Skip to content

Sword of Coming 378

บทที่ 378 กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ

ไม่นึกว่าจะเจอกระท่อมไม้ไผ่ที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปีที่ริมทะเลสาบกลางป่าเขาแห่งหนึ่ง ยังพอจะมองออกถึงลักษณะดั้งเดิมของมัน คาดว่าช่วงแรกๆ ที่สร้างขึ้นต้องงามประณีตอย่างมาก มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าผู้สร้างจะเป็นคนเก็บตัวสันโดษซึ่งมีชาติกำเนิดร่ำรวย อีกทั้งยังต้องชอบตกปลามากด้วย

คนทั้งกลุ่มจึงหยุดพักกันที่นี่ แบ่งงานกันไปทำ เฉินผิงอันไปตัดไม้ไผ่มีอายุมากเอามาเหลาเป็นซี่บางๆ สองอัน หนึ่งสั้นหนึ่งยาว ตอนที่กลับมาจูเหลี่ยนก็ก่อกองไฟเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันนั่งลงข้างกองไฟ ใช้ไฟรมไม้ไผ่ช้าๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับคันเบ็ดตกปลา ไม่อย่างนั้นหากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในน้ำเห็นแสง เพียงแค่ออกแรงกระชากเล็กน้อย ไม้ไผ่ก็อาจจะหักท่อนได้ เฉินผิงอันมอบไม้ไผ่อันสั้นให้เผยเฉียน บอกให้นางเรียนรู้จากเขา

ในกระท่อมไม้ไผ่ จูเหลี่ยนกำลังแลกเปลี่ยนความรู้จากชายฉกรรจ์เคราดก คนทั้งสองนั่งห่างจากทุกคนไปค่อนข้างมาก ดูเหมือนจูเหลี่ยนจะกำลังโอ้อวดการต่อสู้ระหว่างชายหญิงที่ทำให้ร่างเปียกโซมไปด้วยเหงื่อจากใน ‘ตำราเทพเซียน’ ที่ผู้เฒ่าแซ่สวินมอบให้

นักพรตหนุ่มนั่งอยู่บนเสื่อกับหลูป๋ายเซี่ยง กำลังประชันฝีมือการเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ ยังคงรอดูผลว่าใครแพ้ใครชนะ

วัวดินสีเหลืองตัวนั้นช่วยดูต้นทางอยู่ในผืนป่าใกล้กับกระท่อมไม้ไผ่

เผชิญกับภูเขาเขียวน้ำใสของที่แห่งนี้ ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน สุยโย่วเปียนจึงเดินออกจากกระท่อมไม้ไผ่ นั่งลงบน ‘ฐานกระท่อม’ ที่ลักษณะคล้ายกับแพไม้ไผ่ ถอดรองเท้า ปล่อยเท้าสองข้างที่ขาวนวลราวกับหิมะแช่ลงไปในน้ำ กระบี่ชือซินวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า มือสองข้างจับตรงหัวและปลายของฝักกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล อากาศสดชื่นในป่าเขาทำให้จิตใจคนผ่อนคลาย

ทำคันเบ็ดตกปลาสั้นยาวสองอันเสร็จ เฉินผิงอันลองสะบัดอยู่หลายทีเพื่อทดลองดูระดับความโค้งว่ามากหรือน้อย ส่วนเผยเฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ลองทำตามไปด้วย

อาจารย์และศิษย์หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินมานอกกระท่อม เฉินผิงอันเริ่มผูกเส้นเอ็นและตะขอตกปลา เผยเฉียนยังคงพยายามเลียนแบบ เพียงแต่ว่าในด้านรายละเอียดนางกลับทำได้แย่ไปสักหน่อย เฉินผิงอันจึงต้องช่วยผูกสายเส้นเอ็นที่พันกันเป็นปมให้นางใหม่ ช่วยผูกตะขอตกปลาให้แน่น

จากนั้นก็พาเผยเฉียนไปยังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมทะเลสาบห่างออกไป หาสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในน้ำลักษณะคล้ายแมงกะชอนมา

