Skip to content

Sword of Coming 365

บทที่ 365 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

ช่วงที่อากาศหนาวจัด นกโบยบินผ่านม่านฟ้าไปอย่างว่องไว

ข้างแท่นมังกร เสียงลมหวีดหวิวประหนึ่งเสียงกรีดร้องของสตรีคลุ้มคลั่งที่ดังขึ้นไม่หยุด

ในนครมังกรเฒ่า รถม้าหลายคันมาจอดอยู่ตรงหัวเลี้ยวของถนนนอกร้านยาฮุยเฉิน

เพียงคำสั่งเดียวจากตระกูลฝู เมืองทั้งเมืองก็ถูกป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนอิสระและชาวบ้านไปชมการต่อสู่ที่แท่นมังกรนอกเมือง ยังห้ามไม่ให้ทุกคนที่ไม่ได้ใช้หกแซ่ใหญ่ออกมาเดินบนถนน แน่นอนว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีเส้นสายสามารถยืมป้ายคำสั่งจากตระกูลหกแซ่ที่สนิทสนมกันมาหนึ่งแผ่น เมื่อเอามาแขวนไว้ตรงเอวก็จะสามารถไปเยือนระหว่างแท่นมังกรและเมืองชั้นในได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค สำหรับเรื่องนี้ในเมืองนครมังกรเฒ่าก็มีเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ตอนนี้ตระกูลฝูมีบารมีและอำนาจมากล้น อีกทั้งตระกูลฝูยังแจ้งเรื่องนี้กับคนในตระกูลอื่นที่สำคัญนอกเหนือจากหกแซ่ไว้ก่อนแล้ว ไม่มีใครมีความคิดชั่วร้ายหรือกลอุบายมากนัก ความขัดแย้งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำในนครมังกรเฒ่าก็ถูกสยบไว้ในทันที พวกเด็กเกเรบางคนที่ถือดีในสถานะของตัวเองถูกผู้ฝึกตนตระกูลฝูที่ห้อยหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณไว้ตรงเอวขัดขวางไว้ หลังกลับไปถึงจวนก็ถูกผู้อาวุโสที่รู้ข่าวด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ตำหนิพวกเขาว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร

ร้านยาฮุยเฉิน หลังจากกินโจ๊กที่จูเหลี่ยนเป็นคนต้มไปแล้ว คนทั้งกลุ่มก็เตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังแท่นมังกร

เจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาจากห้องหลักก่อน เขาสูบยาอยู่ตรงหน้าประตูสองสามที สีหน้าไม่มีความตึงเครียดใดๆ แต่เมื่อเทียบกับท่าทางสกปรกมอซออย่างในเวลาปกติแล้ว วันนี้กลับเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ดูเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับสะอาดเอี่ยม

จูเหลี่ยนและเผยเฉียนเก็บชามและตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะ

สุยโย่วเปียนสวมชุดสีขาว สะพายกระบี่ชือซินที่หลังจาก ‘กินหัวใจไปนับไม่ถ้วน’ ระดับขั้นก็เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ไว้ด้านหลัง นางยืนอยู่ใต้ชายคา ตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดร่างทอง บุคลิกสง่างามโดดเด่น มองไปคล้ายเทพเซียน

หลูป๋ายเซี่ยงยังคงสวมชุดขงจื๊อดังเดิม ไม่ถือเม็ดหมากเอามาถูกันกลางฝ่ามืออีกแล้ว ห้อยดาบแคบหยุดหิมะ ดาบพกเล่มนี้ เจ้าของคนเดิมคือเซียนดินก่อกำเนิดแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชอบกำจัดปีศาจปราบมาร มีชื่อเสียงดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และยิ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าปีศาจที่วางแผนทิ้งร่องรอยไว้ไกลเป็นพันลี้ ป้ายหยกผู้สืบทอดศาลบรรพชนแผ่นหนึ่งทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในวงล้อมสังหารที่วัดร้าง

วันนี้เว่ยเซี่ยนแต่งกายสะดุดตาที่สุด เขาถามเฉินผิงอันว่าสวมชุดคลุมมังกรอยู่ในนครมังกรเฒ่าผิดกฎหมายหรือไม่ เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้มว่าต่อให้เจ้าสวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมลายปักของฮองเฮาก็ยังไม่มีใครสนใจเจ้า เว่ยเซี่ยนจึงสวมชุดคลุมมังกรที่นำออกมาจากม้วนภาพวาดด้วย บนร่างสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน ในชายแขนเสื้อซ่อนเม็ดเสื้อเกราะซีเยว่ซึ่งเป็นหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแห่งสำนักการทหารเอาไว้

จูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นดั่งพ่อครัวเช็ดหยดน้ำบนมือ เดินออกมาจากห้องครัว ด้านหลังคือเผยเฉียนที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

วันนี้เฉินผิงอันยังคงสวมจินหลี่ชุดคลุมอาคมตัวนั้น บนมวยผมปักปิ่นหยกที่ทำจากวัสดุธรรมดา ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด อีกฝั่งหนึ่งห้อยแผ่นหยกสีขาวที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

แผ่นหยกนี้เฉินผิงอันเอาออกมาจากช่องโพรงลมปราณที่เคยมี ‘ปราณกระบี่ที่เล็กที่สุดกลุ่มหนึ่ง’ ขดตัวนอนอยู่ ถือเป็นการหล่อหลอมระดับเล็กของฟ่านจวิ้นเม่า ตอนนี้ยังคงได้แค่มอง ไม่อาจใช้

การดำรงอยู่ของมัน เดิมทีก็แค่มีไว้ให้ระลึกถึงเท่านั้น

หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ นี่คือหนึ่งในความยึดมั่นถือมั่นที่มีไม่มากของเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอัน

แก้แค้นให้พ่อแม่ เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ตามที่รับปากหนิงเหยาเอาไว้ สัญญาหกสิบปีกับพี่หญิงวิญญาณกระบี่ สักวันหนึ่งจะสามารถพูดประโยคนี้แก่ใต้หล้าทั้งสี่แห่งได้อย่างเปิดเผย

วันนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ คือคู่ที่ก่อนหน้านี้เผยเฉียนแอบเอามาให้ ฟ้ายังไม่ทันสาง เผยเฉียนก็ตื่นขึ้นมา คลำความมืดเดินมาหาเฉินผิงอันที่ปูผ้านอนอยู่ในร้านยาด้านหน้า ในมือหิ้วรองเท้าหุ้มแข้งคู่หนึ่ง เฉินผิงอันถามด้วยความแปลกใจว่าไปเอารองเท้ามาจากไหน เผยเฉียนบอกว่าครั้งนั้นที่อยู่โรงเตี๊ยม นางยืมเงินหลายตำลึงมาจากพวกจิ่วเหนียงใช่ไหมล่ะ ตอนที่ไปเมืองหูเอ๋อร์นอกจากจะซื้อของกินแล้ว ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ก็คือรองเท้าคู่นี้ อยากมอบให้เฉินผิงอันตั้งนานแล้ว แต่ภายหลังคนที่เมืองหูเอ๋อร์มาด่าถึงหน้าโรงเตี๊ยม แล้วเฉินผิงอันก็จะไล่นางไป จะทิ้งนางไว้ที่โรงเตี๊ยมคนเดียว นางโกรธมาก ก็เลยเอามันไปฝัง ตอนหลังเฉินผิงอันเปลี่ยนใจพานางไปที่เมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน คืนนั้นนางเลยแอบไปขุดออกมา ตอนนั้นจงขุยก็ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างกายนางด้วย แถมยังบอกว่านั่นเรียกว่าหลุมอีกวานอะไรสักอย่าง ตลอดทางตั้งแต่เมืองเซิ่นจิ่งมาถึงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาชิงจิ้ง จนกระทั่งมาถึงนครมังกรเฒ่า นางกลัวอยู่ตลอดว่าเรื่องหลุมอีกวานนี้จะทำให้เฉินผิงอันโมโห นางเหมือนคนทำความผิดแล้วร้อนตัวจึงไม่เคยกล้าหยิบมันออกมา

ตอนนั้นหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก ผู้ใหญ่นั่งอยู่บนผ้าปูนอน เริ่มสวมรองเท้า รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยชมเด็กหญิงผอมแห้ง เพียงแต่คำพูดที่อยากพูดได้ปรากฏให้เห็นในดวงตาใสกระจ่างบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว

คนเด็กนั่งยองอยู่ด้านข้าง ถามว่า “พอดีเท้าไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอดี”

เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันสวมรองเท้าเรียบร้อย ลุกขึ้นกระโดดอยู่สองทีก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จำบุญคุณคน บอกว่าให้เผยเฉียนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินกับเทพหยินแซ่จ้าว ไม่ต้องตามไปที่แท่นมังกรด้วย และถ้าหลังจากนั้นเทพหยินต้องออกไปจากร้านยา เผยเฉียนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่ไม่ออกไปจากร้านยาโดยพลการก็จะไม่มีอันตรายแล้ว

เผยเฉียนย่อมไม่ยินดี หลายวันมานี้นางตั้งใจฝึกวิชากระบี่บ้าคลั่งกระบวนท่านั้นทุกวัน เพียงแต่เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยหน้าตาจริงจังจึงได้แต่ไหล่ลู่คอตก รับคำว่าอ้อหนึ่งคำ

เวลานี้เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิงพลางถามด้วยรอยยิ้ม “เอาอย่างไร ออกเดินทางเลยไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงสูบยาแรงๆ หนึ่งคำ ห้อยกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว ก้าวยาวๆ ไปทางลานบ้าน “ไป!”

