Skip to content

Sword of Coming 42

บทที่ 42 อัจฉริยะ

คนแปลกหน้าจากต่างถิ่นที่มาเยือนเมืองเล็กมีมากขึ้นทุกที กิจการโรงเตี๊ยมและหอสุราจึงเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย

ขณะเดียวกันลูกหลานอายุน้อยของตระกูลใหญ่ร่ำรวยหลายตระกูลที่อาศัยอยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ก็เริ่มไปจากเมืองอย่างเงียบเชียบ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แล้วก็มีพวกบุตรอนุภรรยาที่ไร้สัญชาติ หรือไม่ก็เป็นบุตรภรรยาหลวงผู้จงรักภักดี จ้าวเหยาผู้มีชาติตระกูลสูงศักดิ์ก็คือหนึ่งในคนเหล่านี้ ส่วนเด็กกู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงที่ต้องตาสกัดคงคาเจินจวินตั้งแต่แรกเห็น ถือว่าเป็นข้อยกเว้น

เฉินผิงอันไปเอาตะกร้าและข้องใส่ปลาที่บ้านหลิวเสี้ยนหยาง แล้วจึงออกจากเมืองมุ่งหน้าไปที่ลำธารสายเล็ก ในช่วงเวลาที่มีคนมาก เฉินผิงอันย่อมไม่สามารถฝึกการเดินนิ่งของตำราเขย่าขุนเขาได้ แต่พอออกจากเมืองแล้วรอบกายไม่มีคน เฉินผิงอันถึงได้เริ่มท่องคาถา ย้อนนึกฝีเท้า ท่วงท่าและพละกำลังที่แม่นางหนิงใช้ตอนเดินนิ่งโดยไม่ให้พลาดทุกรายละเอียด เดินทีละหกก้าวครั้งแล้วครั้งเล่า

ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเลียนแบบหนิงเหยาในบ้านที่ตรอกหนีผิงช่างเป็นภาพที่อนาถชวนขบขันยิ่งนัก เทียบกับคนปกติธรรมดาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วความเข้าใจของทั้งเด็กสาวและเด็กหนุ่มต่างก็มีข้อผิดพลาดเหมือนถูกผีอำ เฉินผิงอันรู้มาโดยตลอดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่ง ตั้งแต่ไปทำงานที่เตาเผามังกรเขาก็เริ่มค้นพบว่าดวงตาของตัวเองมีปัญหา แต่มือไม้กลับช้างุ่มง่าม หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเนื่องจากสายตาและความสามารถในการมองเห็นของเด็กหนุ่มดีเยี่ยมเกินไป จึงเป็นเหตุให้มือและเท้าตามไม่ทัน นี่หมายความว่าหากเปลี่ยนคนอื่นมาเลียนแบบท่าเดินนิ่งของหนิงเหยา รอบแรกก็อาจจะทำเหมือนได้สักสามถึงสี่ส่วน แม้มาตรฐานอาจจะต่ำไปบ้าง แต่ก็คงไม่แย่เหมือนเฉินผิงอันที่คล้ายแค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น ทว่านี่ก็เป็นเพราะว่าเฉินผิงอันมองเห็นความจริงได้ชัดเจนมากเกินไป เข้มงวดกับทุกขั้นตอนมากเกินไป ถึงเกิดความลังเลใจมากเป็นพิเศษ เมื่อมือเท้าตามไม้ทันจึงดูน่าขันอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเมื่อไม่เหมือนไปตั้งเก้าส่วน จึงเป็นการซุกซ่อนความเหมือนจากแก่นแท้หนึ่งส่วนซึ่งหาได้ยากยิ่งเอาไว้

เรื่องเหล่านี้หนิงเหยาไม่รู้ การเลียนแบบท่าเดินจากคนอย่างนางที่เป็นตัวอ่อนแห่งเซียนกระบี่สวรรค์ ต่อให้เหมือนเก้าส่วนก็เทียบไม่ได้กับการเหมือนจากแก่นแท้แค่หนึ่งส่วน

แน่นอนว่าเมื่อย้อนกลับมาว่ากันอีกที อย่าว่าแต่เหมือนจากแก่นแท้ของหนิงเหยาแค่หนึ่งส่วนเลย ต่อให้เหมือนสักเจ็ดแปดส่วน หนิงเหยาก็ไม่มีทางรู้สึกว่าน่าตื่นตาตื่นใจอะไร

เพราะสิ่งที่หนิงเหยาเคยเห็น เคยประสบพบเจอมามีเพียงเส้นทางแห่งวรยุทธที่ยาวไกลซึ่งน้อยคนนักจะเดินไปถึง มีเพียงยอดสูงสุดของวิถีแห่งกระบี่ที่มีคนเพียงหยิบมือซึ่งต้องยืนเคียงบ่ากับนางได้เท่านั้นถึงจะมองเห็น

