Skip to content

Sword of Coming 452

บทที่ 452 ข้ามสะพาน

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน พืชหญ้าเขียวครึ้ม เพียงแต่ว่าตลอดทั้งชายแดนเหนือของแคว้นสือหาวกลับแทบจะมองไม่เห็นเงาร่างของเหล่าคุณชายหรือลูกหลานอ๋องที่ออกมาเที่ยวเล่นชานเมือง

ม้าสามตัวเดินๆ หยุดๆ ขึ้นเหนือไปตลอดทาง โดยไม่ทันรู้ตัวก็เข้าหน้าร้อนแล้ว

บนทางเส้นเล็กสันหลังเขาของด่านชายแดนแคว้นสือหาวแห่งนี้ ม้าสามตัวหยุดพักผ่อน เจิงเย่ง่วนอยู่กับการหุงข้าว หม่าตู่อี๋กำลังนั่งส่องกระจกหวีผม คลอเพลงอยู่ในลำคอ ท่าทางอารมณ์ไม่เลว กระจกทองแดงบานเล็กที่ทาเคลือบด้วยสีเขียวในมือของนางบานนั้นคือวัตถุวิเศษที่ได้จากการเก็บตกของดี คือกระจกกลมแสงตะวันจันทราที่ค่อนข้างหาได้ยากบานหนึ่ง นางต่อรองราคาจนซื้อมาจากเถ้าแก่ร้านที่สายตาไม่ดีด้วยราคาไม่ถึงสองตำลึงเงิน หากนำไปวางไว้ในท่าเรือตระกูลเซียน ตามคำบอกของทหารผีผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับผิดชอบช่วยดูของให้นั้น อย่างน้อยก็ต้องขายได้เงินถึงสี่สิบห้าสิบเหรียญเกล็ดหิมะ

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้าง กำลังพลิกเปิดสมุดบัญชี ชื่อส่วนใหญ่ที่อยู่ในสมุดล้วนถูกขีดทับด้วยหมึกสีชาดลงไปเบาๆ นี่ถือเป็นพวกคนที่ได้ทำความปรารถนาให้เป็นจริง แต่ก็มีความต้องการของภูตผีวัตถุหยินบางส่วนที่ต้องเก็บไว้ก่อนชั่วคราว ในความเป็นจริงแล้วทั้งเฉินผิงอันและพวกเขาต่างก็รู้กันดีว่า ความปรารถนาเหล่านั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นความมุ่งมาดปรารถนาตามภาษาของลัทธิพุทธที่ชีวิตนี้ชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นหยินหรือหยางก็ยากที่จะทำสำเร็จได้ วัตถุหยินบางตนปมในใจผูกเป็นเงื่อนตาย ด้วยความเจ็บแค้นเศร้าโศกจึงยากที่จะระงับอารมณ์ระเบิดความดุร้ายออกมา จนเกือบจะกลายไปเป็นผีอาฆาตตนหนึ่ง ได้แต่อาศัยยันต์สงบใจที่แปะอยู่ในตำหนักพญายมราชคุกล่างหลายแผ่นนั้นมาช่วยประคับประคองสติปัญญาน้อยนิดที่เหลืออยู่

หม่าตู่อี๋ที่ ‘หมั่นเพียรมัธยัสถ์ครองเรือน’ กลับไม่เคยบ่นท่านเฉินที่ปล่อยให้ ปราณวิญญาณในยันต์สงบใจสลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ต้องชดเชยด้วยเงิน เทพเซียนอย่างต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าไม่ต่างจากหลุมที่ไร้ก้น