คนทั้งกลุ่มเดินทางออกจากร้านยาฮุยเฉิน มาเดินอยู่ในตรอก

ขึ้นรถม้าที่ตระกูลฟ่านส่งมาให้ ทั้งฟ่านเอ้อร์และผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อต่างก็ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ฟ่านเอ้อร์มาเยือนร้านยาอีกหนึ่งรอบ คนทั้งสองนั่งดื่มเหล้ากันบนหลังคา เฉินผิงอันจึงบอกเขาว่าวันที่อากาศหนาวจัดนี้ห้ามมาปรากฎอยู่ตัวใกล้กับร้านยาเด็ดขาด ฟ่านเอ้อร์บอกว่าเขารู้หนักเบา ไม่มีทางทำอะไรตามใจตัวเองแน่นอน

เผยเฉียนหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งหน้าประตูร้านยาฮุยเฉิน ก้มหน้าค้อมเอว ใช้สองมือกอดเข่า

ตรงฝ่าเท้าวางไม้เท้าเดินป่าที่อยู่กับนางมานานอันนั้น มันถูกนางเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้วเอาเท้าคลึงเบาๆ มันจึงกลิ้งกลับไปกลับมา

ตรงธรณีประตูยังวางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ เฉินผิงอันบอกให้นางทำเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในร้านยาฮุยเฉินก็ต้องเอาร่มมาวางไว้ใกล้ๆ ตัว

ตอนนี้เทพหยินแซ่จ้าวยังไม่ต้องทำอะไร ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงหักกระบอกยาสูบอันนั้น มันก็จะไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงทันที แต่หากไปโผล่ที่แท่นมังกรเร็วเกินไป ไม่แน่ว่าทางฝ่ายนั้นอาจจะวางแผนรับมือไว้นานแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะไม่ควร บริเวณใกล้เคียงกับแท่นมังกรควรต้องพูดว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างแท้จริง คนที่มีคุณสมบัติไปอยู่ที่นั่นล้วนเป็นยอดฝีมือที่สูงส่งของนครมังกรเฒ่าทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือปรมาจารย์ที่เป็นผู้ถวายงานรับใช้ห้าแซ่ใหญ่เลย

เทพหยินตนนั้นมายืนอยู่ข้างกายเด็กหญิงผอมดำ ถามว่า “เป็นห่วงเฉินผิงอันหรือ?”

เผยเฉียนพูดเบาๆ “พ่อข้าร้ายกาจขนาดนั้น”

เทพหยินแซ่จ้าวที่เดินออกมาจากศาลเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ร้ายกาจก็ร้ายกาจอยู่หรอก แต่โง่ไปหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของเขา เขากลับดึงดันจะเดินเข้ามาในบ่อน้ำขุ่นนี้ให้ได้”

เผยเฉียนไม่ได้เต้นผางด่าคนอย่างที่หาได้ยาก นางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก็นั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะเอาข้ามาอยู่ข้างกายตลอดเวลาหรือ? ทั้งๆ ที่ข้าเป็นตัวขาดทุน พ่อข้ามีเงินมากขนาดนั้น แต่กลับเป็นพวกขี้งก ไม่เคยใช้เงินมือเติบ เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็ยังอยากจะแบ่งใช้เป็นแปดส่วนด้วยซ้ำ”

ยิ่งพูดก็ยิ่งกลุ้ม เผยเฉียนยืดเอวตรง หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ แปะเพี๊ยะไว้บนหน้าผากตัวเอง เชิดหน้าขึ้น อมลมจนแก้มพอง เป่าให้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจปลิวเบาๆ

รถม้าสามคันแล่นจากในเมืองไปยังนอกเมือง

เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันหน้าสุดเพียงลำพัง หลับตาทำสมาธิ พยายามสะกดกลั้นปณิธานหมัดของทั้งร่างเอาไว้ แต่กลับยังมีลางว่ามันจะล้นเอ่อออกมา ทุกครั้งที่รถม้ากระเด้งกระดอนก็จะมีพายุลมกรดแผ่กระเพื่อมไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เจิ้งต้าเฟิงหายใจเข้าออก พวกมันก็กลับเข้าไปในร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว

ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดย่อมต้องมีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เดิมทีเฉินผิงอันควรจะนั่งอยู่กับจูเหลี่ยนสุนัขรับใช้ที่เรียกตัวเองว่าบ่าวเฒ่า เพียงแต่สุยโย่วเปียนชิงตัดหน้าไปก่อน จูเหลี่ยนรู้กาลเทศะจึงหัวเราะเฮอๆ แล้วเดินไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง

ในห้องโดยสาร คนทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

สุยโย่วเปียนเปิดปากถาม “เจ้าโปรดปรานหลูป๋ายเซี่ยง เป็นเพราะเขาเป็นคนแรกที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ พูดบางประโยคให้เจ้าฟังใช่หรือไม่? เจ้าไม่พอใจข้าขนาดนี้เป็นเพราะตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน ข้าเคยเผยจิตสังหารต่อเจ้า จนเจ้าสัมผัสได้ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันถามกลับ “นักพรตเฒ่าบอกว่าหลังจากพวกเจ้าออกมาจากภาพวาด ย่อมต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า เป็นเพราะเขาเล่นตุกติกกับสภาพจิตใจของพวกเจ้าใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ ไม่เพียงแต่ครั้งนั้นที่เจ้าเผยจิตสังหารต่อข้า ในสายตาของข้า พวกเจ้าสี่คนคือคนตายที่มีชีวิตอยู่ เป็นคนย่อมต้องมีอารมณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง ต่อให้จิตใจจะสงบดุจน้ำนิ่ง ดุจบ่อโบราณไร้คลื่นแค่ไหน บนเส้นทางของการฝึกตนล้วนไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเองไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจเดิม ดังนั้นข้าจึงสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า เหตุใดนักพรตเฒ่าถึงกล้าบอกให้ข้าใช้งานพวกเจ้าได้อย่างวางใจ”

สุยโย่วเปียนเองก็ถามกลับ “เจ้าไม่เชื่อใจ…ท่านเทพเทวาแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเราหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “สำหรับเรื่องนี้ ข้าเชื่อใจนักพรตเฒ่า”

สุยโย่วเปียนยื่นมือมาปาดผ่านฝักกระบี่ชือซินที่วางพาดไว้บนหัวเข่า “พวกเราสี่คนต่างก็ได้รับคำพูดกันคนละหนึ่งประโยค แต่อันที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่คนทั้งสี่ล้วนรู้ดี…เว่ยเซี่ยนนั้นบอกได้ยาก เพราะเขาไม่เคยมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพวกเราสามคน แต่อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็รู้ประโยคนี้”

เฉินผิงอันถาม “บอกได้ไหม?”

สุยโย่วเปียนยิ้มเจื่อน “อันที่จริงก็บอกได้ ก็คือประโยคว่า ‘คนที่ฆ่าเฉินผิงอันตายกับมือตัวเอง จะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับอิสระ’ ดังนั้นหากเจ้าเชิญข้าออกจากม้วนภาพวาดเป็นคนแรก ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องพยายามฆ่าเจ้าให้ได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่เว่ยเซี่ยนได้เดินออกมาจากภาพวาดเป็นคนแรก แต่กลับไม่ได้ลงมือต่อเจ้า หรือถึงขั้นไม่มีแม้แต่จิตสังหาร ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ รอจนศึกที่โรงเตี๊ยม เจ้าเชิญคนสามคนออกมาพร้อมกันจึงกลายมาเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันเอง ใครก็ไม่ต้องการให้คนอื่นทำสำเร็จ กลายเป็นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ คนนั้น”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แต่ตอนอยู่นอกวัดร้าง เว่ยเซี่ยนพูดเองว่าหากข้าตาย พวกเจ้าล้วนต้องตาย นี่ไม่ขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?”

สุยโย่วเปียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่เป็นเพราะเว่ยเซี่ยนโกหกครึ่งหนึ่ง ก็ต้องเป็นเทพเทวาผู้เฒ่าท่านนั้นที่คาดเดาได้ว่าเจ้าจะเชิญเว่ยเซี่ยนออกมาก่อนจึงจงใจไม่พูดประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนสามคนจะไม่มีทางอนุญาตให้อีกสองในสามคนที่เหลือสังหารเจ้าเด็ดขาด ใครกล้าคิดฆ่าเจ้า เขาก็จะต้องตกเป็นเป้าหมายที่ถูกอีกสองคนที่เหลือหมายหัวสังหาร ไม่ว่าจะมีประโยคที่ไม่รู้ว่าเว่ยเซี่ยนพูดจริงหรือเท็จประโยคนั้นหรือไม่ พวกเราล้วนไม่ยินดีสูญเสียโอกาสที่จะ…ได้เป็นอิสระไป เจ้าเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน น่าจะรู้ว่าสำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว อิสระ ไม่ใช่สิ่งที่แสวงหาซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ที่สุยโย่วเปียนกล่าวถึง เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “มิน่าเล่าถึงได้พูดกันว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต ฟ้าลิขิตได้กำหนดความคิดจิตใจของคนเอาไว้หมดแล้ว”

แต่ไม่นานเฉินผิงอันกลับปฏิเสธข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงนี้ “ไม่ใช่ทุกเรื่องและทุกคนที่จะเป็นอย่างนี้เสมอไป”

สุยโย่วเปียนถามด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้ คุณชายก็ขาดทุนอย่างหนัก คุ้มแล้วหรือ?”

