บทที่ 397 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวงจันทร์
ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนกับสือโหรวหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จูเหลี่ยนจะหัวเราะเฮอๆ พูดว่า “เจ้าลองพูดก่อนสิ”
สือโหรวข่มกลั้นความอึดอัดในใจ สายตาของตาเฒ่าบ้ากามผู้นี้ ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีก็คงยังทำให้คนสะอิดสะเอียนได้แบบนี้กระมัง นางพูดเบาๆ ว่า “ข้าคือวัตถุหยิน เกิดมาก็ถูกสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงข่มกำราบ จุดที่สายตาของคุณชายมองไปปรากฎสิ่งที่ทำให้จิตใจของข้ายิ่งไม่สงบสุข เจ้าล่ะ?”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เมื่อครู่นี้จิตของนายน้อยเกิดการขานรับจึงหันหน้ามองไป ท่าทางที่แม่นางสือโหรวทอดสายตามองไกลตามไป สายตาเลื่อนลอยเช่นนั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง”
สือโหรวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขนาดเผยเฉียนยังรู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตาแก่หน้าไม่อายอย่างเจ้าไม่เข้าใจบ้างหรือ?”
เผยเฉียนน้อยใจนิดหน่อย “พี่หญิงสือโหรว อะไรที่เรียกว่า ‘ขนาด’ เขียนตัวอักษรหรืออ่านหนังสือ ข้าก็ล้วนตั้งใจอย่างมากเลยนะ”
สือโหรวได้แต่หันมามองนางด้วยสายตาขออภัย
เผยเฉียนโบกมือเป็นวงกว้าง แล้วก็เริ่มยกหลักการยิ่งใหญ่ที่อ่านเจอในตำรามาประกอบกันส่งเดชอีกครั้ง “มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษย่อมต้องเคยผิดพลาด ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ให้อภัยไม่ได้…”
เผยเฉียนสังหรณ์ได้ว่าท่าไม่ดี แล้วนางก็ต้องเกร็งเท้าเขย่งขึ้นเพราะถูกเฉินผิงอันดึงหูให้เดินไปข้างหน้าจริงดังคาด
เฉินผิงอันเอ่ยสั่งสอน “หลักการอริยะปราชญ์ที่ได้มาไม่ง่ายในตำราพวกนั้น ตอนนี้เจ้ายังรู้และเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ กล้าเอามาโอ้อวดส่งเดชแล้วอย่างนั้นรึ?”
เผยเฉียนรีบยอมรับผิดทันใด
ใบหูปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว
หลังจากผ่านคลื่นลมมรสุมด้วยกันมา ตอนนี้เผยเฉียนก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าอาจารย์โกรธมากและโกรธน้อย เขกมะเหงก ต่อให้แรงไปสักหน่อย แต่นั่นก็ยังดี เพราะอันที่จริงแล้วถือว่าอาจารย์ไม่โกรธเท่าไหร่นัก หากดึงหูก็หมายความว่าอาจารย์โกรธจริงๆ หากดึงกระชากแรงๆ นั่นก็ยิ่งร้าย แปลว่าโกรธไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะได้กินมะเหงกหรือถูกดึงหูก็ล้วนเทียบกับตอนที่เฉินผิงอันโกรธแล้วเงียบ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่ตีไม่ด่าไม่ได้ เผยเฉียนกลัวเฉินผิงอันที่เป็นแบบนั้นมากที่สุด
เฉินผิงอันเลือกโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่กลางตลาดจอแจ ตั้งอยู่ในตรอกชางเล่อที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง เป็นแถบที่มีร้านหนังสืออยู่มากมาย
เพียงแต่ว่าตอนนี้ห้องพักในโรงเตี๊ยมต่างๆ ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนล้วนเป็นที่ต้องการ เหลืออยู่แค่ห้องสองแห่งที่อยู่แยกกัน ราคาก็ราวกับจะปลิดชีพคน หนุ่มลูกจ้างร้านที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมีสีหน้าประมาณว่าอยากพักก็พัก ไม่อยากพักก็ไสหัวไป แต่เฉินผิงอันก็ยังคงควักเงินจ่ายค่าเข้าพัก แน่นอนว่าต้องให้ลูกจ้างร้านดูเอกสารผ่านทางเสียก่อน เพราะจำเป็นต้องลงบันทึกเอาไว้ เตรียมไว้เวลาที่ทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบหลังจากนี้ เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอกสารผ่านทางหลายฉบับที่ชุยตงซานเตรียมมาไว้ให้เรียบร้อยแล้วออกมา ลูกจ้างร้านแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ คัดลอกข้อมูลเสร็จสิ้นก็ประคองส่งคืนให้ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม ลูกจ้างร้านขมีขมันอย่างถึงที่สุด แถมยังเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน บอกว่าตอนนี้โรงเตี๊ยมหาห้องว่างมาเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว แต่ขอแค่มีลูกค้าย้ายออก เขาจะต้องรีบแจ้งคุณชายเฉินให้รู้ทันที
เฉินผิงอันยิ้มพูดว่าตกลง ไม่นานลูกจ้างร้านก็เรียกเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งออกมา ให้นางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก
ส่วนลูกจ้างร้านนั้นรีบไปหาเถ้าแก่ทันที บอกว่ามีกลุ่มคนจากเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหลีเดินทางลงใต้มาท่องเที่ยวมาเข้าพักที่โรงเตี๊ยม
เถ้าแก่คือบุรุษอ้วนฉุที่แทบจะมองไม่เห็นดวงตา สวมอาภรณ์ผ้าแพรที่พวกเศรษฐีชอบสวมใส่กันเป็นประจำ เขากำลังลิ้มรสชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องปีกข้างที่เงียบสงบประดับตกแต่งอย่างหรูหราห้องหนึ่ง พอฟังคำของลูกจ้างร้านจบก็เห็นท่าทางเงี่ยหูรอฟังอย่างโง่งมของฝ่ายหลัง อยู่ดีๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะพุ่งมาจากไหน ยกเท้าถีบออกไปพร้อมสบถด่า “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสยกน้ำชามาให้เจ้าดื่มดับกระหาย? ในเมื่อเป็นนายท่านใหญ่ที่มาจากเมืองหลวงต้าหลีแล้วยังไม่รีบไปปรนนิบัติรับใช้อีก! มารดามันเถอะ กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเขาใกล้จะมาถึงราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว หากพวกเขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางคนใดของต้าหลีขึ้นมาจริงๆ …ช่างเถอะ ข้าผู้อาวุโสไปเองดีกว่า ให้เจ้าไปทำแล้วข้าไม่วางใจ…”
ลูกจ้างหนุ่มที่มาขอความดีความชอบไม่สำเร็จ กลับยังถูกถีบไปหนึ่งทีก็อดนินทาในใจไม่ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าดันโดนเถ้าแก่ร้านตบแรงๆ อีกที “ข้าผู้อาวุโสใช้ก้นคิดยังนึกสีหน้าที่ใช้สายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าก่อนหน้านี้ออกเลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่เขย ป่านนี้คงให้เจ้าออกไปเก็บขี้หมาบนถนนแล้ว”
คนหนุ่มที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงได้มาเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมกลับไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วถึงได้กล้าสบถด่า พี่สาวที่งดงามประหนึ่งบุปผาประหนึ่งหยกของตนต้องมาเป็นอนุภรรยาของเจ้าหมูตัวนี้ มันช่าง…เป็นเรื่องที่โชคดีซะจริง กินอยู่ไร้ทุกข์ไร้กังวล สวมใส่เครื่องประดับเงินทอง ทุกครั้งที่กลับไปเยือนตรอกโทรมๆ อันเป็นบ้านเดิมก็ราวกับเหนียงเนียงในวัง มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง ขนาดน้องชายอย่างเขาก็ยังได้อาศัยใบบุญไปด้วย
เมื่อเถ้าแก่ออกโรงด้วยตัวเองจึงสามารถหาห้องมาเพิ่มให้เฉินผิงอันได้อีกห้องหนึ่ง ดังนั้นเผยเฉียนกับสือโหรวจึงพักอยู่ห้องเดียวกัน เดิมทีฝ่ายหลังก็เหมาะสำหรับการฝึกตนยามค่ำคืน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับอยู่แล้ว จึงให้เผยเฉียนยึดเตียงไปนอนเพียงลำพัง เฉินผิงอันกังวลว่าเผยเฉียนจะหวาดกลัวตัวตนวัตถุหยินและร่างของตู้เม่าจึงถามเผยเฉียนก่อน เผยเฉียนกลับไม่ถือสา แน่นอนว่าสือโหรวยิ่งไม่ถือสา ให้อยู่ร่วมห้องกับจูเหลี่ยนต่างหากที่จะทำให้นางขนลุกขนพองเหมือนอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์
