Skip to content

Sword of Coming 421

บทที่ 421 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม

เส้นทางกลับบ้านเกิดจากเมืองหลวงต้าสุยไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี เฉินผิงอันคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

เขายังคงพยายามเลือกทางสายเล็กในป่าเขา รอบกายไร้ผู้คน นอกจากจะฝึกเดินท่าฟ้าดินแล้ว ทุกวันยังจะต้องขอให้จูเหลี่ยนช่วยป้อนหมัด ยิ่งต่อยก็ยิ่งเอาจริงเอาจัง จากที่จูเหลี่ยนสะกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตหก ถึงท้ายที่สุดก็ไปถึงขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด ความเคลื่อนไหวยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ทำเอาเผยเฉียนเป็นกังวลอย่างยิ่ง หากอาจารย์ไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น จะต้องเสียเงินค่าเสื้อผ้าอย่างสิ้นเปลืองไปมากน้อยเท่าไหรกันนะ? การประมือกันในครั้งแรก เฉินผิงอันสู้ไปได้ครึ่งทางก็บอกให้หยุด ที่แท้รองเท้าหุ้มแข้งของเขาก็ทะลุเป็นรูโหว่ ได้แต่ถอดรองเท้า ใช้เท้าเปล่ามาประมือกับจูเหลี่ยน

หลังออกมาพ้นอาณาบริเวณของต้าสุย เฉินผิงอันก็กลับมาสวมรองเท้าสาน ทำเอาเผยเฉียนชอบอกชอบใจ จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำให้นางหนึ่งคู่ เจ้าถ่านดำน้อยกลับยิ้มไม่ออกแล้ว รองเท้าสานแน่นหนา อันที่จริงเหมาะกับการขึ้นเขาลงห้วยยิ่งกว่าสวมรองเท้าหุ้มแข้งทั่วไปเสียอีก แต่ถึงอย่างไรมันก็เสียดสีให้เท้าเป็นตุ่มพอง ยังดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานให้เผยเฉียนสวมใส่อยู่ตลอด ตอนที่เผยเฉียนเอาเข็มเจาะตุ่มน้ำพองที่ใต้ฝ่าเท้า จูเหลี่ยนก็คอยพูดจาเหน็บแนมอยู่ด้านข้าง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กคู่นี้เคยชินที่จะโต้คารมกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่ริมลำธาร ถอดรองเท้าสาน เหยียบลงในน้ำ ความคิดล่องลอยไปไกล

ไม่ใช่ว่าใกล้ถึงบ้านเกิดแล้วกลับรู้สึกขลาดกลัว แต่เมื่อเทียบกับการเดินทางหวนคืนสู่บ้านเกิดในครั้งแรกแล้วกลับมีความห่วงพะวงเพิ่มขึ้นมามากกว่าเก่า บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เรื่องที่ขอให้เว่ยป้อช่วยซื้อภูเขาให้ กิจการของสองร้านในตรอกฉีหลง การซ่อมแซมเทวรูปของพระโพธิสัตว์ดินเผาและเทพสวรรค์ในสุสานเทพเซียน เรื่องมากมายหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้คิดถึงมากนัก เวลานี้กลับมักจะผุดขึ้นมาในใจ และก็วางแผนไว้ว่าหลังกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ค่อยไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู แล้วค่อยไปเยี่ยมสองสามีภรรยาและหญิงชราที่มีฝีมือทำอาหารเลิศล้ำของแคว้นไฉ่อี ยังมีอริยะกระบี่ซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ต้องไปพบหน้า เลี้ยงหม้อไฟคืนผู้อาวุโสหนึ่งมื้อ แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าด้วยว่า แม่นางที่ตนรักก็ชอบตนเหมือนกัน ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อาวุโสซ่งกล่าวไว้

ความสง่างามองอาจเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนจากบนร่างของชุยตงซาน ลู่ไถ หรือแม้แต่หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโต แน่นอนว่าเฉินผิงอันเลื่อมใสและปรารถนาอย่างยิ่งว่าตัวเองจะเป็นเหมือนพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เฉินผิงอันคิดแต่จะโอนเอียงเข้าหาพวกเขาถ่ายเดียว

นี่เรียกว่าได้ใหม่ไม่ลืมเก่า ดังนั้นจึงสามารถสะสมทรัพย์สมบัติได้มากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันรู้สึกว่านี่เป็นนิสัยที่ดี เหมือนพรสวรรค์ด้านการตั้งชื่อของเขาที่เป็น ‘เรื่องถนัด’ เพียงไม่กี่หยิบมือซึ่งทำให้เฉินผิงอันอดลำพองใจน้อยๆ ไม่ได้

เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “วันหน้าเมื่อเจ้ากับพวกหลี่ไหวออกท่องยุทธภพด้วยกัน ไม่ต้องบังคับควบคุมตัวเองมากเกินไป แล้วก็ไม่ต้องเลียนแบบข้าไปเสียทุกเรื่อง”

เผยเฉียนกล่าวอย่างเขินๆ “ข้าก็อยากเลียนแบบอาจารย์อยู่หรอกนะ แต่เลียนแบบแล้วก็ไม่เห็นเหมือนสักที”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เผยเฉียนเอ๋ย วันหน้าข้าจะแต่งผลงานชิ้นเอกด้านการประจบสอพลอมาเรื่องหนึ่ง ต้องขายได้เงินดีในยุทธภพแน่นอน ถึงเวลานั้นเงินที่ได้มา ข้าจะเอามาแบ่งให้เจ้า”

เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ห้ามกลับคำนะ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง!”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเผยเฉียน “เจ้านี่นะ ชีวิตนี้เห็นแต่เงิน คงปีนออกมาจากบ่อเงินไม่ได้แล้ว”

เผยเฉียนโคลงศีรษะแลบลิ้นปลิ้นตาเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “ได้ยินหลี่ไหวเล่าให้ฟังว่า พวกเจ้าตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะไปขุดหาสมบัติด้วยกัน?”

จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอก “โอ้โห คู่รักเทพเซียนหรือนี่ อายุน้อยแค่นี้ก็ตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิตกันเองแล้วหรือ?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้ากับหลี่ไหวคือสหายในยุทธภพที่ถูกชะตากัน ไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรทั้งนั้น พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดจาน่าเกลียดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”

จากนั้นเผยเฉียนก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเห็นคนอื่นดีกว่าคนกันเอง ข้าไม่ใช่สตรีในยุทธภพประเภทที่ว่าเห็นบุรุษก็หน้ามืดตามัว สมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ข้ากับหลี่ไหวขุดเจอร่วมกัน ข้าตกลงกับเขาไว้แล้วว่าจะแบ่งเท่ากัน ถึงเวลานั้นส่วนที่เป็นของข้าต้องเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของอาจารย์ทั้งหมดแน่นอน”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เดินทางมาถึงเขตการปกครองของแคว้นหวงถิงได้อย่างราบรื่น ตรงริมตลิ่งแม่น้ำอวี้เจียง เวลานั้นเฉินผิงอันกับชุยตงซานจับคู่กันเดินทางมาถึงที่นี่ ได้พบกับผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ขี่กระบี่ผ่านถนนหนทางจนเกิดความโกลาหลไก่บินหมากระโดด ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง เนื่องด้วยศักยภาพของตนในเวลานั้นไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ จึงได้แต่มองดูดายเท่านั้น

ยังคงเป็นประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น วัดเล็กลมปีศาจใหญ่

ไม่พูดถึงพื้นที่ทางใต้ของต้าหลี ลำพังแค่อาณาเขตของแคว้นต้าสุยและเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ก็ดูเหมือนว่าผู้ฝึกลมปราณจะไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงขนาดนั้น

กลับเป็นเขตการปกครองใหญ่ที่อยู่ในอาณัติของแคว้นเล็กๆ เสียอีกที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระต่างก็โอหังอวดดีกันมาก แม้แต่ชาวบ้านก็ยังได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หลังจบเรื่องก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเอง เนื่องด้วยไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมจากที่ใดได้ ทางราชสำนักก็ไม่สนใจ เพราะต้องเหนื่อยยากแต่ไม่ได้อะไรดีๆ กลับคืนมา ที่ว่าการของท้องถิ่นก็ไม่กล้ายุ่ง ต่อให้มีผู้ผดุงคุณธรรมที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็ยังมีแต่ใจไร้กำลัง

และในเขตการปกครองแห่งนี้ ชุยตงซานได้กำราบเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ถูกบ่มเพาะมาจากปราณบุ๋นในหอเก็บตำราของสกุลเฉาจือหลันซึ่งร่างจริงคืองูเหลือมไฟ และยังมีเด็กชายชุดเขียวที่มีอำนาจบารมีอยู่ในอาณาเขตของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถือเป็น ‘จิตวิญญาณบุ๋น’ ที่ถือกำเนิดเพราะถูกบ่มเพาะมาจากบทกวีที่ติดปากเป็นที่นิยม หรือบทความที่มีชื่อเสียงของโลก ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้น ตามคำบอกของเว่ยป้อที่เขียนไว้ในจดหมาย ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับลู่เฉิน เป็นเหตุให้เจ้าลัทธิเต๋าที่ทุกวันนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิงคิดอยากจะพาเด็กชายชุดเขียวไปที่ใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน เพียงแต่เด็กชายชุดเขียวไม่ยอมตกลง ลู่เฉินจึงทิ้งเมล็ดพันธ์บัวทองเมล็ดนั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขอร้องเฉินผิงอันว่าในอนาคตจะต้องช่วยให้งูน้ำอย่างเด็กชายชุดเขียวผู้นี้ลงน้ำกลายเป็นมังกรที่อุตรกุรุทวีปให้ได้

เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ ถึงขั้นไม่มีความสงสัยอะไรมากนัก

เขตการปกครองยังคงครึกครื้นดังเดิม ราวกับว่าสำหรับชาวบ้านแคว้นหวงถิงแล้ว การที่ถูกยกจากสกุลเกาต้าสุยให้กลายเป็นบรรณาการของสกุลซ่งต้าหลีจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขานัก ชีวิตยังคงสุขสบายกันดังเดิม

แต่พอได้ยินว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนทัพลงใต้ กองทัพม้ากองหนึ่งในนั้นยาตรามาตามเส้นทางชายแดนของต้าสุยและแคว้นหวงถิง

แม้ไม่ถึงขั้นไม่รุกรานชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างคลื่นมรสุมอะไรที่ใหญ่โตให้กับราชสำนักแคว้นหวงถิง

ระหว่างที่เดินทางลึกเข้ามาใจกลางแคว้นหวงถิงเรื่อยๆ ก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านร้านตลาดอยู่เนืองๆ สำหรับการที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง พวกชาวบ้านถึงขั้นแสดงความภาคภูมิใจที่ตัวเองได้กลายเป็นประชาชนของต้าหลี จากตอนแรกที่สงสัยในการตัดสินใจของฮ่องเต้แคว้นหวงถิงก็เปลี่ยนมาเป็นให้การยอมรับและชื่นชม