ใต้หล้าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ภูเขาสูงชันเกินไป ผู้ฝึกตนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ไกลเกินไป คนและเรื่องราวที่ไม่มีคุณค่ามีมากมายเกินไป

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาเริ่มหลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

รถม้าสามคันขับออกไปนอกเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังแท่นมังกร

ฝูฉีเริ่มเดินขึ้นบันไดไปบนแท่นมังกรแห่งนั้นเพียงลำพัง

บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลฝูไม่ได้ปรากฏตัว ฝูตงไห่บุตรชายคนโต ฝูชุนฮวาบุตรสาวคนโต และยังมีฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีซึ่งเป็น ‘เจ้าบ่าว’ คนใหม่ที่เพิ่งจะแต่งงานกับบุตรสาวสายตรงสุกลเจียงหลินอวิ๋น รวมไปถึงฉู่หยางโอสถทองอันดับหนึ่งแห่งนครมังกรเฒ่าที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ และข้ารับใช้ผู้ถวายงานอีกกลุ่มหนึ่งต่างก็ยืนกันอยู่ด้านล่างแท่นมังกร

ฉู่หยางสีหน้าเย็นชา หลังจากที่เขาเปิดศึกกับเจิ้งต้าเฟิงไปครั้งหนึ่งก็ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ได้สำเร็จ กลายเป็นเทพเซียนก่อกำเนิด แต่วันนี้ก่อนหน้าที่ฝูฉีจะเดินขึ้นแท่น ผู้ฝึกตนเฒ่ากลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะไม่เข้าร่วมเรื่องเละเทะครั้งนี้อีก คราวก่อนยอมแหกกฎของตัวเองออกจากกระท่อมริมทะเลไปขัดขวางเจิ้งต้าเฟิงที่ตระกูลฝูถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้ถวายงานตระกูลฝูอย่างเต็มที่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ฝูฉีไม่มีความเห็นต่าง เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าวันหน้าฉู่เหล่าแค่ยิ้มมองคลื่นโถมตัวขึ้นลงบนทะเลผืนนี้ก็พอ จะไม่มีความวุ่นวายในโลกมนุษย์มารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของฉู่เหล่าอีกแล้ว

ฝูตงไห่สีหน้าไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจ

เดิมทีเขาคิดว่าในช่วงเวลาที่ฝูหนันหัวลำพองใจมากที่สุด ตนวางแผนเล่นงานเจิ้งต้าเฟิงคือการสร้างคุณความชอบที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กให้แก่ตระกูลฝู สามารถข่มกำราบพลังอำนาจของฝูหนันหัวน้องชายลงได้บ้าง

ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องจะลุกลามมาถึงขั้นนี้ หลังจากที่เขาถูกเจิ้งต้าเฟิงทำร้ายให้บาดเจ็บหนักอยู่หน้าจวน ฝูฉีบิดาผู้เป็นเจ้านครถึงขั้นไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งไม่ลงโทษและไม่มีคำปลอบใจ ราวกับเห็นบุตรชายคนโตอย่างเขาเป็นคนตายไปแล้ว นี่ต่างหากที่ทำให้ฝูตงไห่คลุ้มคลั่งมากที่สุด ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลฝู อีกทั้งยังสวมตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจธุระในตระกูลหรือสถานการณ์ต่างๆ ในนครมังกรเฒ่า ฝูฉีล้วนเป็นคนที่ ‘พูดง่ายมาก’ มาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่นเขาไม่เคยข่มเหงหรือรังแกเพื่อห้ามปรามไม่ให้แซ่ใหญ่แซ่อื่นเจริญรุ่งเรือง สำหรับพวกเศษสวะที่ไม่อาจฝึกตนในตระกูลก็ยิ่งปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี แต่ในช่วงเวลาที่ฝูฉีพูดไม่ง่ายนั้น แม้แต่ผู้สืบทอดสายตรงอย่างฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา เห็นแล้วก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองแผ่นหลังสูงใหญ่ที่กำลังเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละก้าวนั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย

นางยังจำภาพเหตุการณ์ตอนนั้นที่บิดาพานางไปหาเจิ้งต้าเฟิงได้ดี ทั้งสองฝ่ายไม่ถือว่าพูดคุยกันถูกคอ แต่ก็ไม่ถึงขั้นแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงแค่ปณิธานแตกต่างไม่อาจร่วมทางก็เท่านั้น และนับแต่วันนั้นมาทั้งสองฝ่ายก็เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

ทว่าการกระทำเล็กๆ ของฝูตงไห่ในครั้งนี้กลับก่อให้เกิดคลื่นลมมรสุมใหญ่ถึงเพียงนี้ ในฐานะคนนอกสถานการณ์ครึ่งตัว ฝูชุนฮวากลับมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าฝูตงไห่ที่กระวนกระวายไม่เป็นสุข อันที่จริงฝูฉีผู้เป็นบิดาไม่ได้โกรธที่ครั้งนี้ฝูตงไห่ทำตัวอวดฉลาด กลับยังคล้ายจะดีใจอยู่เนืองๆ ด้วยซ้ำ เหมือนคนโง่เขลาคนหนึ่งที่ไม่เคยฝากความหวังไว้ให้ วันหนึ่งกลับจับผลัดจับผลูช่วยคนฉลาดที่รอคอยอย่างยากลำบากมานาน แต่กลับไม่อาจเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ให้ทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งได้สำเร็จ

ฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีที่ถูกคนเรียกขานว่า ‘เจ้านครน้อย’ มาโดยตลอดรู้สึกเบื่อหน่ายที่สุด

เจิ้งต้าเฟิงย่อมต้องตายอยู่บนแท่นมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงคนนั้น ได้แต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกันอย่างยิ่งใหญ่ก็จริง แต่หลังจากเข้าห้องหอกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ฝูหนันหัวรู้สึกว่าสามารถรับได้ เพียงแต่ว่าหน้าตาของนางอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผู้คน ไม่ได้อ้วนฉุอัปลักษณ์อย่างที่เล่าลือกันภายนอก ต่อให้เปรียบเทียบกับจินซู่แห่งเกาะกุ้ยฮวาที่เขาเคยชอบในอดีตก็มีแต่จะเหนือกว่า ไม่มีด้อยกว่า แต่ฝูหนันหัวกลับไม่ได้สัมผัสความงามของนางเลยสักนิดเดียว เพราะว่าตอนนั้นที่คู่แต่งงานใหม่ซึ่งในนามถือว่าเป็นคู่สร้างคู่สมเข้าห้องหอกัน นอกจากบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงที่ถอดชุดแต่งงานเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงอย่างในเวลาปกติแล้ว ด้านหลังยังมีหมัวมัวผู้อบรมยืนอยู่อีกคน

ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดมากประสบการณ์ท่านหนึ่งที่สกุลเจียงเลี้ยงเอาไว้

ฝูหนันหัวหรือจะกล้าทำอะไร แค่มองบุตรสาวสกุลเจียงหรือภรรยาของตัวเองนานหน่อยก็ถูกหมัวมัวผู้อบรมท่านนั้นตวัดสายตาคมกริบมองมา มีเรื่องด้วยไม่ได้แล้วยังจะหลบเลี่ยงไม่ได้อีกหรือ ดังนั้นหลังจากนั้นมาฝูหนันหัวก็ไม่หาเรื่องน่าเบื่อใส่ตัวอีก นอกจากบางสถานการณ์ที่ต้องรักษาหน้าตาแล้วก็มีน้อยครั้งที่เขาจะหาเรื่องไปอยู่กับนางและหมัวมัวเฒ่าให้ตัวเองอึดอัดใจ ส่วนสตรีผู้นั้นก็เป็นคนรักษาคำพูด ต่อให้เป็นเงินที่ฝูหนันหัวออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อน นางก็เป็นคนออกให้

ฝูหนันหัวรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานใหม่เช่นนี้ดีมากแล้ว คนเราต้องรู้จักพอ

เดิมทีเขาก็แค่แต่งกับสถานะของบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงเท่านั้น สำหรับสตรีที่หน้าตางดงามเช่นนาง อยู่ในนครมังกรเฒ่าขอแค่ยอมทุ่มเงินก็หาได้หลายคน

ตระกูลติงยืนอยู่ตรงกลาง ตระกูลฟางและตระกูลโหวยืนขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวา

เพียงแต่ว่าวันนี้ตู้เหยี่ยน ‘ลูกเขย’ ของตระกูลติงที่มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่จากสำนักใบถงกลับไม่ได้เผยโฉม

ไม่มาก็ดีเหมือนกัน บุคคลจากสามสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันนี้จะได้พูดคุยกันผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องคอยคาดเดาจิตใจของผู้สืบทอดสายตรงสำนักใบถงผู้นั้นตลอดเวลา กลัวว่าหากไม่ทันระวังพูดผิดไป หายนะจะมาเยือน

ถึงอย่างไรสำนักใหญ่ตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปใหญ่ก็มีรากฐานลึกล้ำ ต่อให้ตระกูลใหญ่ทั้งหมดของนครมังกรเฒ่าซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐีในแจกันสมบัติทวีปมารวมตัวกันก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมา ‘ลูกหลานตระกูลพ่อค้า’ ที่ถูกเยาะหยันว่าเป็นพวกฉวยโอกาสแสวงหากำไรอย่างพวกเขาก็เป็นดั่งเม็ดทรายกระจัดกระจายที่ไม่อาจรวมตัวกันได้อยู่แล้ว

เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในเก้าทวีปอยู่แล้ว แต่สำนักใบถงกลับเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของใบถงทวีปซึ่งอยู่ทางทิศใต้

แขนใหญ่สู้ต้นขาไม่ได้ (เปรียบเปรยว่าอ่อนแอสู้แข็งแกร่งไม่ได้) ตระกูลฟางและตระกูลโหวต่างก็แอบดีใจ ถึงอย่างไรตู้เหยี่ยนที่สถานะสูงศักดิ์ยอมปกป้องตระกูลติงก็เพียงแค่เพื่อสตรีแซ่ติงคนหนึ่ง ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เต็มไปด้วยตำนานอันน่าสนใจที่อยู่เบื้องหลังเขาผู้นั้นที่เกิดความสนใจในนครมังกรเฒ่า

ตอนนี้ตระกูลติงตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถมากที่สุด ถูกเจิ้งต้าเฟิงคนเดียวเล่นงานจนจวนเกือบจะทะลุพังถล่ม

แต่วันนี้ลูกหลานตระกูลฟางที่เป็นตัวการของเรื่องร้ายกลับโอหังลำพองใจอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่กับคนของตระกูลโหวซึ่งเป็นสหายที่นิสัยชั่วร้ายพอๆ กับเขา

เขาจะไม่อารมณ์ดีได้อย่างไร เจ้าคนบ้าแซ่เจิ้งผู้นั้นใกล้จะถูกซ้อมตายอยู่บนแท่นมังกรแล้ว เขายังเตรียมเงินก้อนใหญ่ไว้แล้วด้วย ขอแค่กลับไปถึงเมืองก็จะจัดงานเลี้ยงใหญ่ทันที สตรีคนใดก็ตามที่เคยเป็นลูกจ้างในร้านยาฮุยเฉินมาก่อน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ก็จะต้องถูกโยนเข้าไปในซ่องชั้นต่ำที่สุดของนครมังกรเฒ่าเพื่อเป็นหญิงคณิกา เจ้าเจิ้งต้าเฟิงทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ก็เพียงแค่เพื่อนางแพศยาในโคลนตมคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้เสียใจภายหลังแล้วหรือไม่?