เรื่องราวในโลกมนุษย์มากมายดุจขนวัว เฉินผิงอันเคยชินกับการทำอะไรอย่างใส่ใจมานานมากแล้ว หากเขาใส่ใจ คนข้างกายก็สามารถลดเรื่องหยุมหยิมไปได้ ทำให้หันมาทำเรื่องที่ถูกต้องจริงจังได้มากขึ้น และเขาก็ใช้วิธีการเช่นนี้นับตั้งแต่ที่ปกป้องพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย
ห้องทั้งสองห่างกันค่อนข้างไกล เผยเฉียนจึงมาคัดตัวอักษรอยู่กับเฉินผิงอันก่อน
เฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนไม่มีอะไรทำจึงตั้งท่าวานรยืนอยู่ในมุมห้อง
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลก็ดี หรือจะเป็นเฉินผิงอันที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตหกก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันมาตั้งนานแล้วว่า การฝึกวรยุทธ์นั้นอยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตประจำวัน ตั้งกระบวนท่าหมัดเวลาเดิน ขึ้นเขาลงห้วย ต่างคนต่างมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป นั่งหายใจ หรือแม้แต่ยามนอนหลับ ทั้งจูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็มีวิธีในการบำรุงปณิธานหมัดให้อบอุ่นของใครของมัน ส่วนเผยเฉียน ถึงอย่างไรอายุของนางก็ยังน้อย ยังเดินมาไม่ถึงขอบเขตนี้ แต่เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนก็จำต้องยอมรับว่า บางคนบนโลกมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นจริงๆ แม้แต่บนเส้นทางของการฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเหยียบยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ไม่มีทางลัดให้เดิน เผยเฉียนก็ยังเหมือนจะใช้วิธีโกงได้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันสอนการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้กับเผยเฉียน ความเร็วในการพัฒนาของนาง ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้แล้ว
ในขณะที่เฉินผิงอันเก็บท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนก็ทำท่าคันไม้คันมือ เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในทันทีจึงบอกให้เผยเฉียนที่คัดตัวอักษรเสร็จเรียบร้อยแล้วใช้ไม้เท้าวาดวงกลมบนพื้น เขาจะประมือกับจูเหลี่ยนอยู่ในวงกลม หากใครออกนอกวงคนนั้นก็แพ้ ปีนั้นตอนที่อยู่บนถนนใหญ่แคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันกับหม่าขู่เสวียน ‘ได้มาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน’ ก็ใช้วิธีการแบบนี้มาตัดสินแพ้ชนะเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันรู้ว่าผู้ปกป้องมรรคาแห่งภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนจับตามองอยู่อย่างลับๆ เกรงว่าคนวัยเดียวกันสองคนที่มาจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาก็คงต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว
สำหรับหม่าขู่เสวียนที่พ่อแม่ได้ครอบครองเตาเผามังกรเตาหนึ่งมาเนิ่นนานแล้ว เฉินผิงอันไม่มีทางเกรงใจ แค้นเก่าแค้นใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่สะสางความจริงให้แน่ชัดและมาคิดบัญชีย้อนหลังกันอีกที
หลังจากที่เผยเฉียนวาดวงกลมวงใหญ่เสร็จแล้วก็มีท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย วิชาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้นางวิชานี้ ไม่ว่านางจะเรียนรู้อย่างไรก็ไม่เป็นผลเสียที
เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนยืนอยู่ในวงกลม พื้นที่แคบๆ เพียงเท่านี้แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงออกหมัดดังทึบหนักอื้ออึง
จูเหลี่ยนย่อมต้องกดขอบเขตให้ต่ำลง ไม่ต่างจากตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้คนในภาพวาดทั้งสี่คนอย่างพวกเขา
หนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ถูกจูเหลี่ยนต่อยหมัดหนึ่งจนผงะถอยไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างยังปักตรึงอยู่ในวงกลม แล้วก็ถูกจูเหลี่ยนศอกเข้าที่หน้าอก ร่างถึงกับล้มตึงลงไป เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้น ในขณะที่แผ่นหลังอยู่ห่างจากพื้นดินด้วยความสูงประมาณหนึ่งฉื่อ ร่างก็พลิกกลับ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ส่ายสะบัดเหมือนลูกข่างหมุน เท้าทั้งสองข้างสัมผัสโดนเส้นขอบของวงกลมพอดี เขาเดินอ้อมไปทางด้านหนึ่งของจูเหลี่ยน ผลกลับถูกจูเหลี่ยนเตะเข้าที่หน้าอก ร่างกระเด็นไปกระแทกกำแพง
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันกำแพงที่อยู่ด้านหลังไว้ก่อนเพื่อลดทอนพละกำลังทั้งหมด ไม่อย่างนั้นด้วยแรงเท้าข้างนั้นของจูเหลี่ยน ก็คงไม่ใช่แค่กระแทกกำแพงพังเท่านั้น สุดท้ายถึงพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “แพ้แล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “นายน้อยออกกระบวนท่าแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้ แอบเรียนมาจากศึกสุดท้ายรอบหกสิบปีที่พื้นที่มงคลดอกบัวอย่างนั้นหรือ? ยกตัวอย่างเช่นเรียนรู้มาจากติงอิงที่เอากวานเต๋าชิ้นนั้นของข้าไปครอง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ติงอิงเรียนวรยุทธ์มาอย่างหลากหลาย ข้าเองก็เรียนรู้จากเขามาได้ไม่น้อย”
หลังจากคนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จูเหลี่ยนก็รินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินผิงอัน พูดเนิบช้าว่า “ติงอิงคือคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจอมา อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาได้แสดงออกถึงมาดของผู้นำที่แกร่งกร้าวมาตั้งนานแล้ว การเข่นฆ่าในแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนั้น ข้ารู้ว่าตัวเองทำไม่สำเร็จแล้ว สั่งสมปณิธานหมัดของทั้งชีวิตเอาไว้ แต่ให้ตายอย่างไรเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ดังขึ้นเสียที ตอนนั้นแม้ว่าข้าจะบาดเจ็บสาหัส ส่วนติงอิงเองก็อดทนข่มกลั้นมานานกว่าจะเผยไม้เด็ดในช่วงสุดท้าย แต่อันที่จริงหากข้าคิดจะสังหารเขาในตอนนั้นจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ต่างจากบิดคอไก่คอกระต่าย แต่ข้าก็ยังเลือกจะละเว้นชีวิตเขา แถมยังมอบกวานเต๋าซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากเจ๋อเซียนชิ้นนั้นให้กับเขาติงอิง คิดไม่ถึงว่าหกสิบปีให้หลัง คนหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง กลับกันความทะเยอทะยานของเขายังมากกว่าข้าเสียอีก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มิน่าเล่าติงอิงถึงไม่เคยพูดถึงศึกแห่งวิถีวรยุทธ์ที่ทำให้เขาร่ำรวยมีชื่อเสียงขึ้นมาในฉับพลันครั้งนั้น ทั้งยังเก็บงำไว้เป็นความลับอย่างเงียบเชียบ น่าจะเป็นเพราะรู้สึกอับอายเกินกว่าจะคุยโว แล้วก็ไม่ยินดีจะเปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเองออกมาด้วย”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตาแก่นั่นทำร้ายให้อาจารย์ของข้าต้องเหนื่อยยากแค่ไหน”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ปีนั้นข้าก็ควรต่อยให้ติงอิงตายไปด้วยหมัดเดียวเลย ใช่ไหม?”
เผยเฉียนพลาดไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง นางมองเฉินผิงอันก่อน แล้วค่อยหันมามองจูเหลี่ยนที่มีสีหน้ากวนโอ้ยประมาณว่าขุดหลุมรอให้นางกระโดดลงไปไว้แล้ว และเขาจะเป็นคนกลบหลุมให้เอง เผยเฉียนส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ๆ”
เผยเฉียนเห็นว่าอาจารย์ไม่มีวี่แววว่าจะมอบมะเหงกให้เป็นรางวัลก็รู้ว่าตัวเองตอบถูกแล้ว
นางเอากระดาษ พู่กันและหมึกเก็บใส่ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แต่จู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นยืน มากระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ข้างหูเฉินผิงอัน “อาจารย์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้พอข้าเปิดอ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ มองปราดๆ ก็เหมือนว่าตัวอักษรบนหนังสือจะสวยงามขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก”
เฉินผิงอันไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่ถามยิ้มๆ ว่า “หมายความว่าไง?”
เพื่อป้องกันไม่ให้จูเหลี่ยนแอบฟัง เผยเฉียนจึงกดเสียงลงแผ่วต่ำต่อไป “เมื่อก่อนก้อนหมึกเล็กๆ พวกนั้นเป็นเหมือนข้าที่ตัวดำเมี่ยม แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วกลับไม่เหมือนเก่า เหมือนใครกันนะ…”
เผยเฉียนเริ่มนับนิ้วตัวเอง “หวงถิงที่สอนวิชาดาบและเวทกระบี่ให้ข้า เหยาจิ้นจือที่ชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ ฟ่านจวิ้นเม่าที่นิสัยไม่ค่อยดี จินซู่ที่อยู่ข้างกายน้ากุ้ย บอกไว้ก่อนว่าเป็นเหล่าเว่ยที่บอกว่าพี่หญิงจิ้นจือชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ บอกว่านางเป็นโฉมสะคราญที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้ ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเองหรอกนะ แม้แต่คำว่ามอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์หมายความว่าอย่างไร ข้าก็ยังไม่รู้เลย”
จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังพูดขัดขาว่า “แต่เจ้าก็เห็นด้วยกระมัง…”
เผยเฉียนรีบวิ่งไป คิดจะปิดปากพล่อยๆ ของจูเหลี่ยนที่สมกับคำว่าปากสุนัขไม่งอกงาช้าง จูเหลี่ยนหรือจะปล่อยให้นางทำได้สมใจหวัง เขาเบี่ยงตัวหลบซ้ายหลบขวา ส่วนเผยเฉียนก็แยกเขี้ยวฟ้อนเล็บเข้าใส่
เฉินผิงอันมองดูหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กตีกัน แล้วเอ่ยเตือนว่า “พวกเราซื้อของที่สนใจในเมืองหลวงเสร็จแล้วค่อยไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีชื่อเสียงกัน อย่างมากสุดก็อยู่อีกสองวันแล้วค่อยไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนทางทิศตะวันออกของแคว้นชิงหลวน เพื่อตรงไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย”
จูเหลี่ยนหลบเลี่ยงเผยเฉียนพลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยไม่จำเป็นต้องห่วงบ่าวเฒ่า กลัวก็แต่ว่านังหนูนี่จะไร้ขื่อไร้แป ประหนึ่งม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน ถึงเวลานั้นก็จะเหมือนรถเทียมวัวคันนั้นที่พุ่งพรวดเข้ารกเข้าพง…”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “จูเหลี่ยน ทำไมเจ้าชอบปากอีกาแบบนี้เสมอ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วจริงๆ นะ!”
จูเหลี่ยนกำลังจะพูดหยอกเด็กหญิงที่ผิวดำเป็นถ่านสักสองสามคำ นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ใช่ ไม่ควรปากอีกา”
จูเหลี่ยนรีบพยักหน้าตอบรับทันที “นายน้อยสั่งสอนได้ถูกต้อง”
เผยเฉียนนั่งลง เอามือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งชี้หน้าจูเหลี่ยน ในที่สุดก็คว้าโอกาสแก้แค้นได้ จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าขับเรือตามกระแสลม พ่อครัวเฒ่า เจ้ามั่วแล้วกระมัง”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่างเจ้านั้นเรียกว่าหญ้าบนยอดกำแพง อย่างข้านี่เรียกว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้สง่างามและมีปัญญาเป็นเลิศ สง่างามมาจากคำว่าหล่อเหลาสง่างาม ปัญญามาจากคำว่าสติปัญญา”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “อาจารย์บอกว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเรา เจ้าเคยเป็นคุณชายที่หล่อเหลาหาผู้ใดมาเปรียบมิได้?”