เฉินผิงอันนั่งพักอยู่บนขั้นบันไดใต้กรอบป้ายของสะพาน เด็กหนุ่มลองคำนวณดูคร่าวๆ หนึ่งวันมีเวลาสิบสองชั่วยาม ต่อให้ยืนหยัดที่จะฝึกเดินนิ่งซ้ำไปซ้ำมาวันล่ะห้าถึงหกชั่วยามทุกวัน ฝึกจนเหนื่อยตายก็ยังได้แค่ประมาณสามร้อยครั้ง หนึ่งปีถึงจะได้หนึ่งแสนครั้ง สิบปีถึงจะทำภารกิจฝึกหนึ่งล้านครั้งสำเร็จ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะหันไปมองธารน้ำที่ใสกระจ่างจนเห็นก้นพลางพึมพำเบาๆ ว่า “ให้ข้ายืนหยัดสิบปี ก็น่าจะทำได้อยู่ล่ะมั้ง?”

แม้ว่าวันเวลาช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันจะไม่เคยแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ประหลาดใจอะไรมาก่อน แต่เจตนารมณ์สวรรค์ที่นักพรตลู่เปิดเผยก่อนจะจากไป รวมไปถึงการบอกให้รู้ถึงความอำมหิตของไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองก็ยังคงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหนักใจอย่างมาก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่เคยบอกกับทั้งนักพรตลู่และแม่นางหนิง นั่นก็คือหลังจากที่ไช่จินเจี่ยนจิ้มหน้าผากหนึ่งทีและตบหน้าอกตนหนึ่งครั้งแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ในตรอกหนีผิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้รำไรแล้ว ดังนั้นเขาถึงได้ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านตัวเองนานขนาดนั้น ซึ่งก็เพื่อตัดสินใจให้กับตัวเองว่า ในเมื่อขวดแตกแล้วก็ทุบมันทิ้งเสียเลย อย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกับไช่จินเจี่ยนเท่านั้น

เพราะอย่างไรซะเฉินผิงอันในเวลานั้น หากพูดตามคำพูดของนักพรตลู่ก็คือมีกลิ่นอายความตายเข้มข้นเกินไป ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มที่เดิมทีควรเต็มไปด้วยพละกำลังอันสดใสเลยแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องความเป็นความตายแล้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันปล่อยวางได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่มากนัก

“แตะดรรชนี” อันเป็นวรยุทธที่ไช่จินเจี่ยนใช้ เป็นการบังคับเปิดช่องโพรงในร่างของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ ทำให้ร่างกายของเฉินผิงอันที่เดิมทีเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีประตูบ้าน กลับกลายเป็นบ้านที่สามารถขนย้ายและดูดดึงวัตถุจำนวนมากกว่าเดิมเข้าไปข้างใน และทุกครั้งที่เจอกับลมฝนหรือพายุหิมะ บ้านหลังนี้ก็ยิ่งพังลงมาได้รวดเร็วและรุนแรงมากเป็นพิเศษ ดังนั้นลู่เฉินถึงได้บอกด้วยน้ำเสียงมาดมั่นว่า ต่อให้ไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ไม่มีโรคภัยหรือหายนะใหญ่เกิดขึ้น เฉินผิงอันก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงแค่อายุสามสิบสี่สิบปีเท่านั้น

และการที่นางตบหัวใจของเฉินผิงอันหนึ่งครั้งในภายหลัง ก็เป็นการทำลายรากฐานการฝึกตนของเขา หัวใจคือปราการหน้าด่านที่สำคัญของผู้ที่ฝึกตน เมื่อประตูเมืองพังทลายลงมาแล้ว ก็เท่ากับว่าไช่จินเจี่ยนแทบจะปิดตายการทำงานตามปกติของหน้าด่านแห่งนี้ นี่ไม่เพียงแค่ตัดขาดวิถียิ่งใหญ่แห่งการฝึกตนของเฉินผิงอันเท่านั้น แต่ยิ่งทำให้ความเร็วในการเสื่อมสภาพของร่างกายเฉินผิงอันเพิ่มมากขึ้น

