Skip to content

Sword of Coming 432

บทที่ 432 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ

เมื่อกู้ช่านเอ่ยประโยคนั้นด้วยเสียงสะอื้นจบ สตรีแต่งงานแล้วก็ก้มหน้าลง ตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้ว่าเสียใจหรือโกรธเคือง

เฉินผิงอันวางตะเกียบลงเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “กู้ช่าน”

กู้ช่านรีบเช็ดน้ำตา ตะโกนตอบเสียงดัง “อยู่นี่”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าอาจจะตีเจ้า ด่าเจ้า พูดเหตุผลหลักการที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้กับเจ้า เหตุผลหลักการที่เจ้าคิดว่าไม่ถูกต้องเลยสักนิดเดียว แต่ข้าไม่มีทางไม่สนใจเจ้า ไม่มีทางทิ้งเจ้าไปทั้งอย่างนี้”

เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมองกู้ช่าน น้ำเสียงก็ไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่ในถ้อยคำกลับเผยความเด็ดเดี่ยวยืนกราน ทั้งเป็นการพูดกับกู้ช่าน และยิ่งเหมือนพูดกับตัวเอง “หากวันใดที่ข้าจะจากไป นั่นต้องแสดงว่าข้าข้ามผ่านหลุมในใจหลุมนั้นไปได้แล้ว หากข้ามไปไม่ได้ ข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ที่เกาะชิงเสียและทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้”

กู้ช่านยิ้มทั้งน้ำตา “ตกลง! พูดคำไหนคำนั้น เฉินผิงอันเจ้าไม่เคยโกหกข้า!”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น”

หัวใจแล่นมาจุกที่ลำคอของกู้ช่านทันที เรือนกายที่เพิ่งจะผ่อนคลายได้น้อยๆ เกร็งเครียดอีกครั้ง จิตใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินกันมา ข้าบอกว่าเมื่อมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ข้าจะฟังเจ้าอย่างเดียว จะไม่พูดอะไรอีก แต่พอข้ากินข้าวไปแล้วกลับรู้สึกว่าเริ่มมีแรงบ้างแล้ว เลยคิดจะพูดต่ออีกหน่อย ยังคงเป็นกติกาเดิม ข้าพูด เจ้าฟัง หลังจากนั้นหากเจ้ามีอะไรที่อยากจะพูด ก็ถึงคราวที่ข้าต้องเป็นคนฟังบ้าง ไม่ว่าเวลานั้นใครเป็นคนพูด คนที่ฟัง หรือคนที่กำลังอธิบายล้วนไม่ต้องรีบร้อน”

กู้ช่านยิ้มสดใส เกาหัวถาม “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปนั่งที่โต๊ะได้ไหม? ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กินเยอะๆ หน่อย ร่างกายของเจ้ากำลังอยู่ในช่วงเติบโต”

กู้ช่านเช็ดหน้า เดินไปยังตำแหน่งเดิมก่อนหน้านี้ ทว่าเขาแค่ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้เฉินผิงอันอีกนิด ด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะเปลี่ยนใจ ไม่รักษาคำพูด หมุนตัวเดินไปจากห้องแห่งนี้และเกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นเขาจะได้ขัดขวางเฉินผิงอันได้เร็วขึ้น

จากนั้นกู้ช่านก็วิ่งไปตักข้าวมาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พอนั่งลงแล้วก็ก้มหน้าพุ้ยข้าวใส่ปาก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ชอบเลียนแบบเฉินผิงอัน กินข้าวเป็นเช่นนี้ มือสองข้างที่สอดอยู่ในชายแขนเสื้อก็เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนเวลาถึงหน้าหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ หนึ่งเด็กโตหนึ่งเด็กเล็ก คนยากจนสองคนที่ต่างก็ไม่มีเพื่อนชอบเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อเพื่อหาความอบอุ่นให้ตัวเอง โดยเฉพาะทุกครั้งหลังจากที่ปั้นตุ๊กตาหิมะกันแล้ว คนทั้งสองที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน ตัวสั่นเหมือนกันจะพากันหัวเราะร่า ตลกขบขันอยู่ด้วยกันสองคน หากจะพูดถึงความสามารถในการด่าคนและเล่นงานคนอื่น เวลานั้นกู้ช่านที่ยังมีขี้มูกยืดเก่งกาจกว่าเฉินผิงอันมากนัก ดังนั้นจึงมักจะเป็นเฉินผิงอันที่ถูกกู้ช่านพูดใส่จนตอบโต้ไม่ออก

เฉินผิงอันมองกู้ช่านแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “ท่านอา วันนี้หากมีเด็กอีกคนหนึ่งมาเดินวนเวียนอยู่นอกประตูบ้าน ท่านจะเปิดประตูแล้วให้ข้าวถ้วยหนึ่งแก่เขาหรือไม่? แล้วจะยังจงใจพูดกับเขาว่า ข้าวถ้วยนี้ไม่ได้ให้เปล่า แต่ต้องจ่ายคืนด้วยเงินที่ได้จากการขายสมุนไพรหรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าคิดว่าท่านไม่น่าจะทำเช่นนั้น”

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้รู้สึกว่าท่านอาทำผิด ต่อให้ไม่พูดถึงสภาพแวดล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ หรือต่อให้ปีนั้นท่านอาไม่ได้ทำเช่นนี้ ข้าก็ยังไม่รู้สึกว่าท่านอาทำผิดอยู่ดี”

“ดังนั้นข้าถึงไม่มีทางลืมข้าวถ้วยนั้นของปีนั้น และนั่นยังทำให้ข้าเฉินผิงอันสบายใจได้เล็กน้อย รู้สึกว่าอย่างน้อยตัวเองก็ไม่ได้ไปเป็นขอทานอย่างที่ท่านแม่บอก แค่ติดเงินท่านอาไว้ก่อน เมื่อกินข้าวไปแล้ว ข้าต้องใช้คืนให้ท่านได้แน่นอน”

สตรีแต่งงานแล้วหันหน้าไปเช็ดน้ำตาอีกทาง

เฉินผิงอันถามด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง “แต่ท่านอา ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่มีข้าวถ้วยนั้น ข้าก็ไม่มีทางมอบหนีชิวตัวนั้นให้แก่บุตรชายของท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังอยู่ที่ตรอกหนีผิง มีชีวิตที่ท่านคิดว่ายากลำบากและเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกเราจึงควรจะเชื่อในคำกล่าวที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และไม่ควรเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี แต่ลืมว่าทำชั่วได้ชั่วเพียงเพราะว่าทุกวันนี้มีชีวิตที่สงบสุข”

“วันนี้ที่ข้าพูดเช่นนี้ ท่านคิดว่าถูกแล้วหรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วยังคงเงียบงัน ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

นางกลัวว่า ไม่ว่าวันนี้ตนจะพูดอะไรไปก็ล้วนจะส่งผลร้ายต่ออนาคตของกู้ช่านผู้เป็นบุตรชาย

ดังนั้นนางยอมไม่พูดอะไรเลยดีกว่า

เฉินผิงอันเข้าใจดี ดังนั้นต่อให้ปีนั้นกู้ช่านบอกเขาถึงการเลือกของสตรีแต่งงานแล้วในเรื่องของหนีชิวน้อย เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกแค้นเคืองแม้แต่น้อย

ส่วนที่ควรสำนึกในบุญคุณ เขาก็จะสำนึกไปชั่วชีวิต

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนไม่อาจกลบทับบุญคุณในช่วงแรกเริ่มสุดได้ ก็เหมือนกับว่าบ้านเกิดมีหิมะใหญ่ตกลงมา ต่อให้บนถนนดินในตรอกหนีผิงจะมีหิมะทับถมหนาแค่ไหน ทว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิบุปผาเบ่งบาน มันก็ยังคงเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านทุกคนในตรอกหนีผิงคุ้นเคยกันดีเส้นนั้น

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ เฉินผิงอันเดินผ่านเส้นทางต่างๆ มาไกลมากแล้ว เขาจึงเรียนรู้ที่จะไม่ใช้เหตุผลของตัวเองไปเรียกร้องผู้อื่น

ดังนั้นวันนี้ก่อนที่จะมานั่งบนโต๊ะกินข้าว เขาถึงยินดีรับฟังเหตุผลทั้งหมดของกู้ช่านอย่างละเอียด รับฟังความคิดในใจทั้งหมดของเจ้าเด็กขี้มูกยืดอย่างตั้งใจ

เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มส่งไป “ท่านอาวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบังคับให้กู้ช่านต้องเป็นอย่างข้า ไม่จำเป็นเลย และข้าเองก็ไม่มีความสามารถนั้นด้วย ข้าแค่อยากจะลองดูว่าตัวเองพอจะทำอะไรได้บ้างหรือไม่ ทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ทั้งข้าและกู้ช่านต่างก็รู้สึกว่า ‘ไม่ผิด’ ข้าอยู่ที่นี่จะไม่เป็นตัวถ่วงให้กู้ช่านปกป้องท่าน ยิ่งไม่มีทางเรียกร้องให้พวกท่านสละความร่ำรวยสูงศักดิ์ที่ได้มาไม่ง่ายในตอนนี้ทิ้งไป”

เฉินผิงอันถาม “ได้หรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วมีสีหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าตอบรับอย่างยากลำบาก

เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หยิบเหล้าวิหคครวญบนโต๊ะกานั้นขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมาดื่มเหล้า เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “จะบอกข่าวดีให้ท่านอาและกู้ช่านรู้ข่าวหนึ่ง แม้ว่าท่านอากู้จะตายไปแล้ว แต่อันที่จริง…ไม่ถือว่าตายจริงๆ เขายังคงอยู่บนโลกใบนี้เพราะกลายเป็นวัตถุหยิน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี ข้ามาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนคราวนี้ก็เป็นเขาที่เสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง บอกข้าว่าพวกท่านที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ ‘ปลอดภัยไร้กังวล’ ดังนั้นข้าจึงเดินทางมา แต่ข้าไม่หวังให้วันใดวันหนึ่งการกระทำของกู้ช่านทำให้โอกาสที่พวกท่านสามคนจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งอย่างมีความสุขซึ่งได้มาไม่ง่ายนี้ต้องอันตรธานหายไป ท่านพ่อท่านแม่ข้าต่างก็เคยพูดว่า ตอนนั้นท่านอากู้คือบุรุษในตรอกใกล้เคียงของพวกเราที่เหมาะกับท่านอาหญิงมากที่สุด และข้าก็ไม่ต้องการให้คนดีแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้น คนที่สามารถเขียนกลอนคู่ปีใหม่ได้อย่างงดงาม บุรุษที่ไม่เหมือนชาวไร่ชาวนา แต่กลับเหมือนบัณฑิตมากกว่าอย่างท่านอากู้ ต้องเสียใจ”

สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นอุดปาก น้ำตาท่วมทะลักดุจทำนบกั้นน้ำพังทลาย

คราวนี้เป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง ไม่เกี่ยวข้องกับว่าถูกหรือผิดเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ท่านอาหญิง กู้ช่าน และข้า พวกเราสามคนล้วนเป็นคนที่เคยเจอกับความยากลำบากเวลาที่ผู้อื่นไม่มีเหตุผลมาก่อน พวกเราต่างก็ไม่ใช่คนที่เกิดมาแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ พวกเราไม่ใช่คนในตระกูลที่แค่ต้องการก็สามารถศึกษาเล่าเรียนมีความรู้ติดตัว ท่านอาและข้าต่างก็เคยมีช่วงเวลาที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ท่านอาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็คงเพราะเห็นแก่กู้ช่าน ส่วนข้าก็อยากทำให้ท่านพ่อท่านแม่ภูมิใจ ถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราต่างก็กัดฟันผ่านความยากแค้นแสนเข็ญมา ดังนั้นพวกเราจึงยิ่งเข้าใจว่า คำว่าไม่ง่ายนั้นคืออะไร หมายความว่าอย่างไร จะว่าไปแล้วสำหรับข้อนี้ กู้ช่านอายุน้อยที่สุด แต่พอออกมาจากตรอกหนีผิงแล้ว เขากลับลำบากยิ่งกว่าพวกเราสองคนเสียอีก เพราะเขาเพิ่งจะอายุเท่านี้กลับต้องมีชีวิตที่ไม่ง่ายยิ่งกว่าข้า ยิ่งกว่าท่านแม่ของเขาแล้ว เพราะต่อให้ข้าและท่านอาจะยากจนแค่ไหน ชีวิตจะยากแค้นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องกังวลว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกู้ช่าน”

