Skip to content

Sword of Coming 377

บทที่ 377 อาวุธของวิญญูชน

ผู้ฝึกตนโอสถทองพลันพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้คุณชายคือลูกศิษย์ของสำนักนิติธรรม มิน่าเล่า”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงเข้าใจผิดเช่นนี้

เซียนดินที่น่าจะคุ้นเคยกับขนบธรรมประเพณีในแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดียิ้มตาหยีกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ควรประชันฝีมือกันสักหน่อย”

แสงกระบี่พลันสาดประกายเจิดจ้าอยู่ในเทือกเขา

ผู้ฝึกตนอิสระเคยชินกับเหตุการณ์ที่คุยกันอยู่ดีๆ ก็ฉีกหน้าแตกหักกันมานานแล้ว คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร ใครบ้างไม่ยินดีที่จะได้เงินร้อนน้อยเพิ่มมาอีกห้าสิบเหรียญ? เงินบริสุทธิ์ได้มาย่อมดี แต่เงินสกปรกที่หามาได้น้อยจะไม่ดีงั้นหรือ? ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกที่ว่าการของราชสำนักรับสมัครตัวมา หรือไม่ก็พวกที่ต้องการได้ตำแหน่งผู้ถวายงานของตระกูลเซียนจึงใช้เส้นสายช่วยให้พวกเขาได้ยันต์คุ้มกันกายมาครอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำเรื่องเลวร้ายบางอย่างมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นช่วยราชสำนักสังหารแม่ทัพใหญ่หรือขุนนางบุ๋นของแคว้นศัตรู แก้แค้นให้กับพวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่เหมาะให้ทำเรื่องเช่นนั้นด้วยตัวเอง

เซียนดินโอสถทองกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเนิบช้าคล้ายกำลังตรวจสอบดูสนามรบ

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากวัวดินเลือกที่จะพลิกตัว ชักนำเส้นทางใต้ดินให้สั่นสะเทือนจะมีชาวบ้านที่เดือดร้อนกี่หมื่นคน?”

เซียนดินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับอย่างจริงใจ “เมื่อมีขอบเขตเช่นข้า ย่อมต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว”

สำหรับเรื่องนี้พวกผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก

มีเพียงลวี่หยางเจินอาจารย์แห่งค่ายกลเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แต่กลับซุกซ่อนอารมณ์ไว้อย่างดีเยี่ยม

เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสามารถควบคุมแผ่นดินไหวได้หรือไม่?”

เซียนดินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ง่ายหรอก หากไม่ทำตามที่เพื่อนเจ้าบอก นั่นคืออาศัยการเผาผลาญเงินจัดวางค่ายกลเป็นวงกว้าง สร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางใต้ดิน ลดทอนระดับสั่นของแผ่นดินไหวให้น้อยลง ก็ต้องให้ผู้ฝึกลมปราณที่ได้ครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดจำพวกไข่มุก ให้นำสมบัติประเภทนั้นมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เพื่อที่จะ ‘ตั้งภูเขาซ่อนเส้นทางใต้ดิน’”

เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ถามอะไรอีก เซียนดินท่านนี้ก็มองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียดอีกรอบ “ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า”

ดูเหมือนผู้ฝึกตนโอสถทองจะล้มเลิกความคิดที่จะ ‘ประชันฝีมือ’ เขามองไปยังคนสำคัญของภูเขาลูกต่างๆ ในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่บนจิ้งจอกสีดำห้าหาง ลวี่หยางเจินอาจารย์ค่ายกล ใช้เสียงในใจไล่บอกถึง ‘สถานที่แบ่งทรัพย์สิน’ ซึ่งจะต้องมอบค่าตอบแทนที่เหลืออยู่นอกเหนือจากค่ามัดจำให้พวกเขาไปทีละคน จากนั้นก็ทะยานลมจากไป

ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนติดตามเซียนดินจากไป เพียงแต่ว่าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน คิดดูแล้วผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นคงจะนัดหมายวันเวลาและสถานที่ที่ต่างกันในการจ่ายเงินเทพเซียนให้กับคนทั้งสี่กลุ่ม หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนอิสระไม่บ่นว่าน้อยไป แต่บ่นว่าไม่เท่าเทียมกัน

จางซานเฟิงกำหมัดทุบเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที เอ่ยสัพยอกว่า “ใช้ได้นี่นา เอาเงินร้อนน้อยมาใช้เป็นเงินเกล็ดหิมะแล้ว”