จุดที่น่ากลัวอย่างแท้จริงในการลงมือสองครั้งติดต่อกันของไช่จินเจี่ยนอยู่ที่ เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านแล้ว ด้านหนึ่งเฉินผิงอันก็ไม่สามารถฝึกวิถีแห่งความเป็นอมตะได้ นี่หมายความว่าจะไม่มีเวทลับหรือวิชาอภินิหารใดๆ มาชดเชยประตูที่เปิดอ้าออกของเขา ไม่สามารถสร้างรากฐานให้มั่นคงแข็งแรง อีกด้านหนึ่งก็คือ ต่อให้เด็กหนุ่มโชคดีได้เข้าสำนักฝึกวรยุทธ สามารถอาศัยการหล่อหลอมเรือนกายมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตัวเอง แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่จะมาพร้อมกับโอกาสและโชควาสนาเสมอ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็จะต้องตกลงสู่หลุมของการ “ฝึกหมัดมวยภายนอกง่ายที่จะชักนำสิ่งชั่วร้ายเข้าสู่ตัว[1]” กลายเป็นว่าไม่มีทั้งอายุยืนยาวแข็งแรง ยังจะต้องเจอจุดจบที่น่าสงสารอย่างการตายก่อนวัยอันควรด้วย

ภารกิจที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือ เฉินผิงอันต้องหาวรยุทธที่สามาถบำรุงพลังต้นกำเนิดได้ดุจธารน้ำที่แม้จะสายเล็กแต่ไหลได้ยาวนาน ทว่าจะเป็นวรยุทธที่มีกระบวนท่าเฉียบคม มีความเผด็จการเป็นเอกเลิศเลอ หรือจะทำให้ขอบเขตของการฝึกยุทธก้าวทะยานพันลี้ได้ในวันเดียวหรือไม่นั้น กลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ความหวังของเฉินผิงอันล้วนอยู่ใน “ตำราเขย่าขุนเขา” ที่หนิงเหยาไม่เห็นอยู่ในสายตาเล่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่นางบอกว่าหลังจากเดินนิ่งแล้ว ยังต้องยืนนิ่ง “หลอมกระบี่” และยังมีนอนนิ่ง “ยาวนาน”

แต่เฉินผิงอันไม่กล้าฝึกมั่วซั่ว ตอนนั้นแค่เหลือบมองไม่กี่ครั้งก็อดใจไม่ไหวจนต้องเปิดอ่านดู เขารู้สึกว่าควรจะให้แม่นางหนิงตรวจสอบดูก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ตนค่อยเริ่มฝึก

ขอแค่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ต่อให้เจ้าจะสมองทึบแค่ไหน ขอแค่มีความมุมานะและยืนหยัดได้มากพอ เมื่อฝึกทุกวันก็ย่อมต้องมีความก้าวหน้า แต่หากเดินไปบนเส้นทางที่ผิดพลาด ต่อให้เจ้าจะฉลาดหรือพยายามมากแค่ไหนก็มีแต่จะยิ่งฝึกยิ่งผิด

คำพูดเหล่านี้หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนพูด แน่นอนว่าเขาเน้นย้ำในประโยคสุดท้ายว่า “เจ้าเฉินผิงอันคือบุคคลประเภทแรก เจ้าเด็กซ่งปากคอเราะร้ายผู้นั้นก็คือคนประเภทที่สอง มีเพียงข้าหลิวเสี้ยนหยางเท่านั้นที่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริงซึ่งทั้งฉลาดและเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง”

ตอนนั้นที่หลิวเสี้ยนหยางพูดชมตัวเอง ประโยคเหล่านี้กลับไปเข้าหูผู้เฒ่าเหยาที่เดินผ่านมาพอดี ไม่รู้ว่าประโยคไหนของเด็กหนุ่มไปทิ่มแทงโดนจุดเจ็บปวดของผู้เฒ่า ผู้เฒ่าที่ถูกชะตากับหลิวเสี้ยนหยาง มองเขาเป็นลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจมาโดยตลอดถึงได้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟอย่างที่ไม่เคยไปมาก่อน ถึงขั้นไล่ทุบตีหลิวเสี้ยนหยางอย่างรุนแรง สรุปก็คือหลังจากนั้น หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่กล้าเอ่ยคำว่า “อัจฉริยะ” อีกเลย

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นบันไดสูง พอถึงทางโล่งกว้างของสะพานแล้วถึงได้ค้นพบว่าห่างออกไปไกลมีกลุ่มคนสี่ห้าคนรวมตัวกันอยู่ พวกเขาบ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง คล้ายกำลังปกป้องหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เฉินผิงอันมองเห็นแค่เรือนกายด้านข้างของหญิงสาว เห็นเพียงว่านางนั่งอยู่บนราวสะพาน ขาสองข้างห้อยอยู่เหนือธารน้ำ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท นิ้วมือทั้งห้าของมือทั้งสองอยู่ในลักษณะประหลาด บางนิ้วก็งอ บางนิ้วก็รัดพันกันเอง

ทั้งที่นางกำลังหลับตา แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกเหมือนว่าใจของนางกำลังมองอะไรบางอย่าง