“แต่นี่ก็ไม่ได้ขัดต่อการที่พวกเราจะเอ่ยถามว่า ‘เพราะอะไร’ ในช่วงเวลาที่เราทุกข์ยากที่สุดในชีวิต กลับไม่มีใครให้ตอบแก่พวกเราว่าเพราะอะไร ดังนั้นพอพวกเราคิดอย่างนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะถูกตบ นานวันเข้า พวกเราก็ไม่ถามอีกว่าเพราะอะไร เพราะคิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ในช่วงเวลาที่พวกเราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะคิดอะไรมากหน่อยก็ล้วนผิดไปหมด ตัวเองผิด คนอื่นผิด วิถีทางโลกผิด วิถีทางโลกต่อยข้าหนึ่งหมัด ทำไมข้าไม่ตอบแทนวิถีทางโลกไปด้วยหนึ่งเท้าเล่า? ทุกคนที่คิดแบบนี้ดูเหมือนว่าจะต้องกลายมาเป็นคนไร้เหตุผล คนที่ไม่ยินดีจะฟังคนอื่นอธิบายว่าเพราะอะไรก็กลายมาเป็นคนที่เฉยเมยไม่สนใจสิ่งใด เพราะมักจะรู้สึกว่าหากใจอ่อนเมื่อไหร่ก็จะรักษาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไว้ไม่ได้ ยิ่งผิดต่อความยากลำบากที่ต้องเผชิญมาในอดีต! ทำไมอาจารย์ในโรงเรียนต้องลำเอียงรักเด็กจากครอบครัวที่มีเงิน ทำไมพ่อแม่ข้าต้องถูกเพื่อนบ้านดูแคลน ทำไมคนวัยเดียวกันซื้อว่าวกระดาษได้ แต่ข้ากลับทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ อยู่ด้านข้าง ทำไมข้าต้องทำไร่ทำนาเหนื่อยแทบเป็นแทบตาย แต่คนมากมายเสวยสุขอยู่ในบ้านของตัวเอง เวลาเจอกับพวกเขาบนทางเดินยังต้องถูกพวกเขามองมาอย่างดูแคลน? ทำไมข้าต้องช่วงชิงมาอย่างยากลำบาก แต่คนอื่นแค่เกิดมาก็มีแล้ว อีกทั้งคนผู้นั้นยังไม่รู้จักเห็นค่าทะนุถนอมในสิ่งที่ตัวเองมี? ทำไมครอบครัวอื่นถึงได้อยู่กันพร้อมหน้าในเทศาลไหว้พระจันทร์ของทุกปี?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นเช่นนี้ และข้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หนึ่งหมื่นปีก่อนเป็นเช่นไร ข้ายิ่งไม่รู้ว่าสรุปแล้ววิถีทางโลกเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น หรือเปลี่ยนมาเป็นแย่ลง ข้าอ่านหนังสือมามากมาย รู้ถึงหลักการเหตุผลบางอย่าง แต่ยิ่งข้ารู้มากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งไม่กล้าแน่ใจว่าเหตุผลที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้นั้นจะถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า จะต้องสามารถทำให้คนข้างกายมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงหรือเปล่า ก่อนจะมาถึงที่นี่ ข้างกายข้ามีเด็กหญิงอยู่คนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าสามารถทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นกว่าเดิมได้ แต่พอมาพบกู้ช่าน ข้ากลับรู้สึกว่าบางทีข้าอาจจะคิดผิด เด็กหญิงคนนั้นก็แค่มีชีวิตดีขึ้นเล็กน้อยเพราะมาอยู่กับข้า แต่ไม่แน่เสมอไปว่าหลักการเหตุผลที่ข้าสอนนางจะทำให้นางมีชีวิตที่สบายขึ้น ดีขึ้น”

“ใครเล่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากมีชีวิตที่ดี ไม่อยากให้ทุกๆ วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้? ข้าเองก็อยากเหมือนกัน ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงอยาก ตอนที่เดินทางไปสำนักศึกษาต้าสุย ไปนครมังกรเฒ่า ไปภูเขาห้อยหัว ไปใบถงทวีป ไปพื้นที่มงคลดอกบัว ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด ล้วนอยากทั้งสิ้น อยากมาโดยตลอด! ทว่าใต้หล้านี้ไม่มีหลักการเหตุผลที่สูงที่สุด แต่ก็ควรจะมีถูกผิดที่เป็นพื้นฐานต่ำที่สุดกระมัง? เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป พวกเราทำอะไรหลายๆ อย่างที่จำใจต้องทำ เรื่องเหล่านี้ก็ต้องมีทั้งถูกและผิดกระมัง?”

กู้ช่านหยุดมือที่ถือตะเกียบ จมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

สตรีแต่งงานแล้วมองเฉินผิงอัน แล้วค่อยมองกู้ช่าน “เฉินผิงอัน ข้าเป็นแค่สตรีที่ไม่เคยเล่าเรียนเขียนอ่าน ไม่เคยรู้ตัวอักษร ไม่เข้าใจอะไรมากขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ยิ่งไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าแค่อยากให้กู้ช่านมีชีวิตที่ดี อยากให้พวกเราสองแม่ลูกมีชีวิตที่ดี แล้วก็เพราะมีชีวิตอย่างที่ผ่านมา ถึงได้มีโอกาสอย่างในวันนี้ มีชีวิตรอดจนกระทั่งเจ้าเฉินผิงอันมาบอกกับพวเราสองแม่ลูกว่า สามีของข้า บิดาของกู้ช่านยังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสที่ทั้งครอบครัวจะได้กลับมารวมตัวกัน เฉินผิงอัน ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าเข้าใจได้หรือไม่? คงไม่โทษที่ข้าเป็นสตรีผมยาวความรู้สั้นหรอกกระมัง?” (เพราะสมัยโบราณสตรีไว้ผมยาว แต่แทบไม่เคยได้ออกจากบ้าน ความรู้จึงตื้นเขิน ไม่มีโอกาสได้รับการเรียนเหมือนผู้ชาย)

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจได้ และไม่โทษท่านอา”

สตรีแต่งงานแล้วมองตาของเฉินผิงอัน นางรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก ดื่มหมดหนึ่งจอกก็รินอีกจอก แล้วดื่มจนหมดอีกครั้ง “เจ้ามาหาช่านเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร ช่านเอ๋อร์ล้วนดีใจอย่างมาก ข้าจึงดื่มหนึ่งจอก และเจ้าบอกข่าวนี้แก่พวกเรา ข้าก็ดื่มอีกจอก ล้วนเป็นเรื่องที่น่ายินดีทั้งสิ้น”

สตรีแต่งงานแล้วรินเหล้าจอกที่สาม พอดื่มหมดนางก็พูดน้ำตาคลอ “ได้พบเจ้าเฉินผิงอัน เห็นว่าเจ้าตัวสูงแล้ว เติบใหญ่แล้ว มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย อาก็ยิ่งต้องดื่มอีกจอก เพราะรู้สึกดีใจแทนท่านพ่อท่านแม่ของเจ้า”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าขึ้นมารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมด

ในหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อ ชุยฉานจุ๊ปากพูด “ผมยาวความรู้สั้น? สตรีแห่งตรอกหนีผิงผู้นี้ไม่ได้ร้ายกาจธรรมดาเลย มิน่าเล่าถึงสามารถจับคู่กับหลิวจื้อเม่าสั่งสอนเด็กอย่างกู้ช่านออกมาได้”

ในระหว่างที่เฉินผิงอันติดตามรถม้าสองคันเข้าเมือง ชุยตงซานแสร้งตายอยู่ตลอดเวลา แต่พอเฉินผิงอันเผยตัวมาพบหน้ากู้ช่าน อันที่จริงชุยตงซานได้ลืมตาขึ้นแล้ว

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ชุยตงซานเองก็เห็นอยู่ในสายตา ได้ยินอยู่กับหูไม่ต่างจากชุยฉาน

ชุยฉานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สิ่งที่เฉินผิงอันพูดล้วนเปลืองน้ำลายเปล่า ต่อให้มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงเหมือนกัน มีจุดเริ่มต้นคือต้องลิ้มรสชาติความทุกข์ยากมาเหมือนกัน ทว่ากู้ช่านกับเฉินผิงอันในตอนนี้ได้กลายเป็นคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่เพียงแต่จุดยืนที่ไม่เหมือนกัน ยังมีการใช้สายตามองโลกใบนี้ด้วย…รากฐานอันเป็นต้นกำเนิดของพวกเขา แตกต่างกันอย่างมาก เฉินผิงอันสามารถเข้าถึงความรู้สึกของกู้ช่านก็เพียงแค่เพราะเฉินผิงอันได้ออกเดินทางไกลมากกว่า แต่กู้ช่านกลับไม่ใช่ สำหรับเขาแล้ว จากตรอกหนีผิงที่เป็นบ้านเกิดมาจนถึงทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือยุทธภพและใต้หล้าทั้งแห่งแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่สันดานของกู้ช่านเป็นเช่นนี้ ชอบดื้อดึง ง่ายที่จะเดินไปสู่ความสุดโต่ง อย่าว่าแต่เฉินผิงอันเลย ต่อให้เป็นกู้เทาบิดาของกู้ช่าน หากตอนนี้มายืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเฉินผิงอันก็ยังไม่สามารถแก้ไขนิสัยของกู้ช่านได้ และความสนุกก็อยู่ตรงนี้พอดี ความสุดโต่งของกู้ช่านทำให้เขารักและผูกผันกับเฉินผิงอันมาก ดังนั้นถึงได้เอ่ยประโยคว่า ‘ต่อให้เจ้าตีข้าตาย ข้าก็จะไม่ตอบโต้’ นี่คือคำพูดจากใจจริงของมารร้าย หาได้ยากมากไม่ใช่หรือ? เฉินผิงอันรู้ดี ดังนั้นเขาถึงได้ยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิม เฉินผิงอันเคยได้ยินคำพูดก่อนตายของหลิวเสี้ยนหยางกับหูของตัวเอง ในขณะที่ใกล้ตาย หลิวเสี้ยนหยางไม่มีความคิดที่จะกล่าวโทษเฉินผิงอันเลย เขาแค่พูดกับเฉินผิงอันประโยคเดียวว่า ‘เฉินผิงอัน ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตายจริงๆ ’ ดังนั้นเฉินผิงอันในเวลานี้จึงยิ่งเจ็บปวด”

“สันดานมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เป็นกบใต้บ่อ แต่ก็ยังจะพองท้องร้องขอความเป็นธรรม ไม่ว่าคนที่อยู่ห่างจากใต้บ่อจะพูดเหตุผลอธิบายหลักการให้คนที่ยังอยู่ใต้บ่อฟังแค่ไหนก็ล้วนว่างเปล่า เพราะส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาจะคอยบอกกับตัวเองว่า หลักการเหตุผลพวกนั้นของเจ้าคือหิมะขาวท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น ไม่ใช่สิ่งที่คนซึ่งกลิ้งเกลือกอยู่ในโคลนตมควรฟัง ฟังไปแล้ว และฟังเข้าหูจริงๆ ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย แต่เฉินผิงอันเองก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้แล้ว”

“ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดระหว่างที่เดินไปจวนกับกู้ช่าน กับสิ่งที่พูดบนโต๊ะอาหารหลังกินข้าวถ้วยนั้น ถึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกหนีผิง กู้ช่านยังอายุน้อยเกินไป ทั้งไม่เคยเห็นสิ่งที่เฉินผิงอันต้องประสบพบเจอในขณะที่อายุเท่าเขามาก่อนอย่างแท้จริง ยิ่งไม่เคยเห็นถึงความยากลำบากและความทุกข์ทรมานที่เฉินผิงอันต้องเผชิญระหว่างเดินทางไกลกับตาตัวเองมาก่อน สิ่งที่กู้ช่านมองเห็นคือเฉินผิงอันที่สะพายกระบี่หนึ่งเล่ม มอบแผ่นหยกหนึ่งแผ่นให้กับหนีชิวน้อย เฉินผิงอันที่เข้าใจเหตุผลหลักการมากมาย ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงสามารถเดินมาได้ถึงก้าวนี้ เขากลับไม่เข้าใจ และไม่แน่เสมอไปว่าเด็กคนนี้จะเต็มใจไปทำความเข้าใจ หันกลับมามองเฉินผิงอัน เขายินดีที่จะตั้งใจคิด คิดให้มากอีกหน่อย ดังนั้นจึงมีแต่จะยิ่งทำให้ปมที่พันกันยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น สมมติว่าคนทั้งสองสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกัน ให้เฉินผิงอันใช้นิสัยของกู้ช่านออกเดินทางไกล ส่วนกู้ช่านที่อยู่บนเกาะชิงเสียก็มีนิสัยของเฉินผิงอัน และพวกเขาต่างก็รอดชีวิตมาจนทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ในวันนี้ก็จะไม่ใช่ทางตัน แต่หากเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ไม่มีทางมานั่งอยู่ที่นี่”

ชุยฉานพูดกับชุยตงซาน “อันที่จริงก็ถือว่าอาจารย์ของเจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว”

ชุยตงซานตีหน้าเคร่ง “ในดวงตาสุนัขแก่คู่นี้ของเขายังจะมองเห็นสิ่งที่ดีงามได้อีกหรือ?”