ตลอดทางมานี้ได้เจอกับทหารที่พ่ายศึกแตกขบวนของแคว้นสือหาวไม่น้อย พวกเขากระจัดกระจายกันอยู่ตามป่าลึกในแถบต่างๆ ผันตัวกลายมาเป็นโจรที่เดี๋ยวก็รวมตัวกัน เดี๋ยวก็แยกย้าย คอยปล้นเสบียงกองหนุนของต้าหลีอย่างบ้าคลั่ง บางคนที่ต้องการยืนหยัดต่อไปเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ในใจก็จำต้องหันหัวหอกเข้าหาชาวบ้านในท้องถิ่นของแคว้นสือหาว ปีก่อนมีหิมะใหญ่ตกติดต่อกันสามครั้ง บวกกับสงครามวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่ทางเหนือของแคว้นสือหาวจึงใช้ชีวิตกันอย่างยากจนแร้นแค้น ต่อให้สิ่งที่ทหารม้าซึ่งมีมากสุดก็แค่สามสี่ร้อยนายเหล่านี้ต้องการจะเป็นเพียงเสบียงส่วนน้อย ทว่าคนในแต่ละครอบครัวของอำเภอยากจนที่กระจัดกระจายอยู่ตามเส้นชายแดนก็ล้วนหวังให้เสบียงน้อยนิดที่กักตุนไว้สามารถประคับประคองตัวเองไปจนถึงการเก็บเกี่ยวคราวหน้าได้ จึงไม่อาจนำไปเติมเต็มความต้องการน้อยนิดของทหารบู๊แคว้นสือหาว ดังนั้นจึงเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไปๆ มาๆ ฝ่ายหนึ่งก็เพื่อให้ไม่ต้องหิวตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อบ้านเมือง ความขัดแย้งจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเจอกับความขัดแย้งที่เกือบจะกลายมาเป็นการเข่นฆ่านองเลือดครั้งหนึ่ง ทหารบู๊อายุน้อยคนหนึ่งในนั้นที่สวมเสื้อเกราะผุพังเกือบจะยกดาบฟันไหล่ผู้เฒ่าผอมแห้งคนหนึ่ง เฉินผิงอันบุกเข้าไปในกลุ่มคน จับดาบที่ใช้บนหลังม้าของแคว้นสือหาวเล่มนั้นเอาไว้ พริบตาเดียวทหารม้าพ่ายศึกหลายสิบนายของแคว้นสือหาวก็พากันกรูเข้ามา เฉินผิงอันถีบออกไปทีเดียว คนผงะหงายม้าหมุนคว้าง เฉินผิงอันโยนดาบในมือทิ้ง ดาบก็เสียบกลับเข้าไปในฝักดาบของทหารหนุ่มคนนั้น ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาถูกแรงปะทะมหาศาลชนให้เซถอยไปด้านหลัง

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จูงม้าไปยืนอยู่บนทางของเมืองเล็ก พวกทหารที่หิวโหยอดอยากจึงพากันถอยออกจากเมืองไปเงียบๆ

พวกเฉินผิงอันสามคนก็จากมาช้าๆ

ด้านหลังคือเสียงที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเริ่มด่าพวกทหารของแคว้น ไม่ว่าคำพูดหยาบคายแค่ไหนก็มีหมด คำพูดทำนองว่าไม่มีปัญญาเอาชนะคนเถื่อนต้าหลี แต่พอถึงคราวรังแกชาวบ้านในแคว้นตัวเองกลับเปี่ยมอำนาจบารมียิ่งนัก สมควรตายไปบนสนามรบเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องแว้งกลับมาสร้างหายนะให้คนของตัวเอง และยังถึงขั้นมีคนเสนอให้เอาข่าวไปแจ้งทหารม้าต้าหลีที่อยู่ในอำเภอใหญ่ใกล้เคียง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินรางวัลมาก้อนหนึ่งก็เป็นไปได้

หลังจากที่ทหารม้ากองนั้นออกจากอำเภอมาแล้ว ทหารหนุ่มก็พลันร้องไห้โหยหวน

ขุนนางบู๊อายุมากลักษณะคล้ายเสี้ยวเหว่ยคนหนึ่งลงจากหลังม้า น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่ซีดเซียว ทหารม้าทั้งกลุ่มที่ใบหน้าเหลืองแห้งตอบ แต่ละคนล้วนมีบาดแผลติดกายต่างก็หยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ ทั้งตื่นตระหนกทั้งเคว้งคว้าง

เฉินผิงอันบอกให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่รออยู่ที่เดิม ส่วนตัวเขาขี่ม้าเข้าไปช้าๆ

กองทหารม้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วชายแดนแคว้นสือหาวซึ่งในยุคที่รุ่งโรจน์มีคนถึงสองพันกว่าคน ทว่าตอนนี้กลับเหลือทหารม้าไม่ถึงแปดสิบคนกองนี้ แต่ละคนทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

เฉินผิงอันโยนถุงใบใหญ่หนักอึ้งออกไป แล้วเอ่ยภาษาทางการแคว้นสือหาวที่นับวันก็ยิ่งพูดได้คล่องปาก “แยกย้ายกันไปเถอะ ถอดเกราะเหล็ก ปลดอานม้า เงินก้อนนี้ถือเป็นค่าเดินทางกลับบ้านเกิดและเงินช่วยเหลือครอบครัวของพวกเจ้า”

ขุนนางบู๊วัยชราผู้นั้นรับถุงเงินมา เปิดออกดูก็เห็นว่าด้านในมีแต่ทองก้อนของทางการ ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

เฉินผิงอันกล่าว “หากไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ก็สามารถเลือกพี่น้องที่มีไหวพริบสักหน่อย ปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปซื้ออาหารในอำเภอที่สถานการณ์สงบลงแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงสายลับและทหารลาดตระเวนของต้าหลีให้ได้มากที่สุด ทุกครั้งไม่ต้องซื้อเสบียงมาก ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะทำให้ขุนนางในพื้นที่เกิดความสงสัย ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนกันเอง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็คงแยกแยะไม่ออกแล้ว”

ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มีแค่นี้หรือ? ไม่ต้องการอย่างอื่นหรือไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีทางเลือก ในเมื่ออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดแล้วก็ไม่สู้ลองทำดู นอกจากนี้หากข้าคิดจะอาศัยศีรษะไม่กี่สิบหัวของพวกเจ้าไปขอรางวัลจากที่ว่าการที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ ข้อนี้ทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าอาจจะมองไม่ออก แต่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่น่าจะรู้ชัดเจนดี”

ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป

เฉินผิงอันโบกมือ “ช่วยได้แค่นี้ ข้าเองก็ไม่ใช่กุมารแจกทรัพย์อะไร อย่าเห็นข้าเป็นคนโง่ที่ตามคนไม่ทัน”

ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าขลาดกลัว ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมนั่นไป หลังจากรับทองก้อนที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขามาแล้วก็กุมหมัดขอบคุณบุรุษร่างผอมบางที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวผู้นั้น “ขอบคุณท่านที่มีคุณธรรมสูงส่ง!”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืนแล้วจึงจากมา ส่วนสุดท้ายแล้วกองทหารของแคว้นสือหาวกองนี้จะตัดสินใจอย่างไร เขาไม่ได้ทำเหมือนตอนอยู่ร้านขายเนื้อหมาในเมืองก่อนหน้านี้ที่คอยจับตาดูการเลือกของลูกจ้างเด็กหนุ่มตั้งแต่ต้นจนจบ

ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้ถามชื่อเลยนะ

หม่าตู่อี๋มองท่านเฉินที่ควบม้ากลับมาแล้วเอ่ยหยอกเย้าว่า “ปากบอกว่าตัวเองไม่ใช่กุมารแจกทรัพย์ แต่ความเป็นจริงล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มองออกแต่ไม่เปิดโปง คือนิสัยที่ดีเยี่ยมในการอยู่ร่วมโลกกับผู้อื่น”

หม่าตู่อี๋คิดจะพูดจาทิ่มแทงเขาอีกสักสองสามคำ แต่เฉินผิงอันกลับควบม้าทะยานจากไป นางกับเจิงเย่จึงได้แต่รีบร้อนตามไปให้ทัน

กีบม้าของม้าทั้งสามตัวเหยียบลงบนพื้นดินกว้างใหญ่ที่ดอกไม้ผลิบานอากาศอบอุ่น

เวลานี้หม่าตู่อี๋วางกระจกทองแดงลง หันหน้ามามองเฉินผิงอันที่ปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นแล้ว ถามว่า “ท่านเฉิน ก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง พวกเราสามารถกลับไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะได้แล้วล่ะ”

หม่าตู่อี๋ยืดแขนบิดขี้เกียจ ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ด้านหลังจึงรีบยื่นมือไปประคองไว้ ด้านในนี้ล้วนเต็มไปด้วยสมบัติที่ได้มาในราคาถูกจากสามเมืองล่าสุด ต่อให้จะห่อด้วยผ้าแพรต่วนและรองด้วยผ้าฝ้ายก็ยังอดเป็นห่วงกลัวว่าวัตถุที่บอบบางทั้งหลายเหล่านั้นจะกระแทกแตกไม่ได้ ตามคำบอกของผีผู้เฒ่าที่ช่วยดูของซึ่งตอนนี้พักอยู่ในเรือนแก้วจำลอง ของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นของที่ชนชั้นสูงในโลกชอบเก็บสะสม เมื่ออยู่ในช่วงกลียุคจึงไม่อาจเทียบกับเงินทองจริงๆ ได้ แต่หากเป็นช่วงยุคสันติสุขรุ่งเรืองเมื่อไหร่ ต่อให้จะเป็นแค่โถใส่อาหารนกเล็กๆ ใบหนึ่งก็ยังมีมูลค่าถึงสองสามร้อยตำลึงเงิน หากเจอเข้ากับคนมีเงินที่มีความชื่นชอบในด้านนี้ ราคาก็อาจจะทะยานสูงขึ้นไปอีก

อันที่จริงสิ่งของเหล่านี้สามารถใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อของท่านเฉินได้ แต่ทุกครั้งที่หยุดพักหม่าตู่อี๋จะชอบเปิดหีบออกมาตรวจสอบดู ก็เหมือนกระจกทองแดงบานเล็กซึ่งนางชื่นชอบจนวางไม่ลงบานนี้ที่จะต้องเอาออกมาดูให้สบายตาสักหน่อย สุดท้ายนางจึงเหมือนคนหาเรื่องใส่ตัวที่ต้องคอยแบกหีบด้วยตัวเอง

ตอนนี้เจิงเย่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่สมชื่อแล้ว ความสามารถในการทำความเข้าใจและพรสวรรค์ของหม่าตู่อี๋ดีกว่า นางจึงกลายเป็นวัตถุหยินขอบเขตห้าแล้ว

