บทที่ 429 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ปูใหญ่อวบอ้วน เวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินปูเสื้อทองของนครน้ำบ่อ เมื่อถึงช่วงเวลาของมื้ออาหาร ทั่วทั้งเมืองจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่มีเฉพาะตัว
ถึงขั้นที่ว่าจะมีพวกนักกินที่เดินทางไกลเป็นพันลี้มาเยือนราชวงศ์จูอิ๋ง ผลัดกันชนจอกเหล้าอยู่ในเหลาสุราและจวนริมน้ำร่วมกับสหายสนิทของตัวเอง แต่ปีนี้แคว้นสือหาวที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนมากที่สุดกลับแทบไม่มีใครมาเสพสุขกับลาภปากที่นี่ เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว
ยังเหลืออีกสิบวันก่อนที่งานชุมนุมเจ้าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนจะถูกจัดขึ้น ถึงเวลานั้นเจ้าเกาะร้อยกว่าแห่งจะพากันขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่วที่เจ้าของเกาะไม่อยู่มานานหลายปี เพื่อคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพคนถัดไป
หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
แต่ที่นี่คือทะเลสาบซูเจี่ยน คือทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในงานเลี้ยงสีสันอาหารตระการตา เสียงชนจอกเหล้าเคล้าเสียงหัวเราะพูดคุยเพิ่งจะจางหายไปก็มีผู้ฝึกตนอิสระสี่ร้อยกว่าคนร่วมมือกันมาสังหารก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง
สองวันมานี้ในเมืองน้ำบ่อมีข่าวลือแพร่ออกมา บอกว่ามารน้อยกู้ผู้นั้นจะมากินปูที่เมือง ฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อได้เริ่มทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อหาซื้อปูเสื้อทองที่อวบอ้วนที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว คือ ‘กิ่งไผ่’ ที่หายากที่สุดในบรรดาปูเสื้อทอง ตัวโตอย่างมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นแห่งโชคชะตาน้ำ ชั่วชีวิตของชาวประมงธรรมดาอย่าได้หวังว่าจะจับมาได้สักตัว ขนาดพบเห็นยังยาก นั่นคือของล้ำค่าที่มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้นถึงจะพอโชคดีจับมาได้
เกาะชิงเสียที่เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาในทุกวันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมาหลิวจื้อเม่าเริ่มหยุดการขยับขยาย ก็เหมือนกับคนผู้หนึ่งที่สวาปามกินอาหารเข้าไปอย่างบ้าคลั่งจนอิ่มแปล้ จึงต้องค่อยๆ ย่อยส่วนที่กินเข้าไปก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่มองดูเหมือนจะดี แท้จริงแล้วกลับจะกลายเป็นเม็ดทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจายเพราะจิตใจคนไม่มั่นคง สำหรับในข้อนี้ หลิวจื้อเม่ามีสติแจ่มชัดมาโดยตลอด ในส่วนของผู้ฝึกตนอิสระที่เลือกมาสวามิภักดิ์ต่อเกาะชิงเสียก็จะยิ่งคัดเลือกอย่างเข้มงวด ส่วนการลงมืออย่างเป็นรูปธรรมนั้นก็ล้วนยกให้ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของเขาซึ่งมีนามว่าเถียนหูจวินเป็นผู้จัดการ
ช่วงแรกเริ่มสุดนางคือศิษย์พี่หญิงรองของกู้ช่าน แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างสมเหตุสมผล ศิษย์พี่ใหญ่ถูกศิษย์น้องเล็กอย่างกู้ช่านฆ่าตายไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยตำแหน่งเว้นว่างเอาไว้ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟังแค่ไหน
ตอนนี้คนที่ล้อมวนเวียนอยู่รอบกายกู้ช่านมีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่ตัวตนไม่ธรรมดาและลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์กลุ่มใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อที่กำลังจะจัดงานเลี้ยงรับรอง ‘พี่ใหญ่กู้’ ที่เป็นบุตรชายโทนของเจ้านคร ถูกฮูหยินเลี้ยงดูอย่างตามใจจนไม่กลัวแม้แต่เทพเทวดา ป่าวประกาศว่าชีวิตนี้ตนจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่เทพเซียนพสุธาอะไรทั้งนั้น จะยอมศิโรราบให้กับวีรบุรุษชายชาตรีเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนประเภทไร้สมอง
คนอายุเกือบสามสิบปีแล้วยังชอบเรียกกู้ช่านว่าพี่ใหญ่กู้ คนของนครน้ำบ่อต่างก็ชอบมองเจ้านครน้อยผู้นี้เป็นตัวตลก
นอกจากนี้ยังมีศิษย์พี่สี่แห่งเกาะชิงเสีย ฉินเจวี๋ย ศิษย์พี่หกเฉาเจ๋อ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษของทะเลสาบซูเจี่ยน พรสวรรค์ดีเยี่ยม สังหารใครไม่เคยใจอ่อน คือขุนพลคนสนิทของสกัดคงคาเจินจวินที่ออกกรีฑาทัพไปทั่วสี่ทิศ
และยังมีศิษย์น้องเล็กของเจ้าของเกาะหวงหลี ลวี่ไช่ซาง อายุต่างจากศิษย์พี่ที่เป็นเจ้าของเกาะอยู่หลายร้อยปี เนื่องจากเป็นลูกศิษย์ที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งรับตัวมาก่อนจะปิดด่าน ฐานะจึงสูงมากเป็นพิเศษ
ก่อนที่เกาะชิงเสียจะเจริญรุ่งเรือง เกาะหวงหลีคือเกาะขนาดใหญ่ในจำนวนน้อยนิดที่สามารถงัดข้อกับเกาะชิงเสียได้ แน่นอนว่าทุกวันนี้พลังอำนาจย่อมเทียบกับเกาะชิงเสียไม่ได้
นายน้อยแห่งเกาะกู่หมิง หยวนหยวน (元袁) มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวน (圆圆) พ่อแม่คือคู่บำเพ็ญตนคู่หนึ่งของเกาะกู่หมิง เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองทั้งสองคน สตรีแซ่หยวน (元) บุรุษแซ่หยวน (袁) เป็นคู่ที่แต่งงานกันแล้วบุรุษย้ายเข้ามาอยู่บ้านภรรยา มารดาของหยวนหยวนเป็นสตรีดุร้ายป่าเถื่อนที่ทำให้หลิวจื้อเม่าปวดหัว ประเด็นสำคัญคือผู้ฝึกตนหญิงคนนี้มีภูมิหลังที่ใหญ่มาก ในอดีตเคยเป็นอนุภรรยาซึ่งเป็นที่โปรดปรานของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง
หันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาว หวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่
กู้ช่าน ฟ่านเยี่ยนคุณชายเสเพล ฉินเจวี๋ย เฉาเจ๋อ ลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน หันจิ้งหลิง หวงเฮ้อ บวกกับเถียนหูจวินศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่ชอบปรากฏตัว แต่กลับเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกู้ช่านอย่างไม่รีรอ
นอกจากเถียนหูจวินที่ถูกกู้ช่านบังคับลากตัวมาร่วมด้วยแล้ว คนอื่นๆ อีกแปดคนล้วนสวามิภักดิ์ด้วยความสมัครใจ ว่ากันว่าภายใต้คำแนะนำของกู้ช่าน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปจับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งมาจากไหน เอามากรีดเลือดไก่สาบานเป็นพี่เป็นน้องกัน เรียกตัวเองว่าสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน
ไม่พูดถึงคนของทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงแม้แต่คนทั้งแปดก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีกันเก้าคน แต่เหตุใดถึงป่าวประกาศแก่คนนอกว่าสิบวีรบุรุษ?
