Skip to content

Sword of Coming 439

บทที่ 439 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ

หน้าหนาวที่อากาศเยียบเย็น น้ำของทะเลสาบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไอเย็นเสียดลึกถึงกระดูก

กู้ช่านสลบไปถึงสามวันสามคืน ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องมานั่งอยู่ข้างเตียงของเขาเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง ดมกลิ่นยาที่เข้มข้น

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่กู้ช่านกับหนีชิวน้อยมักจะไปนั่งอาบแดดนอกห้องที่ตั้งอยู่ตรงประตูภูเขา

เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องแห่งนี้คอยลุกขึ้นเดินมาที่หัวเตียงเพื่อตรวจสอบเส้นชีพจรของกู้ช่าน ป่วยนานวันเข้าก็กลายมาเป็นหมอเสียเอง เรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ถือว่าเป็นคนนอกวงการแล้ว สำหรับบาดแผลที่จะอาการรุนแรงขึ้นหรือใกล้จะหายดี เขาจึงยังพอมองออกอยู่บ้าง ยาวิเศษที่หลิวจื้อเม่าสั่งให้เถียนหูจวินนำมาให้นั้นมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม มีความเป็นได้มากว่าจะเป็นตัวยาล้ำค่าที่คล้ายคลึงกับยาของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่หลอมให้เซียนดินโดยเฉพาะ

วันนี้กู้ช่านฟื้นขึ้นมาแล้ว เห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น กู้ช่านก็คลี่ยิ้มกว้าง ทว่าเพียงไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง ลมหายใจหนักแน่นมั่นคงขึ้นเยอะมาก

หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากจวนชุนถิง สตรีแต่งงานแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ก็บอกให้ผู้ดูแลที่เป็นขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของจวนไปเชิญตัวหลิวจื้อเม่ามา บอกว่านางมีเรื่องจะปรึกษา

สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือที่ยังร้อนผ่าวของกู้ช่านไว้เบาๆ น้ำตาคลอเจียนจะหยด

ความคิดของสตรีแต่งงานแล้วล่องลอยไปไกล สุดท้ายนางก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

โชคดีที่ช่านช่านไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่น่าเสียดายที่ไปถ่วงการทำ ‘อาหารเทพเซียน’ ที่จวนชุนถิงตั้งใจปรุงขึ้นโดยเฉพาะ

การกินอาหารของผู้ฝึกตนมีข้อที่ต้องพิถีพิถันอยู่มาก ยาของในบรรดาเมธีร้อยสำนักก็ต้องยกคุณความชอบให้กับเรื่องนี้ คำกล่าวที่ว่าเรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญเทียมฟ้า สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนบนภูเขาแล้ว คำกล่าวนี้ก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน

ใช้ยี่สิบสี่ช่วงเวลาของหนึ่งปีเป็นช่วงรอยต่อคร่าวๆ มียาบำรุงตามเทศกาลที่สมบูรณ์แบบอยู่ชุดหนึ่งก็สามารถช่วยบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณให้ผู้ฝึกตนได้ ยาบำรุงของผู้ฝึกตนก็คล้ายคลึงกับการกินอาหารเสริมของคนตระกูลร่ำรวย

แน่นอนว่าหากคิดจะเพิ่มพูนตบะได้อย่างต่อเนื่องก็ต้องกินทุกวัน ทุกปี ดังนั้นจึงต้องมีเงิน มีเงินมากๆ

และเพียงไม่นานสายตาของสตรีแต่งงานแล้วก็ฉายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

สำหรับความยืดหยุ่นของสตรีอาภัพที่มีชีวิตอย่างยากลำบาก ความดึงดันของแม่คนหนึ่งที่จับมือบุตรชายเดินไปบนเส้นทางแห่งอนาคต หญิงหม้ายคนหนึ่งที่จำต้องคิดคำนวณถึงเงินเหรียญทองแดงทุกเหรียญอย่างละเอียดรอบคอบ ก็เหมือนกับอิฐหนึ่งก้อนกระเบื้องหนึ่งแผ่นที่ประกอบกันขึ้นเป็นบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงหลังนั้น บ้านที่ช่วยบังลมบังฝนให้กับแม่ลูกที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน

นางเดินข้ามผ่านธรณีประตูไปเบาๆ ด้านนอกมีแม่นางเปิดสาบเสื้อคนหนึ่งที่คิดจะช่วยปิดประตูให้ แต่พอสตรีแต่งงานแล้วตวัดตามองไป อีกฝ่ายก็รีบหดมือกลับ นางจึงงับประตูปิดลงด้วยตัวเองเบาๆ

ในห้องโถงของจวนชุนถิงที่สวยงามโอ่อ่า สตรีแต่งงานแล้วมาพบสกัดคงคาเจินจวิน เจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนคนปัจจุบันที่เพิ่งจะทรุดตัวนั่งลง

เทพเซียนนอกโลกที่ปีนั้นพาพวกนางสองแม่ลูกออกมาจากตรอกหนีผิง หลิวจื้อเม่า

มองสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ตรงหน้า จากสตรีที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบ้านป่า ค่อยๆ ลอกคราบกลายมาเป็นนายหญิงแห่งจวนชุนถิงเกาะชิงเสียในทุกวันนี้ เวลาสามปีที่ผ่านไป รูปโฉมของนางไม่เพียงแต่ไม่โรยรา กลับยังเพิ่มสง่าราศีขึ้นมาอีกหลายส่วน ผิวพรรณขาวนวลเนียนประดุจเด็กสาว หลิวจื้อเม่ายังรู้อีกว่านางชอบฟังสาวใช้ในจวนพูดว่านางในเวลานี้ดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าฮูหยินตราตั้งของแคว้นสือหาวเสียอีก หลิวจื้อเม่ารับชาร้อนถ้วยหนึ่งที่พ่อบ้านส่งมาให้อย่างระมัดระวัง จับฝาถ้วยชาแกว่งเบาๆ แล้วให้รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย สตรีที่เป็นเช่นนี้ หากปีนั้นชิงบังคับขืนใจนางตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าวันนี้ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตนเป็นถึงอาจารย์ แต่กลับต้องมากริ่งเกรงลูกศิษย์ของตัวเอง

เพราะหากสตรีแต่งงานแล้วถูกเขาหลิวจื้อเม่ากำราบเอาไว้ได้ นางย่อมมีเหตุผลและข้ออ้างนับหมื่นที่จะกล่อมให้ตัวเองคล้อยตามได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาใช้ควบคุมกู้ช่านได้ดีกว่าเดิม

ขอแค่มอบความร่ำรวยสูงศักดิ์ให้นางอย่างต่อเนื่อง นางก็จะพยายามไขว่คว้าไว้อย่างสุดชีวิต กำมันไว้ในมือแน่น เฝ้าปกป้องทรัพย์สินส่วนนี้ไว้เป็นอย่างดี ด้วยหวังว่าจะนำทั้งหมดมอบให้แก่บุตรชายในอนาคต

นั่นต่างหากจึงจะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของเกาะชิงเสีย

ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ที่นับวันความต้องการยิ่งมากขึ้น อาศัยอยู่ในจวนชุนถิงที่ไม่เป็นรองจวนของอ๋องและโหวแล้ว แต่ก็ยังเริ่มปรารถนาอยากครอบครองจวนเหิงโปของเขาหลิวจื้อเม่า ตั้งแต่แรกเริ่มที่พยายามประจบเอาใจ พยายามคาดเดาความคิดของเถียนหูจวิน จนมาถึงวันนี้ที่ภายนอกยังคงเป็นมิตรปรองดอง แม้ปากไม่พูด แต่กลับออกคำสั่งทางสีหน้า ไม่เพียงเท่านี้ หญิงชาวบ้านที่พอร่ำรวยขึ้นมายังเริ่มเล่าเรียนเขียนอ่าน ยังไม่พอ แม้แต่พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดก็ยังเริ่มสัมผัสศึกษา บอกให้แม่นางเปิดสาบเสื้อหลายคนที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ช่วยสอนมารยาทพิธีการและเรื่องยิบย่อยอีกมากมายที่ชนชั้นสูงควรต้องรู้ให้แก่นาง

นี่ทำให้หลิวจื้อเม่ามองดูด้วยความเบิกบานใจ ช่างเป็นคนมหัศจรรย์ซะจริง

แต่ความเสียดายในใจของหลิวจื้อเม่าก่อนหน้านี้ก็มาเร็วไปเร็วเช่นกัน

หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “ฮูหยิน เรียกข้ามามีเรื่องจะปรึกษาหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ข้าอยากจะถามเจินจวินเรื่องหนึ่งให้แน่ใจ เฉินผิงอันมาเยือนเกาะชิงเสียของพวกเราครั้งนี้เพราะต้องการอะไรกันแน่? ไม่ใช่มาเพื่อแย่งชิงหนีชิวน้อยตัวนั้นไปจากช่านช่านจริงๆ หรือ? อีกอย่าง แผ่นหยกที่เฉินผิงอันมอบให้ท่านในตอนแรกที่หนีชิวน้อยพูดถึง มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

หลิวจื้อเม่าไม่ได้ดื่มชา เขาวางถ้วยชาที่มีฝาปิดลงด้านข้างเบาๆ กลิ่นหอมของชาในถ้วยลอยกรุ่น เขาคลี่ยิ้ม กล่าวว่า “ที่แท้ก็เรื่องพวกนี้เองหรือ ข้ายังนึกว่าฮูหยินคิดจะซักไซ้เอาผิด ถามว่าเหตุใดอาจารย์ของกู้ช่านอย่างข้าถึงไม่ออกหน้าปกป้องลูกศิษย์ตัวเอง”

สตรีแต่งงานแล้วกล่าว “เรื่องพวกนี้อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า ข้าเชื่อว่าเจินจวินต้องมีความลำบากใจที่ไม่อาจบอกใครได้ ดังนั้นจะไม่มีทางเก็บมาคิดให้เกิดความแสลงใจต่อกันเด็ดขาด ข้ายังสามารถรับปากกับเจินจวินว่าจะช่วยท่านพูดในสิ่งที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจต่อหน้าช่านช่าน ไม่อย่างนั้นจะไม่เข้าทางพวกหมาป่าหมาในที่ห้อมล้อมอยู่รอบด้านเพื่อหวังฉกฉวยโอกาสหรอกหรือ?”

หลิวจื้อเม่ายิ้มอย่างเข้าใจ ใครกันนะช่างพูดว่าสตรีผมยาวความรู้สั้น?

หลิวจื้อเม่าพยักหน้ากล่าวว่า “แผ่นหยกแผ่นนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผยความลับสวรรค์ ส่วนเป้าหมายที่เฉินผิงอันมาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยากจะคาดเดาจริงๆ บอกตามตรงว่าข้าเองก็ไม่เคยเข้าใจ หลังจากที่เขามาเป็นนักบัญชีบนเกาะชิงเสียของพวกเรา ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ แต่ข้าเชื่อว่าเฉินผิงอันไม่มีจิตคิดร้ายกับกู้ช่าน”

สตรีแต่งงานแล้วขมวดคิ้วคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย รู้สึกว่าหลิวจื้อเม่าในวันนี้พูดจาผิดแผกไปจากเดิม ในอดีตเวลาที่ปรึกษาเรื่องลับกับอีกฝ่าย เขาไม่เคยพูดจายืดเยื้อแบบนี้ หรือว่าได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพสมกับที่วางแผนมานาน ได้หลงลำพองใจแค่ไม่กี่วันกลับต้องมาถูกเรื่องวุ่นวายที่หลิวเหล่าเฉิงสมควรตายผู้นั้นมาอาละวาดบนเกาะชิงเสีย เลยตกใจขวัญหนีดีฝ่อ? หลังจากผ่านความดีใจใหญ่หลวงและความเสียใจอย่างล้นพ้นมาไล่เลี่ยกัน นิสัยก็เลยเปลี่ยนไป? หรือว่าวีรบุรุษผู้องอาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเช่นหลิวจื้อเม่า แท้จริงแล้วนิสัยใจคอยังสู้สตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างตนไม่ได้?