สวีหย่วนเสียลุกขึ้นยืนนานแล้ว เก็บดาบเข้าฝัก ใช้นิ้วลูบหนวดที่เกาะกันเป็นกระจุกเพราะคราบเลือดจากบนลงล่าง “ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว กลัวก็แต่ว่าเซียนดินโอสถทองคนนี้จะเป็นงูเจ้าถิ่นที่มีเจตนาชั่วร้าย หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็อย่ารอเข้าร่วมงานโต้วาทีพุทธและเต๋าที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเลย รีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”

จางซานเฟิงลังเลเล็กน้อย “กระบี่เจินอู่ที่เฉินผิงอันให้ข้ายืมและมีดสั้นเล่มนั้นของเจ้าจะต้องทิ้งไว้ในกองบัญชาการณ์ทหารสูงสุดจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันแก้ไขให้ใหม่ “ไม่ได้ให้ยืม”

แม้ว่าสวีหย่วนเสียจะเสียดาย แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “กองบัญชาการทหารที่ใหญ่ขนาดนั้น มันไม่ได้มีขาเดินได้สักหน่อย วันหน้าย่อมต้องมีโอกาสมาเอากลับคืน หากกองบัญชาการทหารเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการล้อมสังหารครั้งนี้ ก็เท่ากับพวกเราพาตัวไปติดร่างแห ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนเป็นพวกหัวแข็งและยโสโอหัง อีกทั้งผู้บัญชาการทหารคนนั้นยังเป็นคนรู้ใจของลูกหลานสายตรงฮ่องเต้สกุลถัง จึงง่ายที่พวกเราจะตกเป็นเป้าให้ทุกคนหมายหัว อีกทั้งต่อให้มีเหตุผลก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน คนอื่นแค่สาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ พวกเราหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น”

จางซานเฟิงเคยมีนิสัยไม่ชนกำแพงทิศใต้ไม่หันหลังกลับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางละทิ้งการเรียนรู้หลักการของลัทธิขงจื๊อ หันไปเป็นนักพรตเต๋า การเดินทางไกลลงใต้จากอุตรกุรุทวีปมาถึงแจกันสมบัติทวีป เขาได้พบได้เห็นอะไรมามากมาย มีทั้งอุปสรรคและมีทั้งผลเก็บเกี่ยว ทำให้เติบโตขึ้นไม่น้อย ได้ยินคำอธิบายของสวีหย่วนเสียก็ไม่ยืนกรานในความคิดของตัวเองอีก

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่นานถึงจะคิดหาคำพูดที่สมเหตุสมผลได้ ทั้งไม่ดึงจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเข้ามาในปัญหาของตน ทั้งทำให้คนทั้งสองไปยังกองบัญชาการณ์ทหารได้อย่างวางใจ “ข้าได้ของดีชิ้นหนึ่งมาจากสำนักศึกษาของใบถงทวีป เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง สามารถเอามาใช้ปกป้องชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ แม้จะบอกว่าตอนนี้ในแคว้นชิงหลวนมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน พวกเราไม่ควรประมาท แต่เมื่อมี…แผ่นหยกที่เท่ากับวิญญูชนของสำนักศึกษามาเยือนเองแผ่นนี้ โอสถทองและก่อกำเนิดทั่วไปก็ล้วนไม่กล้าลงมือเข่นฆ่าสังหาร ดังนั้นหากพวกเราคิดจะไปเอากระบี่เจินอู่และมีดสั้นเล่มนั้นกลับคืนมาคงไม่เป็นปัญหามากนัก”

การจัดการกับเรื่องราวใดๆ ควรจะพิถีพิถันในเรื่องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจก็จริง แต่หากทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย ทำให้ต้องเผชิญกับหายนะดับชีพอย่างเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันเจอกับตู้เม่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าจริงใจแล้ว แต่เรียกว่าไร้หัวจิตหัวใจ ไม่ชำนาญเรื่องทางโลก

เผยเฉียนกับคนทั้งสี่ในภาพวาดเดินเข้ามาใกล้แล้ว

พวกเขาต่างก็สนใจใคร่รู้ในสถานะของนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกอย่างมาก มองดูไม่เหมือนคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอัน แต่เหมือนสหายที่พบเจอกันระหว่างที่ท่องเที่ยวหาประสบการณ์มากกว่า

เว่ยเซี่ยนสี่คนต่างก็มองออกว่านักพรตหนุ่มเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะธรรมดา ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่รากฐานพอใช้ได้เท่านั้น แค่นี้น่ะหรือ?