ตอนนั้นมารน้อยกู้ช่านแค่เปลือยเท้ายืนอยู่บนเก้าอี้ใหญ่อันดับสอง กระโดดโลดเต้นชี้ไปยังเก้าอี้อันดับหนึ่งที่ว่างเปล่า คลี่ยิ้มกว้างพูดว่าตำแหน่งนี้เก็บไว้ก่อน
กู้ช่านผู้นี้อายุไม่มาก แต่พอมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ส่วนสูงของเขากลับเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ ปีหนึ่งก็สูงขึ้นคืบใหญ่ เด็กอายุสิบกว่าขวบกลับตัวสูงพอๆ กับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว
มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าเจียวหลงที่ชอบจับผู้ฝึกลมปราณกินเป็นอาหารตัวนั้นสามารถนำพลังกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายของกู้ช่านได้ บนเกาะชิงเสีย การลอบฆ่าครั้งเดียวที่ขยับใกล้ความสำเร็จมากที่สุดก็คือนักฆ่าคนหนึ่งที่ตวัดดาบฟันลงบนกระดูกสันหลังของมารน้อยกู้อย่างแรง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปต้องตายคาที่แน่นอน ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากไม่ได้พักฟื้นรักษาตัวสักสองสามปีก็อย่าหวังว่าจะลงจากเตียงมาได้ ทว่าเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน มารน้อยผู้นั้นกลับออกจากภูเขามาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมานั่งอยู่บนหัวของเจียวหลงที่ถูกเขาเรียกว่า ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น ให้มันพาแหวกว่ายธาราของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างมีความสุขอีกครั้ง
วันนี้มองจากหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็จะสามารถมองเห็นเรือหอเรือนขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งขับเคลื่อนตรงมาช้าๆ ความใหญ่โตของเรือนั้นทำให้มันมีระดับสูงเทียบเท่ากับความสูงของกำแพงนครน้ำบ่อ
รอบด้านของเรือหอเรือน นอกจากคลื่นน้ำที่ถูกตัวเรือแหวกทะยานออกมาแล้ว บนผิวน้ำของทะเลสาบที่ห่างจากเรือหอเรือนไปร้อยกว่าจั้งก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงเบาๆ ซึ่งสังเกตเห็นได้ไม่ง่ายนัก
มีคนผู้หนึ่งที่ลักษณะคล้ายเด็กหนุ่มสวมชุดหม่างสีหมึกกระชับรับกับรูปร่าง นั่งเท้าเปล่าอยู่บนราวรั้วของหัวเรือ เขาแกว่งเท้าทั้งสองข้าง ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะสูดจมูกด้วยความเคยชิน ดูเหมือนว่ากาลเวลายาวนาน ตัวก็สูงขึ้นแล้ว ทว่าบนใบหน้ายังคงมีน้ำมูกสองเส้น จึงต้องสูดมังกรเขียวตัวน้อยสองตัวกลับถ้ำไป
ด้านหลังของเขามีคนยืนอยู่สามคน ศิษย์พี่หญิงใหญ่เถียนหูจวิน ทุกวันนี้นางเป็นผู้ดูและเกาะชิงเสียและมีอำนาจใหญ่ในการตัดสินความเป็นความตายของคนเกือบหมื่นที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงใต้อาณัติ จึงเริ่มมีบารมีอำนาจที่คล้ายคลึงกับสกัดคงคาเจินจวินอยู่หลายส่วนแล้ว คนที่ยืนขนาบซ้ายและขวาของนางคือศิษย์น้องสองคนอย่างฉินเจวี๋ยและเฉาเจ๋อ
ขยับไปเบื้องหลังก็คือแม่นางเปิดสาบเสื้อหน้าตางดงาม บุคลิกท่าทางแตกต่างกันออกไปหลายสิบคนที่ยืนเป็นแถวเรียงราย เพียงแต่ว่าเมื่อออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกจึงเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ที่สุภาพถูกกาลเทศะ
และเบื้องใต้น้ำของทะเลสาบที่อยู่รอบเรือหอเรือน
ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยจั้ง
ท่าเรือตรงริมฝั่งถูกเจ้านครน้อยอย่างฟ่านเยี่ยนยึดครองอยู่นานแล้ว เขาขับไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป หยวนหยวนเจ้าเกาะน้อยแห่งเกาะกู่หมิง ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะหวงหลีที่ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนกลุ่มใหญ่พากันเรียกขานว่าบรรพจารย์น้อย และยังมีหันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาวที่มาหลบเลี่ยงหายนะอยู่ที่นี่เกือบครึ่งปีแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินอยู่ริมชายฝั่ง มีเพียงหวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มาอยู่ด้วย ช่วยไม่ได้ บิดาที่ในมือกุมอำนาจปกครองทหารชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ฝีมือดีหกหมื่นนายของแคว้นสือหาวผู้นั้น ว่ากันว่าเพิ่งจะแทงข้างหลังฮ่องเต้แคว้นสือหาวไปหนึ่งมีดด้วยการสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลี อีกทั้งยังคิดจะสนับสนุนให้องค์ชายหันจิ้งหลิงขึ้นเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ช่วงนี้จึงยุ่งมาก หวงเฮ้อจึงปลีกตัวมาไม่ได้ ได้แต่สั่งให้คนนำจดหมายลับมาส่งที่นครน้ำบ่อบอกว่า ให้พี่น้องหันจิ้งหลิงรอฟังข่าวดี
เค้าโครงของกำแพงเมืองนครน้ำบ่อชัดเจนขึ้นทุกที
เถียนหูจวินเดินมาหยุดอยู่ข้างราวรั้ว พูดเสียงเบาว่า “จะเปลี่ยนเส้นทางเข้าเมือง จงใจเปิดโอกาสให้นักฆ่ากลุ่มนั้นจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มผู้นั้นยกสองมือกอดอก แสยะปากยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากกินปูจริงๆ น่ะหรือ? กินจนแม่งจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว แถมเวลากินยังร้อนในไม่สบายตัวด้วย อร่อยสู้ปูทอดในลำธารเล็กของบ้านเกิดไม่ได้เลย กรุบกรอบทุกคำ ไม่ต้องใช้ตะเกียบเลยด้วยซ้ำ รสชาติแบบนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าอร่อย พวกบ้านนอกที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเช่นพวกเจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร! ในกระเป๋ามีเงินเหม็นๆ แค่ไม่กี่แดงก็อวดเก่งซะไม่มี เจ้าเห็นว่าข้าต้องพกเงินไหม? ต้องพาผู้ติดตามมาเป็นโขยงไหม?”
เถียนหูจวินคลี่ยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กคือมังกรในกลุ่มคน คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราย่อมเทียบด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง เบี่ยงหน้ามาหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหรอกนะ หน้าตาอัปลักษณ์เกินไป หน้าอกก็เล็กเกินไป น่าสงสารจริงๆ ลองไปหยิบกระจกธรรมดาสักบานมาส่องดูสิ สำหรับสตรีที่หน้าตาธรรมดาอย่างพวกเจ้า นั่นจะกลายเป็นกระจกส่องมารเลยนะ”
เถียนหูจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ลึกๆ ในใจของนางไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องร้าย
บนทางเส้นเล็กเงียบสงัดริมทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากท่าเรือไปไกล ใบของต้นหลิ่วเริ่มกลายเป็นสีเหลือง บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างต้นหลิ่ว ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังเรือหอเรือนของทะเลสาบซูเจี่ยนลำนั้น ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา ยกขึ้นแล้วก็วางลง วางลงแล้วก็ยกขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ดื่มเหล้าเสียที
……
เมื่อชาวบ้านในท้องถิ่นของเขตการปกครองหลงเฉวียนคุ้นเคยกับเทพเซียนบนภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนใคร่ครวญบางอย่างออก รู้ว่าที่แท้ก็ไม่ใช่หมอทุกคนในใต้หล้าที่สามารถทำยาที่ทำให้คนไร้ความเจ็บปวด สามารถปิดตาลงอย่างสงบท่ามกลางโรคร้ายทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อมีคนถูกรับเข้าไปในสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในกลุ่มของนักโทษราชวงศ์สกุลหลูก็ยังมีเด็กสองคนที่ได้เดินขึ้นฟ้า กลายเป็นเทพเซียนน้อยบนภูเขาเสินซิ่วในก้าวเดียว
ร้านยาตระกูลหยางจึงคึกคักขึ้นมา ป้าๆ น้าๆ หลายคนพากันจับจูงเด็กรุ่นหลังในตระกูลของตัวเองมาเยี่ยมเยือนร้านยา แต่ละคนล้วนฉลาดเฉลียว เมื่อต้องการมาเยี่ยมเยือนเทพเซียน แน่นอนว่าหยางเหล่าโถวที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเรือนด้านหลังร้านยาย่อมต้องเป็นคนที่ ‘น่าสงสัย’ มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ร้านยาตระกูลหยางเกือบจะต้องปิดร้าน ประมุขสกุลหยางรุ่นปัจจุบันที่ได้รับคำสั่งสอนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายรุ่นละอายใจจนเกือบจะคุกเข่าโขกหัวขออภัยหยางเหล่าโถว
