักทายมานานหลายปีขนาดนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็พอจะรู้เรื่องราวภายในบางอย่าง
เทพหยินแซ่จ้าวอารมณ์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด ยังคงต้องเป็นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ถ่ายทอดมหามรรคาของเจิ้งต้าเฟิงที่ถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจได้
เฉินผิงอันมองไปทางเทพหยินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “ตามคำบอกของท่านผู้อาวุโส ร้านยาฮุยเฉินแห่งนี้มีความลี้ลับ?”
เทพหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เสินจวินบอกให้ข้าเลือกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน หาใช่สถานที่ธรรมดาที่เจิ้งต้าเฟิงขอมาจากตระกูลฟ่านไม่ หากเปิดใช้ค่ายกล ข้าที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ตบะขอบเขตหยกดิบได้”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่นั่นก็เป็นวิธีชั้นล่างที่ต้องสูญเสียบุญกุศลในโลกมืดที่สะสมไว้เพื่อแลกมาด้วยตบะที่เพิ่มขึ้น ประคับประคองตนได้ไม่นาน”
เทพหยินสีหน้าเป็นปกติ “คิดจริงๆ หรือว่าข้าติดตามเจ้ามาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ทุกวันเอาแต่อาบแดด ชมจันทร์ รอให้วันใดมีเทพธิดาทะยานลมผ่านเหนือศีรษะไปจริงๆ ขอแค่ผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปได้ บางทีสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็มาเริ่มคำนวณศักยภาพของทางฝั่งพวกเรากันบ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงกินถั่วลิสงโรยเกลือพลางกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงใครบ้าง? ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ทั้งหมดแล้วหรือ?”
เผยเฉียนชี้ไปที่ตัวเอง ยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็นับด้วยหรือ? แต่ข้ายังอยู่ห่างจากเวทกระบี่ล้ำโลกอีกหนึ่ง ‘พรุ่งนี้’ นะ”
เด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านรู้สึกลำบากใจอย่างที่หาได้อย่าง
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมยุทธ์หญิงน้อยเผย อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นเสาคาน เป็นหัวใจหลักของพวกเรา จะดูถูกตัวเองไม่ได้!”
เผยเฉียนยิ้มรับอย่างชอบใจ ยื่นมือไปผลักจานที่ว่างเปล่า “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มอีก”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นเดินไปหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากห้องด้านข้างมาใส่ในจานใบเล็กเบื้องหน้าเผยเฉียนจริงๆ เนื่องด้วยจานใบไม่ใหญ่ จึงทำให้ปริมาณของเมล็ดแตงกำนั้นเปี่ยมล้นมากพอ ดูแล้วจริงใจยิ่ง
เผยเฉียนมองเจ้าหมอนี่แล้วรู้สึกถูกชะตามากขึ้นอีกนิด
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าคำแรก พอวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงแล้ว กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งออกมา จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนของนครมังกรเฒ่าหลายคนรู้สึกว่ามีเงินก็ร้ายกาจมากแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ามีเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยข้าก็มีทรัพย์สินที่เก็บสะสมเอาไว้ ชุดคลุมอาคมบนร่างตัวนี้มีชื่อว่าจินหลี่ คือของตกทอดจากเซียนบรรพกาลท่านหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิง เจ้าสวมได้หรือไม่? และยังมีเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดเจียวหลงเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง เจ้าใช้ได้หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสามหลอมดวงจิตของวิถีวรยุทธ์ก็จะรู้เองว่าวัตถุนอกกายของตระกูลเซียนเหล่านี้มีแต่จะยิ่งรัดมือรัดเท้า เจ้าสวมไว้สามารถรักษาชีวิตได้ แต่ข้าสวมไว้ มีแต่จะยิ่งเร่งให้ตายเร็วขึ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์ปึกใหญ่ที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมา “ยันต์ปราณหยางส่องไฟน่าจะเอามาใช้ไม่ได้ ในเมื่อแท่นมังกรถูกตระกูลฝูสร้างให้เป็นดั่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ยันต์ทำลายคาถาอำพรางตา และยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ…ยันต์ตัดโซ่ สร้างขึ้นเพื่อพวกเจียวหลงโดยเฉพาะ ส่วนยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ที่เพื่อนข้าเขียนด้วยมือของตัวเอง มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังสยบไว้ได้ครู่หนึ่ง…”
เพียงแค่เฉินผิงอันหยิบเอายันต์ปึกนั้นออกมา เทพหยินแซ่จ้าวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกกดดันบีบคั้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว โดยเฉพาะยันต์สยบกระบี่ที่เขียนลงบนกระดาษสีเขียวแผ่นนั้น ถึงแม้จะบอกว่าเอาไว้ใช้เล่นงานผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ แต่ก็ยังทำให้มันรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ดี
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน คราวนี้เจ้าเดินทางไปภูเขาห้อยหัว วันๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการปล้นทรัพย์หรือไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง ยังคงหยิบของชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมา และหยิบขวดกระเบื้องออกมาสามขวดติด “โอสถทองที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่ของปีศาจลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีปตนหนึ่ง โอสถทองก่อกำเนิดของเจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง และยังมี…โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองอีกหนึ่งเม็ด!”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองเทพหยินแซ่จ้าว ชี้ไปยังขวดกระเบื้องใบใหญ่สูงครึ่งแขนใบสุดท้ายนั้น “เจ้าเชื่อไหม?”
เทพหยินแซ่จ้าวส่ายหน้า แต่แล้วก็ผงกศีรษะ “หากเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เชื่อ แต่หากเป็นเฉินผิงอัน ข้าก็เชื่อ…ครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “มีของสิ่งใดที่สามารถเอามาใช้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ได้บ้าง?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดประโยคหนึ่งว่า “ขอข้าสงบสติอารมณ์ก่อน” จากนั้นก็จมสู่ภวังค์ความคิด
เทพหยินแซ่จ้าวถาม “หากรู้ว่าเจ้ามีทรัพย์สินเยอะอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรให้เจ้าเฉินผิงอันเข้ามาในห้องนี้แล้ว เพื่ออะไรกัน?”
เทพหยินพูดซ้ำอีกรอบ “เพื่ออะไรกัน?!”
สีหน้าของเฉินผิงอันสงบนิ่ง “เจ้าสามารถมองมันเป็นการค้าครั้งใหญ่ที่ข้าทำกับเสินจวินหยางในร้านยาที่หากไม่แพ้หมดตัว ก็ต้องได้กำไรจนอิ่มท้องเกือบแตก”
เทพหยินเพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนี้ของเขา
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดถามความเห็น “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ช่วยไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า”
สุยโย่วเปียนวางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า สายตาฉายประกายเจิดจ้า “นอกจากยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวหนึ่งเม็ดแล้ว ข้ายังต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณอีกคู่หนึ่งด้วย”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สังหารพวกเทพเซียนบนภูเขา สาแก่ใจเสียจริง”
“หากคำพูดของข้ามีน้ำหนัก แน่นอนว่าข้าหวังให้ออกไปจากนครมังกรเฒ่าโดยทันที เพียงแต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตัดสินใจอยู่ต่อแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงคือคนที่เป็นการเป็นงานที่สุด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณสองเม็ด หลังจากได้แผนที่ของนครมังกรเฒ่ามาแล้ว ข้าสามารถช่วยวางแผนเส้นทางอย่างละเอียดได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “ขอบคุณมาก!”