ไม่รอให้จูเหลี่ยนพูดจ้อถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในอดีต เผยเฉียนก็เอาสองมือกุมท้องหัวร่องอหงายจนหัวกระแทกกับโต๊ะ “เจ้าโม้เสียมากกว่ากระมัง ขำจะตายอยู่แล้ว โอ้ย ปวดท้อง…”
จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันเองก็กลั้นยิ้มเหมือนกันก็ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
……
ขณะที่งานโต้วาทีพุทธเต๋ากำลังจะปิดฉากลง ในคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่งนอกชานเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ฮ่องเต้สกุลถังแอบเสด็จมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน แม้ว่าถังหลีจะเป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์ แต่ก็ยังไม่กล้าละเลยคนผู้นี้อยู่ดี
เพราะผู้ที่มาเยือนคือผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เขาเป็นทั้งเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ปานประหนึ่งเสาค้ำยันมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ใหญ่ที่รับผิดชอบถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินทุกคนอีกด้วย เขามีนามว่าเจียงเม่า
นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวสกุลเจียงสายตรงที่หลังจากแต่งงานไปอยู่ที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็ได้หวนกลับคืนมาเยี่ยมบ้านเดิม รวมไปถึงหมัวมัวผู้อบรมมารยาทคนหนึ่งที่ติดตามนางไปจากสกุลเจียงด้วย เล่าลือกันว่านางคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีพลังสังหารน่ากลัวท่านหนึ่ง
ส่วนข้างกายถังหลีก็มีผู้ติดตามสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเชื้อพระวงศ์ที่สามารถทำให้เขาวางใจที่จะปล่อยอำนาจให้ได้ นามว่าถังจ้ง หากนับกันตามลำดับศักดิ์แล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นอาของฮ่องเต้ถังหลี เคยมีการเขียนจดหมายไปมาหาสู่กับหลิ่วจิ้งถิงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจดหมายทะเลาะกันซะมากกว่า และอันที่จริงแล้วถังหลีก็เคยอ่านจดหมายเหล่านั้น
อีกคนหนึ่งก็คือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว คืออันดับหนึ่งในบรรดาเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคนของแคว้นชิงหลวน นามว่าโจวหลิงจือ หลายคนล้วนลืมไปแล้วว่าเซียนซือผู้เฒ่าคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ แต่การที่เขาช่วยประคับประคองสนับสนุนฮ่องเต้สกุลถังมานานถึงสามรุ่น แม้ชื่อเสียงจะไม่ค่อยดี เพียงแต่ว่าถังหลีเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ สายตาของเขามองเห็นเพียงการรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น เห็นเพียงโชคชะตาหมื่นปีของแคว้น ไหนเลยจะถือสาคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เจ็บไม่คันพวกนี้
มาพบเทพเซียนผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นั้น ต่อให้กษัตริย์แห่งแคว้นชิงหลวนอย่างถังหลีจะไม่มีสีหน้าดีๆ ให้กับเซียนซือบนภูเขาในถิ่นของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษามารยาทที่ผู้น้อยพึงมีเอาไว้
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงตรงข้ามกัน
ราวกับจงใจไม่แบ่งแยกเจ้าบ้านและแขก ยิ่งไม่มีการแบ่งแยกกษัตริย์กับขุนนางอะไร
ผู้เฒ่าไม่ได้วางท่าอย่างที่คิดเอาไว้ คำพูดคำจาก็สุภาพนุ่มนวล
ถังหลีบอกให้ขุนนางกรมพิธีการมอบเอกสารคดีปึกใหญ่และภาพวาดที่บันทึกวิธีคัดลอกลายของตระกูลเซียนจำนวนหนึ่งให้แก่เจียงเม่า ขุนนางผู้นี้คือขุนนางหนุ่มจากกรมพิธีการที่หน้าตาได้สัดส่วนงดงามและมีฝีปากคมกริบ ขณะที่เจียงเม่าพลิกเปิดเอกสารคดีและมองภาพวาด เลขาธิการของกรมพิธีการท่านนี้ก็รายงานเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นในงานโต้วาทีพุทธเต๋าให้เทพเซียนผู้เฒ่าสกุลเจียงฟัง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจ น่าตะลึงพรึงเพริด เขากลับเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังพูดอย่างคล่องแคล่วว่องไว เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในตำนาน เขากลับไม่วางตัวต่ำต้อยและไม่เย่อหยิ่ง บางครั้งก็ตอบคำถามได้อย่างเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาให้กับฮ่องเต้อย่างยิ่ง
ดังนั้นถังหลีจึงถูกใจมาก เขาเบี่ยงตัวหันไปมองทางถังจ้งผู้เป็นอา
ฝ่ายหลังอธิบายเบาๆ ว่า “ซ่งซานซีแห่งกองงานระเบียบพิธีสังกัดกรมพิธีการ ลูกหลานสกุลซ่งเขตการปกครองชิงซง คือปั้งเหยี่ยน (คือบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้อันดับที่สอง หรือเป็นรองแค่บัณฑิตจอหงวนเท่านั้น) ปีที่สองของชิวขุย”
ถังหลีกล่าว “คราวหน้ามาสอบที่เมืองหลวง สามารถเลื่อนระดับได้”
ถังจ้งยิ้มพลางพยักหน้ารับ
ถังหลีพลันถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้ผู้บัญชาการณ์เหวยถึงไม่อยู่ด้วย?”
ถังจ้งอธิบาย “ผู้บัญชาการณ์เหวยสนิทกับลูกหลานสกุลเจียงผู้หนึ่งที่ชื่อว่าเจียงอวิ้น เจียงอวิ้นมาพบกับพี่สาวของเขาที่นี่ จึงพาผู้บัญชาการณ์เหวยไปด้วย”
ผู้เฒ่าโจวหลิงจือเซียนซืออันดับหนึ่งในนามของแคว้นชิงหลวนนั่งฟังอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเรียกเหวยเลี่ยงว่า ‘ผู้บัญชาการณ์เหวย’ หนังตาก็สั่นกระตุกเบาๆ
อาณาบริเวณแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป คนบนโลกรู้แค่ว่าภาคกลางของแคว้นชิงหลวนมีผู้บัญชาการณ์ใหญ่ตระกูลเหวยที่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งทุกรุ่นยังมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ทว่าการสืบทอดควันธูปของพวกเขาแม้จะน่าหวาดหวั่นแต่ไร้อันตราย ทุกรุ่นมีแต่ความราบรื่นไร้อุปสรรค
นับตั้งแต่ที่ไท่จู่ (คำเรียกปฐมกษัตริย์) สกุลถังแคว้นชิงหลวนก่อตั้งประเทศ ฮ่องเต้ถูกผลัดเปลี่ยนไปตั้งมากมาย ทว่าแท้จริงแล้วผู้บัญชาการณ์เหวยกลับมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เหวยเลี่ยงที่เก็บงำตัวตนอย่างลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสกุลถังผู้นี้ก็คือคนที่โจวหลิงจือกริ่งเกรงที่สุดในแคว้นชิงหลวน เพียงหนึ่งเดียวไม่มีหนึ่งใน
หลังจากอ่านและฟังจบ เจียงเม่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่หลังจากถูกดึงเข้าไปในการทดสอบก็ได้แสดงออกอย่างโดดเด่น นอกจากบันทึกที่เป็นตัวอักษรแล้ว ยังมีภาพวาดให้ดูหรือไม่?”
