Skip to content

Sword of Coming 435

บทที่ 435 แม่นางชุดเขียวกินขนม

มาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันไปเอาจดหมายตอบกลับที่เว่ยป้อส่งมาจากภูเขาพีอวิ๋นที่เรือนกระบี่ ส่วนกระบี่บินเล่มนั้นก็พุ่งวูบบินกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างว่องไว

แยกกับกู้ช่านแล้ว เฉินผิงอันก็มาที่ห้องตรงประตูภูเขาเพียงลำพัง เปิดจดหมายลับออกอ่าน เนื้อหาเป็นการตอบกลับคำถามของเฉินผิงอัน ไม่เสียทีที่เป็นเว่ยป้อ ถามหนึ่งตอบสาม เขาตอบคำถามอีกสองข้อที่เฉินผิงอันถามวิญญูชนจงขุยและฟ่านจวินเม่าแห่งนครมังกรเฒ่ามาพร้อมกันด้วย เขียนยาวเหยียดถึงหมื่นกว่าตัวอักษร แบ่งเป็นกฎเกณฑ์การแบ่งแยกระหว่างหยินกับหยาง สาเหตุและโอกาสแบบใดที่ทำให้หลังจากคนตายไปแล้วได้กลายเป็นวัตถุหยินหรือภูตผี รายละเอียดปลีกย่อยมากมายของการไปจุติเกิดใหม่ที่เกี่ยวพันกับสองสถานที่อย่างปรโลกและนรกอเวจี ความต่างของทางเข้าสู่เส้นทางน้ำพุเหลืองซึ่งเกิดจากขนบธรรมเนียมของแต่ละพื้นที่ชักนำ ความต่างของกุ่ยไช ฯลฯ ล้วนอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด

ช่วงท้ายของจดหมาย เว่ยป้อยังเขียนเวทลับด้วยลายมือตัวเองแนบมาอีกสองวิชา วิชาแรกคือวิชานอกรีตที่เชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ยที่เว่ยป้อเคยอยู่ด้วยในปีนั้นเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี คือวิชาที่ยืมเอาแก่นของโชคชะตาน้ำในฟ้าดินมาตามหาแสงแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วรวบรวมดวงวิญญาณของผู้ตายที่กระจัดกระจายเข้าไว้ด้วยกัน ก่อรูปร่างให้กับดวงวิญญาณใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ฝึกวิชานี้ประสบความสำเร็จจะสามารถออกคำสั่งแก่ภูตผีที่อยู่ใกล้น้ำได้ทุกประเภท เป็นเหตุให้วิชาลับที่ไม่แพร่งพรายของแคว้นเสินสุ่ยวิชานี้มีเพียงราชครูและเซียนซือที่ถวายการรับใช้เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถศึกษาค้นคว้าได้

อีกวิชาหนึ่งก็คือวิชานอกรีตอีกอย่างที่เว่ยป้อได้มาจากคลังยุทโธปกรณ์ของแคว้นเสินสุ่ยโดยบังเอิญ รากฐานของวิชานี้ใกล้เคียงกับวิชาของพ่อมดหมอผี เพียงแต่ผสมผสานวิธีควบคุมกระบี่ของเซียนกระบี่แคว้นสู่โบราณบางส่วนเข้าไป นำมาใช้ทลายสิ่งกีดขวางระหว่างหยินและหยาง พื้นที่ที่แสงกระบี่พุ่งไปถึงจะกลายเป็นสะพานและเส้นทางสายเล็กที่เชื่อมโยงโลกคนเป็นกับโลกคนตายเข้าด้วยกัน หากคิดจะสนทนากับคนที่ตายไปแล้วก็แค่ต้องตามหาคนมีชีวิตที่เกิดมาก็มีปราณหยินเข้มข้น ให้มาเป็นที่พักพิงยามที่วัตถุหยินย้อนกลับมายังโลกมนุษย์ ซึ่งคนที่ว่านี้ในจดหมายเว่ยป้อเรียกว่า ‘ศาลาพักเท้า’ จำเป็นต้องเป็นคนที่มีร่มเงาบรรพบุรุษปกป้อง สั่งสมบุญไว้มาก หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนซึ่งเกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชาภูตผีถึงจะสามารถทนรับได้ ซึ่งหากเป็นอย่างหลังจะดีที่สุด ถึงอย่างไรฝ่ายแรกก็ต้องสูญเสียบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมไป แต่ฝ่ายหลังกลับสามารถใช้สิ่งนี้มาพัฒนาตบะ เปลี่ยนจากภัยให้กลายเป็นโชค

เฉินผิงอันอ่านจดหมายลับฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมา

นักบัญชีท่านนี้ไม่รู้ว่า การเข่นฆ่าสองครั้งที่เกิดขึ้นแถบเกาะอวิ๋นอวี่และนครอวิ๋นโหลวกลายเป็นกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟสำหรับเกาะชิงเสียแล้ว ตอนนี้คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็พากันโหมข่าวเล่าลือว่าบนเกาะชิงเสียมีผู้ถวายงานหนุ่มต่างถิ่นที่มีพลังการต่อสู้น่าตะลึงเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ครอบครองหุ่นเชิดองค์เทพจากยันต์สองตนที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดได้อย่างสบายๆ ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนผู้นี้ยังเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด ใช้หมัดหนึ่งต่อยให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหกตายไปต่อหน้า

เซียนซือด้านยันต์ ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์?

นักบัญชีที่เฝ้าประตูให้กับเกาะชิงเสียผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่?

ทันใดนั้นพลังอำนาจของหลิวจื้อเม่าที่อยู่บนเกาะกงหลิ่วก็พลันเพิ่มพูน หญ้ายอดกำแพงจำนวนมากต่างก็เริ่มโน้มเอียงตามลมเข้าหาเกาะชิงเสีย

จวนชุนถิง บนโต๊ะอาหารของวันนี้ สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยกับกู้ช่านที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กลับมากินข้าวที่บ้านว่า “ช่านช่าน อย่าได้เลียนแบบเฉินผิงอัน”

กู้ช่านกำลังสวาปามอาหาร เสียงที่พูดจึงอู้อี้ “ไม่เลียนแบบ ไม่เลียนแบบแน่นอน”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอย่างปลาบปลื้ม หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบมันตรงมุมปากให้กับบุตรชาย เอ่ยเบาๆ ว่า “คนดีอย่างเฉินผิงอัน ในปีนั้นแม่ย่อมต้องชอบอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเรา คนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว หายนะจะตามติดนับพันปี นี่ไม่ใช่คำพูดไม่น่าฟังอะไรหรอกนะ แม้แม่จะไม่เคยเดินออกจากจวนชุนถิงไปมองทัศนียภาพด้านนอก แต่ก็คอยเรียกให้พวกสาวใช้มาคุยเล่นให้ฟังอยู่ทุกวัน รู้ดีถึงความต่างระหว่างทะเลสาบซูเจี่ยนกับตรอกหนีผิงยิ่งกว่าเฉินผิงอัน อยู่ที่นี่ พวกเราไม่ใจไม้ไส้ระกำไม่ได้”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ใต้หล้านี้มีเฉินผิงอันแค่คนเดียว ข้าเลียนแบบเขาไม่ได้หรอก แล้วก็เลียนแบบไม่เหมือนด้วย”

สุดท้ายกู้ช่านเงยหน้าเอ่ยว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ก็มีกู้ช่านแค่คนเดียว!”

