Skip to content

Sword of Coming 438

บทที่ 438 ฟ้าสว่างแล้ว

ในหอสูงของนครน้ำบ่อ

คืนนี้ชุยฉานได้รับกระบี่บินส่งข่าวถึงสามเล่มติด ทว่าเขาที่มีฐานะเป็นราชครูต้าหลีกลับไม่สนใจจะเปิดดูแม้แต่น้อย

ชุยตงซานยืนอยู่ริมขอบวงกลมของบ่อสายฟ้าสีทอง สองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้า ถามว่า “เนื้อหาที่จงขุยเขียนมีความหมายว่าอย่างไร? แล้วหร่วนซิ่วมองอะไรออกกันแน่?”

ชุยฉานย้อนถามสองประโยคตัดบทคำพูดของชุยตงซาน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นมรรคาจารย์เต๋าหรือไง? ความจริงในท้ายที่สุดที่อนุมานมาได้ทั้งหมด ล้วนจำเป็นต้องนำข้อมูลจำนวนมากมารวมกัน ความรู้ทั่วไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มีงั้นหรือ?”

ชุยตงซานหมดคำพูด “น่าเบื่อ ก็แค่หาเรื่องชวนคุย เจ้าต้องคิดจริงจังด้วยหรือไง”

ชุยฉานได้รับกระบี่บินส่งข่าวอีกเล่มหนึ่งที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ เหมือนกับกระบี่บินทุกเล่มก่อนหน้านี้ที่ไม่บินทะยานเหนือน่านฟ้าอันเป็นอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ในหอเรือนสูงแห่งนี้จะมีตาน้ำพุเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นน้ำพุก็ไหลริน แล้วกระบี่บินก็พุ่งมาถึง ก่อนที่ตาน้ำพุจะสลายหายไป

นี่ย่อมเป็นกลไกลับที่สูงที่สุดของทางกองทัพต้าหลี เผาผลาญความคิดและจิตใจของผู้ฝึกตนสำนักโม่ต้าหลีไปเยอะมาก แน่นอนว่ารวมถึงเงินเทพเซียนในจำนวนที่น่าตะลึงด้วย

ชุยฉานยังไม่เปิดกระบี่บินอ่านเนื้อความในรายงานอยู่เหมือนเดิม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “มีมนุษย์เป็นรากฐาน ยังไม่ต้องพูดถึงพวกภูตผี เอาแค่อริยะสำนักศึกษาที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่งที่จำเป็นต้องมีระดับขั้นสูง จากนั้นยังต้องคอยไปคิดถึงเรื่องของใต้หล้า เรื่องที่อยู่นอกเหนือจาก ‘มนุษย์’ นี่อยู่เหนือความรู้ของวิญญูชนไปแล้ว วิญญูชนแค่ต้องสร้างพระคุณต่อพื้นที่ของหนึ่งแคว้น แล้วค่อยไปวางแผนสำหรับหนึ่งทวีป จึงเป็นเหตุให้รากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนอยู่ที่ตัวของมนุษย์”

ชุยฉานกล่าวอีก “เฉินผิงอันคิดขอบเขตของวงกลมนี้ขึ้นมาได้ ไม่พูดถึงความรู้ที่มีก่อนหน้า พูดถึงแค่ความใหญ่เล็ก ส่วนอื่นๆ ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่แคว้นชิงหลวนเคยเสนอไว้ ซึ่งบอกว่ากฎหมายบนโลกจำเป็นต้องมีมนุษย์เป็นรากฐาน นี่หมายความว่าการใช้กฎหมายของคนกับภูตผีล้วนไม่เหมาะสมทั้งหมดทุกประการ”

ชุยตงซานเอ่ยถาม “ดังนั้นเจ้าถึงได้มองเหวยเลี่ยงลูกศิษย์สำนักนิติธรรมเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว?”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “ก่อนจะเดินไปถึงสุดปลายทาง ยังพอจะถือว่าเส้นทางแตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถส่งเสริมทฤษฎีคุณความชอบได้อีกด้วย”

ชุยฉานหันหน้ามายิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าไม่ขอให้ข้าช่วยปิดบังภาพเหตุการณ์ที่ท่าเรือ? ไม่กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นหรอกหรือ?”

ชุยตงซานเดินเลียบไปรอบวงบ่อสายฟ้า ตอบอย่างง่ายๆ ว่า “ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่พวกเราครุ่นคิดจนเข้าใจดีแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับความสูงอย่างงานโต้วาทีสามลัทธิที่ซิ่วไฉเฒ่าเข้าร่วมสองครั้งในปีนั้นเลย ความรู้นี้ของเฉินผิงอันไม่ได้ทำให้ใครตกใจตายได้ ส่วนที่ทำให้คนตกใจตายได้อย่างแท้จริงยังคงเป็นถ้อยคำของซิ่วไฉเฒ่าที่ทำให้ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลัทธิพุทธ และขอบเขตไร้มลทินของจิตวิญญาณลัทธิเต๋าขวัญหนีแตกกระเจิงนั่นต่างหาก”

ดูเหมือนชุยฉานจะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ “นี่ถือว่าเฉินผิงอันเดินมาถึงกึ่งกลางภูเขาแล้ว ในมือเขาหิ้วโคมไฟหนึ่งดวงที่แสงไฟส่ายไหวส่องสว่างทางสายเล็กใต้ฝ่าเท้า เจ้าและข้าไม่นับ เพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายที่คนที่พบเห็นมีเพียงแค่จงขุยกับหร่วนซิ่วสองคนเท่านั้น”

ชุยตงซานหยุดเดิน ชำเลืองตามองม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำที่คลี่ปูอยู่บนพื้นตรงหน้าชุยฉานแล้วพูดเหน็บแนม “คนอื่นๆ เห็นแล้วก็มีแต่จะรู้สึกว่าเกะกะสายตาเท่านั้น หากเป็นคนที่เห็นแล้วไม่เข้าใจเลยกลับจะดีกว่าหน่อย แต่ถ้าเป็นพวกที่เห็นแล้วเข้าใจกึ่งครึ่ง หรือก็คือพวกที่อยู่ตรงซ้ายมือสุดของครึ่งวงกลมด้านบน เห็นแล้วก็จะยิ่งใจไม่ดี เรื่องราวและจิตใจคนที่เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันล้วนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กู้ช่าน ผู้ฝึกตนที่เฝ้าหน้าประตูของเกาะชิงเสีย เจ้าคิดว่าหากพวกเขาได้เห็นแล้วจะเป็นอย่างไร? มีแต่จะยิ่งหงุดหงิดใจก็เท่านั้น ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าความสุขและความทุกข์ในชีวิตคนล้วนถูกกำหนดมาแล้ว อย่างน้อยก็พูดถูกครึ่งหนึ่ง มดที่ต้องเกลือกกลิ้งอยู่ในดินโคลนก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิต คนที่ควรจะได้เห็นแสงสว่างน้อยนิดแล้วปีนออกมาจากหลุมอาจมก็ย่อมได้ปีนออกมา สลัดของเน่าเสียบนร่างทิ้ง เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกที่ภายนอกขาเปื้อนโคลนมาเป็นคุณชายผู้มีจิตใจสง่างาม ยกตัวอย่างเช่นหลูป๋ายเซี่ยงผู้นั้น”

สีหน้าของชุยฉานผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

การพูดคุยระหว่างจิ้งจอกเฒ่าและจิ้งจอกน้อยที่ ‘เดิมทีเป็นคนคนเดียวกัน แต่ภายหลังจิตวิญญาณแยกจาก’ คู่นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูเหมือนสอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี ความหมายในคำพูดล้วนจงใจกดระดับความสูงและความหมายของวงกลมบนท่าเรือของเฉินผิงอันเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา

จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบงันกันไป

ชุยฉานเริ่มทยอยเปิดกระบี่บินส่งข่าวทั้งสี่เล่มออกอ่าน

เนื่องจากเงินเทพเซียนที่ต้องใช้ในการประคับประคองให้กระบี่บินเล่มหนึ่ง ‘เดินทางผ่านรอยแยกของแม่น้ำแห่งกาลเวลา’ มหาศาลเกินไป ดังนั้นเนื้อหาของรายงานทุกฉบับจึงมักจะไม่ยาว ส่วนใหญ่จะใช้ถ้อยคำที่สั้นกระชับได้ใจความ

นี่ก็เป็นหนึ่งในผลลัพธ์จากการที่ชุยฉานมุ่งเน้นแก้ไขระบบความยืดยาดของวงการขุนนางหลังจากได้กลายเป็นราชครูต้าหลี

เขาพยายามจะใช้ถ้อยคำที่ขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีล้วนสามารถ ‘ฟังเข้าใจ’

ดูเหมือนว่าชุยฉานจะกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกิจธุระบ้านเมือง

ชุยตงซานพลันเกิดแรงบันดาลใจ เขาท่องประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจเงียบๆ นั่นคือ ‘ถ้อยคำยิ่งใหญ่’ ที่ซิ่วไฉเฒ่าเคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพระใหญ่ท่านหนึ่งที่เดินทางไกลมาถึงใต้หล้าไพศาล

‘ใจข้าส่องสว่าง แล้วยังต้องพูดอะไรอีก’

หลังจากที่ชุยฉานจัดการเรียบเรียงรายงานทางการทหารทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็ไล่ตอบจดหมายไปทีละฉบับ

จากนั้นชุยฉานก็นั่งเงียบๆ ใช้วิธีมองภายในจมจ่อมอยู่กับทารกก่อกำเนิด ‘ชุยฉาน’ ที่อยู่ในจิตวิญญาณ เขานั่งอยู่บนพื้นของช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต ขยับบิดวงโคจรของเส้นตรงของวงกลมบนท่าเรือนั้น ดังนั้นมันจึงกลายมาเป็นภาพปลาคู่หยินหยางที่ปีนั้นมรรคาจารย์เต๋าวาดไว้บนโลกมนุษย์

ครั้นจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ผลักวงกลมนี้ไปด้านข้างเบาๆ จากนั้นจึงหันกลับมามองวงกลมเดิมใหม่อีกครั้ง มองภาพที่ถูกแบ่งเป็นหกส่วนใหญ่ หกส่วน ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยว่าไม่มองจากสูงลงไปต่ำ แต่ให้เดินวนไปรอบวงกลม ถ้าเช่นนั้นก็จะมีแค่การแบ่งซ้ายกับขวาเท่านั้น เคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร โยกย้ายใจคน นี่เรียกว่าสังสารวัฏไม่หยุดนิ่ง!

ยิ่งมองทารกก่อกำนิดในหัวใจของชุยฉานก็ยิ่งสีหน้าเยียบเย็น

ทันใดนั้นชุยฉานก็กระชากจิตวิญญาณออกมา ลืมตาขึ้น นิ้วมือสองข้างในชายแขนเสื้อใหญ่ข้างหนึ่งทำมุทราอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดเริ่มต้นเป็นตัวอักษร ‘เหยา’

ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น

“ชุยตงซาน!”

“ชุยฉาน!”

หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มตะโกนชื่อของอีกฝ่ายออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน

ชุยตงซานรีบหยิบภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาที่เคยให้เผยเฉียนดูออกมาวางไว้บนพื้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนชุยฉานก็รีบมาหยุดอยู่ตรงริมขอบของบ่อสายฟ้าสีทองของชุยตงซาน พูดเสียงหนัก “เลือกมาแค่ภาพของคนแซ่เหยาที่เป็นหัวหน้าเตาเผามังกร! ทั้งหมด!”

ชุยตงซานอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ตาแก่หยางเหล่าโถวผู้นั้นเป็นตะพาบเฒ่ายิ่งกว่าเจ้าเสียอีก! ต้องเป็นเขาที่จงใจปกปิดร่องรอยทั้งหมดของหัวหน้าช่างเหยา ใช้กลยุทธปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทร การอนุมานอย่างไม่ตั้งใจของพวกเราก่อนหน้านี้ เดิมทีก็เป็นเพราะถูกหยางเหล่าโถวชักนำเข้าไปในร่องน้ำเน่า! มารดามันเถอะ นี่ต้องเป็นการค้าครั้งหนึ่งระหว่างหยางเหล่าโถวกับหัวหน้าช่างเหยาแน่นอน! ชุยฉาน เจ้าและข้าห้ามตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเด็ดขาด ข้าชุยฉานสามารถถูกสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อบีบให้ตายได้ ถูกสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าบดขยี้ให้ตายได้ แต่จะไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทางตายเพราะความโง่เด็ดขาด!”

ด้วยความร้อนใจ ชุยตงซานถึงขั้นไม่ถือสาที่เรียกตัวเองผิดว่า ‘ชุยฉาน’ แล้ว

ยิ่งคิดชุยตงซานก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง ถึงกับเปิดปากสบถด่าโดยตรง “ฉีจิ้งชุนตาบอดหรือไง?! เขามีฝีมือหมากล้อมสูงส่งจนเจ้านครจักรพรรดิขาวต้องมองเป็นคู่ต่อสู้ไม่ใช่หรือ? ห้าสิบเก้าปีก่อนของถ้ำสวรรค์หลีจู หากไม่พูดถึงมัน เขาฉีจิ้งชุนก็แค่ผิดหวังเท่านั้น แต่หลังจากที่เขาตัดสินใจเลือกเอาความผิดหวังส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นไปฝากไว้บนตัวเฉินผิงอันแล้ว ทำไมเขายังไม่จัดการเสียบ้าง? ได้ยินแล้วก็แสร้งทำเป็นหูทวนลม เห็นแล้วก็แสร้งดูดายอย่างนั้นรึ?! ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าในฐานะที่ลัทธิพุทธคือผู้ที่รับเงินค่าเช่าสามพันปีของถ้ำสวรรค์หลีจู ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน! ไม่แน่ว่าภิกษุที่บำเพ็ญทุกรกิริยาผู้นั้นก็อาจจะเป็นแค่เวทอำพรางตา!”

เมื่อเทียบกับความเป็นเดือดเป็นแค้นของชุยตงซาน ชุยฉานนับว่าสุขุมกว่ามาก เขาถามว่า “กระบี่บินสองเล่มที่อยู่บนร่างเฉินผิงอัน ก่อนที่จะมีชื่อว่าชูอีกับสืออู่ ชื่อเดิมที่แท้จริงของพวกมันคืออะไรกันแน่?”

ชุยตงซานขมวดคิ้ว “ข้ารู้แค่กระบี่เล่มที่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าชูอี ได้มาจากที่แคว้นหวงถิง หลังจากที่ม้วนภาพวาดภูเขาแม่น้ำของซิ่วไฉเฒ่าเกิดรอยปริแตก ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เดินออกมาจากภาพวาดแล้วมอบมันให้แก่เฉินผิงอัน ส่วนสืออู่กระบี่บินเล่มที่สอง เป็นหยางเหล่าโถว ตะพาบเฒ่าอายุหมื่นปีที่อยู่มานานพอๆ กับนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นตงไห่นั่น เอามาแลกเปลี่ยนกับของผุพังไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียวของเฉินผิงอัน เขาเป็นฝ่ายมอบมันให้เฉินผิงอันเอง หยางเหล่าโถวบอกว่าชื่อสืออู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อผายลมสุนัขที่ตั้งขึ้นอย่างส่งเดชเพื่อให้คล้องจองกับชูอีของเฉินผิงอัน”

ชุยฉานก้มหน้าลงจ้องนิ่งไปยังภาพม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลา แล้วใช้เวทลับเฉพาะดึงเอาภาพบางช่วงบางตอนออกมาจากภายใน

ชุยตงซานยื่นนิ้วชี้ไปที่นอกหอเรือน สบถด่าเสียงดัง “ฉีจิ้งชุนตามืดบอด ซิ่วไฉเฒ่าก็เป็นบ้าตามไปด้วยหรือไง?”

ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยเมย “ใครกันที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจแทบตายเพื่อให้เฉินผิงอันหันไปศึกษาพุทธคัมภีร์?”

ชุยตงซานถ่มน้ำลายออกไปนอกบ่อสายฟ้าสีทองอย่างแรงจนมันพุ่งเฉียดศีรษะของชุยฉานไป “ไสหัวมารดาเจ้าไปไกลๆ เลย หากไม่ใช่เจ้าที่วางแผนนี้ขึ้นมาเพื่อทำร้ายพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ ข้าจะต้องให้เฉินผิงอันไปอ่านคัมภีร์ดั้งเดิมของสามลัทธิร้อยสำนักพวกนั้นด้วยหรือไง?”

ชุยฉานไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงสะบัดชายแขนเสื้อ น้ำลายนั้นก็กระแทกกลับเข้าไปที่ใบหน้าของชุยตงซาน

ชุยตงซานเช็ดหน้าลวกๆ ยังคงด่าฟ้าด่าดินด้วยความโมโหไม่หาย

ดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้เฒ่าเหยา’ ตามที่เฉินผิงอันเรียกจบไปเป็นรอบที่สอง

ชุยฉานถึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อย่าลืมล่ะว่า ยังมีใบไหวอักษร ‘เหยา’ ที่ฉีจิ้งชุนช่วยขอมาให้เฉินผิงอันอีก ใบไหวร่มเงาบรรพบุรุษมีมากมายขนาดนั้น แต่กลับมีแค่ใบเดียวนี้ร่วงลงมา ดึงแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงนี้ออกมา พวกเรามาดูกัน”

ชุยตงซานทำตามคำสั่ง

หากเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ชุยตงซานไม่เคยอิดออดงอแง

บนม้วนภาพ หลังจากที่ฉีจิ้งชุนขอใบไหวเพียงใบเดียวที่ยินดีหลุดจากขั้วมาให้เฉินผิงอันได้แล้ว เขาเคยหันหน้ากลับมามองยังจุดที่สูงที่สุดของพุ่มใบไหว แล้วคลี่ยิ้มที่แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยัน

สายตานี้ที่ฉีจิ้งชุนมองมา

พอดิบพอดีกับที่คนทั้งสอง ‘ก้มมอง’ ม้วนภาพวาดในอีกหลายปีถัดมา คนสามคนของสองฝ่ายคล้ายมองประสานสายตากันข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา

ความบังเอิญ?

หรือจงใจ?

ในใจชุยตงซานขนลุกขนชัน สีหน้าชุยฉานมืดทะมึน

ชุยตงซานพึมพำ “ฉีจิ้งชุนกำลังเย้ยหยันที่เหล่าบรรพบุรุษแซ่สกุลที่มีร่มเงาต้นไหวตาไม่มีแวว หรือกำลังหัวเราะเยาะพวกเราสองคนที่เดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หรือว่า ทั้งสองอย่างเลย?”

ชุยฉานปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา

เริ่มขัดเกลาและอนุมานเรื่องนี้อยู่เงียบๆ

ชุยตงซานนั่งแปะลงบนพื้น โอดครวญว่า “พวกเราทำอะไรกันแน่? เจ้าตะพาบเฒ่า ตบะเจ้าสูงกว่าข้า อายุมากกว่า เคยกินเหล็กเข้าไปมากกว่า! (สมัยโบราณสอนกันมาว่า เวลาจะกินเต่า ตอนที่เอาเครื่องในของมันออกให้ใส่ก้อนเหล็กลงไป ก้อนเหล็กในที่นี้หมายถึงก้อนเหล็กที่ใช้ถ่วงตาชั่งน้ำหนักสมัยโบราณ เพื่อกดตัวของเต่าเอาไว้ เวลาต้มมันจะได้ไม่ลอยขึ้นมา และเป็นคำเปรียบเปรยว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาด) ไหนเจ้าลองพูดมาสิ? ตอนนี้ข้าอัดอั้นตันใจจะตายอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่ตอนนี้ผืนนาหัวใจของอาจารย์ข้าแห้งขอด ไม่สามารถขยับมือเขียนตัวอักษรบนท่าเรือนั้นได้อีกแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เหนื่อยใจมากเหมือนกัน ด่าเจ้าไม่ไหวแล้วล่ะ”

ชุยฉานแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด

ชุยตงซานเกาหัวด้วยสองมือ “ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง อาจารย์กลุ้มใจ ศิษย์ก็กลุ้มใจ มีสุขไม่เคยได้ร่วมเสพ แต่มีทุกข์กลับต้องร่วมกันต้าน ไม่รู้จะใช้ชีวิตต่ออย่างไรแล้ว ไม่รู้แล้ว ไม่รู้แล้ว”

ชุยฉานพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้ากลัวฉีจิ้งชุนยิ่งกว่าข้า ดังนั้นข้ารู้ว่า อันที่จริงช่วงแรกของการทำลายสถานการณ์บนกระดานหมาก เจ้าหวังให้ฉีจิ้งชุนตายไปอย่างสิ้นเชิงยิ่งกว่าข้าเสียอีก แต่ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม หวังว่าจิตวิญญาณของฉีจิ้งชุนจะไม่ดับสลายอีกครั้งใช่หรือไม่?”

ชุยตงซานเงียบงันเป็นคำตอบ

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปที่ภาพม้าวิ่ง “เก็บไปเถอะ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มาเดาจุดประสงค์ของฉีจิ้งชุนเอาตอนนี้ ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไหร่แล้ว”

ชุยตงซานขยับก้นกระเถิบเข้ามาใกล้ภาพม้าวิ่งทีละนิด ก่อนจะตบป้าบลงบนใบหน้าของฉีจิ้งชุน ดูคล้ายจะยังไม่หายแค้นจึงตบอีกสองที “ใต้หล้ามีศิษย์น้องที่เล่นงานศิษย์พี่อย่างเจ้าด้วยหรือ? หา? มาสิ แน่จริงเจ้าก็พูดออกมาเลย ดูสิว่าคราวนี้ข้าจะตอกกลับเจ้าให้หน้าหงายหรือไม่…”

ชุยฉานกล่าว “ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง?”

ชุยตงซานเก็บภาพม้าวิ่งไปอย่างขุ่นเคือง

ชุยฉานเปลี่ยนเรื่องคุย “ในเมื่อเจ้าพูดถึงการตอกกลับ ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า มีครั้งหนึ่งที่เถียงชนะสองลัทธิพุทธเต๋า พอซิ่วไฉเฒ่ากลับมาถึงโรงเรียนแล้ว เขากลับไม่ได้ดีใจสักเท่าไหร่ กลับกันยังดื่มเหล้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พูดอย่างปลงอนิจจังกับพวกเราว่า หวนนึกถึงปีนั้นที่พวกชาวบ้านไร้นามไร้สัญชาติในประวัติศาสตร์ได้พบเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งบนเส้นทางโดยบังเอิญ พวกเขาก็ยังกล้าตอกกลับไปด้วยหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างไม่เกรงกลัว บางคนที่เข้าใจก็หัวเราะร่าเสียงดัง บางคนที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องก็โต้เถียงดังลั่น ข้าจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเล่าเรื่องพวกนี้ สีหน้าฮึกเหิมของเขามองดูแล้วเลื่อมใสศรัทธายิ่งกว่าตอนที่โต้วาทีกับสองลัทธิพุทธเต๋าเสียอีก นี่เป็นเพราะอะไร?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจทะเยอทะยานของซิ่วไฉเฒ่าสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า!”

ชุยฉานถามคำถามชุดใหญ่รัวมารวดเดียว “ทำไมการเล่าเรียนเขียนอ่านในปัจจุบันนี้ถึงสบายกว่ายุคบรรพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนบนโลกกลับยิ่งไม่เกิดความเคารพยำเกรงต่อหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์และอริยะร้อยสำนักทุกที? ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถึงขั้นรู้สึกว่าความรู้ของตนต้องไม่มีทางสูงถึงอริยะปราชญ์ คนในยุคปัจจุบันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสู้คนโบราณได้ เหตุใดยิ่งความรู้บนโลกเพิ่มสูงขึ้น จิตใจของคนรุ่นหลังถึงยิ่งต่ำลง?”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “คงเป็นเพราะมีชีวิตสุขสบายมากขึ้นทุกที พวกเราถึงได้ปฏิบัติต่อโลกใบนี้ดุจคนหัวทึบมากขึ้น ก็เหมือนเหล่าองค์เทพที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในอดีต”

ชุยฉานหรี่ตาลง “สำหรับพวกเราแล้ว ขอแค่ผ่านพ้นหายนะใหญ่จากนี้ไปได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีมากหรอกหรือ?”

ชุยตงซานสีหน้าแข็งทื่อ

ชุยฉานหัวเราะเสียงเย็น “เสียใจภายหลังแล้วรึ?”

ชุยตงซานสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

สำหรับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไร้ขื่อไร้แป ไม่แยแสสิ่งใดแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชุยฉานพลันลุกขึ้นยืน “เจ้าได้อาจารย์ที่ไม่เลว คนอื่น ยกตัวอย่างเช่นคนเก้าจุดเก้าส่วนในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ต่อให้ถูกเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้นโยนเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวเหมือนกัน อย่าว่าแต่สามร้อยปีเลย ต่อให้พวกเขาได้เห็นกาลเวลาถึงสามพันปีก็คงยังมองอะไรไม่ออก”

ชุยตงซานกล่าวอย่างกังขา “พูดเรื่องนี้ทำไม? ทุกครั้งที่เจ้าพูดจาน่าฟัง ข้าจะต้องขนลุกขนชันทุกที”

ชุยฉานมองดวงจันทร์และทะเลสาบที่อยู่นอกหอเรือน “ตอนนี้กิจธุระของต้าหลีที่ต้องจัดการมีมากมาย ข้าไม่สามารถมานั่งรับข่าวจากกระบี่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่นี่ได้ทุกวัน เพราะมันจะถ่วงงานสำคัญที่แท้จริงของเจ้าและข้า ข้าไม่เหมือนกับเจ้า หลุมคราวนี้เฉินผิงอันข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่ข้ากลับยืนอยู่ในจุดที่ไร้พ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นการแบ่งหลักรองระหว่างเจ้าและข้าก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”

ชุยตงซานไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนไม่แปลกใจที่ชุยฉานจะจากไป

แต่เขาแอบกลอกตาอยู่เงียบๆ

ชุยฉานที่หันหลังให้ชุยตงซานพูดขึ้นว่า “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าจงเอาความองอาจออกมาใช้เสียบ้าง อย่าคิดฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ทำเรื่องน่าอายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากเจ้าทำแบบนั้น ข้าจะผิดหวังในตัวเจ้ามาก”

ชุยตงซานที่นั่งอยู่บนพื้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ เหมือนกำลัง ‘กวาดพื้น’

ชุยฉานกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่จากไป มีคำถามอะไรก็รีบถาม”

ชุยตงซานเองก็ไม่เกรงใจ ถามทันทีว่า “จะปล่อยให้หลิวเหล่าเฉิงสังหารกู้ช่านจริงๆ หรือ? เจ้าไม่คิดจะจัดการบ้างเลยหรือไง?”

ชุยฉานส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางตันครั้งนี้มากนัก อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน จะต้องสนใจว่าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่งจะเป็นหรือตายไปทำไม? สังหารกู้ช่าน หลิวเหล่าเฉิงก็ยังต้องทำการค้ากับต้าหลีของพวกเราอยู่ดี ก็แค่เปลี่ยนจากหลิวจื้อเม่าเป็นหลิวเหล่าเฉิงก็เท่านั้น เจ้าเห็นไหม แม้แต่แซ่ก็ยังเหมือนกัน อันที่จริงเป็นอย่างนี้จะดียิ่งกว่า ตัวหลิวจื้อเม่าไม่สามารถกำราบผู้คนได้ พฤติกรรมของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ต่างจากนิสัยหน้าไหว้หลังหลอกของวงการขุนนางในราชวงศ์ที่เน่าเฟะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้เปลี่ยนมาเป็นหลิวเหล่าเฉิง คนผู้นี้รู้สถานการณ์ใหญ่ดีกว่า วันหน้าเมื่อร่วมมือกับต้าหลีของเขาก็จะยิ่งราบรื่นมากกว่า ไม่เหมือนหลิวจื้อเม่าที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ดีแต่จะรับผลประโยชน์ เวลาให้ทำงานขึ้นมาจริงๆ ก็มีใจแต่ไร้กำลัง ง่ายที่จะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการมอบโอกาสให้หลิวจื้อเม่านั่งลงต่อรองราคาอีกด้วย ดังนั้นหลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพแล้วย่อมต้องรอให้ได้ราคาดีแล้วค่อยขาย ราคาก็จะต้องสูงขึ้น ช่วงแรกเริ่มต้าหลีคงต้องขูดเนื้อตัวเองเพิ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากมองในระยะยาว ต้าหลีก็ยังพอจะได้กำไรกลับคืนมา”

ชุยตงซานรีบถามอีก “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก มีโอกาสหนึ่งในหมื่นที่จิตหยินของฉีจิ้งชุนยังไม่ดับสลายไปจริงๆ ล่ะ เจ้าจากไปเช่นนี้ หากเขามาจะทำอย่างไร?”

ชุยฉานตอบ “ข้าย่อมต้องทิ้งวิธีรับมือเอาไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็เหมือนที่ลัทธิเต๋าทิ้งเจ้าลัทธิลู่ไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจูนั่นแหละ ข้าไม่ใช่เจ้า เรื่องที่ข้าพูดไปแล้ว ข้าย่อมทำได้ เลิกเดาได้แล้ว หากเจ้าข้ามบ่อสายฟ้าออกมา ไม่รักษากฎ ข้าก็มีวิธีอื่นที่ใช้เล่นงานเจ้ารออยู่เหมือนกัน”

ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไร คราวนี้เขาโบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้างกวาดพื้นไปพร้อมกัน

ชุยฉานกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนที่ไม่เอาไหนก็ไม่ต่างอะไรจากหนูตัวหนึ่งที่ปล่อยให้สภาพแวดล้อมรอบกายตนเป็นผู้ตัดสิน หนูไม่มีทางรู้เลยว่าการที่ตนเคลื่อนย้ายอาหารก็คือการขโมยของ”

เขาหันหน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมนุษย์อย่างพวกเราล่ะ? บรรลุมรรคาเป็นอมตะมิเสื่อมสลาย หากในจุดที่สูงขึ้นไปมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราไม่รู้จักอยู่จริง มันกำลังมองมาที่พวกเรา แล้วมนุษย์อย่างพวกเรากำลังทำอะไร?”

ชุยตงซานพึมพำ “เรื่องที่คิดจนกระจ่างแจ้งมาตั้งนานแล้ว ยังจะเอามาถามข้าอีกทำไม ก็ไม่ใช่เพราะว่าขบคิดจนเข้าใจ พวกเราถึงได้เลือกจะทำเรื่องนั้นหรอกหรือ ดังนั้นในบรรดาคนสี่คนของม้วนภาพวาดพื้นที่มงคลดอกบัว จูเหลี่ยนคนที่น่าสนใจที่สุดคนนั้นถึงได้เลือกจะมองไฟชายฝั่งจนได้คำตอบที่ถูกต้อง บอกว่าเจ้าและข้าคือคนที่เห็นปลาในเหวลึกย่อมไม่เป็นมงคล”

ชุยฉานหัวเราะทันใด “ข้ากลัวนักว่าเจ้าจะกลายเป็นกู้ช่านคนถัดไป กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ข้ากับฉีจิ้งชุน ถ้ำสวรรค์หลีจู ทะเลสาบซูเจี่ยน ล้วนเป็นการช่วงชิงแห่งวิญญูชนทั้งสองครั้ง”

ชุยตงซานทำสีหน้าปั้นยาก

ชุยฉานกล่าว “เจ้าอาจจะกังขา นี่หมายความว่าครั้งนี้ข้าเองก็เคยสงสัยในตัวเองเช่นกัน แต่ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า นี่คือการช่วงชิงแห่งวิญญูชน”

ชุยตงซานถามอีก “ฉีจิ้งชุนสามารถมองดูจ้าวเหยาหันไปเข้าสายบุ๋นอื่นได้คาตาตัวเอง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ยังอยู่ในลัทธิขงจื๊อ และฉีจิ้งชุนก็สามารถทิ้งตำราสามเล่มไว้ให้กับซ่งจี๋ซิน เป็นการอธิบายแก่นแท้ของสำนักนิติธรรมให้แก่ซ่งจี๋ซิน เพราะนี่เป็นการช่วงชิงระหว่างลัทธิขงจื๊อกับสำนักนิติธรรม ไม่ถือว่าเกินว่าเหตุ แต่หากฉีจิ้งชุนผลักเฉินผิงอันเข้าไปสู่ลัทธิพุทธ แล้วเฉินผิงอันไม่หันย้อนกลับมาอีก นี่จะกลายเป็นอย่างไร? ต่อให้ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วจะเกิดความคิดที่ลึกล้ำต่อพระธรรมของลัทธิพุทธ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าเขาจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์แล้วหันเข้าหาพระธรรมได้จริงๆ สำหรับข้อนี้ข้าเชื่อมั่นอย่างไร้ความกังขา ถ้าอย่างนั้นสำหรับฉีจิ้งชุนแล้ว เฉินผิงอันคือศิษย์น้องเล็ก? คือผู้ถ่ายทอดมรรคา ผู้ปกป้องมรรคาของหลี่เป่าผิง จ้าวเหยา ซ่งจี๋ซินสามคน? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดควันธูปที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนกันแน่?! หรือว่าจะไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง?”

ชุยฉานหัวเราะร่า “ไม่รู้สิ”

ชุยตงซานพึมพำ “ว่าแล้วเชียว”

ชุยฉานพูดกับชุยตงซานเหมือนผู้อาวุโสให้คำชี้แนะเด็กรุ่นหลัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันหน้าอย่าพูดกับใครว่า ‘ข้ายอมแพ้’ อีก จิตวิญญาณเช่นนั้นของคนง่ายที่จะดิ่งลงเหว แต่กลับยากที่จะดึงขึ้นมาใหม่ คนที่เล่นหมากล้อม หากในใจยอมแพ้ก็แค่โยนเม็ดหมากลงบนกระดาน มีใครบ้างที่เปิดปากพูดว่าข้ายอมแพ้แล้ว?”

ชุยตงซานหมดอารมณ์จะคุยต่อ “เลิกเจ้ากี้เจ้าการกับข้าเสียที พวกเราไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว”

ชุยชานไม่ได้เก็บม้วนภาพวาดบนพื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเขาคิดจะทิ้งไว้ให้กับชุยตงซาน สุดท้ายเขายิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าควรจะพูดอย่างปลงอนิจจังด้วยประโยคทำนองว่า อาจารย์ของข้าช่างมีความทุกข์ยากมากจริงๆ”

ชุยตงซานไม่ได้โต้เถียง กลับกันยังพูดคล้อยตาม “มองภูเขาเขียวไกลๆ ช่างงามตา ตัวอยู่บนทางภูเขาจึงรู้ว่าเดินยาก และยังอาจพบเจอโจรภูเขากลางทาง”

ชุยฉานก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ประหนึ่งข้ามผ่านประตู แล้วร่างของเขาก็หายวับไป

หลังจากแน่ใจว่าชุยฉานจากไปแล้วจริงๆ ชุยตงซานถึงยกสองมือขึ้น ม้วนชายแขนเสื้อ ด้านหน้ามีกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีเพิ่มมาอีกสองใบ

เขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

แล้วเริ่มวางหมากห้าเม็ด

……

ประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันรีบร้อนเดินทางจากต้าหลีมายังทะเลสาบซูเจี่ยน

เมื่อมาถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนก็โดยสารรถม้ามาถึงนครน้ำบ่อริมทะเลสาบ ทัศนียภาพที่พบเห็นมาตลอดทางคือภาพบรรยากาศของภูเขาสวยน้ำใส น้ำค้างแข็งพร่างพรมยามราตรี ใบไม้เขียวแดงเหลือง บ้างสีเข้มบ้างสีอ่อน

หลังจากนั้นก็ได้พบกับกู้ช่าน ได้เห็นภาพของทะเลสาบที่อากาศเย็นสบาย ก่อนที่ไอน้ำจะค่อยๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อากาศในทะเลสาบซูเจี่ยนเยือกเย็น กลางคืนยาวนาน ไอน้ำลอยแผ่อบอวลไปทั่ว ตอนที่เฉินผิงอันไปช่วยพ่อลูกของนครอวิ๋นโหลวคู่นั้น ก็ได้ไปเยือนด่านชายแดนของแคว้นสือหาวมารอบหนึ่ง ได้เห็นภาพบรรยากาศอีกอย่างหนึ่งที่ถูกกั้นขวางด้วยเส้นชายแดน ภาพทุ่งหญ้าซีดขาวเพราะเพิ่งผ่านน้ำค้างลง เสียงแมลงตามพุ่มไม้ดังเซ็งแซ่ บริเวณโดยรอบไร้เงาผู้คน

กลับมาถึงเกาะชิงเสียก็เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว น้ำเริ่มจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ไก่ฟ้าลงน้ำกลายเป็นภาพมายา (เป็นคำกล่าวสมัยโบราณ เพราะคนโบราณคิดว่าเมื่อเข้าหน้าหนาว พวกสัตว์ปีกจะกลายเป็นหอยกาบที่ไปหลบความหนาวเย็นอยู่ใต้ทะเลสาบ)

ตอนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามเกาะต่างๆ เนื่องจากเข้าใจประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงและขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างละเอียด เฉินผิงอันจึงตั้งใจใช้เวลาครึ่งวันไปเฝ้าอยู่บนเกาะจิ่นจื้อเพื่อรอชมภาพ ‘ไก่ป่าลงทะเลสาบกลายเป็นภาพมายา’ โดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ยากอย่างถึงที่สุด ได้แต่อาศัยโชคช่วยเท่านั้น ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันได้เห็นปลาตะเพียนข้ามภูเขาก็เพราะอดทนรออยู่นาน ถึงได้มีโอกาสหาปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองตัวนั้นเจอ ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่อาจเอาเวลามากมายไปเผาผลาญอยู่กับการเสี่ยงดวง จึงได้แต่จากมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย

คนเราจะเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างอัดอั้นจนตายไม่ได้ ต้องรู้จักหาความสุขจากความทุกข์ หาวิธีมาผ่อนคลายความกลัดกลุ้มเสียบ้าง

หวังว่าจะได้เห็นภาพไก่ฟ้าลงน้ำกับตาตัวเองเป็นเช่นนี้ ไปสอบถามเรื่องราวของหงซูคนเฝ้าประตูจวนจูเสียนของเกาะชิงเสียก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อมาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็แทบจะไม่ได้ดื่มเหล้า มีบ้างบางครั้งที่ดื่มอึกสองอึกเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ยามพลบค่ำวันสุดท้ายของปี ลมหนาวพัดผ่านต้นไม้แห้งกิ่งไม้ส่ายเอน นกกาตกใจสะบัดปีกบินจากไปไวว่อง

และในขณะที่เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างเนิบช้า ทางฝั่งเกาะกงหลิ่วยังคงทะเลาะถกเถียงกัน ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวไปเงียบๆ บางทีวันใดวันหนึ่งเงยหน้ามองไป สิ่งที่ปรากฎสู่สายตาอาจเป็นภาพที่สีเหลืองบนพืชพรรณอ่อนจาง สีเขียวแห่งฤดูใบไม้ผลิแตกหน่อขึ้นใหม่นั้นเอง

อยู่ดีๆ วันหนึ่ง

ทางฝั่งของเกาะกงหลิ่วก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว กู้ช่านพาหนีชิวน้อยมาที่ประตูภูเขา มาหาเฉินผิงอันที่กำลังศึกษาวิชาลับวิชาหนึ่งที่เว่ยป้อถ่ายทอดให้ เล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว ในกลุ่มกองกำลังที่คัดค้าน เจ้าเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ที่เสียงดังที่สุด ก่อนหน้านี้ได้โวยวายบอกว่าทางฝั่งของพวกเขาและเกาะกงหลิ่วจะต้องส่งคนมาสามถึงห้าคน ใครชนะคนนั้นก็เสนอตัวเลือกของคนที่จะได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ แต่ในขณะที่เกาะชิงเสียกำลังจะตกปากรับคำนั้นเอง เจ้าเกาะผู้เฒ่าของเกาะชิงจ่งและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะเทียนหมู่ เซียนดินผู้แข็งแกร่งสองคนที่มีหวังว่าจะต่อสู้อยู่บนเวทีได้ดีที่สุด อยู่ดีๆ กลับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างน่าประหลาดใจพร้อมกันภายในค่ำคืนเดียว

เนื่องจากสถานการณ์พลิกผันอย่างฉับพลัน เจ้าเกาะลี่ซู่ที่ถูกบีบให้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ได้ไปหาหลิวจื้อเม่าบนเกาะกงหลิ่วเพียงลำพัง หลังจากพูดคุยกันอย่างลับๆ จบก็น่าจะเจรจาตกลงเงื่อนไขบางอย่างกันได้

หลิวจื้อเม่าก็ได้นั่งบนบัลลังก์ของเจ้าแห่งยุทธภพเช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเลยแม้แต่น้อย (เปรียบเปรยว่าของกล้วยๆ ง่ายดายอย่างยิ่ง) ต้องรู้ว่าในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ของเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งซึ่งรวมถึงหูเถียนจวินที่เป็นลูกศิษย์ของเขา ล้วนเตรียมพร้อมสำหรับสงครามนองเลือดเอาไว้แล้ว ท่ามกลางศึกที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องอำมหิตไร้ปราณีนี้ ไม่ว่าใครก็อาจตายได้ แต่หลิวจื้อเม่าและกู้ช่านต้องไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน สำหรับเรื่องนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แล้วก็ไม่มีคำบ่นคำตำหนิอะไรมากนัก แต่ความไม่พอใจก็อาจเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะไปบังคับกะเกณฑ์ได้

คาดว่าแม้แต่ยามหลับสกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นก็คงยังหัวเราะเสียงดังกระมัง

เฉินผิงอันได้ยินข่าวนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย

เรื่องบางเรื่องเขาพอจะเดาออก ยกตัวอย่างเช่นมีความเป็นไปได้มากว่าเกาะลี่ซู่อาจจะเป็นหมากของสกุลซ่งต้าหลี การที่เกาะชิงจ่งและเทียนหมู่บาดเจ็บสาหัสก็น่าจะเป็นวิธีการลงมืออย่างลับๆ ของราชครูชุยฉาน

ทว่าเรื่องบางเรื่องเฉินผิงอันเดาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่นว่าราชวงศ์จูอิ๋งจะยังมีวิธีรับมือที่รออยู่ภายหลังหรือไม่ หากมี จะเป็นใคร ถึงเวลานั้นการโจมตีปานฟ้าผ่าที่หวังพลิกเปลี่ยนสถานการณ์จะพุ่งเป้าไปที่หลิวจื้อเม่า กู้ช่านหรือหนีชิวน้อย? หรือว่าจะยอมถอยห่างไปโดยตรง? ราชวงศ์จูอิ๋งที่ควันสงครามปะทุขึ้นตลอดทั้งแถบชายแดน อันที่จริงแม้แต่ตัวเองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอดแล้ว พวกเขาจะเลือกสละพื้นที่ที่เป็นดั่งซี่โครงไก่อย่างทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ไปเลยหรือไม่?

ไม่แน่ว่าแม้แต่อิทธิพลแฝงจากการที่ตนมาอยู่บนเกาะชิงเสียก็อาจจะอยู่ในแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้นอยู่แล้ว นี่น่าจะเรียกว่าใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุดกระมัง?

เฉินผิงอันแค่บอกกับกู้ช่านว่า ทางที่ดีที่สุดช่วงนี้อย่าออกไปไหนง่ายๆ ระวังราชวงศ์จูอิ๋งจะแว้งกัดอย่างคลุ้มคลั่ง

กู้ช่านพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเรื่องนี้เขาย่อมคิดได้อยู่แล้ว และหลิวจื้อเม่าก็เอ่ยเตือนเขาเช่นกันว่าช่วงนี้อย่าได้หลงระเริง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่ใครจัดขึ้นก็ไม่ต้องไปเข้าร่วม แค่ต้องรอสักสองสามเดือน ถึงเวลานั้นต่อให้จะไปฉี่รดหน้าประตูศาลบรรพจารย์ของเกาะชิงจ่งและเกาะเทียนหมู่ก็ยังไม่มีใครกล้าว่า ดังนั้นหลิวจื้อเม่าจึงระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ แม้แต่งานเลี้ยงฉลองที่ตัวเองได้ขึ้นรับตำแหน่งก็ยังจงใจเลื่อนไปจัดช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า กลัวก็แต่ว่าถึงเวลานั้นเมื่อเกาะชิงเสียเปิดค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำแล้ว คนที่มาร่วมแสดงความยินดีมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน หากตอนนั้นมีใครจ้วงมีดแทงใส่เข้าจริงๆ เกาะชิงเสียก็คงต้องบาดเจ็บถึงกระดูกและเส้นเอ็น

ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กเคียงข้างกับกู้ช่าน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง

ในฤดูหนาวเช่นนี้ นกที่บินผ่านทะเลสาบแทบจะไม่เคยปรากฏให้เห็น มีบ้างแค่บางครั้งเท่านั้น

นี่แสดงว่าหิมะน่าจะใกล้ตกแล้ว

หลังจากกู้ช่านกลับไป เฉินผิงอันก็เดินมาที่ท่าเรือ ครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆ

และยามพลบค่ำของวันนี้เอง

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือพลันเงยหน้าขึ้น ก้าวเร็วๆ ไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง

เห็นเพียงว่านอกเกาะชิงเสียมีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ เขาแค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ข้าชื่อหลิวเหล่าเฉิง มาที่นี่เพื่อมาพบกู้ช่าน ใครที่ไม่เกี่ยวข้องจงไสหัวไปให้หมด ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องใครที่ช่วยเก็บศพให้พวกเจ้าต้องตาย ตายจนกระทั่งไม่มีคนมาเก็บศพอีกต่อไป”

ไม่รอให้เสียงของถ้อยคำสุดท้ายจางหาย ผู้ฝึกตนเฒ่าก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์สีเหลืองที่ส่องประกายสีทองหลายแผ่นพุ่งออกไปเป็นเส้นโค้งติดต่อกัน สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นวงกลมใหญ่วงหนึ่ง ราวกับว่าจะรัดคอเกาะชิงเสียทั้งเกาะเอาไว้

ข้างกายผู้ฝึกตนเฒ่ามีกายธรรมร่างทองสูงร้อยจั้งตนหนึ่งลอยขึ้นมา บนร่างสวมชุดเกราะวิเศษลักษณะประหลาดที่มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชติช่วง มีหนึ่งถือขวานยักษ์ อีกมือหนึ่งถือตราประทับที่มีชื่อว่า ‘ตราประทับเทพวิญญาณเพลิงทอง’ คือหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญที่สุดของหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีโชคชะตาน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ปีนั้นหลิวเหล่าเฉิงกลับสามารถใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไฟชิ้นนี้สังหารผู้คนจนเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วหลายเกาะ ศพของผู้ฝึกตนลอยเกลื่อนอยู่เหนือผิวทะเลสาบ

ยันต์ทำลายค่ายกลที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเหล่านั้นหดอาณาเขตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ‘ฝังเลื่อม’ อยู่ในค่ายกลภูเขาและน้ำของเกาะชิงเสีย หลังจากที่ยันต์แต่ละแผ่นระเบิดดังปัง ค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาก็พังทลายจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่จำนวนมาก หากไม่เป็นเพราะอาศัยแกนกลางของค่ายกลที่กักตุนเงินเทพเซียนกองโตเป็นภูเขา บวกกับเถียนหูจวินและเหล่าผู้ถวายงานคนสนิทหลายคนร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องแซมแซมค่ายกลอย่างสุดชีวิต ค่ายกลแห่งนี้ก็อาจจะพังทลายลงมาในเสี้ยววินาที ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น ตลอดทั้งเกาะก็ยังเริ่มแผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน ปราณวิญญาณซัดตลบวุ่นวาย

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่หายตัวไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนนานหลายปีท่านนี้ไม่คิดจะพูดอะไรที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

กายธรรมใหญ่ยักษ์ข้างกายหลิวเหล่าเฉิงเงื้อขวานจามลงไปทีเดียวก็ฟันผ่าให้ค่ายกลพิทักษ์เกาะชิงเสียที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลายแตกย่อยยับได้คาที่

จุดดำจุดหนึ่งพุ่งออกจากจวนชุนถิงมาเผยร่างจริงอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกลายร่างเป็นเจียวหลงใหญ่ยักษ์ยาวสามร้อยกว่าจั้งที่พุ่งเข้าชนกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบท่านนั้น

เจียวหลงพุ่งเข้ารัดพันกายธรรมร่างทองในเสี้ยววินาที แล้วพากันกระแทกลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์โถมเทียมฟ้า

กายธรรมไม่ได้หงายหลังล้มตึงลงในน้ำ แต่สองเท้าปักตรึงอยู่ใต้ทะเลสาบ ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง

เนื่องจากอยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย น้ำทะเลสาบของจุดนี้จึงไม่ถือว่าลึกมากนัก สองเท้าของกายธรรมร่างทองที่สวมเกราะวิเศษเปลวเพลิงหยัดยืนอยู่ใต้ทะเลสาบ น้ำทะเลสาบก็สูงเพียงแค่ช่วงเอวเท่านั้น

ตราประทับชิ้นหนึ่งกระแทกลงบนศีรษะของเจียวหลงอย่างแรง

แล้วก็ไม่ได้ดึงออก

กายธรรมตนนี้ตบกระแทกให้เจียวหลงที่เรือนกายใหญ่โตกว่ามันมากนักร่วงดิ่งลงไปในทะเลสาบ จากนั้นก็ยกเท้ากระทืบเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ตามด้วยเงื้อขวานฟันลงไป

หลิวเหล่าเฉิงหลุดหัวเราะพรืด

ได้รับเศษร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่มาขนาดนั้น ช่วงที่ผ่านมาตนก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ คอขวดขอบเขตหยกดิบที่หยุดนิ่งมานานสองร้อยกว่าปี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่ไกลแล้ว!

นอกจากนี้

เพื่อรับมือกับเจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิดตัวนี้ เขายังทุ่มทุนทรัพย์ก้อนใหญ่ ควักเงินฝนธัญพืชถึงเก้าสิบเหรียญเต็มๆ เพื่อทำเรื่องที่ไม่คุ้มทุนอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือเชิญให้ผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งสลัก ‘ถ้อยคำที่แท้จริง’ ของลัทธิเต๋าอย่างประโยคว่า ‘ยิงเสือไม่โดน ย่อมเป็นเพราะฝีมือยิงธนูไม่เลิศล้ำ ฟันมังกรไม่ขาด ย่อมต้องลับดาบใหม่’ ไว้บนขวานเล่มนั้น!

ส่วนการที่เอาคำกล่าวว่า ‘ลับดาบ’ นี้มาใช้กับขวานยักษ์เล่มหนึ่งออกจะฟังดูชวนขันไปบ้าง ทว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลกระทบต่องานใหญ่ สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด

แค่ใช้ได้ผลก็พอแล้ว!

เลือดเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก

น้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนซัดตลบอย่างรุนแรง เดือดพล่านไม่หยุด เลือดสดที่พรั่งพรูออกมาจากบาดแผลของเจียวหลงส่งกลิ่นคาวตลบอบอวล

แต่ถึงอย่างไรเจียวหลงก็เป็นปีศาจใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่ามีเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานที่สุด จึงไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรงให้ต่อสู้เสียเลย หลังจากพยายามดิ้นรนต่อสู้ก็สามารถทำให้กายธรรมร่างทองพลิกคว่ำคะมำหงายอยู่ในน้ำได้หลายครั้ง

หลิวเหล่าเฉิงยื่นมือคว้าจับไปยังมุมหนึ่งของเกาะชิงเสีย

จวนชุนถิงทั้งแถบและพื้นดินที่เชื่อมโยงติดอยู่กับรากภูเขาเริ่มเกิดรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเมื่อผู้ฝึกตนเฒ่าคว้าจับ พวกมันก็ถูกกระชากพ้นขึ้นมาจากพื้นดิน

หลิวเหล่าเฉิงเพ่งสายตามองไปก็หลุดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “คิดจะซ่อนตัวงั้นรึ? หาตัวเจ้าเจอแล้ว”

มือข้างหนึ่งของหลิวเหล่าเฉิงหงายฝ่ามือขึ้นเบื้องบน จากนั้นก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดหม่างสีเขียวเข้มคนหนึ่งที่อยู่ในจวนชุนถิงถูกกระชากขึ้นมากลางอากาศเหนือจวน จากนั้นก็เหมือนถูกค้อนทุบ ร่างทั้งร่างกระแทกลงบนภูเขาของเกาะชิงเสียที่อยู่ด้านหลัง

หลิวเหล่าเฉิงไม่คิดจะมองสนามรบของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เขาย้ายเส้นสายตาไปที่อื่น กล่าวว่า “หลิวจื้อเม่า ว่ายังไง? ลูกศิษย์เจ้ากำลังจะถูกข้าฆ่าตายทั้งเป็นแล้ว ยังเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้อีกหรือ?”

เงียบงันไร้เสียงตอบรับ

หลิวเหล่าเฉิงกระตุกมุมปาก “ในเมื่อเกาะชิงเสียเกรงใจกันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ต้องเกรงใจแล้วจริงๆ”

ประกบสองนิ้วแล้วโบกไปเบื้องหน้าเบาๆ หนึ่งครั้ง

ตราประทับที่ถูกกายธรรมร่างทองตบใส่ศีรษะของเจียวหลงก็เหมือนลำแสงเปลวเพลิงที่พุ่งผ่านอากาศไปกระแทกใส่กู้ช่านที่ร่างจมลึกอยู่ในกำแพงภูเขา

หลิวเหล่าเฉิงคลี่ยิ้ม “โอ้ ในบรรดาผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสีย ในที่สุดก็มีลูกผู้ชายอยู่คนหนึ่ง”

ในการมองเห็นของเขา

คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีทองเหยียบอยู่บนกระบี่บินสองเล่ม ลอยตัวอยู่เบื้องหน้ากู้ช่าน ยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากจวนชุนถิง

มือเขากุมจับความว่างเปล่า เจี้ยนเซียนเล่มนั้นก็มาหยุดอยู่ในมือของเขาพอดี แต่ยังคงไม่ได้กำแน่นอย่างแท้จริง

เผชิญหน้ากับตราประทับเทพวิญญาณเพลิงทองที่ทำให้ผู้ฝึกตนอาวุโสทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนอกสั่นขวัญแขวนชิ้นนั้น

คนหนุ่มเพียงแค่กุมเจี้ยนเซียนเอาไว้

กลางอากาศเหนือเกาะชิงเสีย ลมพัดกระโชกก้อนเมฆเคลื่อนตลบ

หลิวเหล่าเฉิงขมวดคิ้ว ดวงจิตขยับเคลื่อนเล็กน้อย ไม่ได้บังคับให้ตราประทับแห่งชะตาชีวิตพุ่งกระแทกชนคนหนุ่มและปลายกระบี่ที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนโดยตรง แต่ให้ตราประทับเทพวิญญาณเพลิงวาดเป็นเส้นโค้ง ไปหยุดอยู่ด้านข้างห่างจากร่างคนหนุ่มร้อยกว่าจั้ง

ผู้ฝึกตนอิสระลงมืออย่างเด็ดขาดและอำมหิต ทว่าหากเป็นเรื่องผลได้ผลเสียกลับคิดคำนวณอย่างละเอียดยิบยิ่งกว่า

เพียงไม่นานหลิวเหล่าเฉิงก็คลายหัวคิ้ว หากนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้สามารถหลอมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ในเมื่อยังหลอมไม่สำเร็จ นั่นก็ไม่นับเป็นอะไรได้เลย

……

บนยอดเขาเกาะใต้อาณัติแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวของลัทธิขงจื๊อยืนอยู่กับผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยแต่กลับแข็งแกร่งกำยำ

คนทั้งสองล้วนเป็นคนต่างถิ่น

สวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกและประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เกาเหมี่ยน

เกาเหมี่ยนสัมผัสได้ถึงท่าทางผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของสวินยวนก็ถามว่า “สวินยวน คนรู้จักเจ้าหรือ?”

สวินยวนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ “คุ้นเคยกันดีเลยล่ะ นอกจากเจ้าแล้ว เขาก็คือหนึ่งในคนที่ข้าได้รู้จักก่อนใครในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า เจอกันที่นครมังกรเฒ่า เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เลวเลย ตู้เม่าต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ก็ด้วยน้ำมือเขานี่แหละ หากพูดเช่นนี้ หลิวเหล่าเฉิงยังต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ เพราะเขา หลิวเหล่าเฉิงถึงได้เศษร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่ขนาดนั้นมาครอง”

เกาเหมี่ยนถาม “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าเตือนหลิวเหล่าสักคำไหม? ทำไมข้าฟังแล้วเหมือนหลิวเหล่ากำลังทำเรื่องไร้คุณธรรมอย่างการตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเลยล่ะ?”

สวินยวนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องเตือนหรอก นี่จะเรียกว่าตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นนอกจากหลิวเหล่าเฉิงแล้ว สำนักกุยหยกทั้งบนและล่างของพวกเราซึ่งรวมถึงข้าเองด้วยก็คงต้องเคารพบูชาคนหนุ่มผู้นี้เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตแล้ว”

เกาเหมี่ยนหัวเราะปากกว้าง “ไม่ต้องจริงๆ หรือ? หากหลิวเหล่าเกิดจิตคิดสังหารใครขึ้นมา ถึงเวลานั้นแม้แต่ข้าก็ยังขวางไม่อยู่ เว้นเสียจากว่าเจ้าจะลงมือ ตัดใจทำให้ว่าที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งในอนาคตกลายมาเป็นศัตรูไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้”

สวินยวนเอ่ยเนิบช้า “คนหนุ่มผู้นั้นมีทัศนคติอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเจ้าและข้า ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องลงมือช่วยเหลือเขาด้วย ปล่อยให้ผลกรรมในโลกมนุษย์มากมายขนาดนั้นมาแปดเปื้อนติดตัว สนุกนักหรือ?”

เกาเหมี่ยนถลึงตาใส่สวินยวนทีหนึ่ง

มารดาเจ้าใจกล้าใหญ่แล้วนะ เจ้าคนแซ่สวิน เจ้าบังอาจพูดจาแบบนี้กับข้าผู้อาวุโสเชียวรึ?

สวินยวนรีบกุมหมัดขออภัย

เกาเหมี่ยนถึงได้พึงพอใจ หันไปมองการคุมเชิงทางฝั่งนั้นอีกครั้ง จุดจบถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงลงมืออีกครั้ง กู้ช่านกับคนหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่ต้องตาย อีกทั้งยังจะไม่มีใครมาช่วยเก็บศพพวกเขาในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้จริงๆ ด้วย

เกาเหมี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะปลงอนิจจัง “น่าเสียดาย แค่ข้อที่เขาเป็นเด็กรุ่นหลังเพียงคนเดียวบนเกาะชิงเสียที่กล้าพอจะขัดขวางหลิวเหล่า ข้าก็รู้สึกได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่เลวร้าย”

สวินยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีอายุอยู่มาจนแก่ปูนนี้อย่างพวกเรา ได้เห็นเรื่องที่น่าเสียดายกับตาตัวเองมาน้อยนักหรือ? ผู้ฝึกตนที่ตายด้วยน้ำมือของพวกเรา นอกจากคนที่สมควรตายแล้ว มีคนที่ตายอย่างอยุติธรรม แต่ก็จำต้องตายหรือไม่? ต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย นี่เรียกว่าไม่มีหมอคนใดที่ไม่พูดว่าคนตายตายเป็นผีอย่างอยุติธรรม”

เกาเหมี่ยนยกสองมือกอดอก เบ้ปาก

สวินยวนเอ่ยเนิบช้า “พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย สำนักเบื้องล่างเลือกทะเลสาบซูเจี่ยนเป็นที่ตั้ง คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง คือกิจการใหญ่พันปีของสำนักกุยหยกข้า หากคนหนุ่มผู้นั้นคิดมาช่วงชิงบนมหามรรคากับสำนักกุยหยก ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำตัวเป็นตู้เม่าคนที่สอง ตู้เม่าโง่ก็โง่ที่หลงลำพองในตบะของตัวเองเกินไป มองแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นสถานที่ที่เล็กคับแคบ ลงมืออย่างไร้เหตุผล แต่หากข้าลงมือ อย่างน้อยก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นการกระทำที่อยู่ในกฎเกณฑ์ที่หลี่เซิ่งขีดเส้นขอบเขตเอาไว้ แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นหรือตายก็ต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน จะทำตัวเป็นสตรีที่พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็โทษฟ้าโทษดิน โทษคนอื่นไม่ได้”

เกาเหมี่ยนพยักหน้ารับ “พูดประโยคนี้ออกมาได้ ทำให้ข้าต้องมองเจ้าเสียใหม่แล้ว”

สวินยวนยิ้มบางๆ “หลิวเหล่าเฉิงคิดจะฆ่าคนเพื่อสร้างบารมี อาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย มากกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้มากนัก”

เกาเหมี่ยนพูดจี้ใจดำ “คืนนี้จะเล่นงานเด็ก หรือหลังจากนี้จะเล่นงานคนแก่?”

สวินยวนกล่าว “คืนนี้แหละ”

ในที่สุดเกาเหมี่ยนก็บังเกิดความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาบ้างแล้ว

……

ทางฝั่งของเกาะชิงเสีย

สองนิ้วของเฉินผิงอันคีบยันต์แล้วขว้างออกไปเบาๆ

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี ปรากฏตัว

ครั้นจึงมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่าในร่องเจียวหลงให้แก่เทพท่องราตรี

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พลันคว้าจับเจี้ยนเซียนที่ออกจากฝักเล่มนั้นอย่างแท้จริง

หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ทว่าสายตากลับมืดลึกอย่างถึงที่สุด “ทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็เล่าลือกันว่าเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ที่ประหลาดมากคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังค่อนข้างจะใส่ใจเจ้า ไม่น้อยไปว่าหลิวจื้อเม่าเลย ก็ต้องดูที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะทำให้ข้าขาดทุนอีกครั้งจริงๆ หรือไม่?”

ไม่เห็นว่าหลิวเหล่าเฉิงมีการกระทำใด

ทว่าตราประทับเทพวิญญาณเพลิงสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองเป็นหยดๆ ให้ร่วงลงเบื้องล่าง จากนั้นของเหลวสีทองที่เป็นวิญญาณเพลิงทุกหยดก็พลันขยายใหญ่อยู่กลางอากาศ กลายมาเป็นทหารบู๊สวมเกราะสีทองจางๆ ที่ในมือถืออาวุธแตกต่างหลากหลาย มีมากถึงสิบกว่าตน หลังจากพลิ้วกายลงบนเกาะชิงเสียแล้วก็พากันกรูเข้าใส่หุ่นเชิดยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีสองตนนั้น

ไม่เพียงเท่านี้ ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็เหมือนมีเซียนกำลังสูบน้ำ ลำน้ำขนาดหนาใหญ่เท่าปากบ่อหลายลำพุ่งทะยานออกมาจากผิวน้ำ สาดยิงเข้าหาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเพียงแค่โบกกระบี่เจี้ยนเซียนที่ถืออยู่ในมือครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น

ลำน้ำหลายลำปะทะพัวพันอยู่กับเส้นยาวของปราณกระบี่สีทอง ก่อนจะพากันแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ

หลิวเหล่าเฉิงเพียงแค่ตั้งท่ารอดู งั้นก็ปล่อยให้เผาผลาญไปแบบนี้ ก็แค่ปราณวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น

ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องสู้สุดชีวิตถึงจะสามารถบั่นทำลายเสาน้ำที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ดุจหน้าไม้คันที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์โลกมนุษย์ได้

อีกทั้งยังต้องคอยแบ่งสมาธิไปป้องกันการลอบโจมตีจากตราประทับชิ้นนั้นของตนอย่างระมัดระวัง

มือข้างที่กำอาวุธกึ่งเซียนของเฉินผิงอันถูกเสียดสีจนเลือดไหลนอง ผิวเนื้อหดหาย มองเห็นกระดูกขาวของนิ้วมือและฝ่ามือแล้ว

หลิวเหล่าเฉิงเหมือนแมวที่กำลังเล่นไล่จับหนู

บางครั้งก็คอยมอบความประหลาดใจให้กับคนหนุ่มผู้นั้น ยกตัวอย่างเช่นอยู่ดีๆ ก็มีก้อนหินพุ่งออกมาจากหน้าผาของเกาะชิงเสีย บางครั้งก็ใหญ่เท่าศาลา พลังอำนาจน่ากริ่งเกรง แต่บางครั้งก็เล็กเท่ากำปั้นที่พุ่งมาถึงอย่างเงียบเชียบ

ยิ่งมองหลิวเหล่าเฉิงก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ

สีหน้าของคนหนุ่มผู้นั้นสงบนิ่งเกินไปแล้วจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าเรือนกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก ผืนนาหัวใจแห้งขอด จิงชี่เสินทั้งหมดแผ่วหายเหมือนม้าตีนปลาย

คนยังไม่ตาย แต่ใจตายไปก่อนแล้ว?

ว่างเปล่ากลวงโบ๋

ควรจะสังหารให้จบเรื่องในรวดเดียว หรือว่า?

หลิวเหล่าเฉิงลังเลใจอย่างที่หาได้ยาก

เขากำลังคิดคำนวณผลได้ผลเสียอยู่ในใจตัวเอง ทว่ากลับลงมือไม่อืดอาดเลยแม้แต่น้อย

เขาอยากจะรู้นักว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสอยู่นานแล้ว และตอนนี้ร่างกายก็สั่นเทิ้มอย่างอดไม่อยู่ จะฝืนประคับประคองลมปราณเฮือกนั้นได้นานเท่าไหร่

ในทะเลสาบซูเจี่ยน กายธรรมร่างทองที่ในมือถือขวานยักษ์ซึ่งเอาไว้กำราบเผ่าพันธ์เจียวหลงโดยเฉพาะต่อสู้อยู่กับหนีชิวใหญ่ที่มีบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่างจนน้ำในทะเลสาบถาโถมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ผืนน้ำมีแต่เลือดสดเนืองนองไปหมด

แสงสีทองบนร่างของยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีสองตนค่อยๆ หม่นหมองลง

ตราประทับวิญญาณเพลิงทองคอยปลดปล่อยของเหลวสีทองของวิญญาณเพลิงออกมาอย่างต่อเนื่อง

สนามต่อสู้ทั้งสองแห่งนี้ ชัยชนะล้วนไม่ต้องคาดเดา

เพียงแต่ว่ารอบกายเฉินผิงอันที่ออกกระบี่ไม่หยุดเกือบจะถูกรัดพันไปด้วยเส้นเล็กๆ สีทองที่ทอแสงยาวนานไม่จางหายเต็มทีแล้ว

หลิวเหล่าเฉิงมองคนหนุ่มที่ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว จิตสังหารของเขาก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นจนเหนือว่าจิตที่ไม่คิดจะสังหารแล้ว

เฉินผิงอันที่ใช้ฝ่ามือซึ่งมีแต่กระดูกขาวโพลนจับอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้น ในที่สุดก็เผยช่องโหว่อันตรายที่แสดงให้เห็นว่าลมปราณกำลังจะชะงักค้าง

หลิวเหล่าเฉิงควบคุมปราณวิญญาณในมหาสมุทรลมปราณที่ลึกจนแทบจะมองไม่เห็นก้นบึ้งอย่างไม่ลังเล บริเวณโดยรอบเกาะชิงเสียก็เกิดเสียงครืนครั่นสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งอสนีบาตลงบนผิวทะเลสาบ พริบตาเดียวลำน้ำหลายร้อยลำก็พากันพุ่งทะลุผิวน้ำออกมา

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

ในใจท่องคำสองคำ

เพียงแค่กุมเจี้ยนเซียน

ลำน้ำที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง กรูกันเข้ามาล้อมสังหารหนึ่งคนหนึ่งกระบี่จากสี่ด้านแปดทิศ

ประหนึ่งมีหยดน้ำสีเขียวมรกตที่ใหญ่เท่าภูเขาลูกหนึ่งมากักตัวเฉินผิงอันไว้ตรงกลาง

มองไม่เห็นร่างที่เล็กจ้อยของนักบัญชีหนุ่มผู้นั้นอยู่นานแล้ว

ในเกาะชิงเสีย ผู้ฝึกตนและนักการสาวใช้หลายพันคนของเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งต่างก็คิดว่าคนหนุ่มผู้นั้นต้องตายแน่แล้ว

ห่างออกไปไกลก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังจับตามองการเข่นฆ่าสังหารอันน่าตื่นตาตื่นใจครั้งนี้อยู่เช่นกัน

บางคนก็โล่งอก บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่ก็มีผู้ฝึกตนและคนธรรมดาเพียงหยิบมือ คนกลุ่มนี้ที่ต่อให้จะเพิ่งรู้จักนักบัญชีคนนั้นได้ไม่นาน แต่ก็ยังอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นหลิวจ้งรุ่นของเกาะจูไช และยังมีพวกสาวใช้บางส่วนที่เคยพูดจาปราศรัยกับนักบัญชี รู้สึกว่าท่านเฉินผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับเทพเซียนผู้เฒ่าคนอื่นๆ บางคนก็รู้สึกซับซ้อน อย่างเช่นผู้ฝึกตนผีแห่งจวนจูเสียน และยังมีบางคนที่ถึงขั้นรู้สึกเสียใจ อย่างเช่นหงจูคนเฝ้าประตู

กลางอากาศ

พื้นผิวของหยดน้ำใหญ่ยักษ์สีเขียวมรกตเกิดเสียงปริแตกเบาๆ โดยที่ไม่มีใครได้ยิน

เผยให้เห็นเส้นสีทองเส้นหนึ่ง

ก่อนที่เสียงนั้นจะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เขย่าคลอนจิตใจคนขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเสียงจุดประทัดในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด

ทันใดนั้นบนเกาะชิงเสียก็คล้ายมีฝนตกในฤดูหนาว

หลิวเหล่าเฉิงสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจถามคนหนุ่มผู้นั้น

พอได้คำตอบ

หลิวเหล่าเฉิงก็พยักหน้า

ส่วนในสายตาของผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียที่ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวก็เห็นเพียงว่านักบัญชียังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม อีกทั้งยังทำท่าประหลาดท่าหนึ่ง เขาบิดหมุนข้อมือ ถือกระบี่ยาวกลับหัว ยังคงไม่พูดอะไร แต่หันหน้าเข้าหาหลิวเหล่าเฉิง ยกสองมือกุมหมัด คล้ายกำลังขอบคุณ

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

เก็บกายธรรมร่างทองที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนตนนั้น รวมไปถึงตราประทับแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้น

แล้วก็ทะยานตัวจากไป

……

ท่ามกลางม่านราตรี

ผู้เฒ่าสามคนทะยานลมเดินทางมุ่งหน้าไปยังเกาะกงหลิ่วพร้อมกัน

หลังจากผ่านศึกใหญ่มา หลิวเหล่าเฉิงกลับยังคงมีสีหน้าท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ดุจเดิม

นี่ก็คือรากฐานของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน

แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิวเหล่าเฉิงยังไม่ได้เอาท่าไม้ตายที่แท้จริงออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ

หากกายธรรมร่างทองตนนั้นเผยร่างจริงกึ่งแก้วใสที่เพิ่งหลอมออกมาได้ไม่นานเมื่อไหร่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาของการเปิดฉากสังหารใหญ่ไปสี่ทิศ

เกาเหมี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงไม่ฆ่าคนหนุ่มผู้นั้น? ตัดรากไม่ถอนโคน ไม่ใช่นิสัยของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเลย”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าพูดเสียงดังขนาดนั้น จงใจให้ข้าได้ยิน แล้วข้าก็ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย”

สวินยวนเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร

หลิวเหล่าเฉิงพาคนทั้งสองพลิ้วกายลงตรงหน้าประตูภูเขาของเกาะกงหลิ่ว จากนั้นคนทั้งสามก็เดินหน้าไปด้วยกันอย่างเชื่องช้า

หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “ในเมื่อพอจะมีความเกี่ยวข้องกับร่างทองแก้วใสที่ช่วยให้ข้ามีโอกาสเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองชิ้นนั้น ข้าก็ต้องเห็นแก่น้ำใจครั้งนี้ อีกอย่าง คนหนุ่มผู้หนึ่งที่สามารถรอดชีวิตมาได้จากเงื้อมมือของตู้เม่า และถึงอย่างไรข้ากับเขาก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกันตรงๆ ถ้าอย่างนั้นเป็นคนก็ควรเว้นที่ว่างไว้เผื่อวันหน้าบ้าง ฆ่าคนสร้างบารมี ทำร้ายคนให้บาดเจ็บก็สร้างบารมีได้เช่นกัน แค่พอสมควรก็พอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าเด็กนั่นค่อนข้างจะรู้ความ ถึงได้ทำการค้าครั้งหนึ่งกับข้า”

เกาเหมี่ยนหัวเราะร่า “เห็นแก่น้ำใจกับหวาดเกรง อะไรมากว่ากัน?”

