Skip to content

Sword of Coming 408

บทที่ 408 ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี

คิดจะไปนำโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นในเมืองหลวงต้าสุย นี่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนบนมหามรรคาของเฉินผิงอัน แต่เหมาเสี่ยวตงกลับไม่ได้รีบร้อนพาเฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ศาลบุ๋น เขาพาเฉินผิงอันเดินไปอย่างเชื่องช้าพลางพูดคุยกันไปตลอดทาง

เหมาเสี่ยวตงถามเฉินผิงอันถึงเรื่องราวน่าสนใจที่เขาพบเจอระหว่างการเดินทาง เฉินผิงอันออกเดินทางไกลอยู่สองครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเดินทางอยู่ในภูเขาสูงป่าลึก ริมน้ำริมทะเลสาบ ขึ้นเขาลงห้วย ศาลบุ๋นที่พบเจอมาไม่ถือว่ามากนัก เฉินผิงอันจึงถือโอกาสพูดถึงเพื่อนรักที่มองดูเหมือนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วกลับมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างจอมยุทธเคราดก สวีหย่วนเสีย

ชายฉกรรจ์ที่ปีนั้นออกจากกองทัพ นอกจากจะบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำของสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังใช้พู่กันวาดสิ่งปลูกสร้างไม้เก่าแก่โบราณของแต่ละแคว้นเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงจึงบอกว่าจอมยุทธแซ่สวีผู้นี้สามารถมาเป็นอาจารย์ที่ได้รับการแขวนชื่อในสำนักศึกษาได้ ให้เขามาบรรยายให้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาฟังถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของภูเขาแม่น้ำ ความน่าสนใจของผู้คนและขนบธรรมเนียมประเพณี ทางสำนักศึกษายังสามารถสร้างเรือนให้เขาหนึ่งหลังเพื่อเอาไว้แขวนภาพวาดฝีมือของเขาโดยเฉพาะด้วย

เฉินผิงอันจึงตอบรับเหมาเสี่ยวตง บอกว่าจะส่งจดหมายไปให้สวีหย่วนเสียที่เดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว เชื้อเชิญให้เขาเดินทางไกลมาเยือนสำนักศึกษาซานหยาของต้าสุยดูสักเที่ยว

ศาลบุ๋นในเมืองหลวงที่ขนาดใหญ่สุดและมีระบบพิธีการสูงสุดของต้าสุยแห่งนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นคนทั้งสองที่เดินทางออกมาจากภูเขาตงหัวจึงต้องเดินผ่านพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง ระหว่างนั้นเหมาเสี่ยวตงยังเลี้ยงข้าวกลางวันเฉินผิงอันมื้อหนึ่ง เป็นร้านข้าวเล็กๆ ที่หลบอยู่ในมุมลึกของตรอกเก่าโทรม ทว่ากิจการกลับไม่ซบเซา สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก เหล้าที่หมักจากข้าวซึ่งทางร้านหมักเองมีรสชาติดีเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์

เหมาเสี่ยวตงเล่าว่าทุกครั้งที่หมักเหล้า นอกจากเจ้าของร้านจะต้องคัดเลือกข้าวเหนียวด้วยตัวเองแล้ว ยังต้องพาบุตรชายออกไปจากเมือง ไปตักน้ำที่บ่อน้ำพุซงเฟิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหกสิบลี้ พ่อลูกสองคนผลัดกันหาบน้ำไว้บนไหล่ ออกแต่เช้าตรู่กลับมาถึงเย็นย่ำถึงจะหมักเหล้าข้าวที่คนชอบดื่มของเมืองหลวงพอได้ดื่มแล้วไม่อยากจะหยุดชนิดนี้ออกมาได้

ตอนที่ออกจากร้าน เฉินผิงอันซื้อเหล้าข้าวมาไหใหญ่ พอไปถึงตรอกที่ไร้ผู้คนก็เทมันใส่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เหล้าด้านในเหลือติดก้นแล้ว จากนั้นค่อยเก็บไหเปล่าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ด้านในวัตถุจื่อชื่อ ‘เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์’

อาภรณ์ ตำรา ของตกแต่งบนโต๊ะหนังสือ หม้อ ถ้วย กระบวยตักน้ำ มีดผ่าฟืน เข็มและด้าย สมุนไพร หินติดไฟ ของกระจุกกระจิกยิบย่อยเต็มไปหมด

