Skip to content

Sword of Coming 369

บทที่ 369 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ มิอาจเอื้อนเอ่ย

รออยู่ครู่หนึ่ง ตู้เม่าก็ยังไม่เผยตัว

จั่วโย่วมองไปทางภูเขาบรรพบุรุษลูกนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดขนาดนี้ก็ยังไม่ออกมา? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เคยไปเยือนขอบเขตบินทะยาน หนังหน้าหนาเช่นนี้ คาดว่ากระบี่บินของข้าคงจะแทงไม่เข้าเลยกระมัง”

เพียงแต่ว่าจั่วโย่วพลันค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ตรงกลางภูเขาบรรพบุรุษ แถบดินแดนเซียนที่มีเทือกเขาสลับสล้างมีหอเทพเซียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตรงนั้นมีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ทำท่าทางคล้ายปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีฐานกระดูกไม่เลว อีกทั้งเวลานี้ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองเด็กสาวด้วยสายตาแปลกพิกล นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยังเด็กมากคนหนึ่ง

หลังจากนางสังเกตเห็นว่าจั่วโย่วกำลังมองนางอยู่ก็รีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจทันที

จั่วโย่วขมวดคิ้ว

เพราะสำนักใบถงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย ทว่าทุกคนต่างพากันหันมามองทางกึ่งกลางภูเขาของยอดเขาบรรพบุรุษแทบจะเวลาเดียวกันคล้ายกำลังมองหานางอยู่

ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่อยู่ข้างกายเด็กสาวซึ่งเหมือนจะมีสถานะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนางสีหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่กล้าเป็นฝ่ายท้าทายผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดผู้นี้โดยพลการ

เด็กสาวมีนิสัยขี้ขลาด อีกทั้งยังได้รับอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เวลานี้ถึงกับหลั่งน้ำตาเงียบๆ

สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง คิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง หรือถึงขั้นสามารถเชิดหน้ามองกลุ่มขุนเขาได้นั้น อันที่จริงง่ายดายมาก ก็คือต้องมีคนที่ต่อสู้เป็น

ในอดีตมี ก่อร่างสร้างกิจการ สืบทอดควันธูป มีวิชาอภินิหารที่ทอดตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน หยั่งรากลงลึก หลังจากนั้นก็แตกกิ่งก้านสาขา

ปัจจุบันมี ไปหาเรื่องในถิ่นคนอื่น ตีให้ถอยร่น อย่างน้อยก็ต้องให้คนอื่นเอ่ยปากยอมแพ้ สร้างร่มเงาให้แก่สำนัก ปกป้องคนรุ่นหลัง

อนาคตมี อย่าให้การสืบทอดต้องขาดลงกลางคัน ถ้าอย่างนั้นยิ่งตอนนี้กำเริบเสิบสานมากเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเมื่อลมและน้ำพลิกผันจะทำอย่างไร? ยังจะเก็บศาลบรรพชนไว้อยู่ไหม? ถึงอย่างไรการฝึกตนบนภูเขา การแก้แค้นก็ไม่เคยพิถีพิถันเรื่องวิญญาณชนแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายอะไรนั่น เพราะมีคนไม่น้อยที่คิดจะอดใจรอหนึ่งร้อยปี หลายร้อยปี หรือแม้แต่หลายพันปีก็ยังมี

ถ้าเช่นนั้นเด็กสาวที่กลับมาจุติใหม่ซึ่งในอดีตเคยเป็นขอบเขตหยกดิบผู้นี้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนซึ่งเชี่ยวชาญการคำนวณและอนุมานของสำนักใบถงบอกให้รู้ถึงทิศทางคร่าวๆ แล้ว ทางสำนักก็ใช้เวลาเกือบสามสิบปีถึงจะตามหาสถานที่แห่งนั้นเจออย่างยากลำบาก จากนั้นก็มีคนจงใจปิดบังชื่อแซ่รอคอย ‘นาง’ มาหลายสิบปี รอจนนางถือกำเนิดมาได้หลายปี ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งหนึ่งถึงได้พานางกลับมาที่ภูเขาได้สำเร็จ

ดังนั้นเด็กสาวที่ถูกนำตัวกลับมาสำนักใบถงผู้นี้จึงถือเป็นคนที่สู้เป็นในอนาคต

คล้ายคลึงกับหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง เพียงแต่ว่าตอนนี้ตบะและพลังอำนาจของนางยังอยู่ห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับหวงถิงได้ โดยเฉพาะอย่างหลังที่สำคัญมากเป็นพิเศษเพราะเกี่ยวพันไปถึงต้นกำเนิดของมหามรรคา

แม้ปากของเทียนจวินผู้เฒ่าและเจ้าสำนักซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงจะพร่ำตำหนิสั่งสอนหวงถิงว่าช่างหาเรื่อง ไม่รู้จักอดทนข่มกลั้น แต่ลึกๆ ในใจย่อมต้องเบิกบานราวกับมีดอกไม้ผลิ

ส่วนเด็กสาวที่สำนักใบถงฝากความหวังไว้มากผู้นี้ มีเรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เด็กสาวจะมีพรสวรรค์ดี แต่นิสัยกลับอ่อนแอมากเกินไป ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ขัดเกลาจิตแห่งเต๋าอยู่หลายครั้ง คำวิจารณ์ของสำนักล้วนเป็นคำว่า พรสวรรค์โดดเด่น เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ฯลฯ มีคำชื่นชมมากมายหลายร้อยคำ แต่ทุกครั้งมักจะลงท้ายด้วยประโยคทำนองว่า นิสัยซื่อสัตย์อ่อนโยน ขาดความเด็ดขาดในการเข่นฆ่าสังหารไปบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ

เพียงแต่เพราะสถานะที่พิเศษของนางทำให้ไม่มีใครกล้าพูดจารุนแรงใส่ ตระกูลตู้ที่ใหญ่ที่สุดในสำนักใบถงก็ยิ่งเห็นนางเป็นดั่งดวงใจ

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากชาติก่อนเด็กสาวจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว นางยังมีสถานะที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง นางเคยเป็นมารดาของตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์จริงๆ

ตามหาคนที่มาจุติเกิดใหม่ ผูกบุญสัมพันธ์กันอีกครั้ง

โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีในชื่อมีคำว่าสำนักเท่านั้นถึงจะมีรากฐานและวิธีการเช่นนี้ได้

จั่วโย่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว คงเป็นเพราะไม่อยากทำให้แม่นางน้อยที่บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตกใจกลัวจึงอธิบายว่า “ข้าล้อเล่น อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง บัณฑิตอย่างพวกเราชอบพูดคำพ้องเสียง”

ไม่พูดยังดี ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ตกใจกลัวมานานแล้ว

แต่พอเขาอธิบายอย่างนี้

เด็กสาวที่สีหน้าซีดขาวจึงเริ่มย่นใบหน้าเล็กๆ นางที่เพิ่งลอบเช็ดคราบน้ำตาพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนชั่วร้ายผู้นี้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางในอดีต ป่านนี้คงร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านี้ไปแล้ว

จั่วโย่วรู้สึกลำบากใจ

แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ

รับมือกับสตรี เสี่ยวฉีไม่ถนัด เจ้าสารเลวชุยฉานนั่นถือว่าดีขึ้นมาหน่อย แต่เขาจั่วโย่วกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าความคิดของสตรียากจะทำความเข้าใจยิ่งกว่าความรู้ของอาจารย์เสียอีก สรุปก็คือยากยิ่งกว่าเรียนหนังสือ

ส่วนข้อที่ว่าความรู้ของจั่วโย่วยิ่งใหญ่หรือไม่ สูงหรือไม่

เมื่อเทียบกับความดั้งเดิมซื่อตรงของฉีจิ้งชุนและสมองที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดของชุยฉานแล้ว ก็ถือว่าด้อยกว่าไม่น้อย

เขาไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะถูกซิ่วไฉเฒ่าคอยกดหัวเขาให้อ่านตำรา แน่นอนว่าย่อมมีความรู้อยู่บ้าง พวกวิญญูชนและนักปราชญ์ทั่วไปของสำนักศึกษาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถกปัญหาพูดคุยกับจั่วโย่วได้

ต้องรู้ว่าจั่วโย่วฝึกกระบี่ ปราณกระบี่ของเขาเอามาจากไหน?

ช่วงแรกเริ่มสุดเอามาจากในตำรา จากในรอยสลักจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าผา จากในเอกสารคัดลอกป้ายศิลาจำนวนเกินจะนับ

เพื่อให้เขาฝึกกระบี่ได้อย่างราบรื่น ปีนั้นเสี่ยวฉีคอยเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วสารทิศเป็นเพื่อนเขา

จั่วโย่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ทอดสายตามองไปยังทิศทางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เขาดึงสายตากลับมา พบว่าข้างกายของเด็กสาวยังมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิดยืนอยู่ด้วย สายตาของเขาคมกริบและดื้อรั้น กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน ต่อให้ถูกปราณกระบี่ของตนแผดเผาจนแสบตา แต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้าไปมองทางอื่น

จั่วโย่วชำเลืองตามองมุมหนึ่งของภูเขาบรรพบุรุษ “ตู้เม่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่สู้เจ้าลองทำดู ข้าจะรอเจ้าก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นจั่วโย่วก็เงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที ฟันให้ปราการค่ายกลใหญ่ที่อยู่ด้านหลังถูกผ่าออกเป็นประตูใหญ่หนึ่งบาน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป

จั่วโย่วลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนืออาณาเขตในการปกครองของสำนักใบถง หลับตาทำสมาธิ เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นจากทิศตะวันออก เขาก็เริ่มใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุดโจมตีโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาบางส่วนที่แข็งตัวให้แหลกสลาย ยกตัวอย่างเช่นภูเขาบางลูก แม่น้ำบางช่วงตอน ต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้าบางต้นที่มีหวังว่าจะกลายเป็นภูติ ศาลาบางแห่งที่สยบปราณชั่วร้าย วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่อยู่ใต้ดิน

ปราณวิญญาณจำนวนน้อยนิดไหลกระจัดกระจายออกมา มองโดยภาพรวมแล้วคล้ายจะมีความเสียหายไม่มาก

แต่ในความเป็นจริงแล้วผลลัพธ์ที่ตามมากลับร้ายแรงอย่างถึงที่สุด

โชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาเน้นย้ำในเรื่องการเก็บลมรวมน้ำ เก็บไว้ที่ใด รวมไว้ที่ใดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพิถีพิถัน โชคชะตาที่อลหม่านวุ่นวาย ใครจะกล้าเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองส่งเดช? ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะกันแน่

ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้มาขวางอยู่หน้าประตูบ้านของคนอื่นแล้วเริ่มขุดมุมกำแพงของสำนักใบถงราวกับชาวนาขุดดิน

เพราะอยู่บนเส้นชายแดน ปราณวิญญาณและปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์จึงไหลเข้าสู่ที่นาคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แรกเริ่มสำนักใบถงไม่มีใครกล้าออกหน้ามาเก็บปราณวิญญาณกลับเข้าไปในสำนัก

ภายหลังสำนักใบถงเสียดายปราณวิญญาณเหล่านั้นจริงๆ จึงส่งผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ เอาสมบัติอาคมออกมาไล่เก็บปราณวิญญาณ

คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่แม้แต่จะปรายตามอง ‘โอสถทองตัวเล็กๆ’ เพียงแค่พลิ้วกายลงบนผิวน้ำของลำคลองใหญ่สายหนึ่ง ปราณวิญญาณเบาบางเป็นเส้นๆ ที่น้ำในลำคลองใต้ฝ่าเท้าฟูมฟักออกมาพลันแหลกสลายลงในเสี้ยววินาที

แล้วก็มีผู้ฝึกตนโอสถทองอีกคนหนึ่งรวบรวมความกล้าทะยานออกไปจากภูเขา อยู่ห่างจากด้านหลังของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมาหลายสิบลี้ ก่อนจะค่อยๆ เก็บรวบรวมปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายมาอย่างระมัดระวัง พยายามปล่อยมันกลับเข้าไปในลำคลอง ช่วยเรียบเรียงเส้นสายของชะตาน้ำให้เป็นระเบียบและมั่นคง

สิบวันผ่านไป ระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับพวกผู้ฝึกตนเซียนดินที่ยุ่งจนหัวหมุนถือว่าพอจะรักษาความสงบเอาไว้ได้ ต่างคนต่างทำงานในส่วนของตัวเองไป

ผ่านไปอีกสิบวัน สำนักออกคำสั่ง จึงเริ่มมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางต่ำกว่าโอสถทองบางส่วนแอบออกมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ทิ้งระยะห่างประมาณสามสิบห้าสิบลี้ แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันออกไป เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด

แล้วก็ผ่านไปอีกสิบวัน แม้แต่ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่เป็นห้าขอบเขตล่างก็ยังเริ่มมาร่วมวงความครึกครื้น ‘แหงนหน้ามอง’ คนผู้นี้

ส่วนผู้ฝึกกระบี่นามว่า ‘จั่วโย่ว’ คนนั้น นอกจากจะเหลือบตามองมายังยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่เคยให้ความสนใจผู้ฝึกตนของสำนักใบถงเหล่านี้

ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดผ่านพ้นไป ห่างจากปีใหม่อีกไม่ไกลแล้ว

ในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขามีคำสุภาษิตกล่าวว่า ‘ด่านปีผ่านยาก ต้องผ่านทุกปี’

ลูกศิษย์สำนักใบถงที่อวดอ้างบารมีอยู่ในทวีปมานานหลายปีเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้สำนักของตนก็มีช่วงเวลาที่ต้องพบเจอกับด่านยากเหมือนกัน

หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่ง สำนักใบถงวางแผนซุ่มโจมตีซึ่งใช้ทุกวิถีทางที่มี ระดมพลผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบสองคนและเซียนดินอีกเกือบสิบคน

จั่วโย่วเงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที

จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง พุ่งไปยังบริเวณที่ใกล้เคียงกับภูเขาบรรพบุรุษ ฟันยอดเขาแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเป็นพื้นที่ต้องห้ามเพราะเดิมทีต้องมอบให้แก่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบางคนในอนาคตไว้ใช้เป็นที่ตั้งของจวนเทพเซียนตั้งแต่ยอดเขาจรดตีนเขา หนึ่งกระบี่ที่ฟันลงมาผ่าให้เกิดหุบเขาร่องลึกขนาดใหญ่ยักษ์

ครั้นจึงจากไปไกลอย่างสง่างาม

จากนั้นก็เริ่มดักอยู่หน้าประตูขุดกำแพงบ้านคนอื่นต่ออีกครั้ง

ความเคลื่อนไหวใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ผ่าน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักและเซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปต่างก็รู้กันนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีสำนักศึกษาออกหน้าห้ามปรามจึงไม่มีใครกล้าไปชมงิ้วหาเรื่องซวยใส่ตัว

นอกจากคนคนหนึ่ง

เจียงซ่างเจินผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของสำนักกุยหยก เจ้าประมุขสกุลเจียงที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นใบหลิ่วใบหนึ่ง

ตอนแรกที่ไปถึงคนผู้นี้โค้งตัวคำนับขออภัยจั่วโย่วอย่างจริงจังหนึ่งครั้งก่อน ตีหน้าเคร่งอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสะเทือนฟ้าดิน

ตอนที่เร่งรุดเดินทางมาทิศเหนือและย้อนกลับไปทางทิศใต้ ทะยานลมเดินทางไกลทั้งสองครั้ง เขาจงใจชะลอความเร็ว วางท่าเดินอาดๆ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้วราวกับบิน

ผลคือเกือบถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน

เพียงแต่ว่าตอนที่เผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง เจียงซ่างเจินกลับยังปล่อยเสียงหัวเราะที่สาแก่ใจอย่างถึงที่สุด

มีวันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางขลาดกลัว นางถามเสียงสั่นว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำลายโชคชะตาของสำนักข้าอย่างไร้เหตุผล?”

ทุกวันนี้จั่วโย่วถือว่าคุ้นเคยกับสำนักใบถงดีแล้ว ถ้อยคำซุบซิบนินทาที่ลูกศิษย์สำนักใบถงบางคนคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากจั่วโย่วครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “คนที่ล้างผลาญเช่นนี้ จะเป็นบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ได้อย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษผู้สร้างความวอดวายให้สำนักเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นตอนนั้นเจ้าไม่ควรคลอดตู้เม่าออกมา”

เด็กสาวหน้าตางดงามทั้งโกรธทั้งอับอาย

เด็กหนุ่มที่มาที่นี่พร้อมกับเด็กสาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สำนักใบถงฝากความหวังว่าจะนำพาสำนักรุ่งเรืองไปนานนับพันปี เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันที่นุ่มนิ่มเป็นข้าวเหนียวแล้ว นิสัยของเด็กหนุ่มเฉียบคมดุกร้าว เขาสะพายกระบี่ยาวที่บุรพาจารย์ตู้เม่ามอบให้เขาด้วยตัวเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของข้า!”

จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามแล้ว”

ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วง เจ้าสำนักใบถงที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้า มาขวางอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้น ปกป้องพวกเขาไว้ด้านหลัง แล้วถึงกับเอ่ยขออภัยจั่วโย่ว “คำพูดของเด็กมิอาจถือเป็นจริงเป็นจัง ขอเซียนกระบี่อย่าเก็บไปใส่ใจ”

จั่วโย่วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกหน้าผาของยอดเขาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ได้ยินว่าสำนักใบถงของพวกเจ้า หากพูดจาไม่เข้าหูก็ชอบโยนกระบี่บิน ทุ่มสมบัติอาคมออกไปมากที่สุด หากเอาชนะไม่ได้ก็แค่บอกชื่อแซ่ของตัวเอง กลับมาถึงภูเขาแล้วค่อยฟ้องผู้อาวุโสในสำนัก สุดท้ายก็กรูกันลงเขาไปสังหารผู้อื่น เป็นแบบนี้จริงไหม?”

ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงได้แต่ยิ้มเจื่อน

จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในใจเจ้ากำลังพูดว่า ‘จริงแล้วจะทำไม’ อยู่ใช่ไหม?”

ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที หันไปตบหน้าเด็กหนุ่มอย่างแรง พูดอย่างเดือดดาล “คุกเข่าโขกหัวยอมรับผิดกับเซียนกระบี่เดี๋ยวนี้! โขกจนกว่าเซียนกระบี่จะพอใจ!”

มุมปากของเด็กหนุ่มมีเลือดซึมออกมา “ให้ตายข้าก็ไม่ทำ!”

จั่วโย่วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใด อันที่จริงข้าไม่คิดจะอธิบายเหตุผลสอนพวกเขาว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร ไม่สั่งสอนบุตรคือความผิดของบิดา อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดคือความผิดของอาจารย์ เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสก็มากินกระบี่ของข้าอีกสักครั้งแล้วกัน”

ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงถูกกระบี่แทงทะลุหน้าท้อง ร่างกระแทกไปชนกับภูเขาด้านหลังแล้วร่วงดิ่งลงพื้นอย่างน่าอนาถอีกครั้ง

ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจงใจสยบขอบเขตของตัวเอง ปล่อยให้จั่วโย่วใช้หนึ่งกระบี่ระบายโทสะหรือไม่ มีเพียงฟ้ารู้ดินรู้และพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้

จั่วโย่วมองไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้น “ไม่ลองพูดจาโอหังอีกสักทีเล่า? ไม่แน่ว่าตู้เม่าอาจจะออกมาปกป้องเจ้าก็เป็นได้”

เด็กหนุ่มหน้าขาวซีด

จั่วโย่วกล่าว “หากไม่พูดเจ้าจะต้องตาย แต่หากพูดจาโอหังอีกสักคำ ไม่แน่ว่าอาจมีคนออกมาช่วยรับกระบี่แทนเจ้า เวลานี้เจ้าจะเลือกอย่างไร?”

ความคิดในหัวของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตีกันให้วุ่น

เด็กสาวพลันขยับมายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม ร่ำไห้ปานจะขาดใจ ตะโกนพูดเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าเลิกบีบบังคับเขาได้แล้ว จิตแห่งกระบี่ของเขาจะแหลกสลาย! เจ้าร้ายกาจขนาดนี้ เหตุใดยังต้องถือสาเขาด้วย?!”

จั่วโย่วคลี่ยิ้มกล่าว “ไปถามลูกชายของเจ้าดูสิ”

เด็กสาวร้องไห้จนสายตาพร่ามัว

รู้สึกเพียงว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนที่ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้!

จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “ก่อนหน้านี้ไม่ยอมโขกหัวรับผิดเพราะคิดจะรักษาหน้าตา ทำตัวว่านอนสอนง่ายให้ผู้อาวุโสในสำนักได้เห็นเพราะอยากจะสร้างความประทับใจที่ดี ตอนนี้จะตายอยู่แล้วกลับไม่กล้าพูด นั่นก็เป็นเพราะรักชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอย่างเจ้านี่นะ”

จั่วโย่วมองไปทางทิศเหนือ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เหตุใดพอกลับมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ถึงเพิ่งจะค้นพบความดีของศิษย์น้องเล็กกันนะ”

ครั้งหนึ่งที่ได้รับโชควาสนา หลังจากที่จั่วโย่วได้กระบี่ประจำกายเล่มนั้นมาครอง เสี่ยวฉีเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ได้กระบี่สามฉื่อมาโดยบังเอิญ ข้ามทะเลสังหารปลาวาฬ เก็บเข้าฝักห้อยไว้บนผนัง ยังได้ยินเสียงกระบี่ร้องอึงอล

ภายหลังจั่วโย่วออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ออกห่างจากโลกมนุษย์ เดินทางไกลอยู่บนมหาสมุทร ไม่ได้อ่านตำราเล่าเรียนหนังสืออีกเลย

จั่วโย่วพูดกับเด็กสาวว่า “ไม่พูดถึงตู้เม่าและวาสนาระหว่างเจ้ากับตู้เม่าก่อนหน้านี้ พูดถึงแค่การมาเยือนในครั้งนี้ ทำให้เจ้าเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เป็นความผิดของข้า เจ้าสามารถเรียกร้องสิ่งหนึ่งที่สมเหตุสมผลได้”

เด็กสาวเช็ดคราบน้ำตา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องสมเหตุสมผล”

เด็กสาวรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าปล่อยเขาไป อย่าได้สยบจิตแห่งกระบี่ของเขาไว้อีก”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ได้”

แล้วเขาก็เก็บเอาปราณกระบี่ที่ไหลทะลักออกไปข้างนอกกลับมาจริงๆ

อันที่จริงเด็กสาวไม่รู้ว่า ไม่ได้เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจเล่นงานจิตแห่งกระบี่ของเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้ แต่เป็นเพราะเดิมทีจิตแห่งกระบี่ของคนผู้นี้ก็ไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว

เด็กสาวยิ้มทั้งน้ำตา แต่คงเพราะรู้สึกว่ายิ้มให้ศัตรูคู่แค้นเป็นการกระทำต่ำช้าที่ทรยศต่อสำนักและอาจารย์ นางจึงรีบตีหน้าเคร่งทันที

จั่วโย่วหันตัวกลับไปเตรียมจะทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำของสำนักใบถงต่ออีกครั้ง แต่ยังหันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “ตู้เม่าเป็นคนที่ล้างผลาญจริงๆ อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้ว”

เด็กสาวไม่เข้าใจ

เด็กหนุ่มด้านหลังตัวสั่นสะท้าน เรือนกายโอนเอนไม่อยู่นิ่ง จิตแห่งกระบี่ก็ยิ่งไม่มั่นคง

จั่วโย่วพุ่งตัวทะยานออกไปไกล ปราณกระบี่พาดผ่านดุจสายรุ้งยาว

ทางฝั่งของภูเขาบรรพบุรุษ ภาพปรากฎการณ์ประหลาดในถ้ำสวรรค์ใบถงขนาดเล็กยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

คิดจะบินทะยาน?

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามกระบี่ของข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่

……

เรือข้ามฟากลำหนึ่งจากอุตรกุรุทวีปได้เดินทางมาถึงกลางอากาศเหนืออาณาเขตของบุรพแจกันสมบัติทวีป

ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุด เงินเทพเซียนถูกเผาผลาญไปนับไม่ถ้วน เหล่าผู้โดยสารย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ยินดีให้ไปถึงเป้าหมายในเร็ววัน

ได้ยินว่ามีก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ใช้เงินมือเติบคนหนึ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่ เรือข้ามฝากลำนี้ถึงได้ทำเช่นนี้

บุรุษร่างแข็งแกร่งกำยำตัวไม่สูงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องชั้นล่างที่ถูกที่สุด แทบไม่เคยออกมาจากในห้อง

น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เพียงแต่มองไม่ออกว่าอยู่ขอบเขตไหน

อันที่จริงการที่มองไม่ออกก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่พอจะมีไหวพริบเกิดใจกริ่งเกรงได้แล้ว

ขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธ์ในตำนาน ขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธ์มีสามระดับ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน

หลังจากที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากยอดเขาราชสีห์ ลมปราณและพลังอำนาจของเขาก็ไต่ทะยานมาตลอดทาง อยู่ดีๆ ก็เข้าสู่ขอบเขตของการกลับคืนสู่ความจริงแล้ว

หลี่เอ้อร์รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ดีมาก

รื้อศาลบรรพชนของคนอื่น หมัดต้องแข็งพอ!