ชุยฉานไม่เห็นเป็นสำคัญ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เดินทางขึ้นเกาะชิงเสียคราวนี้ จุดที่เฉินผิงอันทำได้งดงามที่สุดอยู่ที่การพูดสองอย่าง สี่ตัวอักษร ลูกกระต่ายอย่างเจ้าเคยพูดให้ข้าฟัง นั่นก็คือการตัดขาดและวาดขอบเขตให้กับ…การออกกระบี่เหนือคำว่าความรู้สึก”

“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือหอเรือน เฉินผิงอันเอาความเหมือนที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวระหว่างเขากับกู้ช่านออกมาวางไว้ตรงหน้าคนทั้งสอง ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงแพ้ตั้งแต่อยู่บนเรือแล้ว และเจ้ากับข้าก็สามารถไปจากนครน้ำบ่อแห่งนี้ได้แล้ว นั่นก็คือการลองหยั่งเชิงนักฆ่าผู้นั้นก่อน ทั้งเป็นการพยายามทำความเข้าใจจิตใจคนของทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วก็ยิ่งเป็นการบอกกับกู้ช่านในท้ายที่สุดว่า นักฆ่าผู้นั้นสมควรถูกฆ่าที่ตรงใด อีกทั้งตัวเขาเฉินผิงอันยังเต็มใจฟังเหตุผลของกู้ช่าน หากเฉินผิงอันดึงเหตุผลของตัวเองขึ้นสูงเกินไป จงใจวางคุณธรรมของตัวเองไว้ในจุดที่สูงที่สุด พยายามใช้สิ่งนี้มาทำให้กู้ช่านรู้สึกเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นกู้ช่านก็อาจจะคิดว่าเฉินผิงอันไม่ใช่เฉินผิงอันคนนั้นอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จบเห่กันแล้ว”

“พอลงจากเรือ เฉินผิงอันนำป้ายหยกของอริยะที่มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในสายบุ๋นไปวางไว้ตรงหน้าหลิวจื้อเม่าผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่หูตานับว่ากว้างไกลมากพอ ทำให้สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นไม่กล้าออกมาสร้างเรื่องก่อราว”

“พอไปถึงโต๊ะอาหาร กินข้าวแล้ว ค่อยดึงสตรีแต่งงานแล้วที่เป็นมารดาของกู้ช่านออกมา ไม่ให้นางเอาตัวเองเข้ามาพัวพันจนส่งผลกระทบต่อกู้ช่านมากเกินไป”

“ไม่อย่างนั้น แป้งเปียกเหลวเละกองนี้ เมื่อรวมเขาเฉินผิงอันเข้าไปก็มีแต่จะยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม”

ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็นชา “ต่อให้เป็นอย่างนี้แล้วจะมีประโยชน์หรือ? นี่ก็ยังเป็นทางตันอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “แต่ขอแค่เฉินผิงอันข้ามผ่านหลุมในใจนั้นไปไม่ได้ ไม่ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไรก็ล้วนจะกลายเป็นปมในใจปมใหม่ ต่อให้กู้ช่านเต็มใจก้มหน้ายอมรับผิด แต่แล้วจะอย่างไรเล่า? เพราะถึงอย่างไรคนบริสุทธิ์ที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเหล่านั้นก็เหมือนผีเร่ร่อนจิตอาฆาตที่ลอยป้วนเปี้ยนอยู่นอกประตูหัวใจของเฉินผิงอัน เคาะประตูเสียงดัง ร้องตะโกนขอความเป็นธรรมอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถามหา…มโนธรรมจากใจเฉินผิงอัน ความยากข้อแรกนั้นอยู่ที่ว่ากู้ช่านจะเต็มใจยอมรับผิดหรือไม่ ความยากข้อที่สองอยู่ที่ว่าเฉินผิงอันจะหารากฐานในการหยัดยืนของเหตุผลตัวเองจากตำรามากมายที่อ่านมา จากที่ฟังคนอื่นเล่ามา และจากเหตุผลหลักการทั้งหลายที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้อย่างไร ความยากข้อที่สามก็คือเมื่อหาเจอแล้ว เขาจะค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองคิดผิดไปหรือไม่ จะรักษาจิตใจอันดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้หรือไม่ ความยากข้อที่สี่อยู่ที่ว่าเฉินผิงอันจะทำอย่างไร ที่ยากที่สุดอยู่ที่ข้อที่สามและสี่ ข้อยากที่สาม เขาเฉินผิงอันถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจข้ามผ่านไปได้”

ชุยตงซานถามถึงด่านหัวใจด่านสุดท้ายของเฉินผิงอันตามตรง “ความยากข้อที่สี่?”

ชุยฉานพูดเหมือนจะขู่ให้กลัว “ยากก็ตรงที่ว่ามีความยากนับไม่ถ้วน”

ชุยตงซานตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะหยัน

ชุยฉานไม่เห็นเป็นสำคัญ “หากเฉินผิงอันมีความสามารถนั้นจริงๆ หากตัวเขาไปอยู่ท่ามกลางข้อยากข้อที่สี่ ข้อยากข้อนี้ หลังจากที่พวกเราดูกันจบแล้ว มันก็จะบอกเหตุผลหนึ่งแก่พวกเราอย่างชัดเจนว่า ทำไมบนโลกถึงได้มีคนโง่และคนชั่วมากมายขนาดนั้น รวมถึงข้อที่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่ทุกคนต่างก็รู้เหตุผลหลักการกันมากขนาดนั้น แต่กลับมีชีวิตสู้หมาสักตัวก็ยังไม่ได้ จากนั้นก็กลายมาเป็นคนอย่างจูลู่ คนอย่างเหนียงเนียงท่านนั้นของพวกเรา คนอย่างตู้เม่า เหตุใดพวกเราถึงไม่เป็นอย่างฉีจิ้งชุน อาเหลียง แต่ก็น่าเสียดายอย่างมาก เฉินผิงอันไม่มีทางเดินมาถึงก้าวนี้ เพราะเมื่อเดินมาถึงก้าวนี้ เฉินผิงอันก็แพ้แล้ว ถึงเวลานั้นหากเจ้าสนใจก็สามารถอยู่ที่นี่ ค่อยๆ พิศดูอาจารย์ของเจ้าที่ร่างกายผ่ายผอมเหลือเพียงกระดูก จิตใจแห้งเหี่ยวโรยรา ส่วนข้าย่อมจากไปตั้งนานแล้ว”

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที “เจ้าไปจากที่นี่ รีบไปเกิดใหม่สินะ?”

ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาชี้หน้าชุยตงซาน “เจ้าต้องหัดเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ วิธีระงับโทสะมาจากอาจารย์ของเจ้าบ้าง ถึงจะควบคุมตัวเองได้”

ชุยฉานมองไปยังม้วนภาพบนพื้นอีกครั้ง “ข้ารู้สึกว่ากู้ช่านยังคงไม่มีทางยอมรับผิด เจ้าคิดว่ายังไง?”

ชุยตงซานหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ใช่แกล้งตาย แต่เหมือนคนที่รอความตายมากกว่า

ชุยฉานพูดกับตัวเองว่า “ต่างก็พูดกันว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา บางครั้งคนไม่อยู่ แต่งานเลี้ยงกลับยังจัดอยู่ตรงนั้น รอให้มีคนมานั่งในงานเลี้ยง ทว่าโต๊ะของเกาะชิงเสียตัวนี้ ต่อให้ยังมีคนอยู่ แต่อันที่จริงงานเลี้ยงกลับเลิกราไปนานแล้ว ต่างคนต่างพูดอยู่กับตัวเอง ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป นั่นจะเรียกว่างานเลี้ยงที่สุขสันต์ได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว”

……

เฉินผิงอันถูกกู้ช่านพาไปพักในห้องที่โอ่อ่างดงามแห่งหนึ่ง ไม่ใช่เรือนเดี่ยว

คือห้องติดกันในจำนวนไม่กี่ห้องที่บางครั้งกู้ช่านจะมาพักอาศัย

เฉินผิงอันบอกให้กู้ช่านไปอยู่พูดคุยกับแม่ของเขาให้มาก

หลังจากกู้ช่านปิดประตูลง เขาก็ครุ่นคิด ไม่ได้ไปหาท่านแม่ แต่ไปเดินเล่นเพียงลำพัง ไม่นานหนีชิวน้อยก็ตามมาด้านหลัง

มันใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกแก่กู้ช่าน “หลังจากหลิวจื้อเม่าเห็นแผ่นหยกแผ่นนั้น แรกเริ่มก็ยังไม่เชื่อ ภายหลังเมื่อแน่ใจว่าเป็นของจริงก็ดูเหมือนจะตกใจจนทึ่มทื่อไปเลย”

มันถอนหายใจเบาๆ

ตอนนี้กู้ช่านนึกอยากจะไปตบสตรีโอสถทองที่ถูกขังอยู่ในคุกน้ำให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวยิ่งนัก

ทว่าหลังจากที่พูดคุยกับเฉินผิงอันแล้วก็รู้ว่าต่อให้ตนตบนักฆ่าจากราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้นตายก็ไม่มีความหมาย ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

จุดที่เฉินผิงอันโกรธ ไม่ได้อยู่ที่ตัวของพวกนักฆ่าอย่างนาง

ไม่ใช่ตัวของพวกผู้ฝึกตนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่เป็นตัวของพวกมดตัวน้อยที่ตายในปากของหนีชิวน้อยอย่างพวกแม่นางเปิดสาบเสื้อและพวกคนของแต่ละเกาะที่ติดร่างแหจนถูก ‘ประหารเก้าชั่วโคตร’

ตัวของคนแต่ละคนที่เป็นเหมือนเด็กขี้มูกยืด เหมือนลูกศิษย์เตาเผามังกรในอดีต

กู้ช่านพลันถามขึ้น “ข้ามีคำพูดบางอย่างที่อยากลองพูดกับเฉินผิงอันดู แต่หากข้าไปหาเขาตอนนี้จะเหมาะสมไหม?”

มันที่เผยกายด้วยรูปลักษณ์ของเด็กสาวยกมือเกาหัว นี่เป็นท่าที่กู้ช่านเรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน ส่วนมันก็เรียนรู้มาจากกู้ช่านอีกที

กู้ช่านหัวเราะ “ดูทำท่าซื่อบื้อเข้าสิ”

มันรีบหดมือ ยิ้มเขินอาย

กู้ช่านโบกมือเป็นวงกว้าง “ไป เขาคือเฉินผิงอันนะ มีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ!”

กู้ช่านกวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกว่าเกาะชิงเสียที่น่ารังเกียจ พอคนผู้นั้นมาถึงกลับเปลี่ยนมาเป็นงดงามน่ารักน่ามองเสียอย่างนั้น

หากวันใดเฉินผิงอันไม่โกรธแล้ว และยังเต็มใจอยู่ในบ้านหลังใหม่ของเขา ถ้าอย่างนั้นที่นี่ต้องเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพงดงามมากที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน!

เดินกลับมายังห้องแห่งนั้น ไม่รอให้กู้ช่านเคาะประตู เฉินผิงอันก็พูดขึ้นมาก่อน “เข้ามาเถอะ”

กู้ช่านพบว่าเฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ บนโต๊ะหนังสือวางกระดาษ มีดแกะสลักหนึ่งเล่มและแผ่นไม้ไผ่หนึ่งกอง

ดูเหมือนเฉินผิงอันคิดจะเขียนอะไรบางอย่าง?