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ไม่คิดจะเดินหน้าต่อ หมุนตัวกลับเดินลงบันไดไป กะว่าจะเดินข้ามธารน้ำแล้วค่อยไปหาหลิวเสี้ยนหยาง วันนี้เขาแบกตะกร้ามาสองใบ ใบเล็กวางซ้อนไว้ในใบใหญ่ ตะกร้าใบค่อนข้างเล็กนั้นจะต้องมอบให้กับร้านตีเหล็กของอาจารย์หร่วน เพราะอย่างไรซะหลิวเสี้ยนหยางก็ยืมมาจากคนอื่นอีกที

ห่างออกไปไกลบนสะพาน คนกลุ่มนั้นที่พอเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้ยากจนหมุนตัวไปอย่างรู้กาลเทศะก็หันมายิ้มให้กัน ไม่มีใครพูดอะไร เพราะกลัวจะไปรบกวนสภาพจิตใจที่กำลัง “ดูน้ำ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์ของเด็กสาว “รุ่นราวคราวเดียวกัน” ผู้นั้น

รากฐานของเวทคาถานี้มาจากศาสนาพุทธ ข้อนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าภายหลังถูกสำนักผู้ฝึกตนหลายแห่งรับเอาไป เลือกเฉพาะส่วนมาผนวกรวม และปรับปรุงให้ดีขึ้น สุดท้ายเส้นทางสายนี้จึงมีทางแยกเล็กๆ แตกออกไปอีกมากมาย

เพียงแต่ว่าแจกันสมบัติทวีปบูรพาถูกมองเป็นสถานที่ที่เป็นยุคสิ้นสุดของศาสนาพุทธ หลังจากที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติล้มล้างศาสนาพุทธที่แผ่ลามไปถึงครึ่งทวีปหลายครั้งเข้า เกือบพันปีมานี้พุทธศาสนาจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง ชื่อเสียงไม่อาจเทียบกับลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าสองในสามลัทธิได้

“เคยได้ยินแต่เจินจวินและเทียนซือ ไม่เคยรู้จักฮู่ฝ่าและต้าเต๋อ” นี่คือความจริงของแจกันสมบัติทวีปบูรพาในทุกวันนี้

แต่ว่าสำนักและตระกูลเซียนที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากศาสนาพุทธกลับมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

เฉินผิงอันม้วนขากางเกงขึ้นแล้วเดินข้ามธารน้ำไปขึ้นฝั่งตรงกันข้าม แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจและเสียงตวาดอย่างเดือดดาลดังมาจากทางฝั่งของสะพาน คิดๆ ดูแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

เมื่อไปถึงร้านตีเหล็กของอาจารย์หร่วนก็ยังคงเห็นสภาพบรรยากาศที่เปลวเพลิงปลิวกระจายไปเต็มแผ่นฟ้า เฉินผิงอันไม่ได้เดินไปไหนมั่วซั่ว แต่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง แล้วหาคนให้ไปตามหลิวเสี้ยนหยางมา

เดิมทีนึกว่าต้องรอนานมาก ไม่คิดว่าเพียงครู่เดียวหลิวเสี้ยนหยางก็วิ่งมา ลากเขาไปที่ธารน้ำด้วยกันแล้วพูดกระซิบเสียงแผ่วต่ำว่า “รอเจ้าตั้งเป็นครึ่งค่อนวันแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมา!”

เฉินผิงอันถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “อาจารย์หร่วนเอ่ยเร่งให้เจ้าเอาตะกร้าไปคืนรึ?”

เด็กชายร่างสูงใหญ่กลอกตามองบน “ตะกร้าเก่าๆ ใบเดียวจะไปมีค่าอะไร เป็นเพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า หลังจากที่เจ้าเก็บก้อนหินกลับไปที่บ้านข้า ก็ไปรอให้ฮูหยินคนนั้นไปหาเจ้า ก็คือผู้หญิงที่ลูกชายสวมชุดสีแดงสดคนนั้นน่ะ คู่แม่ลูกที่คราวก่อนพวกเราเจอในตรอกหนีผิง พอนางไปถึง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่เอาลังใหญ่ใบนั้นมอบให้นาง นางจะมอบเงินให้เจ้าหนึ่งถุง จำไว้ว่าเจ้าต้องนับด้วย มีเหรียญทองแดงทั้งหมดยี่สิบห้าเหรียญ ห้ามขาดไปแม้แต่เหรียญเดียว!”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?! ทำไมถึงทำการค้ากับพวกคนต่างถิ่น?!”

หลิวเสี้ยนหยางบีบต้นคอของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะแรงๆ ถลึงตาเอ่ยสั่งสอนว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร อนาคตที่ดีงามมารออยู่ตรงหน้าข้าผู้อาวุโส แล้วจะให้ข้าทิ้งไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ?”

สีหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เชื่อว่านี่คือความตั้งใจจริงของหลิวเสี้ยนหยาง

หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ กระซิบเบาๆ ว่า “ฮูหยินคนนั้นต้องการให้ข้าขายเสื้อเกราะสืบทอดของตระกูล ส่วนนายบ่าวอีกคู่หนึ่งต้องการคัมภีร์กระบี่ ก่อนที่ปู่ของข้าจะตายได้กำชับข้าไว้ว่า หากอับจนหนทางจริงๆ เสื้อเกราะสามารถขายได้ แน่นอนว่าห้ามขายราคาต่ำ แต่คัมภีร์กระบี่เล่มนั้น ต่อให้ตายก็ห้ามยอมรับเด็ดขาดว่ามันอยู่ในตระกูลหลิวของพวกเรา ที่ข้ารับปากว่าจะขายเสื้อเกราะให้ฮูหยินคนนั้น นอกจากเพราะได้ราคาที่เหมาะสมแล้ว ยังเสนอเงื่อนไขอย่างหนึ่งกับนาง นั่นคือเมื่อนางได้เสื้อเกราะไปแล้วต้องพูดโน้มน้าวผู้เฒ่าร่างกำยำคนนั้นไม่ให้มาหาเรื่องข้า ที่ข้าทำก็คือการถ่วงเวลา รอให้ข้าได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หร่วนเมื่อไหร่ เรื่องพวกนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอีกแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยถามตรงๆ “แล้วทำไมถึงไม่ถ่วงเวลากับฮูหยินคนนั้นด้วย? หรือนางจะยังมาหาเรื่องเจ้าในร้านตีเหล็กได้อีก? อีกอย่างนางก็ไม่สามารถบุกเข้าไปแย่งเสื้อเกราะถึงในบ้านเจ้าได้”

หลิวเสี้ยนหยางปล่อยมือที่บีบลำคอของอีกฝ่ายออก ขยับไปนั่งยองๆ ข้างธารน้ำ คว้าหินใกล้มือโยนไปในน้ำ เบ้ปากพูด “จะอย่างไรซะก็ไม่ใช่ว่าห้ามขายเสื้อเกราะ ในเมื่อตอนนี้ได้ราคาที่ยุติธรรมก็ถือว่าดีมากแล้วไม่ใช่หรือ แถมยังทำให้เรื่องราวเปลี่ยนมาเป็นมั่นคงได้มากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องให้แม่นางหนิงเสี่ยงลงมือเอง ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”

เฉินผิงอันเองก็นั่งยองๆ พูดเกลี้ยกล่อมอย่างร้อนใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าราคาที่นางให้ตอนนี้ยุติธรรมมากแล้ว? วันหน้าหากเจ้าเสียใจภายหลังจะทำอย่างไร?”

ชายร่างสูงใหญ่หันมายิ้มกว้างให้ “เสียใจภายหลัง? เจ้าลองคิดดูดีๆ ว่าพวกเราสองคนรู้จักกันมานานหลายปีขนาดนี้ ข้าหลิวเสี้ยนหยางเคยทำเรื่องอะไรให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังบ้างไหม?”

หลิวเสี้ยนหยางมีชีวิตอย่างอิสระเสรีมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีอุปสรรคใดที่เขาผ่านไปไม่ได้ ไม่เคยมีปมในใจใดที่คลายไม่ออก และไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำไม่สำเร็จ

หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน เตะไปยังตะกร้าด้านหลังที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะแบกอยู่อย่างแรง “เร็วเข้า ข้าจะเอาไปคืนให้อาจารย์หร่วน รอให้ข้าได้ยกน้ำชากราบอาจารย์อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ เจ้าก็จะได้มาเปิดหูเปิดตาที่นี่บ้าง”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ ทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป หลิวเสี้ยนหยางจึงด่ายิ้มๆ ว่า “นายท่านเฉินผิงอัน ที่ข้าขายคือสมบัติสืบทอดของตระกูลเจ้าหรือไง? หรือว่าของเมียเจ้า?”

ตอนที่เฉินผิงอันยื่นตะกร้าให้เขาก็ลองถามหยั่งเชิงไปด้วยว่า “จะไม่ลองคิดดูอีกทีหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางรับเอาตะกร้าไม้ไผ่ไป ถอยห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะกระโดดขึ้นสูงแล้วหมุนตัวเตะเท้ากลางอากาศอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

พอเท้าเหยียบลงพื้นและยืนได้มั่นคงแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็ถามยิ้มๆ อย่างภาคภูมิใจว่า “ร้ายกาจไหมล่ะ? กลัวหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่ากลัวกะนายท่านเจ้าน่ะสิ