ตระกูลซุนกับตระกูลฟ่านอยู่ห่างจากคนสองกลุ่มจากตระกูลฝูและตระกูลติงฟางโหวไปไกลมาก

อีกทั้งคนของทั้งสองตระกูลที่มาร่วมความครึกครื้นครั้งนี้ก็มีน้อยมาก

ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลซุนไม่ได้ปรากฏตัว ตระกูลฟ่านก็มีแค่ผู้เฒ่าที่ดูแลควันธูปในศาลบรรพชนคนเดียวที่มา คนอื่นๆ ล้วนเป็นลูกหลานสายรองที่ความสามารถพอจะโดดเด่นอยู่บ้าง

เมื่อรถม้าสามคันขับเคลื่อนเข้ามาในม่านสายตา

กลุ่มของสกุลใหญ่ที่ต่างก็มีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่ได้ส่งเสียงดังเอะอะใดๆ ไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลฟางที่มั่นใจว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอยู่บนแท่นมังกรก็ยังกลั้นหายใจทำสมาธิ หุบรอยยิ้มลง

ไม่ว่าจะนิสัยดีหรือชั่วร้าย

วันนี้คนที่สามารถยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลได้ไม่มากก็น้อย ไม่มีใครที่เป็นคนโง่จริงๆ

ก็เหมือนกับการชมศึกครั้งนี้ เหตุใดทุกตระกูลถึงไม่ได้ให้เซียนดินเรียกสมบัติอาคมออกมาใช้ ไม่ยืนอยู่ในศาลา หอเก๋ง เรือข้ามฟากขนาดเล็ก ไม่บินทะยานไปกลางอากาศ ให้ทุกคนได้มองเห็นสนามรบอย่างชัดเจนและสบาย? แต่ยอมยืนอยู่ด้านล่างหอมังกรแต่โดยดี เพียงแค่ใช้เวทคาถาบนภูเขาที่คล้ายคลึงกับ ‘บุปผาในกระจกจันทราในธารา’ มาชมศึกแทนเท่านั้น?

ถึงขั้นไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นนี้

นี่ก็คือพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่ตระกูลฝูสะสมมานานเป็นพันปี และยังเป็นความฉลาดเฉลียวที่คนของตระกูลใหญ่และตระกูลพ่อค้าในนครมังกรเฒ่าสมควรมี

รถม้าสามคันจอดลงช้าๆ อยู่ใกล้กับแท่นมังกร

สายตาของคนในตระกูลฝูคลุมเครือ แน่นอนว่าไม่มีใครกระโดดออกมาพูดจาท้าทายใส่กลุ่มของเจิ้งต้าเฟิง เพราะอาจจะตายได้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลฝูขายหน้า หากเป็นอย่างนั้นแม้แต่คนตระกูลฝูเองก็ยังรู้สึกว่าคนผู้นั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย อย่าได้อยู่ให้สิ้นเปลืองเงินทองของตระกูลอีกเลย

เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นไปบนแท่นสูงเพียงลำพัง

ไม่ได้มีคำบอกลาใดๆ กับพวกเฉินผิงอัน แค่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังที่สูงเท่านั้น

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่นานก็ดึงสายตากลับมา เพียงแค่เงยหน้ามองไปตามขั้นบันไดเท่านั้น

ฝูหนันหัวที่อยู่ห่างไปไกลจ้องมองเจ้าหมอนี่ด้วยความประหลาดใจอย่างหนัก เด็กหนุ่มผอมดำแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้นโชคดีไม่น้อยเลยจริงๆ หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็มีพื้นฐานเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่อ้อมผ่านเขาฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่าไป กลับกันยังบุกเข้ามาก่อกวนสถานการณ์ อีกทั้งคราวก่อนในกลุ่มคนที่เดินทางมาอวยพร ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองทีเดิมทีควรตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู พอกลับไปถึงภูเขาเมฆาเรือง ตบะของนางไม่เพียงไม่ถอยกลับยังรุดหน้า อีกทั้งวันนั้นหลังจากที่นางพบตน ท่าทางของไช่จินเจี่ยนก็มีค่าพอจะให้คนขบคิด

หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงเดินเข้าไปยังจุดที่สูงที่สุดของแท่นมังกรแล้ว

เส้นสายตาของเฉินผิงอันจึงมองเลยไปยังจุดที่สูงยิ่งกว่า ตรงนั้นคือทะเลเมฆผืนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อตัวอยู่ในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า เงยหน้ามองไปกลับมองไม่เห็น มีเพียงนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก หลุบตามองลงมาจากที่สูงเท่านั้นถึงจะเห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงามนี้

ตามคำบอกของเจิ้งต้าเฟิง ทะเลเมฆผืนนี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานที่ทำให้ตระกูลฝูหยัดยืนอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานนับพันปีได้อย่างแท้จริง

มีประวัติศาสตร์ยาวนานจนสามารถย้อนทวนไปถึงช่วงเวลาที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกขึ้นฝั่งที่แจกันสมบัติทวีปได้เลย

หลังจากนั้นมาถึงได้มีเส้นทางมังกรเดินใต้ดินสายนั้น มีการเข่นฆ่านองเลือดที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูตายกันเป็นใบไม้ร่วง มีซุ้มประตูก้ามปูและเมืองเล็กแห่งนั้น มีบ่อน้ำ มีค่ำคืนที่หิมะใหญ่ตกกระหน่ำ มีเด็กสาวที่เกือบจะแข็งตายมาล้มลงหน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันในตรอกหนีผิง มีเหตุการณ์ที่เฉินผิงอันช่วยนางไว้โดยบังเอิญ แต่นางกลับไปอยู่บ้านข้างๆ ไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน

นักพรตเฒ่าตงไห่พาเฉินผิงอันเดินท่องไปในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่รู้กี่ปี ไม่รู้ว่าเป็นระยะทางกี่หมื่นลี้ ระหว่างนั้นผู้เฒ่าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เรื่องราวบนโลก ล้วนมีเส้นสายที่สามารถมองเห็น ทุกความคิดของคนบนโลก ล้วนมีแนวทางให้สืบเสาะ’

เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เฉินผิงอันยังไม่อาจศึกษาใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง

เหนือศีรษะของทุกคน บนทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์มีสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวคนหนึ่งนอนอยู่ นางเหม่อมองม่านฟ้าเบื้องบนที่ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ของใต้หล้าเอาไว้ หากสามารถมองไปได้ไกลกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี

เพียงแต่ว่ามองเห็นแล้วอย่างไร ราชวงศ์บนโลกมนุษย์ แคว้นล่มสลาย แต่แม่น้ำและภูเขายังคงอยู่ ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ใบหญ้าก็ยังคงแผ่ปกคลุมเมือง นาง ซุนเจียซู่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สตรีคนนั้นที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งริมลำคลองหลงซวี และน่าจะมีคนอีกบางส่วน แต่พวกเขาล้วนทำไม่ได้

ส่วนนังหนูผู้นั้นที่ก่อนหน้านี้เดินขึ้นมาบนแท่นมังกร หวังจะช่วงชิงทะเลเมฆ น่าจะเป็นเพราะต้องการซ่อมแซมชุดคลุมมังกรที่ตระกูลฝูสร้างขึ้นชิ้นนั้นให้สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นก็มีหวังว่าจะขยับชุดคลุมมังกรเฒ่าที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ

นี่เป็นเรื่องที่ฟ่านจวิ้นเม่าสนใจอย่างยิ่ง

การช่วงชิงบนมหามรรคามีอันตรายรายล้อมรอบด้านยิ่งกว่าการเดิมพันด้วยชีวิต

เหมือนกับนาง ตายไปหนึ่งครั้ง ไม่นับเป็นอะไรได้

ขอแค่ควันธูปบนมหามรรคายังไม่ขาดสาย ย่อมสามารถหวนกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง

ดังนั้นผู้เฒ่าในร้านตระกูลหยางจึงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจตาย ขอแค่ผู้เฒ่ายังสามารถพ่นควันโขมงอยู่ที่นั่นได้ นางที่ชีวิตนี้อาศัยเรือนกายของฟ่านจวิ้นเม่า หลี่หลิ่วบุตรสาวของหลี่เอ้อร์ คนทุกคนที่ผู้เฒ่าเลือกไว้ แม้ตัวตาย แต่มรรคาก็ไม่ต้องดับสลาย

ดังนั้นหากพูดถึงใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากผู้เฒ่าแล้ว ฟ่านจวิ้นเม่ายังจะกลัวใครอีกเล่า