ล้วนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หรือไม่ก็คือคนในเมืองเล็กที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี พวกเขาใช้สารพัดวิธี แต่สรุปแล้วก็คือพยายามจะตีสนิทหาเส้นสาย สกุลหยางไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก เป็นเพียงแค่ตระกูลที่พอมีอันจะกินทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสั่งให้ลูกจ้างร้านขับไล่คนไปได้ นอกจากนี้เว้นเสียแต่ว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดให้เลือดตกยางออกกันไปข้าง ก็ไม่มีทางไล่คนเหล่านั้นไปได้จริงๆ
เมื่อรับมือไม่ไหวจริงๆ ทางร้านยาก็ได้แต่หาคนมายืนเฝ้าหน้าประตู พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีว่า หยางเหล่าโถวไม่ใช่เทพเซียนผู้เฒ่าอะไร เป็นแค่คนแก่ที่มีสูตรลับซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษติดตัวไม่กี่สูตรเท่านั้น
คำพูดผายลมที่หลอกผีแบบนี้ ใครจะเชื่อ ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเกิดความสงสัย ยิ่งรู้สึกว่าหยางเหล่าโถวที่ชอบพ่นควันโขมงคนนั้นก็คือยอดฝีมือที่มาซ่อนตัวอยู่ในโลก
โชคดีที่ดูเหมือนหยางเหล่าโถวจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่ได้บอกให้เจ้าประมุขสกุลหยางปิดร้านด้วย กลับยังบอกให้ทางร้านยาบอกต่อๆ ไปว่า เขาเป็นวิชาดูโหงวเฮ้งและจับกระดูกชั่งน้ำหนัก แต่ทุกครั้งที่ช่วยทดสอบให้แก่เด็กๆ ว่ามีคุณสมบัติในการเป็นเทพเซียนหรือไม่จะต้องเก็บเงิน อีกทั้งยังไม่ใช่ถูกๆ ราคาคือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
ถึงอย่างไรชาวบ้านของเมืองเล็กก็ยากจนกันจนชินแล้ว ต่อให้เป็นครอบครัวที่จู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมา ซึ่งอยากจะวางแผนปูทางบนภูเขาให้แก่ลูกหลาน ก็ไม่มีทางเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นเงินอยู่ในสายตา บางคนยอมทุบหม้อขายเหล็ก เก็บสะสมเงินได้หนึ่งพันตำลึงเงิน บางคนอาศัยหยิบยืมจากสหายที่จู่ๆ ก็เป็นเศรษฐีภายในชั่วข้ามคืนเพราะขายสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ ยังดีที่มีคนไม่น้อยเลือกจะรอดูไปก่อน วันแรกคนที่พกเงินไปร้านยาจึงมีไม่มาก หยางเหล่าโถวพูดจาภาษาเทพเซียนที่คนฟังรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในดงเมฆหมอก สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหยางเหล่าโถวเอาแต่ส่ายหน้าท่าเดียว ไม่ถูกใจใครทั้งนั้น
รอจนคนที่มาเยือนน้อยลงแล้ว ทางร้านยาก็มีคำพูดประกาศออกมาอีกว่าจะไม่รับเงินเกล็ดหิมะแล้ว ขอแค่ซื้อยาหนึ่งห่อจากร้านยาตระกูลหยางก็พอ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนบ้านกัน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะออกจะแพงเกินไปจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มาเยือนจึงลดฮวบลงทันที
นี่ร้านยาตระกูลหยางอยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง
แต่จากนั้นก็มีคนทยอยกันเปลี่ยนใจ ไปขอทวงเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นคืนจากร้านยาตระกูลหยาง โวยวายตีโพยตีพาย ใช้ทุกวิธีการ หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
สำหรับเรื่องนี้ร้านยายืนกรานเด็ดขาดอย่างผิดปกติ ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญเลย แม้แต่เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญก็อย่าได้หวัง การค้าขายที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจในใต้หล้านี้ มีหลักการให้คืนเงินที่ไหน? คิดว่าร้านยาตระกูลหยางทำการกุศลจริงๆ หรือไง?
ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนชนกำแพง ทว่าจู่ๆ กลับมีวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่สนิทสนมกับร้านยาตระกูลหยางดื่มเหล้าเมามายก็หลุดปากเล่าว่าตัวเองอาศัยความสัมพันธ์ที่สนิทสนมไปขอเงินเทพเซียนเหรียญนั้นกลับคืนมาได้ อีกทั้งร้านยาตระกูลหยางยังพูดเองว่า แท้จริงแล้วหยางเหล่าโถวผู้นั้นก็คือนักต้มตุ๋นที่อาศัยตำราการดูใบหน้าคนที่ผุพังเล่มหนึ่ง แม้แต่ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นร้านยาตระกูลหยางที่จงใจปล่อยออกไป เป้าหมายก็เพื่อหาเงินเข้าร้านยา
ผู้คนเดือดดาลทันใด
เพียงชั่วข้ามคืนชื่อเสียงของร้านยาตระกูลหยางก็ฉาวโฉ่เละเทะ ลูกหลานสกุลหยางแต่ละคนเหมือนหนูข้ามถนนที่ถูกคนวิ่งไล่ทุบตี พากันตำหนิพร่ำบ่น เรียกร้องให้เจ้าประมุขสกุลหยางไปบอกให้ตาเฒ่าที่ไม่มีความสามารถแต่ยังกล้าเล่นผีหลอกเจ้าเก็บผ้าหอบเสื่อไสหัวออกไปจากร้านยา
เจ้าประมุขสกุลหยางพูดจนปากเปื่อยกว่าจะปลอบใจผู้คนในตระกูลให้สงบลงได้
หลังจากนั้นมาร้านยาก็กลับสู่ความสงบในที่สุด
คาดว่าต่อให้ร้านยาและหยางเหล่าโถวอ้อนวอนว่าจะไปจับกระดูกดูโหงวเฮ้งให้ก็คงไม่มีใครยินดี ไม่เก็บเงินยังคร้านจะสนใจ เว้นเสียจากว่าจะมอบเงินให้ด้วย
เป็นเหตุให้ทางร้านยาต้องเปลี่ยนลูกจ้างร้านมาใหม่สองคน คนหนึ่งคือเด็กสาวที่ทำงานเผาเครื่องปั้นจากตรอกฉีหลง อีกคนหนึ่งคือเด็กที่มาจากตรอกเถาเย่ แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว
เรื่องหยุมหยิมไร้สาระพวกนี้ คนนอกมองเห็นแค่ความสนุก คนในกลับมองเห็นหนทาง คนที่มีโชควาสนามองเห็นมหามรรคา
บุรุษคนหนึ่งที่หายตัวไปจากเมืองเล็กหลายปีได้ปรากฏตัวอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูผู้นั้น นอกจากจะเปลี่ยนเป็นคนหลังค่อมแล้วก็ยังไม่ได้พาภรรยากลับมาด้วย แล้วก็ไม่ได้พกเงินถุงเงินถังกลับมาจากต่างถิ่นเช่นกัน แม้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะไม่ใช่ลูกจ้างของร้าน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขากลับยกม้านั่งมานั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาเป็นประจำ ไม่ขัดขวางใคร เอาแต่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียว ยังคงมีท่าทีเอ้อระเหยลอยชายเหมือนในอดีต สายตาคอยลอบไล่มองไปตั้งแต่ลำคอ หน้าอกจนถึงก้นของสตรีแต่งงานแล้ว นี่ยิ่งทำให้เหล่าสตรีในเมืองเล็กดูแคลนเขามากขึ้น
หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงกลับมาถึงเมืองเล็ก นอกจากจะได้ชมเรื่องสนุกครั้งนี้แล้ว ยังได้เห็นคนหลายคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน พวกเขาจับกลุ่มกันไปเล่นการพนันออกเช้ากลับค่ำ บ้างก็ไปมั่วสุมอยู่ในหอโคมเขียวแห่งใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างขึ้น ตอนเข้าไปยืดอกตั้ง ตอนกลับออกมาแข้งขาอ่อนเปลี้ย
และยังมีพวกที่เงินในกระเป๋ามีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว เอวจึงเหยียดตรงแข็งยิ่งกว่าลำต้นของต้นไหวโบราณในอดีตเสียอีก พวกบุรุษและหนุ่มโสดที่เมื่อก่อนยามเดินผ่านถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ยังไม่กล้าหายใจดัง ตอนนี้กลับเริ่มชักชวนพวกพ่อบ้านผู้ดูแลในตระกูลเหล่านั้นให้มาร่วมดื่มเหล้า ปรึกษาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่หากจะขอซื้อตัวสาวใช้ที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสักคนสองคน ทางที่ดีที่สุดควรต้องรู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ หากเป็นดรุณีน้อยเยาว์วัยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เหล่าสตรีที่มีกลิ่นอายของตำราติดตัวซึ่งเมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าได้อยู่เหนือร่างของพวกนางบนเตียง หากได้มาครอบครอง ชีวิตนี้จึงจะถือว่าไม่ขาดทุน! เมื่อก่อนเงินหนึ่งถุงคือท่านปู่ มาตอนนี้เงินกลับกลายเป็นหลานของพวกเราแล้ว เงินทองอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้!