สุดท้ายเฉินผิงอันกลับไม่ได้ตกปลา แค่บอกให้เผยเฉียนนั่งตกปลาเพียงลำพัง เขาเอาคันเบ็ดอันยาวเก็บเข้าไปในหยกพกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ ด้านในนั้นมีทั้งรองเท้าสานคู่เก่าที่เปื่อยผุแล้วแต่กลับไม่ได้โยนทิ้ง มีสิ่งของเครื่องใช้ในหมู่ชาวบ้านที่ไม่สะดุดตาอย่างตะขอ เส้นเอ็นตกปลา แล้วก็มีสุราที่ค่อนข้างมีราคาอย่างเหล้าเซียนบ่อน้ำ รวมถึงใบอู๋ถงที่ออกเป็นสีเหลืองใบนั้น ว่ากันว่าด้านในบรรจุค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี และยังมีเงินฝนธัญพืชที่สำนักฝูจีชดใช้มาให้อีกกองใหญ่

เผยเฉียนเป็นคนที่ไม่มีความอดทนมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ว่ามีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย บวกกับที่ได้ฝึกคัดอักษรมาเป็นเวลานาน จึงมีความอดทนเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย นางจึงจ้องมองความเคลื่อนไหวบนผิวน้ำอย่างสงบ ใจนึกอยากจะให้นาทีถัดมามีปลาดำตัวใหญ่หนักร้อยกว่าจินมากินเบ็ด นางจะกระชากมันขึ้นฝั่งเสียเลย

เฉินผิงอันกำลังใคร่ครวญกระบวนท่าที่สี่ในตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่ถูกตั้งชื่อว่าท่าฟ้าดิน เป็นท่าหมัดที่ใช้คำเอ่ยอ้างอย่างใหญ่โต นอกจากจะอธิบายวิธีโคจรลมปราณแท้จริงอย่างละเอียดแล้ว ยังมีท่าหมัดที่ผนวกรวมทั้งการเคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง ท่าทางออกจะประหลาดไปนิด มีอยู่สามขอบเขตคือเรียกร้องให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาหมัดเขย่าขุนเขายืนกลับหัวฝึกหมัด โดยแบ่งออกเป็นใช้ฝ่ามือ ใช้หมัดและใช้นิ้วข้างหนึ่งค้ำยันพื้น จากนั้นก็ ‘ออกเดิน’

เกี่ยวกับท่าหมัดนี้ ในตำรากล่าวด้วยถ้อยคำอันฮึกเหิมว่า ชายชาตรีสามารถค้ำฟ้ายันดิน ผู้ที่ฝึกวิชาหมัดของข้าต้องสั่งสอนให้ฟ้าดินพลิกกลับตามหมัดของข้า

มิน่าเล่าหลังจากผู้เฒ่าเปลือยเท้าอ่านตำราหมัดเขย่าขุนเขาแล้วถึงได้บอกว่าตำราลับวิชาหมัดที่ธรรมดาสามัญนี้ นอกจากจะพูดจาใหญ่โต โอ้อวดอย่างโอหังแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย

เฉินผิงอันตบพื้นเบาๆ หนึ่งที เรือนกายพลิกกลับอย่างพลิ้วไหว ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันบนพื้นไม้ไผ่ที่ถักทอเป็นแพ

เผยเฉียนหันหน้ามามอง พอเห็นภาพนี้ก็นึกอยากจะหัวเราะ

เฉินผิงอันที่ยืนกลับหัวใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่ผิวน้ำ บอกเป็นนัยให้เผยเฉียนตั้งใจตกปลาไป