หลิวจื้อเม่าหรี่ตาลง ยิ้มกล่าวว่า “นิสัยของเฉินผิงอันเป็นอย่างไร ฮูหยินย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าข้า เขาเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน กับกู้ช่านที่เขาเห็นอีกฝ่ายเติบโตมาก็ยิ่งหวังดีจากใจจริง แทบอยากจะยกของดีทั้งหมดที่ตัวเองมีให้กู้ช่านด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนในอดีต ออกไปจากตรอกหนีผิงที่ในอดีตเต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่แห่งนั้นแล้ว คนย่อมเปลี่ยนไป คาดว่าเฉินผิงอันคงกลายเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ถึงได้ชอบใช้หลักการเหตุผล เพียงแต่ว่านี่อาจจะไม่เหมาะสมกับทะเลสาบซูเจี่ยนเสมอไป ดังนั้นเขาถึงได้ตบกู้ช่านสองครั้งตอนอยู่ในนครน้ำบ่อ หากถามความเห็นข้า เขาคงจะห่วงใยกู้ช่านจริงๆ แล้วก็เพราะหวังดีต่อกู้ช่านถึงได้ทำเช่นนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น เห็นญาติมิตรเจริญรุ่งเรืองแล้วมีแต่จะดีอกดีใจ เรื่องอื่นใดล้วนไม่สนใจ ฮูหยิน ข้ายกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน หากเปลี่ยนมาเป็นลวี่ไช่ซางที่เห็นว่ากู้ช่านมีเงินแล้ว เขาย่อมรู้สึกว่านี่เป็นความสามารถของกู้ช่าน เป็นเพราะหมัดของกู้ช่านแข็งแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”

สตรีแต่งงานแล้วกระตุกมุมปาก

หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ “จะว่าไปแล้วความคิดของเฉินผิงอันก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจทะเลสาบซูเจี่ยนสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ายุทธภพของพวกเราอันตราย ยังดีที่เมื่อได้มาอยู่พักหนึ่ง เขาก็น่าจะรู้กฎเกณฑ์บางอย่างของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับกู้ช่านอีกต่อไป ฮูหยิน พวกเราลองใช้เหตุผลในทางย้อนกลับดูก็จะเห็นได้ว่า สำหรับคนอย่างเฉินผิงอันนี้ ใช้ความรู้สึกความผูกพันมาพูดคุยย่อมได้ผลยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพราะคนต่างจึงแตกต่าง เพราะสถานที่ต่างจึงไม่เหมือนกัน”

สตรีแต่งงานแล้วทำท่าครุ่นคิด รู้สึกว่าการพูดคุยครั้งนี้ หลิวจื้อเม่ายังพอมีความจริงใจอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำพูดไร้สาระที่กล่าวไปตามมารยาทเท่านั้น

ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีซึ่งตอนอยู่ในเมืองเล็กไม่เคยตกเป็นรองยามทะเลาะกับใคร ชี้แนะนิดเดียวนางก็กระจ่างแจ้ง

และนางก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย หากอิงตามคำพูดนี้ของหลิวจื้อเม่า คืนนั้นนับตั้งแต่ที่เห็นเฉินผิงอันแบกกู้ช่านกลับมาที่จวนชุนถิง จนกระทั่งสุดท้ายที่เฉินผิงอันออกไปจากห้อง นางทำพลาดไปแล้วจริงๆ

หากได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของหลิวจื้อเม่าแล้วค่อยเกิดเรื่องอย่างคืนนั้นขึ้น นางย่อมไม่มีทางทำผิดพูดผิด ผิดไปเสียทุกอย่างแบบนี้แน่

สองปีมานี้พอมีเวลาว่างนางก็ชอบให้สาวใช้ในจวนมาคอยอยู่เคียงข้าง นอกจากจะนวดไหล่ทุบหลัง โบกพัดคลายร้อย กระพือเตาไฟให้ความอบอุ่นแล้ว ยังให้สาวใช้คนหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นบุตรสาวสายตรงของรองเจ้ากรมพิธีการมาอ่านเนื้อหาในตำราหลากหลายประเภทให้ฟัง หลักการยิ่งใหญ่ที่เหล่าขุนนางและปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงเลื่อมใสศรัทธา นางเองก็รับฟัง เพียงแต่ไม่ชอบฟังก็เท่านั้น กลับเป็นเรื่องเล่าบางอย่างเสียอีกที่มักจะสร้างแรงบันดาลใจให้นางได้ ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ฟังเรื่องเล่าจากในตำราที่บอกว่ามีตระกูลหนึ่งเจอกับไฟไหม้ หลังจากได้ข่าวคนของตระกูลก็ถามว่ามีคนบาดเจ็บหรือไม่ ไม่ได้ถามถึงความเสียหาย เพียงชั่วพริบตาคนผู้นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นผู้มีเมตตาธรรมที่เลื่องลือในหมู่บัณฑิต สตรีแต่งงานแล้วพลันกระจ่างแจ้ง แล้วก็รู้สึกว่าอันที่จริงตัวเองก็มีโอกาสที่จะนำเรื่องนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิธีผูกมัดใจคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ยังมีแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการในประวัติศาสตร์บางคนที่มีฐานะสูงส่ง แต่กลับยินดีดูดน้ำหนองออกให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากนั้นมาคนทั้งกองทัพก็พร้อมใจกันอุทิศตนยอมตายเพื่อเขา สำหรับเรื่องราวมากมายที่คล้ายคลึงกันนี้ สตรีแต่งงานแล้วล้วนสามารถนำมาสรุปรวมเป็นบทเรียนให้กับตัวเองได้

สตรีแต่งงานแล้วนึกอยากจะตบบ้องหูตัวเองยิ่งนัก อันที่จริงคำพูดของหลิวจื้อเม่าก็คือหลักการข้อนั้นในตำรา ทั้งๆ ที่ตนก็รู้ แล้วก็จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว แต่เหตุใดพอประสบพบเจอเข้าจริงๆ กลับทำไม่ได้?

หลิวจื้อเม่าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสตรีแต่งงานแล้วจึงถามว่า “ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วฝืนคลี่ยิ้มส่งไปให้ “ไม่มีอะไร ขอถามเจินจวินสักหน่อยว่า หลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรหรือพูดอย่างไร? หลิวเหล่าเฉิงที่อยู่บนเกาะกงหลิ่วผู้นั้นจะกระทำการอำมหิตต่อเกาะชิงเสียของพวกเราหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยปลอบใจ “หลิวเหล่าเฉิงผู้นี้คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เป็นศัตรูของเขาก็ยังเคารพนับถือเขา เป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ยามสังหารก็ไร้ปราณี เป็นเหตุให้ตอนนั้นที่เขามาเยือนเกาะชิงเสีย เขาคิดจะสังหารกู้ช่าน ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่ แต่ตอนนี้ในเมื่อเขายอมปล่อยกู้ช่านไปแล้ว ใครก็ขวางไว้ไม่อยู่ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของหลิวเหล่าเฉิงได้เช่นกัน เขาไม่มีทางที่จะย้อนกลับมายังเกาะชิงเสียอีกครั้งแน่นอน ดังนั้นทั้งกู้ช่านและจวนชุนถิงต่างก็ไม่มีอันตรายแล้ว ถึงขนาดที่ข้าสามารถให้คำยืนยันกับฮูหยินได้เลยว่า หลังจากการเข่นฆ่าในคืนนั้นต่างหาก กู้ช่านถึงไร้อันตรายที่แท้จริง ทะเลสาบซูเจี่ยนในตอนนี้ย่อมไม่มีใครกล้าสังหารคนที่หลิวเหล่าเฉิงไม่สังหาร!”

สตรีแต่งงานแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

หลิวจื้อเม่าไม่ได้พูดอะไรมาก สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ พูดแค่ครึ่งเดียวก็พอ ที่เหลือให้นางไปใคร่ครวญเอาเอง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่จริงแท้หรือเสแสร้ง ขอแค่ไม่พูดให้เด็ดขาดจริงจังเกินไปนัก นางกลับจะยิ่งเกิดความกังขา แล้วก็เลือกที่จะไม่เชื่อ

สตรีแต่งงานแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมา ก้มหน้าดื่มชา รูปโฉมงดงามเรียบร้อย ท่วงท่าสง่างามเยือกเย็น ไม่เหลือกลิ่นอายดินโคลนอยู่แม้แต่น้อย

หลิวจื้อเม่าพลันกดเสียงลงต่ำ ถามว่า “ฮูหยิน เหตุใดเจ้าถึงได้…ไม่ไว้ใจเฉินผิงอันขนาดนี้?”

สายตาของสตรีแต่งงานแล้วอึมครึม “เมื่อครู่นี้เจินจวินก็บอกแล้วว่า คนเราย่อมต้องเปลี่ยนไป”

หลิวจื้อเม่าลูบหนวดยิ้ม

สตรีแต่งงานแล้วถาม “เจินจวิน ท่านลองบอกทีเถิดว่า ข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ถือเป็นคนชั่วได้ไหม?”

หลิวจื้อเม่าส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ถือว่าเป็นคนดีแล้ว มีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน แล้วก็ไม่เคยกดขี่พวกข้ารับใช้”

สตรีแต่งงานแล้วถามอีก “แม้แต่คนเลวบางครั้งก็ยังมีช่วงเวลาที่จิตใจดีงาม ปีนั้นข้าทำเช่นนั้นกับเฉินผิงอัน ก็เป็นแค่การทำทานด้วยข้าวหนึ่งถ้วยเท่านั้น มีอะไรให้น่าแปลกใจนักหรือ? ตอนนี้ที่ข้าระแวงเฉินผิงอันก็เพราะคิดเผื่อเรื่องใหญ่ในชีวิตของช่านช่าน เพื่อมหามรรคาในการฝึกตนของช่านช่าน ข้าไม่ได้ไปทำร้ายเฉินผิงอันสักหน่อย แล้วนี่ล่ะแปลกตรงไหน?”

หลิวจื้อเม่าพลันกระจ่างแจ้ง “ฮูหยินพูดอย่างนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะ ดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นเผยแววเย้ายวนทรงเสน่ห์ จากนั้นนางก็ถามว่า “เจินจวินดูแคลนน้ำชาของจวนชุนถิงเราหรือ? ถึงได้ไม่ยอมดื่มแม้แต่คำเดียว? หากจำไม่ผิด นี่คือชาตระกูลเซียนจากเกาะหงอิ่นที่เถียนหูจวินนำมามอบให้ด้วยตัวเองเชียวนะ หรือว่าในจวนของเทียนจวินมีใบชาที่ดียิ่งกว่านี้เก็บซ่อนอยู่?”