ขณะเดียวกันจวนจื่อหยาง แม่น้ำอวี้เจียง แม่น้ำหันสือ ห้าขุนเขาของแคว้นหวงถิงก็กลายมาเป็นจวนตระกูลเซียนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีก่อนผู้ใด มีหน้ามีตากันอย่างถึงที่สุด

ขยับเข้าใกล้ช่วงสนธยา พวกเขาก็ได้เข้ามาในเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเผยเฉียนคือคนที่ดีใจที่สุด แม้จะบอกว่ายังเหลือระยะทางอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงชายแดนต้าหลี แต่ถึงอย่างไรก็ขยับเข้าใกล้เขตการปกครองหลงเฉวียนมากขึ้นทุกทีแล้ว ราวกับว่าทุกก้าวที่นางย่างก้าวออกไปล้วนเป็นการเดินกลับบ้าน ช่วงที่ผ่านมานี้ทั่วร่างของนางจึงแผ่กลิ่นอายของความสดใสชื่นบาน

จูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก คงเป็นเพราะมองตัวเองเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปมา ไม่เคยหยุดพักพิงที่ใดนาน การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นแค่การเปลี่ยนทัศนียภาพให้ชื่นชมเท่านั้น แต่ความสงสัยใคร่รู้ต่อเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ในอดีตเคยเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งอาศัยอยู่ จูเหลี่ยนก็อยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายอย่างมาก

มีเพียงสือโหรวที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ

ประติดประต่อเอาจากการคุยเล่นของเฉินผิงอัน บวกกับที่ชุยตงซานเคยบรรยายให้นางฟังว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นพื้นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างไร สือโหรวก็มักรู้สึกว่าการที่ตนสวมใส่คราบร่างเซียนนี้ไปเยือนที่นั่น ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่เดินเข้าปากเสือ

โดยเฉพาะเมื่อชุยตงซานจงใจสัพยอกนางด้วยประโยคว่า ‘อยู่อาศัยในคราบร่างเซียนนั้นไม่ง่าย’ ก็ยิ่งทำให้สือโหรวกลัดกลุ้มเป็นกังวล

เฉินผิงอันเข้าเมืองมาแล้วก็ไปซื้อหาของกระจุกกระจิกบางอย่างก่อน จากนั้นจึงเลือกเหลาสุรากลางเมืองที่คึกคักนั่งจิบเหล้าจอกเล็กกับจูเหลี่ยนสองสามจอก ถือโอกาสซื้อเหล้ากลับไปสองไห จากนั้นก็ไปหาโรงเตี๊ยมพักแรม

เมื่อเฉินผิงอันได้มาเดินบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองของเขตการปกครองแห่งนี้อีกครั้ง เขากลับไม่ได้เจอผู้ฝึกกระบี่ ‘สง่างาม’ ที่มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์อีกแล้ว

ไม่อย่างนั้นหากพวกเขายังทำร้ายผู้คนอย่างกำเริบเสิบสานอีก เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะปล่อยหมัดต่อยให้พวกเขาร่วงลงมาจากกระบี่

ส่วนหลังจากนั้นจะมีคลื่นมรสุมตามมาหรือไม่ จะชักนำให้เหล่าบุรพาจารย์บนภูเขาปรากฏตัวหรือไม่ เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย

เดินทางผ่านภูเขาห้อยหัวและสองทวีปมาแล้ว จึงรู้ว่าแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิงนี้ โดยทั่วไปแล้วเซียนดินโอสถทองก็ถือว่าเป็นผู้นำของเหล่าเซียนซือในหนึ่งแคว้น มีฐานะสูงส่งเกินจะปีนป่ายมากแล้ว อีกอย่างหากเจอกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเข้าจริงๆ เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนคอยคุมท้ายขบวนให้ อีกทั้งยังมีสือโหรวที่สามารถกลืนกินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้โดยไม่เป็นอะไร เฉินผิงอันคิดจะเผ่นหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เซียนดินโอสถทองที่ว่านี้ก็ยกตัวอย่างเช่นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเฉิง รองเจ้ากรมผู้เฒ่ากรมครัวเรือนแคว้นหวงถิงที่ปีนั้นกลุ่มของพวกเฉินผิงอันไปขอพักค้างแรมในจวนส่วนตัวของเขาที่สร้างขึ้นในป่าลึก เขาคือผู้มีความรู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นหวงถิงที่มีผลงานโด่งดังไปทั่ววงการวรรณกรรมทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่าง ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’

ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้รู้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนนั้น แท้จริงแล้วในประวัติศาสตร์ของแคว้นหวงถิง เขาเคยใช้สถานะและรูปโฉมที่แตกต่างกันเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ และตอนนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็เคยเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันที่เดินทางผ่านมาให้เข้าไปพักแรมที่จวนตัวเองอย่างกระตือรือร้น

เรือนที่เงียบสงบแต่งดงามตั้งอยู่ใกล้กับหน้าผาใหญ่ คือสถานที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนพากันมาท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสายเนื่องจากมีทัศนียภาพงดงามเป็นเอก

ภายหลังชุยตงซานเปิดเผยความลับสวรรค์ให้รู้ว่า รองเจ้ากรมผู้เฒ่าคือเผ่าพันธ์เจียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของแคว้นสู่โบราณซึ่งจำศีลมาอย่างยาวนานมากตัวหนึ่ง ตอนนั้นลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้แนะนำ จึงได้ถูกราชสำนักต้าหลีเรียกตัวมาให้ทำหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ส่วนบุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งบนภูเขาแคว้นหวงถิง บุตรชายคนเล็กคือเทพวารีแม่น้ำหันสือ บุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็คือเจียวเพศเมียโอสถทองที่มีขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ นางพยายามจะใช้วิธีฝึกตนของสำนักนอกรีต จนกระทั่งสุดท้ายฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดไปได้ แต่น่าเสียดายที่ยังขาดไปอีกนิดหน่อย ภายในเวลาร้อยปีก็ไม่ต้องหวังว่าจะเลื่อนหน้าไปอีกขั้น

บนเส้นทางของการฝึกตน เผ่าพันธุ์เจียวหลงนั้นได้รับความเมตตาจากสวรรค์เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อสร้างโอสถทองได้แล้วการฝึกตนก็เริ่มยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์

ปีนั้นโชควาสนาห้าอย่างที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำสวรรค์หลีจู ปลาหลีสีทองขององค์ชายเกาเซวียนต้าสุย งูสี่ขาที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมอยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน มังกรเพลิงที่กลายร่างเป็นกำไลข้อมือขดล้อมอยู่บนข้อมือของหร่วนซิ่ว ที่ทับกระดาษไม้สลักเป็นรูปชือหลงที่ยังจำศีลอยู่ของจ้าวเหยา บวกกับปลาหนีชิวที่ปีนั้นเฉินผิงอันตกมาได้ด้วยตัวเอง แต่กลับมอบมันให้กู้ช่าน การที่พวกมันทำให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครองได้ถึงขนาดนั้นก็เพราะพวกมันสามารถเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ใครที่ได้เลี้ยงพวกมันตัวใดตัวหนึ่งก็เท่ากับว่าได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้เทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ

สำหรับในแจกันสมบัติทวีปที่เดิมทีก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนน้อยจนนับนิ้วได้แห่งนี้ ใครเล่าจะไม่อิจฉาตาร้อน?

อีกทั้งเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งห้าตัวที่ระบบสายเลือดใกล้เคียงกับมังกรแท้จริงอย่างยิ่งนี้ หากยอมรับเจ้านายขึ้นมา จิตวิญญาณเชื่อมโยงถึงกัน พวกมันก็จะสามารถหันกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของเจ้านายได้อย่างต่อเนื่อง เท่ากับว่ามอบร่างกายและจิตวิญญาณที่แน่นหนาแข็งแกร่งเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตโอสถทองให้กับเจ้านายได้อย่างไร้รูปลักษณ์

เมื่อเฉินผิงอันเดินนำกลุ่มคนเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เขากับจูเหลี่ยนต่างก็หันหน้าไปมองทางถนนใหญ่พร้อมกัน

สตรีเรือนกายสูงเพรียวสีหน้าเย็นชาคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเฉินผิงอัน นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดด้วยภาษาราชการของต้าหลีสำเนียงถูกต้อง “คุณชายเฉิน บิดาของข้ากับเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีของพวกเจ้าเป็นสหายสนิทกัน ตอนนี้บิดาข้ารับตำแหน่งเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ อีกทั้งในอดีตยังเคยรับรองคุณชายเฉินมาก่อน บิดาข้าสั่งความไว้แล้วว่า ก่อนที่ท่านจะไปจากแคว้นหวงถิง หากคุณชายเฉินเดินทางผ่านมาที่นี่ ข้าจะต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ห้ามเพิกเฉยเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้รับจดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาจากภูเขาพีอวิ๋น จึงมารอคอยท่านอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว หากการลอบสังเกตการเหล่านี้เป็นการล่วงเกินคุณชายเฉิน หวังว่าท่านจะให้อภัย ข้าขอเชิญให้คุณชายเฉินไปเป็นแขกที่จวนจื่อหยางของข้าสักสองสามวันด้วยใจจริง”

เฉินผิงอันถาม “เพราะต้องเร่งรีบเดินทาง หากคืนนี้ข้าปฏิเสธผู้อาวุโส จะเป็นการสร้างปัญหายุ่งยากให้ผู้อาวุโสหรือไม่?”

สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นบุตรสาวของเจียวเฒ่า และยังเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาจวนจื่อหยางยิ้มกล่าวว่า “ย่อมไม่ แต่ข้าหวังจริงๆ ว่าคุณชายเฉินจะไปพักอยู่ที่จวนจื่อหยางสักวันสองวัน ทัศนียภาพของที่นั่นไม่เลวเลยจริงๆ ผลผลิตพิเศษบางอย่างบนภูเขาก็พอจะเอาออกมาโอ้อวดคนอื่นได้ หากคุณชายเฉินไม่รับปาก ข้าก็ไม่ถูกบิดาและเทพขุนเขาตำหนิ แต่หากคุณชายเฉินยินดีให้เกียรตินี้แก่ข้า คุณความชอบเล็กๆ น้อยๆ นี้ของข้าย่อมถูกบิดาผู้แยกแยะการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน และองค์เทพเว่ยจดจำไว้อย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนผู้อาวุโสสักวันสองวัน?”

สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นเผ่าพันธ์เจียวหลงแคว้นสู่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันหยิบเรือลำน้อยแกะสลักจากผลเถาเหอขนาดเท่านิ้วก้อยออกมาแล้วโยนลงบนพื้น ไอน้ำพลันแผ่อบอวล เรือน้อยกลายเป็นเรือสูงสามชั้นที่ล้อมรอบด้วยราวไม้แกะสลักและภาพวาด บรรจุผู้คนสี่สิบห้าสิบคนได้ไม่เป็นปัญหา ยังดีที่ขณะที่หญิงสาวโยนสมบัติอาคมเหอเถาแกะสลักชิ้นนี้ออกไป นางได้โบกชายแขนเสื้อผลักให้คนเดินเท้าบนถนนล่องลอยไปอยู่สองฝากฝั่งของถนนเบาๆ ก่อนแล้ว

ขณะเดียวกันนางก็หยิบยันต์ปึกหนึ่งที่สีสันไม่เหมือนกันออกมาจากชายแขนเสื้อ พอปล่อยมือยันต์ก็ร่วงลงบนพื้น ปรากฏเป็นเด็กสาวรูปร่างสะโอดสะอง หน้าตางดงามหลายนาง มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มองไม่ออกสักนิดเลยว่านาทีก่อนนี้พวกนางยังเป็นคนกระดาษปึกหนึ่ง

มือเท้าของพวกนางคล่องแคล่วว่องไว พุ่งขึ้นไปบนเรือแล้วพากันขนกระดานไม้ที่ใช้ขึ้นเรือออกมาอย่างรวดเร็ว

สตรีร่างสูงโปร่งยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายขึ้นเรือ”

เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ รู้สึกว่าวันหน้าตนก็ต้องมีสมบัติสองชิ้นอย่างเรือหอเรือนและยันต์แบบนี้เช่นกัน ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อมาให้ได้ เพราะได้ครอบครองแล้วช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก!

เฉินผิงอันตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ พานางเดินตามสตรีร่างสูงโปร่งขึ้นไปบนเรือด้วยกัน

ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย เรือหอเรือนลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ ทะยานลมล่องไปด้วยความไวสุดขีด พริบตาเดียวก็ไปไกลสิบกว่าลี้

ยืนอยู่บนเรือตระกูลเซียนของบรรพบุรุษจวนจื่อหยางลำนี้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือแม่น้ำอวี้เจียงที่คดเคี้ยวทอดยาวเกือบพันลี้

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างราวรั้ว ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำบนพื้นดินที่งดงามประหนึ่งภาพวาดไปพร้อมกับเผยเฉียน

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็คิดถึงบ้านเกิด คิดถึงเขตการปกครอง อำเภอและตลาดของเมืองเล็กจำนวนมากระหว่างเส้นทางที่มุ่งไปสู่เขตการปกครองหลงเฉวียน รวมไปถึงภูเขาสวยแม่น้ำใสระหว่างทางที่เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ

แล้วก็นึกถึงคนบางคนของที่บ้านเกิด

ตอนนั้นในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ติดตามสารถีหม่าของโรงเรียนออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู สุดท้ายหลี่ไหวกับหลินโส่วอีก็เลือกติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมา

ต่งสุ่ยจิ่งกับสือชุนเจีย คนหนึ่งเลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด อีกคนหนึ่งติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวง

อันที่จริงความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อพวกเขาก็ดีมาก คนหนึ่งนิสัยซื่อสัตย์เรียบง่าย สาเหตุคงจะเป็นเพราะมีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกัน ปีนั้นจึงทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยด้วยมากที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือแม่นางน้อยมัดผมแกละที่นิสัยร่าเริงน่ารัก มองดูแล้วก็รู้ว่าฉลาดเฉลียวงดงาม

เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการเลือกของพวกเขานั้นผิด

ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังว่าภูเขาและแม่น้ำของบ้านเกิดยังคงเดิม ไม่ว่าจะคนอย่างต่งสุ่ยจิ่ง สือชุนเจียที่เลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด หรือคนอย่างพวกหลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่านและจ้าวเหยาที่เดินทางออกไปจากบ้านเกิด หวังว่าในใจพวกเขาจะยังคงมีภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิดอยู่ดังเดิม

แน่นอนว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ เฉินผิงอันยังต้องไปเยือนจวนผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนป้ายอักษรคำว่าน้ำใสลมเย็นแห่งนั้นด้วย

กลับไปพูดคุยกับนางด้วยถ้อยคำที่ปีนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจมานาน

……

ท่ามกลางแสงสนธยา ร้านเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งแขวนป้ายปิดร้าน แต่กลับไม่ได้รีบร้อนปิดประตูหน้าร้านลง ค้าขายนานวันเข้าจึงรู้ว่าจะต้องมีผู้มีจิตศรัทธาบางส่วนที่ก่อนขึ้นเขาได้นัดหมายกับทางร้านไว้ก่อนแล้วว่าพอลงจากเขาแล้วจะมาซื้อเกี้ยวน้ำซึ่งจะต้องมาสายไปชั่วครู่ชั่วยาม ดังนั้นต่อให้ต่งสุ่ยจิ่งจะแขวนป้ายไม้ว่าร้านปิดแล้ว ก็ยังจะรออีกประมาณครึ่งชั่วยาม แต่สุยต่งจิ่งจะไม่ให้ลูกจ้างร้านสองคนที่เพิ่งจ้างมาใหม่มารอลูกค้าพร้อมกับเขาด้วย ถึงเวลานั้นหากมีลูกค้ามาเยือน ต่งสุ่ยจิ่งก็จะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ต่อให้ลูกจ้างร้านที่มีชาติกำเนิดยากจนทั้งสองคนจะอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับเถ้าแก่ ต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ยอม

ร้านขายเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ คนมีเงินมากมายที่มาสร้างจวนใหม่ขึ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนต่างก็เชื้อเชิญให้ต่งสุ่ยจิ่งไปเปิดร้านเพิ่มอีกสองร้านที่เขตการปกครอง เพียงแต่ว่าต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

นอกจากร้านเกี้ยวน้ำกึ่งกลางภูเขาที่บนยอดเขามีศาลเทพภูเขาแห่งนี้แล้ว เงินก้อนใหญ่ที่ปีนั้นต่งสุ่ยจิ่งได้จากการขายบ้านบรรพบุรุษหลังหนึ่งในเมืองเล็ก เขาก็ได้เอาไปซื้อบ้านครึ่งถนนที่เขตการปกครองแห่งใหม่ไว้ตั้งนานแล้ว นอกจากจะเก็บบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ บ้านหลังอื่นๆ ล้วนปล่อยให้เช่าทั้งหมด

ต่งสุ่ยจิ่งยังคงเป็นคนในพื้นที่กลุ่มแรกสุดที่สามารถเก็บตกของดีได้ทั่วสารทิศ ในกลุ่มเพื่อนบ้านสองฝากฝั่งของบ้านบรรพบุรุษสองหลัง มีคนแก่และหญิงหม้ายไม่น้อยที่เกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กที่นิสัยดึงดันถือทิฐิ ต่อให้คนนอกให้ราคาสูงเทียมฟ้าเพื่อขอซื้อวัตถุตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา ให้ตายพวกเขาก็ไม่ยอมขาย บอกว่าขายไปแล้วตอนกลางคืนจะนอนอยู่ในกองเงินหรือไง หรือว่าตายไปแล้วให้เอาเงินยัดใส่โลงจนเต็มเพื่อเอาไปใช้ชาติหน้าด้วย? ลูกหลานตระกูลเซียนบนภูเขาที่พยายามอดทนพูดคุยกับพวกคนแก่ที่ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีให้หลังอาจกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนใต้ดินรู้สึกเพียงว่าพวกเขาไร้เหตุผล แต่กลับไม่กล้าบังคับซื้อ จึงได้แต่พาเงินเทพเซียนก้อนใหญ่กลับไปด้วยความผิดหวัง

แต่พอต่งสุ่ยจิ่งไปเยือน ไม่รู้ว่าพวกคนแก่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับคนหนุ่มที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายเติบใหญ่มา หรือเป็นเพราะต่งสุ่ยจิ่งเข้าใจพูดเกลี้ยกล่อม สรุปก็คือพวกผู้เฒ่าลดราคาให้เขาต่ำกว่าที่พวกคนต่างถิ่นเสนอให้มากนัก แทบจะเรียกได้ว่ากึ่งขายกึ่งยกให้ ต่งสุ่ยจิ่งไปเยือนร้านผ้าห่อบุญที่ภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่หลายครั้ง ก็ได้รายรับที่มากจนไม่อาจประเมินมาอีกก้อนหนึ่ง บวกกับฃผลเก็บเกี่ยวซึ่งได้มาโดยไม่คาดฝันจากการที่เขามุมานะขึ้นเขาลงห้วย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไปหาเจ้าเมืองอู๋ นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่เคยทยอยกันมาอุดหนุนร้านเกี้ยวน้ำ จนซื้อที่ดินไว้ได้อีกหลายแห่งอย่างเงียบเชียบ โดยไม่ทันรู้ตัวต่งสุ่ยจิ่งก็กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งใหม่ บนภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนถึงขั้นแอบมีคำเรียกขานที่น่าตะลึงว่าเมืองครึ่งต่งให้ได้ยินแว่วๆ แล้ว

วันนี้ต่งสุ่ยจิ่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับลูกจ้างหนุ่มสองคนเสร็จแล้ว คนทั้งสองก็จากไป เถ้าแก่ร้านที่เติบโตกลายมาเป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่อยู่ในร้านเพียงลำพัง เขาทำเกี้ยวน้ำร้อนๆ ให้ตัวหนึ่งชาม ถือเป็นการให้รางวัลตัวเอง เมื่อถึงยามพลบค่ำ อากาศของฤดูใบไม้ร่วงก็ยิ่งเย็นขึ้นทุกที ต่งสุ่ยจิ่งกินอิ่มแล้วก็เก็บชามเก็บตะเกียบ เดินมานอกร้าน มองไปยังเส้นทางที่ใช้ขึ้นเขาไปจุดธูปไหว้เทพเจ้า ไม่เห็นเงาร่างของคนที่มาทำบุญก็เตรียมจะปิดร้าน คิดไม่ถึงว่าไม่มีผู้มีจิตศรัทธาย้อนกลับมา แต่กลับมีคุณชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากตีนเขาแทน ต่งสุ่ยจิ่งคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีจึงคลี่ยิ้มแล้วเชื้อเชิญให้เข้ามาในร้าน ทำเกี้ยวน้ำอีกชาม แล้วยกเหล้าข้าวหมักที่ทำเองมาหนึ่งกา คนทั้งสองตั้งใจใช้ภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนสนทนากันตั้งแต่ต้นจนจบ ต่งสุ่ยจิ่งพูดช้ามากเพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะฟังไม่เข้าใจ

ลูกค้าคนนี้เป็นคนประหลาด เขาชื่อว่าเกาเซวียน บอกว่าตัวเองคือนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ภาษาทางการของต้าหลีก็ยังพูดได้ไม่คล่อง แต่กลับอยากจะพูดภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนกับต่งสุ่ยจิ่ง