เงินไหลหายไปดุจสายน้ำที่พรั่งพรูเปลี่ยนผ่านมือของคนมากมาย
ใจคนก็เช่นกัน
หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงมา เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
นั่งตากแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง ก้มหน้าลงมองกางเกงของตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงก็ยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่ ด้วยมักจะรู้สึกผิดต่อน้องชายผู้นี้เสมอ หรือว่าเขาจะต้องเปลี่ยนจากหนุ่มโสดผู้หล่อเหลาสง่างามไปเป็นตาแก่ขึ้นคานจริงๆ ?
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงสตรีที่ชอบมาเดินอยู่บนถนนนอกร้านยาฮุยเฉินซึ่งสุดท้ายยอมบอกว่าตัวเองแซ่เจียง น้ำหนักของนางน่าจะเท่ากับเจิ้งต้าเฟิงสองคนรวมกัน เจิ้งต้าเฟิงสะดุ้งโหยง นางเป็นสตรีที่ดี แต่เรื่องบางอย่างใช่ว่าแค่ปิดไฟแล้วจะผ่านมันไปได้จริงๆ แม่นางที่ตัวใหญ่โตปานนั้น ต่อให้นิสัยดีแค่ไหน ยินยอมพร้อมใจจะเป็นสหายเท่าไหร่ เจิ้งต้าเฟิงก็ขอยอมผิดต่อน้องชาย แต่จะไม่ยอมผิดต่อตัวเองเด็ดขาด!
ในขณะที่เจิ้งต้าเฟิงกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองมีความคิดเช่นนี้ต่อแม่นางแซ่เจียงนั้นเอง วันนี้จู่ๆ หร่วนฉงก็มาปรากฏตัวที่เรือนด้านหลังของร้านยา หยางเหล่าโถวไม่ได้สูบยาอย่างที่หาได้ยาก เขาที่กำลังนั่งตากแดดงีบหลับเปิดเปลือกตาขึ้นเหลือบมองหร่วนฉง “แขกที่หาได้ยาก”
หร่วนฉงที่หิ้วกาเหล้ามาสองใบชูมือขึ้นสูง
หยางเหล่าโถวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
หร่วนฉงยกม้านั่งตัวยาวมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องหลัก มีลานบ้านที่หลังคาเหลี่ยมเปิดโล่งขวางกั้นระหว่างเขากับหยางเหล่าโถว
หยางเหล่าโถวถาม “หาได้ยากที่จิตใจของอริยะหร่วนจะไม่สงบ ทำไม เป็นห่วงหร่วนซิ่วหรือ?”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ
หยางเหล่าโถวเอ่ยหยอกล้ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “รับเฉินผิงอันเป็นลูกเขย มันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”
หร่วนฉงดื่มเหล้าหนึ่งอึก “เฉินผิงอันนิสัยไม่เลว แม้ข้าจะไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับในนิสัยใจคอของเขา หากหร่วนซิ่วไม่ใช่หร่วนซิ่ว แต่เป็นสตรีทั่วๆ ไป นางอยากทำอะไรก็ตามใจนางเถอะ ไม่แน่ว่า…ข้าอาจจะดื่มเหล้ากับลูกเขยคนนี้เป็นประจำด้วยซ้ำ คิดดูแล้วชีวิตแบบนั้นก็ไม่เลว อีกอย่างยังไม่ต้องกังวลว่าลูกสาวตัวเองจะได้รับความไม่เป็นธรรม มีแต่จะต้องกลัวว่าลูกสาวของตนจะทำตัวดุร้ายเกินไปจนลูกเขยหนี แต่บุตรสาวของข้า คือซิ่วซิ่ว”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “เรื่องบางอย่างหากดีมากเกินไปก็น่าเป็นกังวล ข้าเข้าใจได้”
หร่วนฉงดื่มเหล้าดับทุกข์อย่างแท้จริง หลังจากดื่มเหล้าอึกใหญ่ลงท้องไปแล้วก็เช็ดปาก กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “เพราะก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเสินจวินผู้เฒ่ามาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงพอจะเดาแผนการของชุนฉานได้คร่าวๆ เพียงแต่ว่ารายละเอียดในแผนการที่ว่ามีอันตรายอย่างไร ร้อยเรียงกันเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร วางแผนไว้อย่างตั้งใจแค่ไหน ข้ากลับเดาไม่ออก เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องถนัดของข้าอยู่แล้ว และข้าก็คร้านจะคิดให้มากความ แต่การฝึกตนมีข้อห้ามใหญ่ที่สุดก็คือการอืดอาดชักช้า หากหร่วนซิ่วของข้ายิ่งจมดิ่งลึกลงไปทุกที ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดเรื่อง ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงยอมให้หร่วนซิ่วไปทะเลสาบซูเจี่ยน”
หยางเหล่าโถวกล่าว “เจ้ายอมมอบลูกท้อไปให้ ชุยฉานเป็นคนฉลาดถึงปานนั้นย่อมต้องส่งลูกหลีกลับคืนมา วางใจเถอะ ทุกเรื่องจะต้องออกมางดงาม ไร้ช่องโหว่ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นกลับตาลปัตร”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หยางเหล่าโถวก็ยิ้มบางๆ คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านมอบลูกท้อแก่เรา เราตอบแทนท่านด้วยลูกหลี หลีตายแทนท้อ อืม ล้วนมีส่วนให้ต้องขบคิด ส่วนข้อที่ว่าจะขบคิดออกมาได้รสชาติขมปร่าเหมือนหวงเหลียน หรือหวานล้ำเหมือนน้ำตาล ก็ต้องดูที่คนแล้ว”
หร่วนฉงไม่คิดจะจมจ่อมอยู่กับปริศนานี้ อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่านอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว บุคคลของสามลัทธิที่ได้มานั่งพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูคงไม่มีใครเดาความคิดความต้องการของเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ออก หร่วนฉงไม่เคยยึดติดเสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็น เวลาส่วนใหญ่ของเขาแค่ใช้ไปกับการหลอมกระบี่ก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว ยังต้องคอยกังวลเรื่องอนาคตของซิ่วซิ่วอีก ไหนเลยจะมีเวลาเหลือมาเล่นปริศนาทายคำกับผู้อื่น
เดิมทีหยางเหล่าโถวก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาลอยๆ อยู่แล้ว ตอนนี้จึงย้อนกลับมาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “เจ้าอยากจะทำให้เด็ดขาด อาศัยกู้ช่านจากตรอกหนีผิง แล้วก็อาศัยแผนการที่ไม่มีใครทราบของซิ่วหู่มาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหร่วนซิ่วกับเฉินผิงอัน ทั้งสองคนนี้ ยิ่งมองเห็นสภาพจิตใจทะลุปรุโปร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบมุ่งมั่นดึงดันมากเท่านั้น ข้อบกพร่องที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะเปลี่ยนมาเป็นใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ห้ามไม่ให้หร่วนซิ่วออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ก็เป็นความรู้สึกทั่วไปของคนที่เป็นบิดาอย่างเจ้าหร่วนฉงเช่นกัน”
อยู่ดีๆ หร่วนฉงก็พูดขึ้นมาอย่างสะท้อนใจ “ชุยฉานผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ”
เขาหร่วนฉงหวังให้บุตรสาวหร่วนซิ่วเลิกเอาตัวไปพัวพันกับเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ตั้งใจฝึกตน เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนในเร็ววัน อย่างน้อยก็ให้มีความสามารถในการปกป้องตัวเองเสียก่อน
คิดจะนอนหลับก็มีคนส่งหมอนมาให้
หร่วนฉงไม่เคยมีการติดต่อใดๆ กับชุยฉาน ชุยฉานก็ยิ่งไม่เคยบอกเป็นนัยอะไรแก่เขา
ทุกอย่างล้วนเป็นหร่วนฉงที่เต็มใจพาตัวเข้าไปอยู่ในกระดานหมากเอง ยอมรับหน้าที่เป็นหนึ่งในหมากบนกระดานของชุยฉานพร้อมกับบุตรสาวหร่วนซิ่ว
นี่คือการวางแผนที่แม่นยำและการคาดการณ์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับด้านจิตใจคนของชุยฉาน นี่ต่างหากจึงจะเป็นฝีมือการเล่นหมากล้อมนอกกระดานของนักเล่นระดับแคว้นคนหนึ่ง
