บทที่ 43 เด็กหนุ่มและหมาแก่
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงกลับไปที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยาง แต่กลับไปที่ตรอกหนีผิงก่อน เพื่อบอกให้หนิงเหยารู้ถึงแผนการของหลิวเสี้ยนหยาง
หลังจากที่หนิงเหยารับฟังก็ไม่ได้แสดงความเห็น แค่พูดว่านี่เป็นเรื่องของพวกเจ้า นางแค่ทำหน้าที่รับเงินแล้วฟาดเคราะห์แทนคนอื่นเท่านั้น หากหลิวเสี้ยนหยางสามารถพ้นหายนะได้โดยที่ไม่ต้องให้นางลงมือ นางย่อมคืนถุงเงินแก่นทองทั้งสามให้ เฉินผิงอันบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ผลกลับกลายเป็นว่าหนิงเหยาตอบกลับเขามาหนึ่งประโยคด้วยเสียงเยียบเย็นว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงคิดจะพูดถึงเรื่องความรู้สึกกับข้า เราสองคนไปถึงขั้นนั้นกันแล้วหรือ? เฉินผิงอันเกือบจะสำลักตายเพราะประโยคนี้ของนาง ได้แต่นั่งเกาหัวอยู่บนธรณีประตู
หนิงเหยาเหลือบมองขนมที่เฉินผิงอันเอามาให้ มีขนมพุทธาข้าวเหนียวที่ทั้งราคาถูกและรสชาติดีเยี่ยม แล้วก็มีขนมน้ำค้างที่ราคาค่อนข้างแพง นี่แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มพยายามรับแขกอย่างสุดกำลังความสามารถที่ตัวเองมีแล้ว เด็กสาวจึงรู้สึกใจอ่อนและละอายใจอย่างที่หาได้ยาก พลันรู้สึกว่าตัวเองดูไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่ มากินข้าวบ้านคนอื่น นอนบ้านคนอื่น เวลาเจอเรื่องยากลำบาก ต่อให้นางจะช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ไม่ควรราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ดังนั้นจึงถามว่า “เป็นเพราะว่าหลิวเสี้ยนหยางได้รับภัยคุกคามทางกายที่แท้จริงหรือเปล่า ถึงได้จำเป็นต้องขายเสื้อเกราะโหวจื่อสีเขียวเข้มตัวนั้น? (เกราะโหวจื่อคือเกราะชนิดหนึ่งที่เผ่าชิงถังเชียงของยุคราชวงศ์ซ่งทำด้วยวิธีการอัดขึ้นรูปแบบเย็น มีความแข็งแกร่งทนทานมากเป็นพิเศษ) ยกตัวอย่างเช่นในร้านตีเหล็กมีเส้นสายของสี่แซ่สิบตระกูลอยู่ด้วย พวกเขาเลยแอบสั่งสอนหลิวเสี้ยนหยางอย่างลับๆ?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก หลิวเสี้ยนหยางไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวยอมแพ้ให้กับคนที่ข่มขู่เขาอย่างแน่นอน ครั้งแรกที่ข้าพบเขา ต่อให้เขาถูกคนซ้อมปางตายอยู่บนถนนฝูลวี่ก็ยังไม่ยอมพูดจาลงให้อีกฝ่ายแม้แต่ครึ่งคำ เขาเอาแค่กัดฟันทน เกือบจะถูกคนตีจนตายทั้งเป็นเข้าจริงๆ และตลอดหลายปีมานี้ หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยเปลี่ยนนิสัย”