“ฮูหยินพูดเช่นนี้ช่างทำให้คนเสียใจยิ่งนัก เอาเถอะ ต่อให้ข้าต้องจ่ายเงินจ้างคนไปควานหาทั่วทิศ ก็จะต้องหาใบชาที่ดีกว่าของเกาะของหงอิ่นมาให้ฮูหยินสักหลายๆ จินให้จงได้”

หลิวจื้อเม่าชี้นิ้วใส่สตรีแต่งงานแล้วพลางหัวเราะร่าเสียงดัง วางฝาถ้วยปิดลงบนถ้วยชาเบาๆ แล้วจึงบอกลาจากไป บอกสตรีแต่งงานแล้วว่าไม่ต้องไปส่ง

สตรีแต่งงานแล้วที่ลุกขึ้นยืนทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกเดินออกมา

พ่อบ้านวัยชราที่ยืนเฝ้าอยู่ไกลๆ ตรงหน้าประตูเรือน มิใช่ประตูห้องโถงรีบเดินเข้ามาในห้องโถง หากเป็นเวลาปกติเขาย่อมต้องบอกให้สาวใช้ของจวนมาเก็บกวาดทำความสะอาด แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน เจ้าเกาะมาเยือนด้วยตัวเอง เขาจึงคิดว่าตนควรต้องเป็นผู้เก็บกวาดเอง

ในขณะที่ผู้ฝึกตนเฒ่าท่านนี้หยิบถ้วยชาของหลิวจื้อเม่าขึ้นมาก็เห็นว่าน้ำชาไม่เหลือเลยแม้แต่หยดเดียว มีเพียงใบชาตระกูลเซียนสองสามใบสีเขียวปลั่งราวมรกตนอนนิ่งอยู่ก้นถ้วย

ผู้ฝึกตนเฒ่าปลงอนิจจังอยู่ในใจ เจ้าเกาะยังคงเชื่อใจจวนชุนถิงและฮูหยินเหมือนดังในอดีตเลย

……

พอออกมาจากจวนชุนถิงแล้ว หลิวจื้อเม่าก็ย้อนกลับมาที่จวนของตัวเองโดยตรง บอกให้คนไปหาซื้อใบชาที่แพงที่สุดหลายๆ จินมาจากเมืองหลวงแคว้นจูอิ๋งก่อน

จากนั้นสกัดคงคาเจินจวินที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนมากที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้ก็นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมืองในห้องลับ เขาแบฝ่ามือออก กลางฝ่ามือมีหยดน้ำเล็กๆ อยู่หนึ่งหยด สีโปร่งใสแวววาว ต่อมาเขาก็หยิบถ้วยขาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นำหยดน้ำที่อยู่กลางฝ่ามือใส่ลงไปในถ้วย

เขานั่งเฉยๆ อยู่อย่างนี้จนถึงกลางดึก ก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะร่ายวิชาอภินิหาร มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเรือนของประตูภูเขา เคาะประตูเบาๆ

เมื่อผลักประตูเดินเข้าไป เฉินผิงอันก็เดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมานั่งอยู่ด้านข้าง ผายมือเชิญให้หลิวจื้อเม่านั่งลง

คนหนุ่มต้าหลีที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงผู้นี้ไม่ได้ชี้หน้าด่าทอตน นี่เป็นทั้งเรื่องดี แล้วก็เป็นทั้งเรื่องร้าย

หลิวจื้อเม่านั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ยิ้มพลางเอ่ยอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ท่านเฉินไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปวุ่นวายโดยพลการ ข้าก็ได้แต่ไม่สนมารยาทของเจ้าของสถานที่แล้ว ตอนนี้ท่านเฉินบอกว่าต้องการพบข้า ข้าก็ย่อมไม่กล้าให้ท่านเฉินต้องเดินไกล จึงมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า ต้องขอให้ท่านเฉินอภัยให้ด้วย”

ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ในถิ่นของตัวเองอย่างเกาะชิงเสีย สามารถพูดได้ถึงขั้นนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดได้หดได้ของเขาแล้ว

เฉินผิงอันยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลิวจื้อเม่ารีบบิดข้อมือ บนฝ่ามือมีแผ่นหยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งลอยอยู่ เขาถึงขั้นไม่กล้าแตะต้องแม้แต่น้อย เพียงผลักออกไปเบาๆ แล้วเฉินผิงอันก็เก็บลงไป

หลิวจื้อเม่าเอาถ้วยน้ำใบหนึ่งออกมาอีก ใช้นิ้วผลักไปทางเฉินผิงอัน สุดท้ายมันไปหยุดอยู่ตรงกลางของโต๊ะ เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “มารดาของกู้ช่านเพิ่งจะมาพบข้า มีคำพูดบางอย่างที่ข้าหวังว่าท่านเฉินจะลองฟังดู การกระทำเฉกเช่นคนถ่อยนี้ของข้า แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่สกปรก แต่ก็ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่ง”

ผิวน้ำในถ้วยขาวเกิดริ้วคลื่นน้อยๆ

เพียงไม่นานก็ปรากฏภาพในจวนชุนถิง รวมไปถึงเสียงบทสนทนาระหว่างหลิวจื้อเม่ากับสตรีแต่งงานแล้ว

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นมือออกมา ใช้ฝ่ามือปิดปากถ้วย กระเทือนให้ริ้วน้ำแตกกระจาย ถ้วยขาวที่มีเสียงน้ำสะท้อนก้องกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง

มืออีกข้างหนึ่งคือมือข้างที่กุมกระบี่เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนในคืนนั้น ต่อให้หลังจบเรื่องเฉินผิงอันจะทายาที่หลอมขึ้นด้วยเวทลับของสกุลลู่ในแผ่นดินกลางซึ่งสามารถทำให้เนื้องอกจากกระดูกขาวที่ลู่ไถมอบให้ไปแล้ว แต่สภาพของมันก็ยังคงเหวอะหวะน่าสยดสยองอยู่ดี

หลิวจื้อเม่ากล่าวด้วยสีหน้าเลื่อมใสจากใจจริง “ท่านเฉินช่างเป็นวิญญูชนคนจริง หลิวจื้อเม่าใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนเสียแล้ว”

เฉินผิงอันหดมือกลับมา สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ข้ารู้ว่านางเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร คำพูดที่นางเอ่ยออกมาอาจจะแย่ยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่นาทีที่ข้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง ไม่ว่านางจะมีคำพูดหรือการกระทำอะไร ก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ปีนั้นตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง เพื่อช่วยกู้ช่านบุคคลที่ตัวเองเลือกรั้งโชควาสนาจากหนีชิวน้อยเอาไว้ เจ้าไม่เพียงแต่ใช้เวทลับปลุกปั่นไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิชานอกรีตที่อำมหิตแอบเขียนสี่คำว่าจิตหวังความตายไว้ในหัวใจข้า บงการให้ข้าไปลอบฆ่าไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัว ใช้ไข่กระทบหิน เพื่อที่ข้าจะได้ตายไปอย่างสิ้นซาก”

หลิวจื้อเม่ากล่าว “ข้ายอมรับว่ามีเรื่องนี้จริง จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ท่านเฉินมีอาวุธกึ่งเซียนอยู่ชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ? สามารถแทงมาที่หัวใจหรือศีรษะของข้าได้ ข้าจะไม่ตอบโต้แน่นอน แล้วนับจากนี้บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับข้าก็ถือว่าหายกัน! หลังจากนั้นหากท่านเฉินยังไม่ยอมเลิกรา ก็คงต้องลองดูกันสักตั้ง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าได้เรียนรู้วิถีแห่งการกระทำของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้าอีกแล้ว ดูร้อยรอบก็ไม่เบื่อจริงๆ ทุกวันล้วนมีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เห็นได้เสมอ”

หลิวจื้อเม่าตีหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา

อันที่จริงในทะเลสาบซูเจี่ยน นอกจากกู้ช่านกับสตรีแต่งงานแล้ว ภาพความทรงจำที่หลิวจื้อเม่ามอบให้แก่ผู้คนก็คือผู้เฒ่าพูดน้อยเงียบขรึม ราวกับว่าคำพูดแต่ละคำมีค่าดุจทองคำ มีเพียงใบหน้าแต้มยิ้มที่มักจะมอบให้คนอื่นอยู่เป็นนิตย์เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างเถียนหูจวินและ ‘ขุนนางสำคัญ’ ใต้อาณัติอย่างอวี๋กุ้ยแล้ว การวางท่าภูมิฐานและการลงมืออย่างอำมหิตของหลิวจื้อเม่าช่างมีพลังสยบกำราบที่รุนแรงอย่างยิ่ง

คนที่ไม่ชอบพูดจา หากไม่มีนิสัยซื่อๆ พูดไม่เก่ง ก็ต้องเป็นคนประเภทที่มีอุบายมากมายดุจขนวัว

ดังนั้นเจ้าเกาะผู้เฒ่าของเกาะเทียนหมู่ที่เกลียดขี้หน้าหลิวจื้อเม่ามากที่สุด คนน่าสงสารที่ในอดีตเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่าตอนนี้กลับจิตดับกายสลายไปแล้วผู้นั้นถึงได้มอบคำวิจารณ์ที่เจ็บแสบให้แก่หลิวจื้อเม่าว่า ‘เจินจวินตัวปลอม ใบหน้ายิ้มเหมือนพระพุทธรูป แต่ในชายแขนเสื้อซ่อนมีดอสูร’

การกระทำต่อมาของเฉินผิงอันถึงกับทำให้หนังตาของหลิวจื้อเม่ากระตุกเบาๆ เขายื่นมือข้างที่พันผ้าพันแผลอยู่ในชายแขนเสื้อออกมาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ รินเหล้าวิหคครวญใส่ลงในชามสีขาวที่อยู่กลางโต๊ะไปเกินครึ่งถ้วย แล้วจึงผลักให้หลิวจื้อเม่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงข้างโต๊ะ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แทงเจ้าหนึ่งกระบี่แล้วอย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำร้ายเจินจวินได้หรือไม่ ต่อให้ทำให้เจ้าบาดเจ็บได้ กระต่ายเจ้าเล่ห์ก็ยังมีโพรงสามโพรง ข้ารู้ว่าวิชาตัวตายตัวแทนของตระกูลเซียนบนภูเขาไม่ได้มีแค่ชนิดเดียวเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่ารับถ้วยขาวมาดื่มเหล้าในถ้วยอย่างเปิดเผย “ท่านเฉินมีสติปัญญาเลิศล้ำ เปี่ยมไปด้วยโชควาสนา ปีนั้นเป็นข้าหลิวจื้อเม่าที่ตาถั่ว ข้ายอมรับการลงโทษ ไม่สู้ท่านเฉินลองเสนอเงื่อนไขมา”

เฉินผิงอันกล่าว “หากข้าพูดว่าไม่ถือสาหาความเรื่องในอดีต เจ้าไม่เชื่อ ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังกังวาน ผลักถ้วยขาวออกไป “สำหรับคำพูดเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าคงต้องขอเหล้าท่านเฉินดื่มเพิ่มอีกสักถ้วยแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันรินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าตามที่เขาต้องการจริงๆ ประมาณครึ่งถ้วยพอดี

หลิวจื้อเม่ากระดกดื่มจนหมดรวดเดียว

หากผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียมาเห็นภาพนี้เข้า คงคิดแค่ว่าเจ้าบ้านและแขกต่างก็ชื่นบาน เมื่อพบหน้ากันก็มีแต่รอยยิ้ม แค่ดื่มเหล้าก็สลายความแค้นที่มีต่อกันไปได้

เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “ก่อนจะเสนอเงื่อนไข ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจินจวิน”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้า “หากเป็นเรื่องที่รู้ข้าต้องบอกจนหมดแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “รากฐานในการฝึกจิตใจของเจินจวินคือเพื่อสิ่งใด”

หลิวจื้อเม่าตอบอย่างไม่ลังเล “นักพรตฝึกตน แน่นอนว่าย่อมต้องแสวงหาความจริง”

เฉินผิงอันถามอีก “ช่วยบอกให้ละเอียดอีกหน่อยได้ไหม? พูดในเรื่องประสบการณ์ของตัวเอง?”

