Skip to content

Sword of Coming 389

บทที่ 389 เดินท่องไปสี่ทิศ

หลังจากชุยตงซานจากไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็บอกให้ชายฉกรรจ์หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งมาหาเฉินผิงอันที่โรงเตี๊ยม เขาแสดงแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีเพียงสายลับตระกูลเซียนของต้าหลีเท่านั้นถึงจะสามารถพกพาให้เฉินผิงอันดู

สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ แต่ในใจกลับเกือบจะระเบิดไฟโทสะ ต้องรู้ว่าครั้งที่ถูกคนเล่นงานอย่างอำมหิตมากที่สุดตอนอยู่ในใบถงทวีปก็คือครั้งที่ได้รับแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง โดนงูกัดครั้งเดียวก็กลัวเชือกไปสิบปี อีกทั้งบนแผ่นหยกทั้งสองชิ้นต่างก็มีคำว่า ‘ไท่ผิง’ (สงบสุข) เหมือนกันอีกด้วย เฉินผิงอันจึงรู้สึกหวาดผวาอย่างเลี่ยงไม่ได้

สายลับต้าหลีที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นชิงหลวนมานานหลายปีผู้นี้สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ต้องมีครบถ้วนทั้งสามอย่าง ความสามารถสูง สามารถฆ่าคนแล้วก็สามารถหนีเอาชีวิต มีสติปัญญาแข็งแกร่ง อดทนต่อความเงียบเหงา แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ได้ ต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อต้าหลีหลายปีหรืออาจหลายสิบปี อีกอย่างหนึ่งก็คือจำเป็นต้องเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นหมากตายที่ไม่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา ความหมายย่อมไม่มาก

ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจับอารมณ์ประหลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเซียนซือหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ครั้งนี้เขาปรากฏตัวและเดินเข้ามาในสวนร้อยบุปผาอย่างโจ่งแจ้ง หลังจบเรื่องก็ต้องคลี่คลายปัญหาอีกไม่น้อย ช่วยไม่ได้ สถานะของใต้เท้าผู้นั้นน่าตกใจเกินไป เข้ามาในเมืองที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ตรงดิ่งมาหาเขาถึงที่ ยังแสดงตราพยัคฆ์ซิ่วหู่ที่ระดับขั้นสูงสุดให้เขาดู นั่นคือตราที่สามารถเรียกใช้สายลับและนักรบเดนตายทุกคนที่อยู่นอกราชวงศ์ต้าหลีได้

องค์กรสายลับของต้าหลี ช่วงแรกเริ่มสุดมีสามกองกำลังที่เป็นดั่งกระถางสามขา (เปรียบเปรยถึงกองกำลังสามฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน) หนิวหม่าหลัน ถงเหรินเผิ่งลู่ไถ ศาลาคลื่นมรกต ราชครูซิ่วหู่ อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และเหนียงเนียงในวังหลังท่านนั้น ต่างคนต่างยึดครองพื้นที่แถบหนึ่ง เมื่อไม่กี่ปีก่อนเหนียงเนียงผู้ดูแลศาลาคลื่นมรกตไปสร้างกระท่อมฝึกตนบนภูเขาเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงกะทันหัน ถอยออกไปจากจุดศูนย์กลางของต้าหลี ศาลาคลื่นมรกตตกเป็นของราชครู ภายหลังเมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ แม้แต่เผิ่งลู่ไถของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็ยังยกให้ราชครูเป็นผู้ดูแลไปพร้อมกันด้วย ตอนนี้ซิ่วหู่ชุยฉานจึงเรียกได้ว่ากุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง

ชายฉกรรจ์ใช้ภาษาทางการต้าหลีที่ไม่ได้พูดมานานบอกกล่าวคำสั่งที่ใต้เท้าคนนั้นฝากเขามาบอกแก่เฉินผิงอัน

ที่แท้วัวดินสีเหลืองที่ซ่อนตัวอยู่นอกเมืองตัวนั้นตัดสินใจจะติดตามชุยตงซานเดินทางไกล และชุยตงซานก็จะมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตัวนี้ ช่วยให้มันสร้างโอสถทองได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีความหวังสูงมาก

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ เอ่ยถามว่า “ขอถามท่านหน่อยว่าป้ายปลอดภัยบนมือท่านแผ่นนี้มีขอบเขตเท่าใด?”

ชายฉกรรจ์ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “เรียนคุณชาย คือขอบเขตสองขั้นสูง ข้าน้อยละอายใจที่รับไว้ ใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง”

เกี่ยวกับระดับขั้นสูงต่ำของป้ายสงบสุขปลอดภัยนี้ เดิมทีเป็นความลับที่ไม่เล็ก เพียงแต่ว่าใต้เท้าผู้นั้นบอกกับตนว่าหากอีกฝ่ายถามอะไรก็ให้ตอบไป ชายฉกรรจ์จึงไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน ส่งเงินถุงหนึ่งมาให้อย่างนอบน้อม “ใต้เท้าท่านนั้นยังสั่งให้ข้าน้อยมอบของสิ่งนี้ให้คุณชาย บอกว่าเป็น ‘ของแสดงความขอบคุณ’” (หมายถึงของที่ให้เป็นสินน้ำใจแทนค่าสอนของอาจารย์ในโรงเรียน หากบางครอบครัวยากจนก็จะให้ของกินแก่อาจารย์ผู้สอนแทน)

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนรับถุงเงิน…เหรียญทองแดงมา ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเอามันวางลงบนโต๊ะ กุมหมัดพูดกับสายลับต้าหลีท่านนี้ว่า “รบกวนให้ท่านต้องเดินทางมาเองแล้ว หวังว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่าน”

ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม อันที่จริงมีประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาอุทิศชีวิตทำงานรับใช้ต้าหลี เดิมทีนี่ก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว จึงกุมหมัดคารวะกลับคืน “คุณชายเกรงใจแล้ว”

หลังจากที่ชายฉกรรจ์จากไป เฉินผิงอันก็เปิดถุงผ้าฝ้ายธรรมดาใบนั้นออกดู เทเหรียญทองแดงออกมา เหรียญทองแดงกองกันเป็นพะเนินเล็กๆ ไม่รู้ว่าชุยตงซานคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือว่านี่เป็นแค่ของขวัญกราบไหว้อาจารย์ที่ศิษย์จะมอบให้ตอนเข้าเรียนจริงๆ?

เผยเฉียนบ่น “ชุยตงซานนี่ก็จริงๆ เลย หากไม่ใช่เงินร้อนร้อยก็น่าจะเป็นเงินเกล็ดหิมะก็ได้นี่นา เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้อย่างไร ขี้เหนียวขนาดนี้”

เฉินผิงอันเห็นว่าทั้งถุงเงินและเงินเหรียญทองแดงน่าจะไม่มีความลี้ลับอะไรจริงๆ กลับรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บมันลงไปในวัตถุจื่อชื่อที่มีพื้นที่มากกว่า แต่เก็บไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างกระบี่บินสืออู่

เฉินผิงอันยกยิ้มพลางลูบศีรษะของเผยเฉียน เด็กหญิงผิวดำดุจถ่านยิ้มตาหยี

คล้ายแมวน้อยตัวหนึ่ง

หลังจากนั้นเผยเฉียนก็เริ่มคัดตัวอักษร แต่ละขีดแต่ละเส้น พิถีพิถันตั้งใจ ความเคยชินทำให้การกระทำเป็นไปตามธรรมชาติ ทุกวันนี้หากวันไหนไม่ให้นางคัดตัวอักษร นางกลับรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว

ส่วนเฉินผิงอันก็เดินวนรอบโต๊ะฝึกท่าหมัดที่ในคำอธิบายป่าวประกาศว่าจะสอนให้ฟ้าดินพลิกหมุน ต่อให้ท่วงท่าจะแปลกประหลาดสักเท่าไหร่ คนที่อยู่ข้างๆ เห็นนานวันเข้าก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไป

ยามสนธยาของวันนี้ จูเหลี่ยนมาที่ห้องของเฉินผิงอัน เห็นว่าเผยเฉียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งถือนิยายจอมยุทธ์ที่เขามอบให้นาง อีกมือหนึ่งออกกระบวนท่าตามที่บรรยายไว้ในตำรา ปากก็ร้องฮึ้ยๆ ฮ่าๆ เฉินผิงอันนั่งลงแล้ว ข้างมือเขาที่อยู่บนโต๊ะวางตำราของสำนักนิติธรรมที่ยังเปิดอ้าเอาไว้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “นายน้อยขยันขันแข็งในทุกเรื่องจริงๆ ใต้หล้าไม่มีอะไรยาก กลัวแต่จะแพ้ทางคนตั้งใจ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้น่าจะพูดให้นายน้อยฟังโดยเฉพาะ”

คนสี่คนในม้วนภาพวาด แม้จะบอกว่าตอนแรกที่เดินออกมา หรือแม้กระทั่งจนถึงบัดนี้ ต่างคนต่างยังมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่หากโยนเรื่องนี้ทิ้งไปไม่ต้องพูดถึง เดินทางร่วมกันมาตั้งแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปจนมาถึงแคว้นชิงหลวนแจกันสมบัติทวีป ร่วมเป็นร่วมตาย รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าวันเดียวสุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็พากันเดินทางจากไป เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าหลังค่อมตรงหน้าผู้นี้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่กลัดกลุ้มทุกข์ใจเลย ย่อมต้องเป็นการโกหกตัวเองอย่างแน่นอน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาออกมาสองกา คนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันดื่มกันไปคนละกา

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เหตุใดนายน้อยไม่เคยถามบ่าวเฒ่าว่าทำอย่างไรถึงก้าวออกไปบนวิถีวรยุทธ์ได้ถึงสองก้าวใหญ่?”