หนิงเหยาถามอีกว่า “เลือดร้อนอารมณ์รุนแรง กล้าหาญปณิธานแรงกล้า ให้ความสำคัญกับคำสัญญา มองความเป็นความตายเป็นเรื่องเล็ก อันที่จริงพวกจอมยุทธพเนจรส่วนใหญ่ก็ไม่เคยขาดสิ่งเหล่านี้ ตลอดทางที่ข้าผ่านมา เคยได้พบเห็นกับตาตัวเองมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ เมื่อผลประโยชน์กลายเป็นความล่อลวง เขาหลิวเสี้ยนหยางจะสามารถรักษาเจตนารมณ์เดิมของตัวเองไว้ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิดอีกครั้ง สุดท้ายจึงกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “หลิวเสี้ยนหยางไม่มีทางยอมเป็นคนไม่เอาไหนเพียงเพราะว่าคนนอกมอบอะไรให้แก่เขา เขารักปู่ของเขามาก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ คือก่อนตายปู่ของเขากำชับไว้ว่า เสื้อเกราะสามารถขายได้ แต่ห้ามขายด้วยราคาถูก และคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นต้องเก็บไว้ในตระกูลหลิวของพวกเขาเพื่อเอาไว้มอบให้แก่คนรุ่นหลังเท่านั้น”
หนิงเหยากล่าวว่า “หากว่ากันตามสถานการณ์ที่ข้ารู้ ลักษณะของเสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นไม่ธรรมดาก็จริง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นของล้ำค่าหายากอะไร กลับเป็นคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นต่างหากที่สามารถทำให้คนของเขาตะวันเที่ยงจ้องตาเป็นมันมาเนิ่นนาน อีกทั้งยังไม่เสียดายที่จะส่งคนสองคนมาตามหาสมบัติชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่ามองมันเป็นของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว ดังนั้นมันต้องเป็นของดีแน่นอน และการตัดสินใจที่จะขายเสื้อเกราะ แต่เก็บคัมภีร์กระบี่เอาไว้ก็สามารถอธิบายถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หนิงเหยาลูบคลำฝักดาบสีเขียวด้วยสีหน้าเย็นชา “ระวังตัวไว้ก่อนเป็นการดี ข้าจะไปที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยางพร้อมกับเจ้า ไปไล่ฮูหยินคนนั้นกลับไปก่อน ในเมื่อหลิวเสี้ยนหยางบอกเองว่าจะขาย ยกลังเก็บเสื้อเกราะออกมาก็ย่อมได้ หลังจากนี้ข้าจะไปพบหลิวเสี้ยนหยางที่ร้านตระกูลหร่วนกับเจ้า ไปถามเขาสักหน่อยว่าคิดยังไง หากเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนตายของปู่เขาจริงๆ เจ้ากับข้าก็ไม่จำเป็นต้องเจ้ากี้เจ้าการ แต่ละครอบครัวต่างก็มีคัมภีร์อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าไปสอดมือได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าวุ่นวายจะดีกว่า หากไม่ใช่ล่ะก็ ก็ต้องให้เขาบอกเราถึงความลำบากใจที่เก็บซ่อนไว้ อย่างมากข้าก็แค่ไปแย่งลังนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง!”
เฉินผิงอันถามอย่างเป็นกังวลว่า “ร่างกายของแม่นางหนิงไม่มีปัญหารึ?”
หนิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “หากให้รับมือกับวานรเฒ่าย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงคนนั้น ย่อมต้องลำบากแน่ แต่หากจะให้รับมือกับสตรีคนหนึ่ง อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ แค่มือเดียวของข้าก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “วรนรย้ายภูเขา?”