เผยเฉียนจึงหันหน้ากลับไปอย่างเชื่อฟัง เฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ใช้หมัด ‘ยันดิน’ จากนั้นก็ใช้นิ้วข้างเดียวยันพื้น ร่างของเขาขยับขึ้นสูงทีละนิด โคจรลมปราณที่แท้จริงตามกระบวนท่านี้ของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่รู้สึกถึงความยากเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันหลับตาลง นอกจากใช้นิ้วข้างหนึ่งยันพื้นแล้ว มืออีกข้างหนึ่งยังใช้สองนิ้วประกบกันแล้ววางไว้ตรงหน้า ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ คอขวดระหว่างหยุดสิบสองและสิบสามยังไม่อาจฝ่าทะลุไปได้ เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าได้สอนสิบแปดหยุดไปให้เผยเฉียน ออกมาจากท่าเรือหางผึ้งได้ไม่นานเท่าไหร่ เผยเฉียนก็พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลดน้อยๆ เหมือนหาเงินมาได้สองสามเหรียญทองแดง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจอะไรกับเฉินผิงอันว่า นางสามารถโคจรไปได้ถึงสิบสองหยุดแล้ว นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่กำชับกับเผยเฉียนต่อไปว่าห้ามหลงลำพองตน ห้ามใจร้อน ต้องก้าวเดินทีละก้าวไปอย่างมั่นคง

เฉินผิงอันรู้สึกร้อนใจอย่างอดไม่ได้ หรือบางทีควรจะพูดว่ารู้สึกกังวลใจ

หากเผยเฉียนใช้ความเร็วที่น่าตะลึงไต่ทะยานไปบนวิถีวรยุทธ์ สักวันหนึ่งลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่มีนิสัยชอบเล่นสนุกคนนี้ของตนจะเดินเคียงบ่าไปกับอาจารย์อย่างเขาเฉินผิงอัน และหลังจากนั้นยิ่งเดินนางก็จะยิ่งไปไกล นางจะเดินไปบนยอดเขาสูงเพียงลำพัง ก้มหน้าหลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์

ลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าอาจารย์เสมอไป นี่เป็นประโยคที่เฉินผิงอันพูดให้เจิ้งต้าเฟิงฟังเอง และสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าครามก็เป็นข้อถกเถียงดั้งเดิมในบทความความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เฉินผิงอันไม่ได้คิดมากว่าเผยเฉียนจะเดินไปบนวิถีวรยุทธ์ได้สูงและไกลกว่าตน แต่เฉินผิงอันกลับเป็นกังวลกับตัวเองที่เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดและผู้ปกป้องมรรคาของเผยเฉียนมากกว่า หากในอนาคตเผยเฉียนเดินเฉออกนอกมหามรรคา ตนควรจะทำอย่างไร? ก็เหมือนกับตอนนั้นที่โยนหินดีงูก้อนนั้นให้กับเจียวหลงเยาว์วัยในร่องเจียวหลง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า ‘หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็แค่สะบั้นด้วยกระบี่เดียว’ เขาเฉินผิงอันจะทำได้หรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้เขามีใจที่เหี้ยมอำมหิตเช่นนี้จริง ทว่าเวลานั้นระดับความสูงในการเรียนยุทธ์ของเผยเฉียน ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เฉินผิงอันมองไม่เห็นแผ่นหลังของนาง แล้วเขาจะสะบั้นวิถีวรยุทธ์ของนางได้อย่างไร?

ในพื้นที่มงคลดอกบัว ภายใต้การนำพาของนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ เดินทางไกลผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ เคยใช้ฐานะของคนนอกสถานการณ์มองการสมคบคิดกันตักตวงผลประโยชน์ของวิญญูชนในราชสำนักหนึ่ง ในช่วงเวลาแปดสิบปี พวกเขาเปลี่ยนจากบุคคลที่เป็นกังวลต่อบ้านเมืองเป็นห่วงอาณาประชาราษฎร์ วางแผนเพื่อชีวิตที่ดีให้แก่ปวงประชา ค่อยๆ กลายมาเป็นคนที่สร้างบรรยากาศขุ่นมัว สร้างสายลมกัดกินกระดูกคน ผู้คนต่างก็เห็นวิญญูชนเป็นแบบอย่าง ในเมื่อเป็นวิญญูชนแล้วจะมีข้อบกพร่องได้อย่างไร? ขอแค่คนผู้หนึ่งตกต่ำถูกลดขั้นในราชสำนัก ไม่มีใครถามว่าผิดหรือถูก คนทั้งราชสำนักล้วนพากันเจ็บแค้น เดือดดาลต่อศัตรูทางการเมือง ทุกคนต่างก็ปลอบโยน ‘สหายสนิท’ ผู้นั้น หักกิ่งหลิวส่งเขาเดินทาง ชูจอกเหล้าดื่มปลอบใจที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทอดถอนใจแทนเขาว่าจิตใจคนไม่บริสุทธิ์ดั่งสมัยโบราณ หมาป่าหมาในสมคบคิดเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็จะมีลูกศิษย์เหล่าปัญญาชนวงการวรรณกรรมที่อยู่ห่างไกลในยุทธภพชักนำทิศทางคำวิจารณ์ แต่งประวัติศาสตร์มากมายให้แก่ศัตรูทางการเมืองที่บ้างก็เกินจะทนรับ บ้างก็ปั้นน้ำเป็นตัว