ก่อนที่กู้ช่านจะย้อนกลับมา

เฉินผิงอันกำลังทบทวนตัวเอง กำลังทดลองพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ สมมติให้ตัวเองไปยืนอยู่ในตำแหน่งและมุมมองของกู้ช่าน แล้วใช้มันมองทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้

เฉินผิงอันพยายามย้อนกลับไปยังจุดเชื่อมต่อแรกเริ่มสุด

เริ่มจากเหตุผลที่เล็กที่สุด

นี่ก็คือขั้นแรกของทฤษฎีลำดับขั้นตอน แบ่งแยกก่อนหลัง

เฉินผิงอันรู้ว่าการ ‘พูดเองเออเอง’ ใช้ไม่ได้ผล

คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ของห้องโถง ชั้นวางที่จัดเรียงรายอยู่รอบด้านเต็มไปด้วยของโบราณล้ำค่ามากมายละลานตา

นั่นล้วนเป็นสิ่งที่กู้ช่านตั้งใจคัดเลือกและจัดเตรียมไว้ให้เฉินผิงอัน

ตามความคิดแรกเริ่มสุดของกู้ช่าน เดิมทีที่นี่ควรมีแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายคนมายืนออกันจนเต็ม จากนั้นเขาก็จะพูดกับเฉินผิงอันว่า ‘เป็นอย่างไร ปีนั้นข้าก็บอกไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งจะช่วยเลือกแม่นางที่หน้าตางดงามเหมือนกับสตรีหน้าเหม็นจื้อกุยไว้ให้เจ้าสิบเจ็ดสิบแปดคน ตอนนี้ข้าทำได้แล้ว!’

เพียงแต่ว่าตอนนี้กู้ช่านไม่กล้าทำอย่างนั้น

กู้ช่านนั่งลงแล้วเปิดปากพูดเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมเจ้าถึงโกรธ เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีท่านแม่ข้าอยู่ด้วย ข้าก็เลยไม่สามารถพูดตรงๆ ได้ กลัวนางจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเอง อีกทั้งต่อให้เจ้าจะโมโหมากกว่าเดิม แต่ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นที่ทำให้เจ้าโกรธ ข้าไม่ได้ทำผิด”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ไม่เป็นไร คราวนี้พวกเราไม่ต้องพูดให้จบรวดเดียว ข้าค่อยๆ พูด เจ้าก็ค่อยๆ ตอบ”

กู้ช่านพยักหน้ารับ

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “กู้ช่าน เจ้ารู้สึกผิดหวังมากเลยใช่ไหม?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบฟังเวลาคนอื่นพูดเหตุผลหลักการกับข้า ใครก็ตามที่กล้ามาพล่ามเรื่องพวกนี้ต่อหน้าข้า ในอดีตข้ามักจะต่อยตีเขา หรือไม่ก็สังหารเขา แต่อย่างหลังจะมีเยอะหน่อย ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องได้รู้เรื่องพวกนี้อยู่ดี อีกอย่างเจ้าก็บอกแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็อยากให้ข้าพูดไปตามตรง พูดตามความในใจ เจ้าห้ามโกรธข้าเพราะเรื่องนี้”

เฉินผิงอันพยักหน้า ถามว่า “ข้อแรก พวกผู้ฝึกตน ข้ารับใช้และสาวใช้ที่อยู่ในจวนของผู้ถวายงานและศิษย์พี่ใหญ่ที่สมควรตายของเจ้าในปีนั้น หนีชิวน้อยฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้นแล้ว แต่ตอนจะจากไปก็ยังฆ่าทุกคนจนเกลี้ยง คนเหล่านี้ ไม่พูดถึงว่าข้าคิดอย่างไร แต่เจ้าลองพูดมาสิว่า ฆ่ากับไม่ฆ่า มันสำคัญมากขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”

กู้ช่านตอบตามสัตย์จริง “ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่หากฆ่าหมดจะดีกว่า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ขัดขวางหนีชิวน้อย ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ นี่ก็คือวิธีที่ถูกต้องที่สุด ต้องฆ่าคน ต้องแก้แค้น ต้องฆ่าศัตรูไม่ให้เหลือซาก เกาะแห่งหนึ่งต้องถอนรากถอนโคนให้เรียบ ไม่อย่างนั้นภัยร้ายที่อาจตามมาภายหลังจะมีมากเกินคาดคิด ในทะเลสาบซูเจี่ยน มีปลาที่ในอดีตเคยหลุดลอดร่องแหไป แล้วจู่ๆ อีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีให้หลังก็โผล่มา กลับมาเป็นฝ่ายสังหารคนทั้งตระกูลของศัตรูในปีนั้น แม้แต่หมูหมากาไก่ก็ไม่เว้น นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก ข้าเตรียมพร้อมสำหรับการถูกใครบางคนฆ่าตายอย่างคาดไม่ถึงไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ข้ากู้ช่านจะไม่มีทางคุกเข่าขอร้อง ยิ่งไม่มีทางถามว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ทำไมต้องฆ่าข้า ดังนั้นปีนี้ข้าจึงเริ่มเตรียมการและหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ท่านแม่ข้าเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดไว้หลายวิธี แต่ตอนนี้ยังไม่มีวิธีไหนที่รัดกุมไร้ช่องโหว่ ดังนั้นข้าจึงยังคิดอยู่ ถึงอย่างไรคนที่ข้าใส่ใจมากที่สุดในใต้หล้านี้ก็มีแค่ท่านแม่ข้าและเจ้าเฉินผิงอันเท่านั้น แน่นอนว่าตอนนี้ยังต้องเพิ่มพ่อที่กลายเป็นวัตถุหยินของข้าไปอีกคน แม้ว่าข้าจะไม่มีความทรงจำใดๆ ต่อเขา แต่ขอแค่รู้ว่าพวกเจ้าสามคนจะไม่มีทางเกิดเรื่องเพราะข้า ต่อให้วันใดข้าต้องตายก็ตายไปเถอะ ข้าจะไม่เสียใจภายหลังเด็ดขาด!”

เฉินผิงอันตั้งใจฟังกู้ช่านจนจบ เขาไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพียงแค่ถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้น เมื่อเจ้าสามารถปกป้องตัวเองอยู่บนเกาะชิงเสียได้แล้ว ทำไมถึงยังจงใจปล่อยนักฆ่าคนหนึ่งไป จงใจให้พวกเขากลับมาลอบฆ่าเจ้าต่ออีกครั้ง?”

กู้ช่านกล่าว “นี่ก็เป็นวิธีที่ใช้สยบคนชั่วเหมือนกันนี่นา ต้องฆ่าให้พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญผวา หวาดกลัวจนตัวสั่น ถึงจะสะบั้นความคิดชั่วร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมาของศัตรูทุกคนได้อย่างเด็ดขาด นอกจากจะให้หนีชิวน้อยออกไปต่อสู้แล้ว ข้ากู้ช่านก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าชั่วร้ายกว่าพวกเขา ฉลาดกว่าพวกเขา ถึงจะได้! ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะกระเหี้ยนกระหือรือ รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเหลวไหล เฉินผิงอันเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ส่วนหนีชิวน้อยก็อำมหิตมากพอแล้วใช่ไหม? ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นักฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังคงไม่ถอดใจ ยังจะมาสังหารข้าอีก ใช่ไหม? วันนี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด คราวหน้าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าแน่”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งวาดเส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ พูดพึมพำกับตัวเอง “ตามเส้นสายปลายเหตุเส้นนี้ของเจ้า ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจความคิดของเจ้าบ้างแล้ว อืม นี่คือเหตุผลของเจ้ากู้ช่าน อีกทั้งเมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนยังเป็นเหตุผลที่ใช้ได้ แม้ว่าจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่กับข้า แต่เส้นทางทุกสายในใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันจะยึดครองมาได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ใช่ว่าเหตุผลของข้าจะเหมาะสมกับทุกคนและทุกสถานที่ ดังนั้นข้าจึงยังคงไม่ตัดสินว่าระหว่างพวกเราใครถูกใครผิด ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจ้ากับท่านอาหญิงไม่มีทางถูกทำร้าย…ช่างเถิด หากเดินไปตามเส้นทางเส้นนี้ของเจ้ากับทะเลสาบซูเจี่ยน ยังไงก็เดินผ่านทะลุไปไม่ได้อยู่ดี”

กู้ช่านมึนงงไม่เข้าใจ เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดความคิดของตัวเองจบก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองแล้วหรือ?

ใต้หล้านี้มีคนที่พูดเหตุผลกับคนอื่นแบบนี้ด้วยหรือไร?

เวลาทะเลาะกับคนอื่น หรือควรจะเปลี่ยนมาพูดให้น่าฟังก็คือ เวลาใช้เหตุผลกับคนอื่น เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ก็ไม่ควรพูดให้อีกฝ่ายตายไปเลยหรือไง? นี่ก็เหมือนกับเวลาที่ตีกับคนอื่นแล้วต้องตีให้ฝ่ายตรงข้ามตายรวดเดียวอย่างไรล่ะ

จากนั้นกู้ช่านก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เพียงแต่พยายามขึงหน้าตัวเองให้ตึง หากเวลานี้เขากล้าหลุดเสียงหัวเราะออกไป เขากลัวว่าเฉินผิงอันจะสะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาอีกรอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขากู้ช่านจะเอาคืนได้หรือไง?

ก็ได้แต่ต้องทนรับไม่ใช่หรือ

อีกอย่างถูกเฉินผิงอันตบแค่ไม่กี่ที กู้ช่านไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย

ใต้หล้านี้แม้แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ตีเขากู้ช่าน

มีเพียงเฉินผิงอันที่จะตี ไม่ใช่ว่าเกลียดเขากู้ช่าน แต่เป็นเพราะสงสารจริงๆ โมโหจริงๆ ผิดหวังจริงๆ ถึงได้ตีเขา

กู้ช่านรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงแล้ว

ทำไมในบรรดาสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัขอะไรนั่น กู้ช่านถึงได้สนิทสนมกับเจ้าโง่ฟ่านเยี่ยนมากที่สุดอย่างแท้จริง?

นั่นเป็นเพราะมีเพียงคนโง่ที่เส้นประสาทในสมองขาดไปอย่างฟ่านเยี่ยนเท่านั้นถึงจะพูดประโยคโง่ๆ ทำนองว่า ‘ถูกท่านแม่ตีลงบนร่างเบาๆ ข้ากลับเจ็บปวดหัวใจ’

ตอนนี้บนใบหน้าของหนีชิวน้อยก็มีรอยยิ้มบางๆ

ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังไม่เปลี่ยนไป

ต่อให้ข้ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้น เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น

เวลานี้เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนที่จะพูด

ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ขณะที่เตรียมจะยกพู่กันเขียนตัวอักษร เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยพูดเรื่องหนึ่งกับเผยเฉียน เกี่ยวกับปลาจี้เดือนสามและนกสามวสันต์ ตอนนั้นเฉินผิงอันอธิบายให้เผยฉียนฟังว่า นั่นคือความหวังดีที่ล้ำค่าซึ่งสามารถพูดกับคนที่มีข้าวให้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าให้สวมอุ่นกาย แต่กลับไม่อาจนำประโยคที่มีเมตตากรุณาเหล่านี้ไปพูดกับคนที่ใกล้จะหิวตายได้ เพราะมันไร้เหตุผล ไม่ถูกไม่ควร การที่มนุษย์เป็นมนุษย์ ขนาดคนที่ใกล้จะตายก็ยังไม่สงสาร แต่กระโดดไปสงสารนก สงสารกบ อิงตามทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนเฉินผิงอัน นี่ก็คือไม่ถูกแล้ว

และเมื่อเฉินผิงอันนำประโยคที่ตัวเองเคยกล่าวไปนี้มาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนและเกาะชิงเสีย ก็เป็นเช่นนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำดีหรือไม่ทำดี แต่นี่เป็นเรื่องที่ว่ากู้ช่านกับมารดาของเขาควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เริ่มทบทวนตัวเอง

หลังจากแยกผิดถูกก่อนหลังแล้ว

ก็มาตัดสินว่าใหญ่หรือเล็ก

แล้วค่อยจำกัดความว่าดีหรือเลว

จะพูดเหตุผลของตัวเองกับกู้ช่านโดยกระโดดข้ามไปไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว

หากตนยังคิดไม่ได้อย่างชัดเจน คิดไม่ได้กระจ่างแจ้งมากพอ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ต่อให้เป็นเหตุผลที่ถูกแค่ไหนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งเท่านั้น