……

คลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ในนครมังกรเฒ่า

ตระกูลฟ่านยังคงรั้งทัพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แน่นอนว่าในสายตาของคนตระกูลฟ่านส่วนใหญ่ในศาลบรรพชน นี่เรียกว่ารอความตาย

ตระกูลซุนก็มีความเคลื่อนไหวไม่มาก แม้ว่าจะเลือกพึ่งพาตระกูลฝูมานานแล้ว แต่กลับไม่ได้รีบร้อนส่งมอบใบลงชื่อขอเข้าร่วมพันธมิตรอะไร

ร้านยาฮุยเฉินยังคงเป็นสถานที่เล็กๆ ที่คึกคักซึ่งไม่มีใครมารบกวนอยู่เช่นเดิม

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านในโต๊ะคิดเงิน บนโต๊ะวางแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวเหมือนไม้บรรทัดซึ่งเป็นก้อนที่เล็กที่สุด

ชูอีกับสืออู่ต่างก็กำลัง ‘ลับกระบี่’ ทั้งสองบินโฉบไปโฉบมาบนแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นอย่างรวดเร็วจนสะเก็ดไฟแลบกระจายไปสี่ทิศ

ลิงโลดร่าเริง

เฉินผิงอันกำลังคิดบัญชีให้กับตัวเอง

แผ่นหยกสีทองที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นสามารถดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง ก็คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สามารถห้อยพกไว้ตรงเอวได้

น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่สามารถเอามาห้อยได้ เพราะขัดแย้งกับปราณดุร้ายทั่วร่างของเทพหยินแซ่จ้าวกับตัวค่ายกลของร้านยาฮุยเฉิน

เมื่อไปถึงสถานที่ที่ภูเขาเขียวน้ำใส มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้วถึงจะสามารถเอาออกมาได้

เผยเฉียนชอบมันมาก ก่อนหน้านี้เวลามาอยู่ที่โต๊ะคิดเงินจะถือไว้จนแทบวางไม่ลง ลูบคลำอยู่พักใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่กล้าขอยืมเฉินผิงอันเอาออกไปโอ้อวด

หากยังไม่อาจคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ได้ เฉินผิงอันก็ได้แต่เก็บหยกประดับชิ้นนี้ไว้อย่างมิดชิดเป็นการชั่วคราว

แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดและเปลืองจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานร่างนั้น นี่ก็คือคราบร่างเซียนเหรินของแท้แน่นอน!

หนังหุ้มของเด็กหนุ่มชุยฉานหรือชุยตงซานในทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้

เพียงแต่ควรจะใช้คราบร่างนี้อย่างไรกลับมีวิชาความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก หากไม่ระวังก็อาจจะขาดทุนย่อยยับ แต่หากนำไปใช้ได้ดีก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

เมื่อเทียบกับการหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้วถือว่ายากกว่ามาก

อันดับแรกต้อง ‘เปิดประตู’ เสียก่อน คราบร่างของเซียนเหรินก็คือร่างทองมิพ่ายที่สมชื่อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางโจมตีอย่างเต็มกำลังหนึ่งครั้งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถแทงทะลุได้

รองลงมาคือการชำดอกไม้ตอนกิ่ง (เปรียบเปรยถึงการยักยอกถ่ายเทของของผู้อื่น) หรือนกพิราบครองรังนกกางเขน (เปรียบเปรยถึงการบุกรุกครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่น) อย่างที่ชุยตงซานทำนั้น หมายความว่าดวงวิญญาณที่ ‘เข้าประตู’ จะต้องสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังต้องแข็งแกร่งมากพอ และยังต้องเป็นบุคคลที่เกิดมาก็มีปณิธานที่แข็งแกร่ง

ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีจุดจบเป็นตู้เม่าตายแล้วฟื้น หากมอบโอกาสให้เขาได้ย้อนกลับไปที่สำนักใบถง จิตหยางกลับคืนสู่ตำแหน่ง ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนมิอาจคาดการณ์ได้

ข้อที่สาม ควรจะบำรุงด้วยความอบอุ่นอย่างไร คราบร่างของเซียนเหริน หากเอาวางไว้เฉยๆ เป็นพันปีก็ไม่มีปัญหา แต่หากมีเจ้านายคนใหม่แล้วก็ต้องทุ่มเงินมหาศาล

ข้อที่สี่ ‘ตู้เม่า’ คนใหม่จะเติบโตขึ้นมาอย่างไร จะเลือกเส้นทางการฝึกตนอย่างไร ต้องใคร่ครวญให้ดี ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่า

ราชวงศ์ในโลกมนุษย์มีคำชื่นชมขุนนางกล่าวไว้ว่า ให้มีความสามารถและบุคลิกภาพเช่นอัครมหาเสนาบดี ทว่ากว่าจะเดินไปถึงการได้เป็นขุนนางผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแท้จริงกลับยังมีระยะทางอีกไกล และยังต้องอาศัยโชคช่วยด้วย

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยถามเทพหยินแซ่จ้าวอย่างละเอียดมาก่อน เพียงแต่ฝ่ายหลังอธิบายอย่างคลุมเครือ เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงเรื่องวงในมากมายจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก

ติดเงินฝนธัญพืชตระกูลฟ่าน หรือควรจะพูดว่าติดเงินฟ่านจวิ้นเม่าห้าสิบเหรียญ

เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นของตนก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญแล้ว

จ่ายเงินดั่งสายน้ำไหล มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ก็คือสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของเฉินผิงอันในเวลานี้

ความคิดของเผยเฉียนมักจะเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเสมอ นางบอกว่าเวลาเหมือนกระบี่บิน สวบทีเดียวก็ผ่านไป มองไม่เห็นแม้แต่หาง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าตัวเองหายไปได้เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก

ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บป้ายหยกแผ่นนั้นมา ร้านยาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน จึงปล่อยให้ชูอีกับสืออู่ลับคมกระบี่ต่อไป

ออกเดินทางในครั้งนี้ พาชูอีกับสืออู่เข่นฆ่าสังหารมาตลอดทางอย่างไม่มีหยุดพัก คมกระบี่จึงทื่อขึ้นไม่น้อย ตามคำบอกของเทพหยินแซ่จ้าว หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วกระบี่บินเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาจะทำให้เสียการใหญ่

แต่เมื่อได้ ‘กิน’ แท่นสังหารมังกรก้อนนี้ ก็สามารถชดเชยกลับมาได้

แท่นสังหารมังกรเล็กๆ ก้อนนี้คือของรักที่ผู้ฝึกกระบี่บนโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน สามารถเอาไปขายเป็นเงินฝนธัญพืชได้ไม่น้อย

การที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปล้วนยากจนนั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลย

ต่อให้เป็นอาเหลียง ปีนั้นที่ท่องอยู่ในยุทธภพของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนจะเดินทางไปภูเขาห้อยหัวก็ยังติดหนี้ก้อนโต แม้จะไม่ได้หมดไปกับการเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด แต่หลักๆ คือทุกครั้งที่ลงมือ หลังจากจบเรื่องจะต้องควักเงินช่วยสำนักที่น่าสงสารเหล่านั้นซ่อมแซมสถานที่ ค่าใช้จ่ายก้อนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ทว่าผู้ฝึกกระบี่เก็บสะสมเงินได้ยากที่สุด นี่กลายเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เหตุผลนั้นทั้งง่ายดาย แล้วก็ไม่ง่ายดายไปในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ง่ายดายก็คือมีเพียงกระบี่อย่างเดียวที่ต้องจ่ายเงินราวกับเผาทิ้ง ไม่จำเป็นต้องแบ่งความสนใจและความละโมบไปไว้ที่สมบัติอาคมอย่างอื่น ส่วนที่ไม่ง่ายดายก็คือ ของชิ้นเดียวนี้เลี้ยงยากยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ เสียอีก ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณไม่มีเงินอยู่ในมือ อย่างน้อยก็ยังสามารถเอาสมบัติบางอย่างออกมาขายแลกเงิน รื้อกำแพงตะวันออกซ่อมกำแพงตะวันตก เอามายกระดับขั้นของอาวุธเซียนสมบัติอาคมบางชิ้นที่เหมาะสมกับการฝึกตนในปัจจุบัน แต่ผู้ฝึกกระบี่จะขายอะไร? ขายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองงั้นหรือ?

แม้เผยเฉียนจะทนรับกับความทรมานระหว่างที่ยืดเส้นเอ็นดึงกระดูกไม่ได้ แต่ก็ยังหวังให้ตัวเองได้เรียนวรยุทธ์ ขอแค่ไม่ต้องทนรับกับความเจ็บปวด นางก็ยินดี

ยกตัวอย่างเช่นวันนี้นางกำลังขอเรียนวรยุทธ์จากเสี่ยวป๋าย เหล่าเว่ยไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ ถูกนางตื๊อจนรำคาญใจจึงวิ่งกลับห้อง มุดหัวอยู่ในผ้าห่มนอนหลับไปแล้ว เผยเฉียนโมโหจึงใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มผ้าห่ม เหล่าเว่ยก็ไม่สนใจ กรนเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง

เผยเฉียนจึงได้แต่ถอยมาเลือกในอันดับรองลงมา เลือกที่จะขอความรู้จากหลูป๋ายเซี่ยงที่สนิทสนมเป็นอันดับที่สอง

หลูป๋ายเซี่ยงจึงเดินมาที่ลานบ้าน คิดแล้วก็เริ่มเลียนแบบท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันอย่างพลิ้วไหว มีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

เดินไปพลางหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียนด้วยรอยยิ้มด้วยว่า “สอนหมัดไม่สอนการก้าวเดิน สอนก้าวเดินต่อยอาจารย์ นี่ก็คือรากฐานหลักการของวิชาหมัดที่ดีเยี่ยม ในบรรดาพวกเราสี่คน หากพูดถึงแค่กระบวนท่า เป็นจูเหลี่ยนที่เปิดได้กว้างที่สุด หุบได้แน่นสนิทที่สุด เหมาะสมกับคำว่าเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนามากที่สุด”

หลังจากเดินนิ่งหกก้าวแล้วก็ปล่อยหมัดออกไปเบาๆ หนึ่งที เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว หลูป๋ายเซี่ยงจึงเอ่ยต่อว่า “แปดทิศมีพลัง จึงจะกึ่งหลับกึ่งตื่น พอมีความเคลื่อนไหว เส้นขนก็ตั้งชันดุจง้าว ปล่อยพายุหมัดสั่นสะเทือน”

หลูป๋ายเซี่ยงวาดเท้าเตะตวัด พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็กล่าวว่า “กระดูกสันหลังของมนุษย์ประหนึ่งเส้นทางมังกรของฟ้าดิน เป็นเหตุให้ในการเรียนวรยุทธ์มีคำกล่าวว่าปรับแก้มังกรใหญ่ ไม่ถือว่าสูงส่งลึกล้ำอะไร แต่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ข้อต่อกระดูกสันหลังเชื่อมยาวติดกันประหนึ่งเจียวหลงส่ายร่าง ในชั่วพริบตาที่ปล่อยพละกำลังออกไป ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งพลันเคลื่อนโคจรไปตามช่องโพรงลมปราณและเส้นชีพจรไกลหลายร้อยลี้ หรืออาจไกลถึงพันลี้ กระตุ้นผิวหนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและเลือดของทั้งร่าง ทุกครั้งที่ลงมือย่อมมีพละกำลังที่หนักหน่วง”

จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ชายคา กำลังอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่เขียนบรรยายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ หวานแต่ไม่เลี่ยน พอได้ยินว่าหลูป๋ายเซี่ยงชมตนก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ

หลูป๋ายเซี่ยงมีความอดทนดีมาก ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พอจะฟังเข้าใจไหม? หากไม่เข้าใจ ข้าสามารถพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”

เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ “ฟังเข้าใจทั้งหมด แต่ข้าไม่อยากเรียนวิธีการเดิน”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้ม “ไม่เรียนรู้ที่จะหัดเดินก่อน วันหน้าจะวิ่ง จะบินได้อย่างไร?”

เผยเฉียนชำเลืองตามองดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ตรงเอวของหลูป๋ายเซี่ยง “แต่ข้าอยากเรียนวิชากระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด หากไม่ได้จริงๆ เรียนวิชาดาบก็ได้”

หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนปัญญาแล้ว”

พอเห็นเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนวิธีการเดินก่อนแล้วกัน!”

จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “หญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุน” (สินค้าขาดทุนภาษาจีนคือเผยเฉียนฮว่าซึ่งคล้องกับชื่อของเผยเฉียน)

เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าคำรามเดือดดาล “อย่านึกว่าตัวเองทำกับข้าวอร่อยแล้วจะร้ายกาจนะ! แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย!”

จูเหลี่ยนร้องโอ้โหหนึ่งที ปิดหนังสือลง ร่างที่หลังงองุ้มลุกขึ้นยืน “ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้จะต้องประลองฝีมือกับเจ้าดูสักครั้งให้จงได้ อย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้เสียทีว่าข้าที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน คือพ่อครัวที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด”

เผยเฉียนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “ได้ งั้นพวกเรามาแข่งคัดตัวอักษรกัน!”

จูเหลี่ยนนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็ก อ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการทะเลาะโต้เถียงของพวกเขา

ในเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันไม่เคยบังคับควบคุมเผยเฉียนมาก่อน

เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน น้อยครั้งที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างในตอนนี้ จึงก้าวเบาๆ หนึ่งก้าวเข้าไปยังใจกลางของลานบ้าน

สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อารมณ์ความรู้สึกของเฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่แย่

เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว แต่มือกลับตั้งกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

กระบวนท่าหมัดเดินนิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตบะและขอบเขต

หากจะพูดถึงความรู้สึกที่ปณิธานหมัดมอบให้แก่ผู้คนก็มีแค่สี่คำว่า เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น

เผยเฉียนรู้สึกเพียงว่าท่าเดินนิ่งที่เหมือนกัน แต่เมื่อเฉินผิงอันเอาจริงเอาจังขึ้นมา ต่อให้แค่มองอย่างเดียวก็ยังรู้สึกสบายตาอย่างยิ่ง

จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึง “ค่อนข้างจะน่าสนใจแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “ข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด”

หลังจากที่เฉินผิงอันเก็บหมัดยืนตัวตรง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”

สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ หมุนตัวกลับไปนั่งข้างโต๊ะโดยตรง

เสียงอู้อี้ของเว่ยเซี่ยนดังมาจากในห้อง “ความเผด็จการมิอาจสู้ได้”

เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้นกุมท้องหัวเราะก๊าก เจ้าพวกนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าเป็นหญ้าบนยอดกำแพงอีกรึ?

กลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เดินมาหน้าประตูของห้องหลัก เอามือยันกรอบประตู เงยหน้ามองดวงอาทิตย์แวบหนึ่งแล้วหรี่ตาลง “ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่างแล้ว หากยังนอนต่อไป มีหวังต้องขึ้นราแน่ๆ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าลงจากเตียงมาเดินได้แล้วรึ? อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาดเชียว ล้มหน้าทิ่มขี้หมาขึ้นมา เดี๋ยวก็ต้องกลับไปนอนอีกสิบวันครึ่งเดือน”

เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคือคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว) ของข้า ช่วยเห็นข้อดีของข้าบ้างได้ไหม!”

เผยเฉียนตวัดตามองค้อน “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย”

หลังจากที่เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายเจิ้งต้าเฟิงก็กลับไปนั่งลงบนม้านั่งยาว เผยเฉียนวิ่งไปหยิบเมล็ดแตงมาอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว นางแบมือเล็กๆ ที่มีเมล็ดแตงอยู่เต็มฝ่ามือวางไว้เบื้องหน้าเฉินผิงอันตลอดเวลา

เจิ้งต้าเฟิงเดินได้ช้ามาก ย่างก้าวก็สั้น เขาเพียงเดินเล่นอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก ไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ ฝืนพาตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง

เพียงแต่บุรุษผู้นี้หลังค่อมอยู่ตลอดเวลา

ทุกคนต่างทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ต่างคนต่างทำธุระของตัวเองไป หลูป๋ายเซี่ยงหยิบโต๊ะและกล่องหมากล้อมไปเล่นกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนอ่านหนังสือ เว่ยเซี่ยนนอนหลับ เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงกับเฉินผิงอัน

ในร้านยาเล็กๆ เริ่มมีบรรยากาศของช่วงตรุษจีนขึ้นมาบ้างแล้ว

ตอนกลางวันของวันหนึ่ง ร้านยาฮุยเฉินได้ต้อนรับแขกที่ไม่ใช่สองพี่น้องฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์

คือแขกอย่างแท้จริง

เขาคือชายชราคนหนึ่งที่มีสำเนียงต่างถิ่น มาซื้อยาสมุนไพรจำนวนไม่น้อยจากที่ร้าน เพียงแต่บ่นว่าราคาออกจะแพงไปหน่อย

เทพหยินแซ่จ้าวได้แต่ใช้เสียงในใจบอกเฉินผิงอันว่า เขาแค่มองออกว่าคนผู้นี้มีตบะขอบเขตประตูมังกรที่ค่อนข้างมั่นคง

เฉินผิงอันกลับมีจิตใจที่สงบนิ่ง ขนาดตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานยังประมือด้วยมาแล้ว จะดีจะชั่วก็เคยเห็นคลื่นใหญ่ลมแรงมาก่อน ความหนักแน่นน้อยนิดแค่นี้ย่อมต้องมี

คำพูดประโยคหนึ่งที่วิญญาณกระบี่ถ่ายทอดให้แก่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งทำให้เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างได้กระจ่างแจ้ง

หลักการและเหตุผลบนโลกใบนี้ อันที่จริงดำรงอยู่ตลอดเวลา บางคนหยิบขึ้นมาบูชา มองเป็นของล้ำค่า บางคนดูแคลน บางคนถึงขั้นเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า

นี่ไม่ใช่ว่าหลักการและเหตุผลไม่ถูกต้อง ไม่ดี

แต่เป็นเพราะใจคนมีปัญหา

วิญญาณกระบี่ยังพูดถึงผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์ม่านฟ้าทางเหนือของใบถงทวีปเป็นพิเศษ บอกว่าจุดจบของเขาไม่ถือว่าดี ตามคำบอกของซิ่วไฉเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูญเสียสิทธิ์ในการกินหัวหมูเย็นๆ ไป

เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็อดปลงอนิจจังกับความซับซ้อนของการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ได้

แม้แต่เหวินเซิ่งก็จำต้องยอมรับว่า ขนาด ‘นักปราชญ์’ ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นซึ่ง ‘เขียนบทความแห่งคุณธรรมได้ดี ความรู้ในท้องไม่แย่’ ก็ยังประพฤติตัวอย่าง ‘ไร้เหตุผล ไร้มารยาท’ ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

แต่เอาเข้าจริงแล้ว หลักการและความรู้ของหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ในศาลบุ๋นท่านนี้ไม่เคยมีคุณความชอบในด้านการอบรมสั่งสอนผู้คนบ้างเลยหรือ?

ย่อมต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย

ถ้าอย่างนั้นเพื่อ ‘ผลงานพันปี โชคชะตาบุ๋นหมื่นปี’ เขาจึงเล่นงานเฉินผิงอันในครั้งนี้ จะหมายความว่าบนมหามรรคาเส้นที่เขาเดินไปต้องผิดพลาดใช่หรือไม่? เขาจะไม่มีทางเดินไปได้ไกลและสูงมากกว่านี้อีกแล้ว?

ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน

หลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกวันเฉินผิงอันจะใคร่ครวญถึง ‘หลักการใหญ่’ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้คิดถึง เพราะถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ

ในร้านยาตอนนี้ ผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนคุยเก่ง เขาเลือกยาสมุนไพรพลางชวน ‘เถ้าแก่’ อย่างเฉินผิงอันคุยไปด้วย

ตอนที่จ่ายเงิน ผู้เฒ่าที่แต่งกายเหมือนเศรษฐีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่น้อย เต็มใจฟังคำแนะนำจากคนผ่านทางอย่างข้าสักประโยคหรือไม่?”

เทพหยินแซ่จ้าวที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดใจหดเกร็ง

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เชิญท่านผู้เฒ่าพูดมาได้เลย”

ผู้เฒ่าเหลียวมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก ถูกไหมล่ะ คิดอยากจะทำการค้าให้ดีก็ควรต้องให้พวกแม่นางน้อยที่ยังสาวยังสวยและทั้งปากหวานมาช่วย!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด การค้าซบเซาไปบ้าง แต่ขอแค่มีกินไปวันๆ ก็พอแล้ว”

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “อายุน้อยๆ ก็ทำตัวเป็นคนแก่แบบนี้ ไม่ดีเลย”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ ไม่เอ่ยอะไรอีก

ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ข้าน่ะ เป็นคนต่างถิ่น ฟังจากสำเนียงก็รู้แล้ว แต่นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ถึงได้มาที่ร้านนี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เจ้าไม่โง่ ข้าเองก็ไม่โง่ กล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัวในช่วงเวลานี้ คนที่เกิดและเติบโตในนครมังกรเฒ่าต่างก็ไม่มีทางทำ ก็มีแต่คนอย่างข้าที่เป็น…ยอดฝีมือนอกโลกเท่านั้น ถูกไหม?”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านผู้เฒ่าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปที่ทิศทางตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอก “ตอนนี้ข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่มีจิตคิดคดอะไร…”

เขาพลันเผยตบะขอบเขตโอสถทองออกมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยเห็นแก่สถานะเซียนดินโอสถทองของข้า ขายให้ข้าถูกหน่อยได้ไหม?”

เทพหยินแซ่จ้าวที่อยู่ในตรอกเล็กเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ

นี่เป็นเพราะเขาหวาดระแวง ไม่ว่าจะลมพัดต้นไม้ไหวก็นึกว่าเป็นศัตรูไปเสียหมด

ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าอีกฝ่ายจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด

แต่ผู้เฒ่ากลับพูดประโยคนี้ออกมา ทำเอาเทพหยินแซ่จ้าวอยากจะอ้าปากด่าคน

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ทำการค้าไม่สนเรื่องความสัมพันธ์ หากท่านผู้เฒ่าอยากจะหาคนคุยคลายเหงา ข้าและร้านยาล้วนต้อนรับ”

ผู้เฒ่าหิ้วห่อสมุนไพรน้อยใหญ่ไว้ในมือ ชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วถอนหายใจ “เจ้าไม่ใช่สตรีหน้าตางดงามสักหน่อย จะมีอะไรให้พูดคุยกันได้นักหนา”

สุยโย่วเปียนยืนอยู่หลังม่านไม้ไผ่ เมื่อผู้เฒ่าปลดปล่อยพลังอำนาจขอบเขตโอสถทองออกมา แม้ว่าจะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่สุยโย่วเปียนก็ยังรีบร้อนเดินออกมา แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันกำลัง ‘ต่อรองราคา’ อยู่กับอีกฝ่าย นางก็รู้สึกโมโหนิดๆ

ผู้เฒ่าที่พอจะมองเห็นรูปโฉมของสุยโย่วเปียนอย่างพร่าเลือนรีบหันหน้ามาพูดเสียงจริงจังกับเฉินผิงอันทันที “อันที่จริงข้าคือพ่อค้าขายสมุนไพร วันหน้าจะต้องมาที่ร้านยาทุกวัน จำเอาไว้ว่าเปิดร้านเช้าๆ ปิดร้านให้เย็นหน่อย!”

เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ

ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกจากร้านยา ฝีเท้าที่เยื้องย่างค่อนข้างล่องลอยเล็กน้อย ดีใจขนาดนี้เชียว?

สุยโย่วเปียนกลับไปแล้ว เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนก็จากไปด้วย มีเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่เดินมาตรงโต๊ะคิดเงิน ถามอย่างใคร่รู้ว่า “แค่ขอบเขตโอสถทองเท่านั้นหรือ?”

เทพหยินแซ่จ้าวเผยกายอยู่ด้านหลัง “เว้นเสียจากว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นขอบเขตโอสถทองจริงๆ แล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มจืดชืด “ใบถงทวีปใหญ่ขนาดนั้นยังมีขอบเขตเซียนเหรินแค่กี่คนเอง?”

ช่วงบ่าย ผู้เฒ่าก็เดินตุปัดตุเป๋มาอีกครั้ง คราวนี้ซื้อยาสมุนไพรกองโต ทำให้ร้านยาฮุยเฉินได้เงินไปอีกยี่สิบกว่าตำลึง

ตอนที่จากมา ผู้เฒ่ายังชำเลืองมองไปด้านหลังม่านไม้ไผ่

ตอนที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ผู้เฒ่าท่านนี้ต้องคุยกับเจิ้งต้าเฟิงและจูเหลี่ยนรู้เรื่องแน่นอน”

จูเหลี่ยนถูฝ่ามือ “นายท่าน หากพรุ่งนี้คนผู้นั้นมาอีก ข้าจะลองหยั่งเชิงเขาดู นายท่านวางใจได้เต็มร้อย จะใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ บ่าวเฒ่าแค่ชวนคุยไม่กี่ประโยคก็มองออกแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าต้องกะประมาณให้พอดี อย่าเพิ่มเรื่องวุ่นวาย”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “บ่าวเฒ่าทราบแล้ว จะจดจำให้ขึ้นใจ”

เช้าตรู่วันถัดมา ผู้เฒ่าคนนั้นก็เดินเข้ามาในตรอกเล็ก เห็นว่าร้านยายังไม่เปิดประตู ผู้เฒ่าก็นั่งรออยู่ข้างนอกอย่างว่าง่าย

แม้เฉินผิงอันจะลืมตาตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่กลับเปิดประตูใหญ่ต้อนรับลูกค้าตามเวลา

ในขณะที่เฉินผิงอันช่วยเลือกสมุนไพรอยู่กับผู้เฒ่า จูเหลี่ยนก็แอบเดินมาเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็กล่าวด้วยประโยคประหลาดว่า “สาวงามบนถนน คนของครอบครัวใหญ่”

ผู้เฒ่าดวงตาเป็นประกาย พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “เด็กสาวอยู่ในห้องหอ ท่องกลอนสู่เต้าหนัน” (สู่เต้าหนันคือผลงานขึ้นชื่อชิ้นหนึ่งของหลี่ไป๋นักกวีในสมัยโบราณ)

คนทั้งสองสบตากัน

ไม่ผิดแน่ คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!

นี่ต้องเรียกว่าพบคนรู้ใจในต่างถิ่นเลยด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นก็ไม่มีบทของเฉินผิงอันอีก ตาเฒ่าสองคนซุบซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง สุดท้ายร้านยาฮุยเฉินได้เงินมาอีกแปดสิบตำลึงเต็มๆ

เฉินผิงอันไม่กล้าแอบฟัง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ จึงถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ในตำราย่อมมีหญิงงาม เลยแลกเปลี่ยนความรู้ในตำรากับผู้อาวุโสท่านนี้”

ตอนที่จูเหลี่ยนเดินไปทางม่านไม้ไผ่ตรงประตู เขาใช้หมัดทุบฝ่ามือ “เหนือคนยังมีคนจริงๆ ผู้อาวุโสต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบากแน่นอน!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ดีนักนะ เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย

หากรวมกับเจิ้งต้าเฟิงที่เริ่มลงจากเตียงมาเดินเข้าไปอีกคน คาดว่าคงหาความสงบกันไม่ได้

จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ชายคา กำลังอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่เขียนบรรยายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ หวานแต่ไม่เลี่ยน พอได้ยินว่าหลูป๋ายเซี่ยงชมตนก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ

หลูป๋ายเซี่ยงมีความอดทนดีมาก ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พอจะฟังเข้าใจไหม? หากไม่เข้าใจ ข้าสามารถพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”

เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ “ฟังเข้าใจทั้งหมด แต่ข้าไม่อยากเรียนวิธีการเดิน”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้ม “ไม่เรียนรู้ที่จะหัดเดินก่อน วันหน้าจะวิ่ง จะบินได้อย่างไร?”

เผยเฉียนชำเลืองตามองดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ตรงเอวของหลูป๋ายเซี่ยง “แต่ข้าอยากเรียนวิชากระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด หากไม่ได้จริงๆ เรียนวิชาดาบก็ได้”

หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนปัญญาแล้ว”

พอเห็นเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนวิธีการเดินก่อนแล้วกัน!”

จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “หญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุน” (สินค้าขาดทุนภาษาจีนคือเผยเฉียนฮว่าซึ่งคล้องกับชื่อของเผยเฉียน)

เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าคำรามเดือดดาล “อย่านึกว่าตัวเองทำกับข้าวอร่อยแล้วจะร้ายกาจนะ! แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย!”

จูเหลี่ยนร้องโอ้โหหนึ่งที ปิดหนังสือลง ร่างที่หลังงองุ้มลุกขึ้นยืน “ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้จะต้องประลองฝีมือกับเจ้าดูสักครั้งให้จงได้ อย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้เสียทีว่าข้าที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน คือพ่อครัวที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด”

เผยเฉียนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “ได้ งั้นพวกเรามาแข่งคัดตัวอักษรกัน!”

จูเหลี่ยนนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็ก อ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการทะเลาะโต้เถียงของพวกเขา

ในเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันไม่เคยบังคับควบคุมเผยเฉียนมาก่อน

เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน น้อยครั้งที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างในตอนนี้ จึงก้าวเบาๆ หนึ่งก้าวเข้าไปยังใจกลางของลานบ้าน

สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อารมณ์ความรู้สึกของเฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่แย่

เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว แต่มือกลับตั้งกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

กระบวนท่าหมัดเดินนิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตบะและขอบเขต

หากจะพูดถึงความรู้สึกที่ปณิธานหมัดมอบให้แก่ผู้คนก็มีแค่สี่คำว่า เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น

เผยเฉียนรู้สึกเพียงว่าท่าเดินนิ่งที่เหมือนกัน แต่เมื่อเฉินผิงอันเอาจริงเอาจังขึ้นมา ต่อให้แค่มองอย่างเดียวก็ยังรู้สึกสบายตาอย่างยิ่ง

จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึง “ค่อนข้างจะน่าสนใจแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “ข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด”

หลังจากที่เฉินผิงอันเก็บหมัดยืนตัวตรง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”

สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ หมุนตัวกลับไปนั่งข้างโต๊ะโดยตรง

เสียงอู้อี้ของเว่ยเซี่ยนดังมาจากในห้อง “ความเผด็จการมิอาจสู้ได้”

เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้นกุมท้องหัวเราะก๊าก เจ้าพวกนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าเป็นหญ้าบนยอดกำแพงอีกรึ?

กลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เดินมาหน้าประตูของห้องหลัก เอามือยันกรอบประตู เงยหน้ามองดวงอาทิตย์แวบหนึ่งแล้วหรี่ตาลง “ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่างแล้ว หากยังนอนต่อไป มีหวังต้องขึ้นราแน่ๆ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าลงจากเตียงมาเดินได้แล้วรึ? อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาดเชียว ล้มหน้าทิ่มขี้หมาขึ้นมา เดี๋ยวก็ต้องกลับไปนอนอีกสิบวันครึ่งเดือน”

เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคือคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว) ของข้า ช่วยเห็นข้อดีของข้าบ้างได้ไหม!”

เผยเฉียนตวัดตามองค้อน “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย”

หลังจากที่เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายเจิ้งต้าเฟิงก็กลับไปนั่งลงบนม้านั่งยาว เผยเฉียนวิ่งไปหยิบเมล็ดแตงมาอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว นางแบมือเล็กๆ ที่มีเมล็ดแตงอยู่เต็มฝ่ามือวางไว้เบื้องหน้าเฉินผิงอันตลอดเวลา

เจิ้งต้าเฟิงเดินได้ช้ามาก ย่างก้าวก็สั้น เขาเพียงเดินเล่นอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก ไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ ฝืนพาตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง

เพียงแต่บุรุษผู้นี้หลังค่อมอยู่ตลอดเวลา

ทุกคนต่างทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ต่างคนต่างทำธุระของตัวเองไป หลูป๋ายเซี่ยงหยิบโต๊ะและกล่องหมากล้อมไปเล่นกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนอ่านหนังสือ เว่ยเซี่ยนนอนหลับ เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงกับเฉินผิงอัน

ในร้านยาเล็กๆ เริ่มมีบรรยากาศของช่วงตรุษจีนขึ้นมาบ้างแล้ว

ตอนกลางวันของวันหนึ่ง ร้านยาฮุยเฉินได้ต้อนรับแขกที่ไม่ใช่สองพี่น้องฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์

คือแขกอย่างแท้จริง

เขาคือชายชราคนหนึ่งที่มีสำเนียงต่างถิ่น มาซื้อยาสมุนไพรจำนวนไม่น้อยจากที่ร้าน เพียงแต่บ่นว่าราคาออกจะแพงไปหน่อย

เทพหยินแซ่จ้าวได้แต่ใช้เสียงในใจบอกเฉินผิงอันว่า เขาแค่มองออกว่าคนผู้นี้มีตบะขอบเขตประตูมังกรที่ค่อนข้างมั่นคง

เฉินผิงอันกลับมีจิตใจที่สงบนิ่ง ขนาดตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานยังประมือด้วยมาแล้ว จะดีจะชั่วก็เคยเห็นคลื่นใหญ่ลมแรงมาก่อน ความหนักแน่นน้อยนิดแค่นี้ย่อมต้องมี

คำพูดประโยคหนึ่งที่วิญญาณกระบี่ถ่ายทอดให้แก่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งทำให้เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างได้กระจ่างแจ้ง

หลักการและเหตุผลบนโลกใบนี้ อันที่จริงดำรงอยู่ตลอดเวลา บางคนหยิบขึ้นมาบูชา มองเป็นของล้ำค่า บางคนดูแคลน บางคนถึงขั้นเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า

นี่ไม่ใช่ว่าหลักการและเหตุผลไม่ถูกต้อง ไม่ดี

แต่เป็นเพราะใจคนมีปัญหา

วิญญาณกระบี่ยังพูดถึงผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์ม่านฟ้าทางเหนือของใบถงทวีปเป็นพิเศษ บอกว่าจุดจบของเขาไม่ถือว่าดี ตามคำบอกของซิ่วไฉเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูญเสียสิทธิ์ในการกินหัวหมูเย็นๆ ไป

เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็อดปลงอนิจจังกับความซับซ้อนของการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ได้

แม้แต่เหวินเซิ่งก็จำต้องยอมรับว่า ขนาด ‘นักปราชญ์’ ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นซึ่ง ‘เขียนบทความแห่งคุณธรรมได้ดี ความรู้ในท้องไม่แย่’ ก็ยังประพฤติตัวอย่าง ‘ไร้เหตุผล ไร้มารยาท’ ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

แต่เอาเข้าจริงแล้ว หลักการและความรู้ของหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ในศาลบุ๋นท่านนี้ไม่เคยมีคุณความชอบในด้านการอบรมสั่งสอนผู้คนบ้างเลยหรือ?

ย่อมต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย

ถ้าอย่างนั้นเพื่อ ‘ผลงานพันปี โชคชะตาบุ๋นหมื่นปี’ เขาจึงเล่นงานเฉินผิงอันในครั้งนี้ จะหมายความว่าบนมหามรรคาเส้นที่เขาเดินไปต้องผิดพลาดใช่หรือไม่? เขาจะไม่มีทางเดินไปได้ไกลและสูงมากกว่านี้อีกแล้ว?

ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน

หลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกวันเฉินผิงอันจะใคร่ครวญถึง ‘หลักการใหญ่’ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้คิดถึง เพราะถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ

ในร้านยาตอนนี้ ผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนคุยเก่ง เขาเลือกยาสมุนไพรพลางชวน ‘เถ้าแก่’ อย่างเฉินผิงอันคุยไปด้วย

ตอนที่จ่ายเงิน ผู้เฒ่าที่แต่งกายเหมือนเศรษฐีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่น้อย เต็มใจฟังคำแนะนำจากคนผ่านทางอย่างข้าสักประโยคหรือไม่?”

เทพหยินแซ่จ้าวที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดใจหดเกร็ง

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เชิญท่านผู้เฒ่าพูดมาได้เลย”

ผู้เฒ่าเหลียวมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก ถูกไหมล่ะ คิดอยากจะทำการค้าให้ดีก็ควรต้องให้พวกแม่นางน้อยที่ยังสาวยังสวยและทั้งปากหวานมาช่วย!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด การค้าซบเซาไปบ้าง แต่ขอแค่มีกินไปวันๆ ก็พอแล้ว”

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “อายุน้อยๆ ก็ทำตัวเป็นคนแก่แบบนี้ ไม่ดีเลย”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ ไม่เอ่ยอะไรอีก

ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ข้าน่ะ เป็นคนต่างถิ่น ฟังจากสำเนียงก็รู้แล้ว แต่นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ถึงได้มาที่ร้านนี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เจ้าไม่โง่ ข้าเองก็ไม่โง่ กล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัวในช่วงเวลานี้ คนที่เกิดและเติบโตในนครมังกรเฒ่าต่างก็ไม่มีทางทำ ก็มีแต่คนอย่างข้าที่เป็น…ยอดฝีมือนอกโลกเท่านั้น ถูกไหม?”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านผู้เฒ่าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปที่ทิศทางตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอก “ตอนนี้ข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่มีจิตคิดคดอะไร…”

เขาพลันเผยตบะขอบเขตโอสถทองออกมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยเห็นแก่สถานะเซียนดินโอสถทองของข้า ขายให้ข้าถูกหน่อยได้ไหม?”

เทพหยินแซ่จ้าวที่อยู่ในตรอกเล็กเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ

นี่เป็นเพราะเขาหวาดระแวง ไม่ว่าจะลมพัดต้นไม้ไหวก็นึกว่าเป็นศัตรูไปเสียหมด

ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าอีกฝ่ายจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด

แต่ผู้เฒ่ากลับพูดประโยคนี้ออกมา ทำเอาเทพหยินแซ่จ้าวอยากจะอ้าปากด่าคน

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ทำการค้าไม่สนเรื่องความสัมพันธ์ หากท่านผู้เฒ่าอยากจะหาคนคุยคลายเหงา ข้าและร้านยาล้วนต้อนรับ”

ผู้เฒ่าหิ้วห่อสมุนไพรน้อยใหญ่ไว้ในมือ ชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วถอนหายใจ “เจ้าไม่ใช่สตรีหน้าตางดงามสักหน่อย จะมีอะไรให้พูดคุยกันได้นักหนา”

สุยโย่วเปียนยืนอยู่หลังม่านไม้ไผ่ เมื่อผู้เฒ่าปลดปล่อยพลังอำนาจขอบเขตโอสถทองออกมา แม้ว่าจะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่สุยโย่วเปียนก็ยังรีบร้อนเดินออกมา แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันกำลัง ‘ต่อรองราคา’ อยู่กับอีกฝ่าย นางก็รู้สึกโมโหนิดๆ

ผู้เฒ่าที่พอจะมองเห็นรูปโฉมของสุยโย่วเปียนอย่างพร่าเลือนรีบหันหน้ามาพูดเสียงจริงจังกับเฉินผิงอันทันที “อันที่จริงข้าคือพ่อค้าขายสมุนไพร วันหน้าจะต้องมาที่ร้านยาทุกวัน จำเอาไว้ว่าเปิดร้านเช้าๆ ปิดร้านให้เย็นหน่อย!”

เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ

ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกจากร้านยา ฝีเท้าที่เยื้องย่างค่อนข้างล่องลอยเล็กน้อย ดีใจขนาดนี้เชียว?

สุยโย่วเปียนกลับไปแล้ว เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนก็จากไปด้วย มีเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่เดินมาตรงโต๊ะคิดเงิน ถามอย่างใคร่รู้ว่า “แค่ขอบเขตโอสถทองเท่านั้นหรือ?”

เทพหยินแซ่จ้าวเผยกายอยู่ด้านหลัง “เว้นเสียจากว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นขอบเขตโอสถทองจริงๆ แล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มจืดชืด “ใบถงทวีปใหญ่ขนาดนั้นยังมีขอบเขตเซียนเหรินแค่กี่คนเอง?”