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “อย่าได้ไม่เห็นอดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งอยู่ในสายตา ศึกตรีจตุที่ตัดสินทิศทางการเดินไปของสายบุ๋นทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลครานั้น กฎกติกาครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าชุยฉานเป็นคนกำหนด แล้วเขาจะไม่ร้ายกาจได้หรือ? เพียงแต่ว่าตอนนั้นชุยฉานเป็นดั่งนกหวาดคันธนู อีกทั้งยังรู้สึกระแวงเหมือนวัวสันหลังหวะ หลบไปหลบมา ลำบากอย่างมาก ให้ตายก็ไม่กล้าปรากฏตัว ดังนั้นถึงได้สูญเสียโอกาสสุดท้ายในการแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ แน่นอนว่านี่ก็เป็นการปกป้องที่เหวินเซิ่งมีต่อชุยฉานอย่างที่มองไม่เห็นแบบหนึ่ง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าลูกศิษย์ใหญ่ของข้าหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเช่นนี้แล้ว มีชีวิตเหมือนสุนัขไร้บ้านยิ่งกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ในปีนั้นเสียอีก สายหย่าเซิ่งของพวกเจ้ายังมีหน้ามาตอแยเขาไม่เลิกอีกหรือ? พวกเจ้าพูดกันเองไม่ใช่หรือว่าต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็เห็นชุยฉานเป็นดั่งผายลมซะสิ ดังนั้นชุยฉานจึงหนีมาที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเราได้อย่างปลอดภัย หร่วนฉง อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้า เรื่องไร้ยางอายประเภทนี้ เหวินเซิ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในบรรดาอริยะมากมายที่ถูกตั้งบูชา ข้าถึงได้ถูกชะตากับอาจารย์ท่านนี้มากกว่าใคร”
หร่วนฉงกระตุกมุมปาก “ความอ้อมค้อมวกวนของจิตใจบัณฑิต คาดว่าคงจะอ้อมไกลยิ่งกว่าเส้นทางภูเขาทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลเสียอีก”
หยางเหล่าโถวหัวเราะหึหึ “บวกกับใต้หล้ามืดสลัวของลัทธิเต๋า ใต้หล้าบงกชของลัทธิพุทธและใต้หล้าเปลี่ยวร้างของเผ่าปีศาจแล้ว ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี”
นี่เป็นครั้งแรกที่หร่วนฉงรู้สึกว่าการพูดคุยขณะดื่มสุรากับเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ดีกว่าที่จินตนาการไว้ไม่น้อย วันหน้าคงจะมาบ่อยๆ ได้กระมัง? ถึงอย่างไรเมื่อบุตรสาวเติบใหญ่ก็รั้งตัวไว้ไม่ได้ ต่อให้อยู่ข้างกาย นางก็ไม่ค่อยเก็บบิดาอย่างเขาไปใส่ใจสักเท่าไหร่ หร่วนฉงนึกอยากจะเปิดร้านเหล้าในเมืองเล็กด้วยตัวเองเสียเลย ทุกครั้งเวลาไปซื้อเหล้าที่ร้านจะได้ไม่ต้องถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดหยอกเย้าและพูดจาแทะโลม
หลังจากหร่วนฉงจากไป เจิ้งต้าเฟิงก็เดินเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง
ในฐานะลูกศิษย์ เรื่องแรกที่เจิ้งต้าเฟิงทำหลังจากที่กลับมาถึงเมืองเล็ก แน่นอนว่าคือการมาเยี่ยมเยียนอาจารย์
การพบหน้ากันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจิ้งต้าเฟิงกล้ามองสบตาหยางเหล่าโถวตรงๆ และเอ่ยถ้อยคำดั่งคนอกตัญญูด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ ยกตัวอย่างประโยคที่ว่าต่อให้ชีวิตนี้จะไม่มีทางได้ดิบได้ดี วันหน้าหากไม่ต้องไปอยู่จุดพักม้าทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ก็คงต้องไปเป็นคนเฝ้าประตูให้กับภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอัน แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงกลับไม่รู้สึกว่าน่าอายแม้แต่น้อย มีชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุขก็ดีจะตายไป
หยางเหล่าโถวนั่งพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้น ทั้งไม่พูดว่าดี แล้วก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิ
เจิ้งต้าเฟิงพูดความในใจจบก็ออกมาจากลานด้านหลังของร้านยา แม้ว่าจะรู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง แต่กลับผ่อนคลายสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จากนั้นก็รู้สึกตลกเล็กน้อย ก่อนหน้านี้จะดีจะชั่วก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด แต่กลับไม่เคยกล้าพูดจาแบบนี้กับอาจารย์สักครั้ง ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์ไม่เคยเกินสิบตัวอักษร เจิ้งต้าเฟิงกลัวว่าอาจารย์จะเข้าใจผิดคิดว่าตนเห็นว่าไหแตกก็เลยทุ่มให้มันแหลกไปเสียเลย แล้วจะยิ่งดูถูกตน เพียงแต่คิดไปคิดมา เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ ทุกๆ สามวันห้าวันก็ไปหาผู้เฒ่าที่ร้านยาทีหนึ่ง ใครจะสนว่าผู้เฒ่าเห็นตนแล้วจะรำคาญใจหรือไม่
เจิ้งต้าเฟิงเข้ามาในเรือนด้านหลัง นั่งลงบนม้านั่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร คิดว่าจะนั่งเป็นเพื่อนอาจารย์สักพักแล้วก็จะไป
แม้ว่าจะเก็บกลั้นคำพูดไว้เต็มท้อง แต่นิสัยของอาจารย์นั้น เจิ้งต้าเฟิงกระช่างชัดเจนดี ขอแค่อีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หลี่เอ้อร์ หรือใครก็ตามในใต้หล้าก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนความคิดของอาจารย์ได้
หยางเหล่าโถวสูบยา พ่นควันออกมาเป็นวง เอ่ยเนิบช้า “ตอนที่กลับบ้าน เจ้าพกกระบอกยาสูบมาด้วยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงทิ้งไปซะล่ะ? อายคนหรือไง?”
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนร่างด้านนอกดำเกรียมด้านในอ่อนนุ่ม เรื่องแรกที่ทำก็คือนับนิ้วแล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “อาจารย์ วันนี้คำพูดที่หลุดจากปากของท่านมีทั้งหมดยี่สิบสองคำ!”
หยางเหล่าโถวถาม “ลูกศิษย์คนหนึ่งที่แม้แต่จะมองสบตาอาจารย์ตรงๆ ก็ยังไม่กล้าทำ มีค่าพอให้อาจารย์พูดด้วยสักกี่คำ? เจ้าในอดีตคู่ควรหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นศิษย์ที่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”
คำพูดประโยคถัดมาของหยางเหล่าโถวยังคงโหดร้ายทิ่มแทงใจดั่งในอดีต “ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จะรู้สึกผิดหวังได้อย่างไร”
แปดคำ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการพูดคุยที่ปกติที่สุดระหว่างอาจารย์และศิษย์ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะไปจากบ้านเกิด
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้รู้สึกน้อยใจ กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก บวกกับแปดคำนี้ วันนี้อาจารย์พูดสามสิบคำแล้ว วันหน้าเวลาพบเจอหลี่เอ้อร์ ตนต้องคุยอวดให้อีกฝ่ายฟังให้ได้!
หยางเหย่าโถวทำท่าขว้าง กระบอกยาสูบที่เจิ้งต้าเฟิงแอบทิ้งไว้นอกเมืองเล็กก็ลอยออกมา เจิ้งต้าเฟิงรับมาไว้ในมือ พบว่าแม้แต่เส้นยาสูบก็ยังถูกบรรจุไว้ด้านในแล้ว
หยางเหล่าโถวกล่าว “ข้าจะถามเจ้าแค่ประโยคเดียว คนอื่นๆ คู่ควรกับการถูกชุยฉานเล่นงานแบบนี้หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ สองนิ้วถูเข้าด้วยกันง่ายๆ เส้นยาสูบก็ถูกจุดไฟ ความสามารถเล็กน้อยเท่านี้ ตอนนี้เขายังพอมีอยู่บ้าง
หยางเหล่าโถวกล่าว “หากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไม่ถูกทุบทำลายจนแหลกละเอียด เดิมทีเขาก็มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน ไม่ดีไม่เลว เพียงแต่ไม่ถือว่าโดดเด่น ตอนนี้จิตใจของเขาเฉินผิงอันก็ยิ่งแหลกสลาย อนาคตการเป็นผู้ฝึกลมปราณขาดสะบั้น ยังเหลือวิถีวรยุทธที่ยังเดินต่อไปได้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือหมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง เป็นเศรษฐีที่ไม่มีอนาคตแต่กลับมีชีวิตอย่างสงบสุขอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีอะไรไม่ดีเล่า?”
อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็กำลังพ่นควันขโมง จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็กล่าวว่า “แบบนี้ไม่ดี?”
