บทที่ 371 ปีใหม่บรรยากาศใหม่
วันที่สามสิบของสิ้นปีเขียนกลอนคู่เปลี่ยนกลอนคู่ ก่อนหน้านี้ร้านยาฮุยเฉินซื้อกระดาษพื้นหลังสีแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่มาไว้ไม่น้อย แปะไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาหนึ่งแผ่น ห้องหลักและห้องข้างสามห้องของเรือนหลัง รวมทั้งหมดต้องใช้กลอนคู่ สี่แผ่น
เฉินผิงอัน เผยเฉียน เจิ้งต้าเฟิงและหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็เขียนกันคนละแผ่น ล้วนเอาเนื้อหามาจากสมุดพับกลอนคู่เล่มเล็กที่ซื้อมาจากตลาด ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก
เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลูป๋ายเซี่ยงเขียนแบบพลิ้วไหว เจิ้งต้าเฟิงก็เขียนตัวอักษรออกมาได้ไม่ธรรมดาเช่นกัน เผยเฉียนพูดอย่างฮึกเหิมว่าจะเขียนเองหนึ่งแผ่น ผลกลับกลายเป็นว่าเขียนอย่างตั้งใจ แต่กลับถูกคนรังเกียจ จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า แม้แต่เว่ยเซี่ยนก็ยังพูดว่าเขียนได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่คนเรากลัวการเปรียบเทียบมากที่สุด เผยเฉียนเองก็กระดากใจ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพูดว่างั้นก็เอาตามนี้แหละ แค่ให้มีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองเท่านั้น ไม่ต้องคิดมากว่าตัวอักษรจะดีหรือเลว เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนและสุ่ยโย่วเปียนสามคนรับผิดชอบไปยกม้านั่ง บันไดและหยิบแป้งเปียกมาใช้ติดกลอนคู่ เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งคอยชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่ง ยืนพูดไม่ปวดเอว เผยเฉียนคิดว่าตัวเองเขียนกลอนคู่ได้ไม่ดีก็จะต้องติดกลอนคู่ให้ตรงให้จงได้ นี่ทำให้เด็กหญิงผอมแห้งที่อยากทำดีไถ่โทษเหงื่อแตกเต็มศีรษะ สุดท้ายสุยโย่วเปียนบอกให้ทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงสองคนหุบปาก เผยเฉียนถึงได้ประสบความสำเร็จในที่สุด
อักษรตัวชุน (ฤดูใบไม้ผลิ) เฉินผิงอันเป็นคนเขียน อักษรตัวฝู (วาสนา/โชคดี) เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนเขียน
จูเหลี่ยนกำลังทำอาหารมื้อค่ำอยู่ในห้องครัว ยุ่งมาเกือบตลอดบ่าย เฉินผิงอันและเผยเฉียนคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างล้างผักหั่นผัก สุยโย่วเปียนมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวครู่หนึ่งก็เดินจากไป
สุดท้ายจูเหลี่ยนก็ยกอาหารมื้อค่ำอันอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งผักและเนื้อครบครันออกมาวางเป็นโต๊ะใหญ่ ทั้งกลิ่นและสีสันล้วนน่ากิน อาหารที่เป็นเนื้อคือปลาตัวใหญ่ตุ๋นพะโล้ซึ่งมีความหมายว่าให้เหลือกินเหลือใช้ (ปลาคือคำว่าอวี๋ พ้องกับคำว่าเหนียนเหนียวโย่วอวี๋ที่แปลว่าเหลือกินเหลือใช้) อาหารจานหลักคือตีนหมูตุ๋นหม้อดิน เฉินผิงอันและเผยเฉียนช่วยกันใช้ตะเกียบแยกเนื้อออก
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน หันหน้าเข้าหาทางทิศเหนือ หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเจิ้งต้าเฟิง สุยโย่วเปียนและเผยเฉียนนั่งอยู่ฝั่งขวามือ เผยเฉียนแอบหัวเราะคิกคัก พูดว่าถ้าอย่างนั้นพี่หญิงโย่วเปียนก็นั่งทางฝั่งขวามือ (โย่วเปียนแปลว่าทางขวา เผยเฉียนพูดประโยคนี้เป็นการเล่นคำ โย่วเปียนนั่งทางโย่วเปียน) ผลกลับถูกสุยโย่วเปียนบิดหู เผยเฉียนจึงรีบร้องขอชีวิตทันที
เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวใกล้กับประตูใหญ่
ให้ตายเทพหยินแซ่จ้าวก็ไม่ยอมเข้ามานั่งร่วมวงด้วย ทุกคนจึงได้แต่เลิกชวน
เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ผลิตมาจากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านส่งกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก เข้าปากแล้วก็ให้กลิ่นหวานยาวนาน รสชาติติดลิ้น
เฉินผิงอันเห็นว่าเผยเฉียนทำท่าอยากกิน อีกอย่างทุกคนก็ยุ่งวุ่นวายมาเกินครึ่งวันโดยไม่ได้หยุดพัก คิดว่าถึงอย่างไรเหล้าหมักกุ้ยฮวาก็ไม่ฤทธิ์แรงขึ้นหัว ไม่แสบร้อน จึงรินให้นางจอกเล็กหนึ่งจอก น่าจะจิบได้ประมาณสองสามคำ เพียงแต่เตือนนางว่าวันหน้ามีเพียงเทศกาลอย่างปีใหม่เท่านั้นที่ดื่มเหล้าได้ หากเวลาปกตินางกล้าแอบดื่มก็อย่าโทษหากเขาจะจัดการนาง เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก บนใบหน้าดำเกรียมที่เริ่มมีเนื้อขึ้นมาเล็กน้อยเผยความไร้เดียงสาและความสุขอย่างที่เด็กในวัยนางควรจะมี
ภายใต้การยืนกรานของเฉินผิงอันจึงต้องให้เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนจับตะเกียบคีบอาหารคำแรกก่อน คนอื่นๆ ถึงจะสามารถขยับตะเกียบจับถ้วยเหล้าได้ และยังต้องให้เจิ้งต้าเฟิงยกแก้วเหล้าพูดจาตามมารยาทสองสามประโยคให้พอเป็นพิธี
ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าหนาอับอายขัดเขินอย่างถึงที่สุด อึกๆ อักๆ อยู่นานถึงได้พูดประโยคทำนองว่าทุกคนกินให้อร่อยดื่มให้เต็มที่ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกเรื่องราบรื่นสมใจปรารถนา เผยเฉียนจิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาคำเล็กๆ แล้วดวงตาก็พลันเป็นประกาย ใต้หล้ามีของอร่อยที่หวานชื่นขนาดนี้ด้วยหรือ? ดูท่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นถ้านางอยากดื่มเหล้าก็คงดื่มได้แล้วกระมัง?
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง มีเผยเฉียนอยู่ด้วยก็ยากที่จะกินข้าวกันอย่างสงบ
เจิ้งต้าเฟิงและเฉินผิงอันไม่ได้คุยถึงเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูและเมืองเล็กหลงเฉวียนเท่าใดนัก
ส่วนใหญ่เจิ้งต้าเฟิงจะถามถึงเรื่องราวและผู้คนในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ค่อนข้างสนใจติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าก่อนหน้าเฉินผิงอันอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ก็เป็นเจ๋อเซียนเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันเลือกบ้างเรื่องมาเล่าให้ฟัง จนกระทั่งถึงตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงที่ถือโอกาสพูดถึงเรื่องวงในในถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลถึงได้พูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจู
โดยทั่วไปแล้วถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่งและถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง การที่ถ้ำสวรรค์เป็นถ้ำสวรรค์ก็เพราะมีปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นเหนือกว่าที่อื่น เล่าลือกันว่าเมื่อถ้ำลอยขึ้นฟ้าจะมีโชควาสนาต่างๆ ของพวกเซียนบรรพกาลซึ่งบ้างก็ตายในสงคราม บ้างก็ทิ้งไว้หลังจากบินทะยานให้เก็บเกี่ยว คือสถานที่ฝึกตนอันดับแรกที่เทพเซียนจะเลือก ฝึกตนอยู่ที่นั่นเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ให้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงของสำนักใบถงก็ถูกตู้เม่ายึดครองไปคนเดียว แต่จะแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในสำนักเท่านั้น