เผยเฉียนลอบมองประเมินคนทั้งสองตลอดเวลา เวลานี้ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้เองกับมือ นางยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีพี่ชายนักพรต สวัสดีท่านอามือดาบ ข้าชื่อเผยเฉียน ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของท่านอาจารย์!”

สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ อยู่ดีๆ ก็ได้สถานะนี้มาเปล่าๆ

ส่วนจางซานเฟิงที่แม้จะถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ ใส่ยาไปแล้ว แต่ก็ยังหน้าซีดขาว ทว่าพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นี้ มุมปากของนักพรตหนุ่มก็ตวัดโค้งขึ้น พูดทักทายกับแม่นางน้อยด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีเผยเฉียน อายุเท่าไหร่แล้ว?”

เผยเฉียนยิ้มตาหยี “เพิ่งจะเจ็ดขวบเอง เพราะฉะนั้นถึงได้สูงแค่นี้”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป

เผยเฉียนที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าตาและเพิ่งโดนลงโทษรีบพูดหน้าม่อยทันที “อันที่จริงข้าอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับนั่งยองลง ก่อนหันมามองสวีหย่วนเสีย “ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ จะทำอย่างไร?”

สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ทรุดตัวนั่งยองตามไปด้วย ชายฉกรรจ์เคราดกลูบหนวดพลางพูดอย่างครุ่นคิด “ไม่พูดถึงเซียนดินโอสถทองที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ คนนั้น พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มของคนที่ขี่จิ้งจอกดำ จิตใจของพวกเขาไม่เที่ยงตรง หากพวกเราปล่อยวัวดินไว้อย่างนี้ไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ว่ามันจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าเงินของใครก็ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า ไม่ได้กวาดหาเอาจากสายลม ทำดีก็ทำให้ถึงที่สุดเถอะ ตอนนี้ให้มันใช้ร่างจริงติดตามอยู่ข้างกายพวกเราก่อน รอจนบาดแผลหายดีแล้วค่อยหาทางใต้ดินเส้นหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวได้ ถึงเวลานั้นค่อยแยกย้ายกันก็ยังไม่สาย แต่หากเป็นเช่นนี้ ภาระที่เจ้าเฉินผิงอันต้องแบกย่อมหนักหน่วงมาก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพิ่งจะจากกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ทำตัวห่างเหินแบบนี้แล้วหรือ?”

สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดัง “คำพูดเกรงใจไม่ต้องให้ข้าจ่ายเงินเสียหน่อย”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวสารเพราะเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด คำพูดเกรงใจ คำพูดประจบเอาใจ ไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ ท่าอาหนวดดกผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับตน

เมื่อเทียบกับเผยเฉียนแล้ว คนทั้งสี่ในภาพวาดกลับมองไปไกลและคิดไปไกลยิ่งกว่า

เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสี่คนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันสอบถามความคิดเห็นของใครมาก่อน อีกทั้งยังรับฟังอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นดั่งน้ำมาคลองเสร็จ ต้องรู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้พวกเขาสี่คนรบราฆ่าฟันกันมาไม่น้อย สุยโย่วเปียนตายไปตั้งหลายครั้งแล้ว ทว่าการแสดงออกในแต่ละครั้งของเฉินผิงอันล้วนเผยให้เห็นถึงด้านที่หัวแข็ง ยืนกรานและเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความเคารพนับถือพวกเขาทั้งสี่คนมากพอ ต่อให้เป็นเว่ยเซี่ยนก็ยังต้องยอมรับว่า คำว่า ‘มีคุณสมบัติของราชาผู้เผด็จการ’ ที่เขาเคยเอ่ยประจบเฉินผิงอัน อันที่จริงส่วนที่เป็นน้ำนั้นมีไม่มาก ต้องรู้ว่าหากเอาไปวางไว้ในกลียุคของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เจอกับเขาบนสนามรบแล้วก็เป็นได้

เฉินผิงอันมองไปยังวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “เจ้าเผยกายด้วยร่างของคนได้หรือไม่ หากข้าจำไม่ผิด เมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรหรือขอบเขตประตูมังกรก็น่าจะจำแลงกายกลายเป็นคนได้แล้วกระมัง? ข้ามียารักษาบาดแผลอยู่ขวดหนึ่ง หากเจ้าทาลงบนร่างของคน ประสิทธิผลจะดียิ่งกว่าเดิม”