แล้วจึงหันหน้ามาถามเจิ้งต้าเฟิง “นอกจากกินยาลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเขาสี่คนจะยังเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ขอบเขตเจ็ดโอสถทองหนึ่งคน ขอบเขตหกขั้นสูงสุดสามคน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตามความหมายที่แท้จริง ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าไปสมัครรวมคนพวกนี้มาจากไหน เรื่องที่จะทำให้ขอบเขตโอสถทองมั่นคงนั้นไม่ยาก แต่อีกสามคนที่เหลือ หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตภายในเวลาไม่กี่วันนี้ นับว่ายากมาก แต่มาลองคิดดูแล้ว ต้องสามารถยกระดับขอบเขตหกขั้นสูงสุดให้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นได้แน่นอน ขอแค่ครั้งนี้พวกเขามีชีวิตรอดไปได้ สำหรับการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ในวันหน้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล ถึงอย่างไรยอดเขาสูงสุดก็เป็นแค่คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ เท่านั้น ยังห่างจากการช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอบครองอีกไกลโขนัก สองวันนี้ข้าสามารถป้อนหมัดให้พวกเขาสี่คน ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าของข้านี้ พวกเขากินเข้าท้องไปได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ความสามารถของพวกเขาเองแล้ว”
คนในภาพวาดทั้งสี่สีหน้าไร้อารมณ์
เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว ผู้ติดตามสี่คนข้างกายเฉินผิงอันวางท่าใหญ่โตไม่เบาเลยจริงๆ
แต่ว่าลักษณะพลังและความห้าวหาญของคนทั้งสี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวล้วนมีวิธีที่บริสุทธ์เต็มตัวในแบบของใครของมัน
เว่ยเซี่ยนคือหมื่นศัตรูมิอาจต้านในสนามรบ เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู สี่ด้านแปดทิศมีแต่เกราะเหล็ก ก็แค่ต้องทะลวงขบวนทัพออกมาเท่านั้น
หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ นอกจากวิถีวรยุทธ์แล้ว พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว
สุยโย่วเปียนแสวงหาจุดสูงสุดของวิถีกระบี่ เพื่อจะสร้างวีรกรรมบินทะยานที่ไม่เคยมีมานานเป็นพันปีในประวัติศาสตร์
เบื้องใต้โฉมหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นนิจของจูเหลี่ยนซุกซ่อนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้าอย่างพวกเจ้าจะมารวมกันมากเท่าไหร่ ก็ยังมิอาจต้านทานสองหมัดของข้าจูเหลี่ยนได้
เจิ้งต้าเฟิงจึงรู้สึกรอคอยการป้อนหมัดของตนหลังจากนี้อยู่มาก
สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียดขึ้นมา เขาถามว่า “ข้าอยากจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ที่ร้านยาฮุยเฉินหาคนซื้อวัตถุดิบให้ได้ไหม? อีกทั้งยังต้องรับประกันด้วยว่าจะไม่เล่นตุกติกกับวัตถุวิเศษที่หามา หากหลอมสำเร็จก็เท่ากับว่าข้าจะมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต”
เทพหยินแซ่จ้าวหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “ข้าต้องถามคนคนหนึ่งก่อน หากนางยอมอนุญาตก็หาให้ได้”
เจิ้งต้าเฟิงพลันถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อนาง เจ้าเชื่อข้าไหม?”
เฉินผิงอันตอบกลับมาหนึ่งประโยค “ข้าเชื่ออาจารย์ของเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้งไปอีกครั้ง
เทพหยินลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปหาภาพแผนที่มาสักหลายๆ แผ่นหน่อย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับเผยเฉียน “เจ้านอนห้องเดียวกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนสามคนเบียดกันหน่อย ข้าสามารถปูผ้านอนบนพื้นของร้านยาด้านหน้าได้ แต่หากสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบถ้วนแล้ว…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยจบ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นอย่างองอาจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่หญิงเทพเซียนจะไปปูผ้านอนบนพื้นเอง!”
พวกสุ่ยโย่วเปียนสี่คนไม่มีความเห็นต่าง
ในขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉาก เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญใดๆ
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งงันอยู่นาน คงเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมเข้ากับเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมดุจถ่านที่นั่งอยู่ข้างกายตนบนตอไม้ในความทรงจำได้ สุดท้ายเขาเอามือลูบหน้า หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “พูดก็พูดไปสิ ไยต้องพ่นน้ำลายเต็มหน้าข้าด้วย?”
แต่สุดท้ายแล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นมา และหากเฉินผิงอันไม่ได้คุยโวโอ้อวดจนเกินไป ถ้าเช่นนั้นยาแค่สองเม็ดก็น่าจะสามารถระงับอาการบาดเจ็บของเขาลงได้ ส่วนจะตัดรากถอนโคนต้นตอของโรคร้ายหรือไม่ น่าจะยังยากมากอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องกินยาวิเศษกี่เม็ดแล้ว
เผยเฉียนยื่นหัวออกมาจากตรงธรณีประตู ยกไม้เท้าเดินป่าในมือขึ้น พูดอย่างโมโห “เจ้าคนนี้ ทำไมไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากยังพูดแบบนี้อีก ระวังข้าจะโกรธล่ะ…”
เจิ้งต้าเฟิงรับขวดกระเบื้องใบนั้นมา หันหน้ามาหัวเราะกับนาง “ข้าตกใจเกือบตาย จอมยุทธ์หญิงตัวน้อยที่สุดยอดเลิศล้ำเกินใครจะเปรียบท่านนี้เป็นใครกันหนอ?”
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งทีแล้วรีบลุกขึ้นยืนให้ดี ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะลงบนพื้นหนักๆ “ฟังให้ดีล่ะ ข้าชื่อเผยเฉียน คือองค์หญิงท่านหนึ่งที่ประสบหายนะพลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันเป็น…อาจารย์ของข้า! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดสำนักของสำนักพวกเรา!”
คำพูดกวนโอ้ยน่าเตะที่บอกว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อนาง เผยเฉียนไม่เคยพูดต่อหน้าเฉินผิงอันมาก่อน
เจิ้งต้าเฟิงกลืนน้ำลาย หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน คงเพราะอยากถามว่าเจ้าเฉินผิงอันที่ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ไปหานังหนูแบบนี้มาจากที่ใด?
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าห้องไปพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าคุยจบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ายินดียื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้ ก็ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ? อีกฝ่ายมีกองกำลังแบบใดบ้าง แต่ละฝั่งมีเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดกี่คน? กองกำลังฝ่ายใดที่นั่งภูดูเสือกัดกัน เซียนดินจากฝ่ายใดจะลงสนามเข่นฆ่า เบื้องหลังของแต่ละคนมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่คิดจะฉวยโอกาสลงมือหรือไม่ ข้าไม่ควรต้องทำความเข้าใจสักหน่อยหรือ? สภาพภูมิศาสตร์ของนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงเส้นบริเวณทางใกล้เคียงแท่นมังกร ข้าไม่ควรต้องรู้ไว้บ้างหรือไร? สามครั้งที่เจ้าประมือกับตระกูลฝู ตระกูลฟางและตระกูลติง ข้าจะไม่อยากฟังบ้างเลยหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงปวดหัวแปลบขึ้นมาทันที ควักขวดกระเบื้องออกมา “เอากลับไปๆ พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เยี่ยวกันคนละไห!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง
เทพหยินแซ่จ้าวปรากฏตัวอยู่ด้านในร้าน พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที ถลกขากางเกงขึ้นด้วยความเคยชิน หิ้วม้านั่งกลับเข้าไปในร้านยา เดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในเรือนด้านหลัง ในห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันและเทพหยินแซ่จ้าวนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เผยเฉียนไม่กล้าวางก้นนั่งลงบนตำแหน่งประธานที่อยู่ทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ จึงเดินไปนั่งบนม้านั่งยาวหันหลังให้กับประตูห้อง ทิ้งตำแหน่งประธานให้เจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันยังบอกให้เว่ยเซี่ยนหลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเอาม้านั่งของตัวเองออกมานั่งฟังในห้องหลักด้วยกัน
ก่อนเจิ้งต้าเฟิงจะนั่งลง ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของเจ้าบ้านอยู่บ้าง เขาคว้าเอาเมล็ดแตงกำมือใหญ่ใส่ในจานเล็กใบหนึ่ง เอามาวางไว้ตรงหน้าเผยเฉียน เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเจิ้งต้าเฟิงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ยกถั่วลิสงโรยเกลือและเนื้อวัวแห้งหมักเต้าเจี้ยวสองจานใหญ่มาให้ตัวเอง
เผยเฉียนมองเมล็ดแตงในจานเล็กของตัวเอง แล้วค่อยหันไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงข้าม ขนาดจานที่ใช้ก็ยังใหญ่กว่าของนาง แบบนี้เกินไปหน่อยไหม?