คำตอบคือไม่มี

ต่อให้เป็นบรรพจารย์สามลัทธิที่เดินไปถึงปลายทางบนมรรคาแล้ว หากพวกเขาทั้งสามคนมาเยือนนครมังกรเฒ่า ใช้วิชาอภินิหารที่สูงส่งยิ่งกว่าของผู้เฒ่า เพียงแค่ดีดนิ้วนางก็สามารถแหลกสลายกลายเป็นผุยผงได้ตามความหมายที่แท้จริง ถึงอย่างนั้นนางก็คงแค่เคียดแค้นอยู่ในใจ แต่ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง

ในข้อนี้ ฟ่านจวิ้นเม่ากับจื้อกุยที่เดินขึ้นบนหอสูง มหามรรคาแตกต่าง แต่จิตใจกลับเชื่อมโยงถึงกัน

นางพลันลุกขึ้นยืน มองฝูฉีที่อยู่บนแท่นมังกรด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ

เจิ้งต้าเฟิงเดินไปถึงยอดบนสุดแล้ว

ฝูฉีตั้งมั่นพร้อมต่อสู้

วันนี้ฝูฉีไม่ได้ยืมอาวุธกึ่งเซียนที่บรรพาจารย์ก่อกำเนิดเป็นผู้ครอบครองมาใช้ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยิบเอาอาวุธกึ่งเซียนที่พิทักษ์ศาลบรรพชนตระกูลฝูออกมา

ตอนนี้ฝูฉีไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะได้แล้ว

ดังนั้นวันนี้ฝูฉีจึงพกมาแค่อาวุธกึ่งเซียนที่เพิ่งซื้อมาจากทวีปอื่น กระบี่บินไร้เจ้าของที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทิ้งไว้หลังตายไป

ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกถึงความผิดปกติ ผิดปกติอย่างมาก

นางตบทะเลเมฆหนึ่งที นอกจากทะเลเมฆจะลอยอ้อมผ่านแท่นมังกรแห่งนั้นแล้วยังพลันลดตัวลงต่ำ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่า เวลาเดียวกันนั้นฟ่านจวิ้นเม่าก็กัดปลายนิ้ว ใช้เลือดวาดยันต์ลงบนมือ คือยันต์โบราณแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว วิชาเทพมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือที่พวกผู้ฝึกลมปราณใช้กันตอนนี้ก็เป็นแค่ของเลียนแบบที่ปรับปรุงใหม่จากยันต์แผ่นนี้เท่านั้น หลังจากวาดยันต์เสร็จฟ่านจวิ้นเม่าที่หน้าซีดขาวเล็กน้อยก็อาศัยช่วงเวลาที่ทะเลเมฆแผ่อบอวลไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่าตบฝ่ามือสองข้างเข้าหากัน จากนั้นก็พลันกางแขนออก ระหว่างสองแขนที่กางอ้าคือภาพต่างๆ ที่พุ่งวูบผ่านไป ฟ่านจวิ้นเม่ามองภาพที่อยู่เบื้องหน้าประหนึ่งมองโคมม้าวิ่ง

ศาลบรรพชนตระกูลฝู บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ร้านยาฮุยเฉิน แต่ละสถานที่พากันพุ่งผ่านไป

เมื่อภาพสุดท้ายหยุดลงบนร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงของเมืองชั้นนอก ภาพภูเขาและแม่น้ำย่อส่วนขนาดเล็กจิ๋วนี้ก็ระเบิดแตกดังปัง

ตรงฝ่ามือที่ฟ่านจวิ้นเม่าวาดยันต์ เนื้อหนังปริแตก นางฝืนกลืนแก่นเลือดจากหัวใจที่ตีตื้นขึ้นมาบนลำคอกลับลงไป เพียงแค่ชั่วครู่เดียวนี้ก็สูญเสียตบะหลายสิบปีของเซียนดินก่อกำเนิดทั่วไป สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามืดทะมึน ไม่ยี่หระการเผาผลาญตบะเล็กน้อยนี้เลย เจ้าตัวดีนั่นคือมังกรข้ามแม่น้ำที่อย่างน้อยก็มีขอบเขตเป็นขั้นสิบสองเซียนเหริน!

หรือว่าเป็นตาเฒ่าวิปริตจากสำนักใบถงผู้นั้น?

นับตั้งแต่ที่สติปัญญาเปิดออก ฟ่านจวิ้นเม่าที่เดิมทีจิตใจกว้างใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าดิน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

เจิ้งต้าเฟิงตายอยู่บนแท่นมังกร นางรู้สึกว่าเป็นเพราะฝีมือเขาสู้คนอื่นไม่ได้ ตายแล้วก็จบเรื่องกันไป จะโทษใครไม่ได้

แต่หากเขามีชีวิตเดินลงไปจากแท่นมังกร แต่อยู่ดีๆ กลับต้องตายเฉียบพลันด้วยน้ำมือของ ‘คนนอก’ คนหนึ่ง ในใจนางไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง!

นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ นับแต่โบราณกาลมาก็คือถิ่นของนาง!

แต่เพื่อเจิ้งต้าเฟิงที่ไม่ชอบขี้หน้าคนหนึ่ง มีค่าพอให้นางสละ ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ในชาตินี้ทิ้งหรือ?

นางทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย อันที่จริงไม่มีผลได้ มีแต่ผลเสียอย่างเดียว ดังนั้นนางจึงหลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องคอยดูเรื่องน่าหัวเราะเยาะของเขาเจิ้งต้าเฟิงแล้ว เพราะมันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว

ตลอดแท่นมังกรเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด

นี่ชักนำให้ลูกคลื่นของทะเลบูรพา ทะเลทักษิณของแจกันสมบัติทวีปโถมตัวตีกระทบฝั่ง แต่เมื่อเหล่าเซียนดินต่างพากันร่ายวิชาอภินิหาร พวกมันก็ถูกสยบแล้วถอยกลับไป บนผิวน้ำทะเลที่ห่างจากท่าเรือเกาะโดดเดี่ยวแห่งนั้นไปไม่ไกล มีนักพรตน้อยคนหนึ่งยืนเหยียบอยู่บนน้ำเต้าสีทองลูกใหญ่ยักษ์ที่ลอยเท้งเต้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ร่มอู๋ถงช่วยบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ ดังนั้นจึงทั้งสามารถคุ้มครองชีวิต แล้วก็ทั้งอำพรางไม่ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเฉินผิงอันอนุมานและมาใช้ความช่วยเหลือได้ด้วย

โชคดีและหายนะไร้ประตู มีเพียงคนที่ไปเรียกหามันมาเอง

ครั้งนี้เจ้าเฉินผิงอันอนาถแน่แล้ว ดันไปมีเรื่องกับคนคนเดียวในสำนักใบถงที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย ไม่อย่างนั้นสำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง หรือแม้แต่สำนักใบถงที่นอกจากคนผู้นี้แล้ว ย่อมไม่เห็นเจ้าเฉินผิงอันเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องกำจัดทิ้ง การช่วงชิงบนขอบเขตเดียวกัน เจ้าเฉินผิงอันพอจะมีความสามารถอยู่บ้างจึงไม่ต้องหวาดกลัวใครก็จริง หรือแม้แต่โอสถทองก่อกำเนิดที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของคนบนโลก เจ้าก็ยังมีความสามารถให้ต่อสู้ด้วยได้ ขยับขึ้นไปอีกนิด ขอบเขตหยกดิบห้าขอบเขตบนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจรังแกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อายุน้อยอย่างเจ้า ขยับสูงขึ้นอีกหน่อย ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะมองเส้นสนกลในบางอย่างของเจ้าออก จึงอาจจะไม่เต็มใจแตกหักกับเจ้า

น่าเสียดายก็แต่

คราวนี้คนที่ลงมาจากภูเขาของสำนักใบถง

เป็นคนที่ไม่แยแสเรื่องพวกนี้มากที่สุด

และที่ไม่บังเอิญเลยก็คือ ผู้เฒ่าวิปริตที่ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้กลับเป็นบุคคลอันดับที่สองบนภูเขาของใบถงทวีป

ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็ยังมีอารามกวานเต๋าของเขาอยู่นี่นะ

ดังนั้นไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะคิดคำนวณมาดีแค่ไหน ยินดีสละทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไม่เสียดาย วางแผนอย่างยากลำบากเพื่อปกป้องเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ต่างจากใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมาตายอยู่ที่นี่

แบบนี้ก็ไม่เลว ช่วยเก็บศพให้เจ้าเอากลับไปที่อารามก็แล้วกัน จงยอมเป็นสารบำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลดอกบัวแต่โดยดีเถอะ

เรือนกายของนักพรตน้อยที่เหยียบอยู่บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองใบใหญ่ยักษ์โยกไปโยกมา กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ละครดีได้เวลาแสดงแล้ว แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ต้องเจอกับเรื่องลำบากแล้ว”

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น

แท่นมังกรก็สงบลงอย่างสิ้นเชิง

และผลลัพธ์สุดท้ายก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน

คนที่เดินลงมาจากแท่นมังกรกลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ประเด็นสำคัญคือบนร่างของเขายังสะอาดเอี่ยม ไม่มีแววว่าบาดเจ็บหนักใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย

จิตใจของฝูตงไห่และฝูหนันหัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เห็น

หรือว่าฝูฉีผู้เป็นบิดาตายไปแล้ว?

แต่นี่ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด!