ก่อนจะออกมาจากนครมังกรเฒ่า น้ากุ้ยได้บอกให้คนนำกล่องเก็บสมบัติที่ทำมาจากไม้กุ้ยใบหนึ่งมามอบให้ ด้านในบรรจุยาสิบสองขวด ไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่ทุกขวดล้วนเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับเซียนดิน และสำหรับทุกขั้นบันไดของห้าขอบเขตกลางก็ล้วนถือว่าคุ้มค่ามีประโยชน์มากที่สุด

ได้ยินคำถามของเฉินผิงอัน ปีศาจขอบเขตประตูมังกรที่ถูกทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาก็ส่ายหน้า

จางซานเฟิงอธิบาย “เมื่อเทียบกับภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำทั่วไปแล้ว มันค่อนข้างจะพิเศษ ก็เหมือนกับเจียวหลงเผ่าพันธุ์น้ำที่ห้าธาตุยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ การจำแลงร่างกลายเป็นคนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น อย่างมันต้องรอให้เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองก่อนถึงจะได้”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “ไม่เป็นไร พวกเราเดินทางไปยังกองบัญชาการทหารครั้งนี้ก็พยายามอ้อมผ่านเมืองใหญ่ เลือกเดินบนทางสายเล็กระหว่างป่าเขาก็แล้วกัน”

จางซานเฟิงยิ้มพูด “เรื่องนี้พวกเราคล่องแคล่วมากเลยล่ะ สองปีมานี้พวกเราเตร็ดเตร่ไปหลายแห่งในแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน”

รอจนเฉินผิงอันควักยาเม็ดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรออกมา วัวดินสีเหลืองกินเข้าไปหนึ่งก้านธูปก็สามารถดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ แม้ว่าทั่วร่างจะยังคงเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็สามารถเดินได้ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรเดิมทีเผ่าพันธ์ปีศาจของบนโลกก็มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีความอดทนมากจนเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว อีกทั้งปีศาจขอบเขตประตูมังกรตนนี้ยังกล่าวว่า ตนได้หลอมขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งมาเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตน สามารถบรรจุและสะสมปราณวิญญาณฟ้าดิน เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็ฟังความนัยของถ้อยคำนี้ออก จึงยกยาปราณวิญญาณขวดนั้นให้กับวัวดินสีเหลืองทั้งหมดอย่างใจกว้าง ให้มันเก็บไว้ในขวดกระเบื้องเคลือบแห่งชะตาชีวิต ค่อยๆ ดึงดูดปราณวิญญาณไปรักษาบาดแผล

หลังจากที่สี่ขาของวัวดินสีเหลืองเหยียบลงบนพื้น ในกรอบดวงตาก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา จ้องมองนิ่งไปยังคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวตรงหน้าผู้นี้ “เซียนซือมีคุณธรรมสูงส่ง จะตอบแทนอย่างไร?”

มันกล่าวอย่างละอายใจ “ข้าฝึกตนอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปี แค่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในเส้นทางมังกรเส้นนี้ ก่อนหน้านั้นบังเอิญเจออาวุธวิเศษและสมบัติอาคมสองชิ้น ล้วนเอามาหล่อหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีสมบัติวิเศษอย่างอื่นอีก เซียนซือทั้งมีพระคุณช่วยชีวิตข้า ทั้งยังแสดงน้ำใจและคุณธรรมต่อข้าอีก…”

เผยเฉียนถอนหายใจหนึ่งที

ต้องโทษข้า

เหตุใดเพิ่งออกจากนครมังกรเฒ่า ตนก็กลายเป็นตัวขาดทุนอีกแล้วเล่า? ตอนอยู่ท่าเรือหางผึ้งก็เกือบจะต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปสองเหรียญ มาอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ก็ยิ่งขาดทุนไปถึงบ้านยาย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว่า “ไม่เป็นไร หากเจ้ามีใจอยากตอบแทนจริงๆ รอให้บาดแผลของเจ้าหายดี และสร้างโอสถทองได้สำเร็จ สามารถใช้ร่างของคนเดินทางไปทั่วสี่ทิศได้แล้ว วันหน้าสามารถไปที่บ้านเกิดของข้าได้ ที่นั่นมีภูเขาเขียวขจีน้ำใสสะอาด เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขก…”