หนิงเหยาตอบลวกๆ “ก็คือสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ประเภทหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ ร่างจริงคือวานรยักษ์ที่มีเรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขา เล่าลือกันว่าหากเผยร่างจริงเมื่อไหร่จะสามารถยกภูเขาลูกหนึ่งขึ้นมาแบกบนหลังแล้วเดินไปได้ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น จะอย่างไรซะก็ไม่เคยมีใครเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ตลอดหลายปีมานี้เขาตะวันเที่ยงเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับมีรากฐานที่ลึกล้ำอย่างมาก แม้ว่าลำดับของสำนักในแจกันสมบัติทวีปบูรพาจะไม่สูงมาก แต่ก็ไม่อาจดูถูกได้ ดังนั้นหากพวกเราไม่ทะเลาะกับพวกเขาได้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่หากเกิดความขัดแย้งขึ้นมา…”
เฉินผิงอันถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “ถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
หนิงเหยาลุกขึ้นยืน ใช้นิ้วหัวแม่มือดันดาบให้โผล่พ้นฝักออกมาชุ่นกว่าๆ ใช้สายตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อนจ้องหน้าเด็กหนุ่ม กล่าวด้วยประโคที่เต็มไปด้วยเหตุผล “จะทำยังไงได้อีก? ก็ฟันพวกเขาให้ตายน่ะสิ!”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็แบกตะกร้าไม้ไผ่พาเด็กสาวที่กลับมาสวมหมวกคลุมใบหน้า พกดาบเขียวไว้ที่เอวอีกครั้งเดินช้าๆ ไปยังบ้านของหลิวเสี้ยนหยางด้วยกัน
หนิงเหยาหันมาเหลือบมองตะกร้าของเด็กหนุ่มแล้วถามว่า “วันนี้ทำไมถึงได้น้อยจัง?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “หม่าขู่เสวียน อ้อ หลานชายของแม่เฒ่าหม่าในตรอกซิ่งฮวาที่อายุพอๆ กับข้าน่ะ ตอนนี้ดูเหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว ตามคำบอกของเขา ก็คือเป็นเพราะฮวงจุ้ยของเมืองเปลี่ยน ดังนั้นยิ่งนานวันหินในธารน้ำพวกนี้ก็ยิ่งไม่อาจรั้ง” ลมปราณ “ไว้ได้อีก”
หนิงเหยาสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงหนัก “เขาพูดถูกแล้ว ฟ้าของเมืองแห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนจริงๆ นั่นแหละ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรฉวยโอกาสจัดการเรื่องพวกนี้ซะให้เรียบร้อย แล้วรีบออกไปจากเมือง ต่อให้จะออกไปแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ยังดีกว่าอยู่ในเมืองตลอดเวลา”
เฉินผิงอันไม่ใช่พวกดื้อด้านที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา การที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวจนชินมาตั้งแต่เล็กกลับยิ่งทำให้เขารู้จักความเย็นชาและความอบอุ่นของผู้คน รู้จักความหนักเบาของสถานการณ์ จึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ขอแค่ได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางดื่มชากราบอาจารย์กับอาจารย์หร่วนแล้ว ข้าก็จะไปจากที่นี่ทันที ทางที่ดีที่สุดคืออาจารย์หร่วนก็ควรรับปากจะหลอมกระบี่ให้เจ้าด้วย”
มองเจ้าคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี หนิงเหยาก็กล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า “เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ก็มีค่าพอให้เจ้าต้องใส่ใจด้วยหรือ? บอกว่าเจ้าเป็นคนดีเกินเหตุ เจ้าจะไม่ยอมรับได้ยังไง?”
อาจเพราะรู้สึกว่าพวกเขาสองคนเริ่มสนิทคุ้นเคยกันแล้ว เวลาพูดจาเฉินผิงอันจึงไม่คิดจะปิดบังเหมือนตอนแรกๆ เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน บวกกับเจ้าแม่นางหนิง เจ้าคิดดูนะ ใต้หล้านี้มีคนตั้งมากมายขนาดนั้น แต่ข้าก็แค่ใส่ใจความดีความเลวของคนสามคนนี้เท่านั้น แล้วจะบอกว่าข้าเป็นคนดีเกินเหตุได้อย่างไร?”
หนิงเหยาหรี่ตาถามยิ้มๆ “ในบรรดาสามคนนั้น ข้าอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างทั้งจริงใจและทั้งเขินอาย “ตอนนี้อยู่อันดับที่สาม”
หนิงเหยาปลดดาบลงมาถือไว้ในมือ ใช้ฝักดาบแตะไปที่ไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “เฉินผิงอัน เจ้าต้องขอบคุณที่ข้าไม่สังหารเจ้า”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าการต้มยาเป็นเรื่องลำบากบ้างหรือ?”