เพียงแต่ว่าก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่มงคลดอกบัวของมรรคาจารย์เต๋า แน่นอนว่ายังมีถ้ำสวรรค์หลีจูอีกแห่ง ฝ่ายหลังก็ถือว่ามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในด้านวัตถุดิบวิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้คนปรารถนาอยากครอบครองอย่างแท้จริงกลับเป็นพรสวรรค์ในการฝึกตนที่โดดเด่นมาตั้งแต่เกิดของชาวบ้านในเมืองเล็ก สถานที่อื่นๆ ในใต้หล้าไพศาล หลังจากเทพเซียนพสุธาลงมาจากภูเขาแล้ว การพยายามค้นหาต้นกล้าที่ดีอย่างยากลำบากไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร สมกับคำที่ว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกก็หาไม่เจอ ต่อให้หาคนที่พรสวรรค์ดีเจอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมให้รับเป็นลูกศิษย์ หรือไม่สภาพจิตใจก็ไม่สอดคล้องกับมรรคกถาของสำนักตัวเอง เป็นต้น บางทีถึงท้ายที่สุดอาจเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ต้องย้อนกลับภูเขาด้วยความผิดหวัง แต่เมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หยกงามที่มีหวังว่าจะฝึกตนจนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางกลับมีมากมาย ทายาทของคู่รักเทพเซียนปกติทั่วไปก็อาจจะไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนขนาดนี้
หลังจากกินอาหารมื้อดึกกันไปแล้ว ทุกคนต่างก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดใหม่ เดิมทีเว่ยเซียนยังไม่เต็มใจจะใส่ชุดใหม่ บอกว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็สวมชุดคลุมมังกรตัวนั้นแล้วกัน ชุดใหม่สวมแล้วมักรู้สึกว่าไม่พอดีตัว ใส่แล้วไม่เหมาะ ถูกเผยเฉียนตอแยอยู่เป็นครึ่งวันถึงได้รับปากว่าจะเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่และรองเท้าคู่ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เฉินผิงอันเองก็ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกชั่วคราว เปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวสีเขียวที่เผยเฉียนและสุยโย่วเปียนช่วยกันเลือกให้
เฉินผิงอันมอบเงินยาสุ้ยก้อนหนึ่งให้เผยเฉียนและคนทั้งสี่ในภาพวาด ทุกคนได้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญโดยใช้กระดาษแดงห่อหุ้ม
เผยเฉียนรู้ว่าเงินเทพเซียนเหรียญนี้มีค่าสองร้อยตำลึงเงินก็ดีใจอย่างยิ่งยวด คนอื่นๆ อีกสี่คนต่างก็รับเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างเผยเฉียน
หลังจากนี้ก็เป็นการเฝ้าคืนแล้ว
สุดท้ายมีแค่เฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิงและเผยเฉียนเท่านั้นที่นั่งล้อมเตาไฟจนฟ้าสว่าง
เฉินผิงอันนั่งไขว่ห้าง คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่บนหลังเท้าของเขา เฉินผิงอันแกว่งเท้า ร่างของมันก็แกว่งขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เฉินผิงอันไม่กล้าดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มากนัก เขาดื่มกับเจิ้งต้าเฟิงมาทั้งคืนแล้ว แค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากันคนละครึ่งจินเท่านั้น ดื่มแค่พอสมควรก็หยุด
เจิ้งต้าเฟิงเล่าเรื่องคนวัยเดียวกันกับเฉินผิงอันในเมืองเล็กหลายคน อย่างเช่นหม่าขู่เสวียน ซ่งจี๋ซิน จ้าวแหยา หลินโส่วอี แล้วก็อายุน้อยลงมาอีกนิดอย่างหลี่เป่าผิง กู้ช่าน