นึกถึงเหตุผลที่ตนเคยพูดกับเผยเฉียน เขาก็ไพล่นึกไปถึงบ้านเกิดของเผยเฉียนอย่างพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อคิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวก็อดที่จะนึกถึงในอดีตที่พอจิตใจของตนไม่สงบก็จะไปที่วัดซินเซียงซึ่งอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ไปพบภิกษุเฒ่าที่หน้าตาเมตตาปราณีในวัดคนนั้นไม่ได้ สุดท้ายนึกไปถึงประโยคก่อนตายที่ภิกษุเฒ่าผู้ซึ่งไม่ชอบเอ่ยพระธรรมเอ่ยกับตนว่า ‘ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่’ เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด ‘มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก’

สุดท้ายเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดขึ้นหลังจากเมามาย เขากล่าวว่า ‘ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้’ ก็เป็นแบบนี้ ‘เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน’ เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”

ดังนั้นก่อนที่กู้ช่านจะมาถึง เฉินผิงอันจึงเริ่มยกพู่กันเขียนตัวอักษรแล้ว บนกระดาษสองแผ่นเขาแยกกันเขียนเป็นคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

กระดาษสองแผ่นวางเรียงกัน แต่เขาไม่ได้หยิบกระดาษแผ่นที่สามมาเขียนคำว่า ‘จำกัดความดีเลว’

หลังจากเขียนคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ลงบนกระดาษแผ่นแรกแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มเขียนชื่อเรียงติดกัน

กู้ช่าน ท่านอาหญิง หลิวจื้อเม่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่าโอสถทอง…สุดท้ายจึงเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน’

หลังจากเขียนเสร็จ มองคำว่าผู้ถวายงาน ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่า ฯลฯ ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

จากนั้นกู้ช่านก็มา

จึงได้แต่วางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะหนังสือ

เวลานี้กู้ช่านเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง

กู้ช่านจึงไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขา ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หนีชิวน้อยลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะปลุกความกล้าฟุบตัวลงบนร่างของกู้ช่าน

ศีรษะทั้งสองต่างก็จ้องมองเฉินผิงอันที่ขมวดคิ้วเป็นปม

อันที่จริงหนีชิวน้อยสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันที่เดิมทีควรจะเป็นเจ้านายของตนอย่างมาก

ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจกู้ช่านถึงกับมีความคิดที่น่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่งดำรงอยู่ นั่นคือหากวันใดที่ตัวกู้ช่านเองมีความสามารถมากพอแล้ว เขาจะมอบมันคืนให้กับเฉินผิงอัน

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นสหายอย่างลวี่ไช่ซางที่กู้ช่านให้การยอมรับ อย่างมากสุดก็แค่วันใดหากลวี่ไช่ซางถูกคนฆ่าตาย เขากู้ช่านช่วยแก้แค้นให้ก็ถือว่ามีน้ำใจของคนเป็นสหายมากแล้ว

กู้ช่านที่ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าวถ้วยนั้นที่ท่านแม่ข้ามอบให้เจ้าในปีนั้น ก็เป็นแค่ข้าวถ้วยเดียวไม่ใช่หรือ? เจ้าไปเคาะประตูบ้านของคนอื่น ขอร้องเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่มีทางต้องหิวตายจริงๆ หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดังนั้นข้าถึงได้ยิ่งสำนึกในบุญคุณของท่านอาหญิง”

กู้ช่านถาม “เพราะประโยคนั้นน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า? ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่า ท่านแม่ข้าขอร้องข้าไว้ว่าตลอดชีวิตนี้อย่าทำสองเรื่อง เรื่องแรกคือเป็นขอทาน เรื่องที่สองคือไปเป็นช่างปั้นที่เตาเผามังกร”

กู้ช่านถอนหายใจ

กู้ช่านถามอีก “ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่ได้มอบตำราหมัดเก่าๆ เล่มนั้นให้เจ้า แม้จะไม่มีหมัดเขย่าขุนเขา ก็อาจจะมีหมัดเขย่าวารี หมัดเขย่านครอะไรกระมัง?”

เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า แต่พูดว่า “แต่เหตุผลจะพูดกันอย่างนี้ไม่ได้”

วิถีทางโลกมอบความปรารถนาดีให้เจ้าหนึ่งส่วน แต่เมื่อวันหนึ่งวิถีทางโลกมอบความเลวร้ายให้เจ้า ต่อให้ความเลวร้ายนี้จะมากเหนือกว่าความปรารถนาดี ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปฏิเสธโลกใบนี้ไปทั้งหมด ความปรารถนาดีนั้นยังคงอยู่ จงจำเอาไว้ คว้าเอาไว้ ระลึกถึงไว้ตลอดเวลา

นี่ก็คืออุปสรรคด้านขั้นตอนที่ชุยตงซานเคยพูดถึง ทุกๆ ความถูกความผิดล้วนดำรงอยู่เพียงลำพัง ก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่มรรคาจารย์เต๋าใช้พิศมรรคา หากพูดให้เล็กหน่อย ก็คือความถูกความผิดในแต่ละครั้ง พูดให้ใหญ่หน่อยก็คือความรู้ทุกแขนงของเมธีร้อยสำนักที่เป็นดั่งดอกบัวทุกดอกที่โผล่มาพ้นผิวน้ำ แม้ว่าในดินโคลนใต้บ่อน้ำจะมีรากบัวที่สลับซับซ้อนรัดพันกัน แต่หากแม้แต่ดอกบัวใบบัวที่ชัดเจนขนาดนั้นก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัด ยังจะไปมองความจริงใต้น้ำอีกได้อย่างไร

กู้ช่านยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “บางทีข้าอาจจะโชคดีกว่าเจ้า ในบางช่วงเวลาที่สำคัญมาก ข้าได้เจอกับคนที่ดี”

กู้ช่านส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าก็ได้พบเจ้าแล้วไงล่ะ ตอนนั้นข้ายังเด็กถึงเพียงนั้น”

กู้ช่านสูดจมูก “ตอนนั้นข้ายังมีขี้มูกไหลย้อยอยู่สองเส้นทุกวันเลยนะ”

เฉินผิงอันยู่หน้า คล้ายอยากจะหัวเราะ

กู้ช่านหาข้ออ้างพาหนีชิวน้อยจากไป

รอจนประตูห้องปิดลงแล้ว ฝีเท้าที่จากไปไกลแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าและท่าทางของเฉินผิงอันพลันห่อเหี่ยว เนิ่นนานต่อมา เขายกมือลูบหน้า ที่แท้ก็ไม่มีน้ำตา

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เดินกลับไปที่ห้องหนังสือ นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ

แล้วก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ปลดเจี้ยนเซียนเล่มนั้นลง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ปลดลง ล้วนถูกเขาวางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือ

เขาเขียนตัวอักษรสี่บรรทัดลงไปบนกระดาษแผ่นที่เขียนคำว่า ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

ขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

กฎหมายของหนึ่งแคว้น

มารยาทพิธีการของหนึ่งทวีป

คุณธรรมของใต้หล้า

หลังจากเฉินผิงอันเขียนเสร็จ เขาที่สีหน้าอ่อนระโหยก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก หวังช่วยให้ตัวเองกระปรี้กระเป่า

จากนั้นก็เขียนตัวอักษรสามคำว่าทะเลสาบซูเจี่ยนลงไปหลังคำว่าขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

……

กู้ช่านกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ด้านในมีแม่นางเปิดสาบเสื้ออยู่สามคน คนหนึ่งฟ่านเยี่ยนส่งมาจากนครน้ำบ่อ นางคือลูกสาวขุนนางที่ตกระกำลำบากของแคว้นสือหาว คนหนึ่งกู้ช่านบังคับชิงตัวมาหลังจากที่สำนักบนเกาะซู่หลินถูกเกาะชิงเสียกวาดล้างจนสิ้นซาก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คู นางเป็นคนเรียกร้องว่าจะมาเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเอง

กู้ช่านนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้มือเดียวเท้าคาง บอกให้แม่นางเปิดสาบเสื้อทั้งสามมาเข้าแถวกัน แล้วเขาก็ถามว่า “นายท่านอย่างข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักหนึ่งคำถาม ขอแค่ตอบตามตรงก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม แต่หากกล้าโกหกข้าก็จะต้องกลายมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของหนีชิวน้อยในวันนี้ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากตอบคำถามตามตรงแล้วจะทำให้นายท่านโมโหหรือไม่ อืม หากเป็นเมื่อก่อนก็บอกได้ยาก แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้ขอแค่พวกเจ้าพูดมาตามตรง ข้าจะอารมณ์ดี”

แม่นางเปิดสาบเสื้อสามคนที่หน้าตางดงามโดดเด่นต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือล้วนเย้ายวนมีเสน่ห์ เวลานี้ตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าเจ้านายน้อยที่มีนิสัยประหลาดยากจะคาดเดาผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

กู้ช่านถาม “พวกเจ้าคิดว่าหลังจากได้กลายเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อแล้ว เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากดี ดีแค่ไหน หากร้าย ร้ายแค่ไหน?”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คูรีบตอบทันทีว่า “เรียนนายน้อย สำหรับบ่าวแล้ว นี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ตลอดทั้งเกาะสู่คู บ่าวไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งยังไม่ต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่านายน้อยจะรังแกพวกเรา สังหารพวกเราตามแต่อารมณ์หรือไม่ นายน้อยท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีผู้ฝึกตนหญิงของทะเลสาบซูเจี่ยนมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากเป็นสาวใช้ข้างกายของนายน้อย”

หญิงสาวคนที่สองที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของแคว้นสือหาวลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บ่าวรู้สึกว่าไม่ดีและไม่เลว ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนจากทายาทสายตรงของตระกูลมาเป็นสาวใช้ แต่เมื่อเทียบกับการไปเป็นราชินีบุปผาในหอโคมเขียว หรือไปเป็นของเล่นของพวกบุรุษหยาบกระด้างแล้ว กลับดีกว่ามาก”

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนสุดท้ายคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าเกาะซู่หลิน นางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าอยากจะแร่เนื้อเถือหนังนายน้อยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น!”

กู้ช่านไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย ถามว่า “ไม่ว่าอย่างไรเกาะซู่หลินก็ต้องโดนกวาดล้าง บังอาจสมคบคิดกับเกาะใหญ่อีกแปดเกาะที่เหลืออย่างลับๆ พยายามจะลอบโจมตีเกาะชิงเสียของพวกเรา อาจารย์ของพวกเจ้าตายอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่? ตายอย่างโง่งม ในบรรดาเกาะใหญ่เก้าแห่งก็เป็นเกาะซู่หลินของพวกเจ้าที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสียของพวกเรามากที่สุด แต่กลับยังทำอะไรข้ามหัวพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของเจ้าเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของเกาะชิงเสียได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ? เจ้าจะมาเกลียดคนนอกอย่างข้าทำไม? เพียงแค่เพราะข้ากับหนีชิวน้อยฆ่าคนมากไปหน่อย? เจ้าจะเกลียดก็ได้ ทว่าจะดีจะชั่วก็ควรจะรู้สึกซาบซึ้งที่ข้าช่วยเจ้าไว้สักนิดไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้นเวลานี้เจ้าก็กลายเป็นของเล่นใต้หว่างขาของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าไปแล้ว รสนิยมส่วนตัวบนเตียงของเขาที่เริ่มเปิดเผยออกมา ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยได้ยินสักหน่อย”

แม่นางเปิดสาบเสื้อผู้นั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ซาบซึ้ง? ข้าอยากจะควักลูกตาคู่นี้ของเจ้ากู้ช่านมากินแกล้มเหล้าด้วยซ้ำ!”

กู้ช่านร้องหึหนึ่งที “เมื่อก่อนข้ามองเจ้าแล้วไม่ค่อยถูกชะตานัก แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด ตบรางวัล ตบรางวัลอย่างงาม ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เจ้าจะได้รางวัลสองเท่า”

กู้ช่านโบกมือ “ออกไปเถอะ ไปรับรางวัลของพวกเจ้าซะ”

กู้ช่านถามเบาๆ “หนีชิวน้อย เจ้าคิดว่าข้าผิดหรือไม่?”

หนีชิวน้อยนั่งลงข้างกายเขา พูดเสียงอ่อนโยน “ไม่เลย ข้ารู้สึกว่าทั้งนายท่านและเฉินผิงอันต่างก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่าเฉินผิงอัน…ถูกมากกว่าเล็กน้อย? แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านายท่านผิดนี่นา”

กู้ช่านหันหน้ามายิ้มให้ “หนีชิวน้อย เมื่อก่อนสมองของเจ้าทึ่มทื่อ เหตุใดวันนี้ถึงได้มีไหวพริบขึ้นมาซะเล่า?”

