Skip to content

Sword of Coming 407

บทที่ 407 ในตำรานอกตำรา

ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงเขาไป ‘เสี่ยงดวงบุ๋น’ ที่ศาลบุ๋นในเมืองหลวงพร้อมกับเหมาเสี่ยวตงก็ต้องตระเตรียมการไว้ในสำนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นมุดช่องโหว่เข้ามาได้ หวังจะล่อให้คนอื่นติดเบ็ดแต่ไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่ายกแผนล่อเสือออกจากภูเขาให้แก่ศัตรูไปเปล่าๆ

เขาบอกให้เผยเฉียนย้ายออกมาจากหอพักแขก ไปพักอยู่ในเรือนที่มีเซี่ยเซี่ยคอยดูแล มีสือโหรวอยู่เคียงข้าง และเฉินผิงอันก็ยังมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นนั้นไว้ให้สือโหรวด้วย

เมื่อวานตอนกลางวันหลินโส่วอีก็มาฝึกตนที่เรือนในนามของชุยตงซานแห่งนี้แล้ว บวกกับมี ‘ตู้เม่า’ มาอยู่ด้วย หลินโส่วอีที่ได้พูดคุยกับเฉินผิงอันแล้วก็เลือกจะพักอยู่ในเรือนแห่งนี้อย่างใจกว้าง

จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนและอวี๋ลู่คอยดูแลหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวอย่างลับๆ

จูเหลี่ยน อวี๋ลู่ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อมที่พอเห็นผู้หญิงก็จะยิ้มตาหยี อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มใบหน้าอยู่เสมอ ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเดินทางไกล

บอกให้ตอนกลางคืนหลี่เป่าผิงไปนอนในห้องหลักของชุยตงซานกับเผยเฉียน เชื่อว่าชุยตงซานคงไม่ถือสา แล้วก็ไม่กล้าถือสาด้วย

เซี่ยเซี่ยและหลินโส่วอีต่างก็พักอยู่ในห้องข้างคนละห้อง สือโหรวเป็นวัตถุหยินจึงให้ทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืน ส่วนหลี่ไหวก็นอนเบียดอยู่กับหลินโส่วอี

จูเหลี่ยนไม่ต้องพักอยู่ในบ้าน ตอนกลางคืนให้เขาไปนอนในห้องเดิมที่หอพักแขกก็พอ

แต่อวี๋ลู่จำเป็นต้องช่วยสือโหรวเฝ้ายามคนละครึ่งคืน

เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อว่าสือโหรวจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกได้

แต่ในเรื่องนี้อวี๋ลู่กลับทำให้คนวางใจได้มาโดยตลอด

ส่วนทางห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงนั้น ในบรรดาอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินลาดตระเวนตอนกลางคืนก็มีทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ อย่างเช่นต่งจิ้งผู้มากความรู้ที่โปรดปรานหลินโส่วอีก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีคนหนึ่ง และยังมีเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตน ยิ่งไม่มีใครรู้ในสถานะแท้จริงของเขาอีกคนหนึ่ง เขาเองก็มาจากต้าหลีเหมือนกับเหมาเสี่ยวตง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าแซ่เหลียงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ในช่วงเวลาที่สำคัญ คนผู้นี้สามารถนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษาแทนเหมาเสี่ยวตงได้

สุดท้ายเฉินผิงอันเรียกหลี่เป่าผิงไปคุยเป็นการส่วนตัว มอบวัตถุสองชิ้นที่ได้มาจากหลี่เป่าเจินให้แก่นาง หนึ่งคือหยกพกที่สลักคำว่า ‘วังมังกร’ อีกหนึ่งคือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดหนึ่งแผ่น

หลี่เป่าผิงรู้สึกฉงนสนเท่ห์เล็กน้อย

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่ตัวเองพบกับหลี่เป่าเจินที่แคว้นชิงหลวนโดยบังเอิญให้หลี่เป่าผิงฟังคร่าวๆ สุดท้ายลูบศีรษะหลี่เป่าผิง เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าข้าไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาพี่รองของเจ้าก่อน และจะพยายามหลบเลี่ยงเขาอย่างสุดความสามารถ แต่หากหลี่เป่าเจินไม่ล้มเลิกความคิด หรือรู้สึกว่าได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ตอนอยู่สวนสิงโต ในอนาคตเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจะไม่มีทางออมมือให้เขาอีก แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”

หลี่เป่าผิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพียงแต่ดวงตาของนางยังฉายประกายเจิดจ้า “อาจารย์อาน้อย ท่านกับพี่รองของข้าใช้กฎยุทธภพที่ว่าบุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจนต่อกันได้เลย…”

หลี่เป่าผิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “อาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเขียนจดหมายไปให้พี่ชายใหญ่ได้ไหม บอกให้เขาช่วยเกลี้ยกล่อมพี่รอง?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้สิ”

หลี่เป่าผิงเตรียมจะมอบแผ่นหยกและยันต์ให้กับเฉินผิงอัน

ก่อนที่อาจารย์อาน้อยจะลงจากภูเขาไปครั้งนี้ได้บอกเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันให้พวกเขาฟังเรียบร้อยแล้ว

หลี่เป่าผิงจึงอยากให้อาจารย์อาน้อยมีของติดกายเพิ่มไปอีกสักสองชิ้น

แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “ตอนอยู่สวนสิงโตข้าได้ร่วมมือกับนักพรตหญิงมีดอาคมที่ร้ายกาจมากคนหนึ่งจับปีศาจตนหนึ่งที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นอ่างรวมสมบัติที่มีชีวิต ได้ผลเก็บเกี่ยวมามากมาย นักพรตหญิงคนนั้นยึดเอาปีศาจไป แต่นางก็ได้มอบเงินฝนธัญพืชให้เป็นค่าชดเชยและตอบแทนแก่ข้าหกสิบสองเหรียญ ดังนั้นข้าจึงอยากยืมยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นจากเจ้า ไม่ใช่ซื้อ แต่เป็นยืม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการรับจำนำ เพียงแต่พวกเราสลับตำแหน่งกัน เจ้าเอายันต์มาจำนำกับข้า ข้าก็จะมอบเงินฝนธัญพืชให้เจ้า เพราะระดับขั้นของยันต์แผ่นนี้สูงมาก ไม่ใช่ยันต์ประเภทที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ขอแค่มีเงินเทพเซียนมากพอ เทพท่องทิวาราตรีสององค์นั้นก็สามารถดำรงอยู่บนโลกไปได้ตลอด ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ถูกสลายปราณวิญญาณร่างทองไปแล้ว แต่ขอแค่คนวาดยันต์มีความสามารถที่จะแต้มนัยน์ตามังกรลงไปบนแก่นของยันต์ ก็ยังสามารถทำให้องค์เทพทั้งสองเผยร่างได้อยู่ดี บอกตามตรง เงินฝนธัญพืชหกสิบสองเหรียญคือเงินก้อนใหญ่มาก แต่เอามาซื้อยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองเช่นนี้ก็ยังไม่มากพออยู่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ซื้อยันต์…”

อดทนฟังอยู่นาน หลี่เป่าผิงที่ทนต่อไปไม่ไหวก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “อาจารย์อาน้อย ท่านทำตัวเป็นคนนอกกับข้าแบบนี้ ข้าเสียใจมากนะ”

เฉินผิงอันอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ว่ากับเจ้าหรือพี่ชายใหญ่ของเจ้า ข้าล้วนไม่เห็นเป็นคนนอก แต่ถ้ากับคนทั้งตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ ข้ากลับยังต้องเห็นตัวเองเป็นคนนอกสักหน่อย ในช่วงเวลาระหว่างที่อาจารย์อาน้อยรับจำนำยันต์แผ่นนี้ชั่วคราว เจ้าสามารถบอกให้เจ้าขุนเขาเหมาช่วยนำเงินฝนธัญพืชก้อนนั้นส่งไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ท่านปู่ของเจ้าเป็นเทพเซียนก่อกำเนิดที่เกิดและเติบโตมาในบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ว่าจะสมบัติอาคมแบบใดก็ไม่น่าจะขาดแคลน ถึงอย่างไรหากจะพูดถึงความสามารถด้านการเก็บตกของดีในถ้ำสวรรค์หลีจู สี่แซ่สิบตระกูลย่อมต้องเชี่ยวชาญมากที่สุด แต่เงินเทพเซียนยิ่งมีมากกลับยิ่งดีสำหรับท่านปู่ของเจ้าในเวลานี้ แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมที่เป็นสมบัติก้นกรุในตระกูลก็เอาไปขายแลกเงินได้เหมือนกัน ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายไม่ออก เพียงแต่ว่าสำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่ใช่สมบัติอาคมสมบัติวิเศษที่ไม่สอดคล้องกับมหามรรคาของตนจริงๆ โดยทั่วไปก็ไม่มีใครยินดีเอาออกมาขาย”

หลี่เป่าผิงยิ้มหน้าบาน “ที่แท้อาจารย์อาน้อยก็คิดทำเพื่อข้างั้นหรือ ข้าเข้าใจอาจารย์อาน้อยผิดไปเอง เสียมารยาท เสียมารยาทแล้ว ผิดไปแล้วๆ”

พูดจบหลี่เป่าผิงก็ประสานมือคารวะขออภัยอย่างเข้าท่าเข้าที

พอหลี่เป่าผิงยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมือสองข้างไปบีบแก้มนาง ยิ้มพูดสัพยอก “ฉวยโอกาสตอนที่เป่าผิงน้อยยังไม่โต เวลานี้ต้องรีบบีบไว้ก่อน”

หลี่เป่าผิงยืนนิ่ง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีชีวิตชีวาคู่นั้นโค้งหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว

สุดท้ายเฉินผิงอันยืนมองหลี่เป่าผิงวิ่งตะบึงจากไป

แล้วเขาก็ไปที่ประตูภูเขาของสำนักศึกษา เหมาเสี่ยวตงมารออยู่นานมากแล้ว

คนทั้งสองออกจากสำนักศึกษา เดินผ่านถนนใหญ่ เลี้ยวเข้าไปในถนนป๋ายเหมา เวลานี้เฉินผิงอันถึงได้ส่งมอบยันต์แผ่นนั้นให้เหมาเสี่ยวตงเงียบๆ

เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามามอง รับมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจถามเฉินผิงอัน “ยันต์แผ่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน วัสดุของยันต์ก็แปลกประหลาด มันคือยันต์อะไร?”

เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตอบกลับไป “คือยันต์โบราณชนิดหนึ่งในตำรา ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ชื่อว่ายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี แก่นของมันอยู่ที่สองคำว่า ‘ร่างจริง’ ในตำรากล่าวไว้ว่าสามารถเชื่อมโยงเข้ากับร่างจริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกับแสงศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยของแก่นยันต์ที่พรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าใช้กัน ทำให้กายธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชิญออกมาเหมือนด้านรูปลักษณ์มากกว่าเหมือนด้านจิตวิญญาณ ทว่ายันต์แผ่นนี้กลับมีส่วนของจิตวิญญาณมากกว่า ว่ากันว่าแฝงความศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วยส่วนหนึ่ง”

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็อธิบายวิธีควบคุมและเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับยันต์แผ่นนี้อย่างละเอียด

เหมาเสี่ยวตงยิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง “ยันต์ล้ำค่าขนาดนี้ เอามาจากไหน?”

เฉินผิงอันละเรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างตนเองกับหลี่เป่าเจินเอาไว้ไม่กล่าวถึง บอกแค่ว่ามีคนไหว้วานให้เขานำมามอบให้หลี่เป่าผิงใช้เป็นยันต์ปกป้องกาย

เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “แล้วเจ้าก็มอบมันให้ข้าแบบนี้เนี่ยนะ?”

เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในมือของเจ้าขุนเขาเหมาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ใช้ยันต์ไม่อาจใช้ได้อย่างถูกวิธี เมื่อไม่ได้เรียนวิชาที่ถูกต้องดั้งเดิมที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มา ก็ง่ายที่จะทำร้ายจิตแห่งยันต์และพลังต้นกำเนิดของมัน ไม่ว่ายันต์ชนิดไหน หากถูกข้าเปิดภูเขาจุดแสงแห่งจิตวิญญาณก็ล้วนถือเป็นการสูบน้ำในบ่อให้แห้งเพื่อจับปลา” (เปรียบเปรยว่าเห็นแค่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่ได้มองผลในระยะยาว)

เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคแปลกแปร่งขึ้นมา “ดีนักนะ ในที่สุดข้าก็ได้เจอกับตัวแล้ว”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เหมาเสี่ยวตงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องเล็กที่ถูกชุยตงซานเรียกว่ากุมารแจกทรัพย์ เห็นใครก็ชอบมอบของขวัญกระจายทรัพย์สินจริงๆ สินะ?

คนทั้งสองเดินกันไปบนถนนป๋ายเหมา เฉินผิงอันถามว่า “เป่าผิงน้อยโดดเรียนหลายคาบเพื่ออาจารย์อาน้อยอย่างข้า เจ้าขุนเขาเหมาไม่กังวลเรื่องการเรียนของนางหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หลี่เป่าผิงต่างหากถึงจะเป็นคนที่ทำถูกที่สุดในสำนักศึกษาของพวกเรา ในสำนักศึกษาซานหยามีตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเก็บรักษาไว้มากมาย เพียงแต่ว่าเรื่องของการเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หากเจ้าไม่จริงใจ ไม่มีไหวพริบมากพอ ตัวอักษรแต่ละตัวในตำราก็ช่างเจ้าแง่แสนงอนและหยิ่งผยองมากนัก ตัวอักษรทั้งหลายไม่มีขาเดินออกจากตำราวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องคนอ่านด้วยตัวเอง แต่หลี่เป่าผิงกลับทำได้ดีมาก หลักการเหตุผลที่บรรยายไว้ในตำราต่างก็ไม่ยิ่งใหญ่ แต่พวกมันไม่เพียงแต่มีขาเข้าไปอยู่ในท้องนาง ยังมีบางส่วนที่เข้าไปอยู่ในหัวใจ สุดท้ายตัวอักษรเหล่านี้ยังย้อนกลับไปที่ฟ้าดินที่โลกมนุษย์ จากนั้นก็วิ่งออกมาจากหัวใจ ติดปีกบินไปบนรถเทียมวัวของชายชราขายถ่านที่นางช่วยเข็น หล่นลงบนกระดานหมากล้อมที่นางไปยืนดูโดยไม่เอ่ยอะไร ไปอยู่ยังสถานที่ที่นางช่วยแยกเด็กเกเรสองคนไม่ให้ตีกัน วิ่งไปบนร่างของหญิงชราที่นางเป็นผู้ประคอง…มองดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยยิบย่อย แต่อันที่จริงกลับร้ายกาจมาก เหล่านักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อพวกเราต่างก็แสวงหาสิ่งนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? สามอมตะของการเรียนหนังสือ คนรุ่นหลังมักจะต้องการสามสิ่งได้แก่คำพูด คุณความชอบและคุณธรรมที่สุด แต่ไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘ยืน’ จึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าหยัดยืน ยืนได้อยู่ นี่ต้องมีความรู้มาก”