บอกว่าที่เขาคิดไม่ถึงมากที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้าเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ยังสามารถเดินมาได้จนถึงก้าวนี้
ครึ่งคืนหลังของการเฝ้าคืน เผยเฉียนหลับไปแล้ว จึงไม่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจูเหล่านี้ เจิ้งต้าเฟิงเป็นฝ่ายถามเฉินผิงอันถึงเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าคือที่ทับกระดาษกระเบื้องขาวชิ้นหนึ่ง น่าจะเป็นรูปชือหลง (มังกรที่ไม่มีเขาในเทพนิยาย) ปีนั้นเขาเก็บเศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นไว้จำนวนหนึ่ง ไม่มาก แอบซ่อนไว้ในไหตรงมุมห้องของบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงมาโดยตลอด หากไม่ผิดจากที่คาด เมื่อหลอมได้สำเร็จก็ไม่น่าจะกลายไปเป็นของบรรณาการที่ถูกเอาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าหลี แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเก็บไว้ในตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่ง เพราะตามคำบอกของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีเขาเฉินผิงอันมีคุณสมบัติของเซียนดิน
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดต่อ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจ
เพราะนี่เกี่ยวพันกับสิ่งที่ลึกซึ้งมากเกินไป
พอดีกับที่เฉินผิงอันก็มีความสามารถและความอุตสาหะที่มากพอ
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงชี้ไปนอกห้อง “เหล่าจ้าวคือบรรพบุรุษของสายจ้าวเหยาในถ้ำสวรรค์หลีจู หลังตายไปก็ถูกท่านผู้เฒ่าของพวกเราเก็บดวงวิญญาณเอาไว้ เป็นครึ่งเทพครึ่งภูตผี หากโชคดีก็สามารถโยนออกไป กลายเป็นองค์เทพแห่งภูเขาบางแห่งของราชวงศ์ต้าหลีได้ในรวดเดียว แต่หากจะให้เป็นอย่างเว่ยป้อที่ก้าวเดียวขึ้นสู่สวรรค์ เปลี่ยนจากเทพภูเขาเล็กๆ ไปเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในทวีปนั้น ก็ไม่มีหวังอย่างแน่นอน แต่หากจะคิดพิทักษ์ควบคุมโชคชะตาน้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้อย่างพ่อของกู้ช่าน นับว่ายังพอมีโอกาส”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอจะเดาออก”
ลมฤดูใบไม้ผลิสามขุมที่อาจารย์ฉีเคยทิ้งไว้ แบ่งไว้บนร่างเขาเฉินผิงอัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน
ปีนั้นจ้าวเหยาไม่สามารถรักษาตราประทับตัวอักษรชุนที่ล้ำค่าที่สุดเอาไว้ได้ อาจารย์ฉีกลับพูดว่าไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจ ด้วยนิสัยของอาจารย์ฉีย่อมไม่มีทางไม่ผิดหวังเพียงแค่เพราะไม่เคยฝากความหวังไว้ในตัวจ้าวเหยาอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเหยากับซ่งจี๋ซิน อาจารย์ฉีก็ยังให้ความสำคัญกับจ้าวเหยามากกว่า ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อันที่จริงอาจารย์ฉีคงหวังให้จ้าวเหยาใช้โอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์กับสายบุ๋นของเขาอย่างสิ้นเชิง จ้าวเหยาตั้งสำนักเองก็ดี หรือย้ายไปอยู่ในสายบุ๋นของคนอื่นก็ช่าง ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุข แค่นี้อาจารย์ฉีก็ปลื้มใจแล้ว
เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองใจกว้างอย่างอาจารย์ฉีไม่ได้
วันหน้าอ่านหนังสือให้มาก รู้จักคนให้มาก บางทีอาจจะทำได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แน่นอน
