บทที่ 431 บนโต๊ะมีข้าวอีกถ้วย
ชุดหม่างสีหมึกทำมาจากหนังที่หนีชิวน้อยลอกคราบครั้งแรกหลังเลื่อนเป็นก่อกำเนิด คือชุดคลุมอาคมที่สกัดคงคาเจินจวินต้องทุ่มเงินก้อนใหญ่ขอให้ยอดฝีมือสร้างขึ้นอย่างลับๆ
กู้ช่านไม่สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้ออีก ไม่ใช่มารร้ายที่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนนับไม่ถ้วนของทะเลสาบซูเจี่ยนรู้สึกว่าสูงส่งลึกล้ำเกินคาดเดาอีกต่อไป เขากางมือออกกว้าง กระโดดโหยงอยู่ที่เดิม “เฉินผิงอัน เจ้าตัวสูงขนาดนี้แล้วหรือ ข้ายังนึกว่าพอพวกเราได้เจอกันอีกครั้ง ข้าจะสูงได้เท่าเจ้าแล้ว!”
เพียงแต่ว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ทุกคนในนครน้ำบ่อที่ชมความครึกครื้นอยู่ริมถนนล้วนไม่กล้าหายใจเสียงดัง ต่อให้เป็นลวี่ไช่ซางที่นิสัยร้ายกาจพอๆ กับกู้ช่านก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด
กู้ช่านยกมือเกาหัว
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านอาหญิงยังสบายดีไหม?”
กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง “สบายดี!”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าอยากไปพบท่านอาหญิง ได้ไหม?”
กู้ช่านพูดอย่างน้อยใจ “มีอะไรได้ไม่ได้กันเล่า ท่านแม่ของข้าก็ชอบพูดถึงเจ้าบ่อยๆ เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงต้องทำตัวห่างเหินแบบนี้ด้วย?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะรอเจ้าที่ท่าเรือ เจ้าไปกินปูกับเพื่อนให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพาข้าไปที่เกาะชิงเสีย”
กู้ช่านหัวเราะหึหึ “จะต้องสนใจพวกเขาทำไม ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ ไปๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปที่เกาะชิงเสียเดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้ข้ากับท่านแม่มีเรือนหลังใหญ่มาก รวยกว่าตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงเยอะนักล่ะ อย่าว่าแต่รถม้าเลย ขนาดหนีชิวน้อยยังสามารถเข้าออกได้ เจ้าว่านั่นต้องเป็นถนนที่ใหญ่แค่ไหน เป็นเรือนที่โอ่อ่าเท่าไหร่ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ไปบอกกับพวกฟ่านเยี่ยน หยวนหยวนสักคำหรือ?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เพื่อนกินพวกนี้ จะนับเป็นผายลมอะไรได้”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ชำเลืองตามองมันที่อยู่ด้านหลังกู้ช่าน ‘หนีชิวน้อย’ ที่ปีนั้นถูกตนตกมาจากร่องน้ำในคันนา
ตอนนี้มันปรากฏกายอยู่บนโลกด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์ คือดรุณีน้อยหน้าตาธรรมดา เพียงแต่หากมองอย่างละเอียด ดวงตาดำสีทองที่ตั้งตรงของมันคู่นั้นกลับสามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนจับเบาะแสบางอย่างได้
พอเฉินผิงอันชำเลืองมองมาทางมัน หนึ่งในทายาทของมังกรที่แท้จริงห้าตัวสุดท้ายบนโลกในถ้ำสวรรค์หลีจูที่แม้แต่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา คราวนี้มันไม่ได้ก้าวถอยหลังอย่างเมื่อครั้งที่เพิ่งพบกัน แต่กระนั้นก็ยังหลุบเปลือกตาลงต่ำ ราวกับไม่กล้ามองสบตาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวได้ก็เดินไปทางท่าเรือทันที
กู้ช่านก้าวเร็วๆ ตามไป มองแผ่นหลังเฉินผิงอันแวบหนึ่ง คิดแล้วก็หันไปบอกให้ลวี่ไช่ซางไปแจ้งพวกฟ่านเยี่ยนให้รับรู้ แล้วจึงบอกให้หนีชิวน้อยพาสตรีแต่งงานแล้วที่เป็นนักฆ่าเซียนดินโอสถทองผู้นั้นตามมาด้วย
ลวี่ไช่ซางทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงัก เห็นว่าสายตาของกู้ช่านเย็นชา ลวี่ไช่ซางก็แค่นเสียงดังหึแล้วเดินไปจากที่แห่งนี้
กู้ช่านถึงได้เดินอาดๆ ตามเฉินผิงอันไปอย่างอารมณ์ดี ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สองข้างของชุดหม่างสะบัดดังพรึ่บพั่บไปตามลม
หากไม่เป็นเพราะได้เจอเฉินผิงอัน วันนี้สตรีแต่งงานแล้วต้องตายอย่างแน่นอน คำว่าประหารเก้าชั่วโคตรก็ยิ่งไม่ได้ล้อเล่น นางจะต้องได้กลับไปอยู่ร่วมกับคนทั้งตระกูลอย่างพร้อมหน้าในปรโลกแน่ๆ
กู้ช่านเห็นว่าตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านรถม้าก็ยังไม่หยุดเท้า จึงตะโกนเรียก “เฉินผิงอัน ไม่นั่งรถม้าหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้หยุดเดิน แล้วก็ไม่ได้หันตัวกลับมา “ข้ามีขาเดินเองได้ อีกอย่างถึงจะเดินก็ตามรถม้าได้ทัน”
กู้ช่านจึงบอกให้หนีชิวน้อยนำตัวนักฆ่าขึ้นรถม้า ตัวเองเดินตามเฉินผิงอันมุ่งหน้าไปยังเรือหอเรือนเกาะชิงเสียที่จอดอยู่ตรงท่าเรือ
ตลอดทางที่เดินกันมา กู้ช่านทั้งไม่ได้ถามเฉินผิงอันว่าทำไมต้องตบตนสองที แล้วก็ไม่ได้เล่าถึงความมีบารมีอำนาจของตัวเองในทะเลสาบซูเจี่ยน แค่คุยเรื่องน่าสนใจของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ตัวเองได้ยินได้ฟังจากคนอื่นมาอีกที
เพียงแต่ว่ายิ่งขยับเข้าใกล้ทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านก็ยิ่งผิดหวัง
เพราะก็เหมือนกับที่เขาไม่แยแสเพื่อนจิ้งจอกสหายสุนัขกลุ่มนั้น ระยะทางที่เดินกันมา ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เฉินผิงอันไม่ยอมพูดอะไรกับเขาสักคำ แต่สิ่งที่ทำให้กู้ช่านรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันไม่ได้กำลังสะกดกลั้นไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง แต่เป็นใจลอย จะพูดให้ถูกก็คือจิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับเรื่องของตัวเอง นี่พอจะทำให้กู้ช่านคลายใจลงได้บ้าง
กู้ช่านกลัวที่สุดก็คือ เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาสักคำ พบหน้าตนแล้วตบบ้องหูตนสองที จากนั้นก็จากไปโดยไม่เอ่ยอะไร
ไม่ได้พบกันอีกชั่วชีวิต ต่อให้ในอนาคตได้เจอกันโดยบังเอิญก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าต่อกัน
ตอนที่ขึ้นเรือ หนีชิวน้อยพาสตรีแต่งงานแล้วคนนั้นเดินตามมาด้านหลังด้วย กู้ช่านถามอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นให้ข้าปล่อยนักฆ่าคนนี้ไปดีไหม? วันนี้ข้าอารมณ์ดี ปล่อยนางไปก็ไม่เป็นไร”
ฝีเท้าของเฉินผิงอันชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดเดิน
เพียงแต่กู้ช่านสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชั่วขณะนั้นเฉินผิงอันโกรธและ…ผิดหวัง
ทว่ากู้ช่านไม่เข้าใจว่าทำไมตนพูดแบบนี้ ทำแบบนี้แล้ว…ยังผิดสำหรับเฉินผิงอันอีก
ดังนั้นกู้ช่านจึงหันหน้ากลับไป สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เท้าก็ก้าวไปไม่หยุด แต่ลำคอกลับหันมาจับจ้องสตรีแต่งงานแล้วคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตลอดเวลา
ล้วนเป็นเพราะนังผู้หญิงที่วันไหนไม่โผล่หัวดันโผล่หัวมาลอบฆ่าตนวันนี้ผู้นี้แท้ๆ ถึงทำให้เฉินผิงอันโมโหตน ช่างสมควรตายจริงๆ ถูกประหารเก้าชั่วโคตรก็ยังไม่เพียงพอ!