เห็นว่าเฉินผิงอันเก็บไหเหล้าว่างเปล่าที่มีราคาแค่ไม่กี่อีแปะเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงก็เอ่ยเตือนว่า “สะสมน้อยไปมาก รวบรวมเม็ดทรายเป็นเจดีย์คือเรื่องดี เพียงแต่อย่าได้ดึงดันเกินไป เป่าขนหาข้อด้อย (เปรียบเปรยว่าคอยจับผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือตรงกับสำนวนไทยว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ) ไปเสียทุกเรื่อง หากไม่ทำให้จิตใจยากที่จะใสกระจ่างแจ่มชัด ก็ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ แม้ว่าเส้นเอ็นและกระดูกจะแข็งแกร่ง แต่จิตใจกลับเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเร็วกว่าเวลาอันสมควร”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จดจำไว้แล้ว”

เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม

ในความเป็นจริงแล้วคนที่เป่าขนหาข้อด้อยคือศิษย์พี่เหมาอย่างเขาต่างหาก แต่หากไม่ทำแบบนี้ ไม่วางมาดเล็กๆ ต่อหน้าเฉินผิงอันเสียบ้าง จะแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของศิษย์พี่ได้อย่างไร? อาจารย์ของตนไม่คิดถึง ไม่เคยพูดถึงตนแม้สักครึ่งคำ เขาเหมาเสี่ยวตงก็ควรต้องหาสิ่งชดเชยกลับมาจากตัวของลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์บ้างไม่ใช่หรือ

จากนั้นก็เดินกันไปอีกเกือบครึ่งชั่วยามจึงมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับในใจชาวบ้านทุกคนของต้าสุย ศาลบุ๋นแห่งเมืองหลวง

ศาลบุ๋นกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลดุจดวงดาวดารดาษ ประหนึ่งโคมไฟชะตาบุ๋นหลายดวงที่วางอยู่บนพื้นดิน ส่องแสงให้โลกมนุษย์สว่างไสว

เว้นเสียจากเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารห่างไกลเกินไป หาไม่แล้วต่อให้เป็นอำเภอที่เล็กที่สุดก็ยังต้องสร้างศาลบุ๋นขึ้นมา เจ้าเมืองหรือนายอำเภอทุกคนที่มารับตำแหน่งใหม่จะต้องไปจุดธูปกราบไหว้หลี่เซิ่งที่ศาลบุ๋น จากนั้นค่อยไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊

ดังนั้นต่อให้เมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เฉินผิงอันเกิดและเติบโตมาจะตัดขาดกับโลกภายนอกแค่ไหน ทว่าพอถ้ำสวรรค์ปริแตกและร่วงลงมาบนพื้น หยั่งรากเชื่อมโยงกับผืนแผ่นดินในอาณาเขตของต้าหลี เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่ราชสำนักต้าหลีต้องทำก็คือสั่งให้อู๋ยวนนายอำเภอคนแรกลงมือเฟ้นหาที่ดินในการก่อสร้างศาลบุ๋นบู๊สองแห่งทันที

เหมาเสี่ยวตงยืนอยู่นอกศาลบุ๋น เฉินผิงอันยืนเคียงไหล่อยู่กับผู้เฒ่า

เหมาเสี่ยวตงถามว่า “ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าข้าวมา ตอนนี้เห็นศาลบุ๋นแล้ว มีความรู้สึกอะไรหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบ “ใช้ข้าวเหนียวชั้นดีมาหมักเหล้า คนที่ซื้อเหล้ามีมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านในเมืองหลวงไม่เพียงแต่ไม่มีความกังวลเรื่องการกินอยู่ ยังค่อนข้างจะมีเงินเหลืออีกด้วย ส่วนศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้ายังมองอะไรไม่ออก”

เฉินผิงอันตอบถูกครึ่งหนึ่ง เหมาเสี่ยวตงผงกศีรษะรับเบาๆ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้แสร้งทำเป็นเล่นแง่อวดภูมิกับเฉินผิงอัน เขาพูดชี้แนะเฉินผิงอันว่า “ทางฝั่งนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นี่หมายความว่าเจ้าพวกคนที่อยู่ในก้อนดินของศาลบุ๋นต้าสุยเหล่านั้นไม่เห็นดีในโชคชะตาบุ๋นของเจ้าเฉินผิงอัน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็เพิ่มน้ำเสียงเย้ยหยันเข้าไปเล็กน้อย “คงเป็นเพราะถูกควันธูปรมมาหลายร้อยปี สายตาก็เลยไม่ดี”