หนิงเหยาอึ้งไปครู่ ก่อนจะเข้าใจความคิดของเขาได้ “เฉินผิงอัน จู่ๆ ข้าก็ค้นพบว่าต่อให้วันหน้าเจ้าออกไปอยู่ข้างนอกก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีได้”
เฉินผิงอันไม่โลภมากแม้แต่น้อย เขาตอบอย่างสัตย์จริงว่า “แค่ดีเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว”
หนิงเหยาไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ แกว่งดาบสีเขียวในมือเบาๆ เหมือนเด็กสาวบ้านป่าที่แกว่งกิ่งดอกไม้เล่น
เมื่อมาถึงมุมโค้งของตรอกบ้านหลิวเสี้ยนหยาง เงาร่างสีดำร่างหนึ่งก็พลันพุ่งพรวดออกมา หนิงเหยาเกือบจะชักดาบออกจากฝัก โชคดีที่ข่มกลั้นได้ทันเวลา ที่แท้ก็หมาสีน้ำตาลตัวหนึ่ง มันมาวิ่งวนอยู่รอบกายเฉินผิงอันอย่างสนิทสนม เฉินผิงอันโน้มตัวลงไปลูบหัวของหมาตัวนั้น ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เป็นหมาที่เพื่อนบ้านของหลิวเสี้ยนหยางเลี้ยงเอาไว้ ชื่อว่าไหลฝู หลายปีมาแล้ว มันขี้ขลาดมากเลยล่ะ ก่อนหน้านี้ข้ากับหลิวเสี้ยนหยางมักพามันขึ้นเขาเป็นประจำ มันก็ได้แต่ตามก้นพวกเราต้อยๆ หลิวเสี้ยนหยางมักรังเกียจที่มันไม่เคยจับกระต่ายป่าหรือไก่ป่าได้ สรุปคือแม้แต่แมวสักตัว เจ้าไหลฝูก็ยังสู้ไม่ได้ อย่างแมวที่บ้านของหม่าขู่เสวียนเลี้ยงไว้ มีคนเห็นมันชอบไปคาบนกหรืองูออกมาจากในบ้านเป็นประจำ แต่ไหลฝูอายุมากแล้ว สิบกว่าขวบแล้ว แก่มากเลยล่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปลูบหัวของไหลฝูอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อายุมากแล้วก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว ถูกไหม? วางใจเถอะ วันหน้ารอให้ข้าเก็บเงินก้อนใหญ่ได้เมื่อไหร่ ต้องไม่ปล่อยให้เจ้าอดตายแน่”
หนิงเหยาส่ายหน้า สำหรับเรื่องนี้นางไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ กับอีกฝ่าย
ต่อให้ตลอดทางที่นางเดินทางมาจะเคยได้เจอเรื่องราวมากมาย คนตระกูลเซียนผู้สูงศักดิ์บนภูเขา ชาวบ้านร้านตลาดที่เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ลูกหลานตระกูลทรงอำนาจที่สวมอาภรณ์หรูหรากินอาหารเลิศรส เทพเซียนที่สามารถบังคับลมบินกลางอากาศ ทุกข์สุข แยกจากหรืออยู่ร่วมกัน นางล้วนพบเจอมามากมายยิ่งนัก
มีนักเดินทางชาวพุทธคนหนึ่งที่เดินบินฑบาตรเท้าเปล่าท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนฟ้าพัดกระหน่ำ เขาขับขานบทสวดมนต์พลางก้าวเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่น มีบัณฑิตยากจนที่เดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบ แต่ได้พบเจอกับปีศาจจิ้งจอกห่มหนังคนซึ่งจำแลงกายเป็นสาวงามในวัดร้าง สุดท้ายเมื่อขยับกายออกเดินทางอีกครั้ง ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าจอนผมทั้งสองข้างของตนกลายเป็นสีขาวโพลน ก็ยังคงไร้ซึ่งความเกลียดแค้นและเสียดาย
มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นเทียนซือเดินอยู่เพียงลำพังในสมรภูมิรบเก่าแก่และในสุสานศพไร้ญาติ ปากพร่ำท่องประโยคว่ามหาเทพทั้งหลายจงอำนวยพรให้มีความสุขอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพื่อเป็นการนำพาให้วิญญาณเร่ร่อนไปสู่เส้นทางของการหลุดพ้น มีขุนนางฝ่ายบุ๋นวัยกลางคนที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ออกคำสั่งชาวบ้านห้ามมัวเมากราบไหว้วัดราชามังกรอย่างพร่ำเพื่อ เขาที่ริมฝีปากแตกระแหงจนเลือดซึมออกมานำโต๊ะบูชาไปตั้งไว้บนท้องน้ำที่แห้งขอด ท่อง “บทขอฝนจากราชามังกร” ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สุดท้ายแล้วเพื่อชาวประชาในพื้นที่การปกครอง เขาก็ต้องหันหน้าไปทางวัดราชามังกร คุกเข่าน้อมรับความผิด