หนีชิวน้อยพลันห่อเหี่ยว “นายท่าน ขอโทษนะ”

กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ขอโทษอะไร เจ้ากลัวเฉินผิงอันหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นว่าข้ากลัวเฉินผิงอันหรือไม่? ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเต็มหน้า ข้ายังไม่รู้สึกว่าน่าอาย เจ้าจะต้องขอโทษอะไร?”

หนีชิวน้อยโคลงศีรษะ อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด

กู้ช่านยกสองมือขึ้นกอดอก เลิกคิ้วพูด “ขนาดท่านแม่ข้า ข้ายังไม่กลัว ฟ้าดินกว้างใหญ่ ก็มีแค่เฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น ข้าคิดว่าพวกเราเป็นวีรบุรุษผู้องอาจมากแล้ว”

แต่แล้วจู่ๆ กู้ช่านก็ไหล่ลู่คอตก “หนีชิวน้อย เจ้าว่าทำไมเฉินผิงอันถึงไม่ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งล่ะ? เขาจะต้องพร่ำพูดหลักการเหตุผลที่ข้าไม่มีทางฟังมากมายขนาดนั้นไปทำไม?”

หนีชิวน้อยส่ายหน้าอย่างแรง

กู้ช่านยื่นนิ้วมาข้างหนึ่ง “ถึงได้บอกว่าเจ้าโง่อย่างไรล่ะ ข้ารู้อยู่แล้ว”

กู้ช่านพึมพำกับตัวเอง “เฉินผิงอันจะทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว เขาคิดจะมอบของที่ล้ำค่าที่สุดของตัวเองให้กับข้า ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อยที่กินได้สวมใส่ได้ ดังนั้นข้าถึงไม่ค่อยจะเต็มใจรับไว้นัก”

หนีชิวน้อยโน้มตัวมาข้างหน้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบคลึงหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมของกู้ช่านเบาๆ

……

ยามเช้าตรู่ ขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏเป็นสีขาวพุงปลา

เฉินผิงอันที่ไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนปิดประตูห้อง เดินออกจากเรือนไป หมายจะออกไปเดินเล่น

เพียงไม่นานกู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกก็ตามมา

ในน้ำของทะเลสาบที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย หนีชิวน้อยที่เผยร่างจริงกำลังว่ายน้ำอย่างเชื่องช้า

เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อวานข้าพูดไปมากมายขนาดนั้นก็เพราะว่าอยากให้เจ้ายอมรับผิด แต่ภายหลังค้นพบว่ามันยากมาก ไม่เป็นไร วันนี้สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ หวังว่าเจ้าจะสามารถจดจำเอาไว้ เพราะข้าไม่ได้กำลังพูดเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมรับ ข้าแค่พูดความเป็นไปได้บางอย่างที่เจ้าอาจจะคิดไม่ถึง เจ้าไม่เต็มใจจะฟัง แต่ก็ขอให้จำเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้นำไปใช้ ทำได้หรือไม่?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา คำพูดของเมื่อวานข้าก็จำไว้ในใจแล้ว”

มือหนึ่งของเฉินผิงอันถือกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง เขาทิ่มมันลงบนพื้นเบาๆ ระหว่างที่เดินไปอย่างเชื่องช้า “ใต้หล้านี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างข้าเฉินผิงอัน และไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างเจ้ากู้ช่าน นี่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง”

“แล้วก็เพราะบนโลกยังมีคนดีที่หากไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนี้ มีคนดีหลายคนที่พวกเรามองเห็น แล้วก็ยิ่งมีอีกหลายคนที่พวกเรามองไม่เห็น ข้าและเจ้ากู้ช่านถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ สามารถนั่งลงพูดเหตุผลของใครของมันได้อย่างเมื่อวาน”

“ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้หาใช่ต้องการพิสูจน์ว่าเจ้ากู้ช่านต้องผิดเสมอไปไม่ แต่เป็นเพราะข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น รู้มากขึ้นว่ายุทธภพไม่ได้มีแค่ทะเลสาบซูเจี่ยน สักวันหนึ่งเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ ก็เหมือนกับที่ปีนั้นออกมาจากเมืองเล็กบ้านเกิด”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เดินออกจากทางเส้นเล็กที่ถูกปูด้วยหินอ่อนสีขาว มุ่งหน้าไปทางริมทะเลสาบ กู้ช่านเดินตามหลังไปติดๆ

เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง ใช้กิ่งไม้แทนพู่กัน วาดวงกลมวงหนึ่งลงบนพื้น “ข้าจะพูดเหตุผลอย่างหนึ่งที่ตัวข้าใคร่ครวญออกมาเอง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก เพราะตอนที่อยู่ใบถงทวีปได้ยินสหายที่ดีคนหนึ่งซึ่งพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพพูดถึงการแบ่งแยกระหว่างนักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะของสำนักศึกษาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ ข้าจึงเกิดความคิดต่อยอดออกมา”

กู้ช่านพึมพำ “ทำไมข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนถึงไม่เจอสหายที่ดีบ้าง”

กู้ช่านปรารถนาเหลือเกินว่าใต้หล้านี้เฉินผิงอันจะมีเขาเป็นเพื่อนแค่คนเดียว

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เขียนตัวอักษรสองคำลงในวงกลมเล็กที่ตัวเองวาดว่า นักปราชญ์ “ทำอย่างไรจึงจะกลายเป็นนักปราชญ์ของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาได้ สำนักศึกษามีกฎเกณฑ์กำหนดเอาไว้ นั่นก็คือนักปราชญ์ท่านหนึ่งต้องอาศัยความรู้ที่มีอย่างเปี่ยมล้นมาครุ่นคิดพิจารณาหาความรู้อันเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้ที่เหมาะสมให้นำมาใช้ในหนึ่งแคว้น กลายมาเป็นนโยบายในการปกครองประเทศซึ่งมีประโยชน์ต่อแผ่นดิน”

จากนั้นเฉินผิงอันก็วาดวงกลมที่ค่อนข้างใหญ่ เขียนสองคำว่าวิญญูชนลงไป “หากความรู้ที่นักปราชญ์ของสำนักศึกษาเสนอออกมาเหมาะกับการนำมาใช้ในหนึ่งทวีปก็จะกลายเป็นวิญญูชน”

สุดท้ายเฉินผิงอันวาดวงกลมที่ใหญ่กว่า เขียนสองคำว่าอริยะลงไป “หากความรู้ของวิญญูชนขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นความรู้ทั่วไปที่ใช้ได้ทั่วหล้า นั่นก็จะได้เป็นอริยะของสำนักศึกษา”

เฉินผิงอันชี้ไปยังวงกลมทั้งสาม “เจ้าเห็นไหม แค่มองวงกลมทั้งสามก็เหมือนมันกำลังบอกว่า แม้แต่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ยังนับถือในคำว่า ‘จุดยืน’ นักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะ ต่างคนต่างมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้าน คนเป็นขุนนาง คนที่ยกทัพทำสงคราม ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา เซียนซือลำดับเทียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา เหตุใดพวกเราพูดถึงแค่จุดยืน ไม่ถามถูกผิด ก็คือความผิด? รู้หรือไม่ว่าทำไม?”

กู้ช่านรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมาทันใด เขาส่ายหน้า

เฉินผิงอันกล่าว “ข้อแรก จุดยืนนั้นมีได้ และก็ยากที่จะไม่มี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า ‘แค่’ พูดถึงจุดยืนของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นอีก การถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายแบบนั้นคับแคบเกินไป ความรู้ก็ดี การวางตัวก็ช่าง รากฐานในการหยัดยืนที่เป็นพื้นฐานที่สุดจะต้องเชื่อมโยงถึงกัน นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะเชื่อมโยงถึงกัน ชาวบ้าน กษัตริย์ ขุนนาง ผู้ฝึกลมปราณเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นในศาลบุ๋นดั้งเดิมของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตัวอักษรของอริยะปราชญ์ในแต่ละรุ่นของลัทธิขงจื๊อที่อยู่ที่นั่น ยิ่งความรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยู่เบื้องล่าง ยิ่งแน่นหนามิอาจทำลายมากเท่านั้น แต่ก็ได้ยินมาว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลริน เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ตัวอักษรสีทองของอริยะใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็ยังเริ่มสูญเสียแสงเรืองรองไป”

เห็นว่ากู้ช่านยิ่งงงงัน

เฉินผิงอันก็กระตุกมุมปาก ถือว่าเป็นรอยยิ้มแล้ว “คำพูดเหล่านี้ เมื่อคืนวานข้าคิดอยู่นาน อยากจะลองพูดให้เจ้าฟัง แต่อันที่จริงนี่เหมือนข้าพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เกาะชิงเสียคือวงกลมวงหนึ่ง กฎเกณฑ์ของสำนักมีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้ตั้ง หากจะพูดให้แคบลงมาหน่อย จุดที่เจ้ากับท่านอาหญิงพักอาศัยก็คือวงกลมวงหนึ่ง กฎประจำบ้านคือเจ้ากับท่านอาหญิงเป็นผู้ตั้ง หากพูดให้กว้างอีกหน่อย ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังคงเป็นวงกลมวงหนึ่ง กฎเกณฑ์คือขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของตัวเอง พูดให้กว้างขึ้นไปอีก ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปอันเป็นที่ตั้งของทะเลสาบซูเจี่ยนก็มีสำนักกวานหูเป็นผู้วาดวงกลมวงแล้ววงเล่า พูดให้แคบลงมาอีกนิด เจ้า ข้าเฉินผิงอัน หลักการเหตุผลของตัวเองก็คือวงกลมที่เล็กที่สุดของฟ้าดินซึ่งได้แต่พันธนาการตัวเอง เคยมีคนกล่าวว่า ตัวอยู่ในโลกมนุษย์ หากนำคุณธรรมสูงส่งมาใช้เพื่อควบคุมตัวเองจะค่อนข้างดีกว่า”

ดูเหมือนเฉินผิงอันกำลังถามใจตัวเอง เขาทิ่มกิ่งไม้ไว้กับพื้นดิน พูดพึมพำว่า “รู้หรือไม่ว่าข้ากลัวอะไรมาก กลัวว่าเหตุผลที่ใช้พูดเกลี้ยกล่อมตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมน้อยลงในตอนนี้ เหตุผลที่ช่วยให้ตัวเองผ่านด่านยากตรงหน้ามาได้ จะกลายเป็นเหตุผลของข้าไปตลอดชีวิต แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทว่าเจ้าและข้าต่างก็ยากที่จะมองเห็นกำลังไหลรินอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ ท่ามกลางขั้นตอนที่ไม่อาจหวนย้อนกลับนี้ หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ที่กลายเป็นตัวอักษรมากมายซึ่งถูกทิ้งเอาไว้ พวกมันก็หม่นหมองไร้ประกายแสงได้เช่นเดียวกัน”

“เหตุผลของเมื่อวานนี้ก็อาจกลายเป็นไร้เหตุผล”

กู้ช่านพลันเอียงศีรษะ กล่าวว่า “ที่วันนี้พูดเรื่องพวกนี้ เพราะเจ้าเฉินผิงอันหวังให้ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิด ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามกู้ช่าน เขายังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป “แต่ข้ารู้สึกว่าตัวอักษรที่อยู่ด้านล่างสุด อยู่ต่ำสุด ต่ำจนคล้ายกับของบางอย่างที่อยู่บนทางดินตรอกเล็กซึ่งเต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่อย่างตรอกหนีผิงของพวกเรา มันจะไม่มีทางเปลี่ยนตลอดไป เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น และอีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม”

“ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่พวกเราใกล้จะหิวตาย…ข้าเฉินผิงอันไม่คิดว่าจะไปแย่งชิงหรือขโมยมา สำหรับข้าวถ้วยนั้นที่ท่านอาหญิงเปิดประตูนำมามอบให้ข้า ข้าจะจดจำไปชั่วชีวิต ข้าเฉินผิงอันจะยังคงรู้สึกว่า ดีแล้วที่ตอนนั้นมีคนมอบถังหูลู่ให้ข้าหนึ่งไม้แล้วข้าอดทนเอาไว้ ไม่ยื่นมือไปรับมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นที่ข้าวิ่งหนีไป ข้าบอกกับตัวเองในใจว่าอย่างไร?”

ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับการยอมรับผิดของตัวเอง กู้ช่านก็รู้สึกสนใจมากหน่อย เขาถามอย่างใคร่รู้ “บอกว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล “หากข้ารับมา คือข้าทำไม่ถูก เพราะตอนนั้นในมือของข้ายังมีเหรียญทองแดงอยู่หลายเหรียญ ข้าไม่มีทางที่จะหิวตายในทันที และข้าไม่ควรรับถังหูลู่ไม้นั้นมา เพราะข้ากลัวว่าเมื่อได้กินของอร่อยขนาดนั้นเข้าไปแล้ว วันหน้าจะรู้สึกว่าชีวิตที่มีเพียงข้าวถ้วยเดียวก็พอใจแล้วจะกลายเป็นชีวิตที่ย่ำแย่ และจะทำให้วันเวลาของข้าต่อจากนั้นยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเหนื่อยยาก กลายเป็นว่าแม้จะได้กินข้าวที่ได้มาอย่างยากลำบากจนอิ่มท้องถึงหกส่วนแล้ว ตัวเองก็ยังไม่ดีใจ จะให้ข้าไปขอถังหูลู่จากคนผู้นั้นกินทุกวันหรือไง? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เขายินดีทำทานแก่ข้าทุกครั้ง ทว่าสักวันหนึ่งหากร้านของเขาไม่อยู่แล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย “แต่เจ้ารู้หรือไม่? ตอนนั้นเหตุผลเหล่านี้ก็ยังไม่อาจต้านทานความล่อลวงจากถังหูลู่ไม้นั้นได้ ตอนนั้นข้าอยากหมุนตัวกลับไปอย่างมาก อยากจะบอกคนขายถังหูลู่ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้ายกให้ข้าสักไม้เถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทำอย่างไรถึงทำให้ตัวเองไม่หันกลับไป?”

เฉินผิงอันถามเองตอบเอง “ข้าบอกกับตัวเองว่า เฉินผิงอัน เฉินผิงอัน เจ้าจะอยากกินไปทำไม ไม่แน่ว่าวันใดท่านพ่อของเจ้าอาจจะกลับมา ถึงเวลานั้นค่อยกิน กินให้อิ่ม! ท่านพ่อเคยรับปากเจ้าว่า คราวหน้าที่กลับบ้านจะต้องเอาถังหูลู่กลับมาด้วย ดังนั้นภายหลังพอข้าแอบวิ่งไปที่นั่นแล้วไม่ได้เห็นแผงขายถังหูลู่นั้นอีก ข้าเลยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่ได้เสียใจว่าจะไม่ได้กินถังหูลู่โดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่เป็นกังวลว่าหากท่านพ่อกลับมาแล้วก็คงจะหาซื้อถังหูลู่ไม่ได้แล้ว”

กู้ช่านอยากจะยื่นมือไปดึงชายแขนเสื้อของคนที่อยู่ข้างกาย เพียงแต่เขาไม่กล้า

เฉินผิงอันพึมพำ “คนเรามีชีวิตอยู่ ควรต้องมีเรื่องบางอย่างให้ระลึกถึง ถูกไหม?”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านพ่อข้าจะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว?”

“ข้ารู้สิ”

“แต่ข้าก็ยังคงคิดแบบนั้น”

“รู้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าขี้มูกยืดน้อยอย่างเจ้ายังเด็ก แล้วชอบถามข้าว่าเวลาเดินอยู่บนถนนตอนกลางคืน ทำไมข้าถึงไม่กลัวผีเลยแม้แต่น้อย? ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยกลัวผีมาก่อน เพียงแต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งข้าก็คิดว่า หากบนโลกมีผีอยู่จริง ข้าก็จะได้พบกับท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือเปล่า พอคิดอย่างนี้ ความกล้าของข้าก็มีมากขึ้น”

“เพียงแต่บางครั้งข้าก็เป็นกังวล ท่านพ่อท่านแม่ดีขนาดนั้น หากกลายมาเป็นผีจริงๆ พวกเขาที่เป็นผีดีจะถูกผีชั่วร้ายรังแกจนไม่สามารถมาพบข้าได้หรือไม่”

เฉินผิงอันพูดเรื่องพวกนี้จบก็หันมาลูบศีรษะของกู้ช่าน “ขอข้าเดินคนเดียวสักพัก เจ้าไปทำธุระของตัวเองเถอะ”

กู้ช่านพยักหน้ารับแล้วจากไปเงียบๆ

หลังจากที่กู้ช่านเดินจากไปได้ไกลมากแล้ว เขาหันหน้ากลับมอง แล้วในใจก็พลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก

ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่โกรธและเสียใจอย่างเมื่อวานแล้ว

แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะยิ่ง…ผิดหวัง ทว่ากลับไม่ได้ผิดหวังในตัวเขากู้ช่าน

ในค่ำคืนนี้ กู้ช่านสังเกตเห็นว่าในห้องของเฉินผิงอันยังคงจุดตะเกียงไว้ จึงไปเคาะประตู

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมายังโต๊ะที่อยู่ในห้องโถงหลัก ถามว่า “ยังไม่นอนอีกหรือ?”

กู้ช่านยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

ก่อนหน้านี้กู้ช่านเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษที่เขียนตัวอักษรไว้จนเต็มแน่นวางกองอยู่ ทว่าในปึกกระดาษกลับไม่มีกระดาษที่ถูกขยำแม้แต่แผ่นเดียว เขาจึงถามว่า “กำลังคัดตัวอักษรหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็เลยเขียนอะไรส่งเดช หลายปีมานี้ อันที่จริงข้าคอยมองดู คอยรับฟังอยู่ตลอดเวลา ความคิดของตัวข้าเองยังไม่มากพอ”

กู้ช่านถาม “คิดอะไรออกหรือยัง?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เมื่อครู่นี้กำลังคิดถึงประโยคหนึ่ง อิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงบนโลกควรใช้ผู้อ่อนแอเป็นขอบเขตของตัวเอง”

กู้ช่านเหลือกตามองบน “ข้าจะนับเป็นผู้แข็งแกร่งอะไรได้ อีกอย่างตอนนี้ข้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง?”

เฉินผิงอันกล่าว “นี่เกี่ยวกับว่าคนผู้หนึ่งมีอายุเท่าไหร่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นความเกี่ยวข้องที่ตายตัว เมื่อก่อนข้าเคยเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจมากมาก่อน เหนียงเนียงของต้าหลี เจียวเฒ่าตัวหนึ่งที่ตบะสูงส่งยิ่งกว่าหนีชิวน้อยในตอนนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง จะบอกว่าพวกเขาเป็นคนเลวบริสุทธิ์เลยก็ไม่ได้ ในสายตาของคนหลายคน พวกเขาก็เป็นคนดี เป็นคนที่มีเมตตาเช่นกัน แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้”

“นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ข้าทะนุถนอมและเห็นค่ามากที่สุด เจ้าคือกู้ช่าน ข้าถึงได้พูดกับเจ้า เจ้าจะฟังหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ก็เพราะว่าเจ้าคือกู้ช่าน ข้าถึงได้หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฟัง เจ้าอายุยังน้อยแค่นี้ก็สามารถปกป้องท่านแม่ของเจ้าให้ดีได้แล้ว เจ้าก็คือผู้แข็งแกร่ง ผู้ใหญ่หลายๆ คนล้วนสู้เจ้าไม่ได้”

กู้ช่านฟุบตัวลงบนโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่าตอนที่เจ้ายังเด็กได้ทำเรื่องมากมายเพื่อท่านแม่ของเจ้า นางมักจะเอามาบ่นว่าข้าไม่มีมโนธรรม เสียแรงที่ให้กำเนิดข้ามา เลี้ยงดูหมาป่าตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนเนรคุณ คนไม่รู้คุณคน) มาอย่างเปล่าประโยชน์แท้ๆ”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงถูกผิดและดีเลว หากทุกคนที่อยู่ใต้หล้านี้ล้วนมีความคิดเหมือนเจ้ากู้ช่านในตอนนี้ เจ้าคิดว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใด?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

เดิมทีนี่ก็คือความคิดที่แท้จริงที่สุดในใจของกู้ช่าน

กู้ช่านกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธจึงเอ่ยอธิบายว่า “บอกตามตรง พูดอะไรคิดอะไร นี่ล้วนเป็นเจ้าเฉินผิงอันพูดเองทั้งนั้น”

เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “หากล้วนเป็นอย่างเจ้ากู้ช่าน ในเมืองเล็กบ้านเกิดของพวกเราก็จะไม่มีอาจารย์ฉีของที่โรงเรียน ในตรอกหนีผิงไม่มีท่านปู่หลิว ไม่มีท่านย่าหลิวเพื่อนบ้านของพวกเรา ไม่มีท่านอาจ้าวที่คอยมาช่วยแม่เจ้าเกี่ยวข้าว ช่วยดึงน้ำเข้านา”

“ข้ารู้สึกว่าต่อให้ไม่มีพวกเขาก็ไม่เป็นไร หรือมีพวกเขาก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ข้ากับท่านแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ไม่ใช่หรือ อย่างมากข้าก็แค่โดนซ้อมไม่กี่ที ท่านแม่ข้าก็โดนตบมากหน่อย แต่ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องฆ่าพวกเขาให้ตายไปทีละคน ฝ่ายแรกข้าจะตอบแทนให้ครบถ้วน ให้เงินเทพเซียน? ให้บ้านหลังใหญ่? มอบสตรีงดงาม? อยากได้อะไรข้าก็จะให้สิ่งนั้น!”

“ตรอกหนีผิงก็จะไม่มีข้า”

กู้ช่านถลึงตาใส่ “แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ!”

เฉินผิงอันที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ คลี่ยิ้ม

เงียบกันไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “กู้ช่าน ข้ารู้ว่าเจ้าพูดความจริงกับข้าอยู่ตลอด ดังนั้นข้าถึงได้เต็มใจนั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ข้าหวังว่าคำถามข้อสุดท้าย เจ้าจะยังคงตอบข้ามาตามสัตย์จริง”

“ได้!”

“เจ้าชอบฆ่าคนใช่หรือไม่?”

กู้ช่านลังเลเล็กน้อย เพียงแต่มุมปากของเขาค่อยๆ ตวัดขึ้น สุดท้ายรอยยิ้มแผ่กระจายไปเต็มใบหน้าของเขา สายตาเร่าร้อนและจริงใจ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ใช่!”

กู้ช่านยิ้มสดใส แต่กลับเริ่มน้ำตาไหล “เฉินผิงอัน ข้าไม่อยากโกหกเจ้า!”

เฉินผิงอันเองก็ยิ้มเหมือนกัน เขายื่นมือออกมาช่วยเช็ดน้ำตาให้กู้ช่าน “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงเป็นข้าที่ผิดไป เหตุผลพวกนั้นของข้าไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าถูกหรือผิด แต่ข้าก็ยังคงเป็นเฉินผิงอัน และเจ้ายังคงเป็นเจ้าเด็กขี้มูกยืด”

กู้ช่านถามอย่างเป็นกังวล “เจ้าโกรธข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่โกรธเจ้า”

กู้ช่านพึมพำ “แต่เห็นๆ อยู่ว่าเจ้ากำลังโกรธ”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะลองทำดู จะพยายามไม่โกรธใคร”

หลังจากกู้ช่านจากไป

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปทางโต๊ะหนังสือ ทว่าจู่ๆ กลับหยุดฝีเท้าไม่ก้าวเดินต่อ

กำลังคิดว่าจะหมุนตัวกลับ อยากไปนั่งพักที่ข้างโต๊ะหนังสือสักครู่ แต่ก็เหมือนจะไม่อยากสักเท่าไหร่

จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างนี้

เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวน้อยๆ เขากำลังครุ่นคิด

ภิกษุเฒ่าในวัดเล็กแห่งหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยนเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วางมีดลงก็บรรลุธรรม

แต่กู้ช่านกลับไม่คิดว่าตัวเองผิด มีดฆ่าคนในใจเล่มนั้นถูกกู้ช่านกำไว้ในมือแน่น เขาไม่คิดจะวางมันลงแม้แต่น้อย

ถ้าอย่างนั้นประโยคที่พูดกับเผยเฉียนว่าเรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ จึงกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว

ทลายโจรร้ายบนภูเขานั้นง่าย ทลายโจรร้ายในใจนั้นยาก

ตอนนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘โจรร้ายในใจ’ ที่อยู่ในใจของกู้ช่านได้เดินมาที่ใจของตนแล้วเหมือนกัน มันเปิดประตูใหญ่ของห้องหัวใจ แล้วเข้ามาพักอาศัย ตีไม่ตาย ไล่ไม่ไป

เพราะเขาไม่อาจข้ามผ่านหลุมในใจหลุมนั้นของตัวเองไปได้

และกู้ช่านคือคนที่เขาไม่มีทางทอดทิ้งอย่างเด็ดขาด

เซียนกระบี่ใหญ่วัยชรา ผู้เฒ่าที่มีนามว่าเฉินชิงตูผู้นั้น เขาบอกว่าการใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง ใช้เหตุผลกับทุกสถานที่ตลอดชีวิต ก็เพื่อให้บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล

แต่เฉินผิงอันรู้ดีว่า แม้ปากของท่านผู้อาวุโสจะไม่พูด ทว่าเหตุผลกลับยังคงอยู่ในใจของท่านผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าแม้กระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่อย่างเขาก็ยังมีช่วงเวลาที่ใช้เหตุผลไม่ได้ เลยต้องออกกระบี่ก็เท่านั้น

เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย

เขาพลันค้นพบว่าเขาได้เอาเหตุผลทั้งหมดที่ตัวเองรู้มาในชีวิต และอาจจะเป็นเหตุผลที่วันหน้าคิดจะนำไปใช้พูดกับคนอื่นมาพูดจนหมดแล้ว

……

ในหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อ ชุยตงซานพึมพำ “คำพูดดีๆ ยากจะเกลี้ยกล่อมผีสมควรตาย!”