เหมาเสี่ยวตงเอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าของเมืองหลวง “เฉินผิงอัน เจ้าพลาดทิวทัศน์ที่งดงามไปมากมาย ทุกครั้งที่เป่าผิงน้อยออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าจะต้องแอบติดตามไปด้วยเงียบๆ เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พอมีแม่นางน้อยสวมชุดสีแดงที่ร่าเริงสดใสปรากฎตัว ก็ดูเหมือนว่าจะ…กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง”

เหมาเสี่ยวตงพูดตามความรู้สึกของตัวเอง เฉินผิงอันพลันอารมณ์ดี รู้สึกดีใจแทนหลี่เป่าผิงที่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากการมาเรียนที่สำนักศึกษา

เหมาเสี่ยวตงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอ่านทั้งตำราของลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรม ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ หากเรียนรู้จากลัทธิขงจื๊อแบบหลากหลายไม่ลึกซึ้ง ก็ง่ายที่ความรู้จะปนกันเหมือนแป้งเปียก ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรก็ราวกับจะสามารถหาเหตุผลหลักการที่ตัวเองต้องการเจอได้เสมอ นี่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้คนสับสนมึนงง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่ก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง แต่เจ้าเองก็น่าจะเคยสังเกตเห็นว่า เหตุใดประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยถึงไม่เคยมีกษัตริย์ของแคว้นใดเต็มใจป่าวประกาศว่าเคารพเชิดชูสำนักนิติธรรมเพียงสำนักเดียว”

ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร เหมาเสี่ยวตงก็ชิงโบกมือเสียก่อน “เจ้าดูแคลนความใจกว้างของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อมากเกินไป แล้วก็ดูแคลนศักยภาพของอริยะสำนักนิติธรรมมากเกินไป”

เหมาเสี่ยวตงทอดถอนใจเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าอริยะมองความสูงต่ำตื้นลึกของความรู้ในหนึ่งสายอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แน่นอน”

เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงตามจิตใต้สำนึก คำพูดที่ออกมาจากใจจริงเหล่านี้ของเจ้าขุนเขาเหมา เมื่อดื่มเหล้าจะได้รสชาติดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ทำให้รสชาตินี้อวลอลค้างอยู่ในลำคอของเฉินผิงอันได้เนิ่นนาน

เหมาเสี่ยวตงชี้ไปยังกระแสผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนถนนอย่างไม่ใส่ใจพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิขงจื๊ออยากให้คนเข้าใกล้ สำนักนิติธรรมทำให้คนอยากอยู่ห่างไกล”

เฉินผิงอันทำท่าครุ่นคิดตาม

เหมาเสี่ยวตงกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของข้าเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง หากเจ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ ขบเคี้ยวเป็นกับแกล้มคู่สุรา หากรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ก็โยนมันทิ้งไว้ข้างๆ ไม่เป็นไร ในตำรามีถ้อยคำที่ล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าคนบนโลกจะรู้จักเห็นค่าทะนุถนอมหรือนำมาขบคิดให้ละเอียดสักเท่าไหร่ ความรู้แค่ครึ่งถังของข้าเหมาเสี่ยวตง ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลยจริงๆ”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไร

เหมาเสี่ยวตงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองถนนใหญ่ของเมืองหลวงที่ผู้คนสัญจรกันไม่ขาดสาย อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่หลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจของเจ้าตะพาบน้อยบางคนขึ้นมา “สิ่งที่ผลักดันให้ประวัติศาสตร์เดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า มักจะเป็นความผิดพลาดที่งดงาม ความคิดบางอย่างที่สุดโต่งและความบังเอิญที่จำเป็นเสมอ”

ความคิดของเหมาเสี่ยวตงล่องลอยไปไกล รอจนคืนสติกลับมาแล้วก็ยังไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปากพูด ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เวลานี้คงไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาททำนองว่าความรู้ของเจ้าขุนเขาเหมาดีเยี่ยม ไม่ควรดูถูกตัวเองอะไรหรอกนะ?”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก

อาจารย์ฉี เซียนกระบี่จั่วโย่ว ชุยฉาน

แล้วก็ผู้เฒ่าสูงใหญ่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้

เฉินผิงอันรู้สึกว่าลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนออกมา นิสัยแตกต่างกันมากเกินไปหน่อยหรือไม่

เพียงแต่ลองมาย้อนนึกดู เผยเฉียนและชุยตงซานที่อยู่ใน ‘สำนัก’ ของตนก็เหมือนว่าจะมีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

หากเป็นไปได้ วันหน้ามีเฉาฉิงหล่างจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาเพิ่ม แต่ละคนก็จะยิ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป

จำได้ว่าในตำราของชั้นประถมเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่า ร้อยบุปผาเบ่งบานพร้อมกันจึงจะเรียกว่าวสันตฤดู

มีเหตุผล

……

ยามพลบค่ำ เฉินผิงอันและเหมาเสี่ยวตงยังไม่กลับมาที่สำนักศึกษา

ทางฝั่งสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัว เป็นครั้งแรกที่คนเยอะจนเกิดความแออัด

หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย

บวกกับเผยเฉียนและสือโหรว

หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ตรงปลายสองฝั่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตจากชิงเซียวตู้ ต่างคนต่างนั่งเข้าฌานฝึกตน

สือโหรวรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ขอแค่ตัวอยู่ในสำนักศึกษาก็ไม่มีที่ให้นางหยัดยืน ยิ่งมาอยู่ในเรือนหลังนี้ นางก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข

เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ตบะหรือศักยภาพของพวกหลี่ไหว เฉินผิงอันเคยพูดถึงคร่าวๆ อย่างไม่ปะติดปะต่อนัก

หลี่เป่าเจินพี่รองของหลี่เป่าผิง สือโหรวเคยเห็นฝีมือมาก่อน คือคนอำมหิตที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายคนหนึ่ง

บิดาของหลี่ไหวว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ด เคยเกือบสังหารซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีตาย อีกทั้งยังใช้สองหมัดของตัวเองบุกเข้าไปรื้อทำลายศาลบรรพชนของสำนักใบถง

สถานะของอวี๋ลู่ เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง แต่สือโหรวก็พอจะรู้แล้วว่าบัณฑิตร่างสูงใหญ่ที่อายุไม่มากผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดคนหนึ่ง

สถานะของเซี่ยเซี่ยในตอนนี้ ว่ากันว่าเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สือโหรวรู้แค่ว่าเซี่ยเซี่ยเคยเป็นผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

สือโหรวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน คอยทิ้งระยะทางจากคนทั้งหมดเหมือนตั้งใจ แต่ก็คล้ายว่าไม่ได้เจตนา

สือโหรวรู้ว่าครั้งแรกที่คนเหล่านี้เดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตลอดทางมีเฉินผิงอันเป็น ‘ผู้ตัดสินใจ’ ในทุกเรื่องมาโดยตลอด ฟังจากคำพูดเวลาที่เฉินผิงอันคุยกับเผยเฉียนและจูเหลี่ยน ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองสามเท่านั้น?