หากเป็นก่อนที่ชุยตงซานจะวาง ‘หมากนอกหมาก’ กระดานนั้นจบ เฉินผิงอันอาจจะตรึกตรองชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง หรือบางทีอาจจะแค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาไม่กี่อึกแล้วก็ไม่คิดจะสนใจวางแผนทำอุบายอะไรอีก แต่เวลานี้เขายิ้มกล่าวว่า “ใครบ้างที่จะไม่มีเรื่องในใจและความลับที่เก็บไว้ก้นกรุ ไม่ยินดีเอาออกมาตากแดดให้คนอื่นได้เห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก ข้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ขอแค่ไม่มีใจคิดจะทำร้ายคนอื่น อยากเก็บไว้ก็เก็บไว้เถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะ…เหมือนเหล้าหมักกุ้ยฮวาในมือพวกเราที่ ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งหอมหวาน”

จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าในมือ ยิ้มกว้างพูดว่า “แต่ในเมื่อนายน้อยยินดีมอบเหล้ากานี้มาให้ บ่าวเฒ่าก็ยินดีเอาออกมาดื่มอย่างสบายใจ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ล้วนเป็นเหล้า ดื่มก่อนเพื่อเป็นการเคารพ นายน้อย เอาหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกกาเหล้าชนกับกาของจูเหลี่ยน แล้วต่างคนก็ต่างดื่มอีกอึกใหญ่ ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่น้ำลายไหล นางเคยลิ้มรสเหล้าหมักกุ้ยฮวามาก่อน คราวก่อนตอนกินอาหารฉลองวันปีใหม่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันรินให้นางจอกเล็กๆ หวานมาก อร่อยสุดๆ ไปเลย

จูเหลี่ยนเช็ดปาก “นายน้อยยังจำผู้อาวุโสแซ่สวินคนนั้นได้กระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จูเหลี่ยนยิ้ม “บ่าวเฒ่าฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ของขอบเขตหก เลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองตามหลังสุยโย่วเปียนไปติดๆ เป็นเรื่องที่น้ำมาคลองสำเร็จ นายน้อยไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจแม้แต่น้อย แต่ภายหลังบ่าวเฒ่าแอบเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ นี่เป็นเพราะการป้อนหมัดของเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า รบตายไปหนึ่งครั้งในนครมังกรเฒ่า คำชี้แนะคลายปริศนาของผู้อาวุโสสวิน รวมไปถึงครั้งสุดท้ายที่เขาช่วยดึงบ่าวเฒ่าขึ้นไป บวกกับที่วิธีการเรียนวรยุทธ์ของตัวบ่าวเฒ่าเองไม่เหมือนกับพวกสุยโย่วเปียนสามคน หลายอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกัน ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว หาใช่ว่าบ่าวเฒ่าหลงตัวเอง แต่วิถีวรยุทธ์ที่บ่าวเฒ่าเลือกเดิน แม้ว่าจะบรรลุมาได้จากสถานที่เล็กๆ อย่างพื้นที่มงคลดอกบัว แต่รากฐานของมันก็มีแค่สี่คำเท่านั้น สั่งสมมากใช้ทีละน้อย จึงคิดว่าเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลที่มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย มีเทพเซียนบินชนกันให้วุ่นวายก็ไม่ได้แย่กว่าเลย”

“บ่าวเฒ่าจะลองต่อยกระบวนท่าหมัดท่าหนึ่ง นายน้อยลองดูว่าจะมองต้นสายปลายเหตุออกหรือไม่”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยุดอยู่บนพื้นที่ว่างระหว่างโต๊ะกับประตูห้อง คนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่เดิมทีร่างเล็กเตี้ยหลังโก่งงอ ปณิธานหมัดดูคล้ายหละหลวมห้อยตกยกไม่ขึ้น บัดนี้ร่างของเขายิ่ง ‘ม้วนขด’ ทั้งมือ เท้า หลัง ไหล่และเอวล้วนเป็นเช่นนี้ ทำให้คนมองรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง เผยเฉียนมองไปแล้วก็รู้สึกว่าจูเหลี่ยนยิ่งตัว ‘เล็ก’ ลงกว่าเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าตัวเตี้ยที่เวลาปกติเกียจคร้านไม่ชอบทำอะไรแล้ว การหดตัวครั้งนี้กลับดูเหมือนจะระเบิดทั้งพละกำลังและปณิธานหมัดออกมาอย่างเต็มที่

ลักษณะเหมือนวานร

ร่างของจูเหลี่ยนบิดหมุน ย่างก้าวแปลกประหลาด มองดูเหมือนออกหมัดอย่างง่ายๆ โครงกระดูกหุบเข้าหากัน เพียงแต่ว่าวินาทีที่โครงกระดูกคลายตัวออกในบางครั้งกลับมีปณิธานหมัดที่เป็นดั่งสายฟ้าหนักหมื่นชั่งไหลพรั่งพรูออกมา

เผยเฉียนรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตา

เฉินผิงอันทอดถอนใจด้วยความชื่นชมอยู่ในใจไม่หยุด คนบ้าคลั่งวรยุทธ์เอ๋ยคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ ช่างมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเสียจริง ไม่เสียแรงที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวก่อนหน้าติงอิง หลังจากผ่านศึกเป็นตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็มั่นใจแล้วว่า หากเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตายแบบตัวต่อตัว ภายใต้เงื่อนไขที่ขอบเขตเท่าเทียมกัน คนทั้งสี่ในภาพวาดที่จะรอดชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้าย มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะเป็นจูเหลี่ยนผู้นี้

เขาถึงขนาดเอาสัจธรรมแห่งดาบและกระบี่ของวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบที่นักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงถ่ายทอดให้เผยเฉียนตอนอยู่ในเรือนหลังร้านยามาเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง

แน่นอนว่าในเรื่องนี้จูเหลี่ยนยังมีข้อได้เปรียบก่อนกำเนิดที่เป็นดั่งหอเรือนใกล้น้ำ (เปรียบเปรยว่าได้รับผลประโยชน์เนื่องจากอยู่ใกล้) ด้วย เพราะวิชาหมัดและวรยุทธ์ของจูเหลี่ยน เมื่อเทียบกับพวกสุยโย่วเปียนสามคนแล้วถือว่าใกล้เคียงกับจิงชี่เซินของเวทดาบวิชากระบี่ที่หวงถิงถ่ายทอดให้มากที่สุด

ทว่าจูเหลี่ยนแค่มองดูหวงถิงไม่กี่ครั้งก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนทั้งภาพลักษณ์และจิตวิญญาณเช่นนี้ อีกทั้งยังกลมกลืนเข้ากับปณิธานหมัดของตัวเอง สายตาและฐานกระดูกนี้ของจูเหลี่ยน เฉินผิงอันจำต้องยอมศิโรราบด้วยความนับถือจริงๆ

จูเหลี่ยนหยุดกระบวนท่าหมัด ยิ้มกล่าวว่า “นายน้อยมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก”

เผยเฉียนรู้สึกนับถือไม่น้อย

พ่อครัวผู้เฒ่าเจ้าก็เอาแต่พอดีเถอะ คำประจบแบบนี้ก็พูดออกมาจากปากได้ด้วยหรือ? อาจารย์ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ

จูเหลี่ยนหุบยิ้ม สีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “ทางสายนี้คล้ายคลึงกับการอาศัยกระบี่บินทะยานของสุยโย่วเปียน มีแต่จะพบจุดจบอันน่าสังเวช ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนย้อนกลับ ดังนั้นแม้กระทั่งตาย บ่าวเฒ่าก็ยังไม่ได้ยินเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ผ่าเปรี้ยงลงมา ทว่าเมื่อไปอยู่บ้านเกิดของนายน้อยกลับไม่มีเมืองหน้าด่านที่ตีไม่แตกอีกแล้ว”

เฉินผิงอันชื่นชมจากใจจริง “แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าจูเหลี่ยนยืนอยู่สูง มองเห็นได้ไกลมากพอ”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เพียงแต่ว่าเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองครั้ง รากฐานขอบเขตเจ็ดจะไม่แน่นหนามากพอหรือเปล่า?”