สตรีแต่งงานแล้วพลันถามขึ้น “ก่อนหน้านี้แม่รู้แค่ว่าเฉินผิงอันได้ดิบได้ดีมากแล้ว แต่ได้ดีแค่ไหนกันแน่ เขาเฉินผิงอันไม่บอก แม่ก็ไม่สะดวกจะถามมาก ตอนนี้ได้ยินพวกแม่นางเปิดสาบเสื้อในจวนพูดคุยกัน ดูเหมือนว่าต่อให้เฉินผิงอันคิดจะยึดครองเกาะใหญ่แห่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนก็มีความสามารถมากพอเหลือแหล่? ได้ยินมาว่าคืนนั้นแม้แต่ลวี่ไช่ซางก็ยังเกือบจะถูกเฉินผิงอันสังหารด้วยกระบี่เดียว?”

กู้ช่านคิดแล้วก็ตอบว่า “ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ข้ารู้แค่ว่าอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นมีชื่อว่าเจี้ยนเซียน ฟังจากหลิวจื้อเม่า ดูเหมือนตอนนี้เฉินผิงอันจะยังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นเซียนดินโอสถทองทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้ร่วมมือกันมาสามคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินผิงอัน ต่ำกว่าเซียนดินลงมา แค่กระบี่เดียวก็จบเรื่อง แต่เมื่อเทียบกับกระบี่เซียนที่ยังหลอมได้ไม่สมบูรณ์แบบเล่มนี้ เห็นได้ชัดว่าหลิวจื้อเม่ากริ่งเกรงในยันต์ตระกูลเซียนแผ่นนั้นมากกว่า เขาถามข้าว่ารู้ความเป็นมาของยันต์แผ่นนี้หรือไม่ ข้าบอกไปแค่ว่าไม่รู้ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในความสามารถก้นกรุของเฉินผิงอัน อันที่จริงตอนนั้นที่หนีชิวน้อยถูกข้าส่งตัวไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด กลับถูกเจ้าพวกมีตาแต่ไร้แววมาทำลายอารมณ์ท่องเที่ยวทะเลสาบของเฉินผิงอันเสียได้ ดังนั้นหนีชิวน้อยจึงได้เห็นวิชาอภินิหารของขุนพลเทพทั้งสององค์นั้นกับตาตัวเอง หนีชิวน้อยบอกว่าดูไม่เหมือนยันต์เซียนของนักพรตพรรคมหายันต์สักเท่าไหร่ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจกลางของยันต์ไม่ใช่แค่สติปัญญาเสี้ยวหนึ่ง แต่เหมือนเป็นรากฐานร่างทองขององค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำเลย”

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ที่แท้เฉินผิงอันก็ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้”

กู้ช่านกินไม่เรียบร้อย เวลานี้คราบมันจึงเปื้อนเต็มหน้า เขาเอียงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะว่า “ก็ใช่น่ะสิ ขอแค่เฉินผิงอันต้องการทำอะไร เขาก็ทำได้ทั้งนั้น เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน”

สตรีแต่งงานแล้วมองบุตรชายที่ไร้เดียงสาก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย เรื่องบางอย่าง ถึงอย่างไรก็ควรต้องให้คนที่เป็นแม่อย่างนางคิดให้มากจึงจะได้ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าความสามารถในการเป็นแม่บ้านแม่เรือนของนางมีมากหรือน้อย

ตอนที่กู้ช่านพาหนีชิวน้อยมุ่งหน้าไปชมเรื่องสนุกที่เกาะกงหลิ่ว สตรีแต่งงานแล้วก็มาที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนด้านหลังของจวนชุนถิง เรียกแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนของจวนให้มารวมตัวกัน จากนั้นก็ตวาดสั่งสอนอบรมพวกนางไปรอบหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ใครปากมากต่อหน้าเฉินผิงอัน หากถูกจับได้จะโดนโบยจนตายทันที อีกทั้งนางยังสั่งให้คนไปเปิดเอกสารลับของเรือนควันธูปที่มีเฉพาะในจวนชุนถิง หากใครที่มีญาติซึ่งได้เป็นผู้ฝึกตนบนเกาะชิงเสียแล้ว ก็จะให้เถียนหูจวินสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะทิ้งด้วยตัวเอง หากไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เป็นตระกูลที่ได้รับความกรุณาจากจวนชุนถิงจนร่ำรวยสูงศักดิ์ขึ้นมา ก็จะต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สมบัติแล้วมอบให้สกุลฟ่านที่เป็นเจ้าเมืองนครน้ำบ่อจัดการ

ยามพลบค่ำของวันนี้ เฉินผิงอันไปเคาะประตูใหญ่ของเรือนที่ปกติธรรมดาเรือนหนึ่งของเกาะชิงเสีย นี่คือสถานที่ในการฝึกตนของผู้ถวายงานลำดับสองคนหนึ่ง ชื่อที่แท้จริงของเขาไม่มีใครรู้มานานแล้ว แซ่หม่า มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนผี ว่ากันว่าเคยเป็นคนแบกอาหารในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหนึ่งที่ล่มสลายไปแล้ว ซึ่งก็คือหนึ่งในนักการที่อยู่ใน ‘ขบวนเดินทาง’ ยามที่ฮ่องเต้ออกตรวจตราบ้านเมือง ไม่รู้ว่ากลายเป็นผู้ฝึกตนได้อย่างไร อีกทั้งยังก้าวเดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นผู้ถวายงานอาวุโสของเกาะชิงเสียอีกด้วย

ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาที่เหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลดูแคลน ผู้ฝึกตนผีเป็นผู้ฝึกตนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้รับการต้อนรับมากที่สุด เป็นเหตุให้เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในแถบพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลของเกาะชิงเสีย ปราณวิญญาณไม่ถือว่าเปี่ยมล้น ทว่าปราณหยินกลับเหลือเฟือ เพราะยึดครองบ่อน้ำประหลาดที่ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องมีลมหยินพัดโชยผ่านมา บริเวณโดยรอบเรือนมักจะมีปราณหยินอึมครึมล้อมเวียนวน ไม่เคยไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ช่วงแรกเริ่มสุดผู้ฝึกตนผีท่านนี้อยู่ปลายแถวของบรรดาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ทว่าเมื่อเกาะชิงเสียเขมือบกลืนเกาะใหญ่ใต้อาณัติได้สิบกว่าแห่ง เจ้าเกาะใหญ่บางแห่งและผู้ถวายงานบางส่วนที่รักตัวกลัวตายก็ได้เลือกที่จะพึ่งพาสกัดคงคาเจินจวินซึ่งเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา ไปๆ มาๆ นานวันเข้า ลำดับเก้าอี้อิทธิพลเดิมของเกาะชิงเสียจึงขยับไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ยังดีที่หลิวจื้อเม่าไม่ได้หักเงินเดือนเทพเซียนของเหล่าผู้ถวายงานเฒ่าที่มีคุณความชอบ กลับกันยังเพิ่มให้อีกหนึ่งถึงสองส่วน นี่ถึงไม่ทำให้ ‘จิตใจของเหล่าขุนพลหนาวเหน็บ’

คนเฝ้าประตูคือหญิงชราที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว ทว่านางกลับมีผมสีนิลเต็มศีรษะ ดวงตาสีขาวหิมะ พอเห็นนักบัญชีแซ่เฉินผู้นี้ หญิงชราก็รีบเค้นรอยยิ้มประจบเอาใจ ระหว่างริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าที่แห้งตอบของนางยังมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ คล้ายหนอนหรือยุงร่วงเผลาะๆ ลงมา หญิงชรารู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงรีบใช้ปลายรองเท้าปักลวดลายบุปผาแอบบดขยี้พวกมัน ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดเสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังลั่น นี่ไม่ได้น่าสยดสยอง แต่น่าขยะแขยง