เหตุใดบุคคลที่ไม่ว่าจะไปอยู่ในราชวงศ์ใหญ่แห่งใดก็ล้วนเป็นลูกรักของสวรรค์เหล่านี้ถึงได้รู้สึกว่าการจัดการของเฉินผิงอันที่เป็นเพียงคนต่างถิ่นซึ่งเพิ่งมาเยือนสำนักศึกษาได้ไม่นานเป็นเรื่องปกติ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล?

หลี่เป่าผิงกำลังคัดหนังสืออยู่ในห้องขนาดเล็กของชุยตงซาน

เผยเฉียนและหลี่ไหวนอนหมอบอยู่บนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตหน้าประตูห้องหลัก ยกเอากระดานและโถเก็บเม็ดหมากชุดที่ชุยตงซานชื่นชอบมากออกมาเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกอยู่ด้วยกัน

กติกาเป็นแบบเมื่อครั้งนั้นที่ชุยตงซานใช้เล่นงานเผยเฉียน

อวี๋ลู่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เผยเฉียนกับหลี่ไหวตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็มีโอกาสขอความช่วยเหลือจากอวี๋ลู่ได้สามครั้ง

อวี๋ลู่ที่เหยียบเรือสองแคม ทำหน้าที่เป็นกุนซือหัวหมา (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบออกความเห็นไร้ค่าให้กับผู้อื่น) มีสมาธิจดจ่อยิ่งกว่าเผยเฉียนและหลี่ไหวที่ชอบตีฝีปากปะทะคารมกันเสียอีก

สือโหรวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก

ทั้งๆ ที่นางเป็นเจ้าของคราบร่างเซียน มหามรรคามารออยู่ตรงหน้า ความสำเร็จในอนาคตอาจจะสูงยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้ด้วยซ้ำ

ไม่ว่าไปอยู่ในสำนักใดที่มีตัวอักษรคำว่าจง (สำนัก) อยู่ในชื่อ ก็ไม่ควรถูกสำนักแห่งนั้นยกย่องบูชาหรอกหรือ?

ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงอกเกรงใจนาง แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะในความเกรงใจแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาห่างเหินที่ปิดไม่มิด

สือโหรวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ

……

ในที่สุดตระกูลไช่ก็ส่งบรรพบุรุษที่ได้มาเปล่าๆ ซึ่งเป็นดั่งเทพแห่งหายนะออกไปจากประตูจวนอย่างนอบน้อม

นับแต่ไช่จิงเสินไปจนถึงพ่อครัวของเรือนล้วนรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

คนเดียวที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเกรงว่าคงจะเป็นสาวใช้หน้าตางดงามที่มีโอกาสได้ปรนนิบัติเทพเซียนผู้หล่อเหลาคนนั้น

ชุยตงซานออกจากเขตการปกครอง ไม่ได้ตรงไปที่เมืองหลวงทันที แต่ไปพักแรมอยู่ในอารามเต๋าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้เคียงกับเมืองหลวง

ในอารามเต๋ามีนักพรตเต๋าวัยชราที่ทำหน้าที่เป็นประธานในการประกอบพิธีกรรม นำพาผู้คนเดินเข้าสู่มรรคา เป็นเหตุให้ได้รับคำเรียกขานว่า ‘พระอาจารย์’ นำหน้าชื่อ ได้แวะมาหาชุยตงซานโดยบอกว่าต้องการถกปัญหาธรรม

เว่ยเซี่ยนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นักพรตเต๋าอายุมากคนนี้ต้องเป็นสายลับต้าหลีที่ถูกจัดวางไว้ในอาณาเขตของต้าสุยแน่นอน

เรื่องนี้ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่ชุยตงซานอยู่ว่างๆ ก็เคยให้เว่ยเซี่ยนดูรายชื่อฉบับหนึ่ง รายชื่อในนั้นล้วนเป็นนักรบเดนตายและสายลับ ครบทั้งสามอาชีพเก้าสาขา จนทุกถึงวันนี้ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของต้าหลี สายลับที่ยังขุดค้นตัวไม่เจอ แน่นอนว่าต้องมีมากกว่า ชื่อที่ถูกวงด้วยวงกลมสีแดง ชุยตงซานบอกว่าเป็นพวกคนที่มีบทบาทในการขายข่าวโดยเฉพาะ ถือเป็นสายลับสองหน้า น่าสนใจมากที่สุด ไม่เห็นญาติมิตรอยู่ในสายตา เห็นแค่เงินอย่างเดียวเท่านั้น คบค้าสมาคมกับพวกเขาค่อนข้างจะทำให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า

เพียงแต่ว่าออกจะเหนือการคาดการณ์ของเว่ยเซี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แม้นักพรตผู้เฒ่าจะเป็นสายลับต้าหลีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากรายงานข่าวอย่างเรียบง่ายเสร็จแล้ว เขากับชุยตงซานที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งคนละใบกลับเริ่มพูดคุยถกปัญหาฟ้าดินกันอย่างจริงๆ จังๆ

เว่ยเซี่ยนฟังจนงีบหลับไป

หลังจากผู้เฒ่าจากไปแล้ว ชุยตงซานก็ชี้ไปยังเบาะนั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กล่าวว่า “ฉวยโอกาสที่มันยังร้อนอยู่ รีบนั่งลงซะ”

แม้เว่ยเซี่ยนจะนั่งลงจริงๆ แต่ไม่ได้นั่งลงบนเบาะ เขานั่งลงบนพื้น

ชุยตงซานเรียกโต๊ะน้ำชาใบเล็กลักษณะโบราณมีกลิ่นหอมตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ด้านบนวางสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือไว้จนเต็ม เขากางกระดาษแผ่นหนึ่งที่ประณีตงดงามซึ่งน่าจะเป็นของที่เชื้อพระวงศ์ในวังใช้กันออกแล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาเขียนตัวอักษร

เว่ยเซี่ยนถาม “เหตุใดท่านชุยถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ออกจากตระกูลไช่ เร่งร้อนหนีมาแถบนี้ของเมืองหลวง แต่กลับมาหยุดอยู่ที่นี่?”

นี่คือปัญหาที่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก

ชุยตงซานไม่ได้เงยหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามย้อนกลับมาด้วยหนึ่งประโยคที่เป็นคนละเรื่องกันเลย “เจ้าคิดว่าจิตใจคนซับซ้อนหรือไม่?”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “แน่นอน”

ชุยตงซานเคยเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการเขียนพู่กันซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาจึงตวัดพู่กันได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ต่อให้เว่ยเซี่ยนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายหูสบายตาไปหมด

ชุยตงซานยังคงไล่เรียงเขียนสรุปรายงานที่สายลับทั้งหมดนำมาแจ้ง ปากก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ใจคน มองดูเหมือนยากจะคาดเดา แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ คนบนโลกทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย นี่ก็คือสันดานของมนุษย์ หรืออาจเป็นสันดานของหมื่นสรรพสิ่งที่มีสติปัญญาด้วย การที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์นั้นอยู่ที่ว่ามนุษย์มีความรักความผูกผัน ความรักระหว่างบุตรและบิดามารดา การสืบทอดควันธูป ความรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของแคว้น ถูกไหม? ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่น ความรู้สึกบางอย่างก็จะยิ่งเด่นชัด”

เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด “เป็นหลักการนี้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับมีคนประเภทชอบความสมดุลที่ผสมผสานคลุมเครืออยู่มากกว่า”

ชุยตงซานหยุดเขียน วางพู่กันลงบนแท่นวาง สะบัดข้อมือ ยิ้มหยันกล่าวว่า “คนที่คิดถึงความสมดุลอะไรนั่นก็มีแต่พวกเหลวไหล จิตใจสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนขยับไปตามกระแส เห็นสาวงามก็เกิดใจปรารถนา เห็นทรัพย์สมบัติก็เกิดความละโมบ ไม่ว่าอะไรก็อยากได้ไปหมด เมื่ออยากได้ก็จะเอาให้ได้โดยไม่คิดประมาณตน หลิ่วชิงเฟิง หลี่เป่าเจิน เว่ยหลี่ อู๋ยวน สี่คนนี้ถือเป็นพวกคนฉลาด แต่ก็ยังมีข้อเสียและข้อบกพร่องไม่อย่างนี้ก็อย่างนั้นกันทุกคน”

“อู๋ยวนที่รับตำแหน่งเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน ในใจยอมรับคุณูปการและความรู้ของข้า และยิ่งเป็นลูกศิษย์ในนามของข้า เพียงแต่ในอดีตเคยได้รับบุญคุณจากเหนียงเนียงท่านที่ฝึกตนกินเจอยู่ในตำหนักฉางชุน เลยเข้าใจไปว่าทุกอย่างที่ได้มาในวันนี้ล้วนเป็นเหนียงเนียงท่านนั้นที่ประทานให้ ดังนั้นระหว่างบุญคุณส่วนตัวกับกิจธุระบ้านเมืองจึงสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง มีชีวิตอย่างสับสนคิดไม่ตก”

“สิ่งที่หลี่เป่าเจินต้องการไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับหลักดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊ออย่างอู๋ยวน เขาต้องการเพียงแค่สร้างความชอบ สักวันหนึ่งจะได้กลายเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุด แต่หลี่เป่าเจินยังไม่เข้าใจคำว่าฉลาดเกินก็มองดูเหมือนคนโง่ เวลานี้เขาแค่รู้จักแต่การแสร้งโง่ ทว่าคนฉลาดบนโลกใบนี้จะนับเป็นอะไรได้เล่า ไม่มีค่าเลยสักนิด”

“เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาคือผู้รอบรู้มากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขาก็คือบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ แต่แผนการของเขายังเล็กเกินไป มองเห็นเพียงแค่หนึ่งแคว้นและขนบธรรมเนียมร้อยปี ยังไม่เคยชินที่จะมองไกลไปถึงหนึ่งทวีปและวางแผนใหญ่ถึงพันปี”

“หลิ่วชิงเฟิงนายอำเภอเล็กๆ แห่งแคว้นชิงหลวนคือคนที่ข้าเห็นดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ น่าเสียดายที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีอายุขัยได้มากสุดก็แค่ร้อยปี นี่ควรเรียกว่า…สวรรค์ริษยาอัจฉริยะบุคคลสินะ?”

เว่ยเซี่ยนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย

ท่านชุยถึงขนาดเต็มใจพรรณนาถึงคนอื่นว่าเป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’?

อันที่จริงลึกๆ ในใจเว่ยเซี่ยนคอยขบคิดถึงคำว่าใจคนที่ชุยตงซานกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลา

ชุยตงซานหยิบรายงานสายลับปึกหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นรายงานปลายแถวขึ้นมาจากโต๊ะน้ำชา โยนให้เว่ยเซี่ยน “นี่คือบทกวีตกอันดับใหม่ล่าสุดของผู้ที่เข้าสอบเคอจวี่ในสองแคว้นอย่างต้าหลีและต้าสุย คือหนึ่งในวิธีที่ข้านำมาใช้แก้เบื่อ”

เว่ยเซี่ยนรับไปแล้ว ชุยตงซานถึงกล่าวว่า “เจ้าคงอยากจะถามถึงวิธีและทิศทางในการวิเคราะห์ความตื้นลึกของใจคนจากข้าสินะ มองดูเหมือนทำได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวทางโลกยากจะคาดเดา จิตใจคนขึ้นลงไม่อยู่นิ่ง ไม่แน่ว่าอุบัติภัยครั้งหนึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้หลากหลาย ยังคงเป็นปัญหาที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังยากที่จะคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีวิธีที่แท้จริง ถูกหรือไม่?”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ

ชุยตงซานคลี่ยิ้ม ชี้ไปยังหัวสมองของตัวเอง “การฝึกตนบนภูเขา นอกจากจะเพื่อให้อายุขัยยืนยาวแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ในนี้ก็จะผุดขึ้นตามมาด้วย”

จากนั้นชุยตงซานก็สะบัดข้อมือโปรยเงินเทพเซียนกำใหญ่ไว้บนโต๊ะน้ำชา “ข้าจะพูดถึงการแบ่งจิตใจคนเป็นหลักใหญ่ๆ ให้ฟังก่อนก็แล้วกัน สามารถนำหลักวิชาการคำนวณของสำนักคำนวณในเมธีร้อยสำนักมาช่วยเสริม จากหนึ่งถึงสิบ แยกกันแบ่งวิเคราะห์ แล้วเจ้าก็จะพบว่าคำว่าจิตใจคนขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ในท้ายที่สุด”

ไม่รอให้เว่ยเซี่ยนเปิดปากพูด ชุยตงซานก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หนึ่งถึงสิบยังคงไม่แม่นยำมากพอ แต่หากทำได้จากหนึ่งถึงหนึ่งร้อยล่ะ จะเป็นอย่างไร?”

เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วิชาการคำนวณนี้ถูกมองเป็นวิถีเล็กๆ ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะประวัติความเป็นมาของพวกเขา แต่เป็นเพราะถูกสำนักการค้าที่ชื่อเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่ยกย่องไม่ใช่หรือ? ท่านชุยยังเอามาใช้ด้วย? หรือว่านอกจากวิชาของลัทธิขงจื๊อแล้ว ท่านชุยยังเป็นหนึ่งในผู้ยกย่องสำนักคำนวณด้วย?”

ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “สำนักคำนวณก็มีค่าพอให้ข้ายกย่อง?”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “แม้แต่การแบ่งแยกระหว่างเทพและคน สามจิตหกวิญญาณ เรื่องที่เล็กละเอียดยิบย่อยที่สุดบนโลก ข้ายังต้องศึกษาค้นคว้าให้หมด สำนักคำนวณเล็กๆ ก็เป็นแค่การใช้เวลาบนกระดาษเท่านั้น จะนับเป็นผายลมอะไรได้”

เว่ยเซี่ยนถือกระดาษปึกที่เขียนบทกวีตกอันดับของผู้เข้าสอบสองแคว้นไว้ในมืออย่างเหม่อลอยไร้คำพูด

ชุยตงซานที่พูดอ้อมไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในที่สุดก็วกกลับมายังคำถามที่เว่ยเซี่ยนถามไว้ตอนแรกสุด “เรื่องภายในภายนอกของทางสำนักศึกษา ข้ารู้ชัดเจนดี การเปลี่ยนแปลงเดียวในเวลานี้ก็คืออาจารย์จ้าวที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ผู้นั้น”

เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างฉงน “อาจารย์วัยชราคนหนึ่งกับอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างสำนักศึกษาคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ฝ่ายแรกจะยังก่อคลื่นสร้างมรสุมได้อีกหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามคำบอกของท่านชุย เหมาเสี่ยวตงไม่ใช่ชาวขงจื๊อที่คร่ำครึ มีหรือจะยอมให้เกิดช่องโหว่ได้ อีกอย่างตามคำอธิบายของท่าน เว้นเสียจากฮ่องเต้ต้าสุยอยากจะทำให้ตัวเองพินาศวอดวายแล้วก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเด็ดขาด”

ชุยตงซานจ้องเป๋งไปที่เว่ยเซี่ยนด้วยสีหน้ารังเกียจ “ลองคิดดูดีๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าให้มองปัญหาจากจุดที่สูงหน่อย”

ในใจเว่ยเซี่ยนพลันสะท้านเยือก

ชุยตงซานยื่นมือมาขยี้ซีกแก้ม หัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ฮ่องเต้ต้าสุยให้ความสำคัญกับชะตาแคว้น แต่คนที่อยู่เบื้องหลังจะสนใจหรือว่าต้าหลีกับต้าสุยจะเป็นหรือตาย จะพินาศวอดวายไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายหรือไม่? หากการลอบสังหารคนสองคนแล้วสามารถตัดสินแนวโน้มของสถานการณ์ในหนึ่งทวีปได้ เจ้าเว่ยเซี่ยนจะหวั่นไหวหรือไม่? ลูกศิษย์สำนักการค้ายินดีที่จะเห็นเหตุการณ์นั้น การทำสงครามนี่นะ ใช้เงินคนตาย ถึงจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนยอดฝีมือสำนักจ้งเหิงที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ หลบซ่อนอยู่ลึกหลังม่านหลายชั้นก็ยิ่งเต็มใจจะทำเช่นนี้!”

จิตใจของเว่ยเซี่ยนกระเพื่อมไหว มือสองข้างถึงกับสั่นเบาๆ

นี่ต่างหากจึงจะเป็นวิถีแห่งโลกที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนท่านนี้ใฝ่หาเรื่อยมา!

การช่วงชิงท่ามกลางกลียุค!

บนภูเขาล่างภูเขา กษัตริย์ อัครเสนาบดี เทพเซียนและเซียนซืออะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนถูกหอบเข้าไปในกระแสแห่งสถานการณ์ใหญ่ ทุกคนล้วนเป็นหมากที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง

เพียงแต่ว่าดูเหมือนชุยตงซานจะนึกถึงเรื่องที่น่าเสียใจอะไรขึ้นมาได้ เขาเช็ดใบหน้า พูดอย่างเศร้าซึมว่า “เจ้าดูสิ ข้ามีความสามารถและความรู้มากมายถึงเพียงนี้ ในเวลานี้ก็ยังทำได้แค่เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยไม่ใช่หรือ? คิดไปคำนวณมา ก็แค่การกรีดเนื้อมาจากขายุง ทำการค้าขายเล็กๆ เท่านั้น เจ้าตะพาบเฒ่านั่นวางแผนฮุบทั้งแจกันสมบัติทวีปอย่างสบายอุรา ข้ากลับได้แค่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านแทนเขา ต้องคอยมานั่งจับจ้องสถานที่อย่างต้าสุยที่เล็กเท่าเปลือกหอยทาก กิจการเล็กเกินไปก็ได้แต่ทำเรื่องส่งเดชไปทั่ว แถมยังต้องคอยกังวลว่าหากทำได้ไม่ดีพอจะถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนัก…”

ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดทุบลงบนหัวใจของตัวเองแรงๆ “เหล่าเว่ย หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก”

จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกลิ้งตัวไปทั่วพื้นห้อง ส่วนเขาก็ก้มหน้าลงมองกวีตกอันดับที่ว่ากันว่าสามารถทำให้มองเห็นความเป็นจริงในมือ

เขาไม่ได้เจ็บปวดใจ แต่เหนื่อยใจ

……

คนสกุลเกาของต้าสุยปฏิบัติต่อปัญญาชนดีเป็นพิเศษ นี่คือประเพณีสืบทอดที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น

นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้วงหยวนคนใหม่อย่างจางไต้ผู้นี้เลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังคงอยู่ในสำนักฮั่นหลิน แต่กลับมีเรือนสามชั้นสิบห้องอยู่ในเมืองหลวงแล้ว เป็นเงินที่กรมครัวเรือนของราชสำนักควักจ่ายให้

ยามสนธยาของวันนี้ จางไต้สาวเท้าเดินเล่นอยู่ในเรือนที่ว่างเปล่า ป้อนอาหารให้ปลาหลีหางแดงหลายตัวที่อยู่ในอ่างใบใหญ่แล้วก็ไปศึกษาตำราหมากล้อมเพียงลำพังในห้องหนังสือ

จางไต้มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนในท้องถิ่น บทความที่เขาเขียนขึ้นในการสอบระดับอำเภอเรียกว่าน่าชมเชยพอใช้ได้ ไม่ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจอะไร แต่การสอบหน้าพระที่นั่งกลับสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน จนกระทั่งกลายเป็นปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร

หลังจากได้กลายเป็นจ้วงหยวนก็ย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังนี้ การเปลี่ยนแปลงเดียวก็คือจางไต้จ้างสารถีหนึ่งคนและรถม้าหนึ่งคัน นอกจากนี้แล้วจางไต้ก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอะไรมากนัก ยากจะจินตนาการได้ว่าคนหนุ่มที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ผู้นี้ก็คือผู้นำด้านวรรณกรรมคนใหม่ของต้าสุย ยิ่งไม่อาจนึกภาพออกว่าเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ที่จวนตระกูลไช่ในปัจจุบัน ออกความเห็นอย่างฮึกเหิม สุดท้ายยังสามารถจากไปโดยนั่งรถม้าคันเดียวกับเหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวที่เป็นบรรดาศักดิ์หลังสร้างคุณความชอบบุกเบิกแคว้น

ทั้งหมดนี้ ไช่เฟิงก็ดี เหมียวเริ่นก็ช่าง ล้วนคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผล จางไต้มีสถานะจ้วงหยวนที่มีราคาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่จิตวิญญาณของต้าสุยที่มีชื่อเสียงไปทั่วราชสำนัก ตัวตนต่ำต้อยแต่กลับขาวสะอาด กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อน ดังนั้นจึงควบคุมได้ง่าย รู้สึกว่าคนผู้นี้ยินดีทำเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง เป็นผู้นำแก่ฝูงชน

จางไต้ได้ยินเสียงเคาะประตูก็หยุดการเล่นหมากล้อม เงยหน้ากล่าวว่า “เข้ามา”

คือสารถีเฒ่าที่มาขอพักอยู่ในเรือน

ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือที่ค่อนข้างมืดสลัว เอ่ยเชื่องช้า “เหมาเสี่ยวตงพาคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันออกมาจากสำนักศึกษา”

“พวกเขาไม่ได้ป่าวประกาศว่าจะฆ่าปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้ตายหรอกหรือ ก็ไปฆ่าได้ตามสบายเลย”