เหมาเสี่ยวตงพูดต่อว่า “ปัญญาชนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนศาลบุ๋นด้วยความความจริงใจ หากเป็นคนที่มีชะตาบุ๋นรุ่งโรจน์ติดตัว องค์เทพในศาลบุ๋นก็จะเกิดจิตตอบรับ แล้วก็จะแบ่งชะตาบุ๋นที่เพิ่มพูนขึ้นมาจากความสามารถด้านวรรณกรรมให้เล็กๆ น้อยๆ คำกล่าวที่ว่าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน บทความสวรรค์สร้าง ตวัดพู่กันดุจมีเทพและผีคอยช่วยเหลือ ก็คือหลักการนี้ แต่สิ่งที่ทวยเทพในศาลบุ๋นสามารถทำได้ก็มีแค่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูว่าตัวบัณฑิตเองมีความรู้ลึกล้ำหรือไม่”

“ผู้ที่ยินดีทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควันธูปที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นมาเป็นเทพ ปรมาจารย์มหาปราชญ์และเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาไว้ในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแต่ละแคว้นก็เป็นแค่เทวรูปดินเผาเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดตายตัว แล้วก็มีข้อยกเว้นอยู่น้อยครั้ง ศาลบุ๋นในเมืองหลวงของเก้าราชวงศ์ใหญ่ในใต้หล้าไพศาล ส่วนใหญ่มักจะมีอริยะใหญ่ท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ด้านใน”

ได้ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ลือกันว่าต้าหลีกลายเป็นราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สิบแล้ว”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “รอให้ห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีปรากฏครบก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ เวลานี้เพิ่งจะมีขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นแห่งเดียวที่พอจะถือว่าถูกทำนองคลองธรรม เวลานี้ยังเร็วเกินไปนัก”

เหมาเสี่ยวตงเดินตรงไปด้านหน้า “ไปกันเถอะ พวกเราไปพบเหล่าอิรยะแห่งศาลบุ๋นซึ่งเป็นศักดิ์ศรีของแคว้นต้าสุยกัน”

เฉินผิงอันเดินตามไปด้านหลัง

ศาลบุ๋นมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ปัญญาชนและชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้มีจำนวนมาก แต่กลับไม่ดูแออัด

ทว่าพอเฉินผิงอันติดตามเหมาเสี่ยวตงไปถึงตำหนักหลักของศาลบุ๋นก็พบว่ารอบด้านไร้ผู้คนแล้ว

ดูท่าคนเฝ้าศาลคงได้รับคำสั่งมาก่อน จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่มาทำบุญขยับเข้ามาใกล้ตำหนักใหญ่ที่ด้านหน้าตั้งพื้นที่บูชาฟ้าดิน ด้านหลังตั้งบูชาอริยะของแคว้นแห่งนี้

ลานกว้างของเรือนใหญ่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า บรรยากาศเงียบสงบ

ชายวัยชราลัทธิขงจื๊อที่สวมเสื้อแขนกว้างและกวานสูง ตรงเอวพกกระบี่ยาว เผยกายด้วยร่างสีทอง เดินออกมาจากเทวรูปดินเผาในส่วนหลังของตำหนัก ก้าวข้ามธรณีประตูเดินมายังลานกว้าง

เหมาเสี่ยวตงและขุนนางบุ๋นที่ขึ้นชื่อด้านความซื่อสัตย์ภักดีในตำราประวัติศาสตร์ของต้าสุยต่างก็ประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน

ก่อนจะเดินเข้ามาในเรือนแห่งนี้ เหมาเสี่ยวตงได้เล่าเรื่องประวัติความเป็นมา สายบุ๋น รวมไปถึงคุณความชอบในแต่ละยุคแต่ละสมัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงที่จนทุกถึงวันนี้ก็ยัง ‘มีชีวิตอยู่’ ให้เฉินผิงอันฟังแล้ว