จูเหลี่ยนถอนหายใจ พยักหน้ารับ “เมื่อเทียบกับระดับความแข็งแกร่งของขอบเขตหกแล้ว ขอบเขตร่างทองของข้าธรรมดามากจริงๆ”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แต่ว่าไม่เป็นไร ผู้อาวุโสสวินเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทุกคนในแจกันสมบัติทวีปซึ่งมองดูเหมือนจะมีอนาคตยาวไกล หากยังทำตัวอืดอาดยืดยาด ถ้าอย่างนั้นแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่แห่งความเสียใจของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดแปดทุกคน ถือว่าชีวิตนี้ไม่มีความหวังยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากเดินให้เร็วสักหน่อย ก้าวให้ยาวสักหน่อย พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าให้ได้โดยเร็วที่สุด ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนหลังจากนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนขอบเขตเดียวกันแล้วจะกลายมาเป็นเหมือนขอบเขตเก้าอ่อนด้อยในบรรดานักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นหรือไม่ ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าหยุดอยู่ที่ขอบเขตแปดไปตลอดชีวิต”

เฉินผิงอันใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบู๊ของอำเภอ ชุยตงซานใช้วิชาอภินิหารทำให้ชะตาบู๊ของแคว้นชิงหลวนปรากฏ ดังนั้นคำพูดของจูเหลี่ยนใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด ภัยแฝงอย่างเดียวก็คือตัวจูเหลี่ยนเองก็มองเห็นความจริงอย่างกระจ่างชัดแล้วว่า หากวันใดวันหนึ่งได้เลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงสุดว่าทางสายขาดนี้จะขาดอยู่บนขอบเขตเก้า ไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริงแล้ว อีกอย่างก็คือในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้นั้นก็มีแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนด้อยและสูงต่ำ หากเปิดฉากสังหารกันขึ้นมา อาจเทียบกับการประชันฝีมือของขอบเขตเก้าวงการหมากล้อมที่สามารถใช้วิธีการอันยอดเยี่ยมมาพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะหากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ารากฐานไม่ดีมาเจอกับคนที่รากฐานดีก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

ตามคำบอกของเจิ้งต้าเฟิง ตอนนั้นก่อนที่ซ่งจ่างจิ้งจะไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากไม่เป็นเพราะได้รับคำชี้แนะอย่างลับๆ จากหยางเหล่าโถว หลี่เอ้อร์ก็อาจจะถูกซ่งจ่างจิ้งที่เป็นขอบเขตเก้าเหมือนกันต่อยตายไปแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “มาก่อนได้ก่อน อยู่ในกระเป๋าแล้วสบายใจ เป็นทางสายหนึ่งที่ถือว่าพอเดินผ่านไปได้”

จูเหลี่ยนยิ้ม “แน่นอนว่าบ่าวเฒ่าอยากเป็นขอบเขตสิบของวิถีวรยุทธ์ในตำนาน แต่กลับไม่กล้าดูแคลนขอบเขตเก้าแม้แต่น้อย ตอนอยู่ร้านยาฮุยเฉิน เจิ้งต้าเฟิงคนเดียวเล่นงานคนสี่คน ช่วยป้อนหมัดให้ อันที่จริงพวกเราทั้งสี่คน มีใครบ้างที่ไม่เก็บกลั้นโทสะไว้ในท้อง เพียงแต่ว่าฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ก็ต้องยอมรับ พวกเราสี่คนยังพอจะมีน้ำใจและจิตใจนี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเจิ้งต้าเฟิงต้องดูแคลนพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเรา ไม่แน่ว่านายน้อยเองก็ด้วย”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “ข้าเองก็ถือว่าเป็นคนของพื้นที่มงคลดอกบัวครึ่งตัว เพราะช่วงเวลาที่ข้าอยู่ที่นั่นไม่ใช่สั้นๆ น่าจะพอๆ กับเอาอายุของพวกเจ้าสี่คนมารวมกัน เพียงแต่ว่าก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด เท้าเดินได้เร็ว ก้าวได้ยาว ก็แค่ตอนนั้นข้ายังสัมผัสกับการไหลหายไปของกาลเวลาได้ไม่ลึกซึ้งเท่านั้น”

จูเหลี่ยนกล่าว “นายน้อยคือลูกรักแห่งสวรรค์ที่เจอแต่ความโชคดี มีโชควาสนาเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว…”

เผยเฉียนพลันพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าผายลม!”

จูเหลี่ยนตะลึงงัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย โอ้โห นังหนูถ่านดำผู้นี้เอวแข็งขึ้นไม่น้อย (เปรียบเปรยว่ามีที่พึ่ง มีคนหนุนหลัง) เพียงแต่ว่าเมื่อจูเหลี่ยนลองมองดูอีกทีก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเผยเฉียนผิดปกติ แตกต่างไปจากเดิม

เฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย รู้ว่าจูเหลี่ยนไม่มีทางโกรธเคืองด้วยเรื่องเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดมากว่าเหตุใดจู่ๆ เผยเฉียนถึงโมโหขึ้นมากะทันหัน

แต่จูเหลี่ยนกลับอดไพล่นึกไปถึงเด็กหนุ่มเทพเซียนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นไม่ได้ ก่อนจะประมือกันครั้งแรก ชุยตงซานพูดว่าหน้าตาเปื้อนยิ้ม แต่ในใจสกปรกโสมมนี้ของเจ้า ขัดหูขัดตาข้านัก พวกเรามาสู้กันสักตั้ง ข้าพูดได้ทำได้ มือและเท้าของข้าจะไม่ขยับ เชิญปล่อยหมัดปล่อยเท้าได้ตามสบาย หากข้าขมวดคิ้วสักครั้งก็ถือว่าข้าแพ้ สุดท้ายเขาก็ทำให้จูเหลี่ยนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเทพเซียนมากสมบัติแห่งสำนักศึกษาต้าสุย ทำอย่างไรถึงช่วงชิงชื่อเสียงมาได้ในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว จนกระทั่งได้ฉายาว่า ‘บรรพบุรุษที่ได้มาเปล่าๆ ของตระกูลไช่’

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อย ชุยตงซานศิษย์ของท่านคนนี้เป็นคนมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “หวานขมรับรู้ได้ด้วยตัวเอง วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับข้า”

จูเหลี่ยนจากไปแล้ว แต่เผยเฉียนยังโมโหไม่หาย

เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนกลางวันกินเผ็ดมากเกินไป ไฟโทสะก็เลยมีมาก?”

เผยเฉียนก้มหน้าลงต่ำ ไม่พูดไม่จา

เฉินผิงอันเพียงแค่คิดว่าเป็นอารมณ์โกรธของเด็กที่ไปเร็วมาเร็วราวกับสายลม จึงเริ่มอ่านตำราสำนักนิติธรรมเล่มนั้นต่ออีกครั้ง

เช้าตรู่วันที่สอง เฉินผิงอันสะพาย ‘เจี้ยนเซียน’ และหีบไม้ไผ่ เผยเฉียนห้อยห่อสัมภาระพาดบ่าเฉียงๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยเตาเจี่ยนชว่อ จูเหลี่ยน และสือโหรวพากันเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน แน่นอนว่ายังมีคนจิ๋วดอกบัวที่วิ่งตะบึงอยู่ใต้ดินอย่างอิสระเสรีด้วย

ยังคงเป็นการเดินทางไกลด้วยเท้าอย่างอัตคัดอยู่เหมือนเดิม และนี่ถือเป็นกฎเก่าแก่ที่คนในกลุ่มของเฉินผิงอันยอมรับได้โดยปริยายไปแล้ว

เผยเฉียนสวมมงกุฎดอกไม้ที่ถักมาจากกิ่งหลิว เล่าให้เฉินผิงอันฟังว่าชุยตงซานสอนนางใช้ไม้เท้าเดินป่าวาดวงกลมบนพื้น สามารถทำให้ภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำ รวมทั้งผีร้ายทั้งหลายตกใจหนีไปเพียงแค่ได้เห็น เพียงแต่ว่าเรียนยากมากไปหน่อย จนถึงวันนี้นางก็ยังคลำไปไม่เจอแม้แต่ขอบของวิชาเซียนวิชานี้เลย เดิมทีคิดไว้ว่าหากเรียนได้สำเร็จวันไหนค่อยบอกกับอาจารย์ ภายหลังคิดแล้วกลับรู้สึกว่าหากนางฝึกไม่ได้ตลอดชีวิต นั่นไม่เท่ากับว่าต้องอดทนอดกลั้นเก็บเอาไว้ไม่พูดไปนานหลายสิบหรือเป็นร้อยปีเลยหรือ แบบนั้นก็น่าสงสารเกินไปแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มฟังเผยเฉียนบ่นหงุงหงิง

ในบรรดาคนทั้งสี่ของภาพวาด ผีสาวสือโหรวไม่ชอบตาเฒ่าหลังค่อมบ้าตัณหาคนนี้ที่สุด

ตอนนี้นางกับจูเหลี่ยนกำลังเดินเคียงบ่ากันอยู่ด้านหลังคู่อาจารย์และศิษย์อย่างเฉินผิงอันและเผยเฉียน นี่จึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเป็นกำลัง