จางไต้เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าบอกให้คนที่ถูกจัดวางไว้ในสำนักศึกษาหาข้ออ้างบอกให้จ้าวซื่อและกวางขาวออกจากสำนักศึกษาไปพร้อมกัน หาสถานที่เงียบๆ ตีให้สลบแล้วซ่อนตัวเอาไว้ หลังจากควบคุมกวางขาวตัวนั้นได้แล้ว จำไว้ว่าเจ้าอย่าทำให้เหลียงเริ่นซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เฝ้าประตูเกิดคลางแคลงใจ ขอแค่เข้าไปในสำนักศึกษาได้อย่างราบรื่น ลงมือให้เด็ดขาดสักหน่อย ต้องให้ตายคนหนึ่ง หากตายได้สองคนก็ยิ่งดี”

ผู้เฒ่าพยักหน้า

จางไต้ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “คืนนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวงต้าสุย”

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ทำเรื่องนี้สำเร็จ คุณชายกลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วย่อมต้องมีอนาคตยาวไกลหมื่นลี้รออยู่”

จางไต้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

พอผู้เฒ่าจากไปแล้ว

จางไต้ก็วางตำราหมากล้อมในมือลง หลุบตาต่ำมองสถานการณ์หมากบนกระดาน

กลยุทธสร้างความสามัคคีในกลุ่มผลประโยชน์และแตกสามัคคีในกลุ่มศัตรู

……

ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แจกันสมบัติทวีป ริมอาณาเขตของบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน มีจวนส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังตั้งอยู่

คนหนุ่มที่เป็นหนึ่งในผู้นำสายลับของศาลาคลื่นมรกตแคว้นต้าหลีมีสีหน้ามืดทะมึน

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงมีสถานะแตกต่างกันออกไป ทว่าทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือด้านการใช้พู่กันของวงการขุนนาง วงการการประพันธ์แคว้นชิงหลวน แน่นอนว่ายิ่งเป็นคนสนิทชิดเชื้อที่ถูกราชสำนักต้าหลีซื้อใจ

หลี่เป่าเจินมองพื้นดิน วนนิ้วไปตามขอบจอกชาที่เขายังไม่ได้ดื่มน้ำชาด้านในเลยสักอึก

ทุกคนมีท่าทางหวาดหวั่นกระสับกระส่าย

พวกเขามารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้เพราะต้องการทำเรื่องหนึ่ง

นั่นคือใช้พู่กันแต่ละด้ามลากหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม เจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่กลับไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษในสวนสิงโตผู้นั้นให้จมลงบ่อโคลน ต้องการให้คนผู้นี้ล้มแล้วไม่อาจลุกกลับคืนมาได้อีก ยากที่จะเป็นจุดศูนย์รวมกองกำลังให้กับเหล่าปัญญาชนที่เร่งรีบเดินทางลงใต้กลุ่มนั้น แคว้นชิงหลวนยังคงต้องการผืนป่าแห่งวรรณกรรมที่ต้นไม้เขียวชอุ่มรกครึ้ม แต่ไม่ต้องการไม้ที่เด่นเกินไพรอย่างหลิ่วจิ้งถิง

มีเพียงชื่อเสียงของหลิ่วจิ้งถิงย่อยยับลง ปัญญาชนตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงจะแตกฉานซ่านเซ็น

ต้าหลีเต็มใจจะเห็นภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังรู้สึกว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย จะได้ไม่ต้องถูกคนต่างถิ่นที่แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกกลุ่มนั้นเข้ามาควบคุม วันๆ ต้องถูกพวกคนที่ไม่รู้จักเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามกลุ่มนี้ชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่งอยู่ในราชสำนักแคว้นชิงหลวน ต้องทนฟังวิธีการแก้ปัญหาสารพัดเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงเวลานั้นฮ่องเต้สกุลถังยังสามารถนั่งลงแบ่งสมบัติกับต้าหลี ต่างคนต่างซื้อใจพวกชนชั้นสูงไปควบคุมเอง

ทว่าคนหลายสิบคนในคืนนี้ใช้กองกำลังของทุกตระกูลมาพยายามหาแผนการโจมตีหลิ่วจิ้งถิงอย่างกำเริบเสิบสาน แทบจะพลิกค้นบทความ กวีนิพนธ์ เอกสารรายงานทุกฉบับของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าออกมาแล้วไล่หาช่องโหว่ในทุกคำทุกประโยค

คาดไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงแต่ได้ผลลัพธ์ไม่เด่นชัดนัก ยังถึงขั้นชักนำให้ฝูงชนจำนวนมากที่เป็นปัญญาชนของแคว้นชิงหลวนโกรธแค้น ขุนนางในราชสำนักบางคนที่เดิมทีความเห็นไม่ตรงกับหลิ่วจิ้งถิง และยังมีผู้รอบรู้ในท้องถิ่นอีกมากมายต่างก็ทนมองไม่ไหว เริ่มพากันช่วยพูดแทนหลิ่วจิ้งถิง โดยเฉพาะปัญญาชนตระกูลใหญ่ที่มุ่งหน้าลงใต้มายังที่แห่งนี้ที่ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น พากันวิ่งวุ่นไปสี่ทิศเพื่อหลิ่วจิ้งถิง แม้แต่ข่าวเล็กๆ ที่บอกว่าหลิ่วจิ้งถิงจะย้อนกลับมาสู่ใจกลางของราชสำนัก เลื่อนขั้นมารับตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการก็ยังเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว

หลี่เป่าเจินเงยหน้า ยิ้มพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องตึงเครียด เรื่องนี้ทำได้ไม่ดี เปิดประตูมาไม่เด่นสะดุดตา กลับกันยังถูกป้ายสีดำใส่ สะดุดล้มหัวทิ่ม คนแรกที่โดนมีดจ้วงแทงย่อมเป็นข้าหลี่เป่าเจิน หลังจากนั้นจึงจะเป็นคราวของพวกเจ้า หากใต้เท้าราชครูเข้าใจ ไม่แน่อาจรู้สึกว่าพวกเรามีเหตุผลให้พออภัยได้ เปลี่ยนกระดานใหม่แล้วให้โอกาสพวกเราอีกครั้ง”

ไม่พูด ‘คำปลอบใจ’ พวกนี้ก็ยังดี แต่พอหลี่เป่าเจินพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง

แสงเทียนในห้องโถงใหญ่ส่ายสะบัด

แน่นอนว่าหลี่เป่าเจินย่อมต้องเดือดดาลเป็นที่สุด ไอ้พวกเศษสวะไร้ค่า!