เมื่อเฉินผิงอันพูดถึงตรงนี้ สวีหย่วนเสียก็กล่าวอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง “เหตุใดต้องรอให้เป็นโอสถทองก่อนแล้วค่อยไป รักษาบาดแผลหายแล้วก็ไปที่บ้านเกิดเจ้าเลยเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างโอสถอยู่ที่นั่นได้โดยตรง มีอริยะเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาขุนเขาและแม่น้ำ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะชักนำให้เกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวอีก”

วัวดินสีเหลืองสีหน้าเลื่อนลอยคล้ายไม่เข้าใจ

ขณะที่เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญว่าจะทำเช่นนี้ได้จริงหรือไม่ สวีหย่วนเสียกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องรีบร้อน ยังต้องเดินทางกันไปอีกช่วงหนึ่ง ดูก่อนว่านิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย หากนิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่สู้เก็บความทรงจำที่ดีไว้จะดีกว่า วันหน้าเมื่อมีวาสนาค่อยกลับมาพบกันใหม่ ย่อมดีกว่าอยู่ด้วยกันนานวันเข้าแล้วสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง โชควาสนาดีๆ ครั้งหนึ่งจะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์”

จางซานเฟิงเอ่ยคล้อยตาม “ใช่แล้ว”

เฉินผิงอันจึงไม่มีความเห็นต่างอีก

คนทั้งกลุ่มเดินกันไปช้าๆ ออกจากหุบเขามุ่งหน้าไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแคว้นชิงหลวน

เฉินผิงอันเล่าประสบการณ์การเดินทางบางเรื่องที่เล่าได้ให้จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียฟัง

คนทั้งสองก็เล่าเรื่องราวในยุทธภพของพวกเขาหลังจากแยกกันที่หอชิงฝูให้เฉินผิงอันฟังเช่นกัน

……

เชื้อพระวงศ์สกุลถังแคว้นชิงหลวนส่วนใหญ่เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องล้วนไม่ได้ไปอยู่พื้นที่ศักดินา ไม่ว่าจะเป็นชินอ๋องหรือจวิ้นอ๋องก็ล้วนมีจวนของตัวเองอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งจวนเหล่านั้นเป็นเพียงที่พักอาศัยซึ่งไม่มีอำนาจใดๆ หากสูญเสียตำแหน่งบรรดาศักดิ์ไปก็จะถูกริบกลับคืน

แคว้นชิงหลวนมีกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ห้าแห่ง นอกจากสี่แห่งที่อยู่สี่ทิศแล้ว พื้นที่ใจกลางยังมีอีกแห่งหนึ่ง มีอำนาจอย่างถึงที่สุด รับผิดชอบเรื่องสำคัญหลายอย่างที่เป็นดั่งเส้นชีพจรชีวิตของแคว้นเช่นการขนส่ง การค้าเกลือและเหล็ก เป็นต้น กษัตริย์ทั่วไปพยายามจะหลีกเลี่ยง ‘ภัยจากการที่ขุนนางเป็นผู้กุมอำนาจ ความกังวลจากการแบ่งแยกดินแดน’ ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของแคว้นชิงหลวน ผ่านลมฟ้าลมฝนมาได้อย่างราบรื่น แคว้นร่มเย็นประชาชนเป็นสุข อีกทั้งเหล่าขุนนางยังปรองดอง คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก หรือว่าขุนนางใหญ่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากฮ่องเต้ทั้งหลายไม่มีใครที่เกิดใจทะเยอทะยานบ้างเลยหรือ? แต่ละคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อุทิศตนทุ่มเทชีวิตให้แก่ฮ่องเต้สกุลถังและลูกหลานของเขาเท่านั้นหรือ?