แต่ทุกครั้งที่นางจงใจชะลอฝีเท้า จูเหลี่ยนก็จะเดินช้าตามไปด้วย เขาไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ยิ้มมอง ‘ตู้เม่า’ ที่อยู่ในภาพลักษณ์ของคนแก่

สือโหรวอดรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้ นางมักรู้สึกว่าสายตาของจูเหลี่ยนหวานเลี่ยนชวนอาเจียน โดยเฉพาะตอนที่เฉินผิงอันช่วยหักกิ่งหลิวให้เผยเฉียน เจ้าเฒ่าสารเลวจูเหลี่ยนผู้นี้ถึงขั้นฉวยโอกาสแอบจับไหล่ ‘ตู้เม่า’ ในขณะที่นางไม่ทันระวังตัว

สือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง

ตอนนั้นจูเหลี่ยนยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ทันระวังๆ ขออย่าได้ถือสา”

แม้ตอนนี้นางจะเป็นเจ้าของคราบร่างเซียน เพียงแต่ว่ายังไม่อยู่ในสภาวะที่ราบรื่นอย่างแท้จริง คล้ายคลึงกับพวกศาลเถื่อนในท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนัก ดังนั้นต่อให้มีวิชาสะดวกสบายที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคา สามารถเดินทางลัดที่ทำให้เซียนดินอ้าปากค้าง แต่ชุยตงซานช่วยชั่งน้ำหนักให้นางอยู่สองครั้ง ทักษะปลายแถวที่เป็นพรสวรรค์อันน้อยนิดของวัตถุหยินซึ่งนางเรียนรู้มาก่อนหน้านี้ ให้ไปสู้กับผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีประสบการณ์โชกโชนยังไม่มีหวัง ต่อให้ชุยตงซานสอนวิชาบางอย่างและมอบยันต์คุ้มกันกายไว้ให้นางหลายชิ้น อย่างมากนางก็ได้แค่รับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น ประโยชน์อย่างเดียวของนางก็คือ ตอนที่ตกอยู่ในสภาวะคับขันอันตราย นางจะต้องอาศัยคราบร่างเซียนมาช่วยต้านทานกระบี่บิน ต้านรับสมบัติอาคมของเซียนดินแทนเฉินผิงอัน

ชุยตงซานก็เคยบอกนางเช่นกันว่า ตาแก่บ้าตัณหาที่ชอบอ่านนิยายบุรุษเก่งกาจกับโฉมสะคราญทำสงครามกันผู้นี้ ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลแล้ว นางต้องระวังตัวให้มาก

ดังนั้นสือโหรวจึงจงใจพูดกับคนอื่นด้วยน้ำเสียงหนาทุ้ม และพยายามเปิดปากพูดให้น้อยที่สุด

สือโหรวคิดว่าตัวเองสามารถทนรับความทรมานทุกรูปแบบบนโลกมนุษย์ได้ เรือนกายถูกแร่เนื้อเถือหนังนับพันนับหมื่นครั้งก็ดี ตายไปแล้วจิตวิญญาณถูกเอาไปจุดเป็นตะเกียงก็ช่าง นางล้วนทนได้ มีเพียงสายตาเช่นนี้ของจูเหลี่ยนที่นางจนปัญญาจะรับมือ

จูเหลี่ยนพลันขยับเข้ามาใกล้ สือโหรวจึงรีบขยับออกห่างหลายก้าวทันใด

จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ร่างกายนี้ของเจ้าข้าพอจะมองออก น่าจะไม่ใช่ร่างของสตรี แต่ถูกคนร่ายเวทอำพรางตาของตระกูลเซียนบังตาเอาไว้ เป็นร่างของบุรุษอย่างแท้จริง…”

สือโหรวพูดเสียงเย็น “ท่านจูช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก”

จูเหลี่ยนพูดต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นขอถามได้ไหมว่าคุณหนูอายุเท่าไหร่?”

สือโหรวใจสั่น “เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรอยู่?”

ฝีเท้าของจูเหลี่ยนไม่หยุดชะงัก เขาหันหน้ามายิ้มให้สือโหรว “ข้าจูเหลี่ยนมองคนมองที่ใจ หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ อันที่จริงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

สือโหรวใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

สือโหรวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า คิดว่าจะไป ‘พึ่งพา’ เฉินผิงอัน

คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้ตามไป เพียงยิ้มบางๆ พูดอยู่ด้านหลังสือโหรวว่า “เพียงแค่ดูท่วงท่าที่เผยออกมาตามธรรมชาติยามแม่นางก้าวเดิน ต่อให้จงใจปิดบังเอาไว้ ข้าก็ยังมองออกถึงกลิ่นอายที่คล้ายกิ่งหลิวโบกสะบัด ดังนั้นข้าแน่ใจเลยว่าตอนที่แม่นางยังมีชีวิตอยู่ต้องเป็นสาวงามคนหนึ่งอย่างแน่นอน!”

สือโหรวคลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ

เฉินผิงอันได้แต่หันหน้ากลับมา พูดผดุงความเป็นธรรมว่า “พอได้แล้ว จูเหลี่ยนเจ้าเองก็สำรวมตนสักหน่อยเถอะ วันหน้าห้ามเอาเรื่องนี้มาหยอกเย้าสือโหรวอีก”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับทันที “บ่าวเฒ่าจดจำเอาไว้แล้ว”

เผยเฉียนมึนงงเล็กน้อย อาจารย์ก็เรียนรู้วิชาเปลี่ยนหน้าไปจากตนเหมือนกันหรือ เมื่อครู่ก่อนจะหันหน้ากลับไป บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่เลยนะ เหตุใดพอหันกลับไป สีหน้าถึงเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึมซะแล้วเล่า

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาขยิบตาให้เผยเฉียน

เผยเฉียนเข้าใจความนัยทางสายตาที่เขาบอกกับตนได้ทันที

เผยเฉียนแอบหัวเราะ พวกเราสองอาจารย์และศิษย์มีจิตเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ

……

พื้นที่มงคลดอกบัว

คนมีใจในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต่างก็สังเกตเห็นว่าบ้านที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนหลังนั้นมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่ดูแค่หน้าตาและบุคลิกลักษณะก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าเป็นเจ๋อเซียนมาอยู่อาศัย

เขาเก็บตัวเงียบแทบไม่เคยออกจากบ้าน ทุกครั้งที่โผล่หน้าออกมาข้างนอก หากไม่ถือพัดพับไว้ในมือก็ต้องหิ้วกาเหล้าไว้หนึ่งใบ เดินทอดน่องเตร็ดเตร่ แต่จะไม่เดินไปไกลนัก อีกทั้งเส้นทางการเดินยังกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว เดินกลับไปกลับมาอยู่แค่ถนนไม่กี่เส้น ตรอกไม่กี่ตรอก

เขามีชื่อว่าลู่ไถ ไม่รู้ว่าอาศัยช่องทางใดถึงได้ทยอยซื้อตัวเด็กสาวรุ่นเยาว์ที่มีชาติกำเนิดมาจากฝ่ายเลี้ยงรับรอง (คือหน่วยงานต้อนรับ ดูแลแขก รับหน้าที่ด้านการแสดง ดนตรีขับร้อง อีกนัยหนึ่งหมายถึงหอนางโลมของทางการ) ของเมืองหลวงมาเป็นสาวใช้ได้อย่างต่อเนื่อง แอบเลี้ยงดูไว้ในบ้านที่เงียบสงบห่างไกลหลังนั้น แต่พูดตามตรง หากว่ากันด้วยหน้าตาแล้ว สาวใช้สะสวยเหล่านั้นยังหน้าตาไม่งดงามเท่าเจ้านายของพวกนางคนนี้เลย

ลู่ไถไปขอตัวสายลับหญิงของแคว้นหนันเยวี่ยนที่หน้าตาพอใช้ได้คนหนึ่งมาจากอาจารย์ผู้เฒ่าจ้ง อาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนใกล้เคียง ให้มาเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ในการส่งข่าวระหว่างเขากับราชสำนัก เขาจะได้ไม่ต้องคอยบินไปบินมาอยู่ระหว่างบ้านตัวเองกับวังหลวง แบบนั้นฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนคงขายหน้าแย่

วันนี้ยามฟ้าสาง ลู่ไถเดินออกจากบ้าน หุบพัดพับเข้ามาตีฝ่ามือเบาๆ ตอนที่เขาเดินเลี้ยวตรงหัวมุมถนนก็มีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านผ้าต่วนอย่างรวดเร็ว นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายลู่ไถอย่างระมัดระวัง ไม่กล้ามองคุณชายสูงศักดิ์ที่พบเห็นตัวได้ยากท่านนี้มากนัก นางกลัวว่าตัวเองจะตกหลุมรักอีกฝ่ายจนถอนตัวไม่ขึ้น วันใดวันหนึ่งอาจถึงขั้นไม่สนใจกิจการงานบ้านเมือง บุรุษในโลกชื่นชอบสาวงาม แล้วทำไมสตรีจะไม่ชอบบุรุษรูปงามเล่า? ใครบ้างที่ไม่ยินดีชมทัศนียภาพที่ทำให้คนสบายตาสบายใจ?