หลิวเหล่าเฉิงหน้าดำทะมึน

สวินยวนพลันกล่าวขึ้นว่า “หากตอนนั้นคนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้กุมหมัดคารวะ หลิวเหล่าเฉิงต้องเปลี่ยนใจสังหารเขาให้ตายคาที่อย่างแน่นอน”

หลิวเหล่าเฉิงอืมรับหนึ่งที “ความสามารถในการมองคนเช่นนี้ ข้ายังพอจะมีอยู่บ้าง ไม่มีทางเลี้ยงเสือไว้ให้เป็นภัยแก่ตนเอง ไอ้หมอนั่นจริงใจหรือเสแสร้ง ข้าย่อมดูออก”

สวินยวนพลันกล่าวว่า “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่ากู้ช่านผู้นั้น”

เกาเหมี่ยนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ก็ไม่แน่หรอก ข้ายอมรับในนิสัยใจคอของคนผู้นี้ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง หมาที่กัดคนมักไม่เห่า การที่ข้าไม่สังหารเขา ยังมีสาเหตุที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง”

หลิวเหล่าเฉิงกวาดตามองรอบด้าน “ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ยิ่งคนฉลาดผายลมสุนัขมีมากเท่าไหร่ แต่หากมีคนคนหนึ่งที่ยังยินดีรักษากฎเกณฑ์อย่างโง่งม อีกทั้งยังมีความสามารถมากพอ อย่างน้อยข้าหลิวเหล่าเฉิงก็กล้าที่จะทำการค้าครั้งใหญ่กับเขาอย่างวางใจ”

เกาเหมี่ยนไม่สนใจคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิวเหล่าเฉิง แต่พอได้ยินประโยคหนึ่ง เขาก็คำรามอย่างเดือดดาลทันที “มารดามันเถอะ ขนาดสวินเหล่าเอ๋อร์เจ้าก็ยังประจบเอาใจเขาด้วยหรือ? หัดรู้จักเอาถ่านหน่อยได้ไหม? ทำไมไม่เคยเห็นเจ้าประจบเอาใจข้าผู้อาวุโสมาก่อนเลยเล่า?”

สีหน้าสวินยวนเต็มไปด้วยความระอาใจ

หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามอง กล่าวว่า “ข้าเคยเห็นสภาพอนาถที่เจ้าถูกคนซ้อมจนฉี่แตกมาก่อน จะกล้าตบตูดม้า (เป็นคำที่แปลตามภาษาจีนตรงๆ ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือการประจบสอพลอ) กับเจ้าได้อย่างไร? ข้ากลัวว่าเอาใจจบแล้ว มือจะเปื้อนฉี่เปื้อนอึน่ะสิ”

ดวงตาสวินยวนเป็นประกายวาบ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ?”

หลิวเหล่าเฉิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ชายชาตรีไม่พูดวีรกรรมกล้าหาญในอดีต ไม่มีอะไรให้เล่าหรอก”

เกาเหมี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ในอดีตเขาเจอกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตปลายทางที่มีเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีปเรา คือเจ้าประมุขสกุลชุย พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ม้วนแขนเสื้อตีกับคนอื่น หลังจากถูกเขาซัดจนหมอบกระแตก็ยอมแพ้ทั้งกายและใจ หลังจากนั้นมาเขาก็ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าอู่สือจิ้ง (วรยุทธขอบเขตสิบ) เพียงแต่ว่าภายหลังผู้ฝึกยุทธคนนั้นหายตัวไป ได้ยินว่าเหมือนจะเดินทางไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารอบหนึ่ง คาดว่าคงมีจุดจบไม่ต่างจากอู่สือจิ้งท่านนี้สักเท่าไหร่ นั่นคืออยู่ที่นั่นก็มีภูเขาลูกหนึ่งที่สูงกว่าลูกหนึ่งเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”

สวินยวนกล่าว “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทุกคนที่สามารถเดินได้ถึงขอบเขตเก้า อีกทั้งยังได้สัมผัสกับธรณีประตูขอบเขตสิบ ล้วนเป็นคนที่มีความเพียรพยายามไม่ย่อท้อ ที่ใบถงทวีปของพวกเรา โชคชะตาบู๊ของทวีปไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ ถึงขนาดสู้สถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าแปลกไหมล่ะ?”

เกาเหมี่ยนเป็นคนโผงผาง จึงเอ่ยว่า “แปลกบ้าแปลกบออะไร ผู้ฝึกยุทธในใบถงทวีปของพวกเจ้าไม่ได้ความเองต่างหาก ตอนนี้มีกี่คนที่เป็นขอบเขตสิบ? ถึงสองคนไหม? รู้หรือไม่ว่าตอนนี้แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีกี่คนแล้ว? หากรวมคนที่ข้านับถือที่สุดคนนั้น แล้วก็บวกกับรวมกับหลี่เอ้อร์ที่ไปรื้อศาลบรรพชนสำนักใบถง และซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ก็มีตั้งสามคน!

หลิวเหล่าเฉิงทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง

สวินยวนหัวเราะ

ดังนั้นเขาถึงได้เป็นสหายกับเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานผู้นี้

ส่วนกับหลิวเหล่าเฉิงที่ฉลาดกว่ากลับเป็นได้แค่พันธมิตร

ศึกใหญ่ปิดฉากลง

เฉินผิงอันแบกกู้ช่านเดินลงจากภูเขาช้าๆ

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีถูกเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ในแกนกลางของยันต์แทบจะเผาผลาญไปจนสิ้น คราวหน้าเกรงว่าหาก ‘เชิญเทพลงจากภูเขา’ อีกครั้ง ไม่ต้องถึงหนึ่งก้านธูป ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับใคร ยันต์ก็คงจะสลายหายไปด้วยตัวเองแล้ว

ใบหน้ากู้ช่านเต็มไปด้วยคราบเลือด สีหน้าซีดเซียว บาดเจ็บสาหัสอย่างถึงที่สุด

แต่ถึงอย่างไรก็มีชีวิตรอดมาได้

เจียวหลงที่หายใจรวยรินตัวนั้นสะบัดหางเบาๆ แล้วพุ่งตัวห่างไปไกล สุดท้ายดำดิ่งลงไปยังมุมใดมุมหนึ่งที่อยู่ใต้น้ำทะเลสาบซูเจี่ยน

หลายปีมานี้ มันได้แอบขุด ‘วังมังกร’ ไว้ตรงนั้นจนพอจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างหยาบๆ แล้ว

หลิวเหล่าเฉิงแสดงบารมีอยู่บนเกาะชิงเสีย ใช้มาดผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเล่นงานให้กู้ช่านและเผ่าพันธ์เจียวหลงตัวนั้นบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นร่อแร่ใกล้ตาย

ในฐานะเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ เจ้าของเกาะชิงเสีย ตั้งแต่ต้นจนจบหลิวจื้อเม่ากลับไม่ได้ปรากฎตัว

กลับกลายเป็นนักบัญชีท่านนั้นที่ลงมือขัดขวางหลิวเหล่าเฉิง

สุดท้ายหลิวเหล่าเฉิงที่เคยมีวลีหนึ่งโด่งดังไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่เคยพูดเองกับปากว่า ‘ฆ่าคนฆ่าจนอ่อนใจ แต่ห้ามมืออ่อนเด็ดขาด’ ทว่าวันนี้กลับยอมยั้งมือไว้ไมตรี?

ทันใดนั้นผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็รู้สึกเหมือนมองดอกไม้ในไอหมอก ยิ่งมองก็ยิ่งสับสนมึนงง

บนทางภูเขา เมื่อหนีชิวน้อยเข้าไปในรังแล้วเริ่มเข้าสู่สภาพของการจำศีล อาการบาดเจ็บของกู้ช่านก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

เขากอดคอของเฉินผิงอัน พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าจะเอาหนีชิวน้อยกลับไปหรือไม่? อันที่จริงถานเซวี่ยกลัวเจ้ามาก ถึงอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของหนีชิวน้อย เมื่อติดตามเจ้า ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะได้รับความอยุติธรรม หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วข้าปกป้องนางไม่ได้ ข้ายอมให้ถานเซวี่ยตายไปเสียยังดีกว่า แต่หากเจ้าเอาไป ข้าก็รับได้ อีกทั้งวันหน้าข้าจะไม่มีทางเสียใจภายหลัง เจ้าเองก็รู้นิสัยของข้าว่าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น”

“เจ้าเก็บไว้เถอะ ตอนนี้ถานเซวี่ยอยู่ข้างกายเจ้า ข้าถึงจะทำเรื่องของตัวเองได้อย่างวางใจ”

“เพราะอะไรกันแน่? ไม่กลัวว่าถานเซวี่ยอยู่กับข้าแล้วจะกลายเป็นผีชางรับใช้เสือหรือ?” (ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าผู้ที่โดนเสือกัดตายนั้น วิญญาณจะกลายเป็นผู้รับใช้เสือ คอยช่วยหาเหยื่อ ช่วยให้เสือไปทำร้ายคนอื่นต่อไป ภายหลังนำสำนวนนี้มาใช้เปรียบเปรยถึงการยินยอมรับใช้ช่วยเหลือคนชั่วร้ายเลวทราม เพื่อกระทำสิ่งชั่วช้า)

“เมื่อก่อนตอนข้าอยู่ใบถงทวีปเคยได้สมบัติอาคมของตระกูลเซียนมาชิ้นหนึ่ง เป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าชือซินที่แปลว่าจิตลุ่มหลง แต่ก็สามารถเรียกว่าชือซินที่แปลว่ากินหัวใจคนได้ด้วย หากแทงมันไปที่หัวใจคน ระดับขั้นของมันก็จะเพิ่มสูงขึ้น ตอนแรกข้ารู้สึกต่อต้านมันอย่างมาก อย่าว่าแต่จะเอามันมาเข่นฆ่าผู้คนเลย แค่มองยังรู้สึกสะอิดสะเอียน ภายหลังถึงได้เข้าใจว่า สิ่งของนั้นไร้ชีวิต แต่คนกลับมีชีวิต วิญญูชนไม่ใช่ภาชนะ (ภาชนะเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว สิ่งที่มีรูปแบบแน่นอน จิตใจของวิญญูชนนั้นต้องรองรับได้ทั้งใต้หล้า รับได้ทั้งบุ๋นและบู๊ มีความสามารถหลากหลาย ไม่เหมือนภาชนะที่อยู่ในรูปแบบตายตัว ความจุมีจำกัด) จึงจะควบคุมหมื่นสรรพสิ่งได้ ช่างเถอะ หลักการเหตุผลพวกนี้ เจ้าไม่ชอบฟัง ข้าไม่พูดก็แล้วกัน”

“พูดมาเถอะ ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อก่อนรู้สึกว่าหงุดหงิดใจ แต่ตอนนี้พอได้ยินเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ แม้ว่าจะยังฟังไม่เข้าหู ยังคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่เหมือนเดิม แต่ฟังแล้วกลับรื่นหูอย่างมาก เฉินผิงอัน เจ้าว่าแปลกหรือไม่?”

เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อ “นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว”

กู้ช่านร้องอ้อหนึ่งที “ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ครั้งแรกไม่ได้ไปจากเกาะชิงเสีย ครั้งนี้คือช่วยข้า หากยังมีอีกครั้ง เจ้าก็จะไม่สนใจข้าแล้ว จะเห็นข้าเป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น”

เฉินผิงอันพูดเสียงเฉยชา “ถือว่ายังพอจะรู้ดีรู้ชั่ว มีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง”

กู้ช่านหลุดหัวเราะ “ฮ่า ไม่มากหรอก ก็มีแค่กับแม่ข้า กับเจ้า สองคนเท่านั้น พ่อที่ตายไปเป็นผีคนนั้นของข้า ข้าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเขา จึงสนิทใจด้วยไม่ไหวจริงๆ แล้วถ้าถึงเวลาที่ครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า ได้พบเขาแล้วจะเปลี่ยนความคิดหรือไม่ ข้ากลับไม่ยินดีจะคิดถึงสักเท่าไหร่”

น้ำเสียงของเฉินผิงอันยิ่งแหบพร่า “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”

“เฉินผิงอัน ข้ายังคงอยากรู้มากว่าทำไมครั้งนี้ถึงช่วยข้า? อันที่จริงข้ารู้ว่าเจ้าผิดหวังในตัวข้ามาโดยตลอด ข้ารู้ดี ดังนั้นข้าถึงได้พาหนีชิวน้อยไปที่เรือนหน้าประตูภูเขาบ่อยๆ ต่อให้ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ต้องไปนั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก”

“เลิกพูดได้แล้ว”

“ยังไม่ตายตอนนี้หรอก หนีชิวน้อยกลับเข้ารังใต้น้ำไปแล้ว ส่วนข้าก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เฉินผิงอัน ไหนลองพูดมาสิ ข้ายังอยากฟัง…ฟังเหตุผลของเจ้า”

ลูกกระเดือกของเฉินผิงอันขยับขึ้นลงเล็กน้อย ฝืนกลืนเลือดสดที่แล่นมาจุกตรงลำคอลงไป ขอแค่กู้ช่านยินดีฟังเขาพูด เขาก็ยินดีจะพูดให้กู้ช่านฟัง เฉินผิงอันที่หน้าซีดขาวยิ่งกว่ากู้ช่าน หน้าอกสะท้อนขึ้นลงรุนแรง เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ สองสามครั้ง หลังจากร่างกายพอจะสงบลงได้แล้ว ถึงได้เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าเคยตัดขาดและขีดเส้นกำหนดขอบเขตกับเจ้า นี่เป็นวิธีที่ได้มาจากการอนุมานในการเล่นหมากล้อม แล้วก็สามารถเอามาใช้ฝึกกระบี่ พูดง่ายๆ ก็คือ อย่างแรกก็เหมือนการที่ข้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง ไปพักอยู่ที่ห้องตรงประตูภูเขา อย่างหลังก็คือการที่ข้าคอยจับตามองเจ้าอยู่ตลอดเวลา ขอแค่เจ้าไม่เดินออกจากวงกลมที่ข้าคิดว่าไม่ใช่การทำผิด ข้าก็จะช่วยเจ้า ข้าก็จะยังคงเป็นเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงที่เจ้ารู้จักในอดีตคนนั้น”

“แล้วถ้าเจ้ามาถึงเกาะชิงเสียแล้ว ข้ายังฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อล่ะ? เจ้าจะจากไปไหม? หรือจะฆ่าข้าให้ตาย?”

“ข้าจะพยายามห้ามไม่ให้เจ้าทำผิดอย่างสุดกำลังความสามารถ ก็เหมือนอย่างที่วันนี้ห้ามไม่ให้หลิวเหล่าเฉิงฆ่าเจ้า อีกทั้งข้าจะไม่ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ยังมีเรื่องอีกมากมายรอให้ข้าไปทำ ทั้งทำเพื่อเจ้า แล้วก็ทำเพื่อตัวข้าเอง”

“มีชีวิตแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”

“ปีนั้นตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิง ทุกวันมีชีวิตอย่างยากลำบากราวกับว่าจะไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ชั่วชีวิต ไม่เหนื่อยหรือ? ก็เหนื่อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเจ้าลืมไปแล้วก็เท่านั้น”

“แต่คนเรามีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่เพื่อได้ใช้ชีวิตอย่างสำราญและสุขสบายหรือ?”

“เกี่ยวกับคำถามที่ย้อนกลับไปสู่จุดเดิมนี้ ข้าย่อมให้คำตอบแก่เจ้าได้ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะฟังเข้าหู งั้นข้าก็คงไม่พูดแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังว่าในอนาคตเจ้าจะสามารถเดินออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไปเห็นยุทธภพที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมด้วยตาของตัวเอง ใช่แล้ว ข้ารับลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาแล้ว เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ชื่อว่าเผยเฉียน วันหน้าหากเจ้าออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปท่องอยู่ในยุทธภพ หรือได้กลับไปเยือนเขตการปกครองแล้วข้าไม่อยู่ที่นั่น เจ้าก็สามารถไปหานางได้ ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนน่าจะถูกชะตากัน อืม แล้วก็เป็นไปได้ว่าจะเกลียดขี้หน้ากัน”

กู้ช่านรู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดกับตนถึงเรื่องในอนาคตที่บอกให้รู้ว่าเขากับเฉินผิงอัน ‘ถูกมัด’ เข้าด้วยกัน

กู้ช่านกล่าวอย่างสะลึมสะลือ “เฉินผิงอัน ข้าเริ่มง่วงแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็หลับเถอะ เรื่องทุกอย่างหลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่”

กู้ช่านพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองหมดสติ เขาพูดเสียงสะอื้นแผ่วเบา “เฉินผิงอัน ข้ากลัวมากว่าเมื่อข้าลืมตาขึ้นมา เจ้าจะแอบหนีออกไปจากเกาะชิงเสียแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่มีทาง”

น้ำเสียงของกู้ช่านค่อยๆ แผ่วหายไป “ไม่ได้โกหกข้าจริงๆ นะ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “ข้าเคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”

กู้ช่านพยักหน้ารับเบาๆ แล้วจึงนอนหลับไปอย่างวางใจ

กู้ช่านหลับไปแล้ว

ดังนั้นเขาจึงสัมผัสไม่ได้ว่า เฉินผิงอันที่ไม่อาจยกมือเช็ดหน้ามีเลือดสดไหลหยดลงบนมือของกู้ช่านไม่ขาดสาย

……

ในจวนชุนถิง

กู้ช่านนอนอยู่บนเตียง

สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ข้างเตียง เจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ

เถียนหูจวินนำยาล้ำค่าซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นความลับของเกาะชิงเสียมามอบให้

ตอนที่นางได้เห็นนักบัญชีซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงผู้นั้น นางกลับใจสั่น แม้แต่มือก็สั่นตามไปด้วย

เฉินผิงอันชำเลืองตามองขวดยาที่อยู่ในมือนางแล้วเปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่มีปัญหา?”

เถียนหูจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “รับรองด้วยชีวิต!”

เฉินผิงอันกล่าว “หลังจากกลับไปแล้ว ไปบอกหลิวจื้อเม่าว่าอีกไม่นานข้าจะไปพบเขา”

เถียนหูจวินได้แต่ตกปากรับคำ

หลังจากป้อนยาให้กู้ช่านที่หมดสติแล้ว เถียนหูจวินจึงรีบเผ่นหนีจากไป

สตรีแต่งงานแล้วทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้…”

เฉินผิงอันย้ายเก้าอี้ขยับไปนั่งข้างๆ ด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย เขาถามย้อนกลับว่า “ทำไมถึงจะไม่เป็นอย่างนี้?”

สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงเป็นสาย มองคนหนุ่มที่ใบหน้าผอมตอบกว่าเดิมเยอะมาก นาทีนี้นางพลันรู้สึกว่าเขาช่างเหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก

เฉินผิงอันถามอีกครั้ง “อยากถามข้าว่าข้าจงใจเห็นกู้ช่านบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ใช่ไหม?”

สตรีแต่งงานแล้วเบี่ยงสายตาไปมองจุดอื่น

เฉินผิงอันถามเองตอบเอง “ไม่ใช่อย่างนั้น ตอนนั้นสิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้จริงๆ”

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจ หลุบตาลงต่ำ น้ำตาอาบเต็มใบหน้า พยักหน้ารับ “ข้าเชื่อเจ้า เฉินผิงอัน”

นาทีนี้

เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เป็นความเสียใจที่เกี่ยวกับกู้ช่านและท่านอาหญิง แต่กลับไม่ได้เกี่ยวมากนัก

คืนนั้นตอนที่อยู่บนท่าเรือ อันที่จริงเขาคิดจนเข้าใจแล้วว่าปมของเงื่อนตายนี้อยู่ที่ไหน

หากเขาเฉินผิงอันคิดจะพิสูจน์ในข้อนี้ ไม่ยาก

ก็แค่ต้องจงใจเปิดเผยรายละเอียดเล็กๆ สองอย่างต่อหน้ากู้ช่านอย่างให้ไม่เป็นที่สังเกต ยกตัวอย่างเช่นแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อสิ่งของนอกกายบางชิ้นมากกว่ากู้ช่าน

จิตดั้งเดิมของกู้ช่านกับผืนนาหัวใจที่เกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันผืนนั้นจะต้องถูกทิ้งร้างไม่ต่างกัน และไม่นานก็จะมีวัชพืชเติบโตขึ้นมา สุดท้ายไม่แน่ว่าด้วยนิสัยที่เดินไปบนความสุดโต่งได้ง่ายของกู้ช่าน อาจทำให้เขากลับกลายมาเป็นศัตรูกับเฉินผิงอันก็เป็นได้

เฉินผิงอันไม่ยินดีจะไปพิสูจน์ ไม่อยากหยั่งเชิงจิตใจของคน

รู้คำตอบแล้ว แล้วจะอย่างไร?

โยนทุกอย่างทิ้งไป พูดแค่เรื่องบุญคุณความแค้นและผลได้ผลเสีย ไม่ได้กลัวว่ากู้ช่านจะมีอคติต่อตน เปลี่ยนจากคนที่สนิทกันเหมือนญาติกลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น

ตอนที่จิตใจของเฉินผิงอันสงบ เขาไม่หวาดกลัวความแข็งแกร่งบนหมัดของศัตรูคนใดทั้งนั้น ไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัวในตรอกเล็ก จนมาถึงวานรย้ายภูเขา และศัตรูทั้งหมดที่พบเจอบนเส้นทางหลังจากนั้น ล้วนเป็นเช่นนี้

เฉินผิงอันแค่ไม่ต้องการให้ตัวเองสูญเสียเจ้าเด็กขี้มูกยืดในปีนั้นไป แล้วยังต้องสูญเสียกู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ความตั้งใจแรกคือทำเพื่อมารดาถึงได้เดินมาถึงก้าวนี้อีกด้วย

ยิ่งไม่อยากให้กู้ช่านต้องเสียใจเหมือนกับตน

เรื่องราวและความรู้สึกของคนบนโลก ยิ่งคนผู้หนึ่งคิดอย่างลึกซึ้งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้คำพูดจะเอื้อนเอ่ยมากเท่านั้นใช่หรือไม่?

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลังจากหลับตาพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืน

สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างเป็นกังวล “เฉินผิงอัน เจ้าจะไปไหน?”

เฉินผิงอันกล่าว “ขอแค่ข้าอยู่ในเกาะชิงเสีย อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ท่านอาหญิงวางใจเถอะ”

สตรีแต่งงานแล้วทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่กล้ารั้งตัวเขาเอาไว้

พอเดินออกมาจากจวนชุนถิง เฉินผิงอันก็ยกมือกดหัวใจ อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดปากทันใด

เขาฝืนดึงแรงเฮือกหนึ่งมาใช้ ก่อนจะเดินช้าๆ ไปยังเรือนตรงหน้าประตูภูเขา

พอไปถึงห้องแห่งนั้น เขาเปิดประตู ปิดประตูลง จุดไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะ

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งยาวที่หันหลังให้กับหน้าต่าง หยิบเอายาที่ซื้อจากร้านยาตระกูลหยางออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา แล้วฝืนกลืนมันลงไป

เขานั่งอยู่เพียงลำพัง

บนโต๊ะวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูและข้างหน้าต่าง

คนที่มีนิสัยผิดมนุษย์มนา ไม่น่าเข้าใกล้ ยากจะใกล้ชิด ยากจะสนิทใจ

แล้วก็จะต้องผิดหวัง

นึกถึงญาติมิตรที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจนดึกดื่น แล้วคงยังจะพูดถึงคนที่จากบ้านมาไกลอย่างข้า

ดูเหมือนว่าจะมีความหวังขึ้นมาอีก

แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องผิดหวังอยู่ดี

หลังจากกินยาที่หยางเหล่าโถวเป็นผู้ปรุงลงไป เฉินผิงอันที่ตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงจิตวิญญาณล้วนด้านชาไร้ความรู้สึกก็นั่งเหม่อมองแสงไฟ ไส้ตะเกียงค่อยๆ หดสั้นลง ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง

คนหนุ่มที่สายตานิ่งสนิทดุจบ่อโบราณล้ำลึกหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง

ฟ้าสว่างแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version