ช่วงบ่าย ผู้เฒ่าก็เดินตุปัดตุเป๋มาอีกครั้ง คราวนี้ซื้อยาสมุนไพรกองโต ทำให้ร้านยาฮุยเฉินได้เงินไปอีกยี่สิบกว่าตำลึง

ตอนที่จากมา ผู้เฒ่ายังชำเลืองมองไปด้านหลังม่านไม้ไผ่

ตอนที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ผู้เฒ่าท่านนี้ต้องคุยกับเจิ้งต้าเฟิงและจูเหลี่ยนรู้เรื่องแน่นอน”

จูเหลี่ยนถูฝ่ามือ “นายท่าน หากพรุ่งนี้คนผู้นั้นมาอีก ข้าจะลองหยั่งเชิงเขาดู นายท่านวางใจได้เต็มร้อย จะใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ บ่าวเฒ่าแค่ชวนคุยไม่กี่ประโยคก็มองออกแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าต้องกะประมาณให้พอดี อย่าเพิ่มเรื่องวุ่นวาย”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “บ่าวเฒ่าทราบแล้ว จะจดจำให้ขึ้นใจ”

เช้าตรู่วันถัดมา ผู้เฒ่าคนนั้นก็เดินเข้ามาในตรอกเล็ก เห็นว่าร้านยายังไม่เปิดประตู ผู้เฒ่าก็นั่งรออยู่ข้างนอกอย่างว่าง่าย

แม้เฉินผิงอันจะลืมตาตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่กลับเปิดประตูใหญ่ต้อนรับลูกค้าตามเวลา

ในขณะที่เฉินผิงอันช่วยเลือกสมุนไพรอยู่กับผู้เฒ่า จูเหลี่ยนก็แอบเดินมาเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็กล่าวด้วยประโยคประหลาดว่า “สาวงามบนถนน คนของครอบครัวใหญ่”

ผู้เฒ่าดวงตาเป็นประกาย พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “เด็กสาวอยู่ในห้องหอ ท่องกลอนสู่เต้าหนัน” (สู่เต้าหนันคือผลงานขึ้นชื่อชิ้นหนึ่งของหลี่ไป๋นักกวีในสมัยโบราณ)

คนทั้งสองสบตากัน

ไม่ผิดแน่ คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!

นี่ต้องเรียกว่าพบคนรู้ใจในต่างถิ่นเลยด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นก็ไม่มีบทของเฉินผิงอันอีก ตาเฒ่าสองคนซุบซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง สุดท้ายร้านยาฮุยเฉินได้เงินมาอีกแปดสิบตำลึงเต็มๆ

เฉินผิงอันไม่กล้าแอบฟัง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ จึงถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ในตำราย่อมมีหญิงงาม เลยแลกเปลี่ยนความรู้ในตำรากับผู้อาวุโสท่านนี้”

ตอนที่จูเหลี่ยนเดินไปทางม่านไม้ไผ่ตรงประตู เขาใช้หมัดทุบฝ่ามือ “เหนือคนยังมีคนจริงๆ ผู้อาวุโสต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบากแน่นอน!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ดีนักนะ เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย

หากรวมกับเจิ้งต้าเฟิงที่เริ่มลงจากเตียงมาเดินเข้าไปอีกคน คาดว่าคงหาความสงบกันไม่ได้

เมื่อสองวันก่อนเจิ้งต้าเฟิงเกือบจะถูกสุยโย่วเปียนเอากระบี่เสียบ

สาเหตุก็เพราะลูกศิษย์คนดีอย่างฟ่านเอ้อร์ไม่รู้ว่าไปให้ใครช่วยวาดภาพเหมือนที่ราวกับมีชีวิตจริงให้กับอาจารย์ของตัวเอง หลังจากได้มา เจิ้งต้าเฟิงก็เอามาแขวนไว้บนผนังห้องของตัวเอง ทำท่าราวกับว่าอยากจะจุดธูปบูชาอย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเผยเฉียนก็มาบอกความลับ

สุยโย่วเปียนจึงรีบไปดู เป็นภาพเหมือนของนางจริงๆ!

แถมยังยิ้มหวานหยดย้อยอีกด้วย? ชุดที่สวมก็โปร่งบางถึงเพียงนั้น?

หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันห้ามสุยโย่วเปียนเอาไว้ คาดว่าเจิ้งต้าเฟิงคงถูกนางแทงกระบี่ใส่เต็มแรงแล้วจริงๆ

สุดท้ายยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ไม่สนใจคำอ้อนวอนของเจิ้งต้าเฟิง ปลดภาพเหมือนลงมามอบให้สุยโย่วเปียนนำไปจัดการ ถึงได้สยบคลื่นมรสุมที่ทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ครั้งนี้ไว้ได้ แต่ก็ถือว่าสุยโย่วเปียนกับเจิ้งต้าเฟิงผูกปมความขัดแย้งกันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

เฉินผิงอันที่ทำตัวเป็นกาวประสานก็ไม่มีจุดจบที่ดี สุยโย่วเปียนไม่ได้ฟันภาพเหมือนนั้นให้แหลก กลับกันยังหัวเราะหยันพูดว่า ไม่สู้เจ้าเฉินผิงอันเก็บไว้เองเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้วนี่

คิดไปคิดมา เฉินผิงอันจึงใช้หลักความรู้การเรียงตามลำดับที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดถึง นั่นคือไปดึงหูเผยเฉียนมา บอกให้นางคัดตัวอักษรหนึ่งพันห้าร้อยตัว

ฟ่านเอ้อร์คล้ายจะมีไหวพริบอยู่บ้าง หลังจากนำภาพนี้มามอบให้ก็ไม่มาหาอีกเลย ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะสอนให้เขารู้ว่าอะไรคือหมัดหวังปาที่แท้จริง

ช่วงปลายปีแล้ว

ต้องซื้อของสำหรับช่วงปีใหม่

ฟ่านจวิ้นเม่ามาเยือนรอบหนึ่ง บอกว่าตระกูลฟ่านกับตระกูลฝูได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ฝ่ายหลังเป็นคนมาหาถึงเรือน ฝูฉีมาพบนางด้วยตัวเอง ซึ่งฝูฉีรับประกันว่าจะชดเชยให้กับร้านยาฮุยเฉินด้วยจำนวนเงินที่ใหญ่เทียมฟ้า

เผยเฉียน เว่ยเซี่ยน สุยโย่วเปียนสามคนพากันไปซื้อสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีน

เป็นเผยเฉียนที่ขอร้องสุยโย่วเปียนอย่างยากลำบาก

ผู้เฒ่าที่ทุกวันจะต้องมานั่งคุยกับจูเหลี่ยนในตรอกเล็กนอกร้านยา วันนี้นั่งอยู่ตรงมุมหัวเลี้ยว สงบสำรวมตามองจมูก จมูกมองใจ ท่าทางคล้ายยอดฝีมือนอกโลกอย่างยิ่ง

ตลอดหลายวันมานี้จูเหลี่ยนยิ่งตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์ด้วยวิธีการดีเยี่ยม ล้วนเป็นผู้อาวุโสคนนั้นที่มอบให้เขา แทบจะต้องจุดตะเกียงอ่านตอนกลางคืนทุกวัน

คืนนี้พวกเผยเฉียนสามคนกลับมาพร้อมของเต็มมือ เฉินผิงอันปิดประตูร้านยา นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ดื่มยาดองสุราที่ผ่านการหล่อหลอมระดับเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งอึก

เผยเฉียนเล่นสนุกอยู่ข้างนอกอย่างเต็มที่มาหนึ่งวันจึงนอนหลับไปนานแล้ว แน่นอนว่าไม่กล้าไม่คัดหนังสือ

หลูป๋ายเซี่ยงนั่งอยู่ข้างกายเขา

เขาพูดคุยถึงเรื่องราวน่าสนใจบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนี้

หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าคู่ควรให้นำมาขบคิด พูดว่ายุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัวควรจะเรียนรู้การกระทำของสำนักบนภูเขาเหล่านี้บ้างจริงๆ

ยกตัวอย่างเช่นการสังหารศัตรูคู่อาฆาตของที่นี่ถือว่ารวดเร็วฉับไวอย่างมาก มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหลายข้อบนภูเขาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

ข้อแรก รับมือกับศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่มีทางจะคลี่คลายความขัดแย้งได้ด้วยการถอนรากถอนโคน ข้อสอง ลูกศิษย์หนุ่มสาวที่ตบะไม่สูง แต่มีโชคดีเป็นพิเศษ อย่าได้เอาศีรษะหรือสมบัติอาคมไปมอบให้คนอื่นเด็ดขาด หากคนที่เป็นเช่นนี้จะถูกล้อมสังหาร คนส่วนใหญ่ที่จับกลุ่มกันมามักจะแบ่งให้คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่มีตบะสูสีหรืออยู่ในขอบเขตเดียวกัน มาเพื่อขัดเกลามหามรรคา หากระหว่างการเข่นฆ่าสามารถสังหารคนผู้นั้นได้สำเร็จก็มีความเป็นไปได้ว่าจะดูดดึงเอาโชคของอีกฝ่ายมาครอง คนหนึ่งคือผู้ปกป้องมรรคาชั่วคราว อย่างน้อยต้องมีศักยภาพสูงกว่าคนที่จะถูกฆ่าหนึ่งถึงสองขอบเขต คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่ตบะสูงที่สุดซึ่งจะคอยรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอยู่ในที่มืด ข้อที่สาม หากยังคงเสียเปรียบครั้งใหญ่ แต่เมื่อเกี่ยวพันกับการคงอยู่หรือล่มสลายของสำนักก็ไม่ต้องคิดรักษาศักดิ์ศรีหน้าตาอีกแล้ว เงินที่ควรให้ก็ให้ สมบัติที่ควรมอบก็มอบไป ข้อที่สี่ ศักยภาพของผู้ฝึกตนอิสระจะสูงแค่ไหน แต่ไปมีเรื่องด้วยก็ไม่น่ากังวลมากนัก คนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง เดิมทีก็เป็นเหมือนคลังสมบัติเคลื่อนที่อยู่แล้ว หากพวกเขากล้ามาแหยม ไม่ฆ่าทิ้งก็เสียเปล่า

คุยกันมาถึงสุดท้าย หลูป๋ายเซี่ยงปลงอนิจจังจากใจจริงว่า “ช่างเป็นฟ้าดินที่แตกต่างจริงๆ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของการรับลูกศิษย์ของที่นี่ พิถีพิถันยิ่งนัก พื้นที่มงคลดอกบัวไม่อาจเทียบได้เลย”

จากนั้นเขาก็หันหน้ามายิ้มให้ “อย่างเช่นสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อเผยเฉียน”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “การรับลูกศิษย์นั้นยากมาก ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็สอนพวกเขาอย่างนั้น แรกเริ่มข้าไม่เต็มใจจะสอนเผยเฉียน ภายหลังเริ่มมีความคิดจะสอน แต่ก็ไม่กล้าสอน ตอนนี้คือไม่รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้าราตรี “จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอกว่าเผยเฉียนคือหญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง อันที่จริงข้ารู้สึกว่ายังดี เด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ที่เติบโตแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนเราควรต้องมีสามช่วงวัยนี้ หญ้าต้นเล็กบอบบางอ่อนแอ แต่รากต้องหยั่งลึกลงไปอย่างแน่นหนา เพียงแค่ลมพัดมา หญ้าก็พลิ้วปลิว อันที่จริงนี่ก็ไม่มีอะไร หญ้าเขียวขึ้นเรียงเคียงกัน ลมพัดส่ายไปส่ายมา อันดับต่อมาก็จะเป็นเหมือนไผ่เขียวบนภูเขา บางคนก็รังเกียจ พูดกันว่าไผ่ชั่วร้ายตัดหมื่นต้นก็ไม่เสียดาย (ท่อนหนึ่งในบทกลอนของราชวงศ์ถัง) แต่ก็มีบัณฑิตบางคนที่ชอบต้นไผ่มาก ใต้หล้าแห่งนี้ยังถึงขั้นมีถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) มีภูเขาชิงเสินที่ชื่อเสียงโด่งดังมาก จากนั้นถึงจะเป็นต้นสนเขียวตระหง่านหยัดตรง”

“เมื่อก่อนมีมือกระบี่คนหนึ่งที่ร้ายกาจมากๆๆ เดินทางร่วมกับข้า ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว ยามที่เขามองข้า หากว่ากันในด้านคุณลักษณะแล้วก็คงเหมือนที่ข้ามองเผยเฉียน ต่างก็กำลังถามใจตัวเองอยู่ เป็นการทดสอบที่ไร้เสียงครั้งหนึ่ง”

“ตอนนั้นข้าเพิ่งฝึกวิชาหมัด เขาสอนวิชากระบี่ที่สูงส่งให้ข้าไม่ได้หรือ? ให้ข้าดื่มเหล้าที่ดองจากโอสถปีศาจสักคำหนึ่งไม่ได้หรือไง? สอนวิชาชั้นสูงด้านการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณให้ข้าไม่ได้หรือ? มอบสมบัติวิเศษให้ข้าทีเดียวหมดไม่ได้หรือไง? ล้วนทำได้ทั้งหมด เพราะสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ”

“แต่เขากลับไม่ทำ”

“เพราะอะไร?”