เผยเฉียนชูนิ้วโป้ง “วิธีการรับรองแขกของเจ้า ข้านับถือ!”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาทำท่ากดลงเบื้องล่างสองที “จดจำไว้ในใจก็พอ อย่าเอาแต่พร่ำพูด”
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง แทะเมล็ดแตงแรงๆ อย่างใส่อารมณ์
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ดื่มเหล้าได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงลอกเปลือกถั่วลิสงโรยเกลือออกพลางส่ายหน้าตอบ “แตะเหล้าไม่ได้สักหยด ช่วงนี้ไม่ได้ดื่มแล้ว”
เทพหยินแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเนิบช้า “อีกหกวันให้หลัง อากาศจะหนาวจัด ที่แท่นมังกรของตระกูลฝู เจิ้งต้าเฟิงจะต้องเปิดศึกใหญ่ไม่ตายไม่เลิกรากับฝูฉี ซึ่งก็หมายความว่าสุดท้ายคนที่สามารถรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรแห่งนั้นได้ มีเพียงคนเดียว หากเจิ้งต้าเฟิงตายก็ง่ายหน่อย พวกเราแค่ขึ้นไปช่วยเก็บศพเขามาก็พอ ไม่มีอันตรายอะไร ในเมื่อตระกูลฝูสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าคนหนึ่งได้ ก็ถือว่าได้หน้าได้ตามากพอ ย่อมยินดีที่จะทำใจกว้างไม่ถือสาร้านยาฮุยเฉินอีกต่อไป”
เห็นว่าเฉินผิงอันมองมายังตน เทพหยินก็ยิ้มขื่น “แน่นอนว่าข้าไม่อาจมองเจิ้งต้าเฟิงไปตายอยู่บนแท่นมังกรคาตาตัวเองได้ หากเขาตายไป ข้าก็คงไม่มีทางได้เป็นเทพหยินนี่ต่อ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะปกป้องลูกหลานอะไร ดังนั้นต่อให้ถึงเวลานั้นบนแท่นมังกรจะถูกร่ายตราผนึกไว้เต็มไปหมด ข้าก็ยังมีวิธีที่จะบุกเข้าไป แต่ก็ได้แค่ช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงตายช้ากว่าเดิมครู่หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันยังยืนกรานจะลงมือช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นศึกใหญ่ที่วุ่นวายทันที ไม่พูดถึงโอสถทองและก่อกำเนิด เกรงว่าขอแค่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง นอกจากตระกูลฟ่านแล้ว ห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่าก็คงพากันยื่นเท้าเข้าเหยียบย่ำ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นี่คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ข้าทราบแล้ว ไหนลองพูดถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุดบ้างสิ”
ในใจเทพหยินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เดิมทีรูปลักษณ์ของเทพหยินก็เป็นภาพมายาล่องลอย ใบหน้าคลุมเครืออยู่แล้ว จึงมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน เขาพูดต่อไปว่า “หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงใช้สามหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนโอสถทองอันดับหนึ่งในนครมังกรเฒ่าอย่างฉู่หยางล้มลง และยังเปิดศึกใหญ่กับบุรพาจารย์ก่อกำเนิดตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น ตระกูลฝูตั้งรกรากมีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานขนาดนี้ จวนของพวกเขาจึงถูกสร้างให้มีลักษณะคล้ายสำนักศึกษา คล้ายอารามเต๋าในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมานานแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนั้นจึงไม่ง่ายเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “แสร้งอ่อนแอให้ศัตรูเข้าใจผิด คนที่ข้าอยากจะล้มให้ได้มาตั้งแต่ต้นก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับขอบเขตเอาไว้ ตาแก่ที่ถือทวนเหล็กผุๆ มาแกว่งส่ายอยู่ตรงหน้าคงถูกข้าคว่ำ แล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเหี่ยวๆ ของเขาไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงนัก เทพหยินพยักหน้ารับรองด้วยรอยยิ้ม “เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดเกินจริงสักเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจจะเปิดเผยขอบเขตที่แท้จริงออกมาเร็วเกินไปจริงๆ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นี่ก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงดี
หากเปลี่ยนเป็นหลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว อาจจะไม่มัวมาอำพรางเก็บซ่อนอยู่เช่นนี้
ในความเป็นจริงแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น นอกจากอาจารย์ฉีกับหยางเหล่าโถว รวมไปถึงหลี่ซีเซิ่งพี่ชายของหลี่เป่าผิง เกรงว่าคงเป็นคนเฝ้าประตูชายโสดขึ้นคานนี้ที่ถึงจะเป็นบุคคลที่มีความรู้มากที่สุด ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ สิ่งที่แสวงหาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างจึงกลับกลายเป็นว่าไม่บริสุทธิ์อย่างหลี่เอ้อร์ เนื่องจากมากปรารถนา แต่จิตใจคับแคบ ดังนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงในเวลานั้นจึงลำบากยากเข็ญ เป็นเหตุให้ต้องมีเฉินผิงอันและบท ‘ความจริงใจ’ มาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็คือบุตรเขยตระกูลติง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงที่พาภรรยากลับบ้านเดิมคนนั้นที่ทำร้ายให้เจิ้งต้าเฟิงต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? เหตุใดถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง กลายเป็นลงไม้ลงมือกันแทน?”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้ามืดทะมึน เพียงแค่ฉีกเนื้อวัวหมักเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก
เทพหยินแซ่จ้าวคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตัวดีนั่นมีภูมิหลังไม่เล็กเลยจริงๆ พอมาถึงร้านยาฮุยเฉินก็พูดเข้าประเด็นทันที ความหมายคร่าวๆ มีอยู่สองข้อคือ หนึ่งเขาชื่อตู้เหยี่ยน คือหลานสายตรงของบรรพจารย์จงซิ่งแห่งสำนักใบถงผู้นั้น อีกข้อหนึ่งก็คือปีนั้นเขาตู้เหยี่ยนปิดบังสถานะท่องไปทั่วนครมังกรเฒ่า บรรพบุรุษของคนหนุ่มแซ่ฟางผู้นั้น ในอดีตก็คือลูกสมุนที่คอยตามก้นเขาต้อยๆ พอมาถึงรุ่นคนหนุ่มนี้มีบุตรโทนเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงหวังว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเห็นแก่หน้าของเขา อย่าปล่อยให้ควันธูปของคนอื่นต้องขาดหาย ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าตอบรับ เขาก็รับรองว่าสำนักใบถงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับร้านยาฮุยเฉิน”
เทพหยินชำเลืองตามองเจิ้งต้าเฟิงที่คอยแอบตวัดตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้วแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า นึกว่าตัวเองไร้ผู้ใดทัดเทียมแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าข้างกายตู้เหยี่ยนมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยังกล้าหัวเราะเยาะคนอื่นเขาที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนว่าเต็มใจเป็นสุนัขที่เห่าคนไปทั่ว เจิ้งต้าเฟิง ทีนี้เป็นอย่างไร อยากดื่มเหล้าไหมล่ะ? อยากดื่มก็ดื่มสิ ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเจ้าได้อีกแล้ว ก็แค่ฝูฉีที่เป็นก่อกำเนิดขอบเขตสิบขั้นสูงสุด บวกกับอาวุธที่ระดับขั้นอย่างน้อยก็กึ่งเซียน นอกจากนี้ยังได้เปรียบด้านชัยภูมิบนแท่นมังกรเท่านั้น นายท่านใหญ่เจิ้งอย่างเจ้าก็ยังสามารถล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่ง ยักไหล่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้นี่ช่างทรมานซะจริง ประเด็นสำคัญคือเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ยังไร้คุณธรรมนัก ทั้งๆ ที่ตนก็บอกไปแล้วว่าแตะเหล้าไม่ได้แม้แต่หยดเดียว เจ้าเฉินผิงอันก็ไม่ดื่มเหล้า ถ้าอย่างนั้นก็เอากลับไปผูกเอวซะสิ เจ้ายังจะเปิดจุกน้ำเต้าทิ้งไว้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามอย่างใคร่รู้ “ฟ่านเอ้อร์แค่เล่าให้ข้าฟังว่าก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนตระกูลฟาง ประโยคที่เขาทิ้งไว้ให้คนหนุ่มผู้นั้น คืออะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงโยนเปลือกถั่วลงบนพื้น พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “จะทำให้เจ้าหมอนั่นอยู่ไม่สู้ตาย เหล่าจ้าวเป็นวิชาลับนอกรีตบางอย่าง ถึงเวลานั้นเจ้าเด็กนั่นก็มีสุขให้เสพแล้ว”
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนสี่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยรอยยิ้ม “ลืมแนะนำไป คนผู้นี้ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง เป็นคนบ้านเดียวกับข้า คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีหน้าที่เฝ้าประตู ทว่าตอนนั้นข้าเคยทำการค้าที่ได้เงินไม่กี่อีแปะกับเขา แต่ข้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีร่วมกับเขา”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “แค่ขอบเขตเก้าเท่านั้น เป็นที่ขบขันแล้วๆ”
เฉินผิงอันพูดต่อ “กระบี่บินสืออู่ของข้าเล่มนั้น เจ้าของเดิมก็คืออาจารย์ของเขา หลายสิบปีมานี้ดูเหมือนว่าอาจารย์ของเขาจะรับลูกศิษย์แค่สองคน เจิ้งต้าเฟิงขอบเขตเก้า ศิษย์พี่ของเขาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นไปตลอดทาง แทบไม่ต่างจากเวลาที่พวกเรากินข้าวดื่มน้ำ”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกายวาบ เส้นทางนี้เหมาะกับตนยิ่งนัก! กินข้าวดื่มน้ำก็เดินไปบนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบอะไรนั่นได้แล้ว ทุกวันตนยังต้องคัดตัวอักษร หากลองแอบดื่มเหล้าเพิ่มสักสองคำจะไม่ยิ่งร้ายกาจเลยหรือ?!