หลังออกห่างมาจากร้านตีเหล็กของตระกูลหร่วน เฉินผิงอันที่ในใจหนักอึ้งก็ลงน้ำไปเก็บหิน ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะจิตใจไม่สงบ หรือเป็นเพราะระดับน้ำลดลง วันนี้ผลเก็บเกี่ยวจึงไม่มาก จนกระทั่งเฉินผิงอันขยับเข้าไปใกล้สะพานก็ยังเก็บหินดีงูได้แค่ยี่สิบกว่าก้อน อีกทั้งยังไม่มีก้อนไหนที่ทำให้ดวงตาเขาเป็นประกาย ทำให้เขารู้สึกถูกใจตั้งแต่แรกพบ

เฉินผิงอันปลดตะกร้าและข้องใส่ปลาลง วางพวกมันลงไปในพุ่มไม้ริมธารน้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วหมุนตัวเดินกลับลงไปในธารน้ำ เริ่มฝึกการเดินนิ่ง

พอเดินไปและเดินกลับได้หนึ่งรอบ หัวใจของเฉินผิงอันก็พลันบีบรัดตัว เขามองเห็นว่าตรงจุดที่เขาซ่อนตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้มีเด็กหนุ่มร่างเตี้ยคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ ในของเขาปากคาบหญ้าหางสุนัขไว้ก้านหนึ่ง

เขาก็คือหลานของแม่เฒ่าหม่าตรอกซิ่งฮวา ถูกคนมองเป็นคนโง่มาตั้งแต่เด็ก บวกกับที่ในใจของเด็กรุ่นเล็กอย่างเฉินผิงอัน ภาพลักษณ์ของแม่เฒ่าหม่าย่ำแย่มาโดยตลอด อีกฝ่ายทั้งขี้เหนียว ทั้งใจร้าย เดือดร้อนให้หลานชายที่รักของนางถูกคนมองเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มออกจากบ้านจะต้องถูกคนไล่ล่า ถูกรังแก ทุกครั้งที่สวมเสื้อผ้าหรือรองเท้าใหม่ ไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามก็จะต้องถูกคนวัยเดียวกันหรือไม่ก็เด็กหนุ่มที่แก่กว่าเล็กน้อยเล่นงานจนฝุ่นเขรอะเต็มร่าง ลองคิดดูว่า รองเท้าหุ้มข้อใหม่แกะกล่องที่แม่เฒ่าหม่าเพิ่งซื้อกลับมาจากร้าน พอหลานสวมออกจากบ้านกลับถูกคนหลายสิบคนช่วยกันเหยียบ ช่วยกันกระทืบ เมื่อหลานชายกลับไปถึงบ้านแล้ว รองเท้าคู่นั้นจะยังใหม่ไปได้ถึงขนาดไหน?

แต่ไหนแต่ไรมาเด็กโง่ที่ชื่อจริงว่าหม่าขู่เสวียนซึ่งไม่มีใครจำได้คนนี้ก็เป็นเด็กประหลาดมาโดยตลอด เขาถูกคนรังแก แต่กลับไม่เคยไปฟ้องแม่เฒ่าหม่า แล้วก็ไม่เคยร้องไห้คร่ำครวญหรือวอนขอความเห็นใจ แต่กลับมีสีหน้าเฉยเมย เย็นชามากมาโดยตลอด ดังนั้นเด็กที่ตรอกซิ่งฮวาจึงไม่ชอบเล่นกับเด็กโง่คนนี้ หม่าขู่เสวียนจึงเรียนรู้ที่จะเล่นกับตัวเองคนเดียวมานานแล้ว และเขาก็ชอบนั่งมองก้อนเมฆบนเนินดินหรือบนหลังคาบ้านอยู่เสมอ

เฉินผิงอันไม่เคยรังแกหม่าขู่เสวียน แล้วก็ไม่เคยสงสารเด็กที่น่าสงสารคนนี้ ยิ่งไม่เคยคิดจะจับกลุ่มเข้าพวกเป็นเด็กสองคนที่มีทุกข์ร่วมกันกับอีกฝ่าย

เพราะเฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าคนอย่างหม่าขู่เสวียนไม่เพียงแต่ไม่โง่ กลับกลายเป็นว่าแก่นแท้ของเขายังเหมือนซ่งจี๋ซินอย่างมาก หรืออาจถึงขั้นเหนือกว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่กลับคล้ายว่าพวกเขาต่างคนต่างกำลังรอคอย ต่างก็กำลังพูดกับใครบางคนอย่างไร้เสียงว่า สวรรค์ติดค้างข้ามากมายเหลือเกิน สักวันหนึ่งข้าจะทวงคืนทุกอย่างกลับคืนมา ติดค้างเงินเหรียญทองแดงข้าหนึ่งเหรียญ ซ่งจี๋ซินอาจจะทวงให้สวรรค์คืนเงินสองเหรียญเงินกลับมาแต่โดยดี แต่สิ่งที่หม่าขู่เสวียนจะทวงคืนอาจเป็นทองสองก้อนเลยก็ได้!

เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าที่พวกเขาเป็นอย่างนี้คือเรื่องไม่ดี เพียงแต่ตัวเขาเองไม่ชอบที่จะเป็นอย่างอีกฝ่ายก็เท่านั้น

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีท่าทางซื่อบื้อเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาเอ่ยถามยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด “เจ้าก็คือเฉินผิงอันตรอกหนีผิงที่อยู่ข้างบ้านจื้อกุยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีธุระอะไรหรือ?”

เด็กหนุ่มยิ้มพลางชี้ไปที่ตะกร้าของเฉินผิงอัน เอ่ยเตือนว่า “บางทีเจ้าอาจไม่ทันสังเกตเห็นว่า น้ำลดระดับลงไปมากแล้ว หินที่ดีๆ จึงเหลืออยู่แค่ในบ่อลึกใต้สะพานและหลุมน้ำตรงหินหลังควายสองที่นี้เท่านั้น สถานที่อื่นๆ ล้วนไม่มีแล้ว ก็เหมือนที่หินในตะกร้านี้ของเจ้าไม่อาจรั้งปราณขุมนั้นไว้ได้ อีกไม่นานคุณภาพของหินก็จะเปลี่ยนไป หินบางส่วนที่หากโชคดีหน่อยก็อาจกลายไปเป็นหินลับมีดชั้นดี บางส่วนอาจนำไปทำเป็นแท่นฝนหมึกของเหล่าบัณฑิต สุดท้ายสิ่งของเหล่านี้ก็ล้วนยังคงเป็นของดี ย่อมขายได้ราคาสูงไม่ยาก เพียงแต่ว่า…ช่างเถอะ พูดไปแล้วก็ใช่ว่าเจ้าจะเข้าใจ”

เฉินผิงอันอืมรับด้วยรอยยิ้มทีเดียว ไม่ได้พูดอะไรมาก

จู่ๆ เด็กหนุ่มร่างเตี้ยก็พูดว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าฝึกหมัดอยู่ในธารน้ำรึ?”

เฉินผิงอันยังคงไม่ตอบ

ดวงตาของหม่าขู่เสวียนเป็นประกายแวววับ หัวเราะร่าเสียงดัง “ที่แท้เจ้าเองก็ไม่โง่นี่นา ก็จริงนะ เจ้าเองก็พอๆ กับข้า เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”

เฉินผิงอันเดินอ้อมเด็กหนุ่ม บอกอีกฝ่ายคำเดียวว่าข้าไปก่อน จากนั้นก็แบกตะกร้าเดินกลับขึ้นฝั่ง

เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่ห่างไปไกล ปากยังคงเคี้ยวหญ้าหางสุนัข ส่ายหัวเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่าหมัดไม่ได้ ช่องโหว่ก็มาก ต่อให้ฝึกหนักแค่ไหนก็ไม่อาจฝึกออกมาเป็นกระบวนท่าอะไรได้”

หม่าขู่เสวียนเอ่ยต่อโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง “เอาของของสำนักการทหารพวกเรากลับมาได้แล้วหรือ?”

ชายหนุ่มด้านหลังเขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จำไว้ว่าวันหน้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์”

เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ ลุกขึ้นยืนหันกลับมาถาม “ขอข้าดูเนินกระบี่น้อยอันนั้นหน่อยได้ไหม?”

ปรมาจารย์ด้านวรยุทธที่แบกกระบี่ห้อยตราพยัคฆ์คนนั้นบอกว่าตัวเองมาจากเขาเจินอู่ เขาเคยบอกว่าต้องการต่อสู้กับอาจารย์อาน้อยของสำนักที่กุมารทองและกุมารีหยกคู่นั้นอยู่

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่สำคัญ”

จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความหงุดหงิดว่า “ทำไมเจ้าต้องจงใจทำลายการเข้าฌานดูน้ำของเด็กสาวคนนั้นด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องแบบนี้หากทำไปแล้ว ก็จะต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันชั่วชีวิต!”

เด็กหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา “มหามรรคาเต็มไปด้วยความยากลำบาก หากอุปสรรคเพียงเท่านี้ยังไม่อาจแบกรับได้ไหว ก็ยังกล้าหวังว่าจะเดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีความเป็นอมตะที่อยู่สูงเทียมฟ้าอย่างไร้กังวลกระนั้นรึ?”

ชายหนุ่มโกรธจนกลายเป็นหัวเราะ “แม้แต่ประตูเจ้าก็ยังไม่ได้ผ่านเข้าไป แต่กล้าพูดจาวางโต ไม่กลัวว่าจะต้องตายเพราะปากหรือ?”