มาถึงหัวเรือ เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ทอดสายตามองทัศนียภาพของทะเลสาบที่ห่างไปไกลเพียงลำพัง
กู้ช่านทั้งน้อยใจและไม่พอใจ แต่ก็อยากอยู่ใกล้ๆ เฉินผิงอันด้วย จึงได้แต่ยืนห่างมาทางด้านหลังเขาไม่กี่ก้าว ขนาดความกล้าที่จะยืนเคียงไหล่เฉินผิงอัน เขาก็ยังไม่มี
และเวลานี้เอง นักฆ่าที่ในที่สุดก็สัมผัสได้ว่าตัวเองยังเหลือทางรอดเสี้ยวสุดท้ายพลันคุกเข่าลง โขกหัวให้กับเฉินผิงอันอย่างแรง “ขอร้องเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คือพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่จิตใจเมตตา ขอร้องเจ้าพูดกับกู้ช่านสักคำ ให้เขาปล่อยข้าไปสักครั้ง ขอแค่ไม่สังหารข้า วันหน้าข้าจะสร้างซุ้มป้าย สร้างศาลให้แก่ท่านผู้มีพระคุณ จะจุดธูปกราบไหว้ทุกวัน ต่อให้ผู้มีพระคุณจะขอให้ข้าเป็นวัวเป็นม้าของกู้ช่านก็ยังได้…”
ปลายนิ้วของหนีชิวน้อยสั่นเบาๆ
กู้ช่านกลับยกยิ้ม หมุนตัวกลับมาส่ายหน้าให้หนีชิวน้อย ปล่อยให้นักฆ่าคนนี้โขกหัวร้องขอชีวิตจนเกิดเสียงหน้าผากกระแทกพื้นเรือดังตึงๆ อยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงด้วยมืออันสั่นเทา ดื่มเหล้าก่อนอึกใหญ่ถึงจะหมุนตัวกลับมา แต่กลับไม่ได้มองสตรีแต่งงานแล้วที่บอกว่าตนเป็นคนดีเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิต เขามองกู้ช่าน ถามว่า “ทำไมถึงไม่ฆ่าแค่นาง?”
กู้ช่านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากฆ่าแค่นางย่อมไม่ได้ผล คนที่ชอบรนหาที่ตายในทะเลสาบซูเจี่ยนมีมากเกินไป เฉินผิงอันเจ้าอาจจะไม่รู้ ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ไร้ขื่อไร้แปแห่งนี้ หากคิดว่าใครฆ่าข้า ข้าก็แค่ฆ่าคนนั้น นั่นก็ถือว่ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้ว จะต้องกลายมาเป็นตัวตลกที่พวกผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนและคนทุกคนที่อยู่ในนครรอบทะเลสาบซึ่งพึ่งพาเจ้าของเกาะแต่ละเกาะพากันหัวเราะเยาะ”
กู้ช่านคงกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อตน จึงหันหน้าไปถามหนีชิวน้อย “ใช่แบบนี้ไหม? ข้าไม่ได้โกหกเฉินผิงอันใช่ไหม?”
หนีชิวน้อยที่ไม่ยำเกรงต่อผู้ใด ไม่เคารพกฎหมายไร้ขื่อไร้แปที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยนพยักหน้ารับอย่างขลาดกลัว
สตรีแต่งงานแล้วสามารถกลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งใด อีกทั้งยังกล้ามาลอบสังหารกู้ช่าน ย่อมไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว เพียงชั่วพริบตาก็ขบคิดจนเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของตน ตนสามารถฆ่าได้? นางรู้สึกเหมือนร่วงดิ่งลงไปในหุบเหวน้ำแข็งทันใด ตอนที่ก้มหน้าลง สายตากลอกล่อกแล่กไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันมองนาง ถามว่า “หากจะบอกว่า ข้าช่วยรับประกันให้ได้ว่าฆ่าเจ้าคนเดียว แต่ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าล้วนมีชีวิตรอด เจ้าจะทำอย่างไร?”
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลพรากนองเต็มหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ทำไมถึงปล่อยข้าไปพร้อมกันไม่ได้เล่า? ข้ารู้ว่าข้าผิด ข้าไม่ควรลอบฆ่ากู้ช่าน ข้ารับรองว่าวันหน้าหากพบกู้ช่านอีกจะเป็นฝ่ายเดินหลีกหนีไปให้ไกล ขอร้องเจ้าช่วยข้าด้วยเถอะ ช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้งได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ขอร้องเจ้าล่ะ!”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หากวันนี้การลอบฆ่าของพวกเจ้าประสบความสำเร็จ กู้ช่านนั่งคุกเข่าบนพื้นขอร้องให้พวกเจ้าปล่อยเขาและแม่ของเขาไป เจ้าจะรับปากหรือไม่? เจ้าตอบข้ามาตามตรงก็พอ”
สตรีแต่งงานแล้วปาดน้ำตาทิ้ง “ต่อให้ข้าเต็มใจปล่อยกู้ช่านไป แต่ผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้นต้องลงมือสังหารเขาแน่นอน แต่ขอแค่กู้ช่านช่วยข้า ข้าจะต้องปล่อยแม่ของกู้ช่านไปแน่ ข้าจะออกหน้าปกป้องสตรีที่บริสุทธิ์ผู้นั้นไว้ให้ดี จะต้องไม่ให้นางถูกรังแกแน่ๆ”
กู้ช่านคลี่ยิ้มกว้างสดใส
เขาย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้พูดให้ฟังดูดีไปอย่างนั้นเอง ก็เพื่อให้มีชีวิตรอดนี่นะ คำพูดหลอกผีอะไรที่พูดไม่ได้บ้าง กู้ช่านไม่รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เกี่ยวอะไรกันด้วยเล่า? ขอแค่เฉินผิงอันยอมพยักหน้าตกลงแล้วไม่โกรธตน ให้ปล่อยมดพวกนี้ไปสักตัวสองตัวจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว อย่าว่าแต่ชีวิตไร้ค่าของเซียนดินโอสถทองอย่างนางเลย ต่อให้เป็นคนในครอบครัวนางเก้าชั่วโคตรก็ไม่มีความสำคัญเช่นกัน มดตัวน้อยที่ความตั้งใจเดิม คำสัญญาและตบะล้วนไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียวพวกนี้ เขากู้ช่านไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่จงใจใช้ทางอ้อมไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงก็ไม่ใช่เพื่อต้องการหาเรื่องสนุกให้กับตัวเอง หยอกพวกคนที่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ในมือพวกนี้เล่นหรอกหรือ?