องค์เทพแห่งศาลบุ๋นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหยวนเกาเฟิง คือหนึ่งในขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้นของต้าสุย และยิ่งเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่มีคุณความชอบด้านการศึกเลื่องลือท่านหนึ่ง เขาโยนพู่กันเดินเข้าสู่สนามรบ ติดตามฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นสกุลเกาเกอหยางรวบรวมแผ่นดินอยู่บนหลังม้า พอลงจากหลังม้าก็ใช้สถานะเจ้ากรมขุนนาง รับตำแหน่งบัณฑิตใหญ่แห่งตำหนักอู่อิงมาอุทิศตนถวายชีวิตเพื่อบ้านเมือง ผลงานเกริกก้อง ตายไปก็ได้บรรดาศักดิ์เหวินเจิ้ง จนถึงทุกวันนี้ตระกูลหยวนก็ยังคงเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในต้าสุย มีอริยะบุคคลถือกำเนิดมากมาย เจ้าประมุขสกุลหยวนคนปัจจุบันเคยดำรงตำแหน่งขุนนางถึงขั้นเจ้ากรมอาญา เพราะป่วยจึงลาออกจากราชการ ในบรรดาลูกหลานมีคนมีพรสวรรค์มากมาย ล้วนมีผลงานอยู่ทั้งในวงการขุนนาง สนามรบและวงการการศึกษา

ตัวของหยวนเกาเฟิงเองก็เป็นขุนนางคนแรกที่ฮ่องเต้ประทานบรรดาศักดิ์ว่าเหวินเจิ้งให้นับตั้งแต่ที่แคว้นต้าสุยก่อตั้งมา

หยวนเกาเฟิงถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเหมามาเยือนด้วยธุระใด?”

เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “แสร้งถามทั้งที่รู้ดี?”

หยวนเกาเฟิงหน้าไม่เปลี่ยนสี “ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดชี้แจง”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้า “ข้าต้องการดึงโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า และต้องการยืมอีกส่วนหนึ่ง ในบรรดาภาชนะที่ใช้ประกอบพิธีของศาลบุ๋น ข้าต้องการนำจู้ (เครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง ทำมาจากไม้ ลักษณะคล้ายเครื่องตวงข้าวทรงสี่เหลี่ยม) และเปียนชิ่งหนึ่งชุด (ชิ่งคือเครื่องดนตรีโบราณประเภทตี รูปร่างคล้ายไม้ฉากที่ทำด้วยหยกหรือทองเหลือง เปียนชิ่งคือการนำชิ่งที่ทำจากหินซึ่งมีโทนเสียงสูงต่ำไม่เท่ากันมาแขวนเรียงกัน) นอกจากนี้ก็มีฝู่ (ภาชนะรูปสี่เหลี่ยมสำหรับใส่พระแม่โพสพในขณะที่ทำพิธีกรรมสมัยโบราณ) และกุ่ย (ภาชนะใส่อาหารสมัยโบราณ ปากกลมมีสองหู) อย่างละชิ้น เชิงเทียนสองอัน นี่คือส่วนที่สำนักศึกษาซานหยาของพวกเราควรต้องได้รับอยู่แล้ว รวมไปถึงไหใหญ่เคลือบลายครามใบที่ขุนนางผู้ตรวจการเหยียนชิงกวางจ่ายเงินจ้างให้คนทำขึ้นมาซึ่งภายหลังพวกเจ้าย้ายมาจากศาลบุ๋นในท้องถิ่นใบนั้นด้วย ของสิ่งนี้เป็นการขอยืมจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า นอกจากโชคชะตาบุ๋นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแล้ว แน่นอนว่าภาชนะทุกชิ้นล้วนต้องเอามาส่งคืนให้เจ้าตามเดิม”

หยวนเกาเฟิงถาม “เหตุใดเจ้าเหมาเสี่ยวตงถึงไม่แย่งชิงไป?”