เกี่ยวกับสถานะของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เจิ้งต้าเฟิงแย้มพรายความลับสวรรค์ออกมาเสี้ยวหนึ่ง บอกว่าแมวดำที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับหม่าขู่เสวียนตัวนั้นมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ความยิ่งใหญ่ของโชควาสนานี้เมื่อเทียบกับปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรที่เกาเซวียนองค์ชายต้าสุยได้ไป กำไลมังกรเพลิงบนข้อมือของหร่วนซิ่ว มังกรไม้แกะสลักของจ้าวเหยา ปลาหนีชิวน้อยของกู้ช่านและงูสี่ขาของซ่งจี๋ซินแล้ว มีแต่จะมากกว่าไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับห้าฝ่ายหลัง แมวดำแอบบุกเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู และมีแต่จะรับหม่าขู่เสวียนเป็นเจ้านายเพียงผู้เดียว
เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับหม่าขู่เสวียน ครั้งหนึ่งที่สุสานเทพเซียนบ้านเกิด อีกครั้งหนึ่งคือบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างหนัก ไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังเท่าใดนัก เขาบอกว่าทุกห้าร้อยปีหรือพันปี ถ้ำสวรรค์หลีจูจะต้องมีคู่แค้นคู่อาฆาต หรือไม่ก็คู่สหายรักปรากฏขึ้นมาเสมอ ฝ่ายหลังก็อย่างเช่นหยกคู่เฉาหยวนแห่งราชวงศ์ต้าหลี คราวนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเจ้าสองคนก็ได้ หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองสีท้องฟ้าด้านนอก ถึงช่วงเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งแล้ว
ในช่วงเวลานี้ของเมื่อปีก่อน เขายังเดินเตร่ไปทั่วเหมือนผีเร่ร่อนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เวลานี้รู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลกจริงๆ
เผยเฉียนตื่นขึ้นมาแล้วก็วิ่งไปจุดประทัดในตรอกนอกร้านยาทันที เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะผ่านปีใหม่มาก็จะโตขึ้นอีกปี นางจึงรู้ความขึ้นมาก ถามเทพหยินแซ่จ้าวก่อนว่าจุดประทัดจะทำให้มันตกใจหรือไม่ เทพหยินยิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ได้ยินเสียงประทัดดังไม่ขาดสายมาจากตรอกเล็ก เจิ้งต้าเฟิงก็พลันพูดขึ้นว่า “เผยเฉียนอยู่ข้างกายเจ้าสามารถควบคุมสันดานเดิมบางอย่างเอาไว้ได้ แต่วันหน้าหากไปจากเจ้าแล้วจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก่อนหน้าที่นางจะไปจากข้า ข้าจะพยายามสอนให้นางรู้จักแยกแยะดีชั่วให้ได้ มีเพียงทำได้ถึงข้อนี้จึงจะสามารถพูดถึงเรื่องอยู่ใกล้ความดีงามขจัดความชั่วร้ายกับนางได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่านางจะทำอะไรก็จะเลอะเลือนมึนงง”
เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าวาดวงกลมวงหนึ่งบนพื้น “ไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จ ตอนนี้นางอายุยังน้อย ในวงกลมวงนี้ที่ข้าช่วยวาดไว้ให้นาง นางอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่หากเรื่องใดที่ทำเกินวงกลมนี้ไป ข้าก็ต้องตบๆ ตีๆ ให้เข้าที่ บอกให้นางรู้ถึงเหตุผลหลักการบางอย่าง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านปีใหม่นี้ไปก็เป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้พอสมควรแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มพูด “จะเทียบกับเจ้าได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไมต้องเปรียบเทียบกับข้าด้วยเล่า เผยเฉียนก็คือเผยเฉียน เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสะท้อนใจ “เผยเฉียนได้มาพบเจ้า คือความโชคดีของนาง”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเจิ้งต้าเฟิง “เจ้าเจิ้งต้าเฟิงได้มาพบข้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? แค่เดินทางผ่านนครมังกรเฒ่าสองครั้งก็ต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เจ้า แล้วยังต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าอีก เหนื่อยมากเถอะ รู้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นได้อย่างถูไถ แต่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จงใจกุมหมัดคารวะอย่างไม่จริงใจแล้วเอ่ยสัพยอก “ขออภัยๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า ทำได้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงค้อนตาคว่ำ บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “วันหน้าจะหาเมียได้ยังไงกันนะ”
เผยเฉียนแบกไม้ปัดขนไก่ไว้บนบ่า บอกว่าต้องการให้ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นพักผ่อนบ้าง พอมาถึงเรือนด้านหลัง เห็นใครก็เอ่ยคำพูดน่าฟัง บอกว่าหวังให้เหล่าเว่ยหาภรรยาตัวน้อยที่งดงามได้เร็วๆ หวังให้เสี่ยวป๋ายเล่นหมากล้อมได้ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ช่วงชิงอันดับที่ร้อยในใต้หล้ามาให้ได้ หวังให้พี่หญิงโย่วเปียนอ่อนเยาว์ขึ้นทุกวัน ไม่มีริ้วรอยไปตลอดชีวิต หวังให้ปีนี้จูเหลี่ยนทำอาหารที่อร่อยยิ่งกว่าเดิม หวังให้นายท่านเทพหยินแซ่จ้าวขอบเขตไต่ทะยานสวบๆๆ วันหน้าก็พานางขึ้นไปเล่นบนท้องฟ้า หวังให้กิจการร้านยาของเจิ้งต้าเฟิงเจริญรุ่งเรือง
สุดท้ายเผยเฉียนหวังให้ในปีใหม่นี้ เฉินผิงอันมีเงินทองไหลมาเทมา จะสกัดก็สกัดไว้ไม่อยู่ เหล่าเงินทองและของมีค่าไม่มีที่ให้เก็บ
เห็นได้ชัดว่าในปีใหม่นี้ นางไม่อยากเป็นตัวขาดทุนอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเผยเฉียนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรืออย่างไร จากปากอีกาน้อยๆ (ปากอีกาคือคนปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) ที่แม้แต่จูเหลี่ยนก็ยังกลัว กลับกลายมาเป็นปากทองปากหยกที่พูดจาอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์
วันแรกของเดือนหนึ่ง ตามประเพณีของแจกันสมบัติทวีป วางไม้กวาดกลับหัว ไม่ต้อนรับแขก ไม่เดินทางไกล ไม่ทำงาน แค่กินดื่มเที่ยวเล่นให้สนุกอย่างเดียว ทว่าตอนเช้าฟ่านจวิ้นเม่ายังคงมาที่ร้านยาฮุยเฉิน นอกจากถามเฉินผิงอันว่าจะไปหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนทะเลเมฆตอนไหนแล้วก็ยังนำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมามอบให้เฉินผิงอันสามถุง เงินยาเซิ่ง เงินก้งหยางและเงินอิ๋งชุนอย่างละถุง นับรวมกันแล้วได้สามสิบกว่าเหรียญ ล้วนเป็นเงินที่ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีควักออกจากถุงเงินของตัวเอง อีกทั้งยังรับประกันว่ายังจะมีตามมาอีกหลังจากนี้ เพราะเมื่อกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีย่ำลงใต้ ตลอดทางอย่าว่าแต่ศาลเถื่อนที่ราชสำนักของแต่ละแคว้นสั่งห้ามเลย แม้แต่ร่างทองของเหล่าองค์เทพแห่งขุนเขาที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ยังถูกทุบทำลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองจึงถูกนำมาหลอมเป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิง ฝ่ายหลังก็มึนงงเหมือนกัน “ก็เหมือนกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนนี้ไม่มีการสร้างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองขึ้นมาใหม่อีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ดังนั้นถึงได้บอกว่านี่ต่างหากถึงเป็นความจริงใจในการชดใช้ไถ่โทษของสกุลซ่งต้าหลี ไม่อย่างนั้นจะดูว่าเป็นการจ่ายเงินก้อนใหญ่ได้อย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “เว้นเสียจากว่าท่านผู้เฒ่ากำราบฮ่องเต้สกุลซ่ง ไม่อย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีก็ไม่มีทางขูดเนื้อตัวเองอย่างนี้ เศษซากร่างทองพวกนี้ หากเก็บสะสมไว้แล้วเอาไปใช้ทาร่างทองขององค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาอีกสามองค์ที่เหลือย่อมคุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “นี่ไม่เหมือนนิสัยของท่านผู้เฒ่าเลย”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งเดินทางจากอุตรกุรุทวีปมุ่งหน้ามาทางทิศใต้ เดิมทีไม่ได้จอดที่ท่าเรือหลงเฉวียน แต่กลับมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระโดดจากท้องฟ้ากระแทกลงไปบนพื้นดิน ตอนนี้ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกมีกองกำลังมากมายมาปักหลักตั้งรกราก สร้างจวนที่อยู่อาศัย มากคนก็มากสายตา ข่าวนี้จึงแพร่ไปทั่วทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ต่างก็รู้กันว่าแจกันสมบัติทวีปนอกจากซ่งจ่างจิ้งแล้วยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานอยู่อีกคน”
เจิ้งต้าเฟิงเช็ดหน้าตัวเอง “หลี่เอ้อร์อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงนครมังกรเฒ่าของพวกเราเมื่อไหร่”
เรื่องนี้ฟ่านจวิ้นเม่ากลับรู้ “คำนวณตามเส้นทางการเดินเรือของเรือข้ามฟากหลงเฉวียน หากเต็มใจทุ่มเงินให้มาถึงนครมังกรเฒ่าเร็วหน่อยก็น่าจะไม่กี่วันนี้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงนับนิ้วคำนวณ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “จากอุตรกุรุทวีปมาถึงราชวงศ์ต้าหลีทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แล้วค่อยมาถึงทางทิศใต้สุดแห่งนี้ เร่งร้อนเดินทางมากเลย แต่คาดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะขัดขวางไว้”
เจิ้งต้าเฟิงถามเสียงเบา “ทางฝั่งสำนักใบถงล่ะ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะเสีงเย็น “เซียนดินไร้น้ำยาในนครมังกรเฒ่าพวกนี้ ไหนเลยจะกล้าข้ามทะเลไปสืบข่าวที่ใบถงทวีป เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็ต่ำต้อยกว่าคนอื่นหนึ่งระดับอยู่แล้ว สำนักใบถงยังเป็นสำนักที่กำเริบเสิบสานที่สุดของใบถงทวีป จึงไม่มีใครยินดีไปหาเรื่อง ข่าววงในบางอย่าง อย่างมากก็มีแค่ตระกูลฝูเท่านั้นที่พอจะรู้มาบ้าง แซ่ใหญ่ตระกูลอื่นที่เหลืออยู่ หากถามเรื่องความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด แต่ว่า ข้าคาดว่าสำนักใบถงต้องเกิดปัญหาใหญ่ ไม่อย่างนั้นนอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงที่ราชวงศ์ต้าหลีให้มา นอกจากหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นของฝูฉีแล้ว ตระกูลฝูก็คงไม่มีทางเอาของอีกชิ้นหนึ่งที่แม้แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงออกมา บอกว่าให้ข้านำมามอบให้เฉินผิงอัน เพียงแต่ฝูฉีก็พูดแล้วว่า ยังต้องให้ศาลบรรพชนของตระกูลฝูปรึกษาเรื่องนี้กันก่อน แต่เขาจะพยายามจะหาวิธีนำมามอบให้ให้ได้ เฉินผิงอันจะไปจากนครมังกรเฒ่าอย่างไร จะนำมามอบให้เมื่อไหร่ พวกเจ้าสองคนไม่ลองเดากันดู?”