เฉินผิงอันพูดกับกู้ช่านช้าๆ “เจ้าสังหารนางบนถนน ข้าไม่รู้สึกว่าผิด เจ้าสังหารนางที่นี่ ก็ไม่ผิดเหมือนกัน ไปถึงเกาะชิงเสียแล้วค่อยสังหารนาง ก็ไม่มีปัญหา”
กู้ช่านอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันถาม “ตอนนั้นที่อยู่บนถนน เจ้าเรียกนางว่าอะไร?”
กู้ช่านคิดแล้วก็ตอบว่า “ท่านอาหญิง”
เฉินผิงอันถาม “ข้าเรียกท่านแม่เจ้าว่าอะไร?”
กู้ช่านตอบอย่างอัดอั้น “ก็เรียกท่านอาหญิง”
เฉินผิงอันพูดพึมพำ “คนทั้งครอบครัวต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา คนทั้งครอบครัวต้องกลับมารวมตัวกันอย่างสุขสันต์”
กู้ช่านพลันตาแดงก่ำ ก้มหน้าลง “เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไรกันแน่ ฆ่านาง หรือว่าปล่อยนางไป เจ้าถึงจะไม่โกรธ ไม่โมโห เลิกทำเป็นไม่สนใจข้า เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาสิ แล้วข้าจะทำ”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ “ตามใจเจ้า ข้าไปพบท่านอาหญิงที่เกาะชิงเสียแล้ว บางทีหากพูดคุยเสร็จก็จะจากไปทันที”
แล้วเฉินผิงอันก็ไม่พูดอะไรอีก
กู้ช่านกัดฟันกรอด น้ำตาคลอกลบดวงตา สองมือกำหมัดแน่น
จิตใจของกู้ช่านเชื่อมโยงอยู่กับหนีชิวน้อย ไม่จำเป็นต้องให้กู้ช่านบอก หนีชิวน้อยก็หิ้วตัวเซียนดินโอสถทองเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบเอาไปขังไว้ในห้องลับบนเรือ
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่หัวเรือตลอดเวลา
ระหว่างนี้กู้ช่านไปที่ห้องชั้นบนสุดของเรือหอเรือน จิตใจของเขาวุ่นวายยุ่งเหยิง ขว้างปาแก้วทุกใบบนโต๊ะทิ้ง แม่นางเปิดสาบเสื้อหลายคนที่อยู่ในห้องตัวสั่นงันงก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายตัวน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตั้งแต่เช้าจรดค่ำถึงได้เกรี้ยวกราดเพียงนี้
หนีชิวน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อัดอั้นตันใจมากเหมือนกัน
กู้ช่านเงยหน้าขึ้นจ้องมองหนีชิวน้อย แล้วเขาก็คลี่ยิ้ม พูดอย่างลำพองใจว่า “หนีชิวน้อย ไม่ต้องกลัวนะ เฉินผิงอันก็แค่โมโหข้าเท่านั้น ตอนเด็กก็มักจะเป็นเช่นนี้ หากทำให้เขาไม่พอใจเมื่อไหร่ ไม่ว่าข้าจะคอยตามก้นเขาต้อยๆ พูดจาน่าฟังเอาใจเขาแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจข้า วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งหากเห็นว่าข้าหรือท่านแม่ข้าถูกเพื่อนบ้าน หรือไม่ก็พวกคนชั่วของเมืองเล็กรังแก เขาก็ยังช่วยพวกเราอยู่ดี หลังจากนั้นต่อให้ข้าจะร้องไห้งอแงแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่โกรธข้าแล้ว เฮ้อ น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ข้าไม่มีขี้มูกยืดสองเส้นนั่นอีกแล้ว นั่นน่ะคือสมบัติอาคมชิ้นที่ใหญ่ที่สุดของข้าเลยนะ เจ้ารู้ไหม? ทุกครั้งที่เฉินผิงอันช่วยข้าและท่านแม่ ขอแค่ข้าสูดน้ำมูก เขาจะต้องทำหน้าตึงไม่ไหว หลุดหัวเราะ ทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้น เขาก็จะไม่โกรธข้าอีก”
หนีชิวน้อยพยักหน้ารับ
กู้ช่านและตัวมันเองต่างก็รู้ดีว่าเหตุใดตอนที่อยู่บนถนน มันจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เป็นเพราะมันกลัวจริงๆ
นั่นคือความเคาพยำเกรงที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของมัน
เกรงว่าแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเอง คนทั้งถ้ำสวรรค์หลีจู หรือแม้แต่อาจารย์ของกู้ช่านอย่างสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็คงไม่มีทางรู้สาเหตุ
เพราะหนีชิวน้อยตัวนี้ไม่ค่อยเหมือนกับปลาหลีสีทองที่ถูกขังอยู่ในข้องราชามังกรของหลี่เอ้อร์ หรืองูสี่ขาตัวที่อยู่ในลานบ้านของซ่งจี๋ซินสักเท่าไหร่ การที่สามารถจับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนีชิวน้อยตัวนี้มาได้ นั่นก็คือโชควาสนาของตัวเฉินผิงอันเอง! เป็นโชควาสนาเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เฉินผิงอันสามารถจับมาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีโอกาสกุมมันไว้ในมืออย่างแน่นหนา! แต่เฉินผิงอันกลับอาศัยความรู้สึกของตนมอบมันให้กับกู้ช่านที่ตอนนั้นก็เกิดจิตเชื่อมโยงกับหนีชิวน้อยจึงทำหน้ายิ้มประจบขอร้องมาจากเฉินผิงอัน นี่เท่ากับว่าตัวเขามอบโชควาสนาของตัวเองให้กลายเป็นโชควาสนาบนมหามรรคาของกู้ช่าน
แต่นี่ไม่ได้กระทบกับข้อที่ว่า สำหรับหนีชิวน้อยแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเจ้านายของมันครึ่งตัว!