ไม่ว่าจะอย่างไร แคว้นชิงหลวนที่ตั้งอยู่บนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ก็เป็นประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลก มีแต่ความสงบร่มเย็น โดยเฉพาะหลังจากที่สงครามในภาคกลางลุกลามไปดุจไฟลามทุ่ง ชักนำให้เกิดกระแสปัญญาชนเดินทางลงใต้ ทอดทิ้งบ้านเกิดทางเหนืออยู่หลายระลอก และในสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียวนี้ก็ดึงดูดลูกหลานชนชั้นสูงที่เดินทางย้ายจากใต้มาได้เป็นจำนวนนับหมื่น ซึ่งแคว้นชิงหลวนมีจำนวนคนไปเยือนมากที่สุด

ผู้บัญชาการห้าคนของแคว้นชิงหลวนในปัจจุบัน สี่คนที่ประจำการอยู่ใกล้กับชายแดนต่างก็เป็นแม่ทัพที่อาศัยคุณความชอบบนสนามรบหรือไม่ก็อาศัยสถานะของพระญาติฝั่งภรรยาฮ่องเต้ มีเพียงจวนผู้บัญชาการที่ตั้งอยู่ใจกลางเท่านั้นที่ใช้แซ่เหวยมาโดยตลอด เจ้านายคนปัจจุบันอาศัยการสืบทอดจากร่มเงาบรรพบุรุษสืบเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งเกือบสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ ควันธูปของตระกูลล้วนอาศัยต้นกล้าต้นเดียวประคับประคองมาโดยตลอด มองดูเหมือนง่อนแง่นคลอนแคลน แต่กลับไม่เคยล้มลง เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ‘พืชไร่ก้านเหล็ก’ (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ทำงานแต่ก็มีเงินเดือน) มาถึงสามร้อยกว่าปี

ผู้บัญชาการเหวยท่านนี้ก็คือชนชั้นสูงผู้กุมอำนาจของแคว้นชิงหลวนที่รีดไถกระบี่เจินอู่และมีดสั้นไปจากจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย หลังจากได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มา เขาก็ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นไปตามป่าเขาลำเนาไพรอีก แต่เก็บตัวอยู่ในจวนอย่างสันโดษ ทว่าอาศัยเรื่องเล่าลือหลากหลายในอดีตจึงพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ระหว่างแคว้นชิงหลวนสามแคว้น เชี่ยวชาญด้านการเขียนคำเขียว อักษรฉ่าวซู อรรถาธิบายพระไตรปิฎก รวมไปถึงการวาดภาพคัมภีร์พุทธ โดยเฉพาะอย่างหลังที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์’ ตลอดทั้งบนและล่างราชสำนัก ภาพวาดของเขายากจะได้มาครอบครอง เกี่ยวกับผู้บัญชาการเหวยที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้นี้ คำวิจารณ์เกี่ยวกับเขาท่ามกลางกลุ่มปัญญาชนและนักประพันธ์นั้นดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีท่วงทำนองงดงามเป็นหนึ่ง สง่างามและผ่อนคลาย พลิ้วไหวประหนึ่งต้นสนไหวเอนไปตามสายลม…ท่ามกลางกลุ่มสตรีชนชั้นสูงและกลุ่มหญิงสาวในห้องหอก็ยิ่งได้รับความนิยม เล่าลือกันว่าตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้แบกหีบหนังสือออกทัศนาจร ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียนกับสหายสนิทหลายคน เขาถูกนายพรานคนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ๋อเซียนจึงโขกหัวคำนับ ร้องอุทานเรียกเขาว่าเทพเซียน

งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ ผู้บัญชาการเหวยจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวง จึงได้รับอนุญาตให้นำพากองทัพทหารฝีมือดีหกพันนายเดินทางขึ้นเหนือไปปักหลักอยู่ในสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง!

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้สกุลถังให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญต่อคนผู้นี้อย่างมาก

เป็นเหตุให้ในยุทธภพมีข่าวลือเล็กๆ ที่ไม่อาจหาที่มา บอกว่ากษัตริย์และขุนนางมีความสัมพันธ์เป็นต้วนซิ่ว (ตัดแขนเสื้อ หรือหมายถึงชายรักชาย) ต้องรู้ว่างานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ กษัตริย์สองพระองค์อย่างสกุลเหลียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซานต่างก็จะเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน และการที่ฮ่องเต้สองแคว้นมองเรื่องที่ผู้บัญชาการเหวยนำทัพขึ้นเหนือเป็นเรื่องปกติ โดยไม่คิดจะเปลี่ยนใจ กลับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งกว่า

วันนี้จวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีคนหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งมาเยือน คนนอกไม่มีใครรับรู้

ผู้บัญชาการเหวยเลี่ยงรับรองแขกอยู่ในห้องหนังสือ ปีนี้เหวยเลี่ยงเพิ่งจะอายุสามสิบกว่า รูปโฉมหล่อเหลาดุจดั่งต้นไม้หยก