ในเมื่อเฉินผิงอันมีความคิดจะก่อตั้งสำนัก แน่นอนว่าต้องกำจัดสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดอย่างนี้ทิ้งไป

หากแม้แต่เผยเฉียนที่เป็นคนใกล้ชิดใกล้ตัวที่สุดก็ยังไม่อาจสอนได้ดี เฉินผิงอันจะเอาอะไรมากล้าพูดว่าสำนักของตัวเองในอนาคต อีกพันอีกหมื่นปีให้หลังจะไม่ใช่สำนักใบถงแห่งที่สอง? ตนจะไม่ใช่ตู้เม่าคนที่สอง?

เรียนหนังสือรู้มารยาท เรียนวรยุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง

นี่ก็คือความตั้งใจเดิมที่เฉินผิงอันมีต่อเผยเฉียน

ในสถานการณ์ทั่วไป นี่ก็เหมือนการใช้สองขาเดินไปบนเส้นทาง หากทุกด้านสมดุลก็ไม่มีปัญหา แต่ประเด็นสำคัญคือพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของเผยเฉียนสูงเกินไป โชคชะตาฝ่ายบู๊สูงเกินไป สักวันหนึ่งขอแค่นางรู้สึกว่าหลักการเหตุผลในตำราเป็นเพียงแค่งานเหนื่อยยากที่ไว้ใช้รับมือกับเฉินผิงอันเท่านั้น หากวันหนึ่งนางรู้สึกว่าการพูดคุยกับคนอื่นด้วยเหตุผลเป็นเรื่องที่น่ารำคาญและน่าเบื่อเกินไป นางก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีวิชาหมัด ตรงเอวมีเตาเจี้ยนชั่ว (กระบี่และดาบสลับกัน) ไม่ว่าเรื่องใดก็เป็นไปตามใจปรารถนา ไม่ต้องรักษากฎ ไม่รู้จักคำว่าสำรวมตน ก่อนหน้านี้เพื่อให้บนโลกมีปีศาจใหญ่โอสถทองที่ช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกตน จ่ายเงินร้อนน้อยไปห้าสิบเหรียญเฉินผิงอันก็ยังไม่ขมวดคิ้ว ถ้าเช่นนั้นในอนาคตการที่เขาจะสร้างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าหรืออาจถึงขั้นขอบเขตสิบที่สนแค่จุดยืนและผลประโยชน์ของตัวเอง อย่าได้คิดจะมาพูดเรื่องถูกผิดกับข้า ก็อย่าว่าแต่เงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญเลย ต่อให้เป็นเงินฝนธัญพืชห้าสิบห้าร้อยเหรียญก็ไม่ช่วยอะไร

เฉินผิงอันยืนอยู่ในท่ากลับหัว หลับตาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง คิดไปคิดมา แต่ก็ยังหาคำตอบที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ได้

หรือว่าเพียงแค่เพราะคำว่า ‘ถ้าหาก’ ในอนาคตนั้น จะต้องสะบั้นเส้นทางวิถีวรยุทธ์ของเผยเฉียนในเวลานี้จริงๆ?