แม้ตอนนี้เฉินผิงอันจะไม่มีทางควบคุมหนีชิวน้อยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้วได้ แต่หากจะบอกว่าหนีชิวน้อยกล้าลงมือกับเฉินผิงอัน ก็เว้นเสียแต่ว่าเจ้านายคนปัจจุบันอย่างกู้ช่านจะออกคำสั่ง มันถึงจะกล้าทำ
กู้ช่านพลันฟุบตัวลงบนโต๊ะ “หนีชิวน้อย ใต้หล้านี้นอกจากท่านแม่ก็มีแค่เฉินผิงอันที่เต็มใจจะมอบของที่ดีที่สุดของตัวเองให้ข้าอย่างแท้จริง ตอนที่ไม่ได้เป็นช่างปั้น ตอนที่เป็นช่างปั้นแล้ว เฉินผิงอันก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอแค่ในมือมีเงินสักเล็กน้อย ตัวเขาเองตัดใจซื้อไม่ลง แต่ขอแค่ข้าอยากกิน เขาก็จะซื้อมาให้ข้าโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครั้ง แถมยังโกหกข้าว่าเขาได้เงินมาก้อนใหญ่ ข้าเพิ่งจะมารู้ก็ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางหลุดปากเล่าให้ฟังในภายหลัง หนีชิวน้อย เจ้าว่า ทำไมเฉินผิงอันต้องโกรธด้วยล่ะ?”
หนีชิวน้อยส่ายหน้า
กู้ช่านพลิกตัวกลับ เอาศีรษะวางพาดไว้บนโต๊ะ สองมือสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิว่าคราวนี้เฉินผิงอันจะโกรธนานแค่ไหน? เฮ้อ ตอนนี้ข้าไม่กล้าเล่าเรื่องแม่นางเปิดสาบเสื้อให้เขาฟังด้วยซ้ำ จะทำยังไงดี?”
กู้ช่านหลั่งน้ำตา “ข้ารู้ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเวลาคนอื่นรังแกข้ากับท่านแม่ ขอแค่เขาได้เห็นก็จะสงสารข้า ดังนั้นต่อให้ข้าจะไม่รู้ความแค่ไหน เขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางไม่ยอมรับน้องชายอย่างข้า แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน ข้ากับท่านแม่ต่างก็มีชีวิตที่ดีมากแล้ว เขาเฉินผิงอันจะต้องรู้สึกว่า ต่อให้ไม่มีเขาเฉินผิงอัน พวกเราก็สุขสบายได้ ดังนั้นเขาจะต้องโกรธต่อไป จะไม่สนใจข้าอีกตลอดชีวิต แต่ข้าอยากบอกกับเขาว่า ไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีเฉินผิงอัน ข้าจะต้องเสียใจมาก ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากเฉินผิงอันไม่สนใจข้าแล้ว ข้าก็จะไม่ห้ามเขา ข้าแค่จะบอกกับเขาว่า หากเจ้ากล้าไม่สนใจข้า ข้าก็จะยิ่งเป็นคนเลวมากกว่าเดิม ข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายมากกว่าเดิม ร้ายจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะไปอยู่ที่ใดในแจกันสมบัติทวีป ไปอยู่ใบถงทวีป หรือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ล้วนต้องได้ยินชื่อเสียงของข้ากู้ช่าน!”
กู้ช่านยกสองมือปิดหน้า
นี่คือครั้งที่สองที่กู้ช่านเผยด้านที่อ่อนแอออกมาให้เห็นนับตั้งแต่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ครั้งแรกคือตอนฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับมารดาบนเกาะชิงเสีย ตอนนั้นก็พูดถึงเฉินผิงอันเช่นกัน
จิตใจของหนีชิวน้อยเชื่อมโยงอยู่กับกู้ช่าน อารมณ์ทั้งหมดของเขาไม่ว่าจะเป็นเศร้า ดีใจ เสียใจหรือโกรธ มันล้วนมีความรู้สึกร่วมไปด้วย มันจึงหลั่งน้ำตาไม่ต่างจากเขา
……
ในที่สุดเรือหอเรือนก็มาถึงเกาะชิงเสีย
ตอนที่ลงจากเรือ เฉินผิงอันหยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งส่งมอบให้กับหนีชิวน้อย เฉินผิงอันพูดเสียงทุ้มหนัก “เอานี่ไปให้หลิวจื้อเม่า บอกให้เขาเก็บไว้ก่อน รอให้ข้าไปจากเกาะชิงเสียเมื่อไหร่ค่อยคืนให้ข้า แล้วก็บอกเขาด้วยว่า ช่วงเวลาที่ข้าอยู่เกาะชิงเสีย อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเขาแม้แต่ครั้งเดียว”
ตอนที่มันรับแผ่นป้ายมากลับทำเหมือนเด็กน้อยที่รับถ่านร้อนๆ แดงฉานกำใหญ่ พลันกรีดร้องเสียงแหลมก้องไปยันชั้นเมฆ เกือบจะเผยร่างจริงของเจียวหลงที่ยาวหลายร้อยจั้ง แทบจะยกกรงเล็บตบท่าเรือเกาะชิงเสียให้แหลกเป็นจุล
และในขณะที่มันคิดจะโยนป้ายหยกทิ้งนั้นเอง เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถือให้ดี!”
หนีชิวน้อยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานกำป้ายหยกประหลาดที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ไว้แน่น แล้วไปตามหาสกัดคงคาเจินจวิน
ตรงท่าเรือมีคนมารออยู่ก่อนนานแล้ว แต่ละคนมีท่าทางนอบน้อม พยายามประจบเอาใจกู้ช่านสุดฤทธิ์
เฉินผิงอันเอ่ยกับกู้ช่าน “รบกวนเจ้าแจ้งท่านอาหญิงสักคำว่าข้าอยากกินอาหารธรรมดาๆ สักมื้อ ขอแค่บนโต๊ะมีข้าวสักถ้วยก็พอแล้ว”
กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง ขอแค่เฉินผิงอันยินดีนั่งลงกินข้าวร่วมกันก็พอแล้ว เขาจึงบอกให้ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นพ่อบ้านของเกาะชิงเสียรีบกลับไปแจ้งท่านแม่ที่จวน ไม่ต้องให้มีเนื้อชิ้นใหญ่ปลาชิ้นโต แค่เตรียมอาหารธรรมดาพื้นๆ ไว้โต๊ะหนึ่งก็พอ!