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมาลูบหน้า พูดอย่างอัดอั้น “ปู่ทวดเจ้าเถอะ…”
คนในม้วนภาพวาดสี่คนที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป
หลังจากเทพหยินแซ่จ้าวพูดเหน็บแนมเจิ้งต้าเฟิงไปแล้วก็เอ่ยต่อว่า “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเจิ้งต้าเฟิงชนะฝูฉีที่ได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพร อันดับต่อมาก็ต้องดูว่าพวกเราจะพาเจิ้งต้าเฟิงที่รอดชีวิตเดินจากแท่นมังกรนอกเมืองมาจนถึงร้านยาฮุยเฉินของเมืองชั้นในแห่งนี้ได้อย่างไร! อันตรายยิ่งนัก คงต้องดูที่บัญชาจากสวรรค์แล้ว แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป การดำรงอยู่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เป็นทั้งความอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่เกียรติยศหน้าตาของชนชั้นสูงที่สั่งสมมาจากตำแหน่ง ‘ต้าจู้’ หลายท่านตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ถือว่าเป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งของพวกเราด้วย ถึงอย่างไรหากมองภายนอก ถ้าเจิ้งต้าเฟิงโชคดีรอดชีวิตเดินลงมาจากแท่นมังกรได้ ก็คงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมหางช่วยออกหน้าลงมือแทนสกุลเจียงอวิ๋นหลินหรือตระกูลฝู แม้แต่ตระกูลฟ่านก็ยังไม่กล้าทำลายสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากคิดจะลงมือในทางลับก็มีแค่ระหว่างทางจากแท่นมังกรมาถึงร้านยาแห่งนี้เท่านั้น…”
เทพหยินแซ่จ้าวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “คนผู้นั้นไม่เต็มใจจะลงมือจริงๆ หรือ?”
ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็คือสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เขาและเจิ้งต้าเฟิงออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาปักหลักอยู่ที่นครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงเบ้ปาก “ก่อนข้าจะลงมือ คนผู้นั้นของตระกูลฟ่านก็พูดจาชัดแล้วว่า อย่างมากสุดคือจะไม่ปล่อยให้ตระกูลฟ่านผลักข้าลงหลุม นอกจากนี้จะทำให้ตระกูลฝูไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ หากข้าเจิ้งต้าเฟิงยินดีรนหาที่ตาย นางก็จะมองดูข้าตายกับตาตัวเอง”
คำพูดของสตรีชุดเขียวผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงนำมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ฟ่านจวิ้นเม่าที่ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าในร้านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สตรีสกุลฟ่านที่โยนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากทะเลเมฆแล้วทำลายชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของผู้ถวายงานก่อกำเนิดสกุลเจียงสำนักกุยหยกไปได้โดยตรง คำพูดเต็มๆ ที่นางพูดกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ‘ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีสภาพเละเทะไม่อาจทำการใหญ่ได้สำเร็จอยู่เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูเจ้าถูกคนปักตรึงตายอีกครั้งก็แล้วกัน’
เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่พูดประโยคดั้งเดิมให้เฉินผิงอันฟัง เป็นอัปมงคลเกินไป แล้วก็น่าอายเกินไป
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ตอนนั้นแม้แต่เทพหยินแซ่จ้าวก็ยังไม่ได้ยิน ขอบเขตของฟ่านจวิ้นเม่าไต่ทะยานมาถึงขอบเขตก่อกำเนิดในทุกวันนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่า เกรงว่านอกจากเจ้าเมืองฝูฉีแล้ว ทุกคนคิดจนหัวแทบแตกก็คงไม่มีทางคิดออกว่าเหตุใดตระกูลฟ่านถึงได้กระทำการในทางที่ตรงข้ามกับผู้อื่น เหตุใดสุดท้ายถึงได้ไม่ยอมพึ่งพาตระกูลฝูแต่โดยดี?
ในตระกูลฟ่าน มีคนพูดจาได้ผลยิ่งกว่าบิดาของฟ่านเอ้อร์ หรือแม้แต่ต่อให้คนทั้งหมดในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านตะเบ็งเสียงรวมกันก็ยังไม่ดังพอเท่าคนผู้นั้น ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เก็บตัวอย่างสันโดษ แม้จะเป็นก่อกำเนิดก็จริง แต่ไม่ถือเป็นบุรพาจารย์อะไร นางก็คือพี่สาวพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่ของฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวในห้องหอที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่นางกลับไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าครั้งนี้นางแค่จะรอชมเรื่องสนุก ไม่ก้าวเข้ามาในน้ำขุ่นบ่อนี้ ปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงกระโจนเข้าหาความตายด้วยความห้าวเหิมเอง
เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น
จากนั้นเทพหยินแซ่จ้าวก็พูดถึงเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่า รวมไปถึงวิชาอภินิหารและสมบัติอาคมคร่าวๆ ของพวกเขา
เมื่อเทียบกับตอนที่ฟ่านเอ้อร์เล่าให้ฟังในรถม้าก็มีคนเพิ่มมาแค่สามคนเท่านั้น อีกทั้งไม่มีก่อกำเนิดคนใดโผล่มากลางคันเพิ่มอีก นี่ถือว่าเป็นข่าวดีที่ไม่เล็กข่าวหนึ่ง
เทพหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แผนที่ชัยภูมิของนครมังกรเฒ่าและแท่นมังกร ข้าสามารถหามาให้ได้คืนนี้”
เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
เทพหยินชำเลืองมองเจิ้งต้าเฟิง แต่กลับระเบิดเสียงสบถหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แม่งเอ๊ย หากเปลี่ยนมาเป็นปกป้องเฉินผิงอันก็คงดี! ต่อให้มีศึกใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยตามเช็ดก้นทุกเรื่อง ต่อให้เป็นศึกตายก็ยังทำให้คนสู้ได้อย่างสบายใจ ไหนเลยจะต้องคอยคิดหาวิธีมาปะชุนอุดรูโหว่ ต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอยู่เช่นนี้?!”
เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองมา “โอ้โห ลืมภาพที่นอนอาบแดดสุขสบายเป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโสทุกวันไปแล้วหรือไง?”