มีผู้เฒ่าของราชวงศ์ก่อนไม่คิดสนใจบุตรชายที่เป็นขุนนางของราชวงศ์ใหม่ เพียงพาหลานตัวน้อยที่ยังเพิ่งเรียนประถมไปเป็นโจร เมื่อต้องเผชิญกับบ้านเมืองที่เก่าโทรม ผู้เฒ่าน้ำตาอาบหน้า บอกให้หลานรักของตัวเองรู้ว่าเมืองที่ถูกเปลี่ยนชื่อไปแล้วเหล่านั้น เดิมควรเรียกว่าอะไร มีเรือน้อยลำหนึ่งล่องลอยอยู่ท่ามกลางลำธารในช่องเขายาวพันลี้ ล่องตามกระแสน้ำลงไปด้านล่างเรื่อยๆ มีบัณฑิตอ่านตำราเสียงดังด้วยความฮึกเหิมท่ามกลางเสียงลิงที่ร้องอยู่ริมชายฝั่ง เมื่ออ่านพบจุดที่ถูกใจก็แหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาว มีโฉมสะคราญนางหนึ่งที่สวมเสื้อเกราะและหน้ากากปิดบังใบหน้า เมื่อควันของดินปืนสลายหายไป นางก็ควบม้าไปร่ำสุราอย่างสำราญใจ
ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินและได้ทำความเข้าใจ ทำให้จิตใจที่มุ่งไปสู่การฝึกตนของหนิงเหยามั่นคงดุจหินผา ไม่เคยที่นางจะทำตัวอืดอาดไร้สาระ
และตอนนี้ หนิงเหยาก็ได้เห็นภาพอีกเหตุการณ์หนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ยากจนคนหนึ่งที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง รัดข้องจับปลาไว้ที่เอวกำลังโน้มตัวลูบคลำศีรษะของหมาแก่ เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต
คนทั้งสองเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านของหลิวเสี้ยนหยางได้ไม่นานก็มีคนเคาะประตูหน้าบ้านเสียงดัง เฉินผิงอันกับหนิงเหยากันมามองตากัน จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินออกไปเปิดประตู หนิงเหยาแค่ยืนรออยู่หน้าห้อง แต่นางก็ยังคอยหันกลับไปมองกระบี่ยาวที่นอนนิ่งอยู่บนชั้นวางของด้านหลัง
ผู้ที่มาเคาะประตูก็คือหลูเจิ้งฉุน แน่นอนว่าย่อมต้องมีฮูหยินผู้นั้นเป็นผู้นำมา นอกจากนี้ยังมีบ่าวผู้ภักดีของสกุลหลูติดตามมาอีกสองคน
หลูเจิ้งฉุนมีสีหน้าเป็นมิตร เขาถามเสียงเบาว่า “เจ้าคือเพื่อนของหลิวเสี้ยนหยาง ชื่อเฉินผิงอัน ใช่ไหม? พวกเรามาขนลัง หลิวเสี้ยนหยางน่าจะบอกเจ้าไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเงินถุงนี้เจ้าจงวางใจที่จะรับไป นอกจากนี้ข้อเสนอของหลิวเสี้ยนหยางที่ฮูหยินของพวกเรารับปากไปแล้ว วันหน้าก็จะทำตามสัญญาอย่างไม่มีบิดพลิ้ว”
เฉินผิงอันรับเงินถุงนั้นมาแล้วหลีกทางให้ ฮูหยินผู้มีท่วงท่าสง่างามใจกว้างเดินเข้าไปในลานบ้านเป็นคนแรก หลูเจิ้งฉุนนำพาผู้ติดตามสองคนเดินตามหลังไปติดๆ หญิงผู้นั้นเปิดลังไม้สีชาดที่วางอยู่ในห้องโถงหลักด้วยตัวเอง ก่อนจะนั่งยองๆ ลง ยื่นมือออกไปลูบคลำเสื้อเกราะที่อัปลักษณ์ชิ้นนั้น สายตาของนางเผยความหลงใหลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นแววตากระตือรือร้นและปรารถนารุนแรงอย่างที่ยากจะปิดได้มิด ทว่าอารมณ์เหล่านี้ถูกสตรีที่แต่งงานแล้วคนนี้เก็บลงไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางจึงกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง พอลุกขึ้นยืน นางก็บอกเป็นนัยให้หลูเจิ้งฉุนลงมือขนลังได้แล้ว ลังนี้ไม่หนักอะไร เพราะอย่างไรซะด้านในก็บรรจุเสื้อเกราะแค่ตัวเดียว
ฮูหยินผู้นั้นเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกไปจากห้อง ตอนที่เดินข้ามธรณีประตู นางหันหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลิวเสี้ยนหยางเห็นเจ้าเป็นเพื่อนจริงๆ”
เฉินผิงอันที่ไม่รู้ความหมายลึกล้ำทำเพียงแค่ตอบรับอีกฝ่ายด้วยความเงียบงัน และเดินตามออกไปส่งพวกเขา
สุดท้ายเฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูนิ่งนาน จนหนิงเหยาต้องเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขา
สตรีวัยกลางคนเดินตามหลังพวกหลูเจิ้งฉุนสามคน พอเดินไปยังสุดตรอกก็หันหน้ากลับมา จึงได้เห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวยืนเคียงบ่ากัน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายคลุมเครือ “เป็นคนหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ แต่ก็ต้องมีชีวิตให้รอดก่อนถึงจะได้”
—-
บนสะพานที่พาดข้ามธารสายเล็กเส้นนั้น เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนอนจมอยู่กลางกองเลือด ร่างของเขาชักกระตุก กระอักเลือดออกมาไม่หยุด
เพียงแต่ว่าคราวนี้ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กลับไม่ได้ยินเสียงของเจ้าเด็กผอมแห้งบางคนตะโกนเสียงดังว่า “มีคนตายแล้ว” อีกแล้ว
ตรงขั้นบันไดของหัวสะพานฝั่งทิศเหนือ มีคนมากมายมายืนออและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ พวกเขาได้แต่มองอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
มีคนสองคนเดินเร็วๆ ขึ้นไปบนสะพาน ชายคนหนึ่งนั่งยองๆ หลังจากเอามือแตะชีพจรตรงข้อมือของเด็กหนุ่ม สีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึม
เด็กสาวชุดเขียวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น “หมัดเดียวก็ต่อยให้หน้าอกของเขาแหลกเละ ช่างอำมหิตยิ่งนัก!”
ชายผู้นั้นไม่พูดอะไร
เด็กสาวชุดเขียวที่มัดผมหางม้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ท่านพ่อ! ท่านจะทนมองหลิวเสี้ยนหยางถูกคนตีจนตายคาตาแบบนี้หรือ? หลิวเสี้ยนหยางถือเป็นลูกศิษย์ของท่านครึ่งตัวแล้วนะ!”
ชายผู้นั้นยังคงไม่ปล่อยมือจากข้อมือของเด็กหนุ่ม เพียงกล่าวเรียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคราวนี้เขาตะวันเที่ยงที่ยิ่งใหญ่จะไร้เหตุผลแบบนี้”
เด็กสาวลุกพรวดขึ้นยืน “ท่านไม่จัดการ ข้าจะจัดการเอง!”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วถามช้าๆ “หร่วนซิ่ว เจ้าคิดจะให้พ่อเป็นคนเก็บศพเจ้าอย่างนั้นรึ?”
เด็กสาวก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงพลางเอ่ยเสียงหนัก “ข้าหร่วนซิ่วไม่ได้แค่รู้จักกินอย่างเดียว! ยังฆ่าคนเป็นด้วย!”
สีหน้าของชายผู้นั้นมีความโกรธเกรี้ยวปรากฎให้เห็นได้รำไร
เหตุผลเกือบครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะความมุทะลุของบุตรสาวตัวเอง แต่เหตุผลที่มากกว่านั้น แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเพราะการลงมือที่อำมหิตของวานรเฒ่าแห่งขุนเขาตะวันเที่ยงตัวนั้น
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดดูแล้ว ในเมื่อตนยังไม่รับตำแหน่งแทนฉีจิ้งชุนอย่างเป็นทางการ ถ้าอย่างนั้นจะหมายความว่า ตนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากนักก็ได้ ใช่หรือไม่?
เด็กสาวชุดเขียวพลันชะงักฝีเท้า
เพราะจู่ๆ นางก็เห็นว่าเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนหนึ่งกำลังห้อตะบึงจากอีกฝั่งของสะพานตรงเข้ามาหาตน
นางมองเห็นเรือนกายคุ้นเคยที่สวมรองเท้าแตะ สีหน้าไร้อารมณ์ดุจบ่อน้ำนิ่งที่ไม่มีริ้วคลื่น
ทั้งสองเดินสวนไหล่กันในเสี้ยววินาที เด็กสาวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางกลับพูดไม่ออก แล้วอยู่ดีๆ นางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาไหลอย่างไร้สาเหตุ
เมื่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะนั่งลงข้างกาย ยื่นมือมาจับมือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ หลิวเสี้ยนหยางที่เส้นสายตาพร่าเลือนไปนานแล้วเหมือนจะมีพลังกลับคืนมาหลายส่วนในเสี้ยววินาที เขาพยายามเค้นรอยยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าหากข้าไม่ขายเสื้อเกราะ นางจะฆ่าเจ้า…นางยังบอกว่า จะอย่างไรซะพวกนางสองคนแม่ลูกที่มาในเมืองของพวกเรา คนหนึ่งก็แค่ต้องถูกขับออกไปเท่านั้น ค่าตอบแทนนี้นางจ่ายไหว ข้ากลัว กลัวมากๆ ว่านางจะไปฆ่าเจ้าจริงๆ…ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดกับเจ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่คำลวงทั้งหมด ปู่ข้าเคยพูดกับข้าแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าขายก็ขาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…เพียงแต่ว่า เมื่อครู่นี้นางให้คนไปหาข้า บอกว่าผู้เฒ่าคนนั้นบ้าไปแล้ว พอได้ยินว่าข้าไม่มีคัมภีร์กระบี่ก็ยืนกรานว่าจะฆ่าเจ้าก่อน แล้วค่อยมาฆ่าข้า ข้าเป็นห่วงเจ้า คิดจะไปเตือนเจ้าก่อน…เลยวิ่งมาถึงที่นี่ จากนั้นก็ถูกเจ้าเฒ่าสารเลวคนนั้นต่อยหนึ่งหมัด เจ็บอยู่บ้างนิดหน่อย…”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก้มหน้าลงเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของหลิวเสี้ยนหยางเบาๆ ใบหน้าตอบดำเกรียมของเด็กหนุ่มเกร็งแน่น เขากล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้ว เชื่อข้า ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน…”
เรี่ยวแรงที่ฝืนประคองตัวเองขุมนั้นของเด็กหนุ่มค่อยๆ แผ่วจางลงไป สายตาพลันเลื่อนลอย พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าไม่เสียใจภายหลัง เจ้าเองก็ไม่ต้องโทษตัวเอง จริงๆ นะ…เพียงแต่ว่า…ข้ารู้สึกกลัวนิดหน่อย ที่แท้ข้าเองก็กลัวตายเหมือนกัน”
สุดท้ายเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำมือเพื่อนคนเดียวที่ตัวเองมีไว้แน่น พูดเสียงสำลัก “เฉินผิงอัน ข้ากลัวตายมากจริงๆ”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะนั่งอยู่บนพื้น มือข้างหนึ่งกำมือของหลิวเสี้ยนหยางไว้แน่น มืออีกข้างกำเป็นหมัดวางไว้บนหัวเข่าของตัวเอง
เขาพยายามหอบหายใจอย่างสุดชีวิต
เวลานี้เด็กหนุ่มอายุน้อยเป็นเหมือนหมาแก่ตัวหนึ่ง
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะตาแดงก่ำ
ตอนที่เขาคิดอยากจะขอความยุติธรรมจากสวรรค์ก็ยิ่งเหมือนหมาตัวหนึ่งเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ไม่อยากให้ชั่วชีวิตต้องเป็นอย่างนี้อีกแล้ว!