กู้ช่านนำทาง เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านข้าง เขาเดินช้ามาก
กู้ช่านนึกว่าเฉินผิงอันอยากให้ไปถึงจวนแล้วได้กินข้าวเลย และตัวเขาเองก็อยากเดินเล่นกับเฉินผิงอันให้นานอีกนิดอยู่แล้ว จึงจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วย
จู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้ข้าอยู่ที่นครน้ำบ่อตลอดเวลา สอบถามเรื่องของเจ้าและเกาะชิงเสียจากคนหลายคน ได้ยินเรื่องราวมากมาย”
กู้ช่านไหล่ลู่คอตก “เดาออกแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอีก “คำพูดบางอย่าง ข้ากลัวว่าหากไปอยู่บนโต๊ะกินข้าวจะพูดไม่ออก แล้วจะไม่กล้าพูดอีก ดังนั้นก่อนจะไปพบท่านอาหญิง ข้าอาจจะพูดบางอย่างที่เจ้าไม่ชอบฟัง ข้าหวังว่าไม่ว่าเจ้าจะชอบฟังหรือไม่ ไม่ว่าในใจของเจ้าจะรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดเหลวไหลตรรกะบิดเบี้ยวแค่ไหน เจ้าก็จะฟังข้าพูดให้จบก่อน ได้ไหม? พอข้าพูดจบแล้ว เจ้าค่อยพูดความในใจของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เป็นเหมือนนักฆ่าคนนั้น ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะชอบฟังหรือไม่ ข้าแค่อยากฟังความในใจของเจ้า เจ้าคิดยังไงก็พูดอย่างนั้น”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที “เจ้าพูดมา ข้าจะฟัง”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ขอโทษนะ ข้ามาช้าไป”
กู้ช่านหยุดชะงัก
เฉินผิงอันเองก็หยุดเดินตามไปด้วย ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ของผู้ฝึกตนบนเกาะชิงเสีย นี่คือ ‘บุรุษวัยกลางคน’ ที่ดูเหนื่อยล้าคนหนึ่ง แม้จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าท่าทาง ทว่าดวงตาก็คือหน้าต่างของหัวใจคน ความเหนื่อยล้านั้นจึงมิอาจปกปิดไว้ได้
ปีนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและเด็กชายขี้มูกยืด คนทั้งสองคนจากลากันที่ตรอกหนีผิงอย่างเร่งร้อนเกินไป นอกจากเรื่องของใบไหวกำใหญ่ในกระเป๋าของกู้ช่าน นอกจากจะบอกให้เขาระวังหลิวจื้อเม่า และบอกให้เด็กที่โตเพียงเท่านั้นดูแลแม่ของตัวเองให้ดีแล้ว ยังมีคำพูดอีกมากมายที่เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดออกไป
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางยอดเขาของเกาะชิงเสีย “หลังจากที่เจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นออกไปจากบ้านเกิด เพียงไม่นานข้าก็จากมาเหมือนกัน เริ่มท่องอยู่ในยุทธภพ พบเจอกับอุปสรรคไม่อย่างนี้ก็อย่างนั้น ดังนั้นข้ากลัวอย่างมากว่าจะเกิดเรื่องหนึ่ง กลัวว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดจะกลายเป็นคนประเภทที่ปีนั้นเจ้าและข้าเฉินผิงอันไม่ชอบมากที่สุด เป็นผู้ชายตัวใหญ่โต แต่กลับชอบรังแกสตรีแต่งงานแล้วที่ในบ้านไม่มีบุรุษอยู่ด้วย เรี่ยวแรงมากหน่อยก็ชอบรังแกลูกของสตรีแต่งงานแล้วคนนั้น ดื่มเหล้าเข้าไป เห็นเด็กเดินผ่านทางก็ถีบจนเด็กคนนั้นล้มกลิ้งอยู่กับพื้น ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าคิดถึงกู้ช่าน เรื่องแรกก็คือเป็นกังวลว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ เรื่องที่สองก็คือกังวลว่าหากมีชีวิตที่ดีแล้ว เจ้าเด็กขี้มูกยืดที่เจ้าคิดเจ้าแค้นคนนั้นจะค่อยๆ กลายเป็นคนประเภทที่ว่าเมื่อเรี่ยวแรงมากขึ้นแล้ว ความสามารถมากขึ้นแล้ว พออารมณ์ไม่ดีก็จะถีบเด็กคนหนึ่งโดยไม่สนว่าเด็กคนนั้นจะเป็นหรือตายหรือไม่ เด็กคนนั้นจะเจ็บปวดอย่างมาก แล้วจะถูกเฉินผิงอันช่วยเอาไว้ พอกลับไปถึงบ้าน นอกจากที่แม่ของเด็กจะสงสารลูกแล้ว ยังต้องเอาเงินเหรียญทองแดงไปซื้อยาจากร้านยาตระกูลหยาง แล้วชีวิตที่เหลืออีกสิบวันครึ่งเดือนจะยิ่งลำบากมากกว่าเดิมหรือไม่ ข้ากลัวมากว่าจะเป็นเช่นนี้”
“แต่จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องโทษข้า โทษที่ครั้งแรกหลังจากข้าเดินทางกลับจากต้าสุย ครั้งที่สองที่ออกท่องยุทธภพ ทั้งๆ ที่ต้องลงใต้เดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า แต่ทำไมถึงไม่ยอมเอากระบี่ไปส่งให้ช้าอีกสักหน่อย ทำไมไม่ยอมเดินทางอ้อมไปไกลอีกนิด ก็แค่เสียเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ข้าควรจะต้องไปเยี่ยมหาเจ้าเด็กขี้มูกยืด ไปดูให้เห็นกับตาว่าเขากับแม่สบายดีจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่ว่าอาศัยข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ จนพอรู้ว่าพวกเขาสองคนไม่มีอันตรายน่าเป็นห่วง ดูเหมือนจะมีชีวิตที่ไม่เลวก็รู้สึกว่าไปช้าอีกนิดก็ไม่เป็นไร รอให้ตัวเองได้ดิบได้ดีแล้ว สามารถหาของไปมอบให้เจ้าเด็กขี้มูกยืดได้มากกว่าเดิมค่อยไปหาเขาก็ยังไม่สาย”
“ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายเอาเอง เจ้าสังหารผู้ถวายงานของเกาะชิงเสีย สังหารศิษย์พี่ใหญ่คนนั้น สังหารนักฆ่าของวันนี้ ขอแค่ข้าเฉินผิงอันอยู่ด้วย เจ้าไม่ฆ่า ฆ่าไม่ไหว ข้าก็จะช่วยเจ้าฆ่า! คนแบบนี้ ต่อให้ดาหน้ามามากเท่าไหร่ ข้าก็จะฆ่าให้หมด มาหนึ่งคนข้าฆ่าหนึ่งคน มาหนึ่งหมื่นคน หากข้าสามารถฆ่าได้แค่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ข้าก็จะโทษแค่ว่าหมัดของข้าเฉินผิงอันไม่แข็งมากพอ ออกกระบี่ไม่เร็วพอ! เพราะข้าเคยรับปากเจ้า รับปากตัวเอง ว่าจะต้องปกป้องเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นให้ดี นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุดของข้าเฉินผิงอัน ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย!”