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหุบเขา เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอิสระที่มีเจตนาชั่วร้าย แต่กลับยังไม่ได้สร้างโศกนาฎกรรมที่แท้จริง เฉินผิงอันบอกว่า ‘โชคดีที่ไม่ปรากฏผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ดังนั้นจึงสามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้’ ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉินผิงอันยังจะต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาเช่นนั้น ก็แค่อาศัยความสามารถของใครของมันเข่นฆ่ากันก็พอ

หลังจากที่เฉินผิงอันเอ่ยคำว่า ‘ถามใจตัวเอง’ ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน เมื่อผ่านศึกที่นครมังกรเฒ่า เข้าใจเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของสำนักใบถงจากคำบอกเล่าของนักพรตหญิงหวงถิง เฉินผิงอันก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองอีกเล็กน้อย เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าควรจะถอยก้าวเล็กๆ เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างย่อมต้องปรับใช้วิธีที่เหมาะสม เนื่องจากแต่ละคนไม่เหมือนกันจึงย่อมมีความแตกต่าง ศึกษาทบทวนใน ‘ก้าวเล็กๆ’ นี้ให้มากขึ้น ใคร่ครวญให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นหากทุกคนบนโลกใช้คำว่า ‘ถามใจตัวเองไม่ละอาย’ มาเป็นข้ออ้างกับทุกเรื่อง ถูกและผิดย่อมยังปะปนกันอย่างยุ่งเหยิงอยู่เหมือนเดิม

เผยเฉียนที่กำลังหงุดหงิดว่าเหตุใดปลาทั้งหลายถึงไม่เห็นแก่หน้ากันขนาดนี้จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแก้มนิดๆ แล้วก็เห็นว่าสุยโย่วเปียนกำลังขยิบตามาให้นาง เผยเฉียนมองตามสายตาของสุยโย่วเปียนไปจึงเห็นว่าเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไม่ไกลขมวดคิ้วแน่น สีหน้าแตกต่างไปจากยามปกติ

สุยโย่วเปียนเก็บนิ้วที่ดีดหยดน้ำไปกระทบแก้มเผยเฉียนกลับมาแล้วทอดสายตามองไปไกลต่ออีกครั้ง

เผยเฉียนวางคันเบ็ดตกปลาลงเบาๆ เดินย่องไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งยองอยู่ตรงนั้นจ้องมองคิ้วของอาจารย์ตัวเอง

หรืออาจารย์เพิ่งจะรู้สึกตัว เวลานี้จึงเริ่มเสียดายเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญที่เสียไปเปล่าๆ พวกนั้นแล้ว?

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น มองใบหน้าดำปี๋ที่ถูกลมพัดถูกแดดเผาตลอดเวลาจึงยังไม่ขาวขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป?”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ มีเรื่องในใจหรือ? เล่าให้ข้าฟังก็ได้นะ”

เฉินผิงอันออกแรงตรงข้อมือเล็กน้อย ร่างก็พลิกกลับมาเปลี่ยนเป็นท่ายืนปกติ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ รู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้

เรื่องราวอยู่ไกลเกินไป เหตุผลยิ่งใหญ่เกินไป

ตอนนี้เผยเฉียนยังอายุน้อยเกินไปหรือเปล่า? คำพูดและอารมณ์ของตนจะเป็นดั่งก้อนหินยักษ์หนักอึ้งที่กดทับอยู่บนบ่าของนางหรือไม่?

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กหนึ่งอึก ลมเย็นที่พัดโชยมาระใบหน้าเบาๆ ทำให้อารมณ์ของเฉินผิงอันผ่อนคลายได้เล็กน้อย

ชีวิตคนไม่ยืนยาวถึงร้อยปี ไยต้องมัวแต่พะวงกับเรื่องในอนาคตที่อยู่ไกลเป็นพันเป็นหมื่นปี

เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วก็ยิ้มตาหยี เอ่ยเยาะหยันตัวเองอยู่ในใจว่าตอนนี้เริ่มมีท่าทีเหมือนบัณฑิตบ้างแล้วอย่างนั้นหรือ?

เขาหันหน้ามา ยิ้มกล่าวว่า “เกี่ยวข้องกับเจ้า อยากฟังหรือไม่?”