เพียงแต่ว่ารากฐานในการฝึกตนที่แท้จริงยังคงเป็นเจิงเย่ที่ยอดเยี่ยมกว่า นี่ก็คือความสำคัญของฐานกระดูก

คนหนึ่งไม่รังเกียจความช้า คนหนึ่งไม่รังเกียจความเร็ว ตอนนี้เมื่อเจิงเย่อยู่ร่วมกับหม่าตู่อี๋ ยิ่งนานวันก็ยิ่งกลมเกลียวกัน บางครั้งยังถึงขั้นรู้ใจกันด้วย

ยามกินข้าว เฉินผิงอันยังคงเคยชินกับการเคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียด เจิงเย่นั่งอยู่ด้านข้างพุ้ยข้าวคำใหญ่ เขาถามชวนคุยว่า “ท่านเฉิน ท่าหมัดของข้า เวลาเดินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบรับ “กระท่อนกระแท่น”

เจิงเย่ถอนหายใจ เดิมทีเขานึกว่าการเดินนิ่งหกก้าวของตน แม้จะไม่ถึงขั้นใจและกายสอดผสานเป็นหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ต้องเรียกได้ว่าคล่องแคล่วคุ้นเคยแล้ว

หม่าตู่อี๋พูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “ก็เจ้าไม่ใช่คนที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ ขนาดข้าที่เป็นคนนอกยังมองออกว่าหมัดของเจ้าทั้งว่างเปล่าทั้งหลวม ไม่เข้าขั้น แม้แต่น้อย เจิงเย่ เจ้าคงคิดว่าตัวเองพอจะเข้าท่าเข้าทีแล้วสินะ?”

เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจเจิงเย่ “เรื่องของการฝึกวรยุทธ ในเมื่อไม่ใช่งานหลัก ของเจ้า ขอแค่ฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยดึงเส้นเอ็นหล่อเลี้ยงกระดูกได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่อย่างนั้นหากสร้างลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วปล่อยให้ปะทะกับปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”

เจิงเย่เอ่ยอย่างอัดอั้น “หากไม่เรียนอะไรก็ไม่สำเร็จ ก็กลายเป็นว่าเรียนอะไรก็ช้า ท่านเฉิน ทำไมท่านไม่เห็นร้อนใจเลย”

เฉินผิงอันรู้สึกขำคำพูดของอีกฝ่าย จึงเอ่ยว่า “หากร้อนใจแล้วมีประโยชน์ ข้าก็คงเร่งรัดเจ้าไปนานแล้ว”

หม่าตู่อี๋อดกลั้นมานาน กำลังจะอ้าปากพูด

แต่เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้นเสียก่อน “เงียบเลย ห้ามเอาเรื่องการฝึกตนของเจิงเย่มาล้อเลียน อีกอย่าง เกี่ยวกับว่าท่าหมัดของเจิงเย่ดีหรือไม่ดี เจ้ามองออกสิ ถึงจะแปลก เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสเคยวิพากวิจารณ์อยู่คำสองคำ แล้วเจ้าก็ยืมเอามาใช้มากกว่ากระมัง?”

หม่าตู่อี๋ยิ้มจนดวงตาเรียวยาวประกายน้ำคู่นั้นหยีลง นางไม่เอ่ยอะไร ถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

คนทั้งสามเดินหน้ากันต่ออีกครั้ง เลียบเส้นชายแดนของแคว้นสือหาวไป

จนกระทั่งมาถึงตระกูลเซียนแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือที่มีชื่อว่าภูเขาหูลั่ว เป็นเทือกเขาเขียวขจีที่ทอดยาว ทัศนียภาพงดงาม ปราณวิญญาณก็นับว่าเปี่ยมล้น นี่ทำให้ผู้ฝึกตนสองคนอย่างหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ที่พอเข้ามาในอาณาเขตนี้แล้วก็ยังรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส อดสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งไม่ได้

นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมสถานที่หลายแห่งที่ปราณวิญญาณเบาบาง ชั่วชีวิตของชาวบ้านคนหนึ่งอาจไม่มีโอกาสได้พบเจอกับผู้ฝึกตนเลย ขบวนพ่อค้าสัญจรไปตามสถานที่ที่มีคนเนืองแน่นก็เพื่อแสวงหาผลกำไร ผู้ฝึกตนท่องอยู่ในโลกมนุษย์ก็จะต้องพยายามหลบเลี่ยงสถานที่ที่ปราณวิญญาณเบาบางจนแทบไม่มีเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการฝึกตนก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันมากมาย จำเป็นต้องใช้เวลาและความละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง รวมไปถึงเทพเซียนห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปซึ่งหากเอาเวลาอันมีค่าใช้หมดไปกับสถานที่กว้างไกลพันลี้แต่ไร้ซึ่งปราณวิญญาณ เดิมทีนั่นก็เป็นความสิ้นเปลืองอย่างหนึ่งอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้เกิดสงครามวุ่นวายต่อเนื่องจนเดือดร้อนไปถึงบนภูเขาของแคว้นสือหาว ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใด ภูเขาน้อยใหญ่มากมายต่างพากันขยับเข้ามารวมตัวกัน จนมองดูเหมือนจะให้ภูเขาหูลั่วเป็นหัวมังกร (เปรียบเปรยถึงการเป็นผู้นำ) อาณาเขตของภูเขาหูลั่วค่อนข้างกว้างขวาง ก่อนหน้านี้ยังใช้วิธีการสืบทอดด้วยอาจารย์เพียง คนเดียวของตระกูลเซียน จึงถือเป็นสำนักบนภูเขาที่กิจการยิ่งใหญ่ ทว่ากลับมีประชากรน้อย ดังนั้นจึงต้องแบ่งภูเขาหลายลูกของเทือกเขาหูลั่วออกไปให้พวกสำนักผู้ฝึกตนปลายแถวของแคว้นสือหาวที่หันมาสวามิภักดิ์เช่าอยู่อาศัย

เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองปี ภูเขาหูลั่วก็มีศักยภาพและอำนาจที่ไม่ธรรมดา

ได้ยินว่าที่นี่มีร้านค้าตระกูลเซียนเปิดอยู่ไม่น้อย และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เฉินผิงอันแวะมาที่นี่ ในเมื่อผ่านทางมาแล้วก็เลยบอกให้เจิงเย่และหม่าตู่อี๋นำของวิเศษสารพัดรูปแบบหลายสิบชิ้นที่เก็บตกมาเอาไปขาย ดูว่าจะขายได้ราคาดีหรือไม่ เงินเทพเซียนทั้งหมดที่ได้มาล้วนเป็นของพวกเขา ส่วนหลังจบเรื่องจะแบ่ง ‘ทรัพย์สิน’ กันอย่างไร เฉินผิงอันไม่สนใจ ปล่อยให้เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ปรึกษากันเอง แต่คาดว่าเจิงเย่คงต้องเสียเปรียบนิดหน่อยอย่างแน่นอน ด้วยสติปัญญาเฉียบแหลมที่ในสมองดีดรางลูกคิดน้อยๆ อยู่ตลอดเวลาของหม่าตู่อี๋นั้น ต่อให้มีสามเจิงเย่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

เฉินผิงอันคิดว่าวันใดหากตนจะเปิดร้านทำการค้า หม่าตู่อี๋น่าจะเป็นผู้ช่วยที่ไม่เลว

มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมด้านนอกติดอาณาเขตของภูเขาหูลั่ว เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่ามีชาวบ้านลี้ภัยจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันสร้างตลาดแห่งหนึ่งที่ลักษณะเข้าท่าเข้าที ผู้คนจอแจคับคั่ง บนเส้นทางยังมีงานบุกเบิกที่ดินอีกหลายจุด บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น นอกจากชายฉกรรจ์ที่ร่างกายค่อนข้างแข็งแรงแล้ว ยังมีเด็ก สตรีและคนชราจำนวนไม่น้อยที่สามารถมีชีวิตรอดจนกระทั่งมาถึงภูเขาหูลั่ว ซึ่งพวกเขาต่างก็กำลังช่วยกันออกแรง จุดที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจมากที่สุดก็คือ มีศาลบู๊แห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวที่ถูกสร้างจนเสร็จสิ้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นการสร้างแบบหยาบๆ แต่ก็น่าจะสอดคล้องตรงกับกฎระเบียบของราชสำนัก ไม่บกพร่องแม้แต่จุดเดียว นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งที่กำลังง่วนทำงานสร้างค่ายกลปกป้องภูเขาอยู่เช่นกัน

นี่น่าจะเป็นเค้าโครงรูปร่างช่วงแรกเริ่มสุดของท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งหรือไม่ก็สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกตนสองคนเห็นพวกเฉินผิงอันสามคนจูงม้าเดินมา เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าสามคน สายตาของพวกเขาต่างก็แฝงแววระแวดระวัง ครั้นจึงแอบติดต่อกัน อย่างลับๆ ผู้ฝึกตนในสำนักเดียวกันจากสี่ด้านแปดทิศจึงพากันมารวมตัวโอบล้อมสร้างความหวาดเกรงให้แก่คนต่างถิ่นกลุ่มนี้

ตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้ห้อยป้ายหยกผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียแล้ว สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็จนใจ หลังจากถามทางกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งในนั้นแล้วก็บอกอีกฝ่ายว่าต้องการไปเยือนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ภูเขาหูลั่ว

กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักเดียวกันที่มีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตถ้ำสถิตเป็นผู้นำชี้บอกทางให้ จนกระทั่งพวกเฉินผิงอันสามคนออกไปจากตลาดแล้ว พวกเขาถึงได้ระบายลมหายใจโล่งอกแล้วเริ่มหันมายุ่งอยู่กับการสร้างค่ายกลภูเขาแม่น้ำกันต่ออีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นแค่สำนักปลายแถว ต่อให้เพื่อหลีกหนีหายนะจึงต้องย้ายมาอยู่ภูเขาหูลั่ว แต่เมื่อเทียบกับจวนตระกูลเซียนอื่นๆ ที่มีทรัพย์สินมากมายแล้ว พวกเขากลับไม่อาจรวบรวมเงินเทพเซียนออกมาได้มากนัก จึงได้แต่ถูกทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาหูลั่วโยนให้มาอยู่ที่นี่ มาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลเฝ้าหน้าประตูใหญ่ภูเขาทางทิศตะวันออกของแถบเทือกเขาหูลั่ว ขอแค่มีปัญหาเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีรู้สึกว่าภูเขาหูลั่วขวางหูขวางตา บุกเข้ามาเข่นฆ่า พวกเขาก็ย่อมต้องเป็นคนกลุ่มแรกที่เจอกับพิบัติภัย แต่กระนั้นก็ได้แค่ฝืนใจเป็นโล่ต้านหายนะให้ภูเขาหูลั่วเท่านั้น

ไม่ว่าการบุกเบิกก่อตั้ง การเจริญรุ่งเรืองหรือการสืบทอดของสำนักบนภูเขาแห่งใดก็ตามล้วนต้องเจอกับความลำบากยากแค้น อันตรายและการถูกหมิ่นเกียรติ อยู่เสมอ

เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่มีตบะขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน ‘บรรพจารย์’ ของสำนักผู้นั้นมายืนอยู่บนแท่นสูง สายตาของเขาก็ไปหยุดนิ่งอยู่บนร่างของเด็กลี้ภัยคนหนึ่งที่กำลังช่วยเช็ดเหงื่อให้พ่อแม่ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงเผยรอยยิ้มอย่างถูกใจ คือต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่ง ทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาหูลั่วรู้ตัวช้ากว่า จึงคิดจะใช้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ รวมไปถึงภูเขาอีกลูกหนึ่งที่มีรัศมีสิบกว่าลี้มาแลกกับการที่ให้เด็กคนนี้อยู่ในสำมะโนครัวของสำนักบนภูเขา เพียงแต่ว่าถูกเขาคัดค้านอย่างหนัก ปฏิเสธความหวังดีจากภูเขาหูลั่ว และคิดจะรับเด็กคนนี้มาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเสียเอง ไม่แน่ว่าอีกหกสิบปีหรืออีกร้อยปีให้หลัง ในสำนักของตนก็อาจจะมีผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หรือแม้แต่การได้เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเหมือนกับบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักในประวัติศาสตร์ผู้นั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน พอคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ แม้ว่าช่วงแรกเริ่มเหล่าพี่น้องในศาลบรรพจารย์ของตนจะทะเลาะโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาหนึ่งลูกที่ได้มาเปล่าๆ ก็ล้วนมีความหมายที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อปฏิเสธข้อเสนอของศาลบรรพจารย์ภูเขาหูลั่วไปอย่างจริงจังแล้ว ทุกคนก็หันมาร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่ง

แม้แต่ศิษย์น้องเล็กที่ขี้เหนียวที่สุดของเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า วันที่เด็กคนนั้นทำ พิธีกราบอาจารย์เข้าสำนัก จะนำของวิเศษชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษามานานมอบให้กับ ศิษย์หลานของตัวเอง

หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากตลาดแล้วก็พลันหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วถามว่า “พวกเจ้ามองอะไรออกหรือไม่?”

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต่างรู้สึกประหลาดใจ

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าอาจจะแค่ตาฝาดไปเอง”

หม่าตู่อี๋เอ่ยสัพยอก “ท่านเฉิน พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ดีกระมัง”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วันหน้ารอให้พวกเจ้าต้องรับผิดชอบหน้าที่เพียงลำพังก็จะรู้เองว่าพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ คือวิชาความรู้ยิ่งใหญ่วิชาหนึ่งที่คู่ควรแก่การศึกษาให้ดีๆ”

หม่าตู่อี๋จุ๊ปากพูด “ความสามารถในการเปลี่ยนวิธีมาโอ้อวดตัวเองของท่านเฉิน นับวันก็ยิ่งเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังม้าหันมากุมหมัดให้ “ชมเกินไปแล้วๆ”

หม่าตู่อี๋หัวเราะอย่างฉุนๆ “ท่านเฉิน หากท่านยังทำแบบนี้อีกก็จะไม่ใช่ท่านเฉินในใจของข้าอีกต่อไปแล้วนะ!”