“แต่ว่า เจ้ากู้ช่านมีหนึ่งพันหนึ่งหมื่นเหตุผลที่จะบอกแก่ตัวเอง บอกแก่ข้าเฉินผิงอัน บอกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือสถานที่ที่สกปรกโสมมเช่นนี้ วิถีทางโลกก็คือวิถีที่ห่วยแตกเช่นนี้ หากข้าไม่ฆ่าคนเพื่อสร้างบารมี คนอื่นก็จะมาฆ่าข้า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ข้ออ้างที่เจ้ากู้ช่านจะสังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อได้ คนมากมายถึงเพียงนั้นต้องตายไป คนที่ไม่แม้แต่จะรู้เหตุผลด้วยซ้ำ ฆ่าไปแล้ว เจ้ากู้ช่านข้ามหลุมในใจหลุมนั้นไปได้ แต่ข้าเฉินผิงอัน ข้ามไปไม่ได้ ข้าจะต้องคิดว่า คนมากมายหลายสิบคนหลายร้อยคนนั้น ก็คือเด็กขี้มูกยืดที่ปีนั้นเดินตามก้นเฉินผิงอันเด็กบ้านนอกต้อยๆ อยู่ในตรอกหนีผิงหลายสิบคนหลายร้อยคน คือช่างเผาเครื่องปั้นบ้านนอกคนนั้นหลายสิบคนหลายร้อยคน แล้วคนที่มากมายขนาดนี้ ล้วนตายไปหมดแล้ว ทว่าเฉินผิงอันที่ปีนั้นเกือบจะหิวตายอยู่ในตรอกหนีผิงแต่ก็ไม่ยอมไปเคาะประตูบ้านใคร ได้แต่เดินวนอยู่ในตรอกหนีผิงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ตาย เด็กขี้มูกยืดที่ปีนั้นถูกคนสารเลวที่เมามายถีบเต็มแรง ไม่ตาย”
เฉินผิงอันหยุดพูด ตบไหล่กู้ช่านที่อยู่ข้างกาย “เดินต่อเถอะ ท่านอาหญิงยังรอพวกเราอยู่ ต่อให้ถนนหนทางเดินยากแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังต้องเดิน”
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไป
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าเฉินผิงอันไม่อยากเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรม แต่ไม่เป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ต้องใช้เหตุผลเลยสักนิดเดียว”
“คนอื่นไม่ใช้เหตุผล ข้าไม่สนใจ แต่เจ้ากู้ช่าน ข้าต้องสน ไม่ว่าข้าสั่งสอนเจ้าแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลองทำดู หลังจากพ่อแม่ข้าตายไป ข้าก็ไม่มีญาติอีกแล้ว หลิวเสี้ยนหยางและเจ้ากู้ช่าน พวกเจ้าสองคนก็คือญาติของข้า ใต้หล้าใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนอยู่เมืองเล็กข้ากลับมีแค่เจ้ากับหลิวเสี้ยนหยางเป็นญาติอยู่สองคน ไม่ว่าแผ่นฟ้าของที่ใดถล่มลงมา ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ทว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ขอแค่มันกดทับพวกเจ้า ไม่ว่าข้าเฉินผิงอันจะมีความสามารถแค่ไหนก็ต้องลองทำดู ข้าจะต้องดันแผ่นฟ้าที่ถล่มลงมากลับไป! ต่อให้ดันกลับไปไม่ไหว ยกไม่ขึ้น ต่อให้ข้าเฉินผิงอันต้องตาย ก็จะต้องช่วยทวงคืนความยุติธรรมมาให้พวกเจ้าให้จงได้!”
ปีนั้นตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู
เพื่อหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันเคยลองทำมาก่อน เขาคิดว่าต่อให้ตายก็ตายไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับหลิวเสี้ยนหยางให้ได้
ตอนนี้อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าแค่เอ่ยประโยคเหล่านี้ก็เผาผลาญพลังกายพลังใจของเขาไปจนสิ้นแล้ว
ประสบการณ์ไม่เหมือนกัน
แต่ก็ทำให้เฉินผิงอันได้แค่นั่งอยู่เพียงลำพังคล้ายหมาข้างถนนตัวหนึ่งเหมือนกัน
“หากข้าไม่ได้รู้จักเจ้ากู้ช่าน ต่อให้เจ้าเจาะแผ่นฟ้าของทะเลสาบซูเจี่ยนจนเป็นรู ข้าได้ยิน ข้าก็ไม่คิดจะสนใจ แล้วก็ไม่มีทางมาเยือนนครน้ำบ่อ ไม่มาเยือนเกาะชิงเสีย เพราะข้าเฉินผิงอันไม่อาจดูแลจัดการได้ ความสามารถของข้าเฉินผิงอันมีเพียงเท่านั้น ตอนอยู่ที่จวนของผีสาว ข้าไม่ได้สนใจ ตอนเห็นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้นในเขตการปกครองของแคว้นหวงถิง ข้าก็ไม่ยุ่ง ตอนอยู่ร่องเจียวหลง ข้าเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ข้าจึงสูญเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้าไป ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ข้าก็เข้าไปยุ่ง ข้าจึงถูกผู้ฝึกตนคนหนึ่งแทงทะลุหน้าท้อง บนโลกใบนี้ หากเจ้าคิดจะใช้เหตุผล เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่หากไม่ใช้เหตุผล ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนกัน! เจียวเฒ่าของร่องเจียวหลงตัวนั้นเกือบจะถูกผู้ฝึกกระบี่ถอนรากถอนโคน ตู้เม่าถูกคนเล่นงานจนเกือบตาย! พวกเขาเป็นเช่นนี้ เจ้ากู้ช่านเองก็เหมือนกัน วันนี้มีชีวิตที่ดี พรุ่งนี้ล่ะ? มะรืนล่ะ? ปีหน้า ปีต่อๆ ไปล่ะ? วันนี้เจ้าสามารถทำให้ครอบครัวของคนอื่นกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า วันพรุ่งนี้คนอื่นก็สามารถทำให้ท่านแม่ของเจ้าไปอยู่พร้อมหน้ากับเจ้าในปรโลกได้เช่นกัน!”
“หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังให้ตรงท้ายตรอกหนีผิงมีเด็กขี้มูกยืดที่ชื่อกู้ช่านคนนั้นอาศัยอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่อยากมอบหนีชิวน้อยให้เขาเลยสักนิด ข้าอยากจะให้เจ้าอาศัยอยู่ที่ตรอกหนีผิง ขอแค่ข้ากลับไปยังบ้านเกิดก็จะได้พบเจ้าและท่านอาหญิง ไม่ว่าครอบครัวของพวกเจ้าจะพอมีเงินขึ้นมาบ้าง หรือข้าเฉินผิงอันจะรวยแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็สามารถซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ ซื้อของกินที่อร่อยๆ มีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย”
คนทั้งสองขยับเข้าไปใกล้เรือนที่แสงไฟสว่างเจิดจ้าไม่แพ้ให้กับจวนของอ๋องในโลกมนุษย์เลย
สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง พูดเบาๆ ว่า “ข้าพูดจบแล้ว และก็ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอ่ยอะไรอีกแล้ว ดังนั้นพอไปถึงที่โต๊ะอาหาร เจ้าก็พูดเรื่องที่เจ้าอยากพูดเถอะ ข้าจะฟัง”
กู้ช่านยกมือขึ้นเช็ดใบหน้า ไม่เอ่ยอะไร
จวนใหญ่มาก เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา ลำพังเพียงแค่เดินมาถึงห้องกินข้าวก็ต้องเดินกันอยู่นาน
ตอนที่เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตู เขาก็ปลดหน้ากากที่จูเหลี่ยนทำขึ้นอย่างประณีตลง เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิม
สตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดอาภรณ์หรูหรางดงามคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องโถงใหญ่ กำลังชะเง้อคอมองมา พอเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายกู้ช่าน ดวงตาของนางก็พลันแดงก่ำ ก้าวเร็วๆ ลงจากบันไดมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มองประเมินเฉินผิงอันที่ตัวสูงขึ้นมากอย่างละเอียด ฉับพลันนั้นความรู้สึกก็ประดังประเดกันเข้ามา นางยกมือขึ้นอุดปาก ถ้อยคำมีเป็นพันเป็นหมื่น นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว อันที่จริงลึกๆ ในใจของสตรีที่แต่งงานแล้วรู้สึกละอายใจอย่างถึงที่สุด ปีนั้นหลิวจื้อเม่ามาเยือนที่บ้าน บอกเรื่องของหนีชิวน้อยให้นางรับรู้ นางก็ตัดสินใจอย่างอำมหิต ขอแค่สามารถเก็บโชควาสนานั้นไว้ให้กู้ช่านได้ นางก็หวังว่าเด็กหนุ่มเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงที่เคยช่วยนางและบุตรชายมาหลายปี
จะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านอาหญิง”
สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงสะอื้น “ดีๆๆ ต่างก็มีชีวิตที่ดีเหมือนกู้ช่านของข้า นี่ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น รีบเข้าห้องมาเถอะ พ่อบ้านของเกาะมาแจ้งฉุกละหุกไปหน่อย อาเลยได้แค่เข้าครัวทำกับข้าวสองอย่าง กับข้าวอย่างอื่นล้วนเป็นข้ารับใช้ในจวนที่ช่วยทำ แต่ทำตามรสชาติอาหารของบ้านเกิด รับรองว่าเป็นอาหารธรรมดารสชาติดั้งเดิม ไม่มีทางที่เจ้าเฉินผิงอันจะไม่คุ้นเคย”
เฉินผิงอันกล่าว “รบกวนท่านอาแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ “พูดเหลวไหลอะไรกัน!”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
สองแม่ลูก และยังมีคนที่สองแม่ลูกไม่มีทางมองเป็นคนนอกอีกคน พากันเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลง
แม้ว่าจะเป็นอาหารพื้นๆ แต่กลับหลากหลาย ถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะตัวใหญ่
สตรีแต่งงานแล้วยังเตรียมเหล้าวิหคครวญของตระกูลเซียนที่หายากที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนเอาไว้ด้วย เหล้าวิหคครวญนี้แตกต่างจากที่ขายกันในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของนครน้ำบ่อราวฟ้ากับเหว
สตรีแต่งงานแล้วรินสุราให้เฉินผิงอันเต็มหนึ่งจอก ไม่ว่าเฉินผิงอันจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่
กู้ช่านที่ไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า โดยเฉพาะเวลาอยู่ในบ้านก็ยิ่งไม่เคยดื่มเหล้า วันนี้กลับขอให้ท่านแม่รินให้หนึ่งจอกเช่นกัน
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วรินสุราให้เขา
โต๊ะกลมตัวใหญ่ สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่หันหลังให้กับประตูห้อง กู้ช่านนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
กู้ช่านหันหน้ามาพูดกับท่านแม่ของตัวเอง “ก่อนจะกินข้าว อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเฉินผิงอัน”
เดิมทีสตรีแต่งงานแล้วก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นอยู่แล้ว นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้มไม่เปลี่ยน “ได้สิ พวกเจ้าพูดคุยกันไปเถอะ ดื่มเหล้าหมดเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยรินเติมให้พวกเจ้าเอง”
กู้ช่านกระดกเหล้าในจอกดื่มจนหมดรวดเดียวแล้วเอามือปิดฝาแก้วไว้ บอกเป็นนัยว่าตัวเองจะไม่ดื่มอีก จากนั้นจึงหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าข้ากู้ช่านควรทำอย่างไรถึงจะปกป้องท่านแม่ได้? รู้หรือไม่ว่าข้ากับท่านแม่ที่อยู่บนเกาะชิงเสียต้องเกือบตายกันมาแล้วกี่ครั้ง?”
สตรีแต่งงานแล้วใจสั่น สีหน้าแข็งค้าง สองมือที่วางอยู่ใต้โต๊ะบิดชายอาภรณ์อย่างแรง
กู้ช่านเอ่ยต่อ “ให้สังหารแค่คนที่ลงมือทำร้ายข้าเท่านั้น? แล้วผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังนักฆ่าคนนั้นล่ะ? พวกคนชั่วร้ายที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบซ่อนตัวอยู่ไกลยิ่งกว่าล่ะ?”
“จะให้ข้าไล่หาไปทีละคน แล้วไปบอกกล่าวแก่พวกเขาก่อนหรือ? บอกกับพวกเขาว่าข้ากู้ช่านร้ายกาจอย่างมาก หนีชิวน้อยก็ยิ่งร้ายกาจมากกว่า ดังนั้นพวกเจ้าห้ามมาแหยมกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ตาย?”
“เจ้าคิดว่านักฆ่าบนเกาะชิงเสียพวกนั้นล้วนเป็นฝีมือของคนนอกงั้นหรือ? ล้วนเป็นศัตรูที่มารนหาที่ตาย?”
“เจ้าคิดว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่หลิวจื้อเม่า อาจารย์คนดีของข้าเป็นคนจัดการบ้างหรือ? เป็นเขาที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารครั้งใดครั้งหนึ่ง?”
“เจ้าเฉินผิงอันอาจจะพูดว่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช่ ใช่ เป็นอย่างนั้นก็จริง และข้าก็ไม่คิดจะโกหกเจ้าด้วยการบอกเจ้าว่าหลิวจื้อเม่าต้องมีส่วนร่วมอย่างแน่นอน! แต่ท่านแม่ข้ามีแค่คนเดียว ข้ากู้ช่านมีแค่ชีวิตเดียว ทำไมข้าต้องเดิมพันกับคำว่า ‘ไม่แน่เสมอไป’ อะไรนั่นด้วย?”