สมกับที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพผู้ปรีชา พูดจาอ้อมค้อมตรงประเด็น ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “หากข้าแย่งได้ก็คงไม่มัวมาเกรงใจพวกเจ้าแล้ว”

หยวนเกาเฟิงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือ เห็นเจ้าพูดจาวางโต ข้าก็นึกว่าตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงคืออริยะขอบเขตหยกดิบของสำนักศึกษาซะแล้ว”

จากนั้นหยวนเกาเฟิงก็เอ่ยอีกว่า “แต่ดูเหมือนขอบเขตหยกดิบจะยังไม่พอ เว้นเสียจากว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงสามารถย้ายภูเขาตงหัวทั้งลูกมาที่ศาลบุ๋นถึงจะพอทำได้อย่างถูไถกระมัง? ขอบเขตไม่สูงพอคือความยากอย่างแรก ใช้วิชาอภินิหารในการเคลื่อนย้ายขุนเขาของเซียนมาย้ายชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวก็เป็นเรื่องยากอีกอย่างหนึ่ง ยากเจอกับยาก ช่างทำให้เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาลำบากซะจริง”

เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองรอบด้านพลางหัวเราะร่า “จะย้ายมาได้อย่างไร ภูเขาใหญ่กว่าศาลตั้งมาก หรือจะให้ทุ่มภูเขาทับศาลบุ๋น? ศาลบุ๋นลำดับต้นๆ ของต้าสุยจะไม่พินาศย่อยยับในวันเดียวเลยหรือ?”

หยวนเกาเฟิงพูดเสียงกร้าว “เหมาเสี่ยวตง เจ้าอย่าคิดจะมาเล่นลูกไม้ของสำนักการค้าอยู่ในศาลของข้า จะให้ข้าหยวนเกาเฟิงมาต่อรองราคากับเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าอาจจะไม่อาย แต่ข้ายังต้องกลัวว่าจะเสียหน้า! เส้นขีดจำกัดของศาลบุ๋นอยู่ตรงไหน เจ้าเองก็รู้ดี!”

เหมาเสี่ยวตงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าท่ามกลางปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไพศาลได้เกิดลำแสงเจ็ดสีหลายเส้นที่เดี๋ยวๆ ก็มารวมตัวกัน เดี๋ยวๆ ก็แยกย้ายกันออกไป มีสัญญาณเหมือนว่าจะรวมตัวกันกลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง

การโคจรลมปราณที่แท้จริงในร่างของเฉินผิงอันชะงักค้าง จวนน้ำที่หล่อเลี้ยงตราประทับแห่งชีวิตตัวอักษรน้ำปิดประตูแน่นสนิทโดยอัตโนมัติ เด็กตัวจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายที่ฟูมฟักก่อกำเนิดมาจากแก่นน้ำตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ขัดขวางการจงใจแสดงอำนาจบารมีของหยวนเกาเฟิง ปล่อยให้เฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังแบกรับการสยบจากโชคชะตาบุ๋นที่เข้มข้นขุมนี้ไปด้วยตัวเอง

เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือชี้ไปทางตำหนักใหญ่ “พวกเราไปคุยกันที่ตำหนักหลัง”

หยวนเกาเฟิงลังเลเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบรับ

เหมาเสี่ยวตงบอกให้เฉินผิงอันไปเดินเล่นที่ตำหนักหน้า ไม่ต้องตามไปที่ตำหนักหลังด้วย

หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงกับหยวนเกาเฟิงเดินเข้าไปในตำหนักหลังแล้วก็มีองค์เทพร่างทองอีกหลายท่านเดินออกมาจากเทวรูปดินเผา

ส่วนเฉินผิงอันก็เดินช้าๆ ไปยังตำหนักหน้าที่โอ่อ่าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เดินเข้ามาในตำหนักหลักของศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่ใบถงทวีปเขาไม่ได้ติดตามคนสกุลเหยาไปยังเมืองเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะไปเยือนศาลบุ๋นของที่นั่นแล้ว ต่อมาได้ไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน เนื่องจากเวลานั้นกำลังมีการจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋าขึ้น เฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวชม ส่วนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในพื้นที่มงคลดอกบัวกลับไม่มีศาลบุ๋นที่ตั้งบูชานักปราชญ์ทั้งเจ็ดสิบสองท่าน

ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน ไล่สายตามองอย่างละเอียดเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ยังมีสิ่งที่พลาดไป ไม่สิ่งนี้ก็สิ่งนั้น ไม่สามารถชื่นชมทิวทัศน์ทุกแห่งได้ถ้วนทั่วอย่างแท้จริง