คนทั้งสองหันมาสบตากันอย่างจิตใจตรงกัน

ฝูหนันหัวสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำพูดที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจแล้ว ฝูหนันหัวก็หมุนฝ่ามือเล็กน้อย ทำท่าเล็กๆ ที่ไม่ง่ายต่อการสังเกตเห็น

ทางฝั่งของตระกูลติง มีผู้รับใช้เฒ่าคนหนึ่งก้าวเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กระซิบเบาๆ ข้างหูของเจ้าประมุขตระกูลติง เพียงไม่นานฝ่ายหลังก็หันไปกระซิบกระซาบกับคนของตระกูลฟางและโหว สีหน้าของสองคนแตกต่างกันไป ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพยักหน้ารับ

การกระทำเล็กๆ นี้ของฝูหนันหัวประหนึ่งหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงบนทะเลสาบ ชักนำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก

หลังจากเดินลงมาจากแท่นมังกรแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่พูดไม่จา เฉินผิงอันเข้าไปนั่งในรถม้าคันเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง

ชั่วพริบตานั้นสีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงเหมือนกระดาษสีทอง พูดเสียงแหบว่า “ฝูฉีต่อสู้ได้ครึ่งทางก็ยอมแพ้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะรักษาหน้าตาไว้แม้แต่น้อย ในเมื่อฝูฉีไม่เต็มใจจะต่อสู้กับข้าจนถึงที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้ฝ่าคอขวดขอบเขตเก้าเลื่อนไปสู่ขอบเขตสิบ แล้วก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนในตระกูลมาสู้กับข้า เพียงแค่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับข้าเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางกลับไปร้านยาในเมืองคราวนี้จะต้องอันตรายมากแน่ๆ เฉินผิงอัน เจ้าลองคิดให้ดีเป็นครั้งสุดท้าย! จะลงรถครึ่งทาง หรือจะตามข้ากลับไปร้านยา?!”

เฉินผิงอันตอบเสียงเรียบ “ฝูฉีไม่ต้องการหน้าตา แต่ข้าต้องการ”

เจิ้งต้าเฟิงเอียงศีรษะ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดที่ไหลออกจากรูหู พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดแบบนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? หากเจ้าต้องการหน้าตา เพียงแค่เงินไม่กี่อีแปะ เช้าตรู่ของทุกวันเจ้าจะต้องไปนั่งอยู่ที่ตอไม้นั่น พอได้จดหมายไปแล้วก็คอยวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในเมืองเล็กทำไม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เงินนั่นข้าหามาได้ด้วยความสุจริต”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มขื่น “ทำไม ต้องให้ข้าขอร้องเจ้า เจ้าถึงจะยอมจากไปอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์”

เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงไปด้านหลัง “เจ้าแม่งต้องการอะไรกันแน่?”

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “คราวก่อนที่ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในนครมังกรเฒ่า ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เพียงแต่ว่าเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ครั้งนี้ข้าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว พอกลับออกมา แล้วมาถึงนครมังกรเฒ่า ไม่รู้ว่าเหตุใดลางสังหรณ์ถึงบอกกับข้าว่า ในบ่อของหัวใจข้ามีเจียวร้ายตัวหนึ่งกำลังชูคอขึ้นมา หากข้าเลือกจะจากไป มันอาจจะหลุดพ้นจากพันธนาการ หลุดออกจากน้ำมาได้อย่างสิ้นเชิง นี่อาจเป็นหายนะที่ข้าต้องเผชิญเมื่อละเมิดวิถีสวรรค์คิดสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ คาดว่าในขณะที่ข้าข้ามผ่านสะพานหินโค้งแห่งนั้นแล้วรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากฟ้าดินแห่งนี้แล้ว แท้จริงกลับเป็นความเข้าใจผิด นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร อีกทั้งยังถูกใต้หล้าไพศาลหมายหัวไว้แล้ว วันนี้หนีได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องหนีไปอีกตลอดชีวิต”

เรื่องนี้ เจิ้งต้าเฟิงเชื่อ

แต่ลึกๆ ในใจเขาก็รู้ดีว่า อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘ข้ออ้าง’ ของเฉินผิงอัน แม้ว่าทุกคำที่พูดออกมาจะเป็นความจริงก็ตาม

เจิ้งต้าเฟิงโวยวายเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่ามาตายอยู่ที่นี่เพราะข้าผู้อาวุโส เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นไม่ได้รึไง อย่าให้ข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องรู้สึกขาดทุนได้ไหม เจ้าไปหาหลี่เอ้อร์ที่เจ้าชื่นชอบ หรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนรักของเจ้าโน่น…”

เฉินผิงอันชี้ไปที่ดวงตาของเจิ้งต้าเฟิง “เลือดไหลออกมาจากตาแล้ว เช็ดให้ดี เดิมทีหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลา ผู้หญิงคนไหนชอบเจ้า สายตาคงไม่ดีจริงๆ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ เห็นสภาพเจ้าตอนนี้คาดว่าคงชอบไม่ลงแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงสบถด่ายิ้มๆ ยื่นเท้ามาเตะเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมาปัดเท้าของเขาออก

รถม้าสามคันขับเคลื่อนไปยังนครมังกรเฒ่า

สารถีสามคนล้วนเป็นนักรบเดนตายของตระกูลฟ่าน ทุกคนมีสีหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน

หลังจากขับออกมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ บนเส้นทางก็มีผู้ถวายงานสองคนของตระกูลฟางปรากฏตัว ซึ่งเหลือเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดและผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น

เจิ้งต้าเฟิงคิดจะลงจากรถ แต่กลับถูกเฉินผิงอันห้ามเอาไว้

สุยโย่วเปียนเดินลงจากรถม้ามาก่อน หลูป๋ายเซี่ยงตามติดมาด้านหลัง เพียงแต่ว่าปล่อยให้สุยโย่วเปียนรับมือกับสองคนนั้นเพียงลำพังก่อน ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงเดินตามรถม้าทั้งสองคันไปช้าๆ สามารถรับช่วงต่อจากสุยโย่วเปียนได้ทุกเมื่อ

รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ที่เดิม

หลังจากนั้นก็มีผู้ถวายงานของตระกูลโหวมาปรากฏตัว

จูเหลี่ยนกระโดดลงจากรถม้า

แล้วรถม้าอีกคันหนึ่งของตระกูลฟ่านก็หยุดลง

เว่ยเซี่ยนเดินเท้าติดตามรถม้าคันสุดท้ายที่เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงนั่งโดยสารมา

หลังจากนั้นก็เป็นข้ารับใช้ตระกูลติง

เว่ยเซี่ยนสวมชุดคลุมมังกร ด้านนอกสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน เขาหยุดเดิน แต่รถม้ายังขับเคลื่อนหน้าต่อไป

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้ากล่าว “เป็นความคิดของตระกูลฝู ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่พวกเราคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าเลย ศึกบนแท่นมังกรดีกว่าที่คิดไว้ แต่พอเดินลงมาจากแท่นมังกร กลับแย่กว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดไว้เสียอีก ตระกูลฝูถึงขั้นไม่เห็นแก่หน้าตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ทางฝั่งตะวันออกนอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านชำเลืองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง “นี่หมายความว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่เบื้องหลังซึ่งข้าพูดถึงตอนนั้นได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว อีกทั้งไม่น่าจะใช่ขอบเขตหยกดิบ ต่อให้เป็นขอบเขตสิบเอ็ดก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ถึงทำให้สกุลเจียงอวิ๋นหลินยอมอดทนข่มกลั้น แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างแท้จริงก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ที่รอพวกเราสองคนอยู่นี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงแต่งมายังนครมังกรเฒ่าตั้งแต่แรกแล้ว สังหารเจ้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นเพียงแค่การถือโอกาสทำไปพร้อมกัน เป็นแค่รางวัลเล็กๆ จากการค้าครั้งใหญ่เท่านั้น ส่วนตระกูลฟ่าน ไม่แน่ว่าอาจถูกผลักไสออกไปแล้ว ต้องเผชิญกับการคิดบัญชีรอบหนึ่ง ไม่ว่าฟ่านจวิ้นเม่าจะลงมือหรือไม่ ตระกูลฟ่านก็ต้องเจอกับหายนะดับตระกูลแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงพูดเยาะหยันตัวเอง “หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอย่างไร้ที่ฝังแล้วน่ะสิ แค่ต้องดูว่าผู้ฝึกตนใหญ่ที่เฝ้าตอรอกระต่ายผู้นั้นจะให้โอกาสข้าได้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบหรือไม่”

รถม้าหยุดลงอย่างเชื่องช้า

เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านขึ้น เงยหน้ามองไปยังจุดสูงของกำแพงเมือง พูดเบาๆ ว่า “ค่อนข้างยากแล้วล่ะ”

เจิ้งต้าเฟิงกับเฉินผิงอันยืนเคียงไหล่กันอยู่บนถนนสายใหญ่ บนหัวกำแพงเมืองมีคนยืนอยู่สามคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าที่หน้าตาธรรมดาไร้ซึ่งความโดดเด่นใดๆ ตู้เหยี่ยนผู้สืบทอดสายตรงของสำนักใบถงและติงซื่อภรรยาของเขา

ตู้เหยี่ยนผู้มีหน้าตาหล่อเหลาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ท่านบรรพจารย์ ท่านผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการรังแกคนอื่นเกินไปหน่อยหรือไม่?”

ผู้เฒ่ายิ้มบาง “ไม่อาศัยตบะและขอบเขตรังแกคนอื่น ถ้าอย่างนั้นจะฝึกตนอย่างยากลำบากมาเพื่ออะไร? อีกอย่างขอบเขตของข้าตอนนี้หล่นลงมาจากฟ้าเองได้งั้นหรือ? ก็ไม่ใช่เพราะผ่านการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า หวุดหวิดเจียนตายกว่าจะสั่งสมมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวหรือไง?”