รอจนเกาเซวียนกินเกี้ยวน้ำหมด ต่งสุ่ยจิ่งก็รินเหล้าข้าวหมักสองถ้วย เหล้าข้าวนี้หากอยากจะให้หอมหวาน น้ำและข้าวเหนียวคือกุญแจสำคัญ และเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ไม่เคยขาดน้ำดี ส่วนข้าวเหนียวนั้นต่งสุ่ยจิ่งไปขอให้ผู้ตรวจการงานเตาเผาแซ่เฉาขนส่งจากถิ่นกำเนิดของข้าวเหนียวแห่งหนึ่งของต้าหลีมายังหลงเฉวียน ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก ดังนั้นตอนนี้ทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจึงสร้างร้านขายเหล้าข้าวหมักขนาดไม่เล็กขึ้นมาแล้ว และตอนนี้ก็เริ่มส่งไปขายที่เมืองหลวงต้าหลี กิจการยังไม่ถือว่ารุ่งเรืองนัก ทว่าอนาคตและรายรับที่ได้ย่อมถือว่าไม่เลว ร้านเหล้าของเมืองหลวงต้าหลีเริ่มยอมรับเหล้าข้าวหมักของหลงเฉวียน บวกกับการดำรงอยู่ของถ้ำสวรรค์หลีจูและข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับเทพเซียนก็ยิ่งทำให้สุรามีรสชาติหอมหวลขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องช่องทางการจำหน่ายนั้น ต่งสุ่ยจิ่งได้ไปขอร้องนายอำเภอหยวน การค้าที่มีกำไรน้อยแต่อัตราการจำหน่ายสูงนี้จึงต้องเกี่ยวพันกับการพยักหน้าตอบรับของเจ้าเมืองอู๋ การเปิดประตูใหญ่เมืองหลวงของนายอำเภอหยวน และการขนส่งข้าวเหนียวของผู้ตรวจการเฉา

เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา ในบรรดาคนทั้งสามนี้ ระดับขั้นของอู๋ยวนสูงสุด แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นเอก ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างแท้จริง ทว่าในฐานะคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองของต้าหลี อู๋ยวนจึงเป็นบุคคลที่ทางราชสำนักต้าหลีไม่กล้าดูแคลน ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับอู๋ยวนก็คือชุยฉานราชครูต้าหลี น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลังจากอู๋ยวนได้เลื่อนขั้นแล้ว ชื่อเสียงของเขากลับแย่กว่าตอนก่อนจะออกมาจากเมืองหลวงมาก เพราะว่ากันว่าระหว่างที่หลงเฉวียนยังไม่เลื่อนขั้นจากอำเภอเป็นเขตการปกครองนั้น นายอำเภออู๋ที่ถูกราชครูส่งตัวมาที่นี่พร้อมความคาดหวังสูง ได้ถูกตระกูลใหญ่ของท้องถิ่นหลายตระกูลผลักไสอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันจนวางตัวไม่ถูก

ทว่าอู๋ยวนมีอาจารย์ที่ดี คนนอกจึงได้แต่อิจฉาตาร้อน

แต่ถึงกระนั้นอู๋ยวนก็กลายเป็นตัวตลกของราชสำนักในเมืองหลวงต้าหลีไปแล้วไม่มากก็น้อย

หันกลับมามองสองคนหลังอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่กลายเป็นว่าวงการขุนนางต้าหลีชื่นชอบมากกว่า ไม่เพียงแต่เป็นลูกหลานสายตรงของสองแซ่สกุลใหญ่ที่ผู้เป็นเสาคานค้ำยันบ้านเมืองเท่านั้น เมื่อมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน คนทั้งสองต่างก็สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างผลงานจนรุ่งโรจน์อยู่ในถิ่นของตัวเองได้ด้วย นายอำเภอหยวนรับผิดชอบการสร้างจวนตระกูลเซียนส่วนหนึ่งบนภูเขาตะวันตก การที่ศาลบุ๋นและศาลบู๊ถูกสร้างขึ้นที่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยก็เป็นความชอบของเขาเช่นกัน ตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ยอมรับเจ้าเมืองอย่างอู๋ยวน แต่กลับเต็มใจยอมรับนายอำเภอที่หมวกขุนนางเล็กกว่าผู้นี้

ส่วนหน่วยผู้ตรวจการงานเตาเผาของผู้ตรวจการเฉานั้น มองภายนอกคือที่ว่าการมือสะอาดที่ดูแลรับผิดชอบเตาเผามังกรสร้างเครื่องกระเบื้องที่จะต้องถูกส่งไปในวัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีหน้าที่รับผิดชอบจับตามองความเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจบนภูเขาเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างลับๆ

แต่หยวนและเฉาที่เป็นสองแซ่สกุลซึ่งสูงศักดิ์ที่สุดในต้าหลีนี้กลับเป็นน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกัน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่เคลื่อนพลลงใต้แบ่งเป็นสามสาย เบื้องหลังของกองทัพม้าเหล็กสองสายในนั้นต่างก็มีเงาร่างของสองแซ่ใหญ่ที่เป็นเสาคานค้ำยันแคว้นยืนอยู่

ต่งสุ่ยจิ่งสามารถอาศัยการค้าขายเล็กๆ ไม่สะดุดตานี้ดึงคนทั้งสามให้มารวมกันได้ ก็จำต้องพูดว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ ‘จับผลัดจับผลู’ จนทำสำเร็จ

ในความเป็นจริงแล้วการขายเหล้าข้าวหมักนี้เป็นความคิดของต่งสุ่ยจิ่งก็จริง แต่แผนการอย่างละเอียด ขั้นตอนต่างๆ ที่ร้อยเรียงกันแนบแน่นกลับเป็นคนอื่นที่ช่วยวางแผนให้กับเขา

หลังจบเรื่องต่งสุ่ยจิ่งถามคนผู้นั้นว่า เหตุใดลูกหลานที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาถึงไม่ปฏิเสธกำไรที่เล็กเท่าหัวแมลงวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นกำไรปันผลของสามฝ่ายเมื่อปลายปีก่อน ต่งสุ่ยจิ่งได้เงินมาเจ็ดหมื่นตำลึงเงิน หยวนเฉาสองคนรวมกันได้มาแค่หนึ่งแสนสี่หมื่นตำลึงเท่านั้น เมื่อเทียบกับพ่อค้าในหมู่ชาวบ้านอาจถือว่าได้กำไรมหาศาล การแบ่งกำไรในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมั่นคงก็จริง แต่พอต่งสุ่ยจิ่งรับรู้ถึงกิจการใหญ่เบื้องหลังสองแซ่หยวนและเฉาคร่าวๆ แล้ว เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

คนผู้นั้นจึงบอกกับต่งสุ่ยจิ่งว่าการค้าขายใต้หล้านี้ นอกจากแบ่งเล็กใหญ่ รวยจนแล้ว ก็ยังแบ่งเป็นการค้าที่ได้เงินสกปรกกับกิจการที่สะอาดด้วย

ได้เงินก้อนใหญ่จากการค้าขายหัวขาดมาครอง ถือเป็นความสามารถ ได้เงินที่เป็นดั่งลำธารสายเล็กไหลยาวมาจากการค้าเล็กๆ ที่สะอาดก็ถือว่ามีฝีมือเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่การค้าขายเล็กๆ หลายอย่าง เมื่อทำไปจนถึงขีดสุดแล้วก็จะมีโอกาสกลายเป็นช่องทางหาเงินที่แท้จริง กลายมาเป็นกิจการร้อยปีที่สามารถสร้างรากฐานของตระกูลให้แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง

สุดท้ายคนผู้นั้นหยิบเงินเหรียญทองแดงธรรมดาเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ผลักมาตรงหน้าต่งสุ่ยจิ่งที่นั่งขอความรู้อยู่ตรงข้ามอย่างจริงใจ แล้วกล่าวว่า “ต่อให้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของใต้หล้าไพศาลอย่างสกุลหลิ่วแห่งธวัลทวีปก็ยังเริ่มสร้างตระกูลด้วยเงินเหรียญทองแดงเหรียญแรก เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ”

แล้วเจ้าคนที่ยังคงพาดกระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวางผู้นั้นก็ทะยานจากไป บอกว่าจะไปเมืองหลวงต้าสุยสักรอบ หากโชคดีไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับบรรพาจารย์ของสำนักการค้า ผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนหน้าเด็ก แต่เคยใช้วิชาอภินิหารใหญ่ผสานมรรคาลดระดับต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งลงมา ช่วงชิงความไว้วางใจจากใต้หล้า สุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากหลี่เซิ่ง

ต่งสุ่ยจิ่งครุ่นคิดอยู่นานถึงนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นกินเกี้ยวน้ำไปสองชามใหญ่ ดื่มเหล้าหมักข้าวไปหนึ่งไห สุดท้ายจ่ายด้วยเหรียญทองแดงแค่เหรียญเดียวแล้วก็เผ่นจากไป

แต่ครั้งนั้นต่งสุ่ยจิ่งที่เคยชินกับการทำการค้าแบบคิดเล็กคิดน้อยแล้วไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขาดทุน กลับกันยังรู้สึกว่าเขาได้กำไรด้วยซ้ำ

เกาเซวียนเห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งที่กำลังดื่มเหล้าเหมือนความคิดจะล่องลอยไปไกลจึงยิ้มถามว่า “มีเรื่องในใจหรือ? ไม่สู้พูดออกมา ข้าช่วยอะไรไม่ได้ แต่ให้รับฟังคำบ่นจากเถ้าแก่ต่งสองสามคำกลับยังทำได้”

ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า พูดหยอกล้อว่า “คิดเรื่องในอนาคตไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรให้บ่นหรอก ทุกวันพอกลับไปถึงบ้านในเขตการปกครองก็เหนื่อยแทบตายแล้ว นับเงินเสร็จหัวถึงหมอนก็หลับทันที พอลืมตาก็เป็นวันใหม่แล้ว แล้วก็ต้องยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น”

เกาเซวียนพูดอย่างปลงอนิจจัง “อิจฉาเจ้าจริงๆ”

ต่งสุ่ยจิ่งพูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าเกาเซวียนแสร้งทำเป็นกลัดกลุ้มทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไร ทุกครอบครัวย่อมต้องมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่หนึ่งเล่ม ไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีเงินมากหรือน้อย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไม่ได้รับคำ เพียงดื่มเหล้าหมักข้าวที่หมักเองหนึ่งอึก เหล้าของร้านเกี้ยวน้ำแห่งนี้ต่างก็ฉีกกระดาษแดงร้านตระกูลต่งทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะก่อให้เกิดเรื่อง ทำให้ร้านเรียบง่ายที่ไว้ใช้อบรมขัดเกลาจิตใจกลายมาเป็นร้านที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ตอนนี้ตลอดทั้งเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เทพเซียนแต่ละฝ่ายเป็นดั่งปลาและมังกรปะปนกันหลากหลาย คนที่รู้ว่าต่งสุ่ยจิ่งมีทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหนกลับยังคงมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น