กาลเวลาผันผ่าน ขยับเข้าใกล้ช่วงสายัณห์ เฉินผิงอันอยู่เพียงลำพัง แม้เท้าจะก้าวเดินแต่กลับแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียว เขาเดินวนดูเทวรูปในตำหนักหน้าครบสองรอบแล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อได้อ่านตำราเทพเซียนอย่าง ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ผลงานส่วนตัวของปัญญาชนในแต่ละแคว้นและร้อยแก้วบันทึกการท่องเที่ยว ก็ได้สัมผัสกับเรื่องราวของ ‘นักปราชญ์’ ที่ถูกตั้งบูชาในศาลบุ๋นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มาไม่มากก็น้อย นี่คือเรื่องที่ลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจมากที่สุด แม้แต่เจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาก็ยังถูกเรียกว่าอริยะด้วยความเคยชิน แต่เหตุใดอริยะใหญ่ที่มีความรู้ยิ่งใหญ่และคุณูปการเกริกก้องเหล่านี้ถึงถูกระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมอบคำว่า ‘นักปราชญ์’ ให้? ต้องรู้ว่าในสำนักศึกษาใหญ่ๆ หลายแห่ง เมื่อเทียบกับวิญญูชนที่มีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลนแล้ว นักปราชญ์นั้นไม่ถือว่าน้อยเลย

เหมาเสี่ยวตงเดินกลับมาจากตำหนักด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้เฒ่าไม่ค่อยน่ามองนัก

ยังอยู่ในศาลบุ๋น เฉินผิงอันจึงไม่ได้ถามอะไรมาก

พอคนทั้งสองเดินออกมาจากศาลบุ๋นแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็เป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเองว่า “แต่ละคนไม่ต่างจากไก่ขนเหล็ก ขนสักเส้นก็ดึงไม่ออก (เปรียบเปรยถึงคนตระหนี่ ขี้เหนียว) คุยยากจริงๆ”

เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ

เหมาเสี่ยวตงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง “เดินเที่ยวในศาลบุ๋นอย่างโจ่งแจ้งเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปกินมื้อเย็นกัน หลังจากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ามืด พวกเราไปลองเสี่ยงดวงตามสถานที่แห่งอื่นที่มีชะตาบุ๋นรวมตัวกันอยู่ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องมัวเดินทางอย่างอืดอาดแล้ว รีบรบรีบจบ พยายามกลับไปให้ถึงสำนักศึกษาก่อนที่ไก่จะขันในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนทางฝ่ายของศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำตัวขี้เหนียวแบบนี้แน่นอน วันหน้าพวกเราจะมาเยือนทุกวัน วันละรอบ”

หลังจากที่คนทั้งสองเดินทะลุถนนใหญ่สองสายมาแล้วก็มองหาร้านอาหารใกล้เคียง ขณะที่รออาหารวางขึ้นโต๊ะ เหมาเสี่ยวตงก็ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “บรรยากาศของศาลบุ๋นไม่ปกติ หยวนเกาเฟิงทำตัวไม่น่าใกล้ชิด ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่อริยะบุ๋นต้าสุยอีกสองคนที่โผล่หน้ามาช่วยสนับสนุนหยวนเกาเฟิงในวันนี้ มีชื่อเสียงด้านนิสัยอบอุ่นอ่อนโยนในตำราประวัติศาสตร์ ไม่ควรจะมีท่าทีแข็งกระด้างขนาดนี้จึงจะถูก”

เฉินผิงอันรินเหล้าข้าวสองถ้วยมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ถามว่า “เป็นเพราะหยวนเกาเฟิงคิดจะใช้วิธีการเช่นนี้มาเตือนพวกเราหรือไม่? เหล่าองค์เทพในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงย่อมต้องเห็นคลื่นใต้น้ำของต้าสุยอยู่ในสายตามานานแล้ว เพียงแต่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนเป็นเนื้อ อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นและชะตาบุ๋นของสกุลเกาต้าสุย จึงยากที่พวกเขาจะตัดสินใจได้ ได้แต่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แต่กระนั้นก็ไม่อยากเห็นพวกเราถูกปิดหูปิดตาจนสายบุ๋นของสำนักศึกษาถูกทำลาย ดังนั้นจึงจงใจตีหน้าบึ้งตึงให้เห็น ใช้คำพูดและการกระทำที่ผิดไปจากปกติมาบอกให้พวกเราระวังสถานการณ์นอกศาลบุ๋น?”

เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม “ตอบถูกแล้ว”

เหมาเสี่ยวตงมองไปนอกร้านอาหาร จุ๊ปากพูด “เดิมทีนึกว่าพวกเราเหวี่ยงเบ็ดโยนเหยื่อลงน้ำ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะใช้เวลาสังเกตการณ์ให้มากขึ้น หรือไม่ก็ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่คนน้อยส่งพวกปลาซิวปลาสร้อยมาลองตอดเหยื่อดูก่อน คิดไม่ถึงว่าฟ้ายังไม่ทันมืด ออกจากศาลบุ๋นมาได้ไม่ไกล บนถนนที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ พวกเขาก็เรียกใช้ท่าไม้ตายแล้ว ช่างเสียสติสิ้นดี ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อฆ่าคนได้อย่างเฉียบขาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าข้าวที่หมักจนหอมกรุ่นถ้วยนั้นอย่างเชื่องช้า

เหมาเสี่ยวตงถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่เครียดสักนิดเลยหรือ?”

เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง กล่าวว่า “บอกเจ้าขุนเขาเหมาตามตรง ข้าผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาไม่น้อย ถือว่าพอจะเห็นโลกกว้างมาบ้างแล้ว”

เหมาเสี่ยวตงถามอีก “เห็นโลกกว้างแค่ไหน?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบตามสัตย์จริง “เคยต่อสู้กับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตัวหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่องน้ำเจียวหลง แล้วก็เคยสะพายกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้านรับการโจมตีจากเรือกลืนกระบี่อันเป็นสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเสียงดังกังวาน

เฉินผิงอันกลั้นยิ้มแล้วพูดประจบเสริมไปอีกหนึ่งคำ “แล้วก็เคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเจ้าขุนเขาเหมา”

เหมาเสี่ยวตงรีบยกถ้วยขาวใบใหญ่ขึ้น “ประโยคก่อนหน้านั้นไม่ขอพูดอะไร แต่ประโยคหลังนี้ต้องดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ดีๆ สักถ้วย”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดแล้วถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “พอจะรู้จำนวนคนและตบะคร่าวๆ หรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “หลายปีมานี้มองดูเหมือนข้าเตร็ดเตร่ตามเป่าผิงน้อยไปอย่างส่งเดช แต่อันที่จริงได้วางแผนบางอย่างหวังจะทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จมานานแล้ว แต่เป็นเรื่องอะไรนั้น ยังไม่ต้องพูดถึง ถึงอย่างไรในรัศมีพันจั้งรอบกายข้า มีผู้ฝึกลมปราณต่ำกว่าห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตเก้ากี่คน ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี นักฆ่าห้าคนนี้ มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองขอบเขตเก้าหนึ่งคน ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของสำนักการทหารหนึ่งคน อาจารย์ด้านค่ายกลขอบเขตประตูมังกรหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองหนึ่งคน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคงช่วยไม่ได้สักเท่าไหร่”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หยิบยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้เฉินผิงอันที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงในหัวใจ “ไหนเลยจะมีเหตุผลที่ศิษย์พี่ผลาญสมบัติของศิษย์น้อง เก็บเอาไว้”

เฉินผิงอันสองจิตสองใจ

เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าศัตรูบุกมาอย่างอาจหาญ เป็นข้าเหมาเสี่ยวตงที่ประมาทเกินไป? ลืมประโยคที่เคยพูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือไร ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบช่วยคุมท้ายขบวนให้พวกเขา ข้าก็ล้วนรับมือได้ไหว”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แล้วถ้าหากมีล่ะ?”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งวางใจได้ หากมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางสังหารข้าให้ตายได้ ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทางฝ่ายของสำนักศึกษาไม่มีทางหนีทีไล่และท่าไม้ตายที่พวกเขาซุกซ่อนเอาไว้”

ฉวยโอกาสที่เหมาเสี่ยวตงยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ

เฉินผิงอันรินเหล้าเงียบๆ อีกถ้วย

เหมาเสี่ยวตงถามอย่างประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ?”

เฉินผิงอันกำลังก้มหน้าดื่มเหล้าอึกใหญ่ “เลียนแบบจูเหลี่ยน ดื่มเหล้าลงทัณฑ์”

เหมาเสี่ยวตงด่ายิ้มๆ “เจ้าตัวดี นี่เจ้าคงรอให้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบมาปรากฏตัวที่นี่ ใช่ไหม?!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ

เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามองปิ่นหยกชิ้นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version