หญิงชราเองก็สัมผัสได้ถึงข้อนี้ ถึงได้หน้าแดงด้วยความอับอาย ริมฝีปากเผยอเบาๆ แต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ เขามองออกว่า ‘หญิงชรา’ ที่ปราณหยางบางเบา สติปัญญาถดถอยตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นสตรีที่อายุแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

สตรีบนโลกล้วนมีใจรักสวยรักงาม

นางเขย่ากระพรวนพวงหนึ่งที่อยู่ข้างประตู พูดกับเฉินผิงอันว่า “อีกไม่นานเจ้านายของข้าก็จะออกมา รบกวนท่านเฉินรอสักครู่”

นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปยังห้องมืดมิดที่อยู่ด้านข้างประตูใหญ่ของเรือน “บ่าวคงไม่อยู่ตรงนี้ให้เกะกะสายตา หากท่านเฉินนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ก็แค่เอ่ยเรียกสักคำ บ่าวที่อยู่ในห้องด้านข้างนั้นจะรีบออกมาทันที”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยถามว่า “ขอถามว่าข้าควรจะเรียกฮูหยินน้อยว่าอย่างไร? วันหน้าข้าอาจต้องมาเยี่ยมเยือนที่เรือนบ่อยๆ จะให้เรียกว่าเจ้าๆๆ ทุกครั้งคงไม่ดี”

หญิงชราที่ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่กล้าสบตากับคนหนุ่มตรงหน้าด้วยสภาพเช่นนี้ จึงหันหน้าไปอีกทาง พูดตอบเสียงเบาว่า “ท่านเฉินสามารถเรียกบ่าวว่า หงซู ซูจากซูถังน้ำตาลกรอบ”

ควันดำเส้นหนึ่งกลิ้งหลุนๆ มาถึง พอหยุดลง บุรุษร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่งก็ปรากฏตัว ชายด้านล่างของอาภรณ์และในชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างยังคงมีควันดำลอยอบอวลออกมา บุรุษมีสีหน้าเฉยเมย หันไปขมวดคิ้วพูดกับหญิงชราคนเฝ้าประตู “นังคนชั้นต่ำไม่รู้จักดีชั่ว ยังมีหน้ามาคุยเล่นกับท่านเฉินอยู่ตรงนี้อีกรึ! ยังไม่รีบไสหัวกลับเข้าไปในห้องอีก ไม่กลัวว่าจะทำให้สายตาของท่านเฉินสกปรกหรือไร!”

นางรีบเข้าไปหลบในห้องด้านข้างทันที ไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่างบานเล็ก ไม่มีความกล้าที่จะมองพวกเขาแม้สักครั้ง หวังเพียงว่าจะพอได้ยินบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายบ้าง

เมื่อเกาะชิงเสียเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน จากที่เป็นผู้ถวายงานลำดับต้นๆ นายท่านก็กลายมาเป็นผู้ถวายงานปลายแถวลำดับล่างสุดของขั้นสอง บวกกับที่เกาะชิงเสียบุกเบิกจวนใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเกาะใหญ่อีกสิบเอ็ดเกาะโดยรอบยังถูกควบรวมเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของเกาะชิงเสีย หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้จึงแทบจะไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนที่จวน ผู้ฝึกตนที่สนิทสนมกันก็ไปอยู่ที่อื่น ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบายนานแล้ว ผู้ฝึกตนที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ยินดีมาเยือนสถานที่ที่เงียบเหงาแห่งนี้ นางเฝ้าประตูเรือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งในและนอกจวนสั่งห้ามไม่ให้ข้ารับใช้พูดคุยกัน ดังนั้นเวลาปกติ ต่อให้แค่มีนกบินผ่านเรือนมาส่งเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ให้ได้ยิน ก็ยังทำให้นางหวนระลึกถึงได้เป็นนาน

เข้าเรือนมาแล้ว เฉินผิงอันก็บอกให้ผู้ฝึกตนผีรู้ถึงจุดประสงค์ที่มาเยือน

ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าเงียบงันไม่เอ่ยอะไร ทว่าในใจกลับเริ่มไม่สบอารมณ์ นักบัญชีที่ทุกวันนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้ค่อนข้างเกินกว่าเหตุแล้ว ถึงขนาดมาเยือนถึงเรือนเพื่อขอเศษซากดวงวิญญาณจากการ ‘เก็บของดี’ ในปีนั้นที่ถูกตนพันธนาการเอาไว้ และดวงวิญญาณที่ถูกเขากักขังไว้ในธงเรียกวิญญาณและในบ่อน้ำบ่อนั้นก็คือหนึ่งในมหามรรคาของเขา ภูตผีหลายสิบตนในบรรดานั้น ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นถึงห้าขอบเขตกลาง และยังถูกเขานำมาหลอมเป็นขุนพลผี ตอนนี้ต่างคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเองแล้ว จะขาดใครไม่ได้สักตนเดียว

ต่อให้คนหนุ่มบอกว่ายินดีใช้เงินเทพเซียนซื้อพวกมัน แต่นี่ใช่เรื่องของเงินงั้นหรือ?

เจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้ช่างไม่เข้าใจกฎเกณฑ์บนมรรคาบ้างเลย หรือว่าคิดจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นมาตั้งแรกเริ่มอยู่แล้ว? เจ้ามีปัญญาตบบ้องหูมารน้อยกู้ตั้งสองทีไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองไปถามกู้ช่านดูอีกครั้งสิว่าต้องใช้เงินเทพเซียนมากน้อยแค่ไหนถึงจะสามารถซื้อชีวิตของสตรีแต่งงานแล้วในจวนชุนถิงผู้นั้นได้? ดูสิว่ากู้ช่านจะยอมตอบเจ้าหรือไม่!

ต่อให้ยิ่งขบคิดจะยิ่งมีโทสะ แต่ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็ยังไม่กล้าฉีกหน้ากับเฉินผิงอัน หากนักบัญชีที่ลึกลับตรงหน้าผู้นี้แทงตนให้ตายด้วยกระบี่เดียวก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก สกัดคงคาเจินจวินหรือจะยินดีทวงความยุติธรรมจากลูกศิษย์คนเล็กกู้ช่านและ ‘เซียนกระบี่’ หนุ่มตรงหน้าผู้นี้เพื่อผู้ถวายงานระดับสองที่ไร้ชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง? แต่ผู้ฝึกตนผีก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง จึงตอบกลับไปว่า เขาเป็นผู้ฝึกตนผีที่กักดวงจิตพันธนาการวิญญาณก็จริง แต่คนที่มีผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์มากที่สุดกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นอวี๋กุ้ยที่แต่งตั้งตัวเองเป็นราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบซึ่งอยู่บนเกาะตะขอจันทร์อันเป็นหนึ่งในเกาะใต้อาณัติ ในฐานะแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การปกครองของอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ เขาไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายทรยศเกาะตะขอจันทร์ก่อน หลังจากนั้นยังติดตามสองอาจารย์และศิษย์อย่างสกัดคงคาเจินจวินกับกู้ช่าน ทุกครั้งที่สงครามปิดฉากลง เขาจะรับหน้าที่เป็นคนเก็บกวาดสถานที่ ตอนนี้เกาะเหมยเซียนที่หูเถียนจวินเป็นผู้ยึดครอง รวมไปถึงเกาะใหญ่อีกหลายแห่งซึ่งมีเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้น ดวงวิญญาณของคนที่ตายไปในการต่อสู้ เจ็ดแปดในสิบส่วนล้วนถูกเขากับผู้ฝึกตนเซียนดินสำนักหยินหยางอีกคนหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์เกาะกาหยกแบ่งสรรปันส่วนกันจนหมดสิ้นแล้ว เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปแตะต้อง ได้แต่อาศัยการทุ่มเงินซื้อภูตผีบางส่วนที่ปราณหยินเข้มข้น ปราณกระดูกแข็งแรงมาจากพวกผู้ถวายงานอันดับต้นสองคนนี้ของเกาะชิงเสียเท่านั้น

บนโลกนี้ไม่มีการค้าใดที่นั่งลงพูดคุยกันไม่ได้ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องดูว่าเงินที่ควักมากพอหรือไม่ มีความจริงใจเพียงพอหรือไม่ ใจเด็ดพอที่จะทุ่มเงินหรือไม่

สุดท้ายผู้ฝึกตนผีเอ่ยว่า ในเมื่อท่านเฉินให้ราคาโดยอิงตามขอบเขตสูงต่ำตอนที่วัตถุหยินและดวงวิญญาณเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่ายุติธรรมมากพอ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญบนมหามรรคาในการฝึกตนของตน ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเห็นแก่หน้ากันหรือไม่ เว้นเสียจากว่าท่านเฉินสามารถทำเรื่องหนึ่งได้สำเร็จ เขาถึงจะยินดีรับปาก หลังจากนั้นเขาจะค่อยๆ คัดเลือกวัตถุหยินและภูตผีที่อยู่ในธงเรียกวิญญาณและในบ่อลมหยินออกมาให้ และนั่นจึงจะถือว่าได้เริ่มทำการค้ากันอย่างจริงจังแล้ว

เมื่อเฉินผิงอันฟังเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการให้ทำก็พยักหน้าตอบรับ

ออกมาจากจวน ตอนที่เดินผ่านประตูเรือน เฉินผิงอันบอกลา ‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูที่มีนามว่าหงซูผู้นั้นหนึ่งคำ

เฉินผิงอันกลับไปที่ประตูภูเขาเกาะชิงเสีย ไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ไปที่ท่าเรือ พายเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะจูไช

ได้พบกับหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะ สตรีงดงามที่มีเรือนกายสูงใหญ่อวบอิ่มผู้นั้นอีกครั้ง

ที่แท้ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็มาจากแคว้นเดียวกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ เพียงแต่ว่าสถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คนหนึ่งคือป้าแท้ๆ ของฮ่องเต้น้อยองค์สุดท้าย คือสตรีที่มีอำนาจปกครองราชสำนัก ขาดก็แค่ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นแค่คนแบกอาหารในบรรดานักการของวังหลวง ส่วนเรื่องที่ว่าปีนั้นทั้งสองฝ่ายไปรู้จักกันได้อย่างไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เฉินผิงอันไม่ได้ถามอย่างละเอียด ถึงอย่างไรการที่ผู้ฝึกตนผีสวามิภักดิ์ต่อหลิวจื้อเม่า เลือกเกาะชิงเสียเป็นสถานที่ก่อตั้งจวนของตัวเองก็เพื่อให้ได้ใกล้ชิดหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชผู้นี้

เดิมทีวันนี้หลิวจ้งรุ่นที่เถียนหูจวินเอ่ยชมว่า ‘มีมาดองอาจดุจชายชาตรี’ คิดจะทำความดีชดใช้ความผิด เนื่องจากคราวก่อนไม่รู้ว่าตบะของนักบัญชีตรงหน้าลึกล้ำหรือตื้นเขิน ด้วยความระมัดระวังรอบคอบจึงเลือกจะปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันขึ้นมาบนเกาะ ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อข่าวลือเรื่องการเข่นฆ่าที่เกาะอวิ๋นอวี่และนครอวิ๋นโหลวแพร่ออกมา หลิวจ้งรุ่นก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลัง ด้วยตบะที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดาของคนผู้นี้ เกรงว่าต่อให้ใช้กำลังของตัวเขาเองคนเดียว คิดจะทำให้คนบนเกาะจูไชบาดเจ็บล้มตายกันไปเกินครึ่งก็ยังไม่ยาก ดังนั้นนางจึงรีบให้คนไปส่งเทียบเชิญที่เกาะชิงเสีย เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ท่านเฉินมาเป็นแขกที่หอไข่มุกของเกาะจูไช ถือเป็นการล้อมคอกหลังวัวหาย หลีกเลี่ยงไม่ให้นางหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชกลายมาเป็นหนามตำใจของนักบัญชีท่านนั้น

เพียงแต่เมื่อหลิวจ้งรุ่นได้ยินว่าผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าบนเกาะชิงเสียต้องการพบหน้านางสักครั้ง นางก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ทิ้งเฉินผิงอันให้ยืนอยู่ตรงนั้น ตัวเองหมุนตัวกลับเดินขึ้นเขา พูดเสียงเย็นว่า “หากท่านเฉินอยากจะมาเที่ยวชมเกาะจูไช ข้าหลิวจ้งรุ่นย่อมต้องพาเที่ยวอย่างแน่นอน แต่หากจะมาทำหน้าที่เป็นคนช่วยพูดแทนเจ้าคนชั่วช้าที่ยังไม่เลิกคิดชั่วผู้นั้น ท่านเฉินมาทางไหนก็ขอเชิญกลับไปทางนั้นเถิด”

เฉินผิงอันจึงได้แต่พายเรือจากมา ไปหาอวี๋กุ้ยที่เรียกตัวเองว่าราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบ เขาคือผู้ฝึกตนผีใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ตบะโอสถทอง ไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าซึ่งเป็นเพียงขอบเขตประตูมังกรจะเทียบเคียงได้

ตอนนี้เขายึดครองทั้งเกาะตะขอจันทร์ สถานะเท่าเทียมกับเถียนหูจวิน ต่างก็เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาภายใต้การปกครองของหลิวจื้อเม่า เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังและค่อยๆ เงียบหายไปตามกาลเวลาแล้ว อวี๋กุ้ยนั้นต้องเรียกว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนไกล ยิ่งนานวันก็ยิ่งเลื่องลือไปทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะตะขอจันทร์คือเกาะใหญ่ที่มีศักยภาพไม่ธรรมดา เจ้าเกาะที่เป็นโอสถทองเฒ่าก็ยิ่งเป็นพวกกระดูกแข็งที่ขึ้นชื่อว่าแทะได้ยาก แต่สุดท้ายกลับถูกอวี๋กุ้ยทรยศหักหลัง ทำลายค่ายกลภูเขาแม่น้ำของเกาะตะขอจันทร์ ทำให้หลิวจื้อเม่า กู้ช่านและหนีชิวน้อยฉวยโอกาสบุกเข้ามาได้ เปิดฉากเข่นฆ่าจนผู้ฝึกตนพันว่าคนบนเกาะตะขอจันทร์รับมือไม่ทัน คนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก อวี๋กุ้ยที่พรสวรรค์เลิศล้ำกลับกลายเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียว เก็บรวบรวมดวงวิญญาณของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมาเป็นจำนวนมาก แล้วใช้เวทลับเฉพาะค่อยๆ หล่อหลอมไปทีละดวง เล่าลือกันว่ามีความเป็นไปได้มากที่เขาจะกลายเป็นก่อกำเนิดที่เลื่อนขั้นใหม่คนถัดไปของทะเลสาบซูเจี่ยน อีกทั้งยังครอบครองภรรยาและบุตรสาวของอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีชีวิตอย่างสุขสบายประดุจเทพเซียน แม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังเคยสัพยอกในงานเลี้ยงฉลองของเกาะชิงเสียว่า อวี๋กุ้ยต่างหากถึงจะเป็นคนที่รู้จักเสวยสุขที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยน

กู้ช่านก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้คนผู้นี้ในงานเลี้ยงฉลอง นี่ทำให้อวี๋กุ้ยมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นดื่มคารวะกู้ช่านกลับถึงสามจอกใหญ่

ต้องรู้ว่ามารน้อยกู้ช่านที่ฝีมือร้ายกาจไร้ผู้ใดทัดเทียมแทบไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ผู้ถวายงานคนใดได้เห็น

ตอนที่เรือจอดเทียบท่า เฉินผิงอันก็คีบยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมา เรียกหุ่นเชิดองค์เทพสองตนที่ฟูมฟักสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งอยู่กลางหัวใจของยันต์ออกมา

แล้วก็เดินขึ้นเขาทั้งอย่างนี้

การกระทำของเขา สมกับเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างมาก

ไม่ใช่นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นมิตรผู้นั้นอีกต่อไป

ทำเอาอวี๋กุ้ยที่เดิมทียังคิดจะวางท่าตกใจจนต้องรีบออกมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ด้วยตัวเอง

พอรู้ว่าท่านเฉินที่ทำท่าทางคล้ายจะเปิดศึกสังหารครั้งใหญ่บนเกาะตะขอจันทร์ผู้นี้แค่มาที่นี่เพื่อซื้อวัตถุหยินดวงวิญญาณที่ไม่มีความสำคัญเหล่านั้น อวี๋กุ้ยก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมพูดถึงความยากลำบากมากล้นของตนกับนักบัญชีอ้อมๆ ยกตัวอย่างเช่นตนมีความแค้นอันลึกล้ำกับอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นั้นอย่างไร แล้วตนได้รับความอัปยศดูหมิ่นอย่างไรกว่าจะได้กลับมาครองรักกับอนุภรรยาคนหนึ่งที่ถูกเจ้าเฒ่าบ้ากามผู้นั้นรังแก

เฉินผิงอันรับฟังความทุกข์ที่ราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบท่านนี้ระบายออกมาเงียบๆ รอจนกระทั่งแม้แต่ตัวอวี๋กุ้ยเองก็รู้สึกว่าไม่มีคำพูดอะไรให้เอามาพูดอีกแล้ว เฉินผิงอันถึงได้เริ่มทำการค้าวิญญาณหยินกับอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าอวี๋กุ้ยรู้สึกว่าตัวเองมีกิจการใหญ่โต หรือมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและใจกว้างมากกว่าหรือไม่ เขาถึงได้พูดง่ายกว่าผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าแห่งเกาะชิงเสียอยู่มาก แทบจะยกวิญญาณและวัตถุหยินจำนวนมากที่สามจิตเจ็ดวิญญาณแทบไม่เหลืออยู่แล้วให้กับนักบัญชีท่านนั้นไปเปล่าๆ วัตถุหยินประเภทนี้ หากไม่เป็นเพราะอวี๋กุ้ยไม่ใช่ผู้ฝึกตนน้อยน่าสงสารที่ต้องไปตามหาภูตผีชั้นต่ำตามสุสานในชนบทและสุสานไร้ญาติเพื่อนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่นานแล้ว ป่านนี้ก็คงถูกเขาหลอมจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ถึงอย่างไรขุนพลผีและราชาผีที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าก็ยังจำเป็นต้องกินดวงวิญญาณกระจัดกระจายเหล่านี้เป็นอาหาร

เฉินผิงอันถามถึงยันต์บางส่วนที่ช่วยบำรุงความอบอุ่นให้กับดวงวิญญาณเหล่านี้มาจากอวี๋กุ้ยเพิ่มเติม

อวี๋กุ้ยคอยระวังและป้องกันหุ่นเชิดสองตนที่ยืนอยู่ด้านหลังคนหนุ่มผู้นี้อยู่ตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าหากพูดจาไม่เข้าหูกัน พวกมันจะเปิดฉากสังหารโหด ได้ยินคำถามที่ไม่เจ็บไม่คันพวกนี้ เขาก็ย่อมตอบทุกเรื่องที่รู้อย่างไม่มีกั๊กไว้

นอกนครอวิ๋นโหลว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดที่มีผู้ฝึกตนสิบกว่าช่วยคุมขบวนอยู่ด้านข้างยังถูกเจ้าสองตัวนี้ฆ่าตายคาที่ สำหรับเรื่องนี้ เชื่อว่าผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งแม้แต่เขาอวี๋กุ้ยเองก็ยังเริ่มมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการขบคิดแผนการรับมือ ไม่แน่ว่าทางเกาะกงหลิ่วที่มีเจ้าเกาะหลายคนไปรวมตัวกันอยู่ก็อาจจะยังต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายสถานการณ์ครั้งนี้

ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนของทะเลสาบซูเจี่ยนได้ยึดกฎข้อหนึ่งไว้เป็นบรรทัดฐานมาตลอดเวลา นั่นก็คือไม่มีสมบัติอาคมใดที่ไร้ศัตรูอย่างแท้จริง วันนี้มี เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มี อย่างมากสุดก็วันมะรืน จะต้องหาวิธีแก้ไขคลี่คลายได้แน่นอน

เฉินผิงอันไม่ได้ให้อวี๋กุ้ยไปส่ง เมื่อไปถึงท่าเรือเขาก็เก็บยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีซึ่งรัศมีจิตแห่งยันต์เริ่มหม่นแสงลงทุกทีแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ ครั้นจึงพายเรือจากไป

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบซูเจี่ยน ทัศนียภาพงดงาม เกาะนับพันเกาะที่กระจายตัวกันอยู่ในมุมต่างๆ ล้วนมีภาพความงามที่แตกต่างกันออกไป

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนกลับไปเกาะชิงเสีย

แล้วเขาก็หยุดเรืออยู่บนทะเลสาบ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า

เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยก็กวาดตามองทัศนียภาพของทะเลสาบที่อยู่รอบด้าน

ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเคยกล่าวไว้ว่า นิสัยและคุณสมบัติของวิญญูชนไม่ต่างจากคนทั่วไป ก็แค่วิญญูชนเก่งในการยืมใช้วัตถุนอกกายเท่านั้น

ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เขียนจดหมายสามฉบับ ส่งกระบี่บินไปยังสามทิศทาง

ไม่เสียดายที่ต้องเผาผลาญรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของจิตแห่งยันต์ เอายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีมาใช้อย่างเด็ดเดี่ยว และยังมีการบังคับให้วัตถุกึ่งเซียนเล่มนั้นออกจากฝัก

ตอนนี้เฉินผิงอันก็รู้แล้วว่าที่แท้หลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ก็มีธรณีประตูเหมือนกัน สูงเกินไป ไม่เต็มใจจะเดินเข้าไป ต่ำเกินไปก็มักจะไม่เห็นความสำคัญ ไม่สูงไม่ต่ำ เดี๋ยวทิ้งเดี๋ยวเก็บ ไม่เคยเอามาเป็นหลักการเหตุผลที่แท้จริง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงต้องไล่ตามเส้นทางระดับล่างสุดของส่วนลึกในหัวใจ ร่องดินที่ตัดสลับอยู่ในผืนนาหัวใจซึ่งคนคนหนึ่งใช้มองและปฏิบัติตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่นมารดาของกู้ช่าน นางไม่เคยเชื่อว่าทำชั่วได้ชั่ว แต่เฉินผิงอันเชื่อมาโดยตลอด นี่ก็คือความต่างทางรากฐานจิตใจของคนทั้งสอง ถึงได้ชักนำให้เกิดความต่างที่มากขึ้นในด้านการคิดคำนึงถึงผลได้และผลเสียของคนทั้งสอง คนหนึ่งให้ความสำคัญกับวัตถุที่จับต้องได้จริง ส่วนเฉินผิงอันนั้นยินดีที่จะคิดถึงผลได้ผลเสียนอกเหนือจากวัตถุที่จับต้องได้จริงไปอีก นี่ไม่เกี่ยวเลยว่าหลังออกจากบ้านเกิดแล้วพบเจออะไรมา หรือได้รู้หลักการเหตุผลในตำรามากน้อยเท่าไหร่