เทพหยินแค่นเสียงหึ
เฉินผิงอันถามอีกรอบ “มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบหลบอยู่เบื้องหลังหรือไม่ หากมี มีกี่คน?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตอบ “แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีขอบเขตหยกดิบเยอะนักหรือ? ไหนเจ้าลองนับนิ้วให้ข้าดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มกระดกนิ้วขึ้นมานับ “ถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา หร่วนฉงถือว่าเป็นคนหนึ่ง สกุลซ่งต้าหลีร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้เขมือบกลืนพื้นที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะยกช่างตีเหล็กขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มทีไม่ใช่หรือ? บรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยคนที่ชอบเป็นนักเล่านิทาน ถือว่าเป็นคนหนึ่ง แต่เมื่อเจอกับหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้าก็ยังไม่กล้าปล่อยหมัดใส่หลี่เอ้อร์ ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้น นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งพันปีจะปรากฏสักครั้ง ภูเขาเจินอู่ต้องมีอยู่คนหนึ่งแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยยินดีปรากฏตัว เจ้าสำนักโองการเทพเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ได้รับบรรดาศักดิ์เทียนจวิน แต่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตบน เจ้าลองนับดู ในหนึ่งทวีปมีขอบเขตหยกดิบแค่กี่คนเอง? แน่นอนว่าเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป และเซียนกระบี่เฉาซีแห่งทักษินาตยทวีป สวี่รั่วจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ คนพวกนี้ไม่นับ เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปเรา”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทียนจวินเซี่ยสือและเซียนกระบี่เฉาซีจะไม่นับได้อย่างไร สองคนนี้ต่างก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา เพียงแต่เป็นบุปผาบานส่งกลิ่นหอมนอกกำแพงเท่านั้น แม้จะไปมีตบะและชื่อเสียงอยู่ในทวีปอื่น แต่รากฐานยังอยู่ในบ้านเกิดของพวกเรา โดยเฉพาะเฉาซีผู้นั้นที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเดียวกับบ้านข้า
คราวก่อนข้ายังเจอเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนนี้ในตรอกหนีผิงอยู่เลย เฉาซีเป็นคนไร้คุณธรรม แอบเล่นตุกติกกับภาพเทพทวารบาลของบ้านข้า แต่พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงมองเส้นสนกลในออกจึงฉีกทิ้งไปให้”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่ฉีกเนื้อวัวแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
คนสี่คนในภาพวาด
พวกเขาที่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยายามทำให้ตัวเองมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติใกล้จะเกร็งหน้าไม่อยู่แล้ว
‘บ้านเกิด’ ของเฉินผิงอันออกจะพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
คนเฝ้าประตูคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า? แล้วก็มีศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ? ในตรอกหนีผิงอะไรนั่นก็มีเซียนกระบี่ที่ชื่อว่าเฉาซี? ห่างออกไปไกลอีกนิด ก็คือ ‘พื้นที่มังกรผงาด’ ของเทียนจวินลัทธิเต๋า?
เจิ้งต้าเฟิงอยากจะหาเหตุผลให้ตัวเองสักหน่อย จึงกล่าวว่า “แต่แจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแค่กี่คน? แค่สองคน หลี่เอ้อร์ ซ่งจ่างจิ้ง อันดับต่อมาก็เป็นข้าแล้วใช่ไหม? คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบเหมือนกันกระมัง?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกจะตอบไปตามตรง “ท่านผู้นั้นที่อยู่ในบ้านข้าก็น่าจะเป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงขยี้หน้าตัวเอง “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรงแล้วเหมือนกันเถอะ!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าลองเดินไม่กี่ก้าวแล้วเลื่อนสู่ขอบเขตสิบให้ข้าดูอีกครั้งสิ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นเรื่องมหามงคลหรอกหรือ? ข้าก็ไม่ต้องไปที่แท่นมังกร แต่ทำกับข้าวเลี้ยงฉลองโต๊ะใหญ่รอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่ในร้านยาฮุยเฉิน ดีหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้ง
หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบง่ายขนาดนั้น เหตุใดหลี่เอ้อร์ต้องออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู
ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวค่อนข้างคล้ายคลึงกับความต่างระหว่างขอบเขตสิบสองกับขอบเขตสิบสามของผู้ฝึกกระบี่
ส่วนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานนั้น แค่ลองคิดจินตนาการอย่างเดียวก็พอ
ธรณีประตูสองแห่งนี้ เมื่อเทียบกับร่องปราการธรรมชาติสองเส้นระหว่างขอบเขตห้าและหก กับขอบเขตสิบและสิบเอ็ดของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปก็ยิ่งยากจะจินตนาการได้มากกว่า
ขนาดเจิ้งต้าเฟิงที่คิดว่าจิตใจตัวเองสูงส่งยิ่งกว่าฟ้าก็ยังไม่กล้าเพ้อฝันถึงขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ที่เลื่อนลอยไร้ความหวัง
ทางหัวขาด เหตุใดถึงเรียกว่าหัวขาด?
อยู่กับหยางเหล่าโถว ‘เสินจวิน’ แห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ว่าอริยะรุ่นใดล้วนต้องมาเยี่ยมเยือนทักทายมานานหลายปีขนาดนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็พอจะรู้เรื่องราวภายในบางอย่าง
เทพหยินแซ่จ้าวอารมณ์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด ยังคงต้องเป็นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ถ่ายทอดมหามรรคาของเจิ้งต้าเฟิงที่ถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจได้
เฉินผิงอันมองไปทางเทพหยินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “ตามคำบอกของท่านผู้อาวุโส ร้านยาฮุยเฉินแห่งนี้มีความลี้ลับ?”
เทพหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เสินจวินบอกให้ข้าเลือกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน หาใช่สถานที่ธรรมดาที่เจิ้งต้าเฟิงขอมาจากตระกูลฟ่านไม่ หากเปิดใช้ค่ายกล ข้าที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ตบะขอบเขตหยกดิบได้”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่นั่นก็เป็นวิธีชั้นล่างที่ต้องสูญเสียบุญกุศลในโลกมืดที่สะสมไว้เพื่อแลกมาด้วยตบะที่เพิ่มขึ้น ประคับประคองตนได้ไม่นาน”
เทพหยินสีหน้าเป็นปกติ “คิดจริงๆ หรือว่าข้าติดตามเจ้ามาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ทุกวันเอาแต่อาบแดด ชมจันทร์ รอให้วันใดมีเทพธิดาทะยานลมผ่านเหนือศีรษะไปจริงๆ ขอแค่ผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปได้ บางทีสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็มาเริ่มคำนวณศักยภาพของทางฝั่งพวกเรากันบ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงกินถั่วลิสงโรยเกลือพลางกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงใครบ้าง? ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ทั้งหมดแล้วหรือ?”
เผยเฉียนชี้ไปที่ตัวเอง ยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็นับด้วยหรือ? แต่ข้ายังอยู่ห่างจากเวทกระบี่ล้ำโลกอีกหนึ่ง ‘พรุ่งนี้’ นะ”
เด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านรู้สึกลำบากใจอย่างที่หาได้อย่าง
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมยุทธ์หญิงน้อยเผย อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นเสาคาน เป็นหัวใจหลักของพวกเรา จะดูถูกตัวเองไม่ได้!”
เผยเฉียนยิ้มรับอย่างชอบใจ ยื่นมือไปผลักจานที่ว่างเปล่า “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มอีก”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นเดินไปหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากห้องด้านข้างมาใส่ในจานใบเล็กเบื้องหน้าเผยเฉียนจริงๆ เนื่องด้วยจานใบไม่ใหญ่ จึงทำให้ปริมาณของเมล็ดแตงกำนั้นเปี่ยมล้นมากพอ ดูแล้วจริงใจยิ่ง
เผยเฉียนมองเจ้าหมอนี่แล้วรู้สึกถูกชะตามากขึ้นอีกนิด
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าคำแรก พอวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงแล้ว กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งออกมา จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนของนครมังกรเฒ่าหลายคนรู้สึกว่ามีเงินก็ร้ายกาจมากแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ามีเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยข้าก็มีทรัพย์สินที่เก็บสะสมเอาไว้ ชุดคลุมอาคมบนร่างตัวนี้มีชื่อว่าจินหลี่ คือของตกทอดจากเซียนบรรพกาลท่านหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิง เจ้าสวมได้หรือไม่? และยังมีเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดเจียวหลงเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง เจ้าใช้ได้หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสามหลอมดวงจิตของวิถีวรยุทธ์ก็จะรู้เองว่าวัตถุนอกกายของตระกูลเซียนเหล่านี้มีแต่จะยิ่งรัดมือรัดเท้า เจ้าสวมไว้สามารถรักษาชีวิตได้ แต่ข้าสวมไว้ มีแต่จะยิ่งเร่งให้ตายเร็วขึ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์ปึกใหญ่ที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมา “ยันต์ปราณหยางส่องไฟน่าจะเอามาใช้ไม่ได้ ในเมื่อแท่นมังกรถูกตระกูลฝูสร้างให้เป็นดั่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ยันต์ทำลายคาถาอำพรางตา และยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ…ยันต์ตัดโซ่ สร้างขึ้นเพื่อพวกเจียวหลงโดยเฉพาะ ส่วนยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ที่เพื่อนข้าเขียนด้วยมือของตัวเอง มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังสยบไว้ได้ครู่หนึ่ง…”
เพียงแค่เฉินผิงอันหยิบเอายันต์ปึกนั้นออกมา เทพหยินแซ่จ้าวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกกดดันบีบคั้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว โดยเฉพาะยันต์สยบกระบี่ที่เขียนลงบนกระดาษสีเขียวแผ่นนั้น ถึงแม้จะบอกว่าเอาไว้ใช้เล่นงานผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ แต่ก็ยังทำให้มันรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ดี
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน คราวนี้เจ้าเดินทางไปภูเขาห้อยหัว วันๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการปล้นทรัพย์หรือไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง ยังคงหยิบของชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมา และหยิบขวดกระเบื้องออกมาสามขวดติด “โอสถทองที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่ของปีศาจลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีปตนหนึ่ง โอสถทองก่อกำเนิดของเจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง และยังมี…โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองอีกหนึ่งเม็ด!”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองเทพหยินแซ่จ้าว ชี้ไปยังขวดกระเบื้องใบใหญ่สูงครึ่งแขนใบสุดท้ายนั้น “เจ้าเชื่อไหม?”