หยางเหล่าโถวหัวเราะหยัน “อ้อ?”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น ปลุกความกล้าพูดว่า “เขาคือเฉินผิงอัน!”
หยางเหล่าโถวเอากระบอกสูบเคาะกับขั้นบันได พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “การที่เลือกเฉินผิงอัน กุญแจสำคัญที่แท้จริงก็เพราะประโยคหนึ่งของฉีจิ้งชุนไปทำให้บุคคลผู้นั้นหวั่นไหว จนเลือกที่จะลองเดิมพันกับหนึ่งนั้น เจ้าคิดว่าเป็นเพราะคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉีจิ้งชุนจะเลือกเอาหม่าขู่เสวียนหรือเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยไปเกลี้ยกล่อมบุคคลผู้นั้นหรือ? ข้าว่าฉีจิ้งชุนอายที่จะพูดด้วยซ้ำ! หากอิงตามวิชาความรู้ของเฉินผิงอัน ถ้าอยากจะรู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องหนึ่งจะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องอนุมานกลับไปทีละก้าว ประโยคนั้นของฉีจิ้งชุนสำคัญมากก็จริง แต่จะมองข้ามคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญไปได้จริงๆ หรือ? เมื่อออกไปอยู่ภายนอก ข้าถึงได้ยิ่งเข้าใจว่า ที่แท้วิถีทางโลกภายนอกก็เชื่อในเรื่องของความทุกข์ยากบนโลกยิ่งกว่าชาวบ้านในเมืองเล็กเราเสียอีก ตราบใดที่ใครบางคนได้รับการตอบแทน ก็ไม่ต้องยากลำบากอีกต่อไป ที่แท้จิตใจของผู้คนที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ท่ามกลางทุกข์เข็ญที่ต้องพบเจอมาอย่างยาวนานก็ล้วนเทียบไม่ได้กับหนึ่งขอบเขต หนึ่งสมบัติอาคม หนึ่งกระบี่บิน หรือหนึ่งโชควาสนาในสายตาของคนอย่างพวกเขาเลย”
หยางเหล่าโถวหัวเราะ สายตาเยียบเย็น “คนโง่พวกนี้ก็คู่ควรให้ข้ากับเจ้าเอามาพูดถึงด้วยหรือ? มดกลุ่มหนึ่งที่รุมทึ้งแย่งชิงเศษซากอาหารน้อยนิด เจ้าจะไปพูดกับพวกมันยังไง? นอนคว่ำกับพื้นเพื่อพูดกับพวกมันหรือ? ดูท่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้ของเจ้า ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งถอยหลังลงคลองซะแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มหน้าเป็น รีบเปลี่ยนหัวข้อ “อาจารย์ลงเดิมพันไปกับตัวเฉินผิงอันไม่น้อย ไม่กังวลว่าจะขาดทุนป่นปี้หรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ตัวเองสายตาแย่ ค้าขายขาดทุน ก็อย่าไปโทษฟ้าโทษดิน”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ
ตนทำอย่างสุดความสามารถแล้ว หากยังช่วยพูดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้กับเฉินผิงอัน เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาในทางตรงกันข้าม
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองชายฉกรรจ์หลังค่อมที่สายตาเหม่อลอยนิดๆ แล้วเอ่ยประโยคที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ “สิ่งที่ชุยฉานต้องการ ความรู้ทั้งหลายที่เขาบอกอย่างเป็นนัยได้กลายมาเป็นของดีที่ทำให้ข้าได้รับประโยชน์มหาศาล เมื่อก่อนเค้นสมองครุ่นคิด คิดมานานถึงเก้าพันกว่าปีก็ยังไม่สามารถคลายปมในใจได้ คิดไปมากมาย แต่ผลที่ได้กลับน้อยนิด สู้พูดคุยกับชุยฉานแค่สองครั้งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับมาเพิ่มเติมส่วนนี้ ข้าต้องคืนมันให้กับชุยฉาน”
“ดังนั้นต่อให้สิ่งเล็กน้อยที่ลงเดิมพันไปบนร่างของเฉินผิงอันจะทำให้ข้าต้องขาดทุนย่อยยับ ก็ยังไม่เป็นปัญหามากเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงถาม “อาจารย์ ข้าอยากรู้อย่างมาก ในบรรดาลูกศิษย์มากมายที่ท่านรับไว้จะมีใครที่ทำให้ท่านดีใจเป็นพิเศษหรือเสียใจเป็นพิเศษไหม? ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็น ‘เทพมาเยือน’ ในตำนาน อาจารย์จะค่อนข้างพึงพอใจหรือไม่?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ไม่”
เจิ้งต้าเฟิงชี้มาที่ตัวเองพลางหัวเราะคิกคัก “แล้วข้าล่ะ? ศิษย์มีสภาพน่าสังเวชขนาดนี้ ท่านไม่เสียใจสักนิดเลยหรือ”
หยางเหล่าโถวมีเพียงเสียงหัวเราะเย้ยหยันเป็นคำตอบ
แววตาของเจิ้งต้าเฟิงเศร้าสร้อยและแฝงแววไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “อาจารย์ แม้จะเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว แต่พอรู้คำตอบจริงๆ ศิษย์ก็ยังเสียใจนิดๆ อยู่ดี”
หยางเหล่าโถวคร้านจะพูดจาเหลวไหลกับลูกศิษย์คนนี้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อมีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ล้วนต้องงัดข้อกับโลกใบนี้ เด็กน้อยไม่รู้ความ เด็กหนุ่มเลือดร้อน ชายชาตรีผู้กล้าหาญ จอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรม บัณฑิตผู้เปี่ยมไปด้วยปณิธาน แม่ทัพผู้จงรักภักดี วีรชนผู้แกล้วกล้า คนพวกนี้ล้วนสามารถบุกไม่ข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย แต่คนบางคนกลับดึงดันจะขมวดปมให้ตัวเอง เจ้าจะคลายเงื่อนตายที่ตัวเองผูกมันขึ้นเองได้อย่างไร?”
“ผู้ฝึกตนในทุกวันนี้ ฝึกฝนจิตใจนั้นยาก นี่ก็คือข้อห้ามอย่างหนึ่งที่ปีนั้นพวกเรา…สร้างขึ้นเพื่อพวกเขา เป็นต้นตอของสาเหตุที่มดตัวเล็กอย่างพวกเขาไม่เคยรู้ แต่ตอนนั้นล้วนไม่มีใครคิดถึงว่า ซี่โครงไก่นี้กลับกลายมาเป็นประกายแสงดาวอย่างที่ชุยฉานพูดถึงพอดี…ช่างเถอะ ความอืดอาดของใจคนก็เหมือนกับคนที่เดินขึ้นภูเขาแล้วสวมเสื้อผ้าที่เปียกโชก ไม่เพียงแต่ถ่วงเวลาการเดินทาง ยิ่งเดินยังยิ่งหนักอึ้ง ระยะทางร้อยลี้ เดินไปได้เก้าสิบลี้กลับเหมือนเพิ่งเดินได้แค่ครึ่งทาง ถึงท้ายที่สุดควรจะบิดผ้าให้แห้ง ทำให้ตัวเบาโล่งสบายแล้วเดินขึ้นเขาต่อได้อย่างไร ก็ต้องมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า มดกลุ่มนี้จะสามารถปีนไปถึงยอดเขาได้จริงๆ แน่นอนว่าอาจมีคนที่คิดได้เหมือนกัน แต่กลับไม่แยแสคำว่าเป็นอมตะ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อมดปีนไปถึงยอดเขา ได้เห็นหอหยกเรือนแก้วทั้งหลายบนท้องฟ้าแล้ว ต่อให้มีปีกบิน แต่หากคิดจะบินจากยอดเขาไปถึงสวรรค์จริงๆ ก็ยังมีระยะทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน ถึงเวลานั้นค่อยกระทืบให้ตายก็ยังไม่สาย เดิมทีคิดจะเลี้ยงเหยื่อให้อ้วนพีแล้วค่อยออกล่า จะได้กินอิ่มอย่างเต็มคราบ และในความเป็นจริงแล้วเมื่อผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตได้สงบสุขมั่นคงอยู่ดี ร่างทองขององค์เทพมากมายเสื่อมโทรมได้ช้าลง สี่ด้านแปดทิศของฟ้าดินถูกขยับขยายไปอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายแล้วจุดจบจะเป็นเช่นไร เจ้าเองก็ได้เห็นแล้ว”
หยางเหล่าโถวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้แสดงความเศร้าสร้อยหรือเจ็บแค้นอะไรออกมามากนัก เขาพูดอย่างง่ายๆ สบายๆ เหมือนเป็นคนนอกสถานการณ์ที่กำลังพูดถึงความลับที่ใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างระมัดระวัง “เหตุใดอริยะสามลัทธิไม่ตัดรากถอนโคนอาจารย์ให้สิ้นซาก?”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “เจ้าในตอนนี้ถามคำถามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะมีความหมายอะไร? เจ้าไม่ควรคิดให้ดีๆ หรือว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องกลายเป็นชายแก่ขึ้นคาน?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มประจบ “อาจารย์ก็พูดล้อเล่นเป็นด้วยหรือ”
หยางเหล่าโถวเผยสีหน้าเอือมระอาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจึงยิ่งยับย่น “ก็ไม่ใช่เพราะเรียนรู้มาจากเมียที่ผีเห็นยังหวาดกลัวเทพเห็นยังรังเกียจของหลี่เอ้อร์หรือไง”
เจิ้งต้าเฟิงถามเบาๆ “พี่สะใภ้ก็เป็นด้วยหรือ?”