ชุยฉานยิ้มบางๆ “มหามรรคามหัศจรรย์ก็ตรงที่มีคนอย่างกู้ช่าน พวกเขามักจะได้ดิบได้ดีมากกว่าคนดีที่ไร้ประโยชน์เสมอ”

ชุยตงซานหันหน้ากลับมาจ้องชุยฉานเขม็ง “เจ้าไม่ได้ให้คนแอบปกป้องกู้ช่านอย่างลับๆ หรอกรึ? เจ้าจงใจยุแยงให้กู้ช่านสร้างหายนะอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”

ชุยฉานถามกลับ “หากข้าปล่อยให้คนลอบฆ่ามารดาของกู้ช่านสำเร็จแล้วค่อยขัดขวางการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นรอให้หร่วนซิ่ว ‘ไม่ทันระวัง’ พลาดทำร้ายกู้ช่าน ทางตันนี้จะยิ่งไม่กลายเป็นทางตายหรอกหรือ? แต่ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไหม? ข้าไม่จำเป็น แน่นอนว่าหากทำอย่างนั้นก็จะสูญเสียความมหัศจรรย์ของแรงไฟไป ขาดท่วงทำนองของการเจือจางรสชาติที่สนุกมากที่สุดไป เหลือเส้นทางที่เฉินผิงอันสามารถเลือกเดินได้น้อยลงกว่าเดิม มองดูเหมือนเป็นทางที่คับแคบกว่า เป็นทางหัวขาดมากกว่า แต่กลับจะทำให้เฉินผิงอันเดินไปบนทางที่สุดโต่งได้ง่ายกว่า หากกลายเป็นว่าเมื่อทำตามจิตดั้งเดิม เฉินผิงอันก็สามารถต่อยด้วยหมัดหรือแทงด้วยกระบี่ให้กู้ช่านตายในคราเดียว หรือไม่ก็เลือกสะบัดมือเดินหนีไปเสียเลย ทางตันครั้งนี้ก็จะมีแต่คนตาย ความหมายจะอยู่ตรงไหน ต่อให้พอจะมีความหมายอยู่บ้าง ก็ไม่มากนัก เจ้าไม่มีทางยอมแพ้ทั้งกายและใจ และข้าเองก็จะรู้สึกว่าชนะอย่างไม่สมศักดิ์ศรี”

ชุยตงซานสีหน้าหว้าเหว่

แล้วจู่ๆ เขาก็ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “ชุยฉาน เฉินผิงอันทำผิดอะไรกันแน่?!”

ชุยฉานหัวเราะอย่างระอาใจ “เจ้าเป็นเด็กน้อยหรือไง?”

ชุยตงซานคำรามเสียงแหบแห้ง “เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”

ชุยฉานหัวเราะ ยื่นมือมาป้องตรงหู เอียงศีรษะ ยิ้มบางๆ เอ่ยถามคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง ความรู้ของพวกเจ้าใหญ่ที่สุด มาๆๆ พวกเจ้าลองพูดให้ฟังทีสิ”

ชุยตงซานสงบลงได้ในทันที

ชุยฉานยิ้มบางๆ “สถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้าอยากรู้ก็คือ ในถุงผ้าแพรใบนั้นเจ้าเขียนประโยคไหนของสำนักนิติธรรมเอาไว้? ไม่แยกใกล้ชิดหรือห่างเหิน ทุกอย่างตัดสินด้วยกฎหมาย?”

ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ไม่ใช่สำนักนิติธรรม”

ชุยฉานพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ลัทธิพุทธแล้ว”

ชุยตงซานกล่าวอย่างเหม่อลอย “ไม่ใช่ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก ไม่ใช่หนึ่งในเหตุผลที่มีมากมายเลยสักข้อ”

ชุยฉานขมวดคิ้ว

……

เฉินผิงอันยื่นมือสั่นๆ ไปหยิบถุงผ้าแพรใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนจะจากกันที่เมืองหงจู๋ เผยเฉียนมอบมันให้กับเขา บอกว่าให้เขาเปิดอ่านในช่วงเวลาที่เขาโกรธมากที่สุด

เฉินผิงอันเปิดถุงผ้าแพร หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ข้างในออกมา

ด้านบนเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน ขอเจ้าอย่าผิดหวังกับโลกใบนี้’

เฉินผิงอันอ่านจบก็เก็บถุงผ้าแพรสอดกลับไว้ในชายแขนเสื้อ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองม่านราตรีนอกหน้าต่าง พึมพำเบาๆ “ข้าก็แค่ผิดวังกับตัวเองอย่างมากเท่านั้น”

……

ในหอสูง ชุยฉานหัวเราะก้องอย่างอารมณ์ดี

จิตใจของชุยตงซานเป็นดั่งขี้เถ้ามอด

ชุยฉานยังหัวเราะไม่หยุด เบิกบานใจสุดขีด

ราชครูต้าหลีท่านนี้ไม่เคยอารมณ์ดีอย่างเต็มคราบเช่นนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว

ชุยตงซานเตรียมจะลุกขึ้นเดินออกจากบ่อสายฟ้าสีทองที่ตัวเองวาดเป็นกรงขัง

ชุยฉานพลันหรี่ตาลง

เห็นเพียงว่าในม้วนภาพวาด

เฉินผิงอันไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มา ดื่มเหล้าทั้งหมดรวดเดียว

จากนั้นก็หยิบชุดคลุมอาคมตัวนั้นออกมา เขายืนอยู่ที่เดิม แต่ชุดคลุมอาคมก็สวมลงบนร่างของเขาด้วยตัวเอง

แล้วเฉินผิงอันก็หยิบยันต์ชำระสิ่งสกปรกออกมาหนึ่งแผ่น เอาไปแปะไว้บนเสาต้นหนึ่งของห้อง

เขาหลับตาลง

ใช้วิธีมองภายในของผู้ฝึกตน ดวงจิตของเฉินผิงอันมาหยุดตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนที่มีหัวใจบุ๋นสีทองอยู่ภายใน

ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ

ตอนนั้นหลังจากที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองนี้สำเร็จ คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองที่สะพายกระบี่ห้อยตำราพูดประโยคหนึ่งกับเฉินผิงอันที่แม้แต่เหมาเสี่ยวตงก็ยังไม่เข้าใจ

‘รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ’

ประโยคนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันมีความกังวลอย่างลึกล้ำต่อกู้ช่าน นั่นคือการแอบบอกเป็นนัยอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันมีต่อตัวเอง ทำผิดแล้ว จะไม่ยอมรับผิดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับข้าเฉินผิงอัน ข้าก็รู้สึกว่าเขาไม่ผิด ข้าต้องเข้าข้างเขา และความผิดเหล่านี้ก็สามารถพยายามชดเชยแก้ไขได้

ทว่าคนตายไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น

และกู้ช่านก็ไม่ยอมรับผิด

ตอนนี้ ควรจะชดเชยแก้ไขอย่างไร?

ผิดหรือถูกวางให้เห็นกันอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันไม่อาจแหกกฎ ไม่อาจหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น

สิ่งที่คนหลายคนกำลังทำหรือกำลังพูด อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป

ประตูใหญ่ของจวนเปิดออกช้าๆ

เฉินผิงอันประสานมือโค้งคารวะอำลาคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองผู้นั้น

หัวใจบุ๋นสีทองที่เดิมทีก่อเค้าโครงร่างของโอสถ มีหวังว่าจะเลื่อนไปถึงขอบเขต ‘คุณธรรมติดตัว’ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองคนนั้นมีถ้อยคำนับพันนับหมื่น สุดท้ายกลับเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ มันเองก็โค้งคารวะบอกลาเฉินผิงอันอย่างนอบน้อม

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

ตลอดทั้งฟ้าดินขนาดเล็กในร่างคนประหนึ่งมีเสียงระฆังไว้อาลัยแด่ผู้ตายดังก้องไปทั้งฟ้าดิน

หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นพลันระเบิดแตก กระบี่ยาวของคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองที่ช่วงที่ผ่านมามีสนิมเกาะเขรอะ ตำราที่หม่นแสง รวมไปถึงตัวมันเอง ต่างก็กลายเป็นเหมือนหิมะที่ละลายหายไป

มีกลิ่นคาวเลือดขุมหนึ่งโชยมา

เฉินผิงอันเซล้มลงบนพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ

เขาพยายามลุกขึ้นยืน ผลักกระดาษทุกแผ่นออกไป เริ่มเขียนจดหมาย ทั้งหมดสามฉบับ

……

ชุยตงซานสายตาเย็นชา “ข้าแพ้แล้ว”

ความเงียบเกิดขึ้นเป็นนาน

ชุยตงซานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงหันหน้าไปมอง

ชุยฉานกลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เขาเริ่มนั่งตัวตรงอย่างสำรวม!

……

วันต่อมา มีคนลักษณะแปลกประหลาดผู้หนึ่งปราฎตัวบนเกาะชิงเสียกะทันหัน

แรกเริ่มนั้นเขาได้ให้กระบี่บินนำจดหมายลับไปส่งสามฉบับ

ส่วนในจดหมายนั้นเขียนว่าอะไร ส่งไปให้ใคร ใครเล่าจะกล้าไปลอบสืบเสาะเรื่องของแขกผู้ทรงเกียรติของกู้ช่านท่านนี้?

จดหมายสามฉบับนั้นแยกกันส่งไปให้เว่ยป้อที่เขตการปกครองหลงเฉวียน จงขุยแห่งใบถงทวีปและฟ่านจวิ้นเม่าแห่งนครมังกรเฒ่า

สอบถามว่ามีวิธีลัดที่จะทำให้สามารถเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียนที่ช่วยรวบรวมวิญญาณอย่างรวดเร็วหรือไม่ คนผู้หนึ่งหลังจากตายไปแล้วกลายเป็นผีหรือวัตถุหยินได้อย่างไร ข้อพิถีพิถันมากมายหลังจากที่คนผู้หนึ่งไปเกิดใหม่ มีวิชาลับบรรพกาลที่สาบสูญไปนานแล้วซึ่งสามารถเรียก ‘คนในอดีต’ ออกจากปรโลกให้มาสนทนากับคนในโลกคนเป็นหรือไม่

หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็มาปรากฏตัวใกล้กับประตูภูเขาแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย ขอห้องเล็กหนึ่งห้อง

บนโต๊ะวางกระดาษ พู่กัน หมึกและลูกคิดธรรมดาๆ อันหนึ่ง

คนผู้นั้นอายุยังน้อย แต่มองดูแล้วอิดโรย สีหน้าซีดขาว ทว่าเนื้อตัวของเขาสะอาดสะอ้าน ไม่ว่ามองใคร สายตาก็เป็นประกายเจิดจ้า

เขาขอเอกสารของผู้ฝึกตนและนักการทุกคนบนเกาะชิงเสียมาจากเถียนหูจวิน

มองดูเหมือนเป็น…นักบัญชีคนหนึ่ง?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version