ถังจ้งส่ายหน้า “เรียนท่านผู้อาวุโสเจียง มีคนเตือนพวกเราว่าทางที่ดีที่สุดอย่าบุกเข้าไปในสวนสิงโตโดยพลการ ต่อให้เป็นผู้ถวายงานโจวของพวกเราก็ได้แต่ยืนมองอยู่บนยอดเขาที่ห่างจากสวนสิงโตมาไกล แต่ฟังจากคำบอกเล่าของสายลับที่อยู่ด้านใน บวกกับการมองเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือที่หยุดลงเมื่อถึงเวลาสมควรของผู้ถวายงานโจว หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงก็ผ่านด่านได้ด้วยตัวเองจริงๆ หาได้อาศัยการช่วยเหลือจากภายนอกใดๆ ไม่”
เจียงเม่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก็แค่ชุยฉานราชครูต้าหลีไม่ใช่หรือ มีอะไรให้พวกเจ้าต้องหลบเลี่ยงกัน”
ถังจ้งยิ้มกล่าว “ก็คือราชครูชุยนั่นแหละ”
ในใจของฮ่องเต้ถังหลีกลับรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก
เพื่อสถานการณ์ใหญ่ในทวีป แคว้นชิงหลวนถูกบีบให้จำต้องร่วมมือทำสิ่งเหล่านี้กับชุยฉานและต้าหลี เขาที่เป็นฮ่องเต้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซิ่วหู่ผู้นั้น ตนต้องตกเป็นรองมากมาย ตอนนี้เจียงเม่าเรียกชื่อของชุยฉานออกมาตรงๆ อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ไม่เท่ากับแสดงให้รู้ว่าเขาเจียงเม่าและสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่อยู่เบื้องหลังไม่เห็นต้าหลีและชุยฉานอยู่ในสายตาหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นแม้ภายนอกจะแสดงว่าเกรงอกเกรงใจแคว้นชิงหลวนถึงเพียงนี้ แต่ลึกๆ ภายในกระดูกแล้ว สกุลเจียงจะดูแคลนสกุลถังของพวกเขาถึงระดับไหนกันแน่?
แม้ในใจถังหลีจะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้เจียงเม่าขากเสลดเขียวข้นใส่หน้าเขา เขาที่เป็นฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังทำได้แค่ยิ้มรับ ไม่แน่ว่ายังต้องเอ่ยประโยคว่าท่านเทพเซียนผู้เฒ่ากระหายน้ำหรือไม่อีกด้วย
เจียงเม่าไม่ได้ทำให้ถังหลีลำบากใจอีก เขาชักดึงม้วนภาพวาดออกมาสองสามม้วน บนม้วนภาพก็คือคนสองคนที่อยู่ในสองสถานที่ นั่นคือวัดป๋ายสุ่ยที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงซึ่งมีชื่อเสียงด้านน้ำพุใสกระจ่าง อีกสถานที่หนึ่งคืออารามป๋ายอวิ๋นที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังในเมืองหลวง คนหนึ่งคือภิกษุชุดขาวอายุน้อย อีกคนหนึ่งคือเจ้าอารามวัยกลางคน เจียงเม่าผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ลัทธิพุทธชนะบนเวที ลัทธิเต๋าชนะหลังม่าน หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าแนะนำมาแสดงออกได้ไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาส แต่หากยังไม่เอาสิ่งของที่ทำให้ดวงตาคนเป็นประกายออกมา อย่างมากสุดก็ได้แค่อันดับที่สอง จะเพียงพอหรือ? ไม่ว่าจะลัทธิเต๋าหรือลัทธิพุทธ ให้กลายมาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน จะดีหรือ?”
ท่าทางของเขาค่อนข้างบีบคั้น
ในฐานะตระกูลชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ในอดีตสกุลเจียงอวิ๋นหลินเคยเป็นถึงแซ่ใหญ่ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
สกุลเจียงเป็นผู้ควบคุมพิธีการก่อนที่ลัทธิขงจื๊อจะ ‘ก่อตั้งลัทธิ’ เสียอีก งานโต้วาทีสามลัทธิที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ สกุลเจียงอวิ๋นหลินจะเข้าข้างใครก็เห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว
แต่หากแคว้นชิงหลวนเห็นแก่หน้าของเจียงเม่าและสกุลเจียง เลื่อนขั้นลัทธิขงจื๊อให้กลายเป็นศาสนาประจำแคว้นของสกุลถังทั้งที่เดิมทีลัทธิขงจื๊อไม่ได้มีส่วนในงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ ถึงเวลานั้นคนที่สืบรู้สถานการณ์อย่างชัดเจนก็จะรู้ว่าสกุลเจียงเป็นผู้ลงมือ สกุลเจียงจะทนยอมให้ตัวเองกลายเป็น ‘หยกขาวมีตำหนิ’ ที่ถูกคนประณามลับหลังได้อย่างไร
ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่ปรนนิบัติเอาใจได้ยากที่สุดของเจียงเม่า ต้องได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ขณะเดียวกันขั้นตอนที่ใช้ก็ต้องไม่มีช่องโหว่ให้ใครมาตำหนิหรือนินทาจนชักนำให้เกิดปัญหากับสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
ตอนนี้เหล่าปัญญาชนและชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นที่อยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พากันมารวมตัวที่แคว้นชิงหลวน สำหรับงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ไม่มีบัณฑิตมาเข้าร่วมครั้งนี้ เดิมทีก็ทำให้ผู้คนไม่พอใจกันมากอยู่แล้ว เหล่าชนชั้นสูงของต่างถิ่นกู่ก้องร้องตะโกนอย่างไม่ชอบใจ และยังมีตระกูลเย่อหยิ่งที่นิสัยไม่ค่อยดีอีกไม่น้อยที่ป่าวประกาศว่าหากไม่เป็นเพราะยังสนใจว่าระหว่างพุทธกับเต๋าใครจะได้เป็นศาสนาประจำชาติแล้วล่ะก็ ป่านนี้ก็คงย้ายออกจากแคว้นชิงหลวนไปนานแล้ว อันที่จริงกลุ่มคนที่เป็นแกนกลางสำคัญในราชสำนักแคว้นชิงหลวน รวมไปถึงเทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธต่างก็รู้กันดีว่า การแข่งขันระหว่างสองลัทธินี้เป็นการช่วงชิงอันดับที่สอง ช่วงชิงไม่ให้ตนเองกลายเป็นลำดับล่างสุดเท่านั้น
และการที่ฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานเต็มใจพาสนมรักหลายคนที่มีภูมิหลังชวนตะลึงพรึงเพริดมาชมความครึกครื้นที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน อันที่จริงก็แค่อยากดูว่าฮ่องเต้สกุลถังจะทำตัวหน้าไม่อายอย่างไร จะประจบเอาใจสกุลเจียงอวิ๋นหลินและเหล่าชนชั้นสูงที่พากันเดินทางลงใต้อย่างเอิกเกริกอย่างไร และท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นตัวตลกของคนครึ่งทวีปเพราะไม่ว่าจะฝ่ายใดของสามลัทธิก็ล้วนเอาใจไม่สำเร็จหรือไม่
ฮ่องเต้ถังหลีคลี่ยิ้ม ยื่นมือข้างหนึ่งมาถูโต๊ะชาที่วางอยู่ด้านหน้าตัวเอง
ถังจ้งเปิดปากกล่าว “อันที่จริงคนที่ราชครูชุยฉานแห่งต้าหลีให้การแนะนำอย่างแท้จริงคือหลิ่วชิงเฟิง บุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง เขาคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่ความรู้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
เจียงเม่าหรี่ตาลง “อ้อ? มีจุดใดที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไป ข้าอยากจะลองฟังดูสักหน่อย”
ถังจ้งลุกขึ้นยืน หยิบตำราสีออกเหลืองสองเล่มที่เตรียมรอไว้นานแล้วออกมา เล่มหนึ่งคือตำราอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ อีกเล่มหนึ่งคือผลงานของสำนักนิติธรรม
ถังจ้งคิดจะเดินไปยื่นหนังสือส่งให้
ไม่เห็นว่าเจียงเม่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ทว่าหนังสือสองเล่มกลับหลุดออกจากมือถังจ้งมาปรากฏอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเจียงเม่าแล้ว เขาวางตำราลัทธิขงจื๊อไว้ตรงมุมโต๊ะ จะปรายตามองสักครั้งยังรังเกียจว่าเปลืองเวลา ในแจกันสมบัติทวีปมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติจะพูดถึง ‘พิธีการมารยาท’ ต่อหน้าสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่หาใช่ว่าในสายตาของเทพเซียนผู้เฒ่าไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะเขามีรากฐานของตระกูลและความรู้ของตัวเองคอยหนุนหลังไว้ จึงตั้งตระหง่านไม่ไหวติงดุจขุนเขา