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “หากนางเป็น ข้าจะไม่ทำให้นางมีชีวิตยิ่งกว่าหมูหมาไปทุกภพทุกชาติเลยหรือ? ก็เพราะว่านางเป็นเพียงหญิงปากตลาดที่ทำให้เจ้าหงุดหงิดใจ ข้าถึงได้ไม่ถือสานาง”
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
หยางเหล่าโถวกล่าว “กู้ช่านกับเฉินผิงอัน ก็เหมือนเฉินผิงอันกับฉีจิ้งชุน ต่างก็เป็นเงื่อนตายในทางตันของกันและกันพอดี”
เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้ว “กู้ช่านกับฉินผิงอัน นิสัยต่างกันมากเกินไปหน่อยกระมัง?”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “หากไม่พูดถึงดีเลว เจ้าลองย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ยังรู้สึกว่าไม่เหมือนกันจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แล้วสายตาของเจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มฉายความเด็ดเดี่ยว
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “อย่าไปมีส่วนร่วมด้วยเลย ต่อให้เจ้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วก็ไม่มีประโยชน์ สถานการณ์เป็นตายที่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันนี้ ต่อให้เหวินเซิ่งอยากจะช่วยเฉินผิงอันก็ยังช่วยไม่ได้ นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่ามีความรู้มากหรือไม่ ตบะสูงพอหรือเปล่า แม้เทวรูปที่ตั้งอยู่ในศาลบุ๋นจะถูกทุบทำลายแล้ว แต่รากฐานความรู้ของเหวินเซิ่งยังคงวางอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าเหวินเซิ่งสามารถใช้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าไปฝืนปิดทับความรู้ของเฉินผิงอันและสยบเจียวร้ายในบ่อแห่งหัวใจของเฉินผิงอันได้ชั่วคราว ทว่าหากมองตามระยะยาวแล้วกลับได้ไม่คุ้มเสีย ง่ายที่จะทำร้ายให้เฉินผิงอันเดินหลงไปทางผิดจนถึงแก่ความตาย”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองม่านฟ้า “เจ้าลัทธิลู่ที่เคยมาเป็นแขกท่านนั้นสามารถช่วยให้เฉินผิงอันเดินไปบนเส้นทางอีกเส้นหนึ่งได้ แต่ตัวเฉินผิงอันเองจะไม่มีทางตอบรับ”
“อีกทั้งมีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันคาดเดาได้แม่นยำ คนที่เจ้าลัทธิลู่อยากได้มาตลอดเวลาคือเฉินผิงอันคนที่ฉีจิ้งชุนเลือก แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเฉินผิงอัน เพราะฉะนั้นหากจิตใจของเขาไม่มั่นคง ถูกหลอกไปอยู่ป๋ายอวี้จิง ดีหน่อยก็กลายเป็นหุ่นเชิด ขอบเขตสิบเอ็ดขอบเขตสิบสองก็ใช่ว่าจะไม่มีหวัง แต่หากเลวร้ายหน่อย คาดว่าไม่ว่าจะชาติภพไหนก็คงหนีไม่พ้นกำมือของเจ้าลัทธิลู่ ต้องถูกเขาเอามาใช้พิศมรรคาอยู่ร่ำไป”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที “ก็เหมือนกับบุรุษคนหนึ่งที่พอไม่ได้สตรีที่ต้องการมาครอบครอง ในใจก็ยิ่งอัดอั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางงดงาม แต่พอได้มาครองจริงๆ กลับเห็นว่าที่แท้นางก็มีแค่นี้เอง”
อยู่ดีๆ หยางเหล่าโถวก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “ตอนนี้ในเมืองเล็กมีหอโคมเขียวอยู่ไม่น้อย”
เจิ้งต้าเฟิงหน้าแดง “อาจารย์ ข้าก็แค่ปากดีไปอย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่คนแบบนั้น!”
หยางเหล่าโถวถามคำถามข้อหนึ่งที่มองดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย “กรอบป้ายสี่กรอบของสามลัทธิหนึ่งสำนักที่แขวนอยู่บนซุ้มประตูก้ามปูของเมืองเล็ก เขียนว่าอะไรบ้าง?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบ “ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงปฏิบัติของลัทธิขงจื๊อ พูดให้น้อยปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติของลัทธิเต๋า ไม่แสวงหาสิ่งนอกกายของลัทธิพุทธ พลังอำนาจสะท้านฟ้าของสำนักการทหาร”
หยางเหล่าโถวถามด้วยรอยยิ้ม “ลองใคร่ครวญดูดีๆ”
เจิ้งต้าเฟิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงกระทำ คือหนึ่งในเงื่อนตายสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในสถานการณ์นี้…”
หยางเหล่าโถวยิ้ม “แสวงหามรรคาด้วยตัวเองเพียงลำพัง เพื่อให้สอดคล้องกับฟ้าดินของลัทธิเต๋า เป็นเรื่องที่สวยงามหรือไม่? ดังนั้นข้าถึงได้พูดว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิลู่สามารถช่วยเฉินผิงอันได้ในช่วงขณะหนึ่ง ขนาดคนทั้งโลกยังไม่สนใจ แล้วยังจะสนใจความเป็นความตาย ความผิดความถูกของเด็กคนหนึ่งในตรอกหนีผิงอย่างนั้นหรือ? เหวินเซิ่งด่าเจ้าลัทธิลู่ว่ามองแต่ด้านดี ไม่มองด้านที่เป็นความจริง แต่ข้าว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น บางทีในอดีตตอนที่เจ้าลัทธิลู่มาแสวงหามรรคาอยู่บนผืนแผ่นดินของใต้หล้าไพศาลอาจจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเขาล่องเรือออกทะเลกลับเริ่มเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาเป็นหลงลืมตนเอง ใกล้ชิดและสอดคล้องกับมหามรรคาของบรรพจารย์เต๋าอย่างถึงที่สุด ดังนั้นถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ที่มรรคาจารย์เต๋าโปรดปรานมากที่สุด ส่วนธรรมะที่วิวัฒนาการมาจากภาษาของลัทธิพุทธประโยคนั้น มองดูเหมือนมีหวังว่าเฉินผิงอันจะมีวิธีการฝ่าทำลายสถานการณ์ครั้งนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ ชุยฉานต้องคิดได้แน่นอน และต้องมีแผนการรับมือไว้อยู่แล้ว ส่วนคำว่าพลังอำนาจสะท้านฟ้า…”
เจิ้งต้าเฟิงกดเสียงลงต่ำ “แล้วนาง?”
หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นาง? ไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่แน่อาจนึกอยากให้เฉินผิงอันลงมืออย่างว่องไวเลยด้วยซ้ำ ขอแค่เฉินผิงอันไม่ตายก็พอแล้ว ต่อให้เดินไปสู่หนทางที่สุดโต่ง นางก็ยินดีที่จะเห็นเช่นนั้น”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว “พูดไปพูดมา เฉินผิงอันต้องจบเห่แน่แล้ว?”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นกลายมาเป็นเศรษฐีที่ได้เฝ้าพิทักษ์ภูเขาลูกหนึ่ง ส่วนเจ้าก็ช่วยเฝ้าประตูภูเขาให้เขา กินดื่มไม่ต้องเสียเงินก็ดีมากไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงพลันเงยหน้าขึ้น จ้องผู้เฒ่าเขม็ง “อาจารย์จงทำให้เจียวร้ายในใจของเฉินผิงอันชูหัวขึ้น เพื่อใช้สิ่งนี้มาหล่อหลอมจิตกระบี่ให้ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอยู่กับคุณธรรมน้ำใจที่พันธการมือเท้าพวกนั้นอีก ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ขอแค่มีกระบี่อยู่ในมือก็คือหลักการเหตุผลแล้ว จะได้ใช้สิ่งนี้มาช่วยให้บุคคลผู้นั้นโยนฝักกระบี่อย่างเฉินผิงอันทิ้งไป ถูกไหม?!”