สุดท้ายเด็กหนุ่มแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวกัน “วันหน้าหากข้าพบเจอเหตุการณ์ถูกทำลายโชควาสนาบนเส้นทางของการฝึกตนแบบนี้ จะเป็นฝ่ายบอกเด็กสาวคนนั้นด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นอาจารย์ก็ห้ามยื่นมือเข้าแทรกล่ะ ให้นางมาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าได้เต็มที่เลย”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างปลงตกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า โชควาสนาบนโลกใบนี้มีแบ่งเล็กใหญ่ บุญบารมีมีแบ่งหนักเบา ฐานกระดูกมีแบ่งสูงต่ำ หากเจ้าใช้ตัวเองไปวัดกับทุกคนในทุกเรื่อง อนาคตก็ต้องมีสักวันที่เจ้าจะได้เจอคนที่หมัดใหญ่กว่า ตบะลึกล้ำกว่า ขอบเขตสูงกว่า เมื่อถึงเวลานั้นหากคนอื่นเขาอารมณ์ไม่ดี ออกหมัดต่อยสะพานแห่งความอมตะของเจ้าให้แตกหัก เจ้าจะทำอย่างไร?”

เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ “งั้นข้าก็ต้องยอมรับชะตากรรม!”

ชายหนุ่มพูดแขวะ “วันหน้าอาจารย์จะไม่พูดเรื่องหลักการอะไรกับเจ้าแล้ว เหมือนสีซอให้ควายฟังไม่มีผิด”

จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “เจ้าคนจากตรอกหนีผิงผู้นั้นรู้ถึงความมหัศจรรย์ของก้อนหินในธารน้ำได้อย่างไร? แถมยังเริ่มฝึกวิชาหมัดแล้วด้วย?”

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมในฉับพลัน “หม่าขู่เสวียน! อาจารย์ไม่สนว่าเจ้าจะมีนิสัยดื้อรั้นเช่นไร แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ สำนักการทหารของพวกเราคือผู้ฝึกกระบี่สำนักแท้ดั้งเดิม! ฝึกหนึ่งกระบี่ทลายหมื่นคาถา ฝึกหนึ่งกระบี่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิม ฝึกหนึ่งกระบี่เพื่อให้ไร้ศัตรู แต่สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดคือการฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผล ห้ามรังแกคนธรรมดา ยิ่งห้ามจงใจเล่นงานคนร่วมเส้นทางเพียงเพราะความอิจฉาริษยา!”

เด็กหนุ่มยืดแขนบิดขี้เกียจ “อาจารย์ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าคนของตรอกหนีผิงผู้นั้นจะร้ายกาจแค่ไหน ขอแค่เขาไม่มาหาเรื่องข้า ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเกี่ยวข้องกัน สรุปแล้วก็คือ ต่อให้คนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้จะประสบความสำเร็จสูงแค่ไหน อนาคตก็ต้องกลายมาเป็นเพียงหินรองเท้าให้ข้าเหยียบเดินไปเท่านั้น อิจฉารึ? ข้ามีแต่จะขอบคุณพวกเขาเสียมากกว่า”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “พูดเหตุผลกับเจ้าไม่ได้จริงๆ วันหน้าคนของเขาเจินอู่คงไม่มีวันสงบสุขกันแน่”

เด็กหนุ่มถามด้วยความใคร่รู้ “เขาเจินอู่ของพวกท่านอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่?”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ไม่พูดเรื่องนี้ จะขายหน้ากันเปล่าๆ”

เด็กหนุ่มกลอกตามองสูง “ถ้ารู้เรื่องพวกนี้แต่แรกคงไม่รีบร้อนกราบอาจารย์”

ชายหนุ่มเพียงยิ้มรับ

มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดกับลูกศิษย์ของตัวเองอย่างชัดเจน อัจฉริยะบนโลกใบนี้แบ่งออกเป็นหลายชนิด พรสวรรค์ก็เช่นกัน

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนก่อนหน้านี้ มองภายนอกอาจเหมือนว่าเขาแค่ฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้วทั่วทั้งร่างกลับแผ่กลิ่นอายของวิชาหมัดมวย

—-

[1] มวยภายนอก คือมวยที่เน้นพลังกล้ามเนื้อเป็นหลัก ตรงข้ามกับมวยภายในที่เน้นการหักเหแรง ใช้หลักประสานกันระหว่างพลังกล้ามเนื้อและพลังภายใน การที่ฝึกมวยภายนอกแล้วชักนำความชั่วร้ายก็เพราะในสมัยก่อนเมื่อคนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกในสายวิชาผ่านครูบาอาจารย์อย่างถูกต้อง ฝึกแล้วร่างกายจะยิ่งอ่อนแอลง ทั้งเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งบาดเจ็บภายใน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version