เจิงเย่ส่ายหน้า “ใช่เสียเมื่อไหร่ๆ”

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเข้าข้างท่านเฉินมากกว่า

ผลกลับถูกหม่าตู่อี๋สะบัดชายแขนเสื้อตบโดนใบหน้าจนใบหน้าแสบร้อนไปหมด

เจิงเย่กล่าวอย่างมีโทสะ “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”

คราวนี้เป็นหม่าตู่อี๋บ้างที่โคลงศีรษะ “มีเพียงสตรีและคนถ่อยเท่านั้นที่อบรมได้ยาก อริยะพูดเอง หลักการแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ประโยคนี้ไม่ได้หมายความเช่นนี้ แต่หากเจ้ายินดีจะพูดแดกดันตัวเองแบบนี้ ข้าก็คิดว่าไม่มีปัญหา”

พูดคุยพลางหยอกล้อกันไปตลอดทาง จนกระทั่งม้าทั้งสามตัวมาถึงประตูภูเขาของภูเขาหูลั่วที่แท้จริง

เมื่อเทียบกับภูเขาตระกูลเซียนสองแห่งที่ผ่านทางมาก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่เคร่งขรึมจริงจังกว่ามาก เมื่อเทียบกับภูเขาหวงหลีแล้ว ปราณวิญญาณยังเหนือกว่าหลายส่วน

ตรงตีนเขามีเมืองเล็กที่เงียบสงบซึ่งสร้างติดภูเขาอิงสายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง หรือควรจะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ ดูจากสิ่งปลูกสร้างแล้วน่าจะมีคนอยู่อาศัย พันกว่าคน

เรียกได้ว่ามีลักษณะของบนภูเขา ไม่เหมือนโลกมนุษย์ นานวันเข้าก็กลายเป็นดั่งหอเรือนกลางอากาศ เป็นดั่งสายน้ำที่ไร้ต้นตอ

เพียงแต่ว่าเซียนซือบนภูเขาหลายคนที่ยังไม่เคยขึ้นไปถึงยอดเขาคร้านจะคิดหรือควรจะพูดว่าดูแคลนจะคิดเช่นนี้ก็เท่านั้น

เดินเข้าไปในหมู่บ้านตรงตีนเขา แล้วจึงขึ้นไปบนภูเขา จะต้องผ่านลำคลองสายหนึ่ง เหนือลำคลองไม่ได้มีสะพานหินโค้ง แต่เป็นสะพานที่เหมือนงูตัวเล็กบอบบางทอดตัวนอนขวางอยู่เหนือลำคลองอย่างสงบ บนแผ่นหลังของ ‘มัน’ มีชาวบ้านคนหนึ่งจูงควายเดินมา น่าจะเพราะต้องการไปทำไร่ทำนาในบริเวณใกล้เคียง ด้านหลังชายฉกรรจ์และควายตัวนั้นยังมีเด็กอีกคนที่ขี่ไม้ไผ่สี่เขียวลำหนึ่ง ปากก็ร้อง ‘ย๊าๆๆ ’ คล้ายกำลังขี่ม้า

เฉินผิงอันจึงจูงม้าให้หยุดเดินก่อน เปิดทางให้ชาวบ้านและควายที่มีเขาโค้งงอ ตัวนั้นเดินผ่าน

หลังจากชาวบ้านและควายเดินลงมาจากสะพานเล็ก ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนความรู้กว้างไกล จึงไม่ได้มองประเมินคนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้สักเท่าไหร่ กลับเป็นเด็กขี่ม้าไม้ไผ่คนนั้นที่พอได้เห็นม้าตัวจริงก็เกิดสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง เฉินผิงอันยิ้มให้เด็ก คนนั้น เด็กชายก็ส่งยิ้มกลับมาอย่างเขินอาย แล้วจึงเดินตามบิดากับควายตัวนั้นไปต่ออีกครั้ง

เจิงเย่รู้สึกว่าน่าสนใจ

บนภูเขาหูลั่วที่มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวนมักจะมีแสงกระบี่ แสงสายรุ้งพุ่งผ่านขอบฟ้าอยู่เสมอ

แต่เด็กน้อยกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักนิด กลับเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อม้าที่อยู่ข้างกายพวกเขามากกว่า เด็กที่ขี่ม้าไม้ไผ่คนนั้นจึงคอยหันกลับมามองเป็นระยะ

เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปบนสะพานหินเล็กเตี้ยที่สูงกว่าลำคลองไม่มากนัก

เดินไปได้ครึ่งทาง อีกฝั่งหนึ่งก็มีชาวบ้านที่ต้องการเดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามยืนรออย่างสงบ

พอเดินลงมาจากสะพานหินแล้ว เฉินผิงอันจึงผงกศีรษะแสดงการขอบคุณ พวกเขา พวกชาวบ้านก็พยักหน้ากลับคืน