เฉินผิงอันรีบเรียกเผยเฉียนที่อยู่ในลานบ้านให้มาหา เล่าสถานการณ์ของตระกูลฝูให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความหมาย “เจ้าลองเดาดูสิ ของที่ว่านี้ให้เดาไปในทางที่ดีหน่อย”
เผยเฉียนตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่งก็กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คงจะไม่ใช่อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรอกกระมัง?”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดไม่ออกไปทันที
เฉินผิงอันมองสบตากับเจิ้งต้าเฟิงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
วันนี้คือวันที่ห้าของเดือนหนึ่ง
นอกจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้านยาฮุยเฉินแล้ว เผยเฉียนมาอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนเขา เหมือนเป็ดคุยกับไก่ หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กต่างโม้เรื่องของตัวเองไป แม้จะคุยกันคนละเรื่องก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ
วันนี้ในร้านยายังมีแขกมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำผู้หนึ่งเดินเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งตรงธรณีประตูอดมองเขาหลายทีไม่ได้ ก็ใช่น่ะสิ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หายากยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบนภูเขาเสียอีก
คนทั้งสี่ในภาพวาดที่แม้จะยังไม่ได้เห็นคนผู้นี้กับตาตัวเอง แต่ในใจกลับพรั่นพรึงขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน นั่นเป็นความรู้สึกเชื่อมโยงทางจิตระหว่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวด้วยกัน ขณะที่คนผู้นั้นเดินช้าๆ มาทางร้านยา เว่ยเซี่ยนจูเหลี่ยนสี่คนที่อยู่ในเรือนด้านหลังก็เหมือนมองเห็นเจียวหลงใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งเบียดแทรกตัวเข้ามาในร่องน้ำลำธารสายเล็ก
บนโลกมีชาวยุทธ์เช่นนี้ด้วยหรือ?
เมื่อพบว่าทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ไม่ตึงเครียด คนทั้งสี่ในภาพวาดถึงวางใจลงได้
เว่ยเซี่ยนใช้ฝ่ามือลูบคาง สายตาจูเหลี่ยนฉายประกายเร่าร้อน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนต่างก็หยุดการเล่นหมากล้อม สุยโย่วเปียนใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนหมากเม็ดหนึ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้าตัวเองเบาๆ
เฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาที่ร้านยาด้านหน้าพร้อมกัน
เจิ้งต้าเฟิงหลังค่อมงองุ้ม มองซ้ายมองขวา ประโยคแรกที่พูดก็คือ “ทำไมพี่สะใภ้ไม่มาด้วยเล่า?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นเจิ้งต้าเฟิงแล้ว บนใบหน้าทึ่มทื่อมองไม่เห็นสีหน้าอะไรมากนัก “หากไม่เป็นเพราะอาจารย์บอกให้ข้ารอก่อน ป่านนี้ข้าคงอยู่บนภูเขาของสำนักใบถงแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว ไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็มองไปทางเฉินผิงอัน กุมหมัดกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เดินทางไกลครั้งนั้น ตลอดทางที่เดินทางกันไป หลี่ไหวรู้ความขึ้นมาก อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้จากในหนังสือ ข้าหลี่เอ้อร์ต้องขอบคุณเจ้า ปีนั้นอาจารย์ฉีสอนหลี่ไหวได้ดี อาจารย์ฉีจากไปแล้ว เจ้าเองก็สอนได้ดีมาก อันที่จริงข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์เฉินด้วยซ้ำ วันนี้ข้ายังต้องรีบไปรื้อศาลบรรพชนของตู้เม่าที่ใบถงทวีป คงไม่พูดคุยกับเจ้ามากแล้ว สุดท้ายนี้ก็มีแค่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำที่ข้าจะทิ้งไว้ที่นี่ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงคนในครอบครัวถูกรังแก ข้าหลี่เอ้อร์ถึงจะออกหมัด แต่ข้ารับรองว่าวันหน้าขอแค่ให้คนนำประโยคนี้มาบอก ต้องการให้ข้าหลี่เอ้อร์ไปทุบใคร ข้าจะรีบไปทุบคนผู้นั้นทันที หากขมวดคิ้วสักครั้ง ข้าก็ไม่ใช่พ่อของหลี่ไหว!”
กุมหมัดอีกครั้ง หลี่เอ้อร์ก็กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไปล่ะ!”
แล้วชายฉกรรจ์ก็จากไปทั้งอย่างนี้