เทพหยินแซ่จ้าวส่ายหน้า แต่แล้วก็ผงกศีรษะ “หากเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เชื่อ แต่หากเป็นเฉินผิงอัน ข้าก็เชื่อ…ครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “มีของสิ่งใดที่สามารถเอามาใช้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ได้บ้าง?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดประโยคหนึ่งว่า “ขอข้าสงบสติอารมณ์ก่อน” จากนั้นก็จมสู่ภวังค์ความคิด
เทพหยินแซ่จ้าวถาม “หากรู้ว่าเจ้ามีทรัพย์สินเยอะอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรให้เจ้าเฉินผิงอันเข้ามาในห้องนี้แล้ว เพื่ออะไรกัน?”
เทพหยินพูดซ้ำอีกรอบ “เพื่ออะไรกัน?!”
สีหน้าของเฉินผิงอันสงบนิ่ง “เจ้าสามารถมองมันเป็นการค้าครั้งใหญ่ที่ข้าทำกับเสินจวินหยางในร้านยาที่หากไม่แพ้หมดตัว ก็ต้องได้กำไรจนอิ่มท้องเกือบแตก”
เทพหยินเพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนี้ของเขา
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดถามความเห็น “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ช่วยไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า”
สุยโย่วเปียนวางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า สายตาฉายประกายเจิดจ้า “นอกจากยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวหนึ่งเม็ดแล้ว ข้ายังต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณอีกคู่หนึ่งด้วย”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สังหารพวกเทพเซียนบนภูเขา สาแก่ใจเสียจริง”
“หากคำพูดของข้ามีน้ำหนัก แน่นอนว่าข้าหวังให้ออกไปจากนครมังกรเฒ่าโดยทันที เพียงแต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตัดสินใจอยู่ต่อแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงคือคนที่เป็นการเป็นงานที่สุด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณสองเม็ด หลังจากได้แผนที่ของนครมังกรเฒ่ามาแล้ว ข้าสามารถช่วยวางแผนเส้นทางอย่างละเอียดได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “ขอบคุณมาก!”
แล้วจึงหันหน้ามาถามเจิ้งต้าเฟิง “นอกจากกินยาลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเขาสี่คนจะยังเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ขอบเขตเจ็ดโอสถทองหนึ่งคน ขอบเขตหกขั้นสูงสุดสามคน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตามความหมายที่แท้จริง ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าไปสมัครรวมคนพวกนี้มาจากไหน เรื่องที่จะทำให้ขอบเขตโอสถทองมั่นคงนั้นไม่ยาก แต่อีกสามคนที่เหลือ หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตภายในเวลาไม่กี่วันนี้ นับว่ายากมาก แต่มาลองคิดดูแล้ว ต้องสามารถยกระดับขอบเขตหกขั้นสูงสุดให้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นได้แน่นอน ขอแค่ครั้งนี้พวกเขามีชีวิตรอดไปได้ สำหรับการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ในวันหน้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล ถึงอย่างไรยอดเขาสูงสุดก็เป็นแค่คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ เท่านั้น ยังห่างจากการช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอบครองอีกไกลโขนัก สองวันนี้ข้าสามารถป้อนหมัดให้พวกเขาสี่คน ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าของข้านี้ พวกเขากินเข้าท้องไปได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ความสามารถของพวกเขาเองแล้ว”
คนในภาพวาดทั้งสี่สีหน้าไร้อารมณ์
เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว ผู้ติดตามสี่คนข้างกายเฉินผิงอันวางท่าใหญ่โตไม่เบาเลยจริงๆ
แต่ว่าลักษณะพลังและความห้าวหาญของคนทั้งสี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวล้วนมีวิธีที่บริสุทธ์เต็มตัวในแบบของใครของมัน
เว่ยเซี่ยนคือหมื่นศัตรูมิอาจต้านในสนามรบ เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู สี่ด้านแปดทิศมีแต่เกราะเหล็ก ก็แค่ต้องทะลวงขบวนทัพออกมาเท่านั้น
หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ นอกจากวิถีวรยุทธ์แล้ว พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว
สุยโย่วเปียนแสวงหาจุดสูงสุดของวิถีกระบี่ เพื่อจะสร้างวีรกรรมบินทะยานที่ไม่เคยมีมานานเป็นพันปีในประวัติศาสตร์
เบื้องใต้โฉมหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นนิจของจูเหลี่ยนซุกซ่อนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้าอย่างพวกเจ้าจะมารวมกันมากเท่าไหร่ ก็ยังมิอาจต้านทานสองหมัดของข้าจูเหลี่ยนได้
เจิ้งต้าเฟิงจึงรู้สึกรอคอยการป้อนหมัดของตนหลังจากนี้อยู่มาก
สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียดขึ้นมา เขาถามว่า “ข้าอยากจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ที่ร้านยาฮุยเฉินหาคนซื้อวัตถุดิบให้ได้ไหม? อีกทั้งยังต้องรับประกันด้วยว่าจะไม่เล่นตุกติกกับวัตถุวิเศษที่หามา หากหลอมสำเร็จก็เท่ากับว่าข้าจะมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต”
เทพหยินแซ่จ้าวหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “ข้าต้องถามคนคนหนึ่งก่อน หากนางยอมอนุญาตก็หาให้ได้”
เจิ้งต้าเฟิงพลันถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อนาง เจ้าเชื่อข้าไหม?”
เฉินผิงอันตอบกลับมาหนึ่งประโยค “ข้าเชื่ออาจารย์ของเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้งไปอีกครั้ง
เทพหยินลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปหาภาพแผนที่มาสักหลายๆ แผ่นหน่อย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับเผยเฉียน “เจ้านอนห้องเดียวกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนสามคนเบียดกันหน่อย ข้าสามารถปูผ้านอนบนพื้นของร้านยาด้านหน้าได้ แต่หากสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบถ้วนแล้ว…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยจบ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นอย่างองอาจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่หญิงเทพเซียนจะไปปูผ้านอนบนพื้นเอง!”
พวกสุ่ยโย่วเปียนสี่คนไม่มีความเห็นต่าง
ในขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉาก เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญใดๆ
ม่านรัตติกาลแผ่ปกคลุม เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวยาวออกมา สุยโย่วเปียนและพวกเว่ยเซี่ยนสามคนแยกไปกินยาในสองห้องที่อยู่ด้านข้างเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามาในลานบ้าน
เจิ้งต้าเฟิงยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางไว้ตรงหน้าท้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน ในระยะสิบจั้ง ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการแค่หมัดเดียวเท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของพวกเจ้าสี่คน แต่กลับสามารถปฏิบัติต่อพวกเจ้าทั้งสี่คนดุจผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดเป็นอย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าแค่ดาหน้าเข้ามา พวกเราจะได้ประหยัดเวลา”
ไม่มีใครเดินออกไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ทำไม ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าอย่างข้าเป็นอาหารในจาน? รังเกียจที่จะต้องร่วมมือกันสี่คนมารุมข้าคนเดียว กลัวว่าจะเป็นการลดสถานะตัวเอง?”