สายลับที่มีประสบการณ์โชกโชนซึ่งเคยซ่อนตัวอยู่นอกด่านผู้นี้แต่งกายเป็นสตรีแต่งงานแล้วในหมู่ชาวบ้านที่มีฐานะ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชายลู่ สิบคนบนอันดับล่าสุดได้ออกมาจากเตาของหอจิ้งหย่างแล้ว อีกไม่นานก็จะแพร่ไปทั่วราชสำนักของสี่แคว้น เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้บอกลำดับที่แน่ชัด ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทางฝั่งที่ว่าการของพวกเรารู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่ถูกจัดอันดับมีมากเกินไป อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยังไม่มีสถิติให้เปรียบเทียบกันได้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการจัดลำดับที่แน่นอนออกมา”

สายตาของลู่ไถมองไปยังเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไหนลองเล่ามาสิ”

น้ำเสียงของสตรีแต่งงานแล้วแผ่วเบานุ่มนวล “นอกจากคุณชายลู่และใต้เท้าราชครูของพวกเราแล้ว ยังมีอวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซาน ลู่ฝ่างเซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่ที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน อดีตเจ้าอาวาสผู้เฒ่าวัดป๋ายเหอที่กลับไปเป็นฆราวาส นอกจากนี้อีกสี่คนล้วนเป็นคนหน้าใหม่ หอจิ้งหย่างระบุภูมิหลังและฝีมือของพวกเขาไว้คร่าวๆ แล้ว”

ลู่ไถพยักหน้ารับ “มีอะไรบ้าง?”

คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่มที่ปรากฏตัวครั้งแรกริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ไร้ชื่อไร้แซ่ สติเลอะเลือน พูดประโยคหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจซ้ำไปซ้ำมา

คนหนึ่งคือบัณฑิตชุดเขียวที่ขับไล่หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อออกไปจากตำหนักคลื่นวสันต์ อายุประมาณสามสิบปี ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียน เขาป่าวประกาศว่าอีกสามปีให้หลังจะวัดฝีมือประชันความสามารถกับปรมาจารย์ใหญ่อวี๋เจินอี้ดูสักตั้ง

คนหนึ่งคือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่บอกว่าตัวเองคือบรรพบุรุษของเหล่าผู้แสวงหาเซียนและยาอายุวัฒนะในแคว้นหนันเยวี่ยน การแต่งกายและน้ำเสียงเหมือนคนแคว้นหนันเยวี่ยนยุคต้นจริงๆ ตอนนี้คนผู้นี้กำลังเดินทางมายังแคว้นหนันเยวี่ยน บอกว่าเขาทำตามคำสั่งลับๆ ของฮ่องเต้สำเร็จแล้ว และตลอดทางที่เดินทางมาก็รับลูกศิษย์ไปแล้วสิบกว่าคน

อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่มีเพียงมือเปล่า เรือนกายแคระเตี้ยผิดปกติ ปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดนนอกด่าน ชอบการเข่นฆ่า นิสัยแปลกประหลาด ทุกที่ที่เขาไปเยือน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ ฆ่าคนพร่ำเพื่อเป็นผักปลา ชาวบ้านบริสุทธิ์ที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากหลายร้อยคน กองทัพม้าเหล็กของทุ่งกว้างสี่ร้อยนายที่ไปล้อมสังหารคนผู้นี้ล้วนถูกเขาสังหารจนสิ้นซาก

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอีกว่า “นอกจากสิบคนในใต้หล้าซึ่งรวมถึงคุณชายด้วยแล้ว ยังมีลำดับรองอีกสิบคน องค์ชายของพวกเรา โจวซื่อหนุ่มปักบุปผาล้วนเป็นหนึ่งในนั้น”

ลู่ไถโบกพัด “เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างละเอียด เพราะมีความหมายไม่มาก บุคคลที่ในอนาคตมีหวังว่าจะเลื่อนขึ้นเป็นสิบอันดับต้นอย่างแท้จริงไม่มีทางปรากฎตัวบนอันดับรองเร็วขนาดนี้”

สตรีแต่งงานแล้วจึงได้แต่หยุดเดินอย่างรู้กาลเทศะ

ลู่ไถเดินไปบนถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่กลับคืนสู่ความครึกครื้นดังเดิม ในอดีตที่นี่เคยมีคนผู้หนึ่งคุมเชิงอยู่กับปรมาจารย์ใหญ่ของหลายฝ่าย เขาต่อสู้จนฟ้าพลิกดินตลบ อีกทั้งยังห้าวหาญกร้าวแกร่ง ความเคลื่อนไหวในเวลานั้นรุนแรงมากจนชาวบ้านในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต่างก็สัมผัสได้ ดังนั้นตอนนี้ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในยุทธภพที่คนต่างถิ่นต้องมาเที่ยวชมให้เห็นกับตาให้จงได้ เพียงแต่ว่ายอดฝีมือในสำนักใหญ่และจอมยุทธ์ในยุทธภพเหล่านี้รู้ดีว่าที่นี่ต้องมีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนคอยจับตามอง จึงไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย ส่วนใหญ่แล้วแค่มาเดินผ่านไปรอบหนึ่งก็จากไป

ก่อนหน้านี้มีคนในลัทธิมารอาศัยโอกาสนี้ทำท่าลับๆ ล่อๆ พยายามจะหยั่งเชิงบ้านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับลัทธิมารอย่างลึกซึ้งหลังนั้น แต่ทุกคนล้วนถูกลู่ไถจัดการอย่างหมดจด หาไม่ถูกเขาบิดคอ ก็ต้องช่วยเขาทำงาน กระจายตัวออกไปยังบริเวณใกล้เคียงกับบ้านโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นภูเขาสามลูกของลัทธิมารที่แตกแยกล้วนได้ยินว่าคนผู้นี้อยากจะทำให้ภูเขากลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง อีกทั้งยังให้กำหนดระยะเวลาต่อยักษ์ใหญ่คนสำคัญในลัทธิมารอย่างพวกเขาว่า หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่ยอมไปโขกหัวกราบไหว้ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เขาก็จะไปเยือนแต่ละคนถึงถิ่น ถอนรากถอนโคนสามสายของลัทธิมารให้สิ้นซาก เจ้าคนผู้นี้บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด ถึงขนาดให้คนนำความมาแจ้งแก่พวกเขาอย่างโจ่งแจ้งว่า ตอนนี้ลัทธิมารกำลังเผชิญกับหายนะล้างตระกูล กองกำลังทั้งสามสายควรจะร่วมมือร่วมแรงใจกำจัดศัตรูคนเดียวกัน ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง

สีท้องฟ้ายังเช้าอยู่มาก คนบนถนนมีไม่เยอะ กลิ่นอายของหมู่ชาวบ้านยังไม่ถือว่าหนักหน่วง ลู่ไถเดินอยู่บนถนน เงยหน้ามองท้องฟ้า “ฟ้าใกล้เปลี่ยนสีแล้ว”

หรือว่าพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้จะกลายไปเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งจริงๆ? นี่ต้องใช้เงินเทพเซียนมากมายเท่าไหร่กัน? รากฐานของเจ้าอารามท่านนี้ช่างลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งจริงๆ

ลู่ไถเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ก็เจอกับเด็กชายที่กำลังจะไปเรียนหนังสือในโรงเรียนพอดี เฉาฉิงหล่าง

ลู่ไถหยุดเดิน ถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมวันนี้ไปเรียนเช้านักเล่า?”

เฉาฉิงหล่างหน้าแดงเล็กน้อย “พี่ใหญ่ลู่ เมื่อวานไปรับเงินจากที่ว่าการมา เมื่อคืนวานเลยรู้สึกอยากกินเกี้ยวน้ำของร้านนั้นเป็นพิเศษ ทางค่อนข้างไกล เลยต้องรีบไปให้เช้าหน่อย พี่ใหญ่ลู่จะไปด้วยกันไหม?”