หลังจากเกาเซวียนจ่ายเงินเรียบร้อยก็บอกว่าจะขึ้นเขาไปพักค้างแรมที่ศาลเทพภูเขา พรุ่งนี้จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา ต่งสุ่ยจิ่งจึงมอบกุญแจร้านให้กับเกาเซวียน บอกว่าหากเปลี่ยนใจก็มาพักที่ร้านได้ อย่างน้อยก็มีที่ให้หลบลมหลบฝน เกาเซวียนปฏิเสธความหวังดีนี้ เดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง

ส่วนต่งสุ่ยจิ่งก็ลงจากภูเขาไป แต่กลับไปเจอสวี่รั่วที่น่าจะเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงต้าสุย เขาบอกว่าอยากกินเกี้ยวน้ำสักชามให้อิ่มท้อง แล้วค่อยไปท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อเดินทางไปเมืองหลวงต้าหลีต่อ ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่ย้อนกลับทางเดิม เปิดประตูใหญ่ของร้าน ทำเกี้ยวน้ำให้จอมยุทธสำนักโม่ผู้นี้สองชามใหญ่ ไม่ได้เอาเหล้าหมักออกมา ด้วยคร้านจะทำตัวเกรงใจมีมารยาทกับคนผู้นี้ ต่งสุ่ยจิ่งนั่งลงตรงข้ามเขา มองดูสวี่รั่วสวาปามกินอาหาร

สวี่รั่วพูดอู้อี้ได้ยินไม่ชัดเจน “เจ้าเดาดูสิว่าคนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้คือใคร”

เดิมทีต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคบค้าสมาคมกับเกาเซวียนโดยที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องมากนัก และต่งสุ่ยจิ่งเองก็ชอบการคบหาเช่นนี้ เขาชอบทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก แต่การค้าไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ในเมื่อสวี่รั่วถามเช่นนี้ ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ คำตอบจึงหลุดออกมาทันที “องค์ชายต้าสุยสกุลเกาเกอหยาง? มาเป็นตัวประกันที่ต้าหลีของพวกเรา?”

สวี่รั่วพยักหน้ารับ

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามว่า “ทำการค้ากับเกาเซวียนได้หรือไม่?”

สวี่รั่วคลี่ยิ้ม “มีอะไรไม่ได้กันเล่า การที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง”

ต่งสุ่ยจิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”

มีเพียงเวลาเช่นนี้เท่านั้นต่งสุ่ยจิ่งถึงจะยินดีเรียกสวี่รั่วว่าอาจารย์

สวี่รั่วชำเลืองตามองไปที่โต๊ะคิดเงิน ต่งสุ่ยจิ่งรีบไปหยิบเหล้าข้าวหมักกาหนึ่งมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าสวี่รั่วทันที สวี่รั่วดื่มเหล้าข้าวที่รสชาติติดค้างอยู่ในลำคอยาวนาน แล้วเอ่ยว่า “ทำการค้าเล็กๆ อาศัยความขยันหมั่นเพียร แต่เมื่อทำการค้าใหญ่แล้ว แน่นอนว่ายังต้องขยัน แต่คำว่า ‘ข้อมูล’ กลับยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าต้องเชี่ยวชาญในการขุดค้นรายละเอียดที่ทุกคนไม่สนใจ รวมไปถึง ‘ข้อมูล’ ที่ถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังรายละเอียด สักวันหนึ่งจะต้องเอามาใช้งานได้ และไม่จำเป็นต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ รู้ข้อมูลแล้วไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้าไปทำการค้าที่ทำร้ายคนอื่น การค้าที่ดีมักต้องมีการยื่นหมูยื่นแมวกันเสมอ”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ

สวี่รั่วถามอีกว่า “เจ้าคิดว่านิสัยที่อู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา รวมไปถึงเกาเซวียนผู้นี้แสดงออกให้เจ้าเห็น เป็นเช่นไร?”

ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวเนิบช้า “เจ้าเมืองอู๋อ่อนโยน นายอำเภอหยวนเข้มงวด ผู้ตรวจการเฉามีเสน่ห์ เกาเซวียนผ่อนคลาย”

สวี่รั่วถามอีก “เหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนี้?”

ต่งสุ่ยจิ่งมีคำตอบอยู่ในใจคร่าวๆ นานแล้วจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ทุกวันนี้ราชครูชุยฉานอาจารย์ของเจ้าเมืองอู๋ฉายประกายเฉียบคม เจ้าเมืองอู๋จึงจำต้องสำรวมตน จะหลงระเริงไม่ได้ เพราะง่ายที่จะชักนำให้คนอิจฉาริษยาและโจมตีโดยที่ไม่จำเป็น แต่ไรไหนมาสกุลหยวนก็ยึดความระมัดระวังรอบคอบเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูล หากข้าจำไม่ผิด ในคำสอนของสกุลหยวนมีสี่คำว่าเก็บลมซ่อนน้ำ สกุลเฉามีลูกหลานอยู่ประจำกองทัพชายแดนหลายคน นิสัยโผงผางเปิดเผย เกาเซวียนในฐานะองค์ชายต้าสุย ซัดเซพเนจรมาอยู่ที่นี่ ย่อมเลี่ยงที่จะหมดอาลัยตายอยากไม่ได้ ต่อให้ในใจเจ็บแค้น แต่อย่างน้อยภายนอกก็ต้องแสดงออกว่าผ่อนคลายสบายใจ”

สวี่รั่วกล่าว “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วกลับยังคงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นแค่ภายนอกเท่านั้น เรื่องพวกนี้ที่เจ้าคิดได้ คนหลายคนก็คิดได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงไม่ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ที่ช่วยให้ร่ำรวย เจ้ายังต้องขุดลึกลงไปอีก ไปผลักไปเคาะในจุดที่สูงขึ้นอีก นึกถึงสถานการณ์ของราชสำนัก แนวโน้มของราชวงศ์ที่ลึกล้ำยาวไกลให้มากขึ้น อาจจะไม่มีประโยชน์ต่อกิจการของเจ้าในเวลานี้ แต่หากฝึกฝนจนกลายเป็นความเคยชินแล้วก็จะได้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

สวี่รั่วยิ้มกล่าว “ข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบที่แท้จริง สิ่งที่สามารถสอนเจ้าได้ อันที่จริงก็ตื้นเขิน แต่เจ้ามีพรสวรรค์ สามารถเปลี่ยนจากตื้นเขินมาเป็นลึกซึ้ง วันหน้าจำนวนครั้งที่ข้ามาพบเจ้าจะน้อยลงทุกที อีกอย่างข้าเองก็ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ของเจ้าต่งสุ่ยจิ่งเช่นกัน ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเอง แต่ข้อมูลที่มีเฉพาะจากตัวข้านี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว ดังนั้นในอนาคตหากพบเจอหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าก็ย่อมสามารถทำการค้ากับข้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า”

ต่งสุ่ยจิ่งร้องอืมหนึ่งที

สวี่รั่วหยิบแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งออกมา “อันที่จริงกิจการของเจ้าในเวลานี้ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นนี้ แต่ป้ายสงบสุขที่ข้าช่วงชิงมาได้ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อมาอยู่ในมือข้าก็นับว่าสิ้นเปลืองโดยแท้ ดังนั้นจึงมอบมันให้คนอื่นไปหมด ถือซะว่าข้าตามีแวว เห็นดีในตัวเจ้าแต่เนิ่นๆ วันหน้าคงต้องขอส่วนแบ่งกับเจ้า พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนเจ้าเมืองสักรอบ หลังจากนั้นก็จะได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารของที่ว่าการส่วนท้องถิ่นและกรมพิธีการของราชสำนัก”

ต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้ปฏิเสธ เขาเก็บแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยเข้ามาไว้ในสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง

แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ ตอนนี้หากใช้คำว่ามีมูลค่าควรเมืองมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ตลอดอาณาบริเวณอันกว้างขวางทางแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่ามีกษัตริย์ อัครเสนาบดี เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากจะครอบครองมันไว้สักแผ่น

สวี่รั่วเอ่ยสัพยอก “ได้ยินว่าพ่อตาของเจ้าในอนาคตเดินทางไปเยือนใบถงทวีป ระหว่างที่ย้อนกลับมายังอุตรกุรุทวีปได้ปรากฏตัวในเมืองเล็กของบ้านเกิดแห่งนี้ เจ้าได้ฉวยโอกาสไปเยี่ยมหาเขาบ้างไหม?”

ต่งสุ่ยจิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวอย่างจนใจว่า “กว่าข้าจะได้ข่าว ท่านอาหลี่ก็ออกไปจากเมืองเล็กแล้ว”

สวี่รั่วยิ้มถาม “อยากรู้หรือไม่ว่าศัตรูตัวฉกาจของเจ้าอย่างหลินโส่วอีผู้นั้น ตอนนี้มีชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “อยากรู้สิ”

สวี่รั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

ต่งสุ่ยจิ่งถาม “เท่าไหร่?”

สวี่รั่วยื่นมือออกมา กวักกาเหล้าข้าวหมักที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินกาหนึ่งมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง แต่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว หากเจ้ายังไม่ขยันให้มากกว่านี้ ปล่อยให้หลินโส่วอีกลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางไปได้ โชควาสนาใหญ่มากมายก็จะพากันกรูเข้าหาเขา เป็นไปได้ว่าแค่เขาขยับนิ้วมือก็อาจจะได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นเงินขาวหรือทองก้อนหลายแสนตำลึง ง่ายมากที่จะทำให้เขาที่ตามมาทีหลังแซงหน้าไป”

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะ “แน่นอนว่าข้าไม่อยากแพ้ให้กับหลินโส่วอี แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหาเงินได้มากหรือน้อย”

สวี่รั่วหัวเราะ หิ้วกาเหล้าแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “มีดีกว่าไม่มี มีมากดีกว่ามีน้อย เรื่องหลายเรื่องที่มองดูเหมือนเงินแก้ไขไม่ได้ แต่สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะมีเงินไม่มากพอ”

ต่งสุ่ยจิ่งลุกขึ้นตาม “เหตุใดจนถึงตอนนี้อาจารย์ก็ยังไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคนเชื่อดาบ แค่สอนศาสตร์บางอย่างของสำนักการค้าให้ข้าเท่านั้น?”

สวี่รั่วหัวเราะพลางถามกลับ “แค่?”