หลิวจื้อเม่าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเปิดปากเอ่ยว่า “เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ขมวดรวมกันดั่งปมเชือกที่ยุ่งเหยิง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องค่อยๆ สาวมันออกมา แบ่งแยกประเภท…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังชั้นวางที่ตั้งเรียงรายอยู่หลังโต๊ะหนังสือ “ก็เหมือนที่ท่านเฉินจัดวางเอกสารลับที่แตกต่างกันพวกนี้”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็เลือกผู้ฝึกตนที่เดินอยู่บนเส้นทางนอกรีตสายนี้ของข้า ยังต้องมีการเลือกเก็บไว้หรือละทิ้งไป แต่ละคนต่างก็มีทางสายเล็กให้เดิน บางส่วนที่หดเล็กจนมีขนาดเท่าเมล็ดงาก็เอาวางไว้ด้านข้าง บางส่วนที่ขยายใหญ่ดุจขุนเขาก็สร้างความมั่นคงให้อย่างต่อเนื่อง นี่ล้วนเป็นวิธีของการฝึกตนทั้งสิ้น ส่วนข้อที่ว่ารวบรวบเมล็ดงาได้กี่เมล็ด สะสมกองทับกันเป็นภูเขาได้กี่ลูก ก็ต้องดูที่คุณสมบัติและพรสวรรค์ในการฝึกตนของแต่ละคนแล้ว ระหว่างนี้มีด่านที่สำคัญมากมาย มีอันตรายหลายอย่าง รับมือกับเมล็ดงาเล็กๆ พวกนั้นก็อย่างเช่นว่าสามารถอนุมานวิชาบั่นสามศพที่สืบทอดมาจากบรรพกาล วิธีหลอมโอสถทองภายในขึ้นมาได้ ส่วนข้อที่ว่าจะทำให้กลายเป็นภูเขาอย่างไร ก็ยังมีวิถีของการกินแสงพร่างพราวดื่มน้ำค้าง ใช้ยาภายนอก ระหว่างนี้การฝึกตนจะช้าหรือเร็ว รวมไปถึงคอขวดจะสูงหรือต่ำก็ต้องดูที่เคล็ดวิชาการฝึกตนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของแต่ละฝ่ายว่ามีระดับขั้นแค่ไหน”

หลิวจื้อเม่าหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ “คงพูดอย่างละเอียดได้แค่นี้ นี่เกี่ยวพันกับรากฐานของมหามรรคา หากยังพูดต่อ นั่นต่างหากถึงจะเป็นจิตหวังความตายที่แท้จริง ไม่สู้ให้ท่านเฉินแทงข้าด้วยกระบี่หลายๆ ครั้งยังดีเสียกว่า”

หลิวจื้อเม่าถาม “ข้ารู้ว่าท่านเฉินดีดลูกคิดไว้ในใจตัวเองเรียบร้อยแล้ว ไม่สู้พูดมาให้ชัดเจนไปเลย?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีคำถามอีก หลิวเหล่าเฉิงเป็นนกขมิ้นที่จับจ้องอยู่ข้างหลัง ทำให้บารมีอำนาจที่เกาะชิงเสียสร้างขึ้นมาหลายร้อยปีในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้กระทั่งหนีชิวน้อยก็ล้วนดิ่งลงก้นทะเลสาบภายในค่ำคืนเดียว ถ้าอย่างนั้นเจินจวินจะยังเป็นเจ้าแห่งยุทธภพได้อีกหรือไม่? เจินจวินจะคายเนื้อชิ้นโตที่กินเข้าไปแล้วออกมา ยกสองมือประคองส่งให้หลิวเหล่าเฉิง นับจากนี้ก็ปิดเกาะและสำนักไปนานหลายสิบปี เป็นอ๋องต่างแซ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระ หรือคิดว่าจะลองพยายามสู้ดูสักตั้ง? ในเมื่อหลิวเหล่าเฉิงเป็นนกขมิ้นที่รออยู่ด้านหลัง แล้วเจินจวินมีหนังกะติ๊กของต้าหลีรออยู่ด้านหลังยิ่งกว่าหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เขาเพียงแค่เอ่ยอย่างจนใจคล้ายปลงอนิจจังและคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ “กลัวก็แต่ว่าตอนนี้ต้าหลีได้หันไปสนับสนุนหลิวเหล่าเฉิงอย่างเงียบๆ แล้ว ไม่มีที่พึ่ง เกาะชิงเสียก็แขนเล็กขาลีบ ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมอะไรขึ้นมาได้ ตอนนี้ในสายตาของหลิวเหล่าเฉิง ข้าหลิวจื้อเม่าไม่ได้ดีไปกว่าพวกแม่นางเปิดสาบเสื้อบนเกาะสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกเลย ต่อให้ต้องถลกหนังดึงเส้นเอ็นตัวเอง จะยากตรงไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าเจินจวินมีฝีมือชงชาได้อร่อย แล้วก็ดื่มสุราราคาถูกด้วย แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ไม่ว่าจะดื่มชาอย่างไรก็ดื่มไม่ชินเสียที รู้แค่คำกล่าวในตำราเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “คำสั่งสอนของท่านเฉิน หลิวจื้อเม่าจดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”

เฉินผิงอันหุบยิ้ม “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้า คิดจะให้จบสิ้นกันไป ย่อมได้ แต่เจ้าต้องมอบคนคนหนึ่งให้ข้า”

หลิวจื้อเม่าส่ายหน้าปฏิเสธโดยตรง “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก ท่านเฉินเลิกคิดได้เลย”

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าวว่า “บอกตามตรง ก็แค่สตรีครึ่งคนครึ่งผีของจวนจูเสียนเท่านั้น คืนนั้นหากหลิวเหล่าเฉิงฝืนบังคับชิงตัวไป หรือจะเปิดปากขอเอาจากข้าอย่างที่เจ้าทำ ข้าจะกล้าไม่ให้ได้หรือ? แต่เหตุใดหลิวเหล่าเฉิงถึงไม่ทำเช่นนั้น เจ้าเคยคิดหรือไม่?”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งเผชิญหน้าอยู่กับหลิวจื้อเม่าเงียบๆ ประหนึ่งพระพุทธรูปผุพังสีสันหลุดลอกในสถานที่ที่มีปราณวิญญาณบางเบา

หลิวจื้อเม่าถามอย่างประหลาดใจ “ความลับเรื่องนี้ แม้แต่นางเองยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้เป็นหม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีของจวนจูเสียนก็ยังไม่รู้แน่ชัด แล้วเจ้าเดาออกได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง “อันดับแรกคือความเป็นมาของชื่อจวนจูเสียนนี้ จากนั้นก็เป็นชื่อของสุราหนึ่งไห”

หลิวจื้อเม่ายิ่งไม่เข้าใจ เขาเรียกเฉินผิงอันว่าท่านเฉินด้วยความเคารพอีกครั้ง “ขอท่านเฉินโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีที่มีชาติกำเนิดมาจากคนแบกอาหาร หลงรักหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ข้าเคยได้ยินเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังด้วยตัวเอง ตอนที่พูดถึงจวนจูเสียน เขาค่อนข้างจะภาคภูมิใจ แต่ไม่ยอมให้คำตอบ ข้าก็เลยไปที่เกาะจูไชมาครั้งหนึ่ง ลองใช้สามคำว่าจวนจูเสียนถามหยั่งเชิงหลิวจ้งรุ่น ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็อับอายจนพานเป็นความโกรธทันที แม้จะไม่ได้บอกความจริงให้รู้เช่นเดียวกัน แต่นางกลับด่าหม่าหย่วนจื้อว่าเป็นคนไร้ยางอาย ข้าก็เลยไปที่นครน้ำบ่อมารอบหนึ่ง ซื้อตำราโบราณจากถนนวานรร่ำไห้และสอบถามพวกเถ้าแก่ร้านหนังสืออยู่หลายร้าน ถึงได้รู้ว่าที่แท้บ้านเดิมของหลิวจ้งรุ่นกับหม่าหย่วนจื้อมีคำกลอนประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะหาฟังได้ยาก คือประโยคว่า ‘จ้งรุ่นเสี่ยงจูเสียน’ ก็เลยไขปริศนาข้อนี้ได้ ความลำพองใจของหม่าหย่วนจื้อที่ตั้งชื่อจวนว่าจูเสียน ก็เพราะคิดจะใช้คำว่า ‘เสี่ยง’ ในบทกลอนที่แปลว่าเสียงดัง มาพ้องกับคำว่า ‘เสี่ยง’ ที่แปลว่าคิดถึง”

หลิวจื้อเม่าลูบหนวดยิ้ม “ประเสริฐ หากไม่ได้ท่านเฉินช่วยไขปริศนาให้ ข้าก็ไม่รู้เลยว่าที่แท้คนแบกอาหารชาติกำเนิดต่ำต้อยอย่างหม่าหย่วนจื้อยังมีความรู้ด้านการประพันธ์ที่สง่างามเช่นนี้อยู่ด้วย”

เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าหวงเถิง ต้นหลิวกำแพงวัง (กงเฉียงหลิ่ว) เหล้าทางการของบ้านเกิดหงซู เกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงปราณดุร้ายเข้มข้นที่ล้อมวนอยู่บนร่างของหงซู หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเศร้าอาลัย ไม่ต้องให้ข้าเปิดบันทึกลับในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนก็รู้ได้ ปีนั้นเรื่องราวความรักระหว่างหลิวเหล่าเฉิงกับผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ที่ต้องตายจากกันทั้งที่ยังค้างคา ฝ่ายหลังตายอย่างกะทันหัน หลิวเหล่าเฉิงไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้ พอนำมาเชื่อมโยงกับความระมัดระวังของเจ้าหลิวจื้อเม่า ก็ต้องย่อมรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมีร่วมกัน ไม่ใช่สองเกาะชิงจ่งและเทียนหมู่ที่มีเกาะลี่ซู่เป็นตัวช่วยประสานภายในให้ระหว่างเจ้ากับต้าหลี แต่เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่ไม่เคยเผยโฉมหน้า เจ้ากล้าช่วงชิงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ นอกจากมีต้าหลีเป็นที่พึ่ง ช่วยให้เจ้ารวบรวมกองกำลังใหญ่แล้ว เจ้าเองก็ต้องมีวิธีการที่เหี้ยมโหดมากพอจะนำมาปกป้องตัวเอง เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเอง เพื่อรับรองว่าอย่างน้อยเมื่อหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนย้อนกลับมาทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้งก็จะไม่มีทางฆ่าเจ้า”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ

ช่างเป็นคนที่รู้ใจตนยิ่งนัก!

ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกเลยว่า ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่กว้างใหญ่ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ที่เป็นคนรู้ใจเขาหลิวจื้อเม่ามากที่สุด!

สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้ายื่นข้อเสนอกึ่งหนึ่งก่อนแล้วกัน เจ้าคงจะเล่นตุกติกกับบนร่างของมารดากู้ช่านอยู่กระมัง ถอนมันออกเสียเถอะ ตอนนี้กู้ช่านไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเจ้าแล้ว อีกทั้งไฟที่ไหม้ขนคิ้วของเจ้าในเวลานี้ก็คือหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว และเรื่องที่ว่าจะรักษาตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ไว้ได้อย่างไร ทางฝั่งของต้าหลี ข้าจะลองช่วยเจ้าดูแล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เจ้ากลายเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง เป็นได้แค่เส้นทางให้หลิวเหล่าเฉิงก้าวเดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเดียวเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าขมวดคิ้ว “ความเป็นความตายของหงซูยังคงอยู่ในกำมือของข้า”

นักบัญชีหนุ่มที่แก้มตอบลงเล็กน้อยหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไออยู่สองสามทีก็กล่าวว่า “แล้วถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดหนึ่งในหมื่นขึ้นล่ะ? ถ้าหากหลิวเหล่าเฉิงไม่ใช่เจ้าเกาะกงหลิ่วในปีนั้นอีกต่อไป ถ้าหากเกี่ยวพันกับการเดินหน้าไปบนมหามรรคาของเขา หงซูจะสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ปีนั้นวางไม่ลง แต่เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าตอนนี้จะยังคงวางไม่ลงอยู่เหมือนเดิม? ไม่แน่ว่าเมื่อ ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นมาถึงจริงๆ เขาอาจจะเลือกจบชีวิตของหงซูไปโดยตรง แล้วค่อยต่อยเจ้าที่บังอาจย้อนเกล็ดเขาหลิวเหล่าเฉิงให้ตายไปด้วยหมัดเดียว ดังนั้นหลิวจื้อเม่า เจ้าเลือกเองเถอะ ข้าก็แค่ป้องกันการเกิดขึ้นของจุดจบที่เลวร้ายที่สุดให้เจ้าเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ท่านเฉินมีความสามารถมาพอที่จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนระดับสูงของต้าหลีจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีจริง แต่ก็มีจำกัด แต่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ตอนนี้สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างของบางอย่างข้าอยู่”

หลิวจื้อเม่ามองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ความคิดนับร้อยนับพันประดังประเดกันเข้ามา

หลิวจื้อเม่าเก็บถ้วยขาวใบนั้น ลุกขึ้นยืน “ภายในสามวัน ข้าจะให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ท่านเฉิน”

เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้นยืน “หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินความเป็นความตายและทิศทางการดำเนินไปของมหามรรคาตัวเอง เจินจวินจะแสวงหาความจริงได้อย่างแท้จริง”

มุมปากหลิวจื้อเม่ากระตุก “แน่นอน”