เผยเฉียนย้ายม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเท้าของเฉินผิงอัน
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง บอกเป็นนัยแก่เจิ้งต้าเฟิงว่าออกหมัดได้ตามสบาย
“ในเมื่อพวกเจ้าเกรงใจขนาดนี้ งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงบิดปลายเท้า แล้วร่างของเขาก็หายไป
เสียงตู้มทุ้มหนักดังอื้ออึง
สี่หมัดถูกปล่อยออกไปแทบจะเวลาเดียวกัน
สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ตรงขั้นบนสุดของบันไดใต้ชายคาสองฝากฝั่งต่างถอยกรูดไปด้านหลังตั้งแต่หนึ่งก้าวถึงสามก้าวไม่เท่ากัน
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ปูรากฐานกันมาได้ไม่เลว เฉินผิงอัน เจ้าไปหาสาวใช้และผู้ติดตามพวกนี้มาจากไหนกันแน่? ข้าเองก็อยากได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวท่านนี้…”
สุยโย่วเปียนออกกระบี่ก่อนผู้ใด
จูเหลี่ยนหลังโก่งงอก็กระโดดผลุงออกไป
เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงเบี่ยงเท้าเดินไปด้านข้างสองฝั่งแทบจะเวลาเดียวกัน คอยร่วมมือกับสุยโย่วเปียนและจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่ในลานตลอดเวลา
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร จิตใจก็เชื่อมโยงถึงกัน
นี่คือขอบเขตที่บุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสี่คนสมควรมี
เฉินผิงอันถามเบาๆ “หากสนใจก็ลองตั้งใจดูพวกเขาได้”
เผยเฉียนชูมือขึ้น ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเมล็ดแตง เฉินผิงอันส่ายหน้า นางถึงได้ดึงมือกลับมา แทะเมล็ดแตงพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่สนใจหรอก ห่างชั้นกับ…ท่านอาจารย์ตั้งเยอะ”
เรียกพ่อลับหลัง แต่พออยู่ต่อหน้าเฉินผิงอันกลับเรียกอาจารย์ เผยเฉียนรู้สึกว่าตัวเองเรียนหนังสือจนสติปัญญาเปิดกว้างแล้วจริงๆ เป็นอาจารย์หนึ่งวันก็เป็นบิดาไปทั้งชีวิตนี่นะ
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว หากแข่งกันแค่เรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ว่าสูงหรือต่ำ อันที่จริงข้ายังสู้พวกเขาสี่คนไม่ได้ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นขอบเขตห้า แต่เมื่อผ่านศึกเป็นตายที่ยากลำบากติดต่อกันมาหลายครั้ง รากฐานขอบเขตห้าของข้าจึงปูมาได้…ดีมาก ดังนั้นจึงสามารถฝ่าคอขวดไปสู่ขอบเขตหกได้ทุกเมื่อ”
ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องบางเรื่องได้ดีมาก
เกรงว่าคงไม่ด้อยกว่าเวลาที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยบอกว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์บางขอบเขตของเฉินผิงอันปูมาได้ ‘ไม่เลว’ อย่างแน่นอน
เผยเฉียนแหงนหน้าขึ้น ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ ถึงอย่างไรท่านก็ร้ายกาจที่สุด”
สี่คนที่อยู่ในลานบ้านเผชิญกับความยากลำบากภายใต้เงื้อมมือของเจิ้งต้าเฟิงเสียเต็มกลืน
นี่ยังเป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงจงใจกดข่มขอบเขตของตัวเองให้อยู่ที่ขอบเขตแปดเดินทางไกลด้วย
ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีทางต่อสู้กันได้
ป้อนหมัดจะกลายเป็นรังแกคนอื่นไปแทน
ตบะวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ต่างจากขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ ต่างแค่หนึ่งขอบเขตก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าแซ่ชุยที่สอนวิชาหมัดให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่ก็สามารถใช้หมัดของขอบเขตห้าต่อยให้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่คิดจะมากราบอาจารย์ขอเรียนวิชาตายไปอย่างง่ายดาย
ทว่าข้อยกเว้นเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว แต่ก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันนึกถึงเฉาสือ เด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปณิธานหมัดของทั้งร่างเขาสามารถสยบปณิธานกระบี่บนหัวกำแพงที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกายตัวเองได้
เฉินผิงอันอยากรู้อย่างมากว่า ตอนนี้คนทั้งสองเป็นขอบเขตห้าเหมือนกัน ตนจะยังคงแพ้เฉาสือติดต่อกันสามครั้งติดอย่างไม่มีข้อสงสัยเหมือนเดิมอีกหรือไม่
เฉินผิงอันโยนความคิดวุ่นวายในหัวออกไป สายตาจับจ้องการต่อสู้ในลานบ้าน แต่กลับพูดกับเผยเฉียนว่า “ครั้งนั้นก่อนจะเข้าไปในเขตของภูเขาชิงจิ้ง ตอนที่พวกเราผ่านเมืองแห่งนั้น อันที่จริงข้าลืมพูดกับเจ้าว่าขอโทษ”
เผยเฉียนที่กำลังแทะเมล็ดแตงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายถึงเรื่องแผ่นแป้งย่างหรือ? ทำไมต้องขอโทษข้าด้วยล่ะ?”
ตอนนั้นเผยเฉียนลากเหล่าเว่ยที่เป็นสหายครึ่งตัวของนางไปซื้อของกิน เฉินผิงอันกับพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนกำลังเดินเล่นอยู่ในร้านขายหนังสือ รอจนเฉินผิงอันไปเจอเผยเฉียนก็พบว่าเด็กหญิงกำลังกัดกินแผ่นแป้งย่างคำใหญ่ มีสตรีแต่งงานแล้วแต่งตัวหรูหราคนหนึ่งกำลังชี้ไม้ชี้มือใส่พลางด่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมเสียงดัง ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วยังมีเด็กชายที่น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้าอีกคนหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วด่าไม่หยาบคายนัก คงเป็นเพราะมาจากตระกูลผู้มีความรู้ คำพูดที่ใช้ด่าจึงประมาณว่าเผยเฉียนเป็นเด็กบ้านป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เหตุใดถึงได้เอาแต่ใจไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนบ้างหรือไง ฯลฯ
ความคิดแรกของเฉินผิงอันคือเผยเฉียนก่อเรื่องอีกแล้ว จึงเดินหน้าเคร่งไปหานาง
เขากลัวอย่างยิ่งว่าเผยเฉียนที่อยู่ข้างกายตัวเองจะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเรียนรู้หลักการเหตุผลในตำรา กลับกลายเป็นว่าอยู่กับตัวเองและจูเหลี่ยนสี่คนนานวันเข้าจะติดกลิ่นอายโอหังไป
ดังนั้นพอเดินไปถึงข้างกายเผยเฉียนแล้ว ประโยคแรกที่เขาพูดจึงค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าจะไม่ได้ตำหนิโดยตรง แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าเข้าข้างสตรีแต่งงานแล้วและเด็กชายคนนั้น
เผยเฉียนเองก็กลัวเฉินผิงอันอย่างมาก ไม่พูดไม่จาก็ยื่นแผ่นแป้งขนาดใหญ่ที่กินเหลือครึ่งหนึ่งไปให้สตรีแต่งงานแล้ว บอกว่านางไม่ต้องการแล้ว ยกให้เด็กคนนั้นแล้วกัน
สตรีแต่งงานแล้วโมโหอย่างหนัก ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม รู้สึกว่าถูกหมิ่นเกียรติ เห็นเฉินผิงอันเป็นผู้ปกครองของเผยเฉียนจึงสั่งสอนเขาไปพร้อมกันเลย คงเป็นเพราะเห็นว่าการแต่งตัวของเฉินผิงอันคล้ายลูกหลานคนมีเงิน สตรีแต่งงานแล้วจึงสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก คำด่าก็คลุมเครือไม่โจ่งแจ้ง
รอจนเว่ยเซี่ยนอธิบายให้ฟัง เฉินผิงอันถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เรื่องของเรื่องคือเผยเฉียนมาซื้อแผ่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายของที่ร้าน แล้วมีเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เขาอยากกินมากเลยขอให้เผยเฉียนยกแผ่นแป้งให้เขา
เผยเฉียนหรือจะยอม จึงเริ่มโคลงศีรษะแทะแป้งย่าง จงใจพูดเสียงดังว่าโอ้โห อร่อยจังเลย อร่อยจริงๆ เด็กชายโมโหจนร้องไห้ สตรีแต่งงานแล้วเลยเริ่มด่า เพียงแต่เผยเฉียนไม่แยแสแม้แต่น้อย ยังคงกินแผ่นแป้งย่างอย่างมีความสุข สตรีแต่งงานแล้วยิ่งด่าเผยเฉียนก็ยิ่งอารมณ์ดี ส่วนเว่ยเซี่ยนก็ยืนมองอยู่ด้านข้าง ขอแค่สตรีแต่งงานแล้วไม่ลงไม้ลงมือ เขาก็ไม่สอดมือเข้ายุ่ง
หลังจากเฉินผิงอันรู้ความจริงแล้วก็จูงมือเผยเฉียนมา บอกให้สตรีแต่งงานแล้วขอโทษเผยเฉียน
สตรีแต่งงานแล้วโมโหเจียนบ้า ตะโกนโหวกเหวกว่าจะไม่ปล่อยให้เฉินผิงอันออกนอกเมือง
เฉินผิงอันจึงบอกนางว่าก็ลองทำดู
หลังจากสตรีแต่งงานแล้วทิ้งคำพูดข่มขู่เอาไว้ก็บอกเฉินผิงอันว่ารอก่อนเถอะ จากนั้นก็พาเด็กชายจากไปด้วยความขุ่นขึ้ง
ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก รออยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันไม่เห็นว่าจะมีใครมาหาเรื่องจึงพาคนทั้งกลุ่มออกมาจากเมืองแห่งนั้น
เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน “ควรจะพูดขอโทษเจ้า”
เผยเฉียนแปลกใจยิ่งนัก แม้แต่เมล็ดแตงก็หยุดแทะ ขยับจากม้านั่งเล็กมานั่งบนม้านั่งตัวยาวของเฉินผิงอัน กล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “เหล่าเว่ยบอกว่าใต้หล้านี้ข้าวหัวขาด (หมายถึงอาหารมื้อสุดท้ายของนักโทษประหาร) อร่อยที่สุด ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจใยดีอีกแล้วใช่ไหม? ก็เลยเอาคำพูดพวกนี้มาหลอกข้าก่อน?”