ต่งสุ่ยจิ่งยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่สวี่รั่วกลับเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ต่งสุ่ยจิ่งเก็บเศษซากที่เหลืออยู่บนโต๊ะ ปิดประตูร้าน ลงจากเขามุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองแห่งใหม่ของหลงเฉวียน

คนหนุ่มที่คิดว่าบนร่างของตัวเองมีแต่กลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดง (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ ต่อให้มีเงินแค่ไหน เงินนั้นก็เหม็นอยู่ดี) ท่ามกลางม่านราตรีกลับเปล่งรัศมีเรืองรองเหมือนห่มแสงดาวสวมแสงจันทร์

……

สำนักกระบี่หลงเฉวียน เจ้าสำนักหร่วนฉงรับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อมาเพิ่มสิบกว่าคน ในที่สุดก็ทำให้ภูเขาหลายลูกที่เงียบเหงาวังเวงมีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง

เกี่ยวกับเรื่องที่สุดท้ายแล้วอริยะหร่วนฉงรับคนหลายคนไว้เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์กันไปชั่วขณะหนึ่ง

การที่มีลูกศิษย์ซึ่งได้รับการบันทึกชื่อไว้ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนชั่วคราวเหล่านี้ ต้องยกคุณความชอบให้กับความสำคัญที่สกุลซ่งต้าหลีมีให้แก่ปรมาจารย์ใหญ่ผู้หลอมกระบี่อย่างหร่วนฉง ทางราชสำนักตั้งใจคัดเลือกเด็กหนุ่มเด็กสาวและเด็กเล็กที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมาสิบสองคน จากนั้นก็สั่งทหารม้าฝีมือดีหนึ่งพันนายให้การคุ้มกันพวกเขาพามาส่งถึงตีนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน

ตอนนั้นหร่วนฉงกำลังเปิดเตาหลอมกระบี่ จึงไม่ได้ปรากฏตัว เป็นคนหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้ไม่นานคนหนึ่งออกมาทำหน้าที่รับรองทุกคนแทน เมื่อรู้ว่าคนหนุ่มชุดดำผู้นี้คือเซียนดินโอสถทองที่แท้จริง ในสายตาของเด็กๆ เหล่านั้นก็เผยแววตาร้อนแรงออกมาให้เห็น อันที่จริงชื่อของอริยะหร่วนฉง และการที่มีทหารเกราะเหล็กของราชสำนักต้าหลีทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน บวกกับที่ในชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนมีคำว่าจง (สำนัก สำนักกระบี่หลงเฉวียนภาษาจีนคือหลงเฉวียนเจี้ยนจง) อยู่ด้วยนั้น ได้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เกิดความประทับใจที่ล้ำลึกมานานแล้ว

ว่ากันว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การที่จะกลายเป็นเซียนบนภูเขาได้นั้น แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายและอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ หากสามารถเข้าร่วมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียน ถูกอริยะหร่วนหมายตา สุดท้ายกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างเป็นทางการก็หมายความว่าอย่างน้อยการเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรค

ในกลุ่มคนสิบสองคน มีคนหนึ่งคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ถูกวิเคราะห์มาว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด ต้องสามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้อย่างแน่นอน

อีกสามคนมีพรสวรรค์ของเซียนดิน ที่เหลืออีกแปดคนก็คือวัตถุดิบที่ดีในการฝึกตนซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนขั้นถึงห้าขอบเขตกลางได้

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าสกุลซ่งต้าหลีให้การสนับสนุนหร่วนฉงอย่างเต็มที่จริงๆ

หลังจากที่คนทั้งสิบสองมาพักอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงหลอมกระบี่ หร่วนฉงจึงหาเวลาว่างมาปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว พอแน่ใจในคุณสมบัติด้านการฝึกตนของคนทั้งสิบสองคนคร่าวๆ แล้วก็ให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา หลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาของการคัดเลือกอย่างไม่หยุดพัก สำหรับสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้หรือไม่นั้น คุณสมบัติในการฝึกตนเป็นเพียงแค่ก้อนอิฐที่ใช้เคาะประตูเท่านั้น (อิฐที่ใช้เคาะประตู เมื่อใช้เสร็จก็จะถูกคนโยนทิ้ง เปรียบเปรยถึงอุปกรณ์หรือแผนการในการช่วงชิงชื่อเสียงผลประโยชน์ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็โยนมันทิ้ง) พรสวรรค์ในการฝึกตนและจิตใจที่แท้จริงกลับสำคัญยิ่งกว่าในสายตาของหร่วนฉง

หลังจากที่คนเหล่านี้ขึ้นมาบนภูเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าสำนักหร่วนมีบุตรสาวโทนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าหร่วนซิ่ว นางชอบสวมชุดกระโปรงสีเขียว มัดผมหางม้า เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ยากที่จะทำให้คนลืมเลือนได้

เด็กหนุ่มบางคนก็ยิ่งหัวใจลิงโลด เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยความคิดเหล่านี้ออกมาภายนอกก็เท่านั้น

พวกคนที่เข้ามาอยู่สำนักกระบี่หลงเฉวียนในภายหลังเหล่านี้ต่างก็ชอบเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่

หร่วนซิ่วที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนแสดงความอ่อนโยนมีน้ำใจ แต่ไม่คิดจะใกล้ชิดใครเป็นพิเศษเคยพูดกับพวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำเรียกขานได้ จึงได้แต่ปล่อยให้คนอื่นเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ต่อไป

นานวันเข้าพวกลูกศิษย์บางส่วนที่เริ่มแสดงความโดดเด่นให้เห็น และบางส่วนที่เริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยยากเปลืองแรงก็ค้นพบว่าเดิมทีศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็คือบุคคลที่แปลกประหลาดที่สุดในสำนักบนภูเขาที่แปลกประหลาดอย่างมากแห่งนี้

ไม่เคยมีใครเห็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านนี้ฝึกตน ทุกวันหากไม่เก็บตัวเงียบก็อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างเตาหลอมกระบี่ ช่วยเจ้าสำนักหลอมกระบี่ หรือไม่ก็เดินเล่นไปตามภูเขาลูกต่างๆ นอกจากภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของสำนักรวมไปถึงภูเขาไม่กี่ลูกที่ห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาเสินซิ่วยังมีภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวอีกสามลูก เป็นเวลานานกว่าที่ทุกคนจะรู้ว่าภูเขาสามลูกนี้ไม่ใช่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างแท้จริง แต่เป็นภูเขาที่ทางสำนักขอเช่าจากคนผู้หนึ่งเป็นเวลาสามร้อยปี

นอกจากหร่วนซิ่วจะไปไหนมาไหนเพียงลำพังระหว่างขุนเขาและสายน้ำแล้ว นางยังเลี้ยงแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูเอาไว้เต็มลานบ้าน บางครั้งนางจะมองไกลๆ มายังโอสถทองที่เป็นคนร่วมสำนักซึ่งกำลังช่วยอธิบายขั้นตอนการฝึกตน ถ่ายทอดวิชาหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน วิเคราะห์เวทกระบี่ชั้นสูงที่ว่ากันว่าได้มาจากศาลลมหิมะให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด ศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วไม่เคยเข้ามาใกล้ทุกคน มือหนึ่งของนางจะถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ บนผ้าเช็ดหน้าวางขนมที่คล้ายกับภูเขาลูกย่อม นางแค่กินมันอย่างเชื่องช้า ตอนมาถึงจะคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก พอกินเสร็จก็จากไป

ลูกศิษย์บางคนที่ฉลาดเฉลียวเริ่มสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่จากไปแล้ว ศิษย์พี่รองที่เป็นเซียนดินโอสถทองคนนั้นจะต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

นอกจากศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วแล้ว ก็มีศิษย์พี่รองที่แทบจะเป็นอาจารย์ครึ่งตัว ศิษย์พี่หญิงสามที่พักอยู่ริมลำคลองหลงซวีเพียงลำพัง และยังมีศิษย์พี่สี่ที่เป็นเด็กหนุ่มแซ่เซี่ย เกิดมาก็มีคิ้วคู่หนึ่งที่ยาวมากคนนั้น ศิษย์พี่เซี่ยที่อายุไม่มากคนนี้แทบไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เด็กรุ่นหลังเห็น แล้วเจ้าคนคิ้วยาวแซ่เซี่ยผู้นี้ก็ดันรับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเสียอีก ตอนแรกยังมีศิษย์น้องบางคนที่บ่นศิษย์พี่สี่อย่างไม่พอใจว่าเย็นชาเข้มงวดเกินไป ไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งมาจากทางเมืองเล็ก ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัว

ศิษย์พี่สี่เซี่ยที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเถาเย่ บรรพบุรุษท่านหนึ่งในตระกูลที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงก็คือเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีป

เซียนเหรินขอบเขตสิบสอง

ก่อนจะขึ้นเขามา ในบรรดาคนทั้งสิบสองคนนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียนดินบนโลกยังแบ่งออกเป็นอีกสองประเภทคือโอสถทองและก่อกำเนิด

ส่วนหลังก่อกำเนิดไปนั้น ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน จึงเข้าใจผิดคิดว่านั่นคือขอบเขตสูงสุดของผู้ฝึกลมปราณแล้ว

หลังจากขึ้นเขามา ศิษย์พี่รองที่ถือเป็นหนึ่งในลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาของหร่วนฉง เซียนดินโอสถทองชุดดำที่ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดจาท่านนั้นก็ได้ช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังคร่าวๆ ถึงการแบ่งขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ พวกเขาถึงได้รู้ว่ายังมีห้าขอบเขตบน มีขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนเหริน

หลังจากนั้นมา นอกจากพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ประสา หรือบางคนที่เป็นคนใจกล้าแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนยามที่เห็นศิษย์พี่สี่ซึ่งชอบตีหน้าเคร่งอบรมผู้อื่นก็แทบจะไม่กล้าหายใจเสียงดัง

มีเพียงอยู่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วเท่านั้น ศิษย์พี่สี่ถึงจะยิ้มแย้มให้เห็น และตลอดทั้งภูเขาก็มีเพียงเขาที่ไม่เรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ แต่เรียกหร่วนซิ่วว่าพี่หญิงซิ่วซิ่ว

เพียงแต่ว่าดูเหมือนหร่วนซิ่วก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับศิษย์น้องผู้นี้เหมือนกัน

นี่ทำให้ในใจของเด็กหนุ่มหลายคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่สำนักทีหลังรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก

ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องผิดหวัง

วันนี้หร่วนเฉิงปรากฎตัวอีกครั้ง เขาพูดจากระชับเรียบง่าย เอ่ยแค่สองเรื่องก็ย้อนกลับไปยังเตาหลอมกระบี่

เรื่องแรก ขอแค่ใครก็ตามที่กลายมาเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ หร่วนฉงก็จะหลอมกระบี่ให้คนผู้นั้นเองกับมือหนึ่งเล่ม

ต้องรู้ว่าเจ้าสำนักหร่วนคืออันดับหนึ่งด้านการหลอมกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้อย่าว่าแต่ทั้งสิบสองคนเลย นอกจากศิษย์พี่สี่เซี่ยที่ยังคงมีสีหน้าไม่สนใจไยดีดังเดิมแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่หญิงสามที่รีบกลับภูเขามารับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ยังอดเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เรื่องที่สองคือตอนนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ซื้อภูเขาแห่งใหม่ไว้อีกลูกหนึ่ง หร่วนฉงจึงพูดจาให้กำลังใจสองสามคำ บอกว่าในอนาคตใครที่เลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็จะมีคุณสมบัติจัดงานพิธีเปิดขุนเขาขึ้นที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน แล้วได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งไปเพียงลำพัง อีกทั้งในฐานะผู้ฝึกตนคนแรกของสำนักกระบี่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ มีเพียงต่งกู่ที่ได้รับการยกเว้น สามารถเปิดขุนเขา เลือกภูเขาลูกหนึ่งไว้เป็นที่สร้างจวนในการฝึกตนของตนเองได้เลย และสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ใต้หล้า

ทว่าต่งกู่กลับปฏิเสธ ขอร้องอาจารย์ว่ารอให้ตนได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียก่อนถึงจะเปิดภูเขาอย่างถูกต้องเปิดเผย

หร่วนฉงจึงอนุญาต

สวีเสี่ยวเฉียวที่เหล่าศิษย์น้องชายหญิงเคยชินที่จะเรียกว่าศิษย์พี่หญิงสามลงจากภูเขาไปอีกครั้ง กลับไปยังเพิงริมลำคลองหลงซวีอันเป็นสถานที่ก่อกำเนิดของสำนักกระบี่ หร่วนซิ่วเดินทางไปกับนางด้วยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้สวีเสี่ยวเฉียวรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน

เซี่ยหลิงศิษย์พี่สี่อยากตามพวกนางไปด้วย ผลคือหร่วนซิ่วไม่พูดอะไร แค่ชำเลืองตามองเขา เซี่ยหลิงก็ยอมล่าถอยไปเอง ยอมอยู่ต่อบนภูเขาอย่างว่าง่าย

ตอนที่เดินเท้าลงจากภูเขา หร่วนซิ่วถามว่า “อันที่จริงเจ้าต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของพ่อข้า แต่เป็นเพราะต่งกู่สร้างโอสถทองได้ก่อน ทุกคนก็เลยเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิงสาม เจ้ารู้สึกไม่ดีหรือไม่?”

สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นถูกศาลลมหิมะทอดทิ้งขับไล่ออกจากสำนักตอบตามสัตย์จริง “ในใจย่อมรู้สึกแย่ แต่ให้ต่งกู่เป็นศิษย์พี่รอง ข้าไม่มีความเห็นใด”

หร่วนซิ่วไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ

สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นนิ้วโป้งของมือข้างที่กุมกระบี่ขาดหายไปเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ สักวันหนึ่งข้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้จริงๆ หรือ?”

หร่วนซิ่วตอบตามตรง “ค่อนข้างยาก เมื่อเทียบกับต่งกู่ที่สามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ภายในร้อยปีแล้ว ตัวแปรของเจ้ามีมากกว่า สำหรับเขาแล้วการสร้างโอสถค่อนข้างง่าย แต่เมื่อถึงเวลานั้นพ่อข้าต้องช่วยเจ้าแน่นอน ไม่มีทางลำเอียงช่วยแต่ต่งกู่ เมินเฉยเจ้า แต่หากคิดจะเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด เจ้ากลับลำบากกว่าต่งกู่มาก”

สวีเสี่ยวเฉียวสีหน้าหม่นหมอง

คนในตระกูลเซียนทั่วไปที่สามารถเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองได้นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ต้องจุดธูปกราบไหว้ป้ายวิญญาณศาลบรรพชน กลับไปแอบหัวเราะชอบใจอยู่ในโปงผ้าห่มของตัวเองได้แล้ว

ทว่าในสายตาของสวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนและเคยเห็นทัศนียภาพบนยอดเขาของศาลลมหิมะมาก่อนรู้ดีว่า เป็นแค่ผู้ฝึกตนโอสถทองนั้นอยู่ไกลจากคำว่าเพียงพอมากนัก

คิดไม่ถึงว่าหร่วนซิ่วจะยังพูดซ้ำเติมมาอีกประโยค “ส่วนเซี่ยหลิงศิษย์น้องของพวกเจ้าจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหยกดิบ หากตอนนี้เจ้าก็รู้สึกอิจฉาเซี่ยหลิงแล้ว คาดว่าตลอดชีวิตของเจ้าก็มีแต่จะยิ่งอิจฉาเขามากขึ้นทุกที”

สวีเสี่ยวเฉียวเม้มปาก ฝีเท้าหนักอึ้ง

ในบรรดาลูกศิษย์เปิดภูเขาสามคนของหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์ ต่งกู่คือคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยที่สุด เพราะเป็นเดรัจฉานในป่าเขาที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูต และตอนนี้แค่สะบัดตัวก็จำแลงกาย กลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองและศิษย์พี่รองที่ทุกคนในสำนักกระบี่หลงเฉวียนให้ความเคารพนับถือ

เซี่ยหลิงคือชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่ อายุน้อยที่สุด ไม่เคยเผชิญกับความยากลำบากมาแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มากที่สุด ไม่เพียงแต่บรรพบุรุษในตระกูลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าคนหนึ่ง ยังถึงขั้นทำให้เจ้าลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ฐานะสูงส่ง อยู่สูงเหนือนอกฟ้ามอบเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เขาด้วยมือตัวเอง

มีเพียงนางสวีเสี่ยวเฉียวที่ชีวิตพบเจอกับอุปสรรคมากที่สุด ตั้งใจฝึกตนมากที่สุด ทว่ามหามรรคากลับขรุขระมากที่สุด!

หร่วนซิ่วเด็ดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งริมทางภูเขามาถือไว้ในมือ เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้สึกว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ทำให้โมโหตายได้เลย ถูกไหม?”

สวีเสี่ยวเฉียวตาแดงก่ำ

หร่วนซิ่วพลันพูดประโยคหนึ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงแผ่วเบา “แม้จะบอกว่าต่อให้ร่างทองของเจ้าเน่าเปื่อย แก่ตายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ยังไม่มีทางเทียบกับเซี่ยหลิงและต่งกู่ได้ติด แต่ข้าก็ยังชอบเจ้ามากกว่า แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเจ้าสักเท่าไหร่”

สวีเสี่ยวเฉียวใช้หลังมือเช็ดหางตา หันหน้ามายิ้มให้หร่วนซิ่ว “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอบคุณท่านมาก”

หร่วนซิ่วหยุดเดิน ผงกศีรษะพูดว่า “ขอบคุณข้า? ถ้าอย่างนั้นขึ้นเขามาคราวหน้าก็เอาขนมมาให้ข้าด้วยล่ะ เจ้าก็รู้จักร้านในตรอกฉีหลงนี่นา”

สวีเสี่ยวเฉียวอึ้งตะลึง แต่แล้วก็คลี่ยิ้มราวกับบุปผาผลิบาน “โถ่ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า!”

หร่วนซิ่วยิ้มตามนางไปด้วย

นางมาส่งสวีเสี่ยวเฉียวถึงแค่ตีนเขา เบื้องใต้ซุ้มประตูที่มีกรอบป้าย ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ ที่ฮ่องเต้ต้าหลี หรือควรจะพูดให้ถูกต้องว่าอดีตฮ่องเต้ประทานให้ สวีเสี่ยวเฉียวบอกลาหร่วนซิ่ว แล้วจึงโคจรลมปราณ ขึ้นเหยียบบนกระบี่ ทะยานลมจากไป

ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้มีเพียงลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น

หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนดินคนอื่นๆ ใครที่กล้าบินทะยานบนฟ้า หร่วนฉงไม่คิดจะใช้ใจของอริยะอะไรพูดคุยด้วยทั้งนั้น

นับตั้งแต่ผู้ฝึกตนต้าหลีหลายกลุ่มที่มาหยั่งเชิงในช่วงแรกสุด มาจนถึงเซียนกระบี่เฉาจวิ้นในภายหลัง ต่างก็เคยลิ้มรสกฎของหร่วนฉงไปแล้ว บ้างก็ตาย บ้างก็บาดเจ็บ

หร่วนซิ่วยืนอยู่ตรงตีนเขา แหงนหน้ามองกรอบป้ายนั้น ท่านพ่อไม่ชอบให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีสองคำว่าหลงเฉวียนเพิ่มขึ้นมา ลูกศิษย์เปิดขุนเขาทั้งสามคนอย่างพวกสวีเสี่ยวเฉียวกต่างก็รู้ดีว่า ท่านพ่อหวังให้ในบรรดาพวกเขาสามคน มีคนใดคนหนึ่งสามารถปลดคำว่าหลงเฉวียนลงไปได้ เหลือทิ้งไว้เพียงคำว่า ‘สำนักกระบี่’ ที่หยัดยืนอยู่เหนือยอดเขาที่มีกลุ่มภูเขาของแจกันสมบัติทวีปโอบล้อม ถึงเวลานั้นคนผู้นั้นก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป

สำหรับปมในใจของบิดา หร่วนซิ่วค่อนข้างจะเข้าใจดี แต่ทุกครั้งที่บิดามาพูดบอกกับนางว่าให้ตั้งใจฝึกตนมากขึ้น แม้ปากของนางจะตอบรับ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพขนมเอย เนื้อตุ๋นหน่อไม้แห้งเอย

นี่ทำให้หร่วนซิ่วละอายใจเล็กน้อย

นางจึงเก็บความคิดนั้นไว้ คิดว่าจะไม่ไปพูดกับบิดาแล้วว่า ควรถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอาหารการกินให้เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายโดยเพิ่มเนื้อเข้ามาในทุกมื้ออาหารได้แล้วหรือไม่

น่าสงสารเหล่าศิษย์น้องที่ไม่มีลาภปากนั้น

ตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อยากจะเป็นนี้ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเลยจริงๆ

ในขณะที่หร่วนซิ่วย้อนกลับขึ้นเขาไปด้วยความรู้สึกผิด

หร่วนฉงก็ออกจากภูเขาเสินซิ่วมาเยือนที่ว่าการเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเงียบเชียบ

เจ้าเมืองอู๋ยวนมารออยู่นานมากแล้ว เขาไม่ได้พูดโอภาปราศรัยกับอริยะหร่วนฉงตามมารยาท แต่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเรื่องหนึ่งทันที

ตอนนี้ในอาณาเขตของต้าหลี มีกองกำลังบนภูเขาบางส่วนที่เป็นไปได้ว่าได้รับการสนับสนุนจากแคว้นอื่นทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที

โดยเฉพาะนับแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ลำพังเพียงแค่ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก็มีเกิดขึ้นถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีหน่วยจานกาน (คือองค์กรข่าวกรองที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในสมัยโบราณ) ตายไปเจ็ดคน ทางราชสำนักเดือดดาลอย่างหนัก

หร่วนฉงที่รับรู้รายละเอียดความขัดแย้งและความต้องการของราชสำนักต้าหลีแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะให้ซิ่วซิ่ว ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสามคนออกหน้า คอยรับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักต้าหลีของพวกเจ้าให้รับผิดชอบเรื่องนี้”

อู๋ยวนดูแปลกใจและลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่นางซิ่วซิ่วก็จะออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยหรือ?”