สถานะของเหวยเลี่ยงสูงส่ง แต่กลับทำตัวสบายๆ ต่อชายหนุ่ม ทั้งไม่มีมารยาทที่ห่างเหิน แล้วก็ไม่ได้จงใจทำตัวกระตือรือร้น ส่วนชายกำยำผู้นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้ เขาไม่ได้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหวยเลี่ยง แต่ยืนอยู่ใต้ชั้นหนังสือ พลิกเปิดหนังสือไปมา

เหวยเลี่ยงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจียงอวิ้น ดูท่าคนในตระกูลจะโปรดปรานเจ้าไม่น้อยเลยนะ ยินดีมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ประหยัดแรงกายแรงใจลงไปได้เยอะ ถึงเวลานั้นข้าอยู่ที่แจ้ง เจ้าอยู่ที่มืด เชื่อว่างานโต้วาทีพุทธเต๋าปลายฤดูใบไม้ผลิปีนี้ต้องไม่มีคลื่นมรสุมอะไรที่ใหญ่เกินไปอย่างแน่นอน”

ชายร่างกำยำก็คือคนที่พักอยู่สุดตรอกของท่าเรือหางผึ้ง คงเป็นเพราะออกมาจากท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งเป็นเหมือนบ้านเกิดตนเองครึ่งหนึ่ง จึงร่ายเวทอำพรางตาไว้ที่ ‘เข็มขัด’ โซ่เหล็กซึ่งถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่จับตามองของชาวบ้านร้านตลาดในเมืองมากเกินไป

ชายฉกรรจ์นามว่าเจียงอวิ้นพลิกเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านข้างมีคำอธิบายระบุไว้แน่นขนัด อีกทั้งยังมีทั้งหมึกสีดำและหมึกสีชาด เห็นได้ชัดว่าหนังสือเล่มนี้ท่านผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงคงไม่ได้อ่านแค่รอบเดียว

เจียงอวิ้นหันหน้ามา “เหล่าเหวย เจ้าห้ามประมาทเด็ดขาดเลยนะ ฮ่องเต้ของพวกเจ้าสร้างปัญหาใหญ่ไว้ขนาดนี้ ตอนนี้เรื่องทางโลกซับซ้อนวุ่นวาย นอกจากข้าแล้ว ดูเหมือนในตระกูลจะมีคนที่แอบแฝงตัวอยู่อย่างลับๆ อีกทั้งตบะย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน”

เหวยเลี่ยงเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เจียงอวิ้นรู้สึกระอาใจเล็กน้อย “แคว้นชิงหลวนเล็กๆ แห่งหนึ่งกลับกล้าจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋า อีกทั้งยังจงใจจัดให้เอิกเกริกขนาดนี้ ฮ่องเต้สกุลถังไม่เข้าใจความอันตรายของการแข่งขันระหว่างสามลัทธิ แต่เจ้าเหล่าเหวยจะไม่รู้งั้นหรือ? เหตุใดตอนนั้นสกุลเจียงอวิ๋นหลินของพวกเราถึงย้ายมาอยู่แจกันสมบัติทวีป? ครั้งนี้ข้าออกมาจากท่าเรือหางผึ้ง ตลอดทางก็คอยตามหาสถานที่คึกคักมาโดยตลอด เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกินจริงไปนัก ตอนนี้มีผู้ฝึกลมปราณอยู่เต็มถนน ขนาดในท้องถิ่นยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวงของพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่กลัวจริงๆ รึ?”

เหวยเลี่ยงวางกล่องไม้ใบหนึ่งลงบนโต๊ะ พอเปิดออกไอเย็นก็พลันแผ่เต็มห้อง เขาชัก ‘มีดบุ๋น’ เล่มหนึ่งออกมาจากกล่องไม้ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เพราะความสัมพันธ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ เจ้าถึงได้รู้สึกเห็นใจผู้ฝึกตนอิสระ แต่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีคดีความ ไม่ว่าจะทำความผิดในอาณาเขตแคว้นชิงหลวนหรือที่อื่น ข้าก็จะรวบแหช้อนตัวมาให้หมด จะเป็นหรือตายก็ล้วนทำตามกฎเกณฑ์ ขี้หนูก้อนเดียวยังทำให้โจ๊กทั้งหม้อเสียได้ แล้วนับประสาอะไรกับงูและหนูเป็นรังที่ยกโขยงกันเข้ามาในพื้นที่ของคน”