พอหลิวจื้อเม่าจากไป เฉินผิงอันก็ไอไม่หยุด

คืนนั้นที่ฝืนบังคับเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

ทิ้งโรคร้ายไว้มากมายนับไม่ถ้วน

เดิมทีก็ทำลายช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปแล้วช่องหนึ่ง นี่จึงเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า

เฉินผิงอันไม่เคยกลัวว่าวันใดตัวเองจะกลายเป็นคนจนที่เหลือแต่ตัวอีกครั้ง

แต่ว่า

เขาจะต้องค่อยๆ สูญเสียสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่เขาไม่สนใจไป

หรืออาจถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันไม่กล้าแม้แต่จะคิดดื่มเหล้า

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง ผ่านประตูภูเขา ก้มเก็บก้อนหินมาส่วนหนึ่ง มานั่งยองอยู่ริมท่าเรือ แล้วขว้างหินลงไปในทะเลสาบทีละก้อน

กู้ช่าน สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่หนีชิวตัวนั้น ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นหลังจากที่เจ้าพูดประโยคนั้นในตรอกหนีผิง ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องเห็นค่าในบุญคุณข้าวถ้วยหนึ่งของท่านอาหญิง

แต่ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเจ้ารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าถึงได้พูดแบบนั้นออกมา เพราะเจ้าต้องการคำตอบที่ยืนยันแน่นอนจากปากของข้า ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด เจ้าถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง

นี่ก็คือความฉลาดของกู้ช่าน แล้วก็เป็นจุดที่กู้ช่านไม่ฉลาดมากพอด้วย

นี่ไม่ได้หมายความว่ากู้ช่านคิดจะทำอะไรกับเฉินผิงอัน ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันยังคงเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับกู้ช่าน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ จะตบบ้องหูกู้ช่านสองทีหรือยี่สิบที กู้ช่านก็ไม่คิดจะเอาคืน

ความจริงนั้นง่ายดายมาก เฉินผิงอันยังคงเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าเตะในตรอกหนีผิงตลอดมา และอันที่จริงกู้ช่านก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดคนนั้น เพียงแต่ว่าเวลานั้นทั้งเด็กหนุ่มรองเท้าเตะและเด็กน้อยขี้มูกยืดได้แต่มีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกัน อีกทั้งต่างคนก็ต่างไม่กระจ่างชัดในจิตดั้งเดิมของตัวเอง รวมถึงจิตดั้งเดิมของฝ่ายตรงข้าม เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาค่อยๆ ไหลรินไปเบื้องหน้า คนมีทั้งพบและพราก จิตใจคนก็ย่อมมีทั้งใกล้ชิดและห่างเหิน

สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการ มีเพียงแค่ประโยคคำถามง่ายๆ ที่จะออกจากปากของกู้ช่านหรือท่านอาหญิงก็ได้ เฉินผิงอัน เจ้าบาดเจ็บหนักหรือไม่ ยังสบายดีไหม?

เฉินผิงอันโยนก้อนหินที่อยู่ในมือทิ้งจนหมด

เขานั่งยองอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ช่วงอากาศหนาวเหน็บ ไอหมอกลอยขมุกขมัว

เฉินผิงอันห่อไหล่ ก้มหน้าลงแบมือสองข้าง เป่าลมใส่ฝ่ามือเบาๆ เพื่อหาความอบอุ่น

……

บนเกาะกงหลิ่วที่เป็นที่จับตามองของผู้คนเรือนหมื่น

หลิวเหล่าเฉิงได้ป่าวประกาศให้คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนรับทราบแล้วว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาใกล้เกาะในรัศมีพันจั้งโดยพลการ

แล้วก็ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นจริงๆ

วันนี้หลังจากเกาเหมี่ยนที่ยังคงคออ่อนอยู่เหมือนเดิมดื่มเหล้าเมาหลับไป เหลือแค่สวินยวนกับหลิวเหล่าเฉิงแค่สองคนที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันในศาลาลมเย็นที่ผุพังหลังหนึ่ง

สำหรับเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ทั่วไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจคืออายุขัยที่ยืนยาวนับพันปี ไม่เคยสัมผัสได้ถึงอากาศร้อนหรือหนาวภายในหนึ่งปีเลยแม้แต่น้อย

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันมากนัก

แต่แล้วจู่ๆ สวินยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “น่าจะต้องกลับไปแล้วล่ะ”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ใบถงทวีปขาดสวินเหล่าคอยเฝ้าพิทักษ์ไม่ได้”

สวินยวนส่ายหน้า “เกาเหมี่ยนไม่มีทางคิดอะไรให้มากความ เขารู้สึกว่าข้าเดินทางมาเที่ยวแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาหาเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วถูกแค่ครึ่งเดียว เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ตอนนี้ถือว่าเป็นคนของสำนักกุยหยกเราแล้ว ดังนั้นความลับบางอย่างก็ควรบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา”

หลิวเหล่าเฉิงที่เป็นดั่งราชาแห่งสรวงสวรรค์ในทะเลสาบซูเจี่ยนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก “สวินเหล่าโปรดพูด”

ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า สวินยวนเคยมอบ ‘ตำราบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญต่อสู้กัน’ ให้กับจูเหลี่ยน ยามอยู่กับเกาเหมี่ยนก็พูดจาเสียงแผ่วเบานอบน้อมเหมือนเป็นลูกสมุนของเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานอย่างไร้อย่างนั้น ตลอดทางที่ทำหน้าที่เป็นถุงเงินให้อีกฝ่าย สวินยวนมีความสุขและยินดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำหรือคาดหวังสิ่งใด

ทว่าเมื่ออยู่กับหลิวเหล่าเฉิง

เผชิญหน้าสวินยวน กลับเหมือนการแหงนหน้ามองภูเขาสูง

สวินยวนเอ่ยเบาๆ “อันที่จริงข้าน่ะมีโอกาสสูงมาก เพียงแต่ว่าไม่ค่อยอยากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสาม พันธนาการเยอะเกินไป ไม่มีอิสระเสรีเหมือนขอบเขตเซียนเหรินอย่างในทุกวันนี้ เมื่อฟ้าถล่มลงมาคนสวมหมวกสูงก็ต้องต้านทานไว้ก่อนนี่นะ ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปของพวกเรา เมื่อก่อนคือสำนักใบถง คือตู้เม่าผู้นั้น แต่ตอนนี้ต่อให้ข้าไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ ส่วนข้อที่ว่าทำไมไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ตอนนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าผิดหรือถูก และวันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง”

สวินยวนหมุนจอกเหล้าในมือ “แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจ้าประมุขสำนักกุยหยก ยังต้องคิดพิจารณาเพื่อคนของตัวเอง เมื่อตู้เม่าตาย มหามรรคาก็พังทลายแหลกสลาย เขาไม่ได้มีแค่เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงแย่งมาได้เท่านั้น ยังมีของบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยถึงอยู่อีก ซึ่งก็คือโชควาสนาสำหรับคนฝึกตนอย่างพวกเรา ดังนั้นเจียงซ่างเจินจะสามารถดึงเอาโชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของข้าไปได้มากน้อยเท่าไหร่ และจะแย่งมาจากมือของผู้ฝึกตนสำนักใบถงได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูที่ความสามารถ ดูที่วาสนาของเขา”

“หากเจียงซ่างเจินไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง แล้วถูกข้าไล่ให้มาอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ หลิวเหล่าเฉิงถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนเก่งที่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ช่วยเหลือเจ้าเศษสวะผู้นั้นให้มากหน่อย”

“หากเจียงซ่างเจินทำได้ไม่เลวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เลือกสถานที่แห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ขณะเดียวกันคนสองคนต่างก็มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน เชื่อว่าต่อให้เป็นเทียนจวินฉีเจิน สำนักกวานหูที่เป็นเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่สกุลซ่งต้าหลีก็คงไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเจ้า”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง

ตัวหลิวเหล่าเฉิงเองที่ไม่ได้ก่อพรรคตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่เพียงแค่เพราะหมดอาลัยตายอยากอย่างเดียวเท่านั้น ความวกวนอ้อมค้อม ความอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังต้องคอยแบ่งสมาธิมารับมือกับผลกรรมที่หนาหนัก หากไม่ทันระวังก็จะกลายมาเป็นอุปสรรคในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาของมหามรรคา และทุกครั้งที่เลื่อนขั้นขึ้นสูง ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือตบะ ขอแค่เดินขึ้นสูงไปหนึ่งก้าว คนใกล้ชิดข้างกายจะคิดเช่นไรก็จะกลายมาเป็นความลำบากใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยบอกใครได้ หลิวเหล่าเฉิงเคยกล้ำกลืนความยากลำบากใหญ่หลวง เคยพลาดท่าสะดุดล้มหัวทิ่มมาก่อน ปีนั้นแม้แต่ชีวิตก็เกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่

เหล้าหวงเถิงฝังอยู่ใต้ต้นหลิ่วริมกำแพงวัง

นั่นคือบัญชีเก่าแก่ บัญชีเลอะเลือนที่ผ่านมานานมากแล้ว

แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงที่ใจไม้ไส้ระกำก็ยังไม่ยินดีหยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่

หากไม่เป็นเพราะคิดจนกระจ่างชัดแล้ว อีกทั้งที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกก็คือที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ เกรงว่าชีวิตนี้หลิวเหล่าเฉิงก็คงไม่มีทางหวนกลับคืนมายังสถานที่ของความเสียใจแห่งนี้

ยิ่งอยู่กับสวินยวนนานเท่าไหร่ หลิวเหล่าเฉิงก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวามากเท่านั้น

นี่ไม่ใช่แค่เพราะว่าสวินยวนคือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินขั้นสูงสุดที่มีความอาวุโสเท่านั้น

แต่นี่เป็นลางสังหรณ์ที่ทำให้หลิวเหล่าเฉิงข้ามผ่านอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุใดเขาถึงไม่ได้ลงมือสังหารคนฉลาดอย่างหลิวจื้อเม่าและนักบัญชีหนุ่มที่อายุยังน้อยผู้นั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่หลิวเหล่าเฉิงไม่ได้เล่าให้เกาเหมี่ยนและสวินยวนฟัง เพราะนั่นจะทำให้เขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากจุดอ่อนนี้ไปอยู่ในมือของหลิวจื้อเม่าย่อมไม่เจ็บไม่คัน แต่หากไปอยู่ในมือของสวินยวนและเจียงซ่างเจินขึ้นมาเมื่อไหร่ ต่อให้หลิวเหล่าเฉิงจะต้องถูกถลกหนังหนึ่งชั้น เลือดสดไหลนองก็ยังได้แต่ยอมรับแต่โดยดี หรือไม่อย่างนั้นก็ฉีกหน้าแตกหักกันไปอย่างสิ้นเชิง วอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย

หลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน กลับกลายเป็นว่ายิ่งเก็บตัวเงียบมากขึ้นทุกที นี่เป็นเพราะว่าเมื่อม้วนภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการกว่าเดิมมาคลี่แผ่อยู่ตรงหน้า เขาถึงเพิ่งค้นพบความจริงอันโหดร้ายอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบทุกครั้งที่นึกถึง

การช่วงชิงบนมหามรรคา

ฟังดูเหมือนเป็นถ้อยคำอย่างกว้างๆ

แต่เมื่อผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาคนหนึ่งขอบเขตสูงมากพอ วิสัยทัศน์กว้างไกลมากพอ แล้วก้มหน้าลงมองทางคับแคบที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง จากนั้นจึงหันไปมองเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลห้าขอบเขตบนที่อยู่ระดับสูงเดียวกัน มองเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา

นั่นคือความต่างระหว่างทางไส้แกะเส้นเล็กที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อกับเส้นทางกว้างขวางที่ทอดยาวไปไกล

หลิวเหล่าเฉิงไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าประมุขของสำนักใหญ่เหมือนอย่างสวินยวนจริงๆ หรือ? ไม่อยากเป็นผู้ที่สามารถตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในหนึ่งแคว้นได้อย่างแท้จริงงั้นหรือ?