ลู่ไถส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้ เจ้าไปเองเถอะ”

เฉาฉิงหล่างจึงบอกลาแล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป ก่อนจะหยุดเท้าหันหน้ากลับมา “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ลู่ เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้านข้าแวะซื้อเหล้ามาให้ท่านกาหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะ ท่านดื่มได้เลยนะ”

ลู่ไถพยักหน้ารับ

เขามีกุญแจบ้านของบ้านเฉาฉิงหล่าง

เฉาฉิงหล่างหมุนกายวิ่งออกไปจากตรอก

เวลาพูดคุยกับคนอื่น เด็กชายเฉาฉิงหล่างผู้นี้จะมีท่าทางจริงจังเป็นพิเศษ ดังนั้นเฉาฉิงหล่างจะไม่มีทางวิ่งไปพูดไปเด็ดขาด

ลู่ไถเดินไปทางบ้านหลังนั้น เปิดประตูหน้าบ้าน แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะของห้องหลักมีเหล้ากาหนึ่งวางไว้จริงๆ เงินเจ็ดเฉียน (เท่ากับหน่วยสลึงของไทย) สำหรับเฉาฉิงหล่างที่จะกินเกี้ยวน้ำสักถ้วยยังต้องใคร่ครวญเป็นครึ่งๆ คืนแล้ว ไม่ใช่ถูกๆ เลย

ลู่ไถหยิบกาเหล้าขึ้นมา หิ้วม้านั่งมานั่งอยู่นอกธรณีประตู บิดข้อมือหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือก็มีแมลงตัวเล็กที่แผ่กลิ่นหอมของเหล้าหมักอบอวล เปิดกาเหล้า โยนเจ้าตัวน้อยที่มีชื่อว่าแมลงสุรานี้ลงไปในกา จากนั้นก็รอให้เหล้าในกานี้ตกตะกอนอย่างรวดเร็วจนมีรสชาติเหมือนสุรารสเลิศที่ออกมาจากโรงเก็บหรือฝังไว้ใต้ดินมานานหลายสิบปี

ลู่ไถแกว่งกาเหล้าในมือเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ครั้งแรกที่มาพบเฉาฉิงหล่าง ลู่ไถก็พูดเข้าประเด็นทันที

“ข้าชื่อลู่ไถ ลู่ที่แปลว่าพื้นดิน ไถที่แปลว่ายกขึ้น เป็นเพื่อนของเฉินผิงอัน เป็นเพื่อนรักที่ผ่านประสบการณ์เป็นตายมาด้วยกัน”

ตอนนั้นดวงตาของเด็กคนนั้นเป็นประกายขึ้นมาทันใด

ภายหลังพอลู่ไถเล่าเรื่องเกี่ยวกับเฉินผิงอันให้ฟัง

เฉาฉิงหล่างก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ลู่ทันที

จากนั้นลู่ไถก็มีกุญแจบ้านของบ้านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหลังนี้

มีอยู่ครั้งหนึ่งลู่ไถยิ้มถามเฉาฉิงหล่าง “เจ้าอยากเป็นคนอย่างเฉินผิงอันหรือไม่?”

“อยาก!”

“ถ้าอย่างนั้นอยากดีกว่าเฉินผิงอันหรือไม่?”

“ไม่อยาก”

“เพราะไม่กล้าคิดงั้นหรือ? รู้สึกว่ายากเกินไป ห่างชั้นกันมากเกินไป?”

“ก็แค่ไม่อยากเท่านั้น”

หลังจากที่ได้พูดคุยกันวันนั้น ลู่ไถที่ได้กุญแจมา แต่กลับไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในเรือนด้วยตัวเองก็มักจะมานั่งอยู่ที่นี่เป็นประจำ มีทั้งตอนที่เฉาฉิงหล่างไปโรงเรียน แล้วก็มีทั้งช่วงเช้าที่เฉาฉิงหล่างท่องหนังสืออยู่ในบ้าน ตอนแรกลู่ไถยังนำของกินที่ทำขึ้นอย่างประณีตมาให้เฉาฉิงหล่างที่ยังต้องจุดเตาไฟทำอาหารประเภทโจ๊กกินเองเป็นอาหารมื้อเช้า แต่พอเฉาฉิงหล่างกินไปได้สองครั้ง ในที่สุดครั้งที่สามก็อดไม่ไหว พูดความในใจกับลู่ไถด้วยสีหน้าจริงจังว่า ทุกวันนี้เขาไปรับเงินจากที่ว่าการ แค่ต้องใช้ซื้อของเป็นค่าตอบแทนให้กับอาจารย์ที่โรงเรียนและซื้อข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ฟืนก็เพียงพอให้ใช้แล้ว

ลู่ไถอดทนรับฟังความในใจของเด็กชายเฉาฉิงหล่างจนจบก็ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็จะไม่ได้กินอาหารรสเลิศจากร้านเก่าแก่ร้อยปีเช่นนี้อีกแล้วนะ? จะไม่เสียใจทีหลังหรือ?”

เฉาฉิงหล่างรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยจึงยิ้มอย่างเขินอาย กล่าวว่า “หากอยากกินจริงๆ อดไม่ไหวจริงๆ ก็จะบอกพี่ใหญ่ลู่สักคำ”

ลู่ไถหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าไม่มีปัญหา

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ครั้งเดียวที่เฉาฉิงหล่างอยากกินก็ยังคงเป็นเกี้ยวน้ำหนึ่งชามที่เขาซื้อเองไหวเท่านั้น

ดังนั้นวันนี้ลู่ไถจึงอารมณ์ดีไม่น้อย

เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอกับเฉาฉิงหล่างที่นิสัยเหมือนเจ้าหมอนั่นในสถานที่เล็กๆ อย่างพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้

น่าสนใจๆ

ในที่สุดลู่ไถก็รู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวทำให้ตนเกิดพลังฮึกเหิมขึ้นมาได้บ้าง

กลับมาถึงบ้านพัก รอบกายรายล้อมไปด้วยเหล่าบุปผางามที่ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมก็มีครบหมด ทุกมุมในเรือนไม่มีฝุ่นสักเม็ด บนพื้นที่ปูด้วยไม้ไผ่ล้วนถูกสาวใช้เหล่านั้นเช็ดถูจนใสเอี่ยมอ่องราวคันฉ่อง

ระหว่างทางที่เดินมามีสาวใช้สามคนที่หลุดพ้นห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์เพราะลู่ไถทยอยกันเอ่ยทักทายลู่ไถที่เป็นทั้งผู้มีพระคุณและเจ้านาย

วิธีการออกจะประหลาดอยู่บ้าง พวกนางต่างก็เอ่ยทักทายด้วยถ้อยคำไพเราะที่กวาดมาจากในตำราซึ่งลู่ไถสอนพวกนางเอง เดิมทีเด็กสาวอายุน้อยสามคนก็เป็นคุณหนูในฝ่ายเลี้ยงรับรองของทางการอยู่แล้ว บทกวีและคำประพันธ์ต่างๆ จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกนาง อีกทั้งในบ้านโบราณหลังนี้ก็มีตำราซ่อนไว้มากมาย จึงไม่ใช่เรื่องยาก

ดังนั้นจึงมีคนพูดว่า บทกวีของคุณชายประหนึ่งดอกผุดตานแรกผลิบาน เป็นธรรมชาติน่าพิสมัย

แล้วก็มีสาวใช้หน้าตางดงามอีกคนหนึ่งกล่าวว่า บุคลิกท่วงท่าของคุณชายประดุจเรือใบแล่นอยู่บนทะเลบูรพา ดั่งสายลมและแสงแดดที่งามสง่า

และยังมีเด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า รูปโฉมของคุณชายประหนึ่งดอกจือหลัน (จือหลันคือดอกไอริสและดอกกล้วยไม้) และต้นไม้หยก เปล่งรัศมีเรืองรองเต็มห้องโถง

ลู่ไถหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ

ตลอดทางที่เดินมา ลู่ไถถอดรองเท้าหุ้มแข้งเดินเท้าเปล่ามาตามทาง สุดท้ายมานั่งเอนกายอยู่บนเตียงหลัวฮั่นลักษณะเรียบง่ายแต่สะอาดเอี่ยม มีสาวใช้หน้าตางดงามคนหนึ่งจะเดินมาปรนนิบัติ ลู่ไถ่กลับโบกมือไล่ไป

เขาดมกลิ่นสุราในกาเหล้าแล้วจิบเบาๆ หนึ่งคำ แม้ว่าเทียบกับสุราในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วถือว่ารสชาติดีขึ้นไม่น้อย แต่ไหนเลยจะสามารถทัดเทียมกับเหล้าหมักตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลได้

ลู่ไถโยนกาเหล้าที่ในก้นกายังมีแมลงสุราล้ำค่าตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ไปบนโต๊ะที่ห่างไปไกล กาเหล้าตั้งวางอย่างมั่นคง ไม่มีเหล้ากระฉอกออกมาสักหยด

ครึ่งปีหลังจากนั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุยอย่างเบิกบานของบ้านหลังนี้ สายลมขุมใหญ่ก็เริ่มหอบก้อนเมฆก่อตัวเป็นมรสุมขึ้นในพื้นที่มงคลดอกบัว ยุทธภพเป็นเช่นนี้ ราชสำนักและสนามรบก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ลู่ไถกำลังสอนสาวใช้ฉลาดเฉลียวคนหนึ่งชงชา มีสาวใช้หน้าตางดงามบอกว่ามีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมารอเยี่ยมเยียนอยู่นอกบ้าน

ลู่ไถจึงวางกิจกรรมอันสง่างามในมือลง แล้วออกไปต้อนรับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้งของโรงเรียนด้วยตัวเอง

ตามคำบอกของเฉาฉิงหล่าง แม้ว่าอาจารย์จ้งจะเข้มงวด แต่สั่งสอนทุกคนในโรงเรียนได้ดีมาก และยิ่งมีน้ำอดน้ำทนต่อเหล่าลูกศิษย์

นอกประตูก็คือราชครูจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน สีหน้าของเขาไม่ค่อยน่ามองนัก ปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน บอกว่าพูดคุยธุระที่หน้าประตูเสร็จแล้วก็จะไป

ลู่ไถยิ้มกล่าว “ข้าล้างหูรอฟังคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์”

จ้งชิวพูดเสียงหนัก “คุณชายลู่ แม้ว่าเจ้าจะหวังดี แต่กลับกำลังดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโต!”