และเวลานี้เองในห้องโถงใหญ่ก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏ คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน อีกคนหนึ่งรออยู่นอกประตู

มองปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ผู้นั้น หลี่เป่าเจินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าจะอ้อมพ้นคนผู้นี้ไปแล้ว และตนก็สามารถทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นลงอย่างงดงาม ไหนเลยจะคิดว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

คนผู้นั้นพูดเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ทำสำเร็จไปได้ครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้ยังมีก้าวเล็กๆ อีกสามก้าวให้ต้องเดิน”

“ก้าวแรก หยุดการสาดน้ำโคลนโจมตีหลิ่วจิ้งถิงชั่วคราว หันกลับมาพูดยกย่องชมเชยรองเจ้ากรมผู้เฒ่าให้เกินจริง และในก้าวนี้ยังแบ่งขั้นตอนออกเป็นอีกสามขั้นตอน ข้อแรก ทุกท่านรวมถึงสหายของพวกท่านต้องพากันโยนบทความที่แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางและสุขุมมีสติออกไปบางส่วนเพื่อให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงต่อเรื่องนี้ก่อน พยายามอย่าทำให้บทความของตัวเองไร้พลังในการชักจูง ข้อที่สองเริ่มเชื้อเชิญคนอีกกลุ่มหนึ่งมาทำให้หลิ่วจิ้งถิงกลายเป็นเทพเจ้า ยิ่งใช้ถ้อยคำที่ชวนเลี่ยน ไพเราะแต่ไร้ประโยชน์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี โอ้อวดคุยโวถึงบทความของหลิ่วจิ้งถิงให้ถึงขั้นที่หากเขาตายไปรูปปั้นก็สามารถถูกยกไปบูชาในศาลบุ๋นได้ ข้อที่สามเขียนบทความขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง วิจารณ์โจมตีขุนนางและปัญญาชนที่เคยแก้ข่าวให้หลิ่วจิ้งถิงทุกคน ไม่แบ่งแยกดีเลว ยิ่งใช้คำที่เลวร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ต้องระวังไว้ว่าจุดประสงค์สำคัญในการเขียนบทความคือต้องบรรยายให้คนทุกคนที่เคยช่วยเหลือหลิ่วจิ้งถิงเป็นเหมือนพวกสุนัขรับใช้”

แรกเริ่มที่ทุกคนได้ยินคำพูดประโยคแรกของคนผู้นี้ต่างก็หัวเราะเสียงหยัน นินทาอยู่ในใจไม่หยุด

เพียงแต่ยิ่งฟังไปถึงช่วงท้ายก็ยิ่งรู้สึกว่า…นี่เป็นวิธีใหม่เอี่ยมที่ควรลอง!

คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “ก้าวที่สอง หลังจากรออย่างสงบระยะเวลาหนึ่งค่อยหันหัวหอกชี้กลับไปที่หลิ่วจิ้งถิงคนเดียวอีกครั้ง จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อย วัตถุประสงค์และรากฐานของบทความทุกฉบับให้เน้นถ้อยคำอย่าง ‘แม้ว่า’ ‘ต่อให้’ ยกตัวอย่างเช่น ‘แม้ว่า’ คุณธรรมของหลิ่วจิ้งถิงผู้นี้จะมีข้อบกพร่อง แต่จุดด่างพร้อยเล็กน้อยไม่อาจบดบังจุดเด่น ลูกศิษย์ของเขามีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย จากนั้นพวกเจ้าก็สามารถยกวีรกรรมต่างๆ ขึ้นมา จุดสังหารให้อยู่ที่พวกขุนนางชื่อเสียงโด่งดังที่ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนทั้งหลาย หรือยกตัวอย่างเช่น ‘ต่อให้’ ผลงานด้านการปกครองของหลิ่วจิ้งถิงจะธรรมดาสามัญ แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าเป็นคนมือสะอาดและสุจริต ก็แค่ได้ครอบครองสวนสิงโตที่มีชื่อเสียงไปครึ่งทวีปเท่านั้น”

คนผู้นั้นเอ่ยอธิบาย “เหตุใดต้องทำเช่นนี้? เพราะสำหรับคนนอกแล้ว บทความเหล่านี้หากมองผิวเผินนับว่ายังสุภาพและเยือกเย็น แล้วก็เป็นการช่วยแก้ตัวแทนให้กับหลิ่วจิ้งถิง หลายคนที่เดิมทีวางตัวเป็นกลางไม่เข้าร่วมศึกแห่งวงการวรรณกรรมครั้งนี้จะเริ่มยอมรับสมมติฐานที่กลายเป็นจริงนั้นไปโดยปริยาย บวกกับการอธิบายที่ซุกซ่อนจิตสังหารในภายหลังก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน

คนผู้นั้นยิ้มบางๆ “ก้าวที่สามอยู่ที่การเขียนบทความด้านคุณธรรมส่วนตัว เช่นว่าจ้างคนมาเขียนแทน ไม่ต้องสนใจว่าลายมือจะดีหรือเลว ขอแค่สอดแทรกมุขตลกไปด้วยก็พอ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องรักใคร่ที่หลิ่วจิ้งถิงไปอยู่ในอารามชีท่ามกลางค่ำคืนที่ลมพายุพัดกระหน่ำ ยกตัวอย่างเช่นเขาเป็นตาแกที่ผิดประเวณีในครอบครัว หรือยกตัวอย่างเช่นดอกหลีกดทับดอกไห่ถัง (ดอกหลีเป็นสีขาว ดอกไห่ถังเป็นสีแดง ดอกหลีกดทับดอกไห่ถังจึงเปรียบเปรยว่าคนแก่ผมขาวแต่งสาวน้อยมาเป็นอนุภรรยา) ระหว่างเจ้าสวนสิงโตกับสาวใช้หน้าตางดงาม แล้วก็ถือโอกาสแต่งกลอนคล้องจองที่ผู้คนท่องได้คล่องปาก เอามาแต่งเป็นนิทาน จ้างให้นักเล่านิทานและคนในยุทธภพช่วยกันเผยแพร่ออกไปให้ทั่ว”

คนผู้นั้นมองผู้คนที่ทั้งตกตะลึงทั้งไม่เข้าใจ ยังคงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ บัณฑิตตกอับที่ไม่มีตำแหน่งชื่อเสียงชอบเห็นเรื่องแบบนี้มากที่สุด และชาวบ้านที่ไม่สนใจความจริงก็ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ในกลุ่มของปัญญาชน สามคนก็กลายเป็นพยัคฆ์ได้ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ฝูงยุงรวมกันก็กลายเป็นสายฟ้าได้เช่นกัน”

สุดท้ายคนผู้นั้นคลี่ยิ้ม หยิบกระดาษหลายแผ่นออกมา เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เป่าเจิน ยื่นส่งให้อีกฝ่ายพลางกวาดตามองรอบด้าน “ทุกท่านที่อยู่ที่นี่อาจไม่รู้ว่าวิธีการ ราคาในการจัดพิมพ์ตำราเรื่องรักใคร่ รวมไปถึงการจ้างนักเล่านิทานมาเล่าเรื่องต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ เรื่องยิบย่อยที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงทั้งหลายนี้ ข้าเขียนไว้บนกระดาษหมดแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกท่านกลายเป็นคนเสียเปรียบที่ต้องจ่ายเงินเกินจริงโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งชาวบ้านตัวเล็กๆ หลายคนที่ทำการค้าเป็น แม้ฐานะจะต่ำต้อย แต่อันที่จริงกลับเจ้าเล่ห์และเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ต่างคนต่างมีวิธีในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก หากปล่อยให้พวกเขาได้เปรียบในเรื่องเงินทอง ไม่แน่ว่าทุกท่านอาจถูกพวกเขาดูแคลน”

คนผู้นี้บอกลาจากไป

เดินไปใกล้ถึงประตู เขาก็พลันหมุนตัวกลับมายิ้มกล่าวว่า “เพราะทุกท่านมีผลงานอันโดดเด่นแสดงให้เห็นมาก่อน ข้าถึงได้มีโอกาสโอ้อวดกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ หวังว่าจะช่วยเหลือพวกท่านได้ไม่มากก็น้อย”

ทุกคนเหม่อมองคนผู้นั้นเดินจากไป

หลี่เป่าเจินปากคอแห้งผาก กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น

คนอื่นๆ ที่เหลือก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ต้องรู้ว่าคนผู้นั้นมีนามว่าหลิ่วชิงเฟิง

คือบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version