ตู้เหยี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “บรรพจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”

ตู้เหยี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “คนผู้นั้นคือคนที่ชื่อเฉินผิงอันหรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ข้าเคยได้ยินชื่อคนหนุ่มผู้นี้มาก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเศษสวะคนนั้นขอยืมอาวุธสำคัญของสำนักไป แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับถูกผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งชิงลงมือสังหารปีศาจใหญ่สำนักฝูจีตนนั้นก่อน ปล่อยให้เจียงซ่างเจินได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ข้ารู้จักชื่อของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ร้ายกาจนักล่ะ ชื่อจั่วโย่ว เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเคยทำลายจิตแห่งกระบี่ของตัวอ่อนกระบี่ที่ดีในทวีปใหญ่ๆ ไปหลายคน ยกตัวอย่างเช่นเฉาจวิ้นแห่งนาตยทวีปผู้นั้น ยุคสมัยที่รุ่งเรืองเขาโดดเด่นจนไม่มีใครเทียบได้ ภายหลังซิ่วไฉเฒ่าขังตัวเองอยู่ในสถานศึกษากงเต๋อหลิน จั่วโย่วก็หายตัวไป เวทกระบี่ของเขาสูงส่งอย่างมาก ตอนนั้นที่จั่วโย่วอยู่บนทะเลถามถึงชื่อเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันต้องมีความเกี่ยวข้องกับสายของเหวินเซิ่งอย่างแน่นอน”

ตู้เหยี่ยนฟังแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

สามารถทำให้บรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงท่านนี้ชมเชยว่า ‘ร้ายกาจ’ และ ‘สูงส่งอย่างมาก’ ได้ นั่นต้องเป็นเซียนกระบี่ที่โดดเด่นถึงเพียงใด? ส่วนคำว่า ‘เหวินเซิ่ง’ ‘ซิ่วไฉเฒ่า’ ‘มีความเกี่ยวข้อง’ ก็ยิ่งทำให้ตู้เหยี่ยนรู้สึกว่าครั้งนี้เฉินผิงอันผู้นี้ปลอดภัยแน่นอน แต่เจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นย่อมยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้

คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงพาเรือข้ามฟากลำนั้นมาด้วยเล่า? ข้ากำลังรอจั่วโย่วผู้นั้นอยู่ ไม่กลัวว่าเขาจะมา กลัวแต่ว่าเขาจะปล่อยให้ข้านำวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นมาเสียเที่ยวต่างหาก”

ตู้เหยี่ยนอารมณ์ฮึกเหิม กุมมือประสานกล่าวว่า “ท่านบรรพจารย์ช่างปราดเปรื่อง ความองอาจห้าวหาญของท่านเป็นหนึ่งในใบถงทวีปของพวกเรา!”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดเหลวไหลพวกนี้อย่าพูดมากเลย มีความสามารถจริงก็เดินไปให้สูงถึงระดับเดียวกับข้าเสียก่อน แล้วค่อยให้ลูกหลาน ให้ลูกศิษย์รุ่นหลังในสำนักของพวกเจ้าเอ่ยคำประจบเยินยอแบบนี้ให้เจ้าฟัง”

ตู้เหยี่ยนกล่าวอย่างกระวนกระวาย “มิกล้าคาดหวัง”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็เป็นเศษสวะที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เพียงแต่โชคดีที่ใช้แซ่ตามข้า”

ตู้เหยี่ยนไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “โชคดีก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ”

ผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “คำกล่าวนี้ก็ไม่ผิด”

ผู้เฒ่าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว

พริบตานั้นผู้เฒ่าก็มาโผล่ตรงหน้าเจิ้งต้าเฟิง ห่างออกไปแค่สองสามก้าวเท่านั้น ใบหน้าแทบจะชนใบหน้าอยู่แล้ว แต่เพราะตัวไม่สูงพอ ผู้เฒ่าจึงต้องแหงนหน้ามองผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่บาดเจ็บไม่เบาผู้นี้เล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าคือคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจู ทำงานให้ตาเฒ่าประหลาดผู้นั้น ไม่รู้ว่าหากข้าฆ่าเจ้าตาย เขาจะกล้าออกจากกรงขังแห่งนั้นมาหาเรื่องข้าหรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน

แค่ปล่อยหมัดหนึ่งหมัดออกไปเท่านั้น

ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยืนเฉยรับหมัด เขาถอยกรูดออกไปด้านหลังหลายก้าว เพียงแต่ร่างทั้งร่างยังคงนิ่งตระหง่านดุจขุนเขา

หันกลับไปมองเจิ้งต้าเฟิง ตรงหน้าท้องของเขาถูกอาวุธลักษณะเหมือนเรือลำเล็กยาวสองช่วงแขนแทงทะลุไปแล้ว

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งออกมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากด้วยความเคยชิน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอะไร ไหนบอกว่าร่างกายของผู้ฝึกลมปราณบอบบางเหมือนกระดาษอย่างไรเล่า ข้าว่าก็ไม่ได้เหมือนกันทุกคนหรอก”

ผู้เฒ่าดีดนิ้วสลัดเลือดสดหยดนั้นทิ้ง จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าท้องของเจิ้งต้าเฟิง “นี่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ชีวิตนี้ข้ารำคาญพวกผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด พวกเขาชอบทำตัวโดดเด่นเกินไป โดยเฉพาะพวกเซียนกระบี่ที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร ข้าล่ะอยากจะควักลูกตาของพวกเขาออกมาแล้วยัดใส่ก้นพวกเขาซะ น่าเสียดายที่รอจนข้ามีความสามารถจนทำเรื่องพวกนี้ได้กลับต้องเคารพกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้อีก กรงขังใหญ่นี่นะ ไม่อาจออกไปจากภูเขาได้ง่ายๆ เจ้าว่ามันน่าเจ็บใจหรือไม่?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็เหลือบมองไปยังม่านฟ้าแวบหนึ่ง

เจิ้งต้าเฟิงเดินออกไปหนึ่งก้าว ปล่อยหมัดใส่ผู้เฒ่าอีกครั้ง

ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าเบี่ยงตัวหลบ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากดศีรษะของเจิ้งต้าเฟิง ผลักเขาให้ถอยไปด้านหลัง

เจิ้งต้าเฟิงกระเด็นไปร้อยจั้งกว่า ตรงหน้าท้องยังถูกปักตรึงไว้ด้วยเรือลำเล็กที่ลักษณะคล้ายกระบี่บิน นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด พยายามลุกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เรียกจั่วโย่วมาได้ไหม?”

ไม่รอฟังคำตอบจากคนหนุ่มก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

ชุดขาวลอยลิ่วออกไป เพียงแต่ว่าพลิกตัวกลับอยู่กลางอากาศอย่างปราดเปรียว ก่อนจะพลิ้วกายลงบนพื้น เท้าหน้าและหลังกระแทกลงบนพื้นหนักๆ ถึงจะหยุดการถอยร่นของเรือนกายเอาไว้ได้ ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างโบกปลิว

ผู้เฒ่าตกตะลึงเล็กน้อย “ดีกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย ถึงกับมีพรสวรรค์ ไม่ได้เป็นแค่เศษสวะ ไม่เลวๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้แซ่ตู้ ถ้าอย่างนั้นตายไปก็…ไม่น่าเสียดาย!”

ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งกดลงเบาๆ

มือใหญ่สีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขาแหวกทะเลเมฆเบื้องบนเหนือนครมังกรเฒ่ากดลงมาใส่ศีรษะของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกหมัดใส่บนท้องฟ้า

ในรัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน

ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันเดินขึ้นเนินมาช้าๆ มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าอีกครั้ง

ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านพลางพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “ดูท่าจั่วโย่วคงไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า แน่นอนว่าไม่มาแล้ว…”

ระหว่างที่เขาพูด เฉินผิงอันที่ชุดอาคลุมจินหลี่กลายเป็นสีทองซึ่งเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็คล้ายถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งปาดกระแทกเข้าที่เอว ร่างทั้งร่างลอยหวือไปกลางอากาศวาดเส้นโค้งหนึ่งเส้น ก่อนจะไปกระแทกลงบนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าที่อยู่ด้านหลังผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เป็นต้นกล้าที่ดีแล้วอย่างไร แม้แต่ห้าขอบเขตบนก็ยังไม่ใช่ ก็ยังเรียกว่าเศษสวะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ไม่แม้แต่จะชายตามองกำแพงเมืองด้านหลัง ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วดีดไปด้านหลังเบาๆ หนึ่งที

บนกำแพงเมืองจุดที่ร่างของเฉินผิงอันกระแทกลงไปปรากฏเป็นรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ พอผู้เฒ่าดีดนิ้ว เฉินผิงอันที่ร่างฝังอยู่กลางกำแพงเมืองก็พุ่งทะลุกำแพงเมืองออกไปตกอยู่นอกเมือง

ผู้เฒ่าเกาหัว รออยู่พักหนึ่ง ฟ้าดินยังคงเงียบสงัดดังเดิม

เจิ้งต้าเฟิงนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้น ผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถทดลองหักกระบอกยาสูบเก่าแก่อันนั้นได้ ข้าอยากรู้นักว่าตาแก่นั่นจะมาช่วยเหลือเจ้าด้วยตัวเองหรือว่าจะใช้ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ อันต่ำต้อยของเขา”

เจิ้งต้าเฟิงถ่มเลือดสดทิ้ง พูดอย่างยากลำบาก “ฆ่าข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเป็นตาแก่ของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้นที่มายืนอยู่ต่อหน้าข้า แล้วพูดประโยคนี้กับข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมพิจารณา”

ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว หันหน้ามองไป

คนหนุ่มผู้นั้นกลับฝืนพาตัวมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางหลุมโพรงขนาดใหญ่บนกำแพงเมืองได้ใหม่อีกครั้ง ในมือถือของอย่างหนึ่งลักษณะคล้ายเม็ดยา

หมัวมัวผู้อบรมมารยาทสีหน้ามืดทะมึน “คือโอสถปีศาจห้าขอบเขตบนเม็ดหนึ่ง หากเป็นของที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว ระเบิดแตกเมื่อไหร่ แถบตะวันออกทั้งแถบของนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็จะพังราบไปด้วย”

ฝูหนันหัวหัวเราะเบาๆ “คนผู้นี้ไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”