เจียงเม่าเปิดตำราสำนักนิติธรรมที่หลิ่วชิงเฟิงอ่านแล้วเขียนอรรถาธิบายเอาไว้ เขาอ่านอย่างรวดเร็ว บ้างก็ไม่เห็นด้วย บ้างก็ผงกศีรษะเบาๆ สุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ข้างประโยคหนึ่งของหน้าหนึ่ง ดูจากร่องรอยตัวอักษรนั้นน่าจะผ่านการเขียนอธิบายมาสามรอบ ประโยคเดิมของผู้แต่งเขียนไว้ว่า ‘ไม่ประจบเอาใจคนที่รัก ไม่ทำร้ายคนที่เกลียด ปฏิบัติต่อรักและเกลียดอย่างตรงไปตรงมา ย่อมจัดการเรื่องราวได้ดี’ ตรงหน้าหนังสือจุดที่อยู่ใกล้กับประโยคนี้ที่สุด ครั้งแรกหลิ่วชิงเฟิงเขียนว่า ‘ใช้คำว่า ‘ย่อม’ ไม่เหมาะ สูงเกินไป ควรจะเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ก็จะ’’
เจียงเม่าอ่านข้อสรุปอีกสองประโยคที่เหลือแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เลว เอาไปลองวัดความสามารถกับนักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้”
เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองภายนอกมีตบะสูงที่สุดของสกุลเจียงอวิ๋นหลินฉีกหน้าหนังสือที่มีตราประทับส่วนตัวของหลิ่วชิงเฟิงประทับไว้ออกไป ตำราสองเล่มกลับมาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถังจ้งอีกครั้ง เจียงเม่ายิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้หาโอกาสให้นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้รับหนังสือเล่มนี้ไปโดยบังเอิญ ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าเจ้าอารามผู้นี้จะพูดว่าอะไร”
ถังจ้งตอบรับว่าจะทำตามคำของอีกฝ่าย
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ประดุจคลื่นใต้น้ำทางฝั่งของเจียงเม่าแล้ว
ในศาลาลมแห่งหนึ่งที่มีต้นไผ่สีเขียวล้อมรอบของคฤหาสน์หลบร้อนกลับมีความปรองดองและบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมากกว่า
เจียงอวิ้นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เคยได้โซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูไปครอง อาศัยอยู่สุดปลายตรอกเล็กของท่าเรือหางผึ้งกำลังพูดคุยกับพี่สาวที่แต่งงานไปอยู่นครมังกรเฒ่า
เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่นั่งอยู่ด้านหลัง กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่มีสีหน้าซีดเซียวอยู่เช่นกัน
เจียงอวิ้นมองใบหน้าของพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไม ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์งั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้งดงามมาก”
เจียงอวิ้นยิ้มกล่าว “ท่านพี่ ข้าขอพูดตามมโนธรรมในใจสักคำ รูปโฉมของท่านในเวลานี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่างดงามเลย”
สตรีร่างอ้วนฉุมองค้อน “ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าในอนาคตเจ้าจะแต่งเทพธิดาคนใดมา ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยดูให้เอง เจ้าจะได้ไม่ต้องถูกปีศาจจิ้งจอกสาวล่อลวง”
เจียงอวิ้นพนมมือ พูดวิงวอน “อย่านะ ข้ากลัวนิสัยของท่านพี่ แค่ประโยคสองประโยคของท่านก็คงทำให้ภรรยาข้าในอนาคตตกใจกลัวจนหนีไปเลย”
หญิงสาวกำลังจะบ่นต่อ เจียงอวิ้นกลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างรู้กาลเทศะ “ท่านพี่ ฝูหนันหัวเป็นคนอย่างไร?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ก็เป็นแบบนั้นแหละ ดีมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องสนใจใคร เคารพกันดุจแขกผู้มาเยือน ดีจะตายไป”
เจียงอวิ้นหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าคงต้องไปดื่มเหล้ากับพี่เขยที่น่าสงสารคนนี้ ระบายความทุกข์ให้กันฟังสักหน่อย พูดคุยกันหลายวันหลายคืน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเพื่อนกันได้”
สตรีที่เป็นบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ”
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ของเจ้าไปตามหาสมบัติกับเพื่อนสนิท ได้มาหรือยัง? หากได้มาแล้ว ข้าจะแอบไปที่ท่าเรือหางผึ้งกับเจ้าสักรอบ ร่างทองแก้วใสหลังจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมอดม้วยมรรคาดับสลาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ที่บ้านมีอยู่ชิ้นหนึ่งก็จริง แต่ท่านบรรพบุรุษเก็บซ่อนไว้มิดชิดนัก หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็ยังหาไม่เจอสักที”
นางพูดเบาๆ ว่า “หากเจ้าให้ข้าได้เห็นของสิ่งนั้น พี่สาวจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งที่พิเศษมากให้เจ้า รับรองว่าจะทำให้เจ้าตกเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกตนหนุ่มทั้งทวีป”
เจียงอวิ้นโบกมือ “ช่างเถิด อาจารย์ของข้าก็นิสัยเจ้าอารมณ์หมือนกัน เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างเศษชิ้นส่วนของร่างทองแก้วใสนี้ หากข้ากล้าทำอะไรโดยพลการ ต่อให้เวลาปกติเขาพูดง่ายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คงต้องถลกหนังข้าออกสักชั้นให้จงได้ ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นะ ปีนั้นอาจารย์ก็บอกแล้วว่าหากข้าไม่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลของสำนักโองการเทพ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้ากลับมา อาจารย์ก็เริ่มกลับคำ บอกว่าการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคลก็จำเป็นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาแล้ว เรื่องดีมาเป็นคู่ไงล่ะ ฉวยโอกาสที่สองปีนี้ยังโชคดีอยู่ ได้ของดีมาจากถ้ำสวรรค์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ภรรยาที่งดงามฉลาดเฉลียวมาจากพื้นที่มงคลอีกคน…”
เจียงอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวอย่างจนใจว่า “มาเจอกับอาจารย์ที่ช่างเล่นแง่แบบนี้ก็ไม่อาจพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้เลย”
หญิงสาวหลุดหัวเราะพรืด “สมกับคำว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่สัมผัสโชคดีไม่ได้จริงๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป มีสักกี่คนที่สามารถอาศัยสถานะผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้? และจะมีสักกี่คนที่ทำให้คนที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครอย่างหลี่ถวนจิ่งเคารพนับถือได้? จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นสหายร่วมทุกข์กับหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้น? เจ้าน่ะหัดรู้จักพอเสียบ้าง มีเวลาว่างก็รีบกลับตระกูลไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษหลายๆ ดอก ขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยสั่งสมบุญกุศลไว้ให้ดีๆ”
เจียงอวิ้นส่ายหน้าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปเลย ไม่มีความสนใจจริงๆ”
หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาดีดหน้าผากเจียงอวิ้น “ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดื้อแบบนี้ ตอนนี้เป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้วก็ยังไม่ปล่อยวางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตนั่นอีกหรือ?”