ลู่ไถแสร้งทำเป็นตกตะลึง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

จ้งชิวพูดอย่างมีโทสะ “คุณชายลู่กล้าทำ แต่ไม่กล้ายอมรับอย่างนั้นรึ?”

ลู่ไถ่สะบัดพัดพับออกดังพรึ่บ พัดเอาลมเย็นมาเบาๆ กล่าวด้วยท่วงท่าทรงเสน่ห์ “ขอถามท่านอาจารย์จ้ง ข้าทำผิดที่ใด?”

จ้งชิวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

ในครึ่งปีที่ผ่านมา ลู่ไถผู้นี้สั่งสอนให้เฉาฉิงหล่างรู้จักกับหลักการและเรื่องราวทางโลกมากมาย

หากไม่เป็นเพราะวันนี้ที่โรงเรียน จ้งชิวเห็นเฉาฉิงหล่างกำลังโต้เถียงอยู่กับเพื่อนร่วมห้องโดยบังเอิญ เกรงว่าคงไม่รู้ว่าลู่ไถผู้นี้แอบกรอก ‘ความรู้เบ็ดเตล็ด’ ให้กับเฉาฉิงหล่างมากมายขนาดนั้น

อะไรที่บอกว่าริษยาที่คนอื่นมี เยาะหยันที่คนอื่นไม่มี อะไรที่บอกว่าคนดีเป็นยาก ยากตรงที่มีคนดีน้อยมากที่จะเข้าใจคำว่าวิญญูชนรู้บุญคุณไม่รู้ตอบแทนอย่างแท้จริง ดังนั้นคนดีประเภทนี้จึงเปลี่ยนไปเป็นคนไม่ดีได้ง่ายที่สุด อะไรที่บอกว่าคนดีที่ตั้งโรงทานแจกโจ๊กช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากกำลังทำเรื่องดีอยู่ก็จริง แต่คนทุกข์ยากที่ได้กินโจ๊กกินแผ่นแป้งที่คนเหล่านี้ทำทานมาให้กลับเป็นคนดีที่ร่ำรวยทั้งนั้น นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วยังมีเรื่องอีกสะเปะสะปะมากมายที่อยู่นอกเหนือจากความรู้และหลักการ เป็นเรื่องที่แม้แต่จ้งชิวซึ่งมีชื่อเสียงว่ารอบรู้มาโดยตลอดก็ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน อะไรคือวิชากลศึกลัทธิเต๋า วิชากลไกสำนักโม่ ร้อยสมุนไพรชำระร่างทองของสำนักโอสถ และอะไรคือเปลี่ยนจากแก่มาเป็นเด็ก

โชคดีที่หลังจากอาจารย์สอบถามด้วยสีหน้าเมตตาปราณี เฉาฉิงหล่างก็ไม่ได้ปิดบังอำพราง บอกสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้มาให้เขาฟังทั้งหมด

จ้งชิวระงับอารมณ์แล้วกล่าวเนิบช้าว่า “นิสัยของเฉาฉิงหล่างเป็นเช่นไร?”

ลู่ไถคิดแล้วตอบว่า “บริสุทธิ์เดียงสา จิตใจดีงาม”

จ้งชิวถามอีก “พรสวรรค์ของเฉาฉิงหล่างเป็นเช่นไร?”

ลู่ไถถอนหายใจ “พอใช้ได้”

จ้งชิวถามอีกครั้ง “ปีนี้เฉาฉิงหล่างอายุเท่าไหร่?”

ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จ้งชิวทอดถอนใจ “การเป็นคน หาใช่เพื่อฝึกวรยุทธ์ฝึกวิชา เมื่อทนกับความยากลำบากได้ก็เดินไปข้างหน้าได้ ขึ้นอยู่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่ใช่อย่างการฝึกตนของเจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าที่แค่พรสวรรค์ดีก็สามารถเดินได้พันลี้ในวันเดียว แล้วก็ไม่ใช่อย่างชาวลัทธิขงจื๊ออายุมากอย่างพวกข้าที่เวลาสร้างความรู้ต้องแสวงหาสิ่งที่สูงกว่าเดิม ไขว่คว้าในความกว้างไกล ครบถ้วนและแก่นสำคัญ การเป็นคน โดยเฉพาะเด็กที่อายุเท่าเฉาฉิงหล่างนี้ มีเพียงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ตอนเด็กเรียนหนังสือ มีข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจมากมาย ไม่เป็นไร เขียนตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่มีพลัง ก็ยิ่งไม่เป็นปัญหา แต่ข้าจ้งชิวกล้าพูดว่า ตำราลัทธิขงจื๊อบนโลกใบนี้ แม้ไม่กล้าพูดว่าทุกถ้อยคำทุกประโยคล้วนสอดคล้องกับทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความรู้ที่ไร้ความผิดพลาดมากที่สุด ตอนนี้ยิ่งเฉาฉิงหล่างอ่านเข้าหัวมากเท่าไหร่ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะยิ่งเดินไปข้างหน้าได้อย่างสบายใจมากเท่านั้น เด็กอายุแค่นี้จะสามารถรับความรู้ที่ปะปนกันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นหลักการที่แม้แต่คนโตก็ยังไม่แน่ว่าจะเข้าใจด้วย?!”

ลู่ไถหุบพัด กุมมือคารวะขออภัย “ลู่ไถผิดไปแล้ว”

จ้งชิวถอนหายใจ แค่นเสียงพูดว่า “หากเฉินผิงอันอยู่ข้างกายเฉาฉิงหล่าง เขาต้องไม่ทำอย่างเจ้าแน่นอน”

ลู่ไถเงยหน้าขึ้น ไม่เพียงไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะอย่างเบิกบาน “คำสั่งสอนนี้ของอาจารย์จ้งทำให้ข้าลู่ไถได้รับผลประโยชน์มหาศาล เพื่อแสดงคำขอบคุณ วันหน้าข้าจะต้องเอาสุราดีไหใหญ่ไปมอบให้ รับรองว่าเป็นเหล้าหมักเซียนที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวแน่นอน!”

จ้งชิวพูดเสียงหนัก “อย่าดีกว่า”

แล้วเขาก็หมุนกายเดินจากไป

ลู่ไถพลันถามกลั้วหัวเราะว่า “หากเฉินผิงอันเลี้ยงเหล้าท่าน ท่านจ้งชิวจะทำอย่างไร?”

ดูท่าเจ๋อเซียนผู้นี้จะทำให้จ้งชิวโมโหไม่น้อย เขาตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “เขาคออ่อนถึงเพียงนั้น ไม่ได้เรื่องหรอก ดื่มแค่ไม่กี่อึกก็ล้มแล้ว”

ลู่ไถมองแผ่นหลังสวมชุดสีเขียวที่ค่อยๆ เดินห่างไปไกลแล้วถอนหายใจหนึ่งที

มรรคาลึกซึ้งและมหัศจรรย์ ไม่อาจเทียบกับชะตาชีวิต

บรรลุแจ้งตื่นจากฝันก่อนผู้ใด

หากเกิดมาในใต้หล้าไพศาล อาจารย์ผู้เฒ่าจ้งคนนี้ต้องร้ายกาจมากแน่ๆ

……

เดินอยู่บนถนนทางหลวงนอกเมือง เนื่องจากเป็นช่วงท่องเที่ยวชานเมืองฤดูใบไม้ผลิจึงมีรถม้าที่ประดับประดาอย่างงดงามแล่นผ่านไปมากมาย

หากเป็นรถม้าที่ควบขับไปแบบธรรมดา ฝุ่นที่ตลบขึ้นมาย่อมมีไม่มาก แต่หากมีกลุ่มม้าควบตะบึงผ่านไป คนที่เดินเท้าอยู่สองข้างฝั่งทางจะต้องรับกรรมแล้ว เผยเฉียนกินฝุ่นเข้าไปไม่น้อย เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนมอมแมม ทำเอานางโมโหจนรีบควักสาลี่ลูกหนึ่งออกมาจากห่อผ้าที่สะพายอยู่บนบ่า กัดกินแรงๆ ไปเกินครึ่งลูก โทสะถึงได้คลายลง ผลไม้ตระกูลเซียนที่เปลี่ยนทุกวันของโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผานี้ เผยเฉียนไม่กล้าถามอาจารย์ว่าเอาไปด้วยได้ไหม กลับเป็นเฉินผิงอันที่ไปถามผู้ดูแลโรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่าแขกที่เข้าพักสามารถเอากลับไปได้ ถึงได้ไปกวาดผลไม้บนจานที่อยู่ในแต่ละห้องมาจนเกลี้ยง แล้วพกใส่ห่อผ้ามาด้วย!