หมัวมัวผู้อบรมมารยาทมีสีหน้าปั้นยาก ชำเลืองตามองฝูหนันหัว ฝ่ายหลังจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คนแบบเขาก็โง่อย่างนี้แหละ”

ซุนเจียซู่ถอนหายใจหนึ่งที เฉินผิงอันไม่มีทางทำแบบนั้นจริงๆ

เขาเพิ่งจะเดินออกไปหนึ่งก้าวก็ถูกบุรพาจารย์ก่อกำเนิดยื่นมือมากดไหล่เอาไว้ “ห้ามออกหน้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผนการและสิ่งที่ตระกูลซุนทุ่มเทไปในครั้งนี้จะต้องเสียเปล่า”

ซุนเจียซู่ดิ้นรน แต่กลับถูกผู้เฒ่ากดตัวไว้อย่างแน่นหนา “เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้! นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าซุนเจียซู่คนเดียว”

ซุนเจียซู่ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกบรรพบุรุษของตระกูลซุนตีจนสลบไป

เฉินผิงอันนั่งอยู่ริมกำแพงที่แตกพังยับเยิน แบฝ่ามือออก “โอสถปีศาจเม็ดนี้ของข้า ขอซื้อชีวิตเจิ้งต้าเฟิง”

แม้ว่าจะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทว่าผู้เฒ่ากลับยังได้ยินอย่างชัดเจน “ชีวิตของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งมีค่ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทว่าต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ามีน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังมากกว่าโอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนี้อยู่เล็กน้อย ข้ารับปาก”

เขายื่นมือมาคว้า โอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนั้นก็เข้ามาอยู่ในกระเป๋า แต่จากนั้นเขากลับหัวเราะเสียงเย็น “ชีวิตของเจิ้งต้าเฟิงเหลือไว้ให้เจ้า แต่ขอบเขตวรยุทธของเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ อย่าได้เก็บไว้อีกเลย”

เห็นเพียงผู้เฒ่ากระทืบเท้าหนึ่งครั้ง

เสียงลั่นแตกเป็นระลอกก็ดังมาจากกระดูกสันหลังของเจิ้งต้าเฟิงที่พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งนอนพังพาบอยู่บนพื้นราวกับไม่มีกระดูก

ผู้เฒ่ามองไปยังคนหนุ่มผู้นั้น “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าจะเอาอะไรมาซื้อชีวิตของตัวเองอีกล่ะ? จำไว้ว่าต้องมีค่ายิ่งกว่าโอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองถึงจะได้”

คนหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ร่างทั้งร่างราวกับเป็นมนุษย์เลือด มองเห็นหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจนแล้ว

ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่างก็พูดกันว่าข้าคนนี้นิสัยไม่ดี แต่วันนี้ข้าจะแหกกฎสักครั้ง จะยอมรอเจ้าสักประเดี๋ยว”

บุรพาจารย์ผู้กอบกู้สำนักใบถงที่หน้าตาไม่โดดเด่นท่านนี้มีอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ชื่อว่า เรือกลืนกระบี่

คือโครงกระดูกที่สมบูรณ์แบบของปลาวาฬกลืนสมบัติตัวใหญ่ยักษ์ในยุคบรรพกาลตัวหนึ่ง ใช้เวลาหกร้อยปีเต็มถึงจะหล่อหลอมได้สำเร็จ ในช่วงหกร้อยปีที่ผ่านมานี้ สำนักใบถงต้องทุ่มทั้งพลังคนและทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อลองเสี่ยงดวง

มีเพียงครั้งเดียวที่สำนักใบถงเคยถูกสำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้ข่มบารมี นั่นคือช่วงเวลาอันน่าเศร้าสลดใจ อันดับแรกเจ้าสำนักที่เป็นสายของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันขณะเดินทางไกลไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร่างมอดม้วยมรรคาแหลกสลาย ในสำนักไม่มีขอบเขตเซียนเหรินนั่งบัญชาการณ์ ขาดคนรับช่วงต่อกลางคัน จากนั้นเพื่อบุรพาจารย์สกุลตู้ สำนักใบถงจึงต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมา หลังจากผู้ฝึกตนเฒ่าหลอมอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จก็ต้องปิดด่านไปนานอีกหลายปี

เพียงแต่ว่าหลังจากที่ผู้เฒ่าท่านนี้ออกจากด่านมา เรื่องแรกที่ทำก็คือโดยสาร ‘เรือข้ามฟากยักษ์’ เดินทางไปถึงภูเขาที่ตั้งสำนักกุยหยก นัดหมายเปิดศึกกับเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เป็นการต่อสู้ที่ต้องตัดสินเป็นตายเท่านั้น ผลคือเขาฆ่าเซียนกระบี่คนนั้นจนตาย แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ท่านนั้นก็ถูกกลืนกินไปด้วย

ในเมื่อแม้แต่กระบี่บินของเซียนกระบี่ยังกลืนกินลงไปได้ ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีอะไรที่กลืนลงท้องไม่ได้อีก?

ผู้เฒ่ารออยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “คิดเสร็จแล้วหรือยัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”

ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวมีระดับขั้นพอใช้ได้ อืม ยังมีแผ่นหยกแผ่นนั้นที่ดูท่าแล้วน่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานพอสมควร เป็นถึงวัตถุจื่อชื่อด้วยหรือ? น่าเสียดายที่พอเอามารวมกันแล้วก็ยังซื้อชีวิตของเจ้าไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเจ้าตายไปแล้ว ของทั้งหมดของเจ้าก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เค้นรอยยิ้ม กล่าวด้วยประโยคที่คนนอกฟังไม่เข้าใจ “ชีวิตนี้คงได้แค่นี้แล้ว พวกเจ้าหนีไปได้ก็หนีไปเถอะ”

จากนั้นเขาก็ยื่นมือซ้ายที่สั่นเทาและเต็มไปด้วยเลือดดึงแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ คิดจะบีบวัตถุจื่อชื่อที่ต้องหล่อหลอมอย่างยากลำบากกว่าจะเอาออกมาจากช่องโพรงในร่างได้สำเร็จชิ้นนี้ให้ระเบิดแตก

ในใจมีความคิดเดียว ของชิ้นนี้ ต่อให้ตายก็ห้ามให้ใครมาแตะต้อง

ทว่าวัตถุจื่อชื่อยังคงเป็นปกติไร้ความเสียหาย

เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

เฉินผิงอันที่ไม่เคยโทษฟ้าดินโทษคนอื่น

เวลานี้กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

เขายกมือที่กำแผ่นหยกแน่นวางเบื้องหน้าในแนวขวาง น้ำตาปะปนไปด้วยเลือด เพียงแต่ไม่ยอมให้คนบนโลกได้เห็นภาพนี้

เฉินผิงอันวางมือทั้งสองข้างลง หลับตาช้าๆ เชิดหน้าขึ้นสูง มองไปทางทิศใต้ “ข้ามีหนึ่งกระบี่…สามารถย้ายขุนเขา สามารถพลิกมหาสมุทร…”

บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหลุดหัวเราะพรืด “นี่คือทำอะไร? คำพูดสุดท้ายก่อนตายไม่ควรด่าว่าข้ารังแกคนอื่นหรอกหรือ?”

จากนั้นเขาก็บังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตให้แทงทะลุหน้าท้องของคนหนุ่มที่อยู่บนซากกำแพงเมืองด้วย ‘หนึ่งกระบี่’

ไม่รู้ว่าเหตุใด แผ่นหยกแผ่นนั้นถึงระเบิดแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็แค่รู้สึกเสียดายวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งเท่านั้น

……

บนยอดเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนยอดศิลาหินก่อกวนเทพเกราะทองกำลังคำนวณโชคชะตาฟ้าดินอยู่เงียบๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงเข้มหนักสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าโง่ตัวใหญ่ ช่วยข้าฝ่าสิ่งกีดขวางระหว่างสองทวีปใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องถามมาก เร็วเข้า!”

เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใช้มือยันด้ามกระบี่ไว้กับพื้นรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็พยักหน้ารับ ไม่ถามอะไร เพียงร่ายกายธรรมสีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขา เงื้อกระบี่ฟันออกไปจนเกิดความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดยาวเหยียดดุจแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง

ซิ่วไฉเฒ่าพุ่งทะยานไปตามความว่างเปล่านั้น

ช่องว่างหุบประกบไล่หลัง

โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของภูเขาสุ้ยซานอันเป็นขุนเขากลางแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสั่นสะเทือนไม่หยุดนิ่ง

……

ระหว่างฟ้าดินคล้ายมีคนคนหนึ่งได้ยินประโยคที่ดังขึ้นในนครมังกรเฒ่า นางจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาแล้ว”

……

ถ้ำสวรรค์หลีจูที่หลังจากปริแตกก็ร่วงลงสู่พื้น รัศมีพันลี้โดยรอบฟ้าดินขนาดเล็กเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หร่วนฉงสีหน้าเขียวคล้ำ พยายามระงับโชคชะตาที่ปั่นป่วนวุ่นวายจนใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่งนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ

ตรงหน้าผาหินแท่นสังหารมังกร

เงาร่างสูงใหญ่สีขาวร่างหนึ่งพุ่งออกมา

นางที่ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างเป็นสีขาวหิมะเหาะทะยานขึ้นฟ้าเป็นแนวตรง

หยุดชะงักร่างอยู่ตรงจุดสูงสุดของม่านฟ้าใต้หล้าไพศาล จากนั้นชำเลืองตามองไปทางทิศใต้สุดในอาณาบริเวณของแจกันสมบัติทวีป

แล้วร่างทั้งร่างก็เหมือนกระบี่ที่พุ่งออกไป

ทุกที่ที่เงาร่างสีขาวพุ่งผ่าน ในวันที่อากาศหนาวจัด ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือแจกันสมบัติทวีปกลับมีเสียงฟ้าคำรามดังเป็นระลอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version