มีดบุ๋นบนโต๊ะหนังสือที่ชื่อฟังสุภาพดูมีความรู้ แม้จะเป็นวัตถุขนาดเล็ก แต่กลับถูกมองเป็น ‘อาวุธของวิญญูชน’

ในกล่องไม้ใบที่อยู่ตรงหน้าเหวยเลี่ยงนี้วาง ‘มีดบุ๋นสืบทอดจากบรรพบุรุษ’ ไว้เรียงกันเกือบสิบเล่ม ซึ่งสามารถแบ่งออกได้สองชนิดคือมีดซูเตา (มีดหนังสือ) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกับมีดตัดกระดาษที่ใช้ตัดกระดาษเซวียนจื่อ

อย่างแรกมีอีกชื่อหนึ่งว่าเซียวเตา ในยุคโบราณได้แต่ใช้แผ่นไม้ไผ่มาบันทึกตัวอักษร มีดเล่มเล็กที่ใช้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม้ไผ่ที่ถูกแกะสลักจะเรียกว่ามีดซูเตา ยุคแรกเริ่มสุดทำมาจากทองสัมฤทธิ์ ภายหลังทำมาจากเหล็ก ตอนนี้ทำมาจากวัสดุล้ำค่าอีกหลากหลายชนิด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วกลายมาเป็นของเล่น ของสะสมของคน สูญเสียประสิทธิภาพเมื่อแรกเริ่มสุดไปนานแล้ว

เวลานี้เหวยเลี่ยงถือมันไว้ในสองมือ ล้วนเป็นมีดตัดกระดาษทั้งคู่

มีดตัดกระดาษเล่มหนึ่งแปะด้วยไผ่เหลือง ฝักมีดที่วางไว้บนโต๊ะสลักคำว่า ‘ยึดมั่นในกฎไม่แปรผัน’

อีกเล่มหนึ่งคือมีดหยกขาวแกะสลักลายมังกรชุบทองที่สลักคำว่า ‘คนทำงานร้อยหลอม’

เจียงอวิ้นวางตำราลง ถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “ดังนั้นเจ้าจึงวางแผนสังหารผู้ฝึกตนมากมายขนาดนั้นในคราวเดียว?”

“ทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตัวเอง ข้าจัดการกับเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาเหล่านั้นค่อนข้างเปลืองแรง ไม่ได้สังหารพวกผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้โดยตรงก็ถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว แน่นอนว่าการที่ทำให้เรื่องราวดูซับซ้อนก็เพราะข้าเองมีใจเห็นแก่ตัว แต่ในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีพวกหญ้าบนยอดกำแพงอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ได้กลายมาเป็นหูเป็นตาในจวนข้าแล้ว วันหน้าจะมีประโยชน์ไม่น้อย เจ้าเห็นไหม หากทำอะไรโดยมีกฎเกณฑ์ เรื่องราวบนโลกก็จะชัดเจนและง่ายดายเช่นนี้”

ระหว่างที่พูดเหวยเลี่ยงก้มหน้าจ้องมองมีด ‘คนทำงาน’ ที่แกะสลักได้อย่างประณีตงดงามอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ใช้มีดแกะสลักไม้ไผ่ตีลงบนมีดเล่มนี้เบาๆ แล้วหลับตาลงฟังเสียงใสดังกังวานด้วยท่าทางมีความสุขอย่างยิ่ง

แม้ว่าเจียงอวิ้นจะค่อนข้างสนิทสนมกับเหวยเลี่ยง แต่เห็นเช่นนี้ก็ยังอดโมโหไม่ได้ “เจ้าไม่สนสักนิดเลยหรือว่าวิธีของตัวเองเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือวิธีที่ชั่วร้าย?”

“วิธีที่ชั่วร้ายก็ยังเป็นวิธีนี่นา”

หลังจากเขาลืมตาก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นด้วยสีหน้าแต้มยิ้มผ่อนคลาย “ไม่พูดเรื่องที่คุยกันอย่างไรก็คุยไม่รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ข้าออกเดินทางครั้งนี้ได้เจอกับลูกศิษย์สำนักนิติธรรมสำนักเดียวกับพวกเรา น่าสนใจมาก เพื่อนของเขาทิ้งของสองอย่างไว้ที่จวนข้า หากเจ้าสนใจก็อยู่ต่ออีกสักหลายๆ วันก็ได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version