อันที่จริงหร่วนฉงกับสกุลซ่งต้าหลีเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ มานานแล้ว หน้าที่รับผิดชอบและค่าตอบแทนของทั้งสองฝ่ายถูกระบุไว้อย่างเป็นระเบียบ และถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน

แต่หลายปีมานี้ล้วนเป็นราชสำนักต้าหลีที่ ‘มอบให้’ ไม่เคย ‘รับไป’ แม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ครั้งนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนยอมอุทิศตนเพื่อราชสำนักต้าหลีตามข้อตกลง รองเจ้ากรมพิธีการก็ส่งจดหมายลับผ่านกระบี่บินมาสั่งความนานแล้วว่า ขอแค่หร่วนฉงยินดีมอบตัวต่งกู่ผู้เป็นเซียนดินโอสถทองไปช่วย ก็ถือว่ามีความจริงใจพอแล้ว ต้าหลีจะไม่มีทางเรียกร้องสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างเกินควรเด็ดขาด แน่นอนว่าอู๋ยวนเองก็ไม่กล้าทำตัดสินใจเองโดยพลการ

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหร่วนซิ่วก็จะออกจากภูเขาไปด้วย ด้วยเหตุด้วยผล อู๋ยวนจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

คงเป็นเพราะรู้ว่าเหตุใดอู๋ยวนและราชสำนักต้าหลีถึงรู้สึกลำบากใจ หร่วนฉงจึงยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกำชับซิ่วซิ่วเอง ครั้งนี้ที่นางออกจากภูเขาไปจัดการธุระ จะพยายามไม่ให้นางเป็นผู้ลงมือ อีกอย่างต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าก็ไม่มีทางไปพาลโกรธเอากับต้าหลีของพวกเจ้า”

อู๋ยวนยังคงไม่กล้าตกปากรับคำเองโดยพลการ หร่วนฉงพูดอย่างนี้ก็จริง แต่เขาอู๋ยวนจะกล้าคิดเป็นจริงเป็นจังเสียที่ไหน เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ขอแค่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ขึ้นมา สัมพันธ์ควันธูประหว่างราชสำนักต้าหลีกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะไม่เกิดความเสียหายหรอกหรือ? สกุลซ่งทุ่มเทแรงใจไปมากมายเพียงนั้น หากค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไหลหายไปกับสายน้ำ ตลอดทั้งต้าหลี เกรงว่าคงมีแต่อาจารย์ชุยฉานที่สามารถแบกรับได้ไหว

ดังนั้นอู๋ยวนจึงพูดอย่างชัดเจนว่าเขาต้องแจ้งให้ทางกรมพิธีการทราบก่อน

หร่วนฉงพยักหน้ารับ “ได้ ใต้เท้าเจ้าเมืองแค่ให้คำตอบข้ามาโดยเร็วก็พอ”

จากนั้นหร่วนฉงก็ถามว่า “ข้าอยากจะเลือกคนสองสามคนในกลุ่มของนักโทษสกุลหลูมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ เจ้าสามารถรายงานเรื่องนี้ไปทางราชสำนักพร้อมกันเลยก็ได้ ดูว่าทางนั้นจะอนุญาตหรือไม่ หากจะเกิดความขัดแย้งกับหน่วยจานกาน พวกเจ้าก็จะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน”

อู๋ยวนยิ้มเจื่อน “ตกลง”

พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จแล้ว หร่วนฉงก็จากไปราวกับสายลม ไม่ยืดเยื้ออืดอาดแม้แต่น้อย

ทิ้งเจ้าเมืองอู๋ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดไว้เพียงลำพัง เขากำลังใคร่ครวญหาถ้อยคำว่าควรจะจรดพู่กันรายงานสองเรื่องนี้แก่ทางราชสำนักอย่างไรดี

ราชสำนักต้าหลีที่อยู่ในมือของราชครูชุยฉานได้สร้างองค์กรใต้ดินที่ลึกลับมากขึ้นแห่งหนึ่ง สมาชิกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนถูกเรียกรวมกันว่าหน่วยจานกาน ทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวงจะจับกลุ่มกันไปสามคน คนจากกองโหราศาสตร์หนึ่งคน เซียงซือ (คนที่เชี่ยวชาญด้านการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้า ลักษณะท่าทาง รูปร่างของคนแล้วทำนายชะตาในอนาคต) หนึ่งคน คนของสำนักหยินหยางหนึ่งคน ทำหน้าที่ช่วยต้าหลีค้นหาหยกงามวัตถุดิบล้ำเลิศที่เหมาะแก่การฝึกตนตามสถานที่ต่างๆ

หากถูกหน่วยจานกานหมายตา ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ถูกผู้ฝึกลมปราณเลือกเอาไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้พาขึ้นเขา ทุกคนก็ล้วนต้องหลีกทางให้หน่วยจานกาน

และนี่ก็น่าจะเป็นที่มาของชื่อเรียกว่าหน่วยจานกานนี้ (จานกานแปลว่าแท่งเหนียว เช่นแท่งที่ทากาวไว้จับดักจักจั่น)

หลังจากที่ชุยฉานกลายเป็นราชครู และแคว้นต้าหลีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการลงมือใหญ่โตจริงจังด้วยเรื่องนี้ เพียงแต่พอเกิดเรื่องขึ้นหลายครั้งเข้า พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระของต้าหลีก็หยุดก่อความวุ่นวายกันไปเอง เพราะซิ่วหู่ผู้นั้นช่วยหนุนหลังให้หน่วยจานกานอย่างถึงที่สุดในทุกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น

ในจวนตระกูลเซียนที่มีก่อกำเนิดท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ โอสถทองท่านหนึ่งได้ทดสอบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างภูเขามานานถึงหกปีเต็ม ตั้งใจแกะสลักเกลากลึงหยกดิบชิ้นนั้น เตรียมจะรับอีกฝ่ายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้ของตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหน่วยจานกานหน่วยหนึ่งที่ผ่านทางมาพบต้นกล้าที่ดีต้นนี้เข้า โอสถทองผู้เฒ่าเจอเข้ากับหน่วยจานกานที่เผด็จการไร้เหตุผลก็โมโหจนกัดฟันกรอด โอสถทองผู้เฒ่าถึงขั้นยินดีจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ แต่หน่วยจานกานก็ยังยืนกรานว่าจะพาตัวเด็กหนุ่มคนนั้นไป

ทั้งสองฝ่ายถกเถียงวิวาทกันไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด หน่วยจานกานถูกสังหารตายคาที่ไปสองคน หนีไปได้หนึ่งคน

ตามหลักแล้วการกระทำของโอสถทองผู้เฒ่าสมเหตุสมผล อีกทั้งยังถือว่าเห็นแก่หน้าของราชสำนักต้าหลีมากแล้ว นอกจากนี้ภูเขาที่โอสถทองเฒ่าคนนี้ฝึกตนอยู่ก็คือตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของต้าหลี

ทว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังคงถูกกองทัพม้าเหล็กหกพันนายของต้าหลี เลขาธิการอีกเกือบร้อยคน บวกกับกลไกสำนักโม่ที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดอีกหลายร้อยอย่าง รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอีกร้อยกว่าคนที่ที่ว่าการกรมอาญาต้าหลีเรียกตัวมาพากันมาล้อมภูเขา

หากพูดให้เพราะก็คือการแสดงวรยุทธ!

สงครามครั้งนั้นดุเดือดชวนพรั่นพรึง ต้าหลีถึงขั้นเรียกตัวทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีมาเข้าร่วมด้วย

สุดท้ายตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดทางชายแดนทิศเหนือของต้าหลีแห่งนั้นก็ถูกทำลายจนภูเขาหายไปครึ่งลูก พลังต้นกำเนิดเสียหายใหญ่หลวง กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลระดับล่างของขั้นสอง บรรพจารย์ก่อกำเนิดสู้รบจนตัวตาย ผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองถูกแม่ทัพบู๊ต้าหลีตัดหัว จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งพกศีรษะแห้งเหี่ยวที่ตายตาไม่หลับนั้นไป ‘ส่งหัวผู้นำ’ ให้แก่ภูเขาหลายแห่งริมชายแดนได้เห็น

นับแต่นั้นมาเทพเซียนบนภูเขาในอาณาเขตของต้าหลีก็เก็บความโอหังเย่อหยิ่งของตัวเองลงไป ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เลือกพึ่งพาราชสำนักต้าหลีมานานแล้วก็ยังเริ่มกำชับสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของตน

ว่ากันว่าหลังจากศึกครั้งนั้นปิดฉากลง ราชครูซิ่วหู่ที่น้อยครั้งจะออกจากเมืองหลวงต้าหลีได้มาปรากฏตัวบนยอดเขาลูกนั้น แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหาร ‘โจรกบฏ’ ที่เหลืออยู่บนภูเขา แค่บอกให้คนตั้งป้ายศิลาป้ายหนึ่ง บอกว่าวันหน้าจะได้ใช้

ตอนนี้ป้ายหินที่อยู่บนยอดเขายังคงว่างเปล่าไร้ตัวอักษร ไม่รู้ว่าใต้เท้าราชครูลืมเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องนี้ไปแล้ว หรือแค่เพราะโอกาสยังไม่มาถึง

……

บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือของต้าหลีที่มีตระกูลเซียนปักหลักตั้งถิ่นฐานมานานหลายปี มีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เพิ่งเดินขึ้นเขามาได้ไม่นานยืนอยู่ข้างป้ายศิลาว่างเปล่าที่ไม่ได้สลักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว เขายื่นมือไปกดลงบนป้ายศิลา หันหน้าไปมองทางทิศใต้

บนยอดเขามีผู้เฒ่าอยู่แค่คนเดียว ไม่มีคนอื่นๆ อยู่เคียงข้าง

คนรุ่นผู้อาวุโสของตระกูลเซียนทุกคนที่เคยผ่านศึกนองเลือดในปีนั้นต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในแถบพื้นที่ที่ไม่ห่างจากยอดเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ส่วนลูกศิษย์หนุ่มสาวที่เพิ่งรับมาใหม่ในภายหลังก็ยิ่งถูกสั่งห้ามอย่างเข้มงวดว่าไม่ให้ออกจากจวนที่พักของตัวเอง ใครกล้าออกมาเดินโดยพลการจะถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ แล้วโยนทิ้งไปที่ตีนเขา!

ผู้เฒ่าทุกคนในสำนักที่ในอดีตเคยอยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในแถบทิศเหนือของต้าหลี เวลานี้หันมามองหน้ากันเอง ต่างก็มองออกถึงความหวาดกลัวและจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย หวาดเกรงว่าราชครูต้าหลีผู้นั้นจะออกคำสั่งอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นก็ตามมาด้วยการคิดบัญชีย้อนหลัง ตัดรากถอนโคนภูเขาที่ฟื้นคืนความมีชีวิตชีวากลับมาได้น้อยนิดอย่างยากลำบากแห่งนี้!

ชุยฉานซิ่วหู่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลันคลี่ยิ้มบางๆ อย่างคลุมเครือ “เจ้าเฉินผิงอันชอบใช้เหตุผลนักไม่ใช่หรือ คราวนี้ข้าอยากจะดูนักว่าเจ้าจะยังใช้เหตุผลได้อีกหรือไม่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version