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ภายหลังมาคิดดูก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จนกระทั่งข้างกายข้ามีเผยเฉียนถึงพอจะเข้าใจบ้างเล็กน้อย”

ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งบอกว่าโลกที่พวกเราอยู่อาศัยมักจะซับซ้อนเช่นนี้เสมอ เดินไปเดินมา พุ่มหญ้าขึ้นเป็นกอ วัดร้างอารามเก่าโทรม เดินไปเดินมา ต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ ดอกท้อบานสะพรั่ง เดินไปเดินมา ภูเขาแห้งโกร๋นสายน้ำขุ่นมัว ม่านรัตติกาลหนาหนัก เดินไปเดินมา หอแก้วศาลาหยก เปล่งรัศมีเรืองรอง

เฉินผิงอันดื่มเหล้าดองยาอึกสุดท้ายของคืนนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ฤทธิ์เหล้านี้แรงจริงๆ

น้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะพูดคุยเรื่องพวกนี้กับคนนอก วันนี้คือข้อยกเว้น

เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าหลูป๋ายเซี่ยงคือคนบนเส้นทางเดียวกัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ก็คล้ายๆ กับที่ให้ตายอย่างไรผู้เฒ่าเหยาและอริยะหร่วนฉงก็ไม่ยินดีรับเขาเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์

เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ใช้สองมือถูหน้า จากนั้นก็เป่าลมใส่ฝ่ามือ ควันขาวลอยอวลอล ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ข้ามองโลกใบนี้ในแง่ดีเสมอ ส่วนที่เลวร้าย ข้าก็อยากจะมองให้ชัด มองให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หากเป็นเรื่องราวหรือคนที่ไม่ได้ถูกหรือผิดมากเกินไปก็จะพยายามมองในส่วนที่ดีของพวกเขา ไม่ได้บอกว่าคนอื่นไม่ชอบข้าเฉินผิงอัน ไม่เห็นดีในตัวข้าเฉินผิงอัน หรืออาจถึงขั้นเกิดข้อขัดแย้งกัน เขาจะต้องเป็นฝ่ายผิด ในพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเจ้ามีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์คนหนึ่งชื่อว่าคนลับมีดหลิวจง เขาพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก ‘ถนนใต้ฝ่าเท้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างเดินไป ไม่มีปัญหา’ ข้าคิดว่าประโยคนี้ไม่มีปัญหาจริงๆ เพียงแต่ เป็นคน จะไม่มีคนดีคนเลวได้อย่างไร นอกจากถูกและผิดแล้วก็จะค่อนข้างพร่าเลือน ต่างก็พูดกันว่าชะตาชีวิตคนเกี่ยวข้องกับสวรรค์ นี่ก็ถือเป็นความถูกต้องและความผิดแล้ว ยกตัวอย่างเช่นตู้เม่า ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาต้องเคยทำเรื่องที่เลวร้ายมามากแน่ๆ และก็ต้องเคยทำเรื่องดีมาเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเมื่ออยู่ในสำนักใบถง เขาก็คือบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์อย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม”

หลูป๋ายเซี่ยงวางมือสองข้างไว้บนหัวเข่าเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็ยินดีหาเรื่องลำบากใส่ตัวอย่างเจ้าหรือ? วันๆ เอาแต่คิดวกวนอยู่ในใจว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด จะต้องลำบากแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ฝึกวรยุทธ์ เรียนวิชากระบี่ เป็นเทพเซียน คนหลายคนก็ทำแค่เพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น เป็นจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรม เพื่อแก้แค้นให้เพื่อนสนิทจึงสังหารคนทั้งครอบครัวของคนที่ไม่รู้จัก แต่นี่กลับถูกยุทธภพมองว่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษ จะนับอย่างไร? เพื่อบิดา ปล้นรถนักโทษสังหารขุนนาง ฆ่าทุกคนหมดสิ้นในรวดเดียว สุดท้ายยังได้เป็นขุนนางใหญ่ ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่กตัญญู เปี่ยมไปด้วยความองอาจผึ่งผาย จะนับเช่นไร? คนผู้หนึ่งทรยศต่อข้า ข้าก็ทรยศต่อคนทั้งใต้หล้า คนแบบนี้มีมากมายเหลือเกิน บางคนทำเช่นนี้ แต่บางคนก็คิดจะทำ แต่แค่ทำไม่ได้เท่านั้น”

หลูป๋ายเซี่ยงใช้สองมือตบเข่าเบาๆ “บนเส้นทางชีวิตคน มีคนมองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า พอเห็นแล้วก็รู้สึกมีความหวัง บางคนทนเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ เห็นคนอื่นทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ จึงมองเห็นแต่ขี้ที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง กินขี้อยู่เต็มปาก แต่กลับยังรู้สึกว่ารสชาติยอดเยี่ยม ถึงอย่างไร…กินขี้ก็ทำให้อิ่มท้องได้”

เฉินผิงอันอดถามขัดจังหวะทำลายบรรยากาศอันดีไม่ได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

แล้วก็รีบพูดว่า “ช่างเถิด ถือซะว่าข้าไม่ได้ถาม”

หลูป๋ายเซี่ยงให้คำตอบที่ต่อให้เฉินผิงอันคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึง “ข้าเคยกินมาก่อนไง”

เฉินผิงอันเงียบงัน

หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้ม พูดด้วยสีหน้าปกติ “ข้ามีชาติกำเนิดพอๆ กับเว่ยเซี่ยน อันที่จริงยังแย่กว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำ เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่ยังเล็ก คนที่บ้านเกิดก็ไม่ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์จิตใจบริสุทธิ์อะไร ปีที่ข้าอายุสิบสี่เคยถูกเด็กหนุ่มชั่วร้ายของบ้านเกิดโยนเข้าไปในหลุมขี้ แถมยังทิ้งคนสองคนให้เฝ้าอยู่ด้านข้าง ขอแค่โผล่หัวออกมาจะต้องถูกด้ามไม้ไผ่ตีกลับไป ช่วยไม่ได้ จึงต้องกินให้อิ่มท้อง หลังจากนั้นมาข้าก็ลับมีดแหลมคมเล่มหนึ่ง”

เฉินผิงอันถาม “ทุกคนล้วนถูกเจ้าแทงตายหรือ?”

หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “เปล่าเลย ข้าคำนวณเวลาอย่างแม่นยำ คนแรกที่จับตัวมาได้ดื่มเหล้าจนเมามาย ข้าแทงท้องเขาหนึ่งทีก็ขาอ่อนไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกโยนเข้าไปในคุกของอำเภอ ต่อมาบ้านเกิดก็อยู่ไม่ได้แล้ว จึงออกไปท่องยุทธภพ เรียกว่าท่องยุทธภพ แต่อันที่จริงก็แค่การมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ จู่ๆ วันหนึ่งข้าก็เริ่มได้พบเจอกับเรื่องอัศจรรย์ติดต่อกัน ไปกินสมุนไพรวิเศษอายุพันปีต้นหนึ่ง ได้รับตำราลับวิชาเทพเซียนมาเล่มหนึ่ง รู้จักกับสาวงามคนรู้ใจมากมาย แล้วก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยกระมัง จึงกลายเป็นความยึดมั่นอย่างหนึ่ง คิดอยากจะให้ตัวเองเป็นเหมือนลูกหลานชนชั้นสูง กลายมาเป็นบัณฑิต ชอบคำว่า ‘สง่างาม’ มากที่สุด แต่ว่าข้ายังถือว่าฉลาด ไม่ว่าเรียนรู้อะไรก็เร็วไปหมด สรุปจากเรื่องหนึ่งก็อนุมานไปเรื่องอื่นๆ ได้ อีกอย่างไม่ว่าข้าทำอะไรก็ล้วนอยากเป็นที่หนึ่ง โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ช่วงชิงมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังถือว่าปล่อยวางได้”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “ข้ารู้ว่าจูเหลี่ยนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ คือคนของครอบครัวที่ร่ำรวย ยามกินใช้กระถางวางอาหารเลิศรส มีดนตรีบรรเลงคลออย่างแท้จริง สุยโย่วเปียนแย่กว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวแม่ทัพอันดับหนึ่ง โชควาสนานำพาถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น ยากจะจินตนาการได้ว่า เจ้าก็คือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของลัทธิมารในพื้นที่มงคลดอกบัว”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มอย่างเข้าใจ “ก็ยุทธภพนี่นะ ในช่วงเวลาที่ข้าใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติรุ่งโรจน์ ในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนชื่นชอบตั้งชื่อที่ไพเราะน่าฟัง ข้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่ตรงไหน หากคิดจะตั้งชื่อก็ตั้งไปตรงๆ ว่าลัทธิมาร จากนั้นก็ทำเรื่องที่ถูกต้องซื่อตรงยิ่งกว่าพรรคฝ่ายธรรมะ นั่นต่างหากถึงจะถือว่าร้ายกาจ ใช่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันพูด ข้าก็รู้ว่าหลังจากนั้นลัทธิมารมีพฤติกรรมเช่นไร เปิดตำราประวัติศาสตร์หลายเล่มออกอ่านก็จะค้นพบว่าประวัติศาสตร์ก็วกไปวนมาอยู่แบบนี้ ราชสำนัก ยุทธภพล้วนเหมือนกัน เหมือนการวาดวงกลม บางครั้งอาจมีอริยะผู้ทรงคุณธรรม มีผู้เปี่ยมพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์โผล่ออกมา ถ้าอย่างนั้นก็เดินออกไปอีกหน่อย วงกลมจะใหญ่ขึ้นอีกนิด คนรุ่นหลังก็จะเดินวนตามวงกลมต่อไป”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดว่า “บางครั้งก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่มีที่สิ้นสุด”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “นั่นก็คือปรากฎการณ์ของกลียุค ชีวิตคนมีค่าเท่าผักหญ้า ไม่ต่างจากไก่และหมา”

คนทั้งสองเงียบงันกันไปนาน

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “ใช่แล้ว ข้าประหลาดใจอย่างมาก เหตุใดเจ้าถึงยึดมั่นอยู่กับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผล?”

“ปมด้อย”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ขาดอะไรก็ต้องการสิ่งนั้น”

“หืม?”

“ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็พากันจากไป ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเพียงลำพัง จะถูกด่าก็ยาก ถูกชมเชยก็ยาก จึงหวังว่าจะทำทุกเรื่องให้ถูกต้อง ไม่ให้พวกเพื่อนบ้านลอบตำหนิลับหลัง ด่าข้าเสร็จแล้วยังลามไปด่าพ่อแม่ข้าด้วย นอกจากนี้ก็คือยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันในกระเป๋า ยากจนจนกลัว ดังนั้นจึงชอบฟังคนอื่นพูดด้วยเหตุผล แล้วก็ชอบเงิน ข้าไม่ชอบติดเงินคนอื่น แล้วก็ไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินข้า”

หลูป๋ายเซี่ยงเงียบไปนาน กว่าจะพูดว่า “ช่างเป็นคนที่…ซื่อสัตย์จริงๆ”

ระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกัน จูเหลี่ยนก็ย้ายม้านั่งไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ชายคา ในฐานะอดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัว สายตาแค่นี้ยังพอจะมีอยู่บ้าง

ส่วนสุยโย่วเปียนยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตู

พอได้ยินเฉินผิงอันพูดเกี่ยวกับ ‘ติดเงิน’

สุยโย่วเปียนก็แค่นเสียงเย็นแล้วเดินกลับห้องของตัวเอง

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ แล้วอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยลาจากไป พอลุกขึ้นยืนก็กุมหมัดกล่าวว่า “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว”

จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ไม่อย่างนั้นรักษาม้าตายดั่งม้าเป็นดีกว่ากระมัง? พรุ่งนี้ลองสอนปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้เผยเฉียนดู?

แต่เฉินผิงอันก็รู้สึกลังเลขึ้นมาอีก

ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าไว้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ

ในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กไม่ทราบชื่อแห่งนั้น หลังจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่บอกว่าตัวเองคือยอดฝีมือนอกโลกอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอย่างสำรวมอยู่หน้าโต๊ะ

หยิบเอาม้วนภาพวาดกองโตออกมา มีมากถึงยี่สิบสามม้วน

และยังมีถ้วยใบใหญ่ใบเล็กที่มีน้ำมากน้ำน้อยไม่เท่ากัน

นอกจากนี้ยังมีของระเกะระกะอีกกองใหญ่

ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในวิชาอภินิหาร ‘บุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้ำ’ ของสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขา

หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่านี่เหมือนในค่ำคืนที่หิมะตกหนักปีนั้นที่เด็กชายชุดเขียวหยิบน้ำถ้วยนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วรินน้ำเพื่อลอบดูมาดแห่งเทพเซียนของเทพธิดาซูเจี้ยที่ขี่กระบี่

คิดดูแล้วหากเด็กชายชุดเขียวมาเจอกับผู้เฒ่าคนนี้คงต้องร่ำร้องตะโกนเรียกเขาด้วยความเคารพนับถือว่าท่านบรรพบุรุษเป็นแน่

ในความเป็นจริงแล้วฉายาที่เด็กชายชุดเขียวตั้งให้ตัวเองว่า หนุ่มน้อยแห่งแม่น้ำอวี้เจียงนั้น เป็นเพราะได้รับแรงบันดาลใจมากจากผู้อาวุโสบางท่าน ฉายาของผู้อาวุโสท่านนั้นคือ ‘หนุ่มน้อยหน้าหยก’ เขากับคนใจป้ำไม่ทราบชื่อบนภูเขาที่เรียกตัวเองว่า ‘ทวนหนึ่งฉื่อ’ คือสองอันดับแรกใน ‘ภูเขาลูกนี้’ ของพวกเขา คือผู้อาวุโสประเภทที่เป็นลูกพี่ใหญ่ คุณธรรมและบารมีสูงส่ง! ผู้เฒ่าสองท่านนี้มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เสียดแทงสู่ชั้นเมฆ ครั้งแรกที่ประมือกันก็เพราะเถียงกันว่าระหว่างซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เผยโฉมน้อยครั้งผู้นั้น ใครกันแน่ถึงจะเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป หนุ่มน้อยหน้าหยกบอกว่าเป็นซูเจี้ย ทั้งกลิ่นอายแห่งเซียนและความนิยมล้วนเพียงพอ เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นงดงามก็จริง แต่กลับขาดกลิ่นอายของมนุษย์ นั่นทำให้นางไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ทวนหนึ่งฉื่อโต้กลับอย่างเดือดดาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทุ่มเงินร้อนน้อยใส่ลงไปใน ‘น้ำในถ้วยขาว’ ก็เพื่อได้เอ่ยหนึ่งประโยคเถียงกลับอีกฝ่าย

เงินเกล็ดหิมะที่ผ่านการหล่อหลอมระดับเล็กก็สามารถโยนใส่ลงไปในอุปกรณ์บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชนิดต่างๆ ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณไม่มากพอ จึงไม่สามารถถ่ายทอดคำพูดได้

จากนั้นพวกมันก็จะกลายไปเป็นปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาบริเวณโดยรอบภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักที่เหล่าเทพธิดาอยู่อาศัย แต่อย่าได้ดูแคลนเงินเกล็ดหิมะพวกนี้เด็ดขาด จากน้อยสะสมเป็นมาก ภูเขาเล็กๆ บางแห่งที่เนื่องจากเทพธิดามีรูปโฉมงดงาม บวกกับเชี่ยวชาญการเอาใจพวกคนใจป้ำก็สามารถทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำเพิ่มขึ้นพรวดพราดได้จริงๆ

ส่วนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ยิ่งมากพอจะประคับประคองให้คนที่ทุ่มเงินพูดได้นานถึงสองประโยค

การทะเลาะกันครั้งนั้นของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก ต่างคนต่างทุ่มเงินร้อนน้อยไปคนละเจ็ดสิบแปดสิบเหรียญ! นั่นเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเชียวนะ!

ศึกเดียวสร้างชื่อ

ไม่รู้ว่ามีเทพธิดาของสำนักเล็กๆ มากน้อยเท่าไหร่ที่หวังให้เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านนี้ ‘มาเยือนกระท่อมซอมซ่อของตัวเอง’ เพื่อทุ่มเงินให้แก่พวกนาง

เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วทวนหนึ่งฉื่อจะพูดไม่มาก เขาแค่โยนเงินลงไปเงียบๆ เท่านั้น ส่วนหนุ่มน้อยหน้าหยกกลับเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ชอบตะเบ็งเสียงดังหลังจากทุ่มเงินไปแล้วมากที่สุด ชอบโอ้อวดว่าเหล่าเทพธิดาเอ่ยประจบเอาใจเขาอย่างกระตือรือร้นเช่นไร

ผู้เฒ่ามองผิวโต๊ะอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกม้วนภาพหนึ่งในนั้นขึ้นมา พอเปิดออก รออยู่ชั่วครู่ก็มีไอน้ำลอยกรุ่นแล้วแผ่กำจายออกไป เพียงไม่นานก็มีกระท่อมที่ประดับประดาเรียบง่ายแต่หรูหราหลังหนึ่งปรากฏขึ้น เทพธิดาสาวคนหนึ่งที่กอดผีผาอยู่ในอ้อมอกเดินนวยนาดออกมา ด้านหลังมีสาวใช้หน้าตาเคร่งขรึมเดินตาม สุดท้ายไปยืนอยู่ในมุมอย่างว่าง่าย

หลังจากเทพธิดาดีดเพลงจบไปหนึ่งบทก็ยังไม่มีเสียงคนดังขึ้นมาในกระท่อม

นี่หมายความว่ายังคงไม่มีคนใจป้ำคนใดทุ่มเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ หรืออาจจะทุ่มไปแล้ว แต่ไม่ได้พูด ทว่าความเป็นไปได้ในข้อหลังมีน้อยมาก

เทพธิดาฝืนคลี่ยิ้มชื่นบาน เอ่ยประโยคที่ค่อนข้างแห้งแล้งอยู่สองสามคำ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่สตรีของหอโคมเขียวในหมู่มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา อีกทั้งเพิ่งจะถูกทางสำนักขอร้องให้ทำเรื่องเช่นนี้จึงยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง

และเวลานี้เองก็พลันมีคนถามกลั้วหัวเราะขึ้นมา “หนุ่มน้อย อยู่หรือไม่?”

มีเสียงเย็นๆ ตอบกลับมาแทบจะทันที “ไม่อยู่”

เทพธิดาทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ รีบลุกขึ้นยืน หันไปยอบตัวคารวะทางทิศหน้าตรง “คารวะผู้อาวุโสเทพเซียนเสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) และอู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) ทั้งสองท่าน”

นี่ก็คือฉายาอีกอย่างหนึ่งของทวนหนึ่งฉื่อและหนุ่มน้อยหน้าหยก…

เทพธิดาพยายามระงับคลื่นอารมณ์ที่โลดแรงเพราะความตื่นเต้น กลับไปนั่งที่เดิมเตรียมตั้งใจดีดบทเพลงจากผีผาอีกหนึ่งบท สร้างความสุนทรีให้แก่เจ้าของเงินรายใหญ่ทั้งสองที่ทุ่มเงินเมื่อไหร่ก็สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้ผู้คนเมื่อนั้น

หางตาของนางเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่ยืนทื่อราวกับท่อนไม้ สายตาก็เย็นชาเล็กน้อย แต่กลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สือชิว ยังไม่รีบขอบคุณเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองท่านอีกรึ?”

สาวใช้ผู้นั้นจึงยอบกายคารวะ

รอจนเทพธิดาบรรเลงเพลงบทหนึ่งจบลงแล้ว ผู้เฒ่าที่อยู่โรงเตี๊ยมถึงได้โยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเข้าไป ถามว่า “หนุ่มน้อย ข้ามาถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว เดี๋ยวจะไปหาเจ้าแล้วกัน พวกเราสองสหายจะได้ดื่มเหล้าร่วมกัน”

คำตอบของหนุ่มน้อยค่อนข้างจะกระชับและเรียบง่าย “ไสหัวไป”

ผู้เฒ่าโยนเงินร้อนน้อยไปอีกหนึ่งเหรียญ “ทำไมเจ้าเป็นคนแบบนี้กันนะ? ข้าไปเยือนถึงบ้าน เจ้าไม่ต้องย้ายรังไปไหน ใช่ว่าจะทำให้เจ้าเสียเวลามากมายสักหน่อย”

หนุ่มน้อยตอบ “ไม่ว่าง”

ผู้เฒ่าร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ไม่นะ ถึงอย่างไรก็น่าจะมีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อกระมัง?” หนุ่มน้อยตอบ “ไม่”

ผู้เฒ่าที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อู่สือจิ้ง! เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบจริงๆ หรือ?”

หนุ่มน้อยกล่าว “เจ้าเองก็ชื่อว่าเสี่ยวเฟยเซิงเหมือนกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปขี้ไปเยี่ยวบนท้องฟ้าซะล่ะ? หากเจ้ามีความสามารถนี้ ข้าที่อยู่บนภูเขาก็จะอ้าปากรอรับ”

ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุรุษที่มีความองอาจผึ่งผายขนาดนี้ เจ้าจะทนเห็นข้าที่เดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้มาเสียเที่ยวได้หรือไร?”

หนุ่มน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่ารอคอยคำตอบอย่างตื่นเต้น สุดท้ายหนุ่มน้อยก็ตอบเรียบๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวมาเถอะ”

ผู้เฒ่าในโรงเตี๊ยมไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวเองต้องขายหน้าต่อหน้าเทพธิดา รีบตอบอย่างยินดีว่า “ขอบคุณๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ พอไปถึงนอกภูเขาที่ตั้งสำนักของเจ้าแล้ว ข้าจะส่งสัญญาณลับให้เจ้าแล้วกันนะ”

หนุ่มน้อย “หุบปาก”

ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างมาก “รับทราบ! แล้วไว้เจอกัน พวกเราสองสหายจะได้มีเวลามาคุยกันดีๆ”

หากลูกศิษย์ของสำนักกุยหยกซึ่งเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับที่สองของใบถงทวีปมาอยู่ตรงนี้ แล้วเห็นว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าของตนประจบเอาใจผู้อื่นอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ เกรงว่าลูกตาคงแทบถลนออกมาจากเบ้า คิดจะเก็บหน้าตาที่เสียไปกลับมาก็คงเก็บไม่ได้แล้ว

……

ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว

คืนนี้หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อย เผยเฉียนช่วยจูเหลี่ยนเก็บโต๊ะ คัดตัวอักษรเสร็จก็ไปหาเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้า

เฉินผิงอันเอาเหล้าในกาเหล้าใบที่ฟ่านจวิ้นเม่าเอามาเป็น ‘ของเดิมพัน’ ใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งดื่มได้มากสุดแค่สองสามคำ มากกว่านั้นไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำร้ายร่างกายสร้างบาดแผลให้กับจิตวิญญาณ

เรื่องราวในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี ถนอมวาสนาและละโมบในโชคลาภห่างกันแค่หนึ่งความคิดกางกั้นเท่านั้น

เฉินผิงอันเพิ่งดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กไปหนึ่งคำ ใบหน้าก็แดงก่ำน้อยๆ เผยเฉียนที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินเขย่งปลายเท้าเบิกตากว้างจ้องมองเฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา

เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ถามชวนคุยว่า “คิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวไหม?”

เผยเฉียนส่ายหน้า

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดถึงพ่อแม่หรือ?”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้า

นางถามว่า “ท่านโกรธหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ถามว่า “ทำไมถึงไม่คิดถึงล่ะ?”

สีหน้าของเผยเฉียนนิ่งสงบ เบ้ปากพูดว่า “ก็แค่ไม่อยากจะคิดถึง”

เห็นว่าเฉินผิงอันเหมือนจะไม่โกรธ

เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน หยิบยันต์มาแปะลงบนหน้าผากของตัวเอง เงียบไปนานกว่าจะพูดเนิบช้าว่า “บ้านเกิดเจอกับหายนะ ช่วงเวลาตอนที่หนีภัยมา แม่ของข้าหิวตายไประหว่างทาง เป็นพ่อที่พาข้ามาถึงนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ตลอดทางแม่ข้าถูกพ่อข้าบังคับให้ไปหาชายอื่นเพื่อแลกอาหารไม่กี่คำมากิน ตอนแรกแม่ข้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพ่อข้ากระชากผมทุบตีอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้ารู้จักแต่จะร้องไห้ อยากจะห้าม แต่ก็ถูกพ่อข้าตีจนล้มกองอยู่บนพื้น เขาเป็นผู้ชาย มีเรี่ยวแรงมาก ภายหลังแม่ข้าก็ไปแลกเอาของกินมา พ่อข้ากินมากที่สุด แม่ข้ากินน้อยหน่อย ส่วนข้ากินน้อยที่สุด มีครั้งหนึ่งข้าตื่นขึ้นมากลางดึกเห็นว่าแม่ข้าแอบหนีออกไป นั่งหันหลังให้ข้า กินหมั่นโถวดำๆ อยู่คนเดียว ข้าก็เลยกลับไปนอนต่อ ตอนหลังดูเหมือนว่าแม่ข้าจะป่วย พ่อไม่สนใจ ตอนแรกยังแบกนางเดิน แต่จากนั้นมีอยู่วันหนึ่งพ่อข้าบอกกับข้าว่าแม่หิวตายไปแล้ว หลังจากนั้นมาพ่อข้าก็เจอกับคนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ขายข้าออกไป แค่บอกให้ข้าไปขโมยของของคนอื่น ข้าโดนคนอื่นตีตั้งหลายที เขาก็ด่าว่าข้าโง่ แล้วก็เดินทางกันไปแบบนี้ เดินไปเดินมาก็มาถึงด้านนอกของเมืองหลวง พ่อข้าโชคดีไม่น้อย ที่นอกเมืองมีคนมีเงินมาตั้งโรงทานแจกโจ๊ก แล้วก็มีหมั่นโถวขาวๆ ลูกใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะพ่อข้ากินเร็วหรือเพราะอะไร ดูเหมือนหมั่นโถวจะติดคอจึงสำลักตาย ข้ามองดูอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีแค่ความคิดเดียวว่า ไม่รู้ว่าพอไปอยู่ในปรโลก พ่อจะตามแม่ไปทันหรือไม่ จะได้ไปเป็นคู่กันอีกไหม”

เฉินผิงอันโน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือมาลูบศีรษะๆ ของเด็กหญิง “รีบไปพักผ่อนเถอะ”

เผยเฉียนคลี่ยิ้ม ร้องตอบรับหนึ่งทีแล้วก็เดินกระโดดโลดเต้นไปนอน ระหว่างทางยังโหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้ามียันต์ ภูตผีปีศาจรีบๆ ถอยไป!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

หลังจากวันนั้นมา เฉินผิงอันยิ่งเข้มงวดกับเผยเฉียนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมานั่งดูนางคัดตัวอักษรอยู่ข้างกายทุกวัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version