ด้วยความลืมตัวจึงเรียกพ่อออกมาโดยตรง เผยเฉียนยิ่งลนลานกว่าเดิม โยนเมล็ดแตงทิ้ง ยื่นมือมากำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น
เฉินผิงอันทำท่าจะเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนจึงหัวเราะทั้งน้ำตาทันที
ดีล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว
เผยเฉียนปล่อยมือ ฝ่ามือสองข้างยันไว้บนม้านั่งตัวยาว แกว่งเท้าไปมา “เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว อาจารย์ถึงต้องมาขอโทษข้า ทำให้ข้าตกใจเกือบตายจริงๆ นะเนี่ย หากพูดตามภาษาชาวบ้านในบ้านเกิดเหล่าเว่ยก็คือ เรื่องใหญ่เท่าก้น แค่ฝนเม็ดบางๆ จะเอามาสระผมยังรังเกียจว่าไม่พอเลย”
เฉินผิงอันเองก็ใช้ฝ่ามือสองข้างยันม้านั่งตัวยาว พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจำคราวก่อนที่พวกเราขึ้นไปบนยอดเขาเทียนแจว๋ได้ไหม? รู้สึกว่าข้าทำตัวแปลกมากเลยใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “จำได้ชัดเจนเลยล่ะ ตอนนั้นท่านทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง ยืนตัวตรงแน่ว แถมยังประคองปิ่นหยกบนศีรษะ นั่นคือการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สวมกวานให้ตรง (การแต่งตัวอย่างเรียบร้อยคือมารยาทอย่างหนึ่งที่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่น) อย่างที่กล่าวถึงในตำราไม่ใช่หรือ คนพวกนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว ท่านไม่รู้จักสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจอะไรด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? ข้าคิดอยู่นานมาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ตอนหลังก็เลยไม่คิดมันแล้ว”
สายตาของเฉินผิงอันเลื่อนลอย เงยหน้ามองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ว่า “ในอดีต ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเทพเซียนต่างถิ่นตรงประตูใหญ่ของเมืองเล็กบ้านเกิด พวกเขามีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งคนแก่มีทั้งเด็ก ตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง มีประตูใหญ่รั้วไม้กางกั้น ข้าสายตาดีมากมาตั้งแต่เด็ก ความจำก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าจึงยังจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นสายตาที่คนเหล่านั้นมองข้า ท่าทางของพวกเขา…”
เฉินผิงอันหยุดไปนาน สุดท้ายก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ดังนั้นหลังจากที่ข้าฝึกวิชาหมัดก็คิดมาโดยตลอดว่า วันหน้าหากตัวข้าเองกลายเป็นคนบนภูเขา ต้องห้ามเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนพวกนั้นเด็ดขาด ห้ามใช้สายตาแบบนั้นมองคนอื่น เมื่ออยู่บนที่สูงแล้วก็ห้ามใช้สายตามองมดตัวเล็กมามองโลกใบนี้ของพวกเรา”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดหลักการนอกตำรากับเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ถือเป็นหลักการของเขาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง เก็บเมล็ดแตงเหล่านั้นมาวางไว้กลางฝ่ามือของตัวเอง พอกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งก็หยิบมาเม็ดหนึ่ง ยื่นส่งให้เผยเฉียนพลางพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ท่านั่ง คำพูดและการกระทำ หลักการและความเชื่อของพวกเราทุกคน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกำลังบอกให้โลกนี้รู้ว่าเจ้าอ่านหนังสือมามากน้อยแค่ไหน รู้หลักการและเหตุผลมากน้อยเท่าไหร่ ได้รับความยากลำบากมาแค่ไหน จดจำคำสอนไร้เสียงของพ่อแม่ได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นข้าไม่ต้องการให้เวลาคนอื่นมองข้าแล้วรู้สึกว่า ที่แท้แล้วพ่อแม่ของเฉินผิงอัน และยังมีคนเหล่านั้นที่เฉินผิงอันเคารพนับถือจากใจจริง สุดท้ายก็ได้แค่อบรมสั่งสอนคนแบบนี้ออกมา”
เฉินผิงอันหันมายิ้มให้เผยเฉียน “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย ข้าคิดว่าเจ้าอายุเท่านี้…”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หัวเราะแล้วเฉินผิงอันก็เอาเมล็ดแตงทั้งหมดให้เผยเฉียน พูดพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ของอาจารย์ฉีพูดถูกแล้ว อายุน้อยๆ ก็ควรทำตัวสดใสมีชีวิตชีวา ข้าทำไม่ได้ เพราะผ่านวัยนั้นมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเจ้าจะทำได้ เสี่ยวเป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยา เฉาฉิงหล่างที่พื้นที่มงคลดอกบัวล้วนสามารถทำได้ คนหนึ่งบนไหล่มีกิ่งหลิวกิ่งหยาง คนหนึ่งบนไหล่มีดอกไม้มีนกโบยบิน คนหนึ่งบนไหล่มีลมเย็นมีแสงจันทร์กระจ่าง คงจะดียิ่งนัก แค่ข้าคิดแบบนี้ก็มีความสุขมากแล้ว”
เผยเฉียนร้องว้าวหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะหึหึ “ท่านพ่อ คนดีเหมือนท่าน หากวันหน้าข้าออกจากบ้านไปคนเดียวจะไปหาจากที่ไหนกันนะ”
จากนั้นเด็กหญิงก็เริ่มกลัดกลุ้ม “ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่อยู่บนเรือแล้วได้แต่จ้องมองไป ไม่สามารถขึ้นไปเล่นบนท่าเรือเหล่านั้นได้ ข้าก็แอบมีความคิดหนึ่ง คิดว่าวันใดข้าโตแล้ว ฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกเป็นแล้วก็จะบอกกับท่านพ่อว่า ‘ท่านพ่อ ขอม้าให้ข้าตัวหนึ่งเถอะ ข้าจะออกไปท่องยุทธภพแล้ว!’ แต่ภายหลังข้าก็คิดอีกว่า ม้าน่าจะแพงไปสักหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าท่านพ่อจะเต็มใจหามาให้ข้า ถ้าอย่างนั้นลาก็ได้ ล่อก็ยังดี! ยุทธภพข้างนอกกำลังรอข้าอยู่นะ! เสียงกู่ก้องร้องตะโกนกำลังรอข้าอยู่!”
แล้วเด็กหญิงก็ทอดถอนใจ “ตอนนี้ข้ากลับไปไม่อยากออกไปเที่ยวเล่นในยุทธภพแล้ว น่าสนใจตรงไหนกัน มีแต่คนเลวทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันเองก็แกว่งเท้าทั้งสองข้าง พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าก็พบเจอข้าในยุทธภพไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปพร้อมกัน เผยเฉียนคิดอยู่นานก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ข้าไม่อยากเจอคนอื่นแล้วนี่นา”