มีใจแต่ไร้กำลัง ก็แค่ทำไม่ได้เท่านั้น

สวินยวนยิ้มมองผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

หลิวเหล่าเฉิงในสายตาของสวินยวน

คือคนที่แบกโชคชะตาและสถานการณ์ใหญ่เอาไว้ หาได้ยากยิ่ง คือขอบเขตหยกดิบที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมากที่สุด อีกทั้งยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีพลังพิฆาตมหาศาลก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

แต่หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสอง ขอบเขตเซียนเหริน เจียงซ่างเจินกลับจะกู้คืนความเสียเปรียบกลับมาได้

ดังนั้นการที่หลิวเหล่าเฉิงมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกจึงถือว่าพอดิบพอดี นิสัยใจคอของเจียงซ่างเจินไม่เลว มีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง และรากฐานก็เป็นคนที่สันดานไม่ต่างจากหลิวเหล่าเฉิง พวกเขาต่างก็สมกับที่เกิดมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ยิ่งเป็นกลียุคที่อลหม่านวุ่นวายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำมากเท่านั้น

สวินยวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หลิวเหล่าเฉิง ทำใจให้สบาย ข้ารับรองว่าเจ้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ถึงเวลานั้นจะไม่ใช่เจ้าที่ต้องดื่มสุราคารวะข้าครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้ว หากต้องดื่มเหล้าร่วมกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่เล็กหรือใหญ่ ข้าก็พร้อมที่จะดื่มคารวะเจ้ากลับคืน”

หลิวเหล่าเฉิงยกจอกเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอดื่มขอบคุณสวินเหล่าอีกจอก!”

สวินยวนชนจอกกับเขาเบาๆ ต่างคนต่างดื่มจนหมด แน่นอนว่าเป็นหลิวเหล่าเฉิงที่ดื่มหมดก่อน ส่วนสวินยวนนั้นดื่มอย่างเนิบนาบจนหมด

……

ในห้องที่กว้างขวางชั้นบนของหอสูงในนครน้ำบ่อ ชุยตงซานคิดจะก้าวขาออกไปจากบ่อสายฟ้าแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องหดขากลับมาทุกครั้ง

เขากระโดดขึ้นสูง ชายแขนเสื้อสองข้างตีกระทบกันอย่างแรง

ประหนึ่งห่านสีขาวตัวใหญ่ที่กระพือปีกบินอุตลุด

ม้วนภาพแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ชุยฉานทิ้งไว้ไม่สามารถสำรวจตรวจสอบสถานการณ์บนเกาะกงหลิ่วที่อบอวลไปด้วยไอน้ำได้อีกแล้ว

หากเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าเหนือแจกันสมบัติทวีปคิดจะมองมา แน่นอนว่าย่อมมองเห็น แต่ต้องไม่เกี่ยวพันกับปัญหาถูกผิดของหลักการที่สำคัญ เพราะการกระทำเช่นนั้นจะถือว่า ‘ไร้มารยาท’ ถึงขั้นไร้เหตุผลด้วย

และกฎเกณฑ์ที่มีหลักการเหตุผลสูงจนกลายเป็นมารยาทนี้ก็เป็นกฎเหล็กที่ตอนนั้นหลี่เซิ่งตั้งขึ้นเพื่อลัทธิขงจื๊อของตัวเอง เป็นโซ่ตรวนที่เอาไว้พันธนาการอริยะลัทธิขงจื๊อโดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาถูกมัดมือมัดเท้า นับว่าน่าสนใจอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้วท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์ใต้หล้าไพศาล เคยมีแผนการลับที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนบนโลกเกิดขึ้นมากมาย เมธีร้อยสำนัก ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสอง ขอบเขตสิบสาม ภูตผีปีศาจ องค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีทั้งสิ้น มีแผนการส่วนหนึ่งที่ตายไปในท้อง แต่ส่วนที่มากกว่านั้นกลับสร้างภัยร้ายที่มีพลังทำลายล้างยิ่งใหญ่และลึกล้ำยาวไกล

ทว่ากฎที่แม้แต่ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือนข้อนี้กลับยังคงพันธนาการคนของลัทธิขงจื๊อด้วยกันเองที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่บนแท่นบูชาได้อยู่ดี

น่าประหลาดใจมากเลยใช่หรือไม่?

อย่าได้รู้สึกว่ามีเพียงหลี่เซิ่งเท่านั้นที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ป๋ายอวี้จิง ใต้หล้าบงกชอันเป็นสถานที่ของลัทธิพุทธก็ล้วนมีบุคคลที่คอยขีดเส้นให้กับผู้อื่นลักษณะคล้ายคลึงกันนี้อยู่เช่นกัน

ชุยตงซานหยุดการกระทำลง กลับมานั่งขัดสมาธิหน้ากระดานหมากล้อมอีกครั้ง สองมือสอดเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมาก แล้วควานเล่นอย่างส่งเดชจนเกิดเสียงใสกังวานของหมากเมฆหลากสีกระทบกัน

ต่อให้ชุยตงซานจะมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะกงหลิ่ว แต่ก็ยังเอ่ยชื่นชมการกระทำและคำพูดของสวินยวนในค่ำคืนนั้นว่า “ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด หลิวเหล่าเฉิงยังอ่อนด้อยเกินไป”

ชุยตงซานคีบหมากเมฆหลากสีออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วตบกระแทกลงบนกระดานหมากอย่างแรง

“ชี้แนะหลิวเหล่าเฉิงว่าควรจะเลือกอย่างไร ทั้งเป็นการทดสอบสติปัญญาของผู้ถวายงานแห่งสำนักเบื้องล่าง และยิ่งเป็นการเอาอกเอาใจหลิวเหล่าเฉิงด้วย”

“แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้สถานที่อย่างทะเลสาบซูเจี่ยน เมื่อสถานการณ์ใหญ่ถาโถมมาถึง จะกลายเป็นเนื้อชิ้นโตในปากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีหรือซี่โครงไก่ของราชวงศ์จูอิ๋ง ศึกใหญ่ที่จะตัดสินว่าพื้นที่ภาคกลางของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปจะตกเป็นของใคร คือสถานการณ์ตึงเครียดที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ ถ้าอย่างนั้นหนึ่งในเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเราก็ย่อมต้องมองเหตุการณ์ของพื้นที่แถบนี้ตาไม่กะพริบ เนื่องจากหลิวเหล่าเฉิงมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระจึงมีลางสังหรณ์ที่เฉียบคมต่อสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แต่หากจะบอกว่าสามารถสัมผัสถึงเรื่องวงใน ทำการแลกเปลี่ยนและรู้ทิศทางการไหลไปของคลื่นใต้น้ำ กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบราชครูต้าหลีได้ติด”

ชุยตงซานจ้องนิ่งไปที่หมากเม็ดนั้นแล้วหัวเราะเสียงเย็น “หลิวเหล่าเอ๋อร์ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเจ้าเข้าใจสติปัญญาอันลึกล้ำของสวินยวนตื้นเขินเกินไป”

คำพูดรวบรัดบนยอดเขาของเกาะใต้อาณัติในตอนนั้น

พูดให้บุคคลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงฟัง บางประโยคก็พูดตรงๆ บางประโยคก็พูดอ้อมๆ

ชุยตงซานพึมพำกับตัวเอง “ข้อแรก สวินยวนเตือนเจ้าหลิวเหล่าเฉิง แต่แท้จริงแล้วความหมายในคำพูดกลับมีความโน้มเอียง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะฆ่าเฉินผิงอันให้ตาย หรือออมมือยั้งไมตรี ก็ล้วนต้องขอบคุณสวินยวนทั้งสิ้น นี่ก็คือความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นที่ว่าต่อให้อาจารย์ของข้ารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกขอบคุณสวินยวนที่ ‘พูดผดุงความเป็นธรรม’ ก็เป็นได้”

ชุยตงซานคีบหมากอีกเม็ดหนึ่งออกมาวางบนกระดาน “ข้อสอง ไม่ฆ่าอาจารย์ของข้าให้ตาย เขาสวินยวนก็ได้รับความรู้สึกดีๆ จากสายบุ๋นที่เสื่อมโทรมประหนึ่งแสงตะเกียงริบหรี่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนของเหวินเซิ่ง ทำให้คนอื่นติดค้างน้ำใจเขาโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย ต่อให้เหวินเซิ่งจะมองทะลุถึงจิตใจคน แต่ความจริงก็วางอยู่ตรงนั้น ต่อให้กลั้นใจแค่ไหนก็ยังต้องยอมรับอยู่ดี นี่ก็คือนิสัยของวิญญูชน นิสัยของบัณฑิต ช่วยไม่ได้”

ชุยตงซานคีบหมากออกมาอีกเม็ดแล้วโยนลงบนกระดานหมากอย่างไม่ใส่ใจ “ข้อสาม นี่ต่างหากจึงจะเป็นผลประโยชน์ข้อใหญ่ที่แท้จริง ใหญ่จนมิอาจประเมินค่าได้ สวินยวนพูดให้อริยะผู้เฝ้าพิทักษ์อยู่เหนือศีรษะซึ่งเคยคบค้าสมาคมกันฟัง และยิ่งพูดให้อริยะคนที่แม้แต่หัวหมูเย็นๆ ก็เกือบจะไม่ได้กินฟัง ขอแค่เกิดการช่วงชิงบนมหามรรคา ต่อให้เขาสวินยวนจะรู้ว่าด้านหลังของเฉินผิงอันมีสตรีร่างสูงใหญ่ผู้นั้นยืนอยู่ เขาก็ยังคิดจะสังหารอยู่เหมือนเดิม”

“คิดจริงๆ หรือว่าหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ผู้นั้น คนที่แค่ต้องมอบป้ายหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ให้จะไม่โกรธ? แน่นอนว่าไม่ได้โกรธอาจารย์ของข้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ อริยะปราชญ์ท่านนี้มีอุเบกขาสูงมาก หาไม่แล้วตอนนั้นที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าก็คงไม่พูดจาอย่างใจกว้างเช่นนั้น แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่เขาเป็นอริยะปราชญ์ผู้ตรวจสอบดูแลแจกันสมบัติทวีป ก็ยิ่งไม่พอใจสตรีที่ถึงขนาดกล้าชักกระบี่คิดจะแทงใต้หล้าให้เกิดรูโหว่ที่ใหญ่ที่สุดผู้นั้นมากขึ้น”

“ต่อให้เป็นบุคคลที่มีทั้งคุณธรรมและองอาจอย่างอริยะปราชญ์ก็ยังเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าคนน่าสงสารที่ถูกหย่าเซิ่งหิ้วไปไว้ในศาลบุ๋นแล้วบอกให้ปิดประตูทบทวนตัวเองผู้นั้นจะไม่ยิ่งหัวร่อชอบใจเลยหรือ? จะไม่ยิ่งรู้สึกถูกชะตากับสวินยวนไปอีกหรือ?”

“สำนักเบื้องบนก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่ามีเงินมากหรือน้อย ไม่ใช่ว่าหมัดแข็งหรือไม่แข็ง แต่ต้องดูว่าสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อจะยอมตกลงหรือไม่”

ชุยตงซานย้ายเส้นสายตาออกไปจากกระดานหมาก ชำเลืองตามองเกาะกงหลิ่วที่พร่าเลือนอยู่บนม้วนภาพวาด “หลิวเหล่าเฉิงเอ๋ยหลิวเหล่าเฉิง เมื่อเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วสวินยวนพูดไปแค่กี่ประโยค? กี่คำเอง? แต่ทว่าสุดท้ายแล้วมูลค่าที่สำนักกุยหยกคว้ามาไว้ในมือมีมากน้อยเท่าไหร่?”

ชุยตงซานตบกระดานหมาก เม็ดหมากสี่เม็ดก็กระเด้งลอยขึ้นสูง ก่อนจะร่วงลงเบาๆ อีกครั้ง

ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “ผู้ที่ฝึกตน ฝึกจิตใจไปแต่ก็ไร้ประโยชน์งั้นหรือ?”

ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หมากสี่เม็ดก็กระเด็นหวือออกไปดังปัง เขาคำรามอย่างเดือดดาล “มารดามันเถอะ แม้แต่เจ้าตะพาบเฒ่าก็ด้วย พวกเจ้าทุกคนรีบไปจุดธูปโขกศีรษะซะเดี๋ยวนี้ ขอให้อาจารย์ของข้าอย่าได้ข้ามผ่านทัณฑ์ทางใจครั้งนี้ไปได้ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ทะเลสาบซูเจี่ยน ภูเขาตะวันเที่ยง นครลมเย็น ภูเขาเจินอู่ สำนักใบถง สำนักกุยหยก สกุลซ่งต้าหลี ป๋ายอวี้จิง…”

ชุยตงซานยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่วเบาลง สุดท้ายเขานั่งเหม่ออยู่นาน แล้วอยู่ดีๆ ก็ร้องโอดครวญขึ้นมา “เจ้าตะพาบเฒ่าพูดถูกแล้วนี่นา อาจารย์ของข้ามีความทุกข์ยากเยอะซะจริง!”

……

หลังจากที่สวินยวนไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเงียบเชียบ เขาก็ตรงไปที่มหาสมุทร ไม่ใช่นครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด แต่ทะยานลมเหนือน้ำทะเล ย้อนกลับไปใบถงทวีปทั้งอย่างนี้

หลิวจื้อเม่าและเจ้าเกาะลี่ซู่พร้อมใจกันมาเยือนเกาะกงหลิ่ว

คนทั้งสองต่างก็หยุดอยู่บนผิวทะเลสาบห่างจากตัวเกาะมาพันจั้ง

หลิวเหล่าเฉิงยอมพบแค่ฝ่ายหลังเท่านั้น ส่วนฝ่ายแรกเขาบอกให้ไสหัวไปไกลๆ

ในหอสูงของนครน้ำบ่อ ชุยตงซานที่เห็นภาพนี้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แถมยังกลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้น

หลังจากความเบิกบานใจผ่านพ้นไปแล้ว ชุยตงซานก็เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง นอนหมอบอยู่กับพื้นทำท่าหมาตะกายน้ำ ‘คลาน’ ไปจนถึงขอบของบ่อสายฟ้าสีทอง แล้วก็ทอดถอนใจดังเฮือกๆ หาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวโดยแท้

ถึงอย่างไรก็ควรต้องหาความบันเทิงมาคลายความอัดอั้นบ้างใช่ไหม

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง โยนเม็ดหมากไปบนกระดาน แล้วก็เริ่มคำนวณว่าคนที่อาจารย์ของตนพบเจอมา แรกเริ่มนั้นพวกเขามีความรู้สึกดีๆ ต่ออาจารย์มากน้อยเท่าไหร่

ฉีจิ้งชุน ชุยตงซานโยนเม็ดหมากไปบนกระดานสิบเม็ด จากนั้นก็เหลือกตามองบน “เจ้ามันตามีแวว พอใจแล้วใช่ไหม”

จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อผลักเม็ดหมากออกไปจากบนกระดาน

วิญญาณกระบี่ ชุยตงซานไม่โยนไปแม้แต่เม็ดเดียว แต่แล้วก็เหลือกตามองสูงอีกครั้ง พึมพำว่า “ยังคงเป็นเจ้าฉีจิ้งชุนที่ร้ายกาจ พอใจไหม?”

แล้วถึงโยนลงไปหกเม็ด

ก่อนจะปัดเม็ดหมากออกจากกระดานอีกครั้ง

หยางเหล่าโถว หนึ่งเม็ด

อาเหลียง ห้าเม็ด

ชุยตงซานครุ่นคิด “หากเป็นตอนที่มาถึงเมืองหงจู๋”

เพิ่มไปอีกสี่เม็ด

จั่วโย่ว สามเม็ด เห็นแก่หน้าของฉีจิ้งชุนก็เลยเพิ่มอีกสามเม็ด

เว่ยจิ้น ไม่มี

หร่วนฉง สองเม็ด

ชุยตงซานเอาคนที่เฉินผิงอันรู้จักเกือบทั้งหมดมาคิดคำนวณบนกระดานจนครบรอบหนึ่ง

สุดท้ายเขาพลันเต้นผาง นึกขึ้นได้ว่าข้ามเจ้าคนผู้หนึ่งที่น่ารังเกียจที่สุดไป “ซิ่วไฉเฒ่าใจจืดใจดำ เจ้ามันชอบลำเอียงที่สุด!”

สองมือของเขากอดโถเก็บเม็ดหมากใบหนึ่งแล้วเทพรวดลงบนกระดาน

ชุยตงซานขมวดคิ้ว เก็บม้วนภาพแม่น้ำและภูเขาภาพนั้นลงไป เก็บเม็ดหมากทั้งหมดกลับใส่โถ พูดเสียงหนัก “เข้ามา”

คู่สามีภรรยาตระกูลฟ่านที่เป็นเจ้านครน้ำบ่อ เป็นเจ้าของหอสูงแห่งนี้ รวมถึงบุตรชายคนโง่ฟ่านเหยี่ยนทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง

ฟ่านเหยี่ยนก้มหน้าค้อมเอว ยืนอยู่ด้านหลังพ่อแม่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ในห้องไม่มีเก้าอี้หรือม้านั่ง

ขนาดชุยตงซานยังนั่งอยู่กับพื้น พวกเขาสามคนจะเอาแต่ยืนพูดค้ำหัวอีกฝ่ายคงไม่ดี จึงได้แต่เขยิบมานั่งอยู่ห่างจากชุยตงซาน แน่นอนว่าต้องนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า

ชุยตงซานอ้าปากหาวหวอด

เมื่อก่อนสกุลฟ่านของนครน้ำบ่อคือสายลับสองหน้า คอยขายข่าวให้กับทั้งสกุลซ่งต้าหลีและราชวงศ์จูอิ๋ง ส่วนความจริงเท็จในรายงานข่าวแต่ละฉบับมีมากน้อยเท่าไหร่ ก็ต้องดูที่ว่าหัวหน้าสายลับของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนให้ราคาสูงกว่า มีวิธีการผูกมัดใจคนที่สูงกว่า หรือเป็นพวกโง่เง่าราชวงศ์จูอิ๋งที่ร้ายกาจกว่า และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เจ้าเกาะลี่ซู่มีไหวพริบกว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นสายลับรายงานสถานการณ์ในพื้นที่นี้ให้แก่ราชวงศ์จูอิ๋งอยู่มาก สุดท้ายสกุลฟ่านแห่งนครน้ำบ่อจึงเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างเต็มตัว

บุรุษผู้เป็นเจ้านครน้ำบ่อไม่ได้เอ่ยอะไร

กลับเป็นนายหญิงสกุลฟ่านที่ว่ากันว่าดีแต่ใช้เงินและเลี้ยงบุตรชายให้เสียคนที่พูดจ้อ เล่าสถานการณ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนและสถานการณ์ของกองทัพชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งช่วงล่าสุดอย่างมีขั้นมีตอน

ชุยตงซานสีหน้าไร้อารมณ์

สตรีผู้นั้นไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย

เพราะก่อนที่ราชครูต้าหลีจะจากไปได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่มีน้ำหนักสำคัญอย่างยิ่งว่า ให้ปฏิบัติต่อคนหนุ่มที่อยู่ชั้นบนสุดของหอเรือนเฉกเช่นปฏิบัติต่อรองเจ้ากรมซ้ายขวาที่ทำหน้าที่อยู่ในที่ว่าการของหกกรมต้าหลี

หลังจากที่สตรีปรึกษากับบุรุษของตัวเองแล้วก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า คนที่อยู่ชั้นบน อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินของต้าหลี หรือไม่ก็เป็นลูกหลานสายตรงของแซ่สกุลที่เป็นนายพลพิทักษ์แคว้นท่านใดท่านหนึ่ง

สตรีชำเลืองตามองสามีที่อยู่ข้างกาย

เจ้านครน้ำบ่อรีบลุกขึ้นยืน ค้อมตัวเดินมาหยุดอยู่ริมขอบบ่อสายฟ้าสีทองที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์ ก้มหน้ายื่นมือออกไป ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ราชครูต้าหลีมอบให้สกุลฟ่านด้วยสองมือ พูดเบาๆ ว่า “ใต้เท้าราชครูสั่งความข้าน้อยไว้ว่า หากวันนี้คุณชายยังไม่เดินออกจากชั้นบน ให้นำจดหมายฉบับนี้มามอบให้ท่าน”

ชุยตงซานกวักมือหนึ่งครั้ง จดหมายลับก็เข้ามาอยู่ในมือ เขาฉีกซองจดหมายแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ พอเปิดจดหมายลับฉบับนั้นออกอ่าน สีหน้าก็มืดทะมึนในฉับพลัน

ภาพนี้ทำให้คู่สามีภรรยาสกุลฟ่านที่มองอยู่หนังตากระตุก

เขาถึงขั้นกล้าปฏิบัติต่อจดหมายลับของราชครูต้าหลีเช่นนี้?

หากพวกเขาสองสามีภรรยาได้รับเกียรตินี้ ป่านนี้คงยกมันขึ้นบูชาดั่งพระราชโองการแล้ว

ชุยตงซานขยำจดหมายลับเป็นก้อนกลม กำไว้กลางฝ่ามือแน่น ปากก็สบถด่าดังลั่น

เนื้อความในจดหมายบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้บอกไว้ว่าเจ้าขี้หลงขี้ลืม แต่เจ้าคงไม่ยอมรับ แล้วตอนนี้ล่ะ?’

‘วงกลมนี้เจ้าชุยตงซานเป็นคนวาดเอง ข้าเคยงัดข้อกับเจ้าเรื่องนี้ไหม? สุดท้ายข้าบอกกับเจ้าว่า’ ข้ามบ่อสายฟ้า ไม่รักษากฎ ‘ถึงจะเล่นงานเจ้า ถ้าหากเจ้าออกจากวงกลม แต่รักษากฎ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้? เป็นเจ้าที่ดื้อดึงดัน กำหนดพื้นที่เป็นกรงขังกักกันตัวเองแต่กลับไม่รู้ตัว ต่างจากเฉินผิงอันตรงไหน? เฉินผิงอันก้าวเดินออกไปไม่ได้ เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของเขาก็ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เข้าบ้านหลังเดียวกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ากลายเป็นคนที่จำเป็นต้องอยู่ในบ่อสายฟ้าถึงจะรักษากฎเช่นนี้?’

‘ในเมื่อน่าสงสารขนาดนี้ ข้าก็เลยทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้ให้เจ้า เจ้ากินมันลงไปซะเถอะ หากกินแล้วยังไม่อิ่ม สามารถขอจากสกุลฟ่านได้อีก”

ชุยตงซานยัดกระดาษกำนั้นเข้าปาก เคี้ยวหยับๆ จนละเอียดแล้วกลืนลงไปจริงๆ

โอ้โห รสชาติของกระดาษเซวียนจื่อก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย

ชุยตงซานโคลงศีรษะ ชี้ไปยังด้านหลังของสองสามีภรรยาที่นั่งคุกเข่าเคียงข้างกันอยู่บนพื้น “ฟ่านเหยี่ยนใช่ไหม ไสหัวออกมา แสร้งทำเป็นแกล้งโง่สนุกนักหรือ? ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าเห็นเจ้าโง่กู้ช่านผู้นั้นเป็นคนอย่างไร”

คนหนุ่มร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับ จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว นั่งลงเคียงข้างกับพ่อกับแม่ พ่อแม่ของเขามีท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นยังแสดงความหวาดกลัวต่อบุตรชาย ‘โง่’ ผู้นี้ออกมาเสี้ยวหนึ่ง

ฟ่านเหยี่ยนสีหน้าเฉยชา จ้องเป๋งตรงไปที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างไร้ซึ่งความหวาดเกรง “กู้ช่านผู้นั้นหรือ ง่ายมาก ก็แค่ต้องแสดงออกให้ดูเป็นคนโง่สักหน่อย ความรักที่มีต่อพ่อแม่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์สักหน่อย ยอมทนรับความยากลำบาก นานวันเข้าก็ปิดบังได้เป็นอย่างดี พอกะแรงไฟได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เจ้าเด็กนั่นก็เชื่อไปเอง ขายเขา ก็แค่เท่ากับว่าข้าเป็นคนที่จ่ายได้ไหวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าหลิวเหล่าเฉิงจะทำให้ข้าต้องเสียเงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ แถมยังไม่มีที่ให้ไปร้องทุกข์กับใครด้วย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนฉลาด”

ฟ่านเหยี่ยนกลับเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ไม่ฉลาดมากพอ”

ชุยตงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด ถามว่า “เจ้าคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?”