หยางเหล่าโถวยิ้มบางๆ “สามารถคิดได้ถึงขั้นนี้ ดูท่ายังพอจะมีพัฒนาการอยู่บ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงสั่น “นี่เป็นความต้องการของนางหรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า เผยให้เห็นสีหน้าปลงอนิจจังและคะนึงคิดเสี้ยวหนึ่ง เขาพูดพึมพำว่า “นางหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ นางไม่แยแสเลยสักนิด นาง…คือนางนี่นา”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเศร้ารันทด “น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ”
เขาหวนนึกถึงคนหนุ่มที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งยาวใต้ชายคาตรงข้ามกับตัวเองในร้านยาฮุยเฉินพลางยิ้มมองทุกคนที่อยู่ในลานบ้าน
เขาคิดมาตลอดว่าหลังจากเจอหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวครั้งนั้นแล้ว คนหนุ่มคนนั้นก็ควรจะมีชีวิตที่สุขสบายได้แล้ว
ไหนเลยจะคิดได้ว่า นับตั้งแต่ออกจากนครมังกรเฒ่ามาก็มีสถานการณ์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตู้เม่าขอบเขตบินทะยานและเรือกลืนกระบี่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขารอเฉินผิงอันอยู่
เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ได้เวลาล่าสัตว์แล้ว
หยางเหล่าโถวเอ่ยอย่างเฉยชา “สักวันหนึ่งเมื่อกลียุคมาถึง ทุกคนจะไม่ชอบพูดถึงเหตุผลของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ผู้คนจะรู้สึกว่าคนโง่ที่ต่อให้มีเหตุผลแต่ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ และคนชั่วร้ายที่แสร้งยกเหตุผลมาก็เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนจะต้องเป็นดั่งก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลดไปพร้อมๆ กับเหตุผลเหล่านั้น ไม่กินข้าวก็ตาย ไม่ดื่มน้ำก็ยิ่งตายง่าย รอจนถึงเวลานั้นก็จะรู้ถึงความล้ำค่าของการที่มีคนยินดีใช้เหตุผลเอง ยังดีที่คนเราความจำไม่ดี เมื่อความเจ็บปวดผ่านไป แปบเดียวก็ลืมแล้ว วิถีทางโลกก็เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผ่านมาตั้งหนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังไม่เห็นว่าจะดีไปยังไง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงสั่น “ดี? จะดีได้ยังไง?”
หยางเหล่าโถวหัวเราะ “ข้าใช่คนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงไร้คำพูดตอบโต้
หยางเหล่าโถวถามอีก “แล้วเจ้าใช่คนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงยังคงเงียบงัน
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงออกมาจากร้านยา เดินไปที่ตรอกหนีผิง เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน แล้วก็เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษของกู้ช่าน
หยางเหล่าโถวนั่งพ่นควันยาสูบอยู่ในเรือนเพียงลำพัง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แสงสีแห่งจิตวิญญาณบนฟากฟ้าเกาะกลุ่มเรียงรายยิ่งใหญ่ตระการตา หมู่ดาวทอแสงพร่างพราว
จิตใจของมนุษย์บนโลกที่เล็กจ้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึงก็เป็นได้แค่ประกายของแสงดาวเท่านั้น จะชนะได้อย่างไร?
ชุยฉานได้ให้คำตอบมาแล้ว
หยางเหล่าโถวไม่เต็มใจยอมรับ ก็ต้องยอมรับ
และเจ้าคนที่สามารถให้คำตอบได้ผู้นั้น คาดว่าเวลานี้คงอยู่มุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วกระมัง
……
บนชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่งของนครน้ำบ่อที่การมองเห็นเปิดกว้าง ประตูใหญ่เปิดอ้า มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนหนึ่งนั่งอยู่กับผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ พวกเขามองไปยังทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่เบื้องนอกด้วยกัน
ชุยตงซาน ชุยฉาน
คนสองคนในปัจจุบัน คนคนเดียวกันในอดีต ราชครูต้าหลีซิ่วหู่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง
ชุยตงซานมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาบังคับให้จินสุ้ยกระบี่บินเล่มนั้นวาดบ่อสายฟ้าเล็กๆ รอบกายของตัวเองเพื่อใช้เตือนตัวเองว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามเดินออกไปจากวงกลมนี้เด็ดขาด
ชุยฉานมองชุยตงซานแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน ทั้งสองคนต่างก็ชอบวาดกรงขังพันธนาการตัวเองเหมือนกัน”
ชุยตงซานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากข้าแพ้ ข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่หากเจ้าแพ้ก็อย่าอาศัยว่ามีกำลังมากกว่ามารังแกคนอื่น เล่นแง่ไม่ยอมรับแล้วกัน!”
หากไม่เป็นเพราะเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้บังคับวางแผนครั้งนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้เขาปฏิเสธ เขาชุยตงซานหรือจะยินดีมาร่วมโต๊ะพนันครั้งนี้? ตอนนี้เขาเกลียดคำเรียกขานว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ เข้ากระดูกดำ สำหรับการเดิมพันที่ลงมากโอกาสชนะก็มาก ก็ยิ่งไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวด้วย
ทว่าเจ้าตะพาบเฒ่ากลับไม่ยอม เขาชุยตงซานจะทำอย่างไรได้?
มาลองนึกดูอีกที หากเป็นชุยตงซานที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของชุยฉาน เขาคิดว่าตัวเองก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน
ตนจะไม่เข้าใจตนเองได้อย่างไร?
การเดิมพันครั้งนี้ระหว่างเขาชุยตงซานกับชุยฉานนั้นเรียบง่ายมาก แค่ให้รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ แค่นี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย
และนี่ก็คือสาเหตุที่ชุยตงซานไม่ยินดีทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ และนี่ก็เป็นจุดที่ชุยตงซานเกลียดตัวเองมากที่สุดเช่นกัน ‘คนคนหนึ่ง’ ย่อมเข้าใจดีกว่าคนนอกว่าเส้นขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน
หากชุยฉานแพ้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปก็จะอนุญาตให้ชุยตงซานที่อยู่ในต้าสุยมีสถานะคล้ายคนที่แบ่งแยกดินแดนแล้วยกตนขึ้นเป็นราชา อีกทั้งไม่เพียงแต่เขาชุยฉานเท่านั้น ตลอดทั้งราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีล้วนต้องวางเดิมพันลงที่ตัวเฉินผิงอัน เฉินผิงอันมีค่ามากพอกับราคานี้ คราวก่อนที่พบหน้ากัน ชุยฉานยิ้มกล่าวว่า ‘แม้แต่ข้ายังรู้สึกว่าเป็นสถานการณ์หมากล้อมที่มีแต่ทางตัน หากเฉินผิงอันฝ่าออกไปได้ แน่นอนว่าย่อมคู่ควรให้ข้า’ นับถือ ‘บุคคลที่เป็นเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ตามใจชอบ ถ้าอย่างนั้นก็…เลือกไปอีกทางหนึ่ง พยายามดึงมาเป็นพวกอย่างสุดกำลัง มีอะไรน่าอายตรงไหน’
หากชุยตงซานแพ้ก็จำเป็นต้องออกจากภูเขา ออกจากสำนักศึกษาซานหยา มาช่วยชุยฉานวางแผนยึดครองราชวงศ์จูอิ๋ง จากนั้นเมื่ออ้อมผ่านทะเลสาบกวานหูไปแล้วก็ต้องช่วยจัดวางกำลังให้แก่กองทัพม้าเหล็กต้าหลี สยบกำราบฝ่ายต่างๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ทางใต้ของต้าหลีหรือจะเป็นทางเหนือของทะเลสาบกวานหูก็ตาม ต้องเผาผลาญลดทอนรากฐานของแคว้นต่างๆ ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปให้ได้เร็วที่สุด ทำให้พวกมันกลายมาเป็นกองกำลังภายในแห่งแคว้นที่เป็นของต้าหลีอย่างแท้จริง
ชุยตงซานยังต้องยอมกลับไปเดินบนเส้นทางของการสร้างความดีความชอบ กลายมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขาในทฤษฎีการสร้างคุณความดีความชอบของชุยฉานด้วย (ทฤษฎีในยุคราชวงศ์ซ่งใต้ของจีนที่คัดค้านปรัชญาความคิดของลัทธิขงจื๊อที่มุ่งเน้นด้านจิตใจ สอนให้คนรู้จักการพัฒนาคุณธรรมและการธำรงรักษาจริยธรรม แต่หันมาให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในด้านการสร้างความดีความชอบ การสร้างผลงาน การปฏิบัติจริงแทน)