เจียงอวิ้นไม่พูดตอบโต้
เขามองหมัวมัวผู้อบรมมารยาทผู้นั้นแวบหนึ่ง หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่เจียงอวิ้นว่าอย่าถาม
ระหว่างที่คนทั้งสองเงียบงันกันไปนั้น ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงก็กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทถึงถ้ำสวรรค์จู๋ไห่และเจ้าแม่ชิงเสินผู้นั้นพอดี
เหวยเลี่ยงกวาดตามองไปรอบด้าน ในสายตาเห็นแต่ต้นไผ่สูงเพรียวเขียวขจี ยิ้มพูดทีเล่นทีจริงว่า “บัณฑิต นักปราชญ์และวิญญูชนต่างก็ชอบไผ่เขียว ข้าล่ะอยากจะโค่นไผ่ชั่วช้าสักพันสักหมื่นต้นจริงๆ”
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงพูดสัพยอก “ท่านเหวย หากท่านมัวมาโค่นไม้ไผ่ของที่นี่ ทิ้งบรรพจารย์ท่านนั้นของพวกเราที่อยากขอความรู้จากท่านมาโดยตลอดไว้เพียงลำพังคนเดียว คงไม่ดีกระมัง?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “หากข้านั่งอยู่ตรงนั้นจะเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย เกินสถานะของขุนนางไปบ้าง”
นางกำลังจะพูดเหน็บแนมเขาสักสองคำ
เหวยเลี่ยงกลับยิ้มตาหยีชิงพูดก่อนว่า “เจ้าขิงน้อย ตอนเด็กข้าเคยอุ้มเจ้ามาก่อน เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมก็เติบโตเป็นแม่นางที่แต่งงานกับคนอื่นได้แล้ว”
นางถลึงตามองมาอย่างขุ่นเคือง หยิบขิงชิ้นหนึ่งที่ชอบกินตั้งแต่เด็กออกมายัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
เหวยเลี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
เจียงอวิ้นนับถืออีกฝ่ายอย่างสุดจิตสุดใจ
……
ช่วงนี้หลายคนต่างพากันไปจากสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เมื่อปีศาจที่อาละวาดก่อความวุ่นวายถูกกำจัด คนต่างถิ่นจึงจากไป คนในครอบครัวตัวเองก็จากไปเช่นกัน
หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเดิมมาเป็นเวลานานรีบร้อนพาสามีจากไปก่อนผู้ใด ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี ครั้งนี้สามีของนางถูกทำให้ตกใจจนน่าเวทนาจริงๆ
หลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์สองท่านที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนสกุลหลิ่วที่พากันจับคู่จากไป
ต่อมาก็เป็นบุตรชายคนรองหลิ่วชิงซานกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี คนทั้งสองเตรียมขี่ม้าออกเดินทางไกล ขึ้นเหนือไปตลอดทาง เพราะจะไปเยือนสำนักศึกษากวานหูก่อน
ตามมาด้วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กที่เดินทางไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งพร้อมกับสาวใช้จ้าวหยา พี่ชายคนโตหลิ่วชิงเฟิงลาหยุดกับทางราชสำนักคุ้มครองพาน้องสาวไปส่งด้วยตัวเอง ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งนั้นห่างจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนไม่ใกล้นัก ประมาณหกร้อยกว่าลี้ ตอนที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วยังรับราชการเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับคนที่มีอำนาจในสำนักแห่งนั้น ดังนั้นนอกจากจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปกราบไหว้อาจารย์แล้ว ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หลิ่วชิงเฟิงพกไป ความหมายคร่าวๆ ก็คือต่อให้พรสวรรค์ของหลิ่วชิงชิงไม่ดี ไม่เหมาะกับการฝึกตน แต่ก็โปรดรับตัวลูกสาวของเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ให้นางได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาสองสามปี
ในความเป็นจริงแล้วต่อให้หลิ่วจิ้งถิงจะไม่ใช่รองเจ้ากรมพิธีการอีกต่อไป แต่ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลก ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าหลิ่วชิงชิงจะเข้าไปฝึกตนในตระกูลเซียนแห่งใดของแคว้นชิงหลวนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมจดหมายฉบับนี้เลยด้วยซ้ำ
รถม้าสองคันขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ ตลอดทาง รอยยิ้มของหลิ่วชิงชิงเริ่มเพิ่มมากขึ้น สาวใช้จ้าวหยาก็ย่อมอารมณ์ดีตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วหลิ่วชิงเฟิงจะนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า พอถึงจุดพักม้าระหว่างทางถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์ พบปะกับคนที่มารอต้อนรับ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่การมีมารยาทที่ไม่ขาดตกบกพร่องของครอบครัวชนชั้นสูงเท่านั้น ขุนนางชั้นผู้น้อยในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางตงฉินหรือกังฉิน ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน แต่มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกกลิ้งกลอก สายตาเฉียบคม? หลิ่วชิงเฟิงคือขุนนางที่เป็นดั่งบิดาของชาวบ้าน สามารถมองออกในปราดเดียวว่าพวกเขาเกรงใจตนตามมารยาทหรือปฏิบัติต่อตนด้วยความจริงใจ ดังนั้นหลิ่วชิงเฟิงจึงไม่วางตัวเหมือนบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ของแคว้นชิงหลวน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมอบความประทับใจที่ไม่เลวให้ จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่จุดพักม้าแต่ละแห่งให้ความสนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เดิมทีหลิ่วชิงชิงก็เป็นสตรี อีกทั้งยังอายุไม่มาก ดังนั้นจึงมองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำของหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นพี่ชายไม่ออก ทว่าจ้าวหยาที่เป็นคนละเอียดอ่อนกลับทอดถอนใจด้วยความชื่นชม มักรู้สึกว่าคุณชายใหญ่ตอนที่อยู่ในสวนสิงโตกับนายอำเภอหลิ่วที่เดินออกมาจากสวนสิงโตคือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อไปถึงสำนักตระกูลเซียนที่ยอดเขาเขียวขจีสลับสล้างแห่งนั้น การกราบเซียนเป็นอาจารย์ของหลิ่วชิงชิงก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
หลังจากจัดการธุระของหลิ่วชิงชิงจนเข้าที่เข้าทางแล้ว หลิ่วชิงเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนลงจากภูเขาไปทันที แต่ถูกคนพาไปเยือนหอสูงชมทัศนียภาพที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง พอขึ้นหอเรือนมาแล้วก็มองเห็นผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่กำลังยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์กับคุณชายหน้าตาหล่อเหลาบุคลิกสง่างาม
หลิ่วชิงเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ เก็บอารมณ์ที่ซับซ้อนทั้งหลายลงไป ประสานมือคารวะ “หลิ่วชิงเฟิงคารวะราชครูชุย”
ชุยฉานราชครูต้าหลี
เขาถึงขั้นมาเยือนแคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง
ชุยฉานยิ้มพลางยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าเป็นการบอกแก่หลิ่วชิงเฟิงว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ จากนั้นก็ชี้ไปยังคนข้างกาย “หลี่เป่าเจิน คนจากเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้กุมอำนาจหลักทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีที่อยู่ในแถบทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป วันหน้าพวกเจ้าจะต้องไปมาหาสู่กันเป็นประจำ”
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นประสานมือคารวะหลิ่วชิงเฟิง “คารวะท่านหลิ่ว”
หลิ่วชิงเฟิงได้แต่คารวะกลับคืน
หลี่เป่าเจินพูดภาษาทางการแคว้นชิงหลวนด้วยสำเนียงถูกต้องแม่นยำ “ท่านหลิ่ว เดินทางลงใต้มาเยือนแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์อย่างยิ่ง ยอดบุคคลมีให้เห็นมากมาย ลำพังเพียงแค่นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้น แม้ตบะต่ำต้อย แต่ก็กล้ารวบรวมหลักการเหตุผล คิดจะช่วงชิงความลับสวรรค์ แล้วเขาก็สามารถข้ามด่านปราการธรรมชาติที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็ยังข้ามไปได้ยากยิ่งไปได้จริงๆ เพียงแต่ว่าสะดุดตาเกินไป จะเป็นโชคหรือภัย คาดว่าคงต้องดูที่ความต้องการของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ แต่ไม่ได้ส่งเสียง
คิดจะวางอำนาจแสดงบารมี?
สมกับเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนซะจริง
หลี่เป่าเจินรอฟังคำพูดของอีกฝ่าย เห็นว่าหลิ่วชิงเฟิงเงียบงันไม่ต่อคำสักทีก็หัวเราะเช่นกัน
ชุยฉานมองหลิ่วชิงเฟิงแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หลิ่วชิงเฟิง วันหน้าเรื่องใหญ่ของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว ไม่ต้องให้พวกเจ้าสองคนเหน็ดเหนื่อยแล้ว ส่วนเรื่องเล็กๆ เจ้าต้องเรียนรู้จากหลี่เป่าเจินให้มาก”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ
หลี่เป่าเจินมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คลี่ยิ้มน้อยๆ โค้งตัวลงต่ำคำนับอีกฝ่าย “รบกวนท่านหลิ่วแล้ว”
……
ศาลพ่อปู่ลำคลองที่เฉินผิงอันเคยเขียนตัวอักษรไว้บนผนัง
ช่วงนี้มีผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ อีกทั้งยังมาพักอยู่ในศาลอีกด้วย
คนสองคนกับวัวสีเหลืองหนึ่งตัว
นี่ทำให้คนเฝ้าศาลรับเงินค่าธูปมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวชายแขนเสื้อพลิ้วไสวซึ่งมีใฝแดงกลางหว่างคิ้วชอบเดินไปตามระเบียงชมศิลาหินที่สลักถ้อยคำ
เขาก็คือชุยตงซานที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยังอยู่ในแคว้นชิงหลวน
คืนนี้พระจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางอากาศ ชุยตงซานขอตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งมาจากทางศาลเจ้า เขาเอาไปตักน้ำในลำคลองกลับมาหนึ่งตะกร้า ไม่มีน้ำหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่จุดที่ลี้ลับยิ่งไปกว่านั้นก็คือในตะกร้าไม้ไผ่ยังมีดวงจันทร์กลมดิกสาดสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แกว่งส่ายไปตามน้ำในตะกร้า ต่อให้เดินเข้ามาในระเบียงที่มืดสลัวแล้ว ดวงจันทร์ในน้ำก็ยังคงส่องแสงงดงามชวนมอง
ชุยตงซานเดินมาถึงระเบียงจุดหนึ่ง เขานั่งลงบนราวระเบียง วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ข้างกาย เงยหน้ามองดวงจันทร์
มีเพียงน้ำในตะกร้าไม้ไผ่และดวงจันทร์ในน้ำที่อยู่เคียงข้างเขา
ความคิดของชุยตงซานล่องลอยไปไกล
พระพุทธเจ้ากลัดกลุ้มกับความทุกข์ของปวงประชา ความรู้ของลัทธิขงจื๊อที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นกังวล ถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพียงแค่ความรู้ของพวกคนที่ท้องไม่หิวเท่านั้น
ส่วนมรรคาจารย์เต๋า
ว่ากันว่ากำลังพิศมองคนคนหนึ่ง
หวังจูที่ถูกกักขังอยู่ใต้บ่ออาจเป็นคนหนึ่งนั้น ผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางก็อาจเป็นคนหนึ่งนั้น
หรือว่าในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าที่มรรคกถาสูงส่งจนไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นคนหนึ่งนั้น?
ชุยตงซานขยี้ซีกแก้ม หยิบม้วนภาพสองม้วนที่แกนทำมาจากไม้พุทราธรรมดาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ คลี่ม้วนภาพทั้งสองออก ให้มันลอยกลางอากาศอยู่ตรงหน้าเขา
บนม้วนภาพหนึ่ง
เป็นภาพของซิ่วไฉเฒ่าที่สวมอาภรณ์เก่าซีดนั่งอยู่ตรงกลางม้านั่งตัวยาว ชุยฉานในวัยยี่สิบปีนั่งอยู่ด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ม้านั่งยาวหนึ่งตัวมีคนนั่งอยู่ถึงสี่คน ค่อนข้างเบียดเสียดเล็กน้อย
มีศีรษะหนึ่งโผล่เข้ามาในม้วนภาพที่เดิมทีควรมีแค่พวกเขาอาจารย์และศิษย์สี่คนเท่านั้น คนผู้นั้นเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง แถมยังชูนิ้วสองนิ้ว
อีกมุมหนึ่งของภาพมีเงาร่างกำยำล่ำสันของคนผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ในมุม หันหลังให้กับทุกคน
ภาพที่สอง
เจ้าคนที่ยื่นหัวออกมาในภาพแรกยืนอยู่ใจกลางภาพวาดอย่างเปิดเผย กางแขนทั้งสองออกกว้าง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนใช้สองมือกอดแขนของบุรุษผู้นั้น หัวเข่างอเก็บขา ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน
บัณฑิตหนุ่มชุยฉานยืนอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น รอยยิ้มค่อนข้างมีเลศนัย เพียงแต่ว่าก็เป็นรอยยิ้มที่จริงใจอย่างมาก
……
ชุยตงซานคิดว่าเมื่อไหร่ที่เขา เฉินผิงอันและนังหนูน้อยตัวดำผู้นั้นจะมีภาพวาดแบบนี้ด้วยกันสักภาพบ้างนะ?