ฟ่านเหยี่ยนตกตะลึงไปเล็กน้อย

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง ยกเท้าก้าวออกมาจากริมขอบของบ่อสายฟ้าสีทอง ก้มมองคนหนุ่มผู้นั้นจากมุมสูง “คิดจะมีชีวิตอยู่สูงส่งเหนือผู้ใด ก็ต้องสามารถแบกรับความดีที่มากกว่าเดิมและความชั่วที่มากกว่าเดิมได้ในเวลาเดียวกัน”

“คิดจะมีชีวิตอย่างผ่อนคลาย อย่างแรกคือแสร้งทำเป็นเลอะเลือน อีกอย่างหนึ่งคือเลอะเลือนจริงๆ เจ้าฟ่านเหยี่ยนถือว่าเป็นประเภทไหน? ค่อยๆ คิดดู หากตอบผิด พรุ่งนี้จวนเจ้านครบ่อน้ำก็อาจจะได้จัดงานศพที่คนหัวขาวส่งคนหัวดำ อ้อ ขอโทษที ดูแล้วสองสามีภรรยาเจ้านครยังอ่อนเยาว์กันอยู่มาก”

ฟ่านเหยี่ยนหน้าซีดขาว

ชุยตงซานยิ้มบางๆ จ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา

คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฟ่านเหยี่ยนจะคลี่ยิ้ม ไม่เหลือความหวาดกลัวอีกแม้แต่นิดเดียว

ชุยตงซานเอียงศีรษะ จ้องมองฟ่านเหยี่ยนที่ปั่นหัวกู้ช่านเล่นอยู่ในกำมือด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นบอกเจ้าไว้ก่อนแล้วใช่ไหมว่า ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะพานโกรธมาที่เจ้า? เจ้าไม่มีทางตาย? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เขาคิดอย่างไรกันแน่? ขนาดเรื่องนี้ยังเดาไม่ได้ ขนาดข้าเป็นใครก็ยังไม่รู้ ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาพูดจาเช่นนี้ใส่ข้า?”

จนกระทั่งบัดนี้ ฟ่านเหยี่ยนถึงได้เริ่มตึงเครียดขึ้นมาจริงๆ

ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “ต้าหลีต้องได้เขมือบกลืนทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างแน่นอน สายลับที่ซื้อข่าวมาแล้วขายต่อเพื่อเก็งกำไรอย่างเจ้า ก่อนหน้านี้มีประโยชน์ต่อต้าหลีของพวกเราจริง และคุณความชอบก็มีไม่น้อย แต่ผลประโยชน์ที่ควรให้ก็ไม่เคยให้พวกเจ้าขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องที่สกุลฟ่านของพวกเจ้าสมคบคิดกับราชวงศ์จูอิ๋งเป็นการส่วนตัว ศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีจะไม่มีบันทึกไว้เลย? เจ้าอาศัยอะไรมารู้สึกว่าตัวเองมียันต์คุ้มครองชีวิต? อาศัยหน้าตัวเองหรือ? หา?!”

หนึ่งก้าวที่ออกมาจากบ่อสายฟ้าสีทอง ตลอดทั้งหอสูงก็สั่นสะเทือนครืนครั่น

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด!

ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฟ่านเหยี่ยน ยื่นสองนิ้วประกบเข้าด้วยกัน ก้มมองจากจุดสูง หัวเราะเสียงหยัน “บีบให้เศษสวะอย่างเจ้าตาย ข้ายังรังเกียจว่ามือจะสกปรก มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้ายังกล้ามาทำตัวอวดฉลาดต่อหน้าข้าอีกรึ?”

ชุยตงซานหันหน้าไปทางประตูห้องแล้วถ่มน้ำลายหนึ่งที “เจ้าตะพาบเฒ่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ให้เจ้าเศษสวะน้อยผู้นี้มากระตุ้นไฟโทสะเทียมฟ้าที่สะสมอยู่ในท้องของข้า จะได้ช่วยเจ้าสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้น ใช่ไหม?”

ชุยตงซานตวาดใส่สองสามีภรรยาที่นั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้านข้าง “สอนเศษสวะแบบนี้ออกมาได้ยังไง ไป พวกเจ้าที่เป็นพ่อแม่ไปอบรมสั่งสอนลูกชายให้ดี วัวหายแล้วก็ต้องล้อมคอก ยังไม่สายไป ตบบ้องหูเขาก่อนสักสิบยี่สิบที จำไว้ว่าตบให้ดังหน่อย ไม่อย่างนั้นข้านี่แหละที่จะตบพวกเจ้าสามคนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ทะเลสาบซูเจี่ยนห่าเหวนี่ชอบให้คนทั้งครอบครัวได้กลับไปพบหน้ากันในปรโลกนักไม่ใช่หรือ? กฎเกณฑ์โสมมที่เอาออกหน้าออกตาไม่ได้พวกนี้ พวกเจ้าคงติดใจกันมากสินะ”

เสียงตบหน้าดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ในห้อง

ฟังแล้วไพเราะกว่าเสียงเม็ดหมากเสียดสีกันเสียอีก

ในที่สุดชุยตงซานก็อารมณ์ดีขึ้นมาก

เขาเดินออกจากห้องมาที่รั้วระเบียง สีหน้าว้าเหว่ “กู้ช่านเอ๋ยกู้ช่าน เจ้าคิดว่าตัวเองร้ายกาจมากจริงๆ หรือ? เจ้ารู้จริงๆ หรือว่าโลกใบนี้โหดร้ายมากแค่ไหน? เจ้ารู้จริงๆ หรือว่าเฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้? เจ้ามีหนีชิวน้อยตัวหนึ่งก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้อีก ใครกันที่มอบความกล้าให้เจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเส้นทางสายนั้นของตัวเองสามารถเดินไปได้ไกลมาก? เป็นหลิวจื้อเม่าอาจารย์ของเจ้าที่สอนเจ้า? หรือเป็นมารดาผู้นั้นที่สอนเจ้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าทุ่มเทเพื่อเจ้าไปมากน้อยแค่ไหน?”

……

ยามสนธยา

เฉินผิงอันหิ้วเหล้าหวงเถิงที่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อตลอดเวลาเดินเตร็ดเตร่มาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนจูเสียน

หงซูเดินยิ้มออกมาจากห้องด้านข้าง โบกมือเอ่ยทักทาย “ท่านเฉิน!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนธรณีประตูเคียงข้างนางเหมือนวันนั้นที่รับฟังเรื่องเล่าและบันทึกเรื่องราวของนางลงไป

ดวงตาของหงซูฉายประกายวิบวับ หันตัวมายกนิ้วโป้งให้ “ท่านเฉิน เอานี่ไป!”

ดวงตาเฉินผิงอันหม่นหมอง ริมฝีปากขยับเบาๆ ยังคงทำใจบอกความจริงที่จะทำให้สตรีผู้นี้รู้สึกปานมีดกรีดดวงใจไม่ลง

เรื่องราวบนโลกไม่เคยง่ายดาย

ไม่ใช่ว่าแค่พูดความจริง ทำความดีแล้วจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอ

อย่างน้อยที่สุดหงซูที่เป็นคนเฝ้าประตูในเวลานี้ก็มีชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล

เมื่อรู้ความจริงแล้ว จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมหรือไม่? หรือจะกลายเป็นว่ามีชีวิตอย่างตื่นตระหนกอยู่ทุกวัน?

ถึงอย่างไรชาตินี้หงซูก็คือสตรีที่มีจิตใจดีงาม ความคิดละเอียดรอบคอบ พอเห็นว่านักบัญชีท่านนี้คล้ายจะเสียใจ นางก็เลยคิดไปไกล เข้าใจผิดคิดว่าการเข่นฆ่าสังหารที่น่าหวาดเสียว น่าตื่นตะลึงครั้งนั้นทำให้ท่านเฉินบาดเจ็บไม่เบา ดังนั้นเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่พบหน้ากัน สีหน้าจึงดูอิดโรยขึ้นอีกหลายส่วน อีกอย่างมีศัตรูที่กำเริบเสิบสาน ไร้ผู้ใดทัดเทียมอยู่อย่างนั้น แถมตอนนี้ยังอยู่บนเกาะกงหลิ่ว คอยจับจ้องมาที่เกาะชิงเสีย ท่านเฉินก็ย่อมต้องเป็นกังวลต่ออนาคตของตัวเองหลังจากนี้

เฉินผิงอันชูเหล้าหวงเถิงที่หงซูมอบให้ในมือขึ้นมา เค้นรอยยิ้มส่งไปให้นาง “ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้ดื่ม ที่เจ้ามีถ้วยสักใบไหม? พวกเรามาดื่มเหล้า…เหล้าเติมอาหารของบ้านเกิดเจ้ากัน?”

หงซูกล่าวอย่างเขินอาย “มีแค่ใบเดียว”

นางถามว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปขอถ้วยมาจากคนในจวนดีไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้าใช้ถ้วยก็แล้วกัน ส่วนข้าจะดื่มจากกาเหล้าโดยตรงเลย”

ใบหน้าหงซูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปยังห้องมืดมิดด้านข้างด้วยฝีเท้าว่องไวเพื่อหยิบถ้วยขาวใบหนึ่งมา พอนางนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็แกะกระดาษเหลืองและผนึกดินออก เบี่ยงตัวรินเหล้าส่วนหนึ่งให้หงซู

หงซูกลั้นยิ้ม สีหน้าแปลกประหลาด

ท่านเฉินก็จริงๆ เลย รินเหล้าให้นางแค่นี้เองหรือ? ถ้วยขาวที่หนักหนึ่งตำลึง รินเหล้าเข้าไปแล้วก็หนักแค่หนึ่งตำลึงครึ่งเท่านั้น?

เหล้านี้นางเป็นคนมอบให้เขานะ

เขามองนาง แล้วก็มองถ้วยเหล้า ก่อนจะรินเหล้าเพิ่มอีกนิด

ในที่สุดหงซูก็กลั้นไม่อยู่ มือหนึ่งถือถ้วย อีกมือหนึ่งปิดปาก เสียงหัวเราะเพราะกลั้นไม่ไหวจึงดังลอดร่องนิ้วออกมา

เฉินผิงอันก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในที่สุดครั้งนี้ก็รินเหล้าให้นางจนเต็มถ้วย

หงซูหัวเราะจนดวงตาคลอประกายน้ำมีชีวิตชีวาทั้งคู่โค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยว สองมือถือถ้วยขาว จิบเหล้าคำเล็กๆ

เฉินผิงอันแหงนหน้าดื่มเหล้าหวงเถิง

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก

หงซูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ท่านเฉินที่เป็นคนดีขนาดนี้ แม่นางที่คราวก่อนนางแกล้งถามหยอกเขา แล้วเขาพยักหน้ายอมรับว่ามีอยู่คนนั้น ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันนะ?

หากได้มาเห็นท่านเฉินที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างในตอนนี้ นางคงสงสารเขามากกระมัง?

เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองไปทางทิศไกล ปากก็ถามเบาๆ ว่า “หงซู พวกเราเป็นเพื่อนกัน ใช่ไหม?”

หงซูพยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที คล้ายกำลังพูดกับนาง แต่ก็คล้ายกำลังบอกตัวเอง “ดังนั้น วันหน้าไม่ว่าพบเจอกับเรื่องอะไรก็อย่าเพิ่งกลัวไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ให้รีบนึกถึงว่า ตรงหน้าประตูภูเขามีนักบัญชีแซ่เฉินอยู่คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของเจ้า”

หงซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ยังดีใจมาก นางแอบหันหน้าไปมอง อากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว และนักบัญชีข้างกายท่านนี้ก็เริ่มเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวสีเขียวที่หนาหนักโดยไม่รู้ตัวแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version