กู้ช่านลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน! วันนี้หากเจ้าจะตีข้าให้ตาย ข้าก็จะไม่ตอบโต้ แต่ก่อนที่ข้าจะถูกเจ้าตีจนตาย ข้าจะบอกเจ้าว่า ข้ากู้ช่านไม่ได้ทำผิด! ต่อให้ข้าทำผิด ข้าก็ไม่ยอมรับ! แล้วข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย! ข้าจะไม่เปลี่ยนไปชั่วชีวิต! ให้ตายก็ไม่เปลี่ยน!”
กู้ช่านสีหน้าดุร้าย แต่สายตาของเขากลับไม่มีแววโกรธแค้นอย่างที่เคยใช้มองผู้คนในอดีต แต่เป็นสายตาของคนที่เกลียดตัวเอง เกลียดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน เกลียดทุกคน แล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจที่คนที่ตัวเองใส่ใจมากที่สุดไม่สนใจตน
“ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากฝากเนื้อไว้กับเสือ หากไม่ถลกหนังพวกเขาลงมาสวมไว้บนร่างตัวเอง ข้าก็จะต้องหนาวตาย ไม่ดื่มเลือดไม่กินเนื้อของพวกเขา ข้ากับท่านแม่ก็จะต้องหิวตาย กระหายตาย! เฉินผิงอัน ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ที่นี่ไม่ใช่ตรอกหนีผิงของพวกเรา ไม่มีทางที่จะมีแค่ผู้ใหญ่จิตใจชั่วร้ายมาขโมยเสื้อผ้าของท่านแม่ข้า แต่คนของที่นี่จะกินท่านแม่ข้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก พวกเขาจะทำให้นางอยู่ไม่สู้ตาย! ข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีทางเจอแค่คนสารเลวที่พอดื่มเหล้าแล้วเมามาย เห็นข้าเกะกะตาก็ถีบให้ข้าล้มกลิ้งอยู่ในตรอก!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าอยู่ที่นี่ต้องหวาดกลัวแค่ไหน?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าหวังให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า ปกป้องข้า ปกป้องแม่ข้าให้ดีเหมือนเมื่อก่อนมากแค่ไหน?”
“เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้อะไรเลย!”
“เจ้ารู้แต่จะตีข้าด่าข้า!”
สุดท้ายกู้ช่านน้ำตานองเต็มใบหน้า พูดเสียงสะอื้นไห้ “ข้าไม่ต้องการให้คราวหน้าที่เจ้าเฉินผิงอันได้พบข้ากับท่านแม่ก็คือมาจุดธูปหน้าหลุมศพของพวกเราที่ทะเลสาบซูเจี่ยน! ข้ายังอยากพบเจ้าอีกครั้ง เฉินผิงอัน…”
กู้ช่านเดินสะอื้นออกไปนอกห้อง แต่ไม่ได้เดินไปไกล เขาไปนั่งแปะอยู่บนธรณีประตู
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าขึ้น พูดกับสตรีแต่งงานแล้วด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านอา ข้าไม่ดื่มเหล้าแล้ว ช่วยตักข้าวให้ข้าสักถ้วยได้ไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วที่ในใจหวาดหวั่นกระสับกระส่ายรีบเช็ดน้ำตา พยักหน้าให้แล้วลุกขึ้นเดินไปยกข้าวหนึ่งถ้วยมาให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันลุกขึ้นรับข้าวถ้วยนั้นมาแล้วก็วางลงบนโต๊ะ จากนั้นนั่งลง
บนโต๊ะมีข้าวเพิ่มมาอีกถ้วย
ปีนั้นในบ้านคนอื่นของตรอกหนีผิง เฉินผิงอันยังเป็นเด็กที่อายุน้อยยิ่งกว่ากู้ช่านตอนนี้เสียอีก ตอนนั้นก็มีข้าวถ้วยหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเช่นนี้
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาขึ้นเบาๆ แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้หยิบตะเกียบ แต่ควักตำราเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ วางลงด้านข้างถ้วยข้าว
ตำราเล่มนี้ก็คือตำราหมัดที่เก่าแก่จนออกเป็นสีเหลืองเล่มนั้น
เฉินผิงอันเอามือไปลูบให้มันเรียบเบาๆ
มันอยู่เคียงข้างยามที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ยามที่เขาเห็นโลกอันยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เคยผ่านความทุกข์สุขจากการพบพรากทั้งหมดมาพร้อมกับเฉินผิงอัน
เคยเปิดอ่านมาหลายครั้งขนาดนั้น แต่หนังสือกลับยังเป็นระเบียบเรียบร้อย แทบไม่มีรอยยับย่นใดๆ
แค่เคยให้ผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่อ่านหนึ่งครั้ง ทว่าคราวนั้นเฉินผิงอันต้องคอยบอกให้ผู้เฒ่าเปิดอย่างระวังในทุกๆ หน้า พูดมากเข้าหลายรอบ สุดท้ายก็ถูกผู้เฒ่าประเคนหมัดให้ชุดใหญ่ พูดสั่งสอนว่าผู้ฝึกวรยุทธ แค่ตำราเก่าๆ เล่มเดียวก็ยังวางไม่ลง ยังคงจะเก็บใต้หล้าไว้ในปณิธานหมัดได้อีกหรือ?
เคยให้แม่นางที่รักอ่าน ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้ชอบพอกัน แต่เพราะอยากรู้ตัวหนังสือ อยากรู้ว่าตำราหมัดเขียนอะไรไว้บ้าง ถึงได้ให้นางอ่าน แล้วก็เคยทำให้นางไม่พอใจเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเฉินผิงอันดูแคลนนาง คิดว่านางโลภมากอยากได้วิชาหมัดอันน้อยนิดในตำรา อยากลักจำวิชาหมัดไปใช้
บุญคุณข้าวหนึ่งถ้วย คือบุญคุณที่ช่วยให้อยู่รอด
บุญคุณตำราหมัดหนึ่งเล่ม คือบุญคุณที่ช่วยต่อชีวิต
เฉินผิงอันกัดริมฝีปาก ไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงพูดเบาๆ ว่า “กู้ช่าน ตอนนั้นตกลงกันไว้แล้วว่าตำราหมัดเล่มนี้ ข้าแค่ขอยืมเจ้าเท่านั้น สักวันหนึ่งต้องมอบมันกลับคืนให้เจ้า”
กู้ช่านลุกพรวดขึ้นยืน คำรามอย่างเดือดดาล “ข้าไม่ต้องการ มอบให้เจ้าแล้วมันก็เป็นของเจ้า ตอนนั้นเป็นเจ้าที่พูดว่าจะคืน แต่ข้าไม่ได้รับปาก! เจ้าหัดมีเหตุผลซะบ้าง!”
สุดท้ายกู้ช่านร้องไห้อ้อนวอน “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ากลัว…”
ในสายตาของเด็กที่นิสัยร้ายกาจสุดโต่งแต่กลับเฉลียวฉลาดเกินวัย ใต้หล้านี้มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่มีเหตุผล และเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบคู่นั้นขึ้นมา ก้มหน้าพุ้ยข้าว
จนกว่าจะกินข้าวถ้วยนั้นหมด เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย