Skip to content

Sword of Coming 437

บทที่ 437 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง

ในห้องของเรือนที่ตั้งอยู่ตรงประตูภูเขาเกาะชิงเสีย แผนที่ภูมิศาสตร์ของเกาะบนทะเลสาบซูเจี่ยนและนครเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียง ผังรายชื่อศาลบรรพชนของเกาะใหญ่แห่งต่างๆ เอกสารคดีความ สำมะโนครัวที่เก็บไว้ในห้องควันธูป บวกกับสำเนาคัดเลือกอีกเกือบสองแสนตัวอักษรถูกนำมาแยกประเภท ส่วนใหญ่ถูกวางเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะที่คล้ายกับลิ้นชักยาในร้านยาตระกูลหยางและร้านยาฮุยเฉิน ทว่าตำราที่วางในนั้นกลับยังสามารถกองกันได้เป็นภูเขา

ในห้องมีโต๊ะหนังสือหนึ่งตัว ชั้นวางเรียงรายติดผนังเป็นแถบ โต๊ะอาหารหนึ่งตัว นอกจากนี้ก็มีเก้าอี้หนึ่งตัว ม้านั่งยาวสองตัวและม้านั่งเล็กหนึ่งตัว มีของตกแต่งเพียงแค่นี้เท่านั้น

ภายหลังเพราะกู้ช่านมักจะมาหาที่ห้องบ่อยๆ ตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าหน้าหนาว เขาก็ชอบที่จะมานั่งอยู่ตรงหน้าประตูห้องนานๆ หากไม่อาบแดดงีบหลับ ก็จะนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่กับหนีชิวน้อย ตอนที่เฉินผิงอันไปเยือนเกาะไผ่ม่วงจึงขอไผ่ม่วงสามลำมาจากเจ้าของเกาะที่บนร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของตำรา สองลำใหญ่หนึ่งลำเล็ก อย่างแรกนำมาผ่าทำเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กสองตัว อย่างหลังนำมาเผาแล้วเหลาให้เป็นคันเบ็ดตกปลา เพียงแต่ว่าแม้จะทำคันเบ็ดตกปลาแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้ไปตกปลาเสียที

คืนนี้เฉินผิงอันเปิดกล่องอาหารแล้วนั่งกินอาหารมื้อดึกอยู่เงียบๆ

เฉินผิงอันยังคงรอฟังข่าวที่จะตอบกลับมาจากภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป

ต่อให้เว่ยป้อจะให้คำตอบทั้งหมดมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เชื่ออดีตองค์เทพแคว้นเสินสุ่ยที่ลึกลับผู้นี้ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องทำต่อจากนี้ ไม่ว่าจะในด้านของความครบถ้วนหรือในด้านของความจริงก็ล้วนไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ

เพียงแต่กระบี่บินที่ส่งข่าวข้ามทวีป มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นวัวปั้นดินที่ผลุบหายลงไปในมหาสมุทร บวกกับที่ทุกวันนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือเป็นสถานที่ที่ไร้กฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งกระบี่บินส่งข่าวยังออกมาจากเกาะชิงเสียอันเป็นสถานที่ที่ผู้คนหมายหัว เฉินผิงอันจึงเตรียมใจรอรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หากไม่ได้จริงๆ ก็ต้องขอให้เว่ยป้อช่วยเขียนจดหมายให้หนึ่งฉบับ แล้วส่งจากภูเขาพีอวิ๋นไปถึงจงขุยที่อยู่ภูเขาไท่ผิง

หากเป็นเฉินผิงอันเมื่อครั้งที่ออกท่องยุทธภพครั้งแรก ต่อให้มีเส้นสายความสัมพันธ์เช่นนี้ เขาก็คงเอาแต่ใช้วิธีอ้อมค้อมวกวนอยู่กับตัวเอง ไม่มีทางไปรบกวนคนอื่น เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ทว่าตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว

เฉินผิงอันไม่อยากใช้ชีวิตจนกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างที่นักพรตผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าพูดถึง ติดค้างน้ำใจของคนบางส่วนไม่ได้น่ากลัว มียืมก็ต้องมีคืน ในอนาคตเมื่อสหายเจอเรื่องยุ่งยากถึงจะยิ่งเปิดปากได้อย่างสบายใจ ขอแค่ไม่ยืมง่ายคืนยากก็พอแล้ว

เฉินผิงอันกินอาหารมื้อดึกอิ่มก็เก็บกล่องอาหาร เปิดรายงานฉบับหนึ่งที่วางอยู่ข้างมือแล้วเริ่มไล่สายตาอ่าน

ด้านบนเขียนเรื่องราวน่าสนใจที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยนช่วงที่ผ่านมา ลักษณะของมันคล้ายคลึงกับรายงานที่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาส่งรายงานไปให้แก่หน่วยงานราชการกลาง อันที่จริงระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันก็เคยได้เห็นความมหัศจรรย์ของการรายงานข่าวตระกูลเซียนประเภทนี้มาก่อนแล้ว อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนนานวันเข้า เฉินผิงอันก็เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม เขาให้กู้ช่านช่วยขอรายงานตระกูลเซียนมาฉบับหนึ่ง ขอแค่มีข่าวใหม่ๆ ก็จะให้คนมาส่งที่เรือนพักทันที

บนเกาะกงหลิ่วมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นแทบทุกวัน เหตุการณ์เกิดขึ้นวันนี้ วันต่อมาก็อาจจะแพร่ไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว

นี่ต้องยกคุณความชอบให้แก่สถานที่ที่มีชื่อว่าเกาะปุยหลิว ผู้ฝึกตนบนเกาะนั้น ตั้งแต่เจ้าเกาะไปจนถึงลูกศิษย์ฝ่ายนอก หรือแม้กระทั่งนักการภารโรง ล้วนไม่ได้ฝึกตนอยู่บนเกาะ แต่จะชอบไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก ช่องทางทำเงินทั้งหมดล้วนอาศัยสิ่งที่พบเห็นและได้ยินมาจากเหตุการณ์ต่างๆ บวกกับการปั้นน้ำเป็นตัวอีกเล็กน้อย ใช้สิ่งนี้มาขายเป็นข่าวเล็กๆ และยังคอยส่งรายงานตระกูลเซียนไปให้แก่คนครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงตระกูลใหญ่มีฐานะในสี่นครใหญ่รอบทะเลสาบอย่างนครน้ำบ่อ อวิ๋นโหลว ลวี่ถงและจินจุนอยู่เป็นระยะ ช่วงเวลาไม่แน่นอน หากเรื่องราวมีน้อย รายงานก็อาจจะมีขนาดใหญ่เท่าก้อนเต้าหู้ ราคาก็จะต่ำลงไปด้วย ซึ่งราคารับประกันก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเรื่องราวมีมาก รายงานใหญ่ดุจแผนที่ภูมิศาสตร์ก็อาจได้เงินมากถึงหลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

รายงานฉบับนี้หลักๆ แล้วเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดของเกาะกงหลิ่ว แล้วก็แนะนำจุดเด่นของเกาะใหม่บางแห่งที่ได้ลุกผงาด รวมไปถึงเรื่องราวแปลกใหม่ของเกาะเก่าแก่ที่มีความอาวุโส ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ของเกาะสะพานมรกตออกเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ได้นำผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนซึ่งเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับมาด้วย เกิดมาเขาก็มีการขานรับกับยันต์ของลัทธิเต๋า หรือยกตัวอย่างเช่นในบรรดาผู้ฝึกตนหญิงของอารามน้ำตกเกาะล่าเหมย มีเด็กสาวคนหนึ่งที่เดิมทีไร้นามไร้สัญชาติ สองปีมานี้จู่ๆ ก็เติบใหญ่งดงาม เกาะล่าเหมยจึงเปิดเส้นทางการหาเงินด้วยวิธีปรากฎตัวกลางบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำให้แก่นางโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเดือนแรก ผู้ชมเงินถุงเงินถังบนภูเขาที่เข้ามาชมเสน่ห์อันเย้ายวนของเด็กสาวคนนี้จะมีมากมหาศาล เงินเทพเซียนที่พวกเขาทุ่มลงมาก็มากมาย เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณบนเกาะล่าเหมยเพิ่มขึ้นพรวดพราดถึงหนึ่งส่วนกว่า และยังมีเกาะอวิ๋นซิ่วที่ ‘ตระกูลตกอับ’ อยู่อย่างเงียบงันกันมาร้อยปี ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากนักการ ไม่เคยมีใครเห็นดีเห็นงามในตัวเขา กลับได้กลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองคนใหม่ของทะเลสาบซูเจี่ยนตามหลังเถียนหูจวินแห่งเกาะชิงเสีย ดังนั้นสองวันมานี้เกาะกงหลิ่วจึงจำเป็นต้องจัดหาเก้าอี้ไว้ให้กับคนของเกาะอวิ๋นซิ่วที่เดิมทีไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะเข้าร่วมงานประชุม ไม่อย่างนั้นไม่ว่าตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพจะเป็นของใคร แต่หากขาดการลงเสียงของเกาะอวิ๋นซิ่วไป คนที่ได้ครองตำแหน่งย่อมไม่ได้รับตำแหน่งอย่างถูกต้องเหมาะสม

เฉินผิงอันอ่าน ‘เรื่องของคนอื่น’ ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันน่าสนใจเหล่านี้แล้วก็รู้สึกว่าสนุกอย่างมาก อ่านจบไปรอบหนึ่งก็ยังอดไม่ไหวย้อนกลับมาอ่านอีกรอบหนึ่ง

ในรายงานส่วนที่พูดถึงผู้ฝึกตนเด็กสาวเกาะล่าเหมยผู้นั้น ผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวที่เป็นคนเขียนรายงานได้เว้นที่ว่างขนาดเท่าฝ่ามือไว้ให้กับนางโดยเฉพาะเพื่อวาดภาพเหมือนของนางลงไป นี่คล้ายคลึงกับวิธีการคัดลอกลายของเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยว บวกกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันเคยได้ให้จิตรกรของเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาวาดภาพเหมือนให้จึงเข้าใจวิธีการเช่นนี้เป็นอย่างดี ภาพวาดของเด็กสาวมีชีวิตชีวาประหนึ่งตัวจริง เป็นภาพที่นางยืนหันข้างอยู่ใต้ต้นเหมยของอารามน้ำตก เฉินผิงอันมองอยู่สองสามที เห็นว่าเป็นแม่นางที่หน้าตางดงามบุคลิกชวนให้คนประทับใจได้อย่างแท้จริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าได้ใช้วิชาลับ ‘เปลี่ยนหนังลอกกระดูก’ ของตระกูลเซียนมาแปลงโฉมรูปลักษณ์หรือไม่ หากจูเหลี่ยนกับผู้อาวุโสแซ่สวินคนนั้นอยู่ที่นี่น่าจะมองออกในปราดเดียวเลยกระมัง

เฉินผิงอันซื้อรายงานมาค่อนข้างช้า เพิ่งได้อ่านเรื่องราวและบุคคลประหลาดที่เกิดขึ้นบนเกาะต่างๆ รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยนเอาตอนนี้ จึงไม่รู้ว่าก่อนที่จะเกิดโศกนาฎกรรมล้างสำนักที่ภูเขาพุดตาน ข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนักบัญชีเกาะชิงเสียอย่างเขาได้กลายเป็นข่าวที่ทำเงินได้ก้อนใหญ่ที่สุดสำหรับเกาะปุยหลิวในช่วงที่ผ่านมา

แน่นอนว่าเกาะปุยหลิวไม่กล้าเขียนใส่ไฟเกินไปนัก อีกทั้งโดยมากยังเลือกใช้ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู ไม่อย่างนั้นคงต้องเป็นกังวลว่ากู้ช่านจะพาหนีชิวใหญ่ตัวนั้นมาตบให้เกาะปุยหลิวแหลกสลายด้วยไม่กี่ฝ่ามือ ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่าผู้ฝึกตนเกาะปุยหลิวจะไม่เคยขาดทุนครั้งใหญ่มาก่อน หากนับกันตั้งแต่ที่ก่อตั้งศาลบรรพชนมาเป็นเวลาห้าร้อยปี พวกเขาก็ต้องย้ายถิ่นฐานกันมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งที่อเนจอนาถที่สุดถึงขั้นเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ทรัพย์สินเงินทองไม่พอใช้ ได้แต่เช่าพื้นที่เล็กๆ อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง

‘หายนะที่มาจากคำพูด’ สามครั้ง ครั้งหนึ่งคือช่วงแรกๆ ที่ผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวใช้ถ้อยคำบรรยายไม่รู้จักหนักเบา รายงานฉบับหนึ่งได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่บุตรนอกสมรสของเจ้าแห่งยุทธภพในเวลานั้น ครั้งที่สองคือเมื่อสามร้อยปีก่อนที่ทำให้เจ้าเกาะกงหลิ่วไม่พอใจ ตีไข่ใส่สีเรื่องราวระหว่างเทพเซียนผู้เฒ่ากับผู้ฝึกตนหญิงซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา ต่อให้ถ้อยคำที่ใช้จะสละสลวยไพเราะ ทำนองว่าอิจฉาที่อาจารย์และศิษย์ผูกสมัครรักใคร่จนได้เป็นคู่รักเทพเซียน แต่กระนั้นก็ถึงกับชักนำให้หลิวเหล่าเฉิงมาเยือนถึงเกาะ แม้ว่าจะไม่ได้สังหารใคร แต่กลับทำให้เกาะปุยหลิวตกใจจนรีบเปลี่ยนเกาะที่อยู่ใหม่ในวันถัดมาทันที ถือเป็นการขออภัยอย่างหนึ่ง

ครั้งที่สามก็คือหลิวจื้อเม่า ในรายงานไม่ทันระวังเปลี่ยนฉายาสกัดคงคาเจินจวินของหลิวจื้อเม่าให้เป็นสกัดคงคาเทียนจวิน (เจินจวินตำแหน่งสูงกว่าเทียนจวิน) เป็นเหตุให้หลิวจื้อเม่ากลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนภายในค่ำคืนเดียว

หลิวจื้อเม่าบุกมาสังหารถึงเกาะปุยหลิว รื้อถอนศาลบรรพชนของอีกฝ่ายทิ้งโดยตรง ครั้งนี้เป็นครั้งที่เกาะปุยหลิวเสียหายลึกล้ำถึงเส้นเอ็นและกระดูกมากที่สุด รอจนมาคิดบัญชีย้อนหลังกับผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวที่ถูกเล่นงานจนมึนงงกันไปหมด ถึงจะค้นพบว่าคนที่เป็นผู้เขียนรายงานฉบับนั้นได้หนีไปแล้ว ที่แท้คนผู้นั้นก็คือเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งของในบรรดาคนมากมายที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมภายใต้น้ำมือผู้ฝึกตนใหญ่คนหนึ่งของเกาะปุยหลิว เขาแฝงตัวอยู่ในเกาะปุยหลิวมานานถึงยี่สิบปี และเพียงคำพูดเดียวของเขาก็ผลักให้คนทั้งเกาะปุยหลิวลงหลุมได้อย่างน่าสังเวช ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งที่รับผิดชอบตรวจสอบความถูกผิดของตัวอักษร แม้ว่าเขาจะบกพร่องต่อหน้าที่ก็จริง แต่อย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญ กระนั้นก็ยังถูกลากมาเป็นตัวตายตัวแทนอีกฝ่าย

เฉินผิงอันได้ยินเสียงเคาะประตูซึ่งค่อนข้างจะหาฟังได้ยาก ฟังจากเสียงซอยฝีเท้าที่คุ้นเคยก่อนหน้านั้น น่าจะเป็นหงซูคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียน

เขารีบลุกขึ้นไปเปิดประตู หงซู ‘หญิงชรา’ ที่มีเส้นผมสีนิลเต็มศีรษะปฏิเสธคำเชื้อเชิญเข้าไปในห้องของเฉินผิงอันอย่างละมุนละม่อม นางลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน จะไม่เขียนเรื่องราวระหว่างนายท่านของข้ากับเจ้าเกาะหลิวแห่งเกาะจูไชจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มอ่อน “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าที่ไปเยือนจวนของพวกเจ้า ข้าจะลองรับฟังเรื่องราวในอดีตของหม่าหยวนจื้อดู”

แม้ว่าใบหน้าของหงซูจะแก่ชรา เต็มไปด้วยริ้วรอยร่องยับย่น อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมถึงมีปราณดุร้ายเข้มข้นที่มาขมวดรวมกันอยู่เฉพาะบนใบหน้าของนาง ถึงทำให้นางดูอัปลักษณ์เช่นนี้ แต่อันที่จริงแล้วหากนางดูดซับปราณวิญญาณจากเงินเทพเซียนเข้าไป รูปโฉมของนางก็ไม่แย่เลย อีกทั้งนางยังมีดวงตาใสกระจ่างงดงาม เวลานี้นางกำลังกะพริบตา ปลุกความกล้าให้ตัวเอง เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉินจงใจปฏิเสธนายท่านของข้าใช่ไหม? เพราะเดาได้ว่านายท่านของข้าจะต้องให้บ่าวมาหาท่านอีกครั้ง บ่าวจะได้มีความดีความชอบใหญ่นี้ ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางบนริมฝีปาก บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าแค่ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้าและข้ารู้ก็พอแล้ว

ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของสตรีที่คลี่กว้างประชันกับแสงจันทร์สุกสกาว

หงซูมองคนหนุ่มที่ค่อนข้างผอมบางตรงหน้า ชูกาเหล้าที่อยู่ในมือขึ้น ตัวกาถูกผนึกด้วยกระดาษสีเหลืองและล้อมพันไว้ด้วยเชือกสีแดง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ของที่มีค่าอะไร มันมีชื่อเรียกว่าเหล้าหวงเถิง หมักจากข้าวเหนียวและข้าวจ้าว เป็นสุราของทางการที่บ้านเกิดข้า สตรีชอบดื่มกันมากที่สุด มีชื่อเล่นอีกชื่อว่าเหล้าเติมอาหาร คราวก่อนคุยกับท่านเฉินไปตั้งมากมาย กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ข้าขอให้คนซื้อมาให้ เพิ่งจะส่งมาถึงที่เกาะ หากท่านเฉินดื่มถูกปาก คราวหน้าข้าจะเอามามอบให้ท่านเฉินทั้งหมด”

นางพลันตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมของคำพูดตัวเอง จึงรีบพูดว่า “เมื่อครู่นี้ที่บ่าวบอกว่าสตรีชอบดื่ม อันที่จริงบุรุษของที่บ้านเกิดก็ชอบดื่มเหมือนกัน”

เฉินผิงอันรับกาเหล้ามา ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ได้เลย หากดื่มแล้วถูกปากจะต้องไปขอเจ้าที่จวนจูเสียนอีกแน่นอน”

หลังจากหงซูจากไป

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ยังโยนเหล้ากานั้นเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อด้วย เป็นเพราะเขาไม่กล้าดื่ม

ใช่ว่าไม่เชื่อใจหงซู แต่เป็นเพราะไม่เชื่อใจเกาะชิงเสียและทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เหล้ากานี้ไม่มีปัญหา แต่หากเปิดปากขอเพิ่มก็ไม่รู้ว่าในเหล้ากาไหนจะมีปัญหา ดังนั้นถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็คงได้แต่บอกกับนางที่เป็นคนเฝ้าประตูจวนจูเสียนว่ารสชาติของสุราหวานนุ่มเกินไป ไม่ค่อยเหมาะกับตนสักเท่าไหร่ สำหรับข้อนี้เฉินผิงอันไม่คิดว่าตัวเองคล้ายคลึงกับกู้ช่าน

เพื่อคำว่าหนึ่งในหมื่น (เปรียบเปรยถึงส่วนที่น้อยมาก หมายการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงซึ่งมีทางเป็นไปได้น้อยมาก) กู้ช่านสามารถสังหารหนึ่งหมื่นได้อย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันเองก็กลัวหนึ่งในหมื่นนั้นเหมือนกัน จึงได้แต่เอาความปรารถนาดีของหงซูวางไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน

มองดูเหมือนสองอย่างนี้คล้ายคลึงกัน แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วคำว่า ‘หนึ่ง’ นี้ก็เหมือนเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ขอแค่กู้ช่านยึดมั่นหนึ่งนั้นของตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา การชักคะเย่อทางจิตใจระหว่างเฉินผิงอันกับกู้ช่านก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าเขาจะไม่สามารถดึงกู้ช่านมาอยู่ฝั่งเดียวกับตัวเองได้

และเฉินผิงอันก็ได้ละทิ้งความคิดนี้ไปชั่วคราวแล้ว

เส้นทางในจิตใจอันเป็นพื้นฐานที่สุดที่คนทั้งสองใช้มองและปฏิบัติต่อโลกใบนี้ก็ต่างกันแล้ว ต่อให้เจ้าพูดจนแผ่นฟ้าทะลุก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี

ดังนั้นกู้ช่านจึงไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันมีร่วมกับสี่คนในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว แล้วก็ไม่เคยเห็นคลื่นใต้น้ำที่ถาโถม ไม่เคยเห็นปราณสังหารที่แฝงอยู่รอบด้าน รวมไปถึงการจากลากันด้วยดีในตอนท้าย และท้ายที่สุดจะยังต้องได้กลับมาพบกันด้วยดีอีกครั้ง

นี่อาจจะไม่เหมาะกับทะเลสาบซูเจี่ยนและกู้ช่านเสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุดก็แสดงให้รู้ว่ากู้ช่านมองข้ามความเป็นไปได้ข้อหนึ่งไป

หลังจากที่เริ่มเข้าใจเส้นสายสูงต่ำและสลับซับซ้อนส่วนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว เฉินผิงอันเชื่อว่าหากกู้ช่านเอาความคิดส่วนหนึ่งไปไว้นอกเหนือจากการฆ่าคน ต่อให้เป็นการเรียนรู้วิธีการผูกมัดใจคน วิธีการปลูกฝังกองกำลังของตัวเองมาจากหลิวจื้อเม่า กู้ช่านและมารดาของเขาก็ยังจะมีชีวิตอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ อีกทั้งยังเป็นชีวิตที่ดีกว่าเดิมและยาวนานกว่าเดิม

เพียงแต่ตอนนี้เฉินผิงอันได้เห็นมามาก คิดก็มาก ทว่าเขากลับไม่มีอารมณ์จะไปพูด ‘เรื่องไร้สาระ’ พวกนี้อีกแล้ว

ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำ

ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงมือทำ

ในเมื่อพูดหลักการเหตุผลจนหมดสิ้นแล้ว กู้ช่านก็ยังไม่สำนึกผิด เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอยมาเลือกในลำดับรอง หยุดการกระทำผิด

ขอแค่เขายังอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เป็นนักบัญชีที่อาศัยอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาเกาะชิงเสีย อย่างน้อยก็ยังพอจะหยุดยั้งไม่ให้กู้ช่านทำความผิดมหันต์ต่อไปได้

ในเมื่อกู้ช่านไม่สำนึกผิด ยังคงเชื่อมั่นว่าตัวเองทำถูกที่สุดแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อบุญคุณข้าวหนึ่งถ้วยและตำราหมัดหนึ่งเล่ม บุญคุณยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ เฉินผิงอันล้วนต้องตอบแทน

ครั้งหนึ่งเพื่อข้ามผ่านหลุมในใจ เขาจำต้องทำลายหัวใจบุ๋นสีทองของตัวเอง ถึงจะสามารถอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ด้วยความ ‘สบายใจ’ ในระดับขั้นที่ต่ำที่สุด การกระทำทุกอย่างต่อจากนี้ก็เพื่อชดเชยความผิดให้แก่กู้ช่าน

นี่ก็คือลำดับขั้นตอนที่เรียบง่ายอย่างมาก

เพียงแต่ว่าเวลาลงมือทำกลับไม่ง่าย ยิ่งจะยากเป็นพิเศษในก้าวแรก เฉินผิงอันจะโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อได้อย่างไร การระเบิดแตกของหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น การคารวะบอกลากับคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทอง ล้วนเป็นค่าตอบแทนที่เขาจำเป็นต้องจ่าย

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรื่องของการใช้เหตุผล มองดูเหมือนง่าย แต่กลับทำได้ยากมากที่สุด ยากตรงที่ว่าเมื่อถามมโนธรรมในใจของตนแล้วจะยังใช้เหตุผลที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหล่านั้นอยู่อีกหรือไม่ หากยังตัดสินใจว่าจะใช้เหตุผล ถ้าอย่างนั้นเมื่อใช้เหตุผลแล้ว ค่าตอบแทนเหล่านั้นที่ต้องจ่าย ส่วนใหญ่มักไม่มีใครรู้ ความยากลำบากทุกอย่างต้องแบกรับไว้เอง ไม่อาจบอกเล่าสู่ใครได้

นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว เฉินผิงอันยิ่งต้องซ่อมแซมแก้ไขสภาพจิตใจของตัวเอง

หากไม่อาจซ่อมแซมได้ถึงครึ่งหนึ่ง จิตใจของเขาจะพังครืนลงไปเสียก่อน

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง คราวนี้เขาไม่ลืมเป่าตะเกียงสองดวงที่จุดไว้บนโต๊ะหนังสือและโต๊ะอาหารให้ดับ

เดินผ่านประตูภูเขาของเกาะชิงเสียมาที่ท่าเรือ ตรงท่าเรือมีเรือข้ามฟากที่เฉินผิงอันผูกเอาไว้ เขาที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบไม่ได้สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน แค่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเท่านั้น

ฟ้าดินเงียบสงัด รอบกายไร้ผู้คน บนทะเลสาบคล้ายปูเศษก้อนเงินที่ส่องประกายระยิบระยับไว้จนเต็ม ลมกลางคืนหลังจากเข้าหน้าหนาวค่อนข้างเย็นเล็กน้อย

ในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้สัมผัสกับอากาศอุ่นหนาวตามฤดูกาลของโลกมนุษย์ที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลังจากวิชาหมัดเลื่อนสู่ขอบเขตห้า และหลังจากได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่

ยิ่งเดินท่องไปในยุทธภพไกลเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นบรรยากาศในวงการขุนนางและทัศนียภาพบนภูเขามากเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใสในวิธีการมองความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ของช่างหร่วน รวมไปถึงยิ่งเลื่อมใสในการเล่นหมากนอกหมากที่ชุยตงซานสอนเขาในครานั้น

หร่วนฉงรับลูกศิษย์ ไม่ใช่เพื่อว่าหากวันใดที่อาจารย์เกิดพิพาทกับคนอื่น ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านข้างจะคอยร้องสนับสนุนให้กำลังใจ โจมตีเล่นงานคู่ต่อสู้อย่างอาจหาญ หรือไม่ก็ก้าวเข้าสู่สนามรบอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่สนถูกผิด

หร่วนฉงเคยกล่าวไว้ว่า ข้าจะรับแค่ลูกศิษย์ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันเท่านั้น ไม่รับลูกศิษย์ที่ดีแต่จะขายชีวิตเพื่อข้า

ความยากลำบากของชีวิตคน ยากที่มิอาจสมปรารถนา และที่ยากยิ่งกว่านั้นก็อยู่ที่ว่า คนที่ตนให้ความสำคัญมากที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ้ามิอาจสมปรารถนาเช่นกัน

แต่นี่เป็นเพียงแค่ความยากของคนดีเท่านั้น

ถึงอย่างไรคนที่มากกว่านั้นก็ไม่เคยคิดพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้

วิถีทางโลกต่อยข้าหนึ่งหมัด แล้วทำไมข้าต้องไม่เตะคืนให้หนึ่งเท้า? คนบนโลกกล้าต่อยจนเลือดอาบเต็มใบหน้าของข้า ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าก็ต้องต่อยให้คนบนโลกร่างแหลกเป็นผุยผง ส่วนข้อที่ว่าจะเดือดร้อนคนบริสุทธิ์หรือไม่ จะมีคนที่ต้องตายอย่างอยุติธรรมหรือไม่ กลับไม่แม้แต่จะคิดถึง

นี่ไม่ถูกต้อง

การฝึกกำลังคือรากฐานในการหยัดยืน การฝึกจิตใจคือเส้นทางในการเดินสู่ยอดเขาสูง

บนมหามรรคา พกกระบี่เดินตรงไปเบื้องหน้าก็ดี สะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษาก็ช่าง บางครั้งก็ต้องหลบทางให้คนอื่นบ้าง

เฉินผิงอันมีสีหน้ากลัดกลุ้ม รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับได้แต่เก็บกลั้นอยู่ในท้อง ไม่มีใครรับฟัง

จิตของเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย

ครุ่นคิด

แล้วก็เอาถ่านดำก้อนหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ

เขาวาดวงกลมวงใหญ่ไว้บนท่าเรือ

จากนั้นก็ค้อมตัวยืนอยู่กลางวงกลม ค่อยๆ วาดเส้นตรงเส้นหนึ่ง เท่ากับว่าแบ่งวงกลมวงหนึ่งออกเป็นสองส่วน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างเส้นนั้น หัวคิ้วขมวดแน่น หยุดนิ่งอยู่นานไม่ได้ขีดเขียนต่อ

นักบัญชีที่สีหน้าอิดโรยได้แต่ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมาดื่มเหล้าวิหคครวญหนึ่งอึกเพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้น

แล้วถึงได้เขียนคำว่าดีและเลวลงไปยังด้านบนและด้านล่างของเส้นนั้น

คืนนี้ บนตัวอักษรคำว่า ‘หนึ่ง’ ของเส้นทางหัวใจที่เคยหยุดเดิน ไม่ยินดีคิดลึก แล้วก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปสืบเสาะค้นหา เฉินผิงอันจะเดินก้าวออกไป

เหมือนกับปีนั้นที่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะของตรอกหนีผิงก้าวเดินไปบนสะพาน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น เขียนสี่คำว่า ‘ใช้ผู้คนเป็นหลัก’ ลงไปเบาๆ ระหว่างสองตัวอักษรดีและเลว ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนี้คงคิดได้แค่นี้ก่อน”

เฉินผิงอันหลับตาลง ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก พอลืมตาขึ้นก็ลุกขึ้นยืน ก้าวใหญ่ๆ ไปถึงริมขอบครึ่งหนึ่งของวงกลมที่มีคำว่า ‘ดี’ แล้ววาดเส้นเฉียงเส้นหนึ่งให้ไปถึงอีกฝั่งของครึ่งวงกลมที่มีคำว่าเลวจนเสร็จในรวดเดียว แล้วจึงขยับเท้า วาดเส้นเฉียงจากล่างขึ้นบนอีกเส้นหนึ่ง

สุดท้ายวงกลมหนึ่งวงก็ถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นหกส่วน จุดตัดมีเพียงจุดที่อยู่ใจกลางวงกลมเท่านั้น

หลังจากนั้นก็เหมือนสติปัญญาของเฉินผิงอันถูกเปิดโล่ง เขาเดินเร็วๆ ไปยังแถบครึ่งวงกลมที่มีตัวอักษร ‘ดี’ อยู่บนแนวเส้นตรง ในพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนนี้ เฉินผิงอันใช้ถ่านในมือตวัดเขียนตัวอักษรอย่างว่องไวพลางพึมพำกับตัวเองว่า “หากจะบอกว่านี่คือจิตใจดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ที่แสวงหาความดี อีกทั้งยังเป็นจิตใจที่หนักแน่นที่สุด สติปัญญายากที่จะแปรเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นคนบนโลกที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือไม่รู้ตัวอักษรมาก่อน หากสอนว่า ‘เรือนทองมีอยู่ในตำรา ธัญพืชนานาหาได้จากหนังสือ’ ‘ปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเอง ครอบครัวจึงแข็งแกร่ง ครอบครัวแข็งแกร่งจึงสามารถปกครองใต้หล้า’ นั่นก็คือความรู้ที่ดีที่สุด เพราะฟังเข้าหู ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้อริยะท่านใดคอยใช้หลักการเหตุผลมาพูดเกลี้ยกล่อม เพราะคนประเภทนี้ยินดีฟัง แล้วก็ยินดีนั่งลงรับฟัง เมื่อลุกขึ้นก็พร้อมปฏิบัติตาม ไม่ว่าวิถีทางโลกจะทุกข์ยากขมขื่นแค่ไหนก็ยังสามารถรักษาจิตใจอันดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้ได้!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ถอยกลับไปยังพื้นที่ตรงกลางของแถบครึ่งวงกลมคำว่าเลวซึ่ง ‘เป็นปฏิปักษ์’ กับพื้นที่อีกฝั่งที่มีตัวอักษรซึ่งถูกเขียนด้วยถ่านจนเต็ม

ทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วก็ใช้ถ่านตวัดวาดพรวดๆ พลางพึมพำเบาๆ เหมือนเดิม “สันดานมนุษย์เดิมนั้นชั่วร้าย คำว่าชั่วร้ายนี้ไม่ใช่คำในเชิงลบไปเสียทั้งหมด แต่เป็นการบรรยายถึงนิสัยสันดานอีกแบบหนึ่งในใจคน นั่นก็คือเมื่อเกิดมาก็สามารถสัมผัสถึงหนึ่งนั้นของโลกมนุษย์ได้แล้ว จึงไปแย่งชิงมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่เหมือนฝ่ายแรก ส่วนในเรื่องของความเป็นความตาย นอกเหนือจากที่จะฝากฝังไว้กับสามอมตะของลัทธิขงจื๊อหรือการสืบทอดควันธูปของลูกหลานแล้ว เมื่ออยู่ที่นี่ ‘ข้า’ ก็คือฟ้าดินทั้งแห่ง ข้าตายฟ้าดินก็ตาย ข้าอยู่ฟ้าดินก็มีชีวิต ข้าที่เป็นส่วนเฉพาะบุคคลนี้ น้ำหนักของ ‘หนึ่ง’ เล็กนี้ไม่ด้อยกว่า ‘หนึ่ง’ ใหญ่ของตลอดทั้งฟ้าดินเลย ตอนนั้นจูเหลี่ยนอธิบายว่าเหตุใดถึงไม่ยอมสังหารคนคนเดียวเพื่อช่วยคนทั้งใต้หล้า ก็คือหลักการนี้! และนี่ก็ไม่ใช่ความหมายในเชิงลบ เป็นเพียงแค่นิสัยสันดานของมนุษย์เท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แต่ข้าก็เชื่อว่ามันเคยผลักดันให้วิถีทางโลกเดินไปเบื้องหน้าได้เช่นกัน”

“คนที่สภาพจิตใจร่วงลงมาตรงพื้นที่นี้แล้ว ‘ผลิดอกออกผล’ ในช่วงเวลาที่คับขันบางอย่างถึงจะสามารถพูดประโยคทำนองว่า ‘ข้าตายไปแล้วยังต้องสนใจไปไยว่าน้ำจะท่วมเทียมฟ้า’ ‘ข้ายอมทำผิดต่อคนใต้หล้า’ ‘ฟ้ามืดแต่หนทางยาวไกล ข้าก็ได้แต่เดินถอยหลังกลับ’ ออกมาจากปากได้ แต่สันดานที่ดูเหมือนว่าหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีกันนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลับกลายมาเป็นรากฐานในการหยัดยืนของ ‘มนุษย์’ อย่างพวกเรา อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดคน ‘ไม่ดี’ มากมายเพียงนั้นถึงสามารถฝึกตนเป็นเทพเซียนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ถึงขั้นยังมีชีวิตที่ดีกว่าคนดี เพราะฟ้าดินให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่งโดยไม่มีความลำเอียง จึงไม่อาจใช้ความดีเลวของ ‘มนุษย์’ มาตัดสินความเป็นความตายได้เสมอไป”

หลังจากดื่มเหล้าไปอีกอึกใหญ่

เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปยังมุมขวาสุดของครึ่งวงกลมด้านบน “จิตใจของพื้นที่นี้ไม่หนักแน่นมั่นคงเหมือนคนทางฝั่งขวามือที่เป็นเพื่อนบ้าน จิตใจของพวกเขาค่อนข้างจะเอนเอียงไม่หยุดนิ่ง แต่กระนั้นก็ยังโอนเอียงเข้าหาความดี ทว่าก็ยังเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะคน สถานที่ เวลา และการเปลี่ยนแปลงสารพัดหลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้อริยะสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักคอยพร่ำสอนว่า ‘หยกไม่เกลาไม่เป็นรูปร่าง คนไม่เรียนรู้ไม่รู้ความ’ คอยตักเตือนว่า ‘คนกระทำสวรรค์มองดู’ คอยเกลี้ยกล่อมว่า ‘ชาตินี้ทำกรรมดีชาติหน้าได้ดีตอบแทน ชาตินี้ทุกข์ชาติหน้าสุข’”

เฉินผิงอันเขียนมาถึงตรงนี้ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้อีก เขาเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับสองตัวอักษร ‘ดีเลว’ ที่อยู่ใกล้กันตรงใจกลางของวงกลม แล้วใช้ถ่านเขียนเพิ่มไปอีกสองประโยค ด้านบนเขาเขียนคำว่า ‘เต็มใจเชื่อว่าคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้’ ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ ‘ไปเสียทุกคน’ ส่วนด้านล่างเขียนคำว่า ‘ไม่ว่าการทุ่มเทใด หากไม่ได้รับการตอบแทนกลับมาด้วยสิ่งที่จับต้องได้จริง นั่นก็เท่ากับว่าสูญเสียผลประโยชน์ของหนึ่งอย่างคำว่า’ ข้า ‘แล้ว’

เฉินผิงอันเก็บถ่าน พึมพำว่า “หากสัมผัสได้ถึงความเสียหาย จุดลึกในใจของคนผู้นี้ก็จะเกิดข้อกังขาและร้อนใจอย่างยิ่ง แล้วก็จะเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา คิดว่าจะต้องทวงคืนมาจากเรื่องอื่นให้จงได้ แล้วก็ต้องช่วงชิงมาให้ได้มากกว่าเดิมด้วย นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดทะเลสาบซูเจี่ยนถึงได้วุ่นวายขนาดนี้ ทุกคนต่างก็กำลังดิ้นรนกันอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทำไมเมื่อคนมากมายขนาดนั้นถูกจุดใดจุดหนึ่งของวิถีทางโลกต่อยหนึ่งหมัด แล้วจะต้องต่อยเตะใส่วิถีทางโลกให้ได้มากกว่า โดยที่ไม่สนใจสักนิดว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย แล้วก็ไม่ได้ทำไปเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ก็เหมือนกู้ช่าน ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีแล้ว แต่ก็ยังเดินตามเส้นทางสายนี้จนกลายมาเป็นคนที่สามารถพูดคำว่า ‘ข้าชอบฆ่าคน’ ออกมาจากปากได้ ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่ยังเป็นเพราะร่องคันดินในผืนนาหัวใจของกู้ช่านที่ตัดสลับกันได้ถูกแยกออกจากกันเพราะทางสายนี้ เมื่อเขามีโอกาสได้ไปสัมผัสกับฟ้าดินที่ใหญ่มากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่ข้ามอบหนีชิวน้อยให้เขา เขาได้มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านก็จะไปฉกชิงเอาหนึ่งที่เป็นของคนอื่นมาให้ได้มากกว่า หนึ่งที่ว่านี้อาจจะเป็นเงินทองหรือชีวิตก็ได้หมด ไม่เลือกเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันเดินมาหยุดตรงฝั่งซ้ายมือสุดของวงกลมครึ่งบน “จิตใจของคนในพื้นที่นี้ไร้ระเบียบมากที่สดุ อยากจะทำดีแต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร มีใจอยากทำชั่วแต่ก็ไม่กล้าพอ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะรู้สึกว่า ‘อ่านตำราไปก็ไร้ประโยชน์’ ‘หลักการเหตุผลทำให้ข้าเสียหาย’ แม้ว่าจะอยู่ในครึ่งวงกลมนี้ แต่กลับง่ายที่จะหันมากระทำชั่ว ด้วยเหตุนี้บนโลกถึงได้มี ‘วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าภูมิฐาน’ มากมายถึงเพียงนั้น แม้แต่ศาสดาพุทธในพระคัมภีร์ก็ยังเป็นกังวลกับการมาถึงของยุคธรรมปลาย คนที่อยู่ตรงนี้จะไหลไปตามกระแส มีชีวิตอย่างยากลำบาก หรืออาจถึงขั้นยากลำบากมากที่สุด ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดถึงความดีของหลักการเหตุผลบนโลกกับกู้ช่าน อิสระเสรีที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งอยู่ที่ว่าสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าคนกลุ่มที่อยู่ในวงกลมครึ่งล่างจะทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง

แล้วตนเองจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ต้องกลัวว่าทรัพย์สมบัติที่ต้องขยันเหนื่อยยากกว่าจะเก็บหอมรอมริบมาได้จะถูกเผาผลาญจนสิ้นภายในค่ำคืนเดียว ต่อให้ไม่ต้องใช้เหตุผล ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลอะไรมากมาย หรือแม้กระทั่งไม่ต้องมีเหตุผลในบางครั้ง เพียงแค่สั่นคลอนเก้าอี้ไม้ตัวที่ลัทธิขงจื๊อสร้างขึ้นซึ่งเดิมทีได้รูปได้ทรง สี่ด้านแปดทิศล้วนมั่นคง ก็ล้วนสามารถทำให้คนเหล่านี้มีชีวิตที่ดีได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นขยับเท้ามาหยุดอยู่ตรงฝั่งขวามือสุดของวงกลมครึ่งล่างที่อยู่ตรงข้ามกัน แล้วจรดก้อนถ่านเขียนลงไปอย่างเชื่องช้าว่า ” ‘จิตใจของคนที่อยู่ที่นี่ เจ้าพูดว่าวางมีดลงก็บรรลุธรรม รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงจะประเสริฐกับกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ติดกันนั้น ก็มีแต่จะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น’

แม้ว่าวงกลมครึ่งล่างยังเหลือพื้นที่ว่างอีกแถบใหญ่ทางซ้ายมือสุด แต่เฉินผิงอันกลับหน้าซีดขาวแล้ว เขาถึงกับมีลางว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรง หลังจากดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ถ่านไม้ที่ถืออยู่ในมือถูกเสียดสีจนเหลือแค่ขนาดเท่าเล็บมือแล้ว เฉินผิงอันสงบจิตใจให้มั่นคง ปลายนิ้วของเขาสั่นสะท้าน เขียนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาฝืนดึงแรงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อยากจะทรุดตัวลงไปนั่งเขียนต่อ ต่อให้เขียนได้แค่ตัวเดียวก็ยังดี แต่เพิ่งจะก้มตัวลง ขาก็อ่อนยวบจนลงนั่งแปะอยู่บนพื้นแล้ว

มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนพื้นอย่างไม่มีพิธีรีตอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกางนิ้วออก ถ่านไม้ที่เหลืออยู่อีกไม่มากกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ส่วนเขาก็ทิ้งตัวนอนหงายอยู่ตรงท่าเรือทั้งอย่างนั้น

“ลัทธิขงจื๊อเสนอคำว่าความเห็นอกเห็นใจ ลัทธิพุทธเลื่อมใสคำว่าจิตใจเมตตาปราณี แต่โลกที่พวกเราอยู่ใบนี้ คิดจะทำเช่นนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้ตลอดเวลาเลย กลับกันคำกล่าวว่า ‘จิตใจอันบริสุทธิ์’ ที่หย่าเซิ่งเป็นผู้กล่าวขึ้นมาก่อน กับคำว่า ‘ย้อนกลับคืนสู่รากฐาน หวนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง’ ของมรรคาจารย์เต๋า กลับดูเหมือนว่าจะยิ่ง…”

เฉินผิงอันฝืนลุกขึ้นยืน ก้าวถอยออกมาจากวงกลมที่ยังเขียนตัวอักษรด้วยถ่านได้ไม่เต็มวง จ้องเขม็งไปยังวงกลมวงใหญ่ สุดท้ายเส้นสายตาหยุดนิ่งที่ใจกลางของวงกลม หยุดนิ่งอยู่บนสองคำว่า ‘ดีเลว’ ที่ตนเขียนไปแรกเริ่มสุด

เฉินผิงอันที่ร่างโงนเงนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ราวกับว่าจะคว้าจับทั้งวงกลมอย่างไรอย่างนั้น

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่

สิ่งที่เขาเป็นตอนนี้ เรียกได้ว่าลืมตนไปอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องพูดถึงดีเลวก็ได้ใช่ไหม? พูดถึงแค่ความต่างระหว่างคนกับเทพ? นิสัยสันดาน? ไม่อย่างนั้นวงกลมวงนี้ก็ยากที่จะหยัดยืนได้มั่นคงอย่างแท้จริง”

“นี่ก็จำเป็นต้อง…ขยับขึ้นไปเบื้องบนอีกหน่อย? ไม่ใช่ติดอยู่กับหลักการเหตุผลในตำรา ยึดติดกับแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อ คิดแค่จะขยับขยายวงกลมนี้ให้กว้างออกไปอย่างเดียว? แต่ต้องขยับขึ้นสูงไปอีกนิด?”

“หากเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้เลย ไม่ใช่ว่าธรณีประตูของหลักการเหตุผลบนโลกแบ่งแยกสูงต่ำ แต่เป็นการเดินวนรอบวงกลมวงนี้ คอยหันไปมองดูว่าจิตใจคนมีแบ่งแยกซ้ายขวา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกว่าใจคนที่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกันแล้วจะต้องแบ่งแยกสูงต่ำ ต้องต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นเหตุให้สิ่งที่อริยะของสามลัทธิทำ เรื่องที่เรียกว่าจูงใจคนให้ทำความดีนั้น ก็คือการ ‘เคลื่อนภูเขาคว่ำมหาสมุทร’ ต่อใจคนที่อยู่ในพื้นที่ต่างกัน ชักนำให้ไปยังพื้นที่ที่พวกเขาต้องการให้ไป”

“หากใช่ งั้นก็ยังไม่ต้องมองในจุดสูงก่อน ไม่เดินบนทางราบรอบวงกลม เพียงแค่อาศัยลำดับขั้นตอน ย้อนถอยกลับก้าวหนึ่งเพื่อมาดู แล้วก็ยังไม่ต้องพูดถึงจิตดั้งเดิมของแต่ละคน พูดถึงแค่แก่นแท้ของวิถีทางโลก ความรู้ของลัทธิขงจื๊อนั้นกำลังขยับขยายและทำให้อาณาเขต ‘ที่จับต้องได้จริง’ มั่นคงขึ้น ส่วนลัทธิเต๋าก็กำลังยกระดับโลกใบนี้ให้สูงขึ้น ให้พวกเราสามารถอยู่สูงเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่”

เฉินผิงอันหลับตาลง หยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่ด้านบนสลักตัวอักษรของผู้รอบรู้คนหนึ่งซึ่งเก่าแก่เรียบง่าย แต่กลับงดงามน่าประทับใจ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าความคิดนี้ประหลาด แต่กลับทะลุปรุโปร่ง ทว่าตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู ขอแค่สืบสาวให้ลึกลงไป มันกลับแฝงสัจธรรมบางส่วนของลัทธิเต๋าเอาไว้ “เทน้ำหนึ่งอ่างลงบนพื้น เศษหญ้าลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มดตัวหนึ่งพักพิงเศษหญ้าคิดว่าเป็นทางตัน ครู่หนึ่งเมื่อน้ำแห้ง ถึงได้ค้นพบว่าเส้นทางทอดยาวกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่ไปไม่ได้”

“สิ่งที่ลัทธิเต๋าปรารถนาก็คือไม่ต้องการให้คนบนโลกอย่างพวกเราเป็นอย่างมดที่สติปัญญาต่ำต้อย จะต้องมองโลกจากจุดที่สูงยิ่งกว่าเดิม จะต้องแตกต่างจากสัตว์และต้นไม้ใบหญ้า”

“ส่วนลัทธิพุทธนั้น…”

เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างมาวาดวงกลมหนึ่งวง “ผสานกับคำว่ากว้างขวางของลัทธิขงจื๊อ คำว่าสูงของลัทธิเต๋า ผสานรวมโลกนับแสนใบให้กลายเป็นหนึ่งอย่างที่ไม่มีช่องโหว่”

สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำ “นี่จะถือว่าข้าพอจะรู้จักหนึ่งนั้นนิดๆ แล้วหรือไม่?”

เสียงตึงดังขึ้น นักบัญชีที่ใช้เรี่ยวแรงและจิตใจทั้งร่างจนหมดสิ้นล้มหงายตึงลงไปด้านหลัง เขาหลับตาลง น้ำตาไหลเต็มหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดหน้า ส่วนฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นสูง เส้นสายตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตามองทะลุร่องนิ้วออกไปด้วยความสะลืมสะลือ เหมือนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ จิตใจอ่อนระโหยอย่างถึงที่สุด ทว่าส่วนลึกในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความชื่นบาน เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนหาย แสงจันทร์สุกใสส่องนภา ใครหนาประดับประดาไว้ ที่แท้รูปโฉมของแผ่นฟ้า สีสันของมหาสมุทร ก็สะอาดบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้”

เฉินผิงอันหลับตาลงแล้วค่อยๆ หลับไป มุมปากยังแต้มยิ้ม พึมพำเสียงแผ่วเบา “ที่แท้หากไม่แบ่งแยกความดีเลวของใจคน คิดเช่นนี้ก็ทำให้ยิ้มได้เหมือนกัน”

ในขณะที่เฉินผิงอันนอนหลับฝันหวานไม่สนใจใครอยู่กลางวงกลมใหญ่ที่ไม่ทันได้ลบตัวอักษรถ่านไม้บนท่าเรือเกาะชิงเสียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มีบุรุษชุดเขียวที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความอิสระเสรีไร้พันธนาการ กับสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งงดงามเพริศพริ้ง ได้มาถึงท่าเรือแห่งนี้แทบจะเวลาเดียวกัน

คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน แม้แต่จะสบตากันก็ยังไม่มี

บัณฑิตที่ไม่ได้ยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับตอนอยู่ศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง แต่เลือกที่จะมาต่างถิ่นต่างแดนด้วยตัวเองผู้นั้นหยิบถ่านไม้ก้อนนั้นของเฉินผิงอันขึ้นมา เขานั่งยองอยู่ตรงตำแหน่งทางซ้ายมือสุดของวงกลมด้านล่าง คิดจะเขียนตัวอักษรลงไป แต่ก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย กลับกันในดวงตายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาสูงอยู่ตรงหน้า หรืออดีตวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอย่างข้า ยังได้แต่เดินอ้อมไปเท่านั้น?”

ส่วนสตรีชุดเขียวผู้นั้นกลับยืนอยู่นอกวงกลมตำแหน่งสุดปลายด้านหนึ่งของเส้นตรง กำลังกินขนมชิ้นใหม่ที่ซื้อมาจากนครลวี่ถงทะเลสาบซูเจี่ยน เสียงที่พูดจึงอู้อี้ “การแบ่งระหว่างเทพและคนยังขาดอีกเล็กน้อยที่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด”

บัณฑิตถือถ่านไม้ไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น กวาดตามองรอบด้าน จุ๊ปากพูด “ช่างสมกับคำว่าเมื่อเรื่องราวพัฒนาไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดก็ควรปลุกความกล้า เมื่อดื่มเหล้าจนอารมณ์ฮึกเหิมความกล้าก็เพิ่มพูนจริงๆ”

หญิงสาวชุดเขียวก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ขอแค่มโนธรรมในใจไม่มัวหมอง หมื่นกฎเกณฑ์ก็ล้วนสว่างไสว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาถึงได้หันหน้าไปมองสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่กำลังแทะขนมคำเล็กๆ ผู้นั้น “เจ้าอย่าได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งเฉินผิงอันตอนเขาหลับสนิทเชียวนะ แต่หากแม่นางคิดจะทำจริงๆ ข้าจงขุยสามารถหันหลังให้ได้ นี่เรียกว่าวิญญูชนช่วยทำเรื่องดีของคนอื่นให้เป็นจริง!”

และเมื่อได้ยินประโยคนี้ นางถึงได้หันมามองเขา พูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าชื่อจงขุย? เจ้าคน…ผีผู้นี้ ค่อนข้างจะประหลาด ข้ามองเจ้าแล้วก็ไม่เข้าใจ”

จงขุยเอื้อมมือข้ามไหล่ชี้ไปยังนักบัญชีที่ส่งเสียงกรนสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่าผู้นั้น “ก็มีแต่เจ้าหมอนี่นี่แหละที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยมานี่ไงล่ะ”

จงขุยมองทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในสายตาของเขาแล้วแตกต่างไปจากสายตาของคนบนโลกอย่างสิ้นเชิง แล้วพึมพำว่า “บนโลกจะมีแค่ข้าจงขุยที่เป็นวิญญูชนคนเดียวได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกจะกลายเป็นหลุมอาจมที่ใหญ่สักแค่ไหนกัน?”

หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเขา แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้อยู่ต่อเพื่อช่วยเขาเลย มีแต่จะทำให้เสียเรื่อง”

จงขุยถาม “จริงรึ?”

หร่วนซิ่วถามกลับ “เจ้าเชื่อข้า?”

จงขุยพยักหน้ารับ

หร่วนซิ่วกินขนมหมดก็ปัดมือแล้วจากไป

จงขุยคิดแล้วก็วางถ่านไม้ชิ้นนั้นกลับลงไปที่เดิม พอลุกขึ้นยืนก็เขียนตัวอักษรแปดตัวลงบนกลางความว่างเปล่าทิ้งไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ แล้วเขาก็จากไปอีกคน ย้อนกลับไปยังใบถงทวีป

จงขุยบัณฑิตที่ไม่ใช่วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอีกต่อไปเดินทางมาอย่างยินดี แล้วก็กลับไปด้วยความยินดี

แปดคำที่เขาทิ้งไว้ก็คือ ‘ทุกเรื่องล้วนเหมาะสม ไม่ต้องกังวลสิ่งใด’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version