จากนั้นเฉินผิงอันก็ให้สาลี่หนึ่งลูกและพุทราหนึ่งกำมือแก่เผยเฉียน ให้นางเอาไว้กินระหว่างเดินทาง

เวลานี้บนถนนทางหลวงมีชายหญิงสวมผ้าแพรต่วนขี่ม้าควบตะบึงผ่านไปอีกครั้ง ยังดีที่เผยเฉียนหันหลังกลับ ใช้สองมือกุมสาลี่ที่เหลืออยู่เกือบครึ่งลูกเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว

เฉินผิงอันยื่นมือมาโบกปัดฝุ่น หันไปยิ้มพูดกับเผยเฉียนว่า “จำไว้ว่าต้องเก็บแกนสาลี่เอาไว้”

เผยเฉียนกินสาลี่เสร็จก็เก็บแกนสาลี่ใส่ห่อผ้า ถามว่า “อาจารย์ ท่านว่าพวกคนที่ขี่ม้านี่น่ารังเกียจไหม? ไม่มีความสามารถจริงๆ แต่ดันชอบโอ้อวดบารมี”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็แค่กินฝุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถือว่าน่ารังเกียจอะไร”

เผยเฉียนคิดตาม แต่ก็ยังไม่ใคร่จะเข้าใจสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้ม “วันหน้าหากถึงคราวที่เจ้าต้องออกไปท่องยุทธภพบ้าง จะขี่ม้าหรือไม่ อยากจะฟาดแส้ควบม้าอย่างเร็วพลางตะโกนว่ายุทธภพ ข้ามาแล้วหรือไม่?”

เผยเฉียนพลันกระจ่างแจ้ง “ก็จริงนะ”

เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง พูดเสียงเบาว่า “วันหน้าที่เจ้าต้องออกมาท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก พบเจอกับอุปสรรคก็อย่าได้ผิดหวัง อยู่ในยุทธภพมักจะมีคนดีให้พบเจออยู่เสมอ คนดีที่จะเลี้ยงเหล้าดีๆ เจ้า”

เผยเฉียนพึมพำเบาๆ “แต่ถ้าเดินทางตอนกลางคืนก็ยังต้องเจอผีอยู่ดี ข้ากลัว”

เฉินผิงอันขบขันคำพูดของนางอย่างยิ่ง “ถึงเวลานั้นเจ้าขี่ม้าตัวหนึ่ง อาจารย์ยังจะช่วยเตรียมดาบและกระบี่ที่เอาไว้กำจัดปีศาจปราบมารให้เจ้าด้วย พวกภูตผีปีศาจต่างหากที่ต้องกลัวเจ้าถึงจะถูก”

เผยเฉียนพูดประจบเอาใจอย่างว่าง่าย “อาจารย์ ข้าเอาทั้งดาบและกระบี่ แต่ว่าท่านหาลาเล็กๆ ให้ข้าสักตัวก็พอ เดินช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร!”

……

อีกครึ่งทางที่เหลือ มีวันหนึ่งพวกเฉินผิงอันก่อไฟทำอาหารอยู่ริมลำคลองที่เงียบสงบ

ห่างไปไกลมีคนผู้หนึ่งกำลังลังเลใจ คล้ายตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจเดินขยับเข้ามาใกล้พวกเฉินผิงอัน

พออยู่ห่างไปประมาณยี่สิบกว่าก้าว ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็หยุดเดิน สุดท้ายย้ายสายตาไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่ปลดหีบไม้ไผ่แล้วแต่ยังสะพายกระบี่อยู่ ใช้ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าว่ามาสิ”

ชายฉกรรจ์คนนั้นขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายเคยได้ยินเรื่องแผงลอยควันธูปหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “พอจะรู้มาบ้าง เจ้าเป็นคนส่งธูปของวัดวาอารามแห่งใดในแคว้นชิงหลวน? คือธูปภูเขาหรือธูปน้ำ?”

ชายฉกรรจ์โล่งอกได้เล็กน้อย ดูท่าเซียนซือหนุ่มท่านนี้เป็นคนพิถีพิถันไม่น้อย รู้ว่าเรียกตนว่าคนส่งธูปแล้วน่าฟังมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าใจอาชีพนี้เป็นอย่างดี สายตาของตนไม่แย่เลยจริงๆ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะเดินทางด้วยเท้า แต่กลิ่นอายเทพเซียนบนร่างกลับไม่ใช่ของปลอม

แผงลอยควันธูปก็คือกิจการอย่างหนึ่งของพวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขา เป็นการซื้อขายที่ต้องเทียวไปเทียวมา ช่วยศาลที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำและภูเขาหรือไม่ก็วัดวาอารามทำหน้าที่เป็นคนพูดโน้มน้าว เชื้อเชิญให้ผู้มีจิตศรัทธาซึ่งมีหวังว่าจะทุ่มทองพันชั่งไปจุดธูปกราบไหว้ โดยทั่วไปแล้วพ่อค้าแผงลอยควันธูปจะพกธูปเทพในจำนวนที่แน่นอนติดตัวไปด้วย ธูปเทพที่ศาลแห่งภูเขาแม่น้ำ เจินเหรินหรือพระสงฆ์สมณศักดิ์สูงตั้งใจทำขึ้นต่างก็มีราคาไม่ธรรมดา หลังจากผู้ฝึกลมปราณจุดธูปแล้วสามารถทำให้จิตใจสงบสุข การดึงดูดปราณวิญญาณก็จะเร็วขึ้น ส่วนพวกแม่ทัพ เสนาบดี ชนชั้นสูงที่หากจุดธูปประเภทนี้กราบไหว้ในศาลบรรพชน ว่ากันว่าสามารถสะสมผลบุญในปรโลกให้กับลูกหลานได้ ระดับขั้นมีสูงมีต่ำ ราคาแตกต่างกันออกไป ธูปภูเขาผลิตจากศาลเทพภูเขาและศาลห้าขุนเขา ธูปน้ำแน่นอนว่าต้องมาจากศาลเทพวารี ศาลพ่อปู่ลำคลองจากสถานที่ต่างๆ

สำหรับเรื่องคนส่งธูปที่ชุยตงซานเคยพูดถึงนี้ เฉินผิงอันจดจำได้อย่างแม่นยำ

ชายฉกรรจ์ชี้ไปยังลำคลองสายใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงแล้วยิ้มพูดว่า “คือธูปน้ำของศาลพ่อปู่ลำคลองในพื้นที่”

เฉินผิงอันวางถ้วยและตะเกียบลง เช็ดมือลุกขึ้นยืน เดินมาหาชายฉกรรจ์คนนั้นแล้วถามว่า “หากข้าอยากจะเชิญธูป ต้องใช้เงินเกล็ดหิมะมากน้อยเท่าไหร่?”

ชายฉกรรจ์ตอบ “ธูปสามก้าน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

เผยเฉียนพลันเบิกตากว้าง หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับเงินหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ

เฉินผิงอันจึงเชิญธูปน้ำสามชุด ยื่นเงินเกล็ดหิมะส่งให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้น ส่วนชายฉกรรจ์ก็มอบกล่องไม้ทรงยาวลักษณะโบราณเรียบง่ายให้เฉินผิงอันสามใบ ด้านในต่างบรรจุธูปสามดอก

เดิมทีหลังจากเชิญธูปแล้วไม่จำเป็นต้องไปจุดธูปที่ศาลทันที แต่จะเลือกไปเวลาใดก็ได้ ถึงขั้นที่ว่าจะไปหรือไม่ไปก็ล้วนไม่บังคับ ไปจุดธูปที่อื่นก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน นอกจากว่าภูเขาและแม่น้ำมีเรื่องอื่นที่ต้องพิถีพิถัน ขอแค่ไม่เชิญธูปภูเขา แต่กลับจุดกราบไหว้เทพวารีก็พอแล้ว จะไปที่วัดวาอารามแห่งใดก็ไม่เป็นไร หรือหากจะเอาไปกราบไหว้บรรพบุรุษในศาลบรรพชน ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง ฯลฯ ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี

แต่เฉินผิงอันกลับยังบอกให้ชายฉกรรจ์รอครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกให้พวกเผยเฉียนกินข้าวให้เสร็จแล้วเดินทางไปที่ศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนั้นด้วยกัน

ระหว่างที่เดินทางไป เผยเฉียนถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ไปที่นั่น พวกเราต้องเดินทางอ้อมกันอีกนะ”

แต่ไม่นานเผยเฉียนก็รู้สึกว่าประโยคนี้ของตนไร้สาระ เพราะดูเหมือนอาจารย์ก็ทำแบบนี้เป็นประจำ ขอแค่เป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียงหรือทัศนียภาพที่งดงามสักหน่อย หากพวกเขาไม่ต้องเร่งเดินทาง อาจารย์ก็จะเดินๆ หยุดๆ เดินอ้อมเดินไกลแบบนี้อยู่แล้ว

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองทิศไกล ไม่เอ่ยอะไร

ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ชายแขนเสื้อของคนหนุ่มชุดขาวพลิ้วไสว เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าอยากเห็นให้มากๆ หน่อย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version