เผยเฉียนกลืนน้ำลาย รีบย้อนทบทวนว่าตลอดทางที่ผ่านมาตัวเองทำเรื่องเกเรซุกซนอะไรไปบ้าง แล้วก็พอจะรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่แค่โดนเขกมะเหงกหนึ่งหรือสองที ดังนั้นจึงพูดหน้าม่อยว่า “ไม่ฟังได้ไหม? รอให้ข้าอายุมากกว่านี้อีกหน่อย จำเรื่องได้มากขึ้นอีกนิด อาจารย์ค่อยพูดให้ข้าฟังดีกว่ากระมัง?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ก็แค่ความในใจบางอย่างของข้า ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขกหัวหรือถูกบิดหู”

เผยเฉียนที่ไม่เหลือความกังวลใจรีบนั่งตัวตรงทันที หันหน้าเข้าหาเฉินผิงอันที่นั่งหันข้างให้นาง ดวงตาของนางแฝงรอยยิ้ม มือจับประคองเตาเจี้ยนชั่วสองเล่มที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอว แสร้งทำเป็นกล่าวว่า “อาจารย์โปรดพูด! ศิษย์ล้างหูรอฟังแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้ม แล้วก็เบี่ยงตัวกลับมาเล็กน้อย คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน เขาถามว่า “หากมีวันหนึ่ง วิชาดาบวิชากระบี่ รวมถึงวิชาหมัดของเจ้าล้วนเก่งกาจกว่าอาจารย์ จากนั้นก็เจอเรื่องหนึ่ง อาจารย์บอกว่าถูก เจ้ารู้สึกว่าผิด จะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “ก็ต้องเชื่อฟังอาจารย์น่ะสิ ยังจะทำอย่างไรได้อีก”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลองตั้งใจคิดดูอีกหน่อย”

เผยเฉียนเริ่มเกาหัว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่ข้ารู้สึกว่าถ้าอาจารย์บอกว่าถูกก็คือถูก บอกว่าผิดก็คือผิดนี่นา”

เฉินผิงอันเงียบงันไป

เผยเฉียนจึงได้แต่คิดเหลวไหลไปส่งเดช ความคิดล่องลอยไปไกลนับหมื่นลี้ ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่รีบอยู่แล้วนี่นา

แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็ถามว่า “หากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ข้าเก่งกาจกว่าอาจารย์ นั่นต้องเก่งกาจแค่ไหน?”

เฉินผิงอันตอบ “ยกตัวอย่างเช่นโจรเฒ่าตู้ที่หวงถิงเรียก ตู้เม่าแห่งสำนักใบถง มีตบะขอบเขตบินทะยาน”

เฉินผิงอันยิ้มแล้วพูดเสริมอีกว่า “ตอนนี้พวกเราพูดถึงแค่ตบะ ไม่พูดถึงนิสัยใจคอ”

เผยเฉียนอ้าปากกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “โอ้โห ถ้าร้ายกาจขนาดนั้น ในบ้านก็ต้องมีภูเขาเงินภูเขาทองเลยกระมัง จะนับเงินได้หวาดไหวหรือ? นับเงินเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าไม่นับให้ชัดเจนก็กลัวว่าจะถูกคนขโมยไป เฮ้อ ความกังวลใจของคนมีเงิน เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีได้บ้างนะ…”

เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลใจแล้วพลันหลุดหัวเราะพรืด โน้มตัวไปข้างหน้า ตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ

“ที่บ้านเกิดข้ามีอริยะสำนักการทหารอยู่คนหนึ่ง ช่างหร่วนที่ตีเหล็กหลอมกระบี่ ตอนนี้มาย้อนนึกดูมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขาทำได้ดีมาก ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการรับลูกศิษย์ ช่างหร่วนจะไม่ดูแค่พรสวรรค์ แต่จะดูว่าใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ สามารถเดินไปบนมหามรรคาร่วมกันได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าหาลูกศิษย์ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยม แต่นิสัยกลับเข้ากันไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ขอแค่อาจารย์มีข้อขัดแย้งกับคนอื่นก็หยัดยืนขึ้นอย่างฮึกเหิม คิดแต่จะตีรันฟันแทงกับคนอื่นท่าเดียว”

เผยเฉียนทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันพูดต่อว่า “กลับมาคำถามข้อแรกสุด หากเจ้าทะเลาะกับอาจารย์ ควรจะทำอย่างไร? ไม่ใช่รู้สึกว่าอาจารย์ทำถูกทุกเรื่อง อาจารย์ไม่ใช่อริยะ ย่อมต้องทำผิดพลาดได้ พวกเราควรจะทำเหมือนวันนี้ เจ้ากับข้านั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็พูดถูกผิดและเหตุผลของแต่ละคนออกมาอย่างชัดเจน รับฟังคนที่มีเหตุผล ข้าเฉินผิงอันจะไม่ใช้สถานะอาจารย์ของเจ้าเผยเฉียนมากดข่มเหตุผลของเจ้า หากถึงเวลานั้นเจ้าเผยเฉียนร้ายกาจมากแล้ว สามารถต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่สามารถใช้ความสูงส่งของตบะมาทำทุกอย่างตามใจปรารถนาโดยไม่สนใจเหตุผลที่ข้าเฉินผิงอันพูดกับเจ้า”

น้ำตาพลันเอ่อคลอดวงตาของเผยเฉียน

อันที่จริงนางฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก

โดยเฉพาะเมื่อเผยเฉียนได้ยินเฉินผิงอันพูดประโยคที่ว่า ‘ต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย’ เผยเฉียนก็เสียใจจนแทบจะใจสลายอยู่แล้ว

เผยเฉียนหันตัวกลับไป แอบหลั่งน้ำตา ไม่มองเฉินผิงอันที่พูดจาเหลวไหลคนนี้อีก

เฉินผิงอันก็หันตัวกลับมานั่งตำแหน่งเดิม หันหน้ามองทะเลสาบ ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาพาให้ผิวน้ำเกิดคลื่นเป็นริ้วๆ เขายื่นฝ่ามือออกไปแล้วขยับขึ้นสูงเรื่อยๆ “อันที่จริงเหตุผลก็มีแบ่งสูงต่ำ ก็เหมือนวงกลมที่ข้าวาดบนยอดเขาก่อนหน้านี้ที่ก็มีแบ่งเล็กใหญ่เช่นกัน อาจารย์เคยไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าแคว้นไฉ่อี เจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งในวัดร้าง มันชอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ แล้วก็ชอบหลอกผู้คนส่งเดช แต่ไม่เคยทำร้ายคนอย่างแท้จริง กลับกันยังช่วยพวกเขาบังลมบังฝน ครั้งนี้พวกเราได้มาเจอวัวดินสีเหลืองที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมพลิกตัวตัวนั้นอีก ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าเผ่าปีศาจโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเราสามารถกระโดดข้ามการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเซียนกระบี่ที่หันปลายกระบี่ไปทางใต้นับพันนับหมื่นปีเพื่อไปให้ความสงสาร ไปซักถามเหล่าเซียนกระบี่ว่าเหตุใดถึงได้อำมหิตโหดเหี้ยม หรือในเผ่าปีศาจจะไม่มีพวกคนที่เคยทำความดีอยู่เลย?”

เผยเฉียนยังคงหันหลังให้เฉินผิงอัน สูดน้ำมูกพูดเสียงสะอื้น “ข้อนี้ข้ารู้ คนเหล่านี้ไม่แบ่งแยกถูกผิดก่อนหลัง ไม่แบ่งแยกหลักการเหตุผลว่าเล็กหรือใหญ่”

เฉินผิงอันใช้มือวาดวงกลมที่ใหญ่ที่สุดวงหนึ่ง อีกมือหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะ “แต่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง และยังมีท่านผู้เฒ่าป๋ายที่เล่าลือกันว่าช่วยสร้างกระถางใหญ่และวาดภาพค้นภูเขาให้แก่เผ่ามนุษย์ ข้ารู้สึกว่าเป็นพวกเขาต่างหากที่ถึงจะมีคุณสมบัติพูดถึงหลักการที่ ‘ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน’ พวกเรายังห่างชั้นไกลนัก แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องขังตัวเองอยู่ในกงเต๋อหลิน ถูกกักขังอยู่ในหอพิทักษ์เมือง? เพราะแบบนี้ พวกเราก็ควรจะรู้สึกว่าพูดเหตุผลไปก็ไร้ประโยชน์แล้วหรือเปล่า? ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้ไม่มีการตอบแทนด้วยความดีและความชั่วอีกแล้ว?”

เผยเฉียนหันกลับมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก้มหน้าพูดว่า “แต่คนเลวบางคนก็มีชีวิตที่ดีกว่าคนดีอีกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดังนั้นภิกษุเฒ่าที่วัดซินเซียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนจึงพูดแล้วว่า โลกใบนี้มักจะติดค้างคนดีอยู่เสมอ”

เผยเฉียนถามเบาๆ “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แต่เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ พอเปิดออกแล้วก็จิบคำเล็กๆ หนึ่งคำ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในตำราคงจะกำลังรอให้พวกเราไปค้นหากระมัง?”

ในป่าที่ห่างออกไป วัวดินสีเหลืองนอนหมอบอยู่กับพื้นกำลังครุ่นคิด

แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีสีหน้าเฉยชา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเงี่ยหูคอยฟังอยู่ตลอดเวลา

เผยเฉียนเช็ดน้ำตา ยิ้มพูดว่า “อาจารย์ คราวก่อนตอนที่ออกจากท่าเรือหางผึ้งได้ไม่นานเท่าไหร่ ตอนที่หุงข้าวกัน บทเพลงพื้นบ้านของท่านร้องว่าอย่างไรแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีเนื้อเพลงล่ะ? ท่านลองคลออีกสักครั้งสิ ข้าอยากจะหัดร้องตาม”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เพื่อนรักของข้าเป็นคนสอนเอง แต่งเนื้ออะไรใส่เข้าไปก็ได้ ที่บ้านเกิดของข้าสามารถเอามาใช้ด่าคนหยอกคน เอามาใช้ผ่อนคลายเวลาทำงานเหนื่อย แล้วก็สามารถเอามาใช้…เวลาดื่มเหล้า”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งคำ แล้วก็เริ่มคลอเพลงในลำคอเบาๆ ยิ้มแล้วชี้มาที่เผยเฉียน “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าซื้อตำราบางเล่ม รู้จักตัวอักษรหลายตัว สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง ขายได้ไม่กี่อีแปะ”

โอ้โห

กำลังพูดถึงนางเผยเฉียนอยู่นะ

เผยเฉียนอารมณ์ดีสุดๆ หลุดปากพูดไปอย่างอดไม่ไหวว่า “เต้าหู้เหม็นอร่อยแต่ซื้อไม่ไหว!”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ “บนภูเขามีภูตผีปีศาจมากมาย ทะเลสาบแม่น้ำมีผีพราย ตกใจจนต้องหันกลับ ที่แท้ห่างจากบ้านมาไกลหลายปีแล้ว”

เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตาม “กินเต้าหู้เหม็นกันแถอะ!”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก ชี้นิ้วไปยังจุดอื่นอย่างไม่ใส่ใจ บังเอิญที่ไปตรงกับตำแหน่งของสุยโย่วเปียนพอดี จึงกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก “แม่นางน้อยของบ้านใด บนร่างมีกลิ่นหอมกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้หน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ไม่ได้กินเต้าหู้เหม็น น่าสงสารจริงๆ!”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ชี้นิ้วไปยังจุดสูง คลอเพลงเบาๆ “ลองถามอาจารย์ว่าทำเช่นไร บนกิ่งไม้แขวนว่าวตัวเล็กตากแดดเอาไว้”

เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก “กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมอร่อย!”

ตรงกระท่อมไม้ไผ่ จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

จูเหลี่ยนหลับตายิ้ม โคลงศีรษะตามไปด้วย

หลูป๋ายเซี่ยงตบเข่าเบาๆ

สุยโย่วเปียนไม่ได้โมโหอย่างที่หาได้ยาก กลับกันยังเอามือปิดปากหัวเราะจนดวงตาหยีลง

เว่ยเซี่ยนเอามือเท้าคาง เอียงศีรษะ ไม่รู้ว่ามานั่งอยู่ตรงหน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากำลังมองไปยังแผ่นหลังของเด็กหญิงที่มีผิวสีดำเป็นถ่าน

อาจารย์และศิษย์สองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ เสียงดังกังวานอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version