หากสืบสาวให้ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม นั่นก็จะเกี่ยวพันไปถึงทัศนคติที่เรียบง่ายที่สุดที่คนคนหนึ่งมีต่อโลกใบนี้ เกี่ยวพันกับหนึ่งนั้นที่ราชครูชุยฉานพูดถึง

อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็คิดมาถึงขั้นนี้แล้ว เพียงแต่เขาเลือกที่จะหยุดนิ่งไม่เดินหน้าต่อ และหันหลังเดินย้อนกลับไป

คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

การรับรู้พื้นฐานทั้งหมดที่จะตัดสินนิสัยและการกระทำของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะแคบหรือกว้าง เล็กหรือใหญ่ ผิดหรือถูก หนาหรือบาง สุดท้ายแล้วก็ไปรวมอยู่ที่คำว่าปฏิบัติ แข่งกันที่ความสามารถของแต่ละฝ่าย

ทุกวันนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องไม่ฝึกหมัด แล้วก็วางการฝึกกระบี่ลงด้วย แม้แต่อนาคตสำคัญที่มีสัญญาสิบปีและหกสิบปีก็ยังต้องไม่ไปคิดถึงพวกมันให้มากความ นี่จึงทำให้เขามีเวลาว่างมากพอที่จะทำให้จิตใจสงบเพื่อใช้ครุ่นคิดและหันกลับมามองทะเลสาบซูเจี่ยนใหม่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับตอนนั้นที่ยืนอยู่บนราวระเบียงของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงแล้ว สิ่งที่เขาคิดมีมากกว่าเดิม และสิ่งที่เขามองก็ยาวไกลยิ่งกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันมั่นใจเลยว่าทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือสถานที่ที่สำนักการทหารต้องช่วงชิงมาให้จงได้ ก่อนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะลงใต้ นี่คือสถานที่เหนือกฎหมายที่เหล่าผู้ฝึกตนอิสระพากันมาหลบภัย คือสถานที่อันเป็นดั่งซี่โครงไก่ที่จะกินก็ยุ่งยาก แต่หากไม่กินก็เกะกะในสายตาของราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้สมดุลถูกทำลายลงแล้ว แน่นอนว่าต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน

เฉินผิงอันเองก็กำลังรออยู่เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลใกล้มดอย่างราชวงศ์จูอิ๋งที่จะได้ยึดครองทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ไกลถึงตอนเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปที่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะเป็นคนกลางอย่างสำนักศึกษากวานหูที่ไม่อยากเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นใหญ่เพียงลำพัง ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมต้องเกิดความสมดุลอันละเอียดอ่อนอย่างใหม่

แล้วก็ย่อมมีลางว่ากฎหมายของแคว้นหนึ่งใหญ่พอที่จะกลบทับขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่หนึ่ง

ทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่วยังคงทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงทุกวัน

นี่เป็นภาพที่เห็นได้น้อยครั้งในทะเลสาบซูเจี่ยน ในอดีตไหนเลยจะต้องมาลับฝีปากกันเช่นนี้ ป่านนี้คงทุ่มสมบัติอาคมให้เห็นดีกันไปนานแล้ว

ในเมื่อเป็นงานประชุมเจ้าเกาะ กฎเกณฑ์ภายนอกจึงยังต้องรักษาเอาไว้ กู้ช่านและสหายอย่างพวกลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน ฯลฯ ต่างก็ไม่ได้ไปปรากฏตัวอยู่ที่โถงซานฟู่แห่งนั้น แม้ว่าเวลาพบเห็นพวกเขา เจ้าเกาะส่วนใหญ่ล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มส่งให้ บางทีเรียกขานตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้าลูกกระต่ายสามคนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าน่าอายก็ตาม ช่วงเวลานี้บนเกาะกงหลิ่วมีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนสนิทหรือคนที่เจ้าเกาะแต่ละแห่งเชื่อใจ หลังจากที่ผู้ฝึกตนหญิงซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนคนก่อนตายไปอย่างเฉียบพลันระหว่างที่เดินทางออกไปข้างนอก เกาะกงหลิ่วที่เดิมทีมีนางเป็นผู้ดูแลจึงไร้ผู้คนมาจัดการความเรียบร้อยสองร้อยกว่าปีแล้ว มีเพียงผู้ฝึกตนอิสระอายุมากบางส่วนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่จะส่งคนมาจัดการเก็บกวาดเกาะกงหลิ่วเป็นบางครั้ง ไม่อย่างนั้นป่านนี้เกาะกงหลิ่วก็คงกลายเป็นสถานที่รกร้างเก่าโทรมที่มีหญ้าขึ้นท่วมหัว เป็นที่อยู่ของกระต่ายและหมาป่าไปนานแล้ว

อดีตเจ้าเกาะกงหลิ่วคนเก่าก็คือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวเหล่าเฉิง

คนผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากสถานที่เล็กๆ เก่าโทรมทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่มีชื่อว่าตรอกหางผึ้ง สร้างโอสถได้บนสะพานไม้เส้นหนึ่งที่แขวนเชื่อมโยงระหว่างภูเขาสองลูกของตระกูลเซียนเล็กๆ สองแห่ง ชื่อเสียงจึงเลื่องระบือไปทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน

ตอนนั้นหลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เดิมทีควรต้องมีการจัดงานพิธีบนภูเขาตามกฎที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อกำหนดไว้ เขาสามารถสร้างพรรคก่อตั้งสำนักขึ้นเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าหลิวเหล่าเฉิงกลับผลักผู้ฝึกตนหญิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนคนหนึ่งที่สนิทสนมกับเขาขึ้นนั่งบนบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพ ส่วนตัวเองก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน พเนจรร่อนเร่ไปสี่ทิศ ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีก นี่ถึงทำให้ทะเลสาบซูเจี่ยนที่กว่าจะความหวังว่าจะได้รวมเป็นปึกแผ่นต้องมาเจอกับสถานการณ์วุ่นวายจากการที่เหล่าผู้กล้าพยายามแบ่งแยกดินแดนกันอีกครั้ง นี่ถึงทำให้หลิวจื้อเม่าและเกาะชิงเสียลุกผงาดอย่างว่องไว ลูกกระต่ายน้อยต่างแดนที่ไร้ขื่อไร้แปอย่างกู้ช่านถึงมาสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้

เข้าสู่ช่วงหน้าหนาว เฉินผิงอันเริ่มไปมาหาสู่ระหว่างเรือนผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าเกาะชิงเสีย หอไข่มุกเกาะจูไช อวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์และผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางผู้นั้นบ่อยขึ้น

และในขณะที่แม้แต่เฉินผิงอันก็คิดว่าการทะเลาะกันของเกาะกงหลิ่วควรจะได้เวลารู้ผลลัพธ์แล้วนั้นเอง ภูเขาพุดตานของทะเลสาบซูเจี่ยนก็เกิดอุบัติภัยสะท้านฟ้าครั้งใหญ่

เดิมทีตบะของเจ้าเกาะภูเขาพุดตานก็ไม่สูงอยู่แล้ว และแต่ไหนแต่ไรมาภูเขาพุดตานก็เป็นแค่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่พึ่งพาเกาะเทียนหมู่ ส่วนเกาะเทียนหมู่ก็เป็นหนึ่งในเกาะใหญ่ที่คัดค้านไม่ให้หลิวจื้อเม่ากลายเป็นเจ้าแห่งยุทธภพ

ภูเขาพุดตานที่มีผลิตผลเป็นหินฝูหรงซึ่งนำมาทำเป็นตราประทับได้ดีเยี่ยมที่สุดจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ตั้งอยู่ริมขอบของทะเลสาบซูเจี่ยน อยู่ติดกับนครลวี่ถงหนึ่งในสี่นครใหญ่ที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดไฟไหม้ลุกโชนขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง ชักนำให้เกิดศึกรุนแรงดุเดือดที่ไม่เป็นรองการต่อสู้ของก่อกำเนิดสองคน ผู้ฝึกตนของภูเขาพุดตานและผู้ฝึกตนไม่ทราบชื่อสิบกว่าคนที่แอบแฝงตัวเข้าไปในเกาะลงมืออย่างรุนแรง ประกายแสงเรืองรองสาดสะท้อนไปเกินครึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน คนหนึ่งในนั้นใช้โคมไฟขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปานประหนึ่งตำหนักเซียนบนสรวงสวรรค์มาแขวนห้อยไว้กลางม่านราตรีเหนือทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด ราวกับจะส่องแสงประชันกับดวงจันทราอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้ายก็ยิ่งมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยจั้งเผยกายพร้อมเสียงกู่ร้องคำราม ขดกายโอบล้อมอยู่บนยอดเขาพุดตาน แผ่นดินสะเทือนไหว น้ำในทะเลสาบเกิดคลื่นโถมตัว ทำเอาผู้ฝึกตนใหญ่บนเกาะกงหลิ่วที่เดิมทีคิดจะมุ่งหน้าไปสืบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นพากันล้มเลิกความคิด สายตาที่ทุกคนมองมายังหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแฝงไว้ด้วยเลศนัย รวมไปถึงความกริ่งเกรงหวาดกลัวที่มากกว่าเดิม

เจ้าเกาะภูเขาพุดตานเศร้าเสียใจประหนึ่งสูญเสียบิดา

เจ้าเกาะเทียนหมู่ก็ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น ตวาดด่าหลิวจื้อเม่าว่าทำลายกฎของการประชุม ถึงขั้นลงมือกับภูเขาพุดตานอย่างอำมหิตโดยพลการ!

หลิวจื้อเม่าตอบโต้กลับไปสองสามคำ บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ถึงจะได้ทำให้ฝูงชนแค้นเคืองในเวลานี้ แล้วจะต้องไปลอบโจมตีภูเขาพุดตานที่ถือว่าเป็น ‘แดนบิน’ (หมายถึงอาณาเขตเป็นของมณฑลหนึ่ง แต่อำนาจการบริหารกลับขึ้นอยู่กับอีกมณฑลหนึ่ง) ของเกาะชิงเสียไปทำไม?

เกาะเทียนหมู่ด่าหลิวจื้อเม่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี หลิวจื้อเม่าไม่พูดไม่จาก็เปิดฉากต่อสู้กับเจ้าเกาะเทียนหมู่ที่แม้จะไม่มีตบะเป็นก่อกำเนิด แต่กลับมีสมบัติอาคมที่หาได้ยากยิ่งชิ้นหนึ่ง

คืนนั้นกู้ช่านกับหนีชิวน้อยยืนเคียงบ่ากัน ทอดสายตามองไปยังมังกรเพลิงบนยอดเขาพุดตานที่พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวตัวนั้น

กู้ช่านถามด้วยรอยยิ้ม “เผ่าพันธุ์เดียวกัน?”

หนีชิวน้อยเช็ดปาก “หากได้กินมัน ไม่แน่ว่าอาจได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนโดยตรงเลย แล้วก็ไม่ต้องร้องหิวกับนายท่านอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี”

กู้ช่านถามด้วยสายตาฉายประกายร้อนแรง “มีโอกาสชนะมากไหม?”

หนีชิวน้อยจ้องแสงเพลิงที่พร่างพราวบนยอดเขาพุดตานเขม็ง น้ำลายมันไหลย้อยออกมา จำต้องยกมืออุดปาก หัวเราะคิกคักตอบว่า “หากแค่ต่อสู้กับมัน ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดยื่นมือเข้าแทรก ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ก็หกต่อสี่ ข้ามีโอกาสชนะมากกว่าเล็กน้อย”

กู้ช่านคิดแล้วก็กล่าวว่า “เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น ครั้งนี้พวกเราต้องเชื่อฟังเฉินผิงอัน ไม่ต้องรีบร้อน คนกลุ่มนั้นกล้าลงมือในเวลานี้ ต้องไม่ได้คิดจะพาตัวมาตายเปล่าๆ แน่นอน”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะดำลงไปที่ก้นทะเลสาบ ไปแอบมองอยู่ใกล้ๆ ภูเขาพุดตานสักครั้ง?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ทางที่ดีที่สุดไม่ควรทำเช่นนั้น ระวังว่าจะพาตัวไปติดกับ รอให้ข่าวของทางฝั่งนั้นส่งไปถึงเกาะชิงเสียก่อน ข้าย่อมปรึกษาหารือกับหลิวจื้อเม่าเพื่อคิดหาแผนการที่รอบคอบรัดกุมแทน”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างน้อยใจ “จิ้งจอกเฒ่าอย่างหลิวจื้อเม่าอาจไม่ยินดีเห็นข้าฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง”

กู้ช่านหรี่ตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “แล้วถ้าหลิวเหล่าเฉิงของเกาะกงหลิ่วปรากฏตัวล่ะ? เจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าจะยังนั่งติดอีกไหม?”

หนีชิวน้อยเอียงศีรษะ “ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบคนนั้นแอบกลับมาแล้วหรือ?”

กู้ช่านกระตุกมุมปาก “ขอแค่หลังจากจบเรื่องแล้วแน่ใจว่ามีโอกาสที่จะทำให้เจ้าอิ่มท้องหนึ่งมื้อ เมื่อกินมื้อนี้แล้วจะไม่ต้องหิวไปอีกร้อยปีได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นต่อให้หลิวเหล่าเฉิงไม่มาเกาะกงหลิ่ว ข้าก็จะต้องทำให้ ‘หลิวเหล่าเฉิง’ ปรากฎตัวที่นครแห่งใดแห่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนให้จงได้ เถียนหูจวิน ลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน อวี๋กุ้ย ฯลฯ คนเหล่านี้ล้วนเอามาใช้งานได้ หากคิดจะทำก็ต้องทำการค้าที่ได้กำไรก้อนใหญ่!”

บนยอดเขาพุดตาน

ท่ามกลางม่านราตรี สตรีสวมชุดเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งสะบัดข้อมือ มังกรเพลิงตัวนั้นก็กลายมาเป็นกำไลข้อมือที่ขดล้อมอยู่รอบข้อมือขาวนวลเนียนของนาง

ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มจืดเจื่อน นับตั้งแต่ที่พวกเขาฝ่าค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำจนขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้ ต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก ปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนรบตายไปคนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ลงมือครั้งเดียว ทุกอย่างก็ยุติลงแล้ว

สตรีชุดเขียวหันหน้าไปทางอื่น หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา เริ่มกัดกินขนมชิ้นหนึ่งคำเล็กๆ

ช่วยไม่ได้ อาจารย์ผู้เฒ่าซ่งถึงขนาดต้องใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างโคมไฟดวงนั้นแล้ว แต่ก็ยังเกือบจะทำให้ผู้ฝึกตนโอสถทองที่เชี่ยวชาญด้านการแยกดวงวิญญาณหนีไปได้

ต้องคอยตามก้นของอาจารย์และศิษย์กลุ่มนี้ต้อยๆ ทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก

เพียงแต่ว่าการเดินทางลงใต้ครั้งนี้เหน็ดเหนื่อยกันอย่างยิ่ง นางจึงรู้สึกไม่ดีหากจะให้พูดว่าอันที่จริงตนก็แค่เบื่อมากๆๆ เท่านั้น

เวลานี้เบื้องหน้านางยังมีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด อาภรณ์ขาดวิ่นอยู่คนหนึ่ง เขากำลังจ้องมองนางด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น

นางกินขนมเสร็จแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอีกนิด จึงมองสบตาเขา ถามว่า “อยากตายรึ?”

เด็กหนุ่มสูงใหญ่ถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ นึกถึงอาจารย์ที่ต้องตายอย่างน่าอนาถเพราะถูกมังกรเพลิงตัวนั้นกลืนลงท้อง ความเคียดแค้นในใจของเด็กหนุ่มก็ท่วมเทียมฟ้า สายตาของเขาเด็ดเดี่ยวหนักแน่นอย่างน่าประทับใจ เห็นเพียงว่าเขากำมือสองข้างเป็นหมัด เอ่ยเย้ยหยันว่า “ไล่ตามพวกเรามาไกลขนาดนี้ ผู้ฝึกตนหน้าสุนัขของต้าหลีอย่างพวกเจ้ามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่? ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะให้ข้ากลับต้าหลีเพื่ออุทิศตนให้แก่พวกเจ้า เพิ่มโชคชะตาบู๊ให้แก่สกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

นางมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าฉลาดมาก อันที่จริงเจ้าไม่อยากตายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้ารู้ดีว่าหน่วยจานกานของต้าหลีย่อมไม่มีทางสังหารเจ้า อีกทั้งเจ้ายังอยากได้ป้ายหยกตระกูลเซียนและสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งมาจากมือของอาจารย์เจ้า เจ้าถึงได้คอยติดตามอาจารย์เจ้ามาตลอด แต่ข้าก็มองออกว่า เจ้ายังพอจะมีความจริงใจต่ออาจารย์ของเจ้าบ้าง ตอนนี้จึงอยากจะแก้แค้นให้เขาอย่างมาก คิดว่าหากวันใดเล่าเรียนวิชาเซียนที่อยู่ในป้ายหยกได้สำเร็จ หรือหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นได้แล้ว เจ้าจะย้อนกลับไปที่ต้าหลี อืม แถมยังคิดที่จะ…จับตัวข้ามา ไม่ได้แล่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แต่จะจับข้ามาทำเป็นหุ่นเชิดของเล่นที่มีสติปัญญา…เจ้ารอเดี๋ยว”

นางหันหน้าไปกินขนมชิ้นเล็กๆ อีกหนึ่งชิ้น มองขนมดอกท้อไม่กี่ชิ้นที่เหลืออยู่บนผ้าเช็ดหน้า อารมณ์ของนางก็เริ่มย่ำแย่ แล้วจึงหันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังตื่นตะลึงผู้นั้นอีกครั้ง “เจ้าลองคิดดูอีกหน่อย ข้าอยากมองดูอีกนิด ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”

ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เผยความลนลานหวาดกลัวออกมาให้เห็นเสี้ยวหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองอาจารย์ซ่ง หลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการต้าหลีที่เขามองออกว่ามีฐานะสูงที่สุดแล้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “นางบอกว่าจะฆ่าข้า เจ้าคิดว่าทำได้ไหม?”

นางกะพริบตาปริบๆ “ข้าจะฆ่าเจ้า ต่อให้พวกเขาทุกคนร่วมมือกันก็ยังห้ามไม่อยู่”

อาจารย์ซ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ก่อนจะเดินทางลงใต้มาในครั้งนี้ ผู้เฒ่าพอจะรู้เรื่องวงในที่ลับที่สุดบางอย่างมาคร่าวๆ ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดราชสำนักต้าหลีถึงได้เคารพเลื่อมใสอริยะหร่วนฉงถึงเพียงนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบเอ็ดคือบุคคลที่เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลนในแจกันสมบัติทวีปก็จริง ทว่าต้าหลีไม่ใช่ราชวงศ์ใดในโลกมนุษย์ของแจกันสมบัติทวีป เหตุใดแม้แต่ตัวใต้เท้าราชครูเองก็ยังยินดีคล้อยตามหร่วนฉงไปเสียทุกเรื่อง?

คำตอบก็อยู่ที่ตัวของแม่นางหน้าตางดงามบุคลลิคอ่อนหวานนุ่มนวลตรงหน้าผู้นี้

ราชครูแค่พูดประโยคเดียวกับหลางจงกรมพิธีการผู้นี้ว่า หากหร่วนซิ่วตาย พวกเจ้าทุกคนก็ต้องตายอยู่นอกอาณาเขตของต้าหลี จะไม่มีใครช่วยเก็บศพให้พวกเจ้า หากหร่วนซิ่วต้องการสังหารพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัว ราชสำนักต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่ช่วยหนุนหลังพวกเจ้า ยังจะซักไซ้เอาความผิดไปถึงหัวหน้าของพวกเจ้าด้วย

หร่วนซิ่วสะบัดข้อมือเบาๆ ร่างจริงของมังกรเพลิงที่อยู่ในรูปร่างของกำไลเล็กจิ๋วน่ารักก็ ‘ร่วง’ ลงบนพื้น สุดท้ายจำแลงร่างกลายเป็นองค์เทพสวมหน้ากากทององค์หนึ่งที่เดินเข้าหาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เริ่มอ้อนวอนขอร้อง

ทันใดนั้นทั่วร่างของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ถูกของเหลวสีทองเป็นเส้นๆ รัดพันไปทั่ว ประหนึ่งกลายมาเป็นกรงขัง ทำให้เขาร้องคร่ำครวญไม่หยุด

เทพร่างทองเพียงแค่บิดศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หนึ่งที ครั้นจึงอ้าปากกว้าง เขมือบกลืนทั้งหัวและร่างของเขาลงท้องไปพร้อมกัน

สีหน้าของอาจารย์ซ่งทุกข์ระทม แต่กลับไม่กล้าห้ามปราม

ไล่ตามอย่างยากลำบากมาไกลนับหมื่นลี้ สุดท้ายกลับไม่ต่างจากใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ

หร่วนซิ่วหันหน้าไปมองยังทิศทางของเกาะกงหลิ่ว ครุ่นคิดแล้วก็เปิดผ้าเช็ดหน้า มองขนมที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น ก่อนจะหุบผ้าลงอย่างอาลัยอาวรณ์ คิดว่าคงต้องกินประหยัดๆ สักหน่อย ที่นี่ไม่มีร้านขนมของตรอกฉีหลงอยู่เสียด้วย

แม่นางชุดเขียวที่แต่ไหนแต่ไรมาสายตานิ่งสนิทประดุจบ่อโบราณที่ลึกล้ำ พริบตานั้นดวงตาของนางกลับฉายประกายเจิดจ้าระยิบระยับ เอียงศีรษะ ทำสีหน้าเหลือเชื่อ ย้ายเส้นสายตามองไปยังทิศทางหนึ่งที่ห่างจากเกาะกงหลิ่วไประยะทางหนึ่ง

นางเหมือนได้เห็นบุคคลคุ้นเคยที่มีรสชาติหวานหอมยิ่งกว่าขนม

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้งอย่างว่องไว ยัดขนมใส่ปากคำแล้วคำเล่า และยังสลัดผ้าเช็ดหน้าแรงๆ ก่อนจะเก็บมันใส่ชายแขนเสื้อ สุดท้ายปัดมือ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

สองแก้มของนางพองโป่ง เหตุใดถึงได้เหมือนคนที่พยายามทำลายของที่ขโมยมาเลยเล่า?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version