เจิงเย่ทำท่าครุ่นคิด

หม่าตู่อี๋ก็เป็นเช่นเดียวกัน

และเวลานี้เอง เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมองม่านฟ้า

ขณะเดียวกันกล่องไม้เนินกระบี่ขนาดเล็กและแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียต่างก็ร้อนลวกขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

สำหรับเรื่องนี้หลิวจื้อเม่าไม่ได้ปิดบังมาตั้งแต่แรก เขาบอกอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถอาศัยพวกมันมาติดตามร่องรอยของเฉินผิงอันได้

เฉินผิงอันจึงไม่ได้ประหลาดใจ

สายรุ้งสีขาวหิมะเส้นหนึ่งที่เกิดจากผู้ฝึกตนคนหนึ่งทะยานลมมาอย่างรวดเร็วแหวกอากาศมาจากนอกภูเขาหูลั่ว แล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง

คือผู้ฝึกตนผู้เฒ่าคนหนึ่งของเกาะชิงเสียที่มีสีหน้าร้อนรน ลมปราณวุ่นวาย เขาก็คือจางเย่ผู้ดูแลคลังลับและห้องตกปลา

การเดินทางขึ้นเหนืออย่างลับๆ ครั้งนี้แทบจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่เก็บสะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตหลายแห่งของจางเย่ไปจนหมด นี่คือการกระทำอันมุทะลุที่ส่งผลเสียต่อรากฐานมหามรรคา เมื่อเทียบกับการควบม้าเร็วแปดร้อยลี้เพื่อส่งข่าวด่วนแล้ว ม้าต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน และยังต้องผลัดเปลี่ยนม้าที่ขี่ตัวแล้วตัวเล่าเพราะม้าเหนื่อยจนตาย นี่ก็คือหลักการเดียวกัน

แรกเริ่มเจิงเย่มีใบหน้าปิติยินดี เพราะถึงอย่างไรจางเย่ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณที่กระชากเขาออกมาจากหลุมไฟหลุมใหญ่อย่างเกาะเหมาเยว่ด้วยมือตัวเอง เพียงแต่พอเด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของจางเย่แล้วก็หุบปากทันที

เฉินผิงอันเอามือโอบประคองจางเย่ที่ร่างโอนเอน ถามเบาๆ ว่า “เกิดเรื่องขึ้นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นหรือ?”

จางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฟ้าเปลี่ยนแล้ว!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ สำหรับการเกิดขึ้นของสถานการณ์นี้ อันที่จริงเขาคาดการณ์ไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าเนื่องจากสถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขีดสุด เฉินผิงอันจึงไม่ได้เตรียมการรับมือไว้มากนัก และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่สามารถวางแผนกระทำการใดๆ ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีได้มากนัก

ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่เรี่ยวแรงหมดลง

นี่เป็นเรื่องที่เดาได้ง่ายมาก หากไม่ใช่ซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีเป็นผู้ลงมือ ก็ต้องเป็นคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังหลิวเหล่าเฉิงบนเกาะกงหลิ่วที่เริ่มทำตามแผนการ

หรือไม่ทั้งสองฝ่ายก็อาจจะร่วมมือกันเสียเลย

ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ทรยศหันไปเข้าข้างข้าศึก ทอดทิ้งพันธมิตรก็เพราะหวังจะรักษาตัวรอด ส่วนหลิวจื้อเม่าก็ตัดใจทิ้งรากฐานกิจการในเกาะชิงเสียไม่ลง ก็เลยถูกเล่นงาน พาตัวไปตกอยู่ในอันตราย นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

แต่สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้ว นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

เดิมทีทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันพอจะคลำเจอเส้นสายแล้ว กระดานหมากที่วางแผนไว้อย่างยากลำบากกระดานนั้น ไม่แน่ว่าอาจถูกผู้เล่นที่มาที่หลังคว่ำกระดานได้ง่ายๆ

จางเย่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าดังตุ้บ “ขอร้องท่านเฉินโปรดช่วยท่านเจ้าเกาะด้วย!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามตามตรงว่า “กู้ช่านและมารดาของเขาถูกผู้อาวุโสจางนำไปกักขังอย่างลับๆ แล้วใช่หรือไม่?”

จางเย่ที่คุกเข่าไม่ยอมลุกเงยหน้าขึ้น “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน เกาะชิงเสียทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ต่อให้ทำได้ ข้าก็ไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะข้ารู้ว่านี่มีแต่จะได้ผลในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ช่วยท่านเจ้าเกาะได้ก็มีเพียงท่านเฉินเท่านั้น”

เฉินผิงอันประคองจางเย่ให้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้อาวุโสจางลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ ข้าขอลองฟังดูก่อน แต่จะให้ไปช่วยหลิวจื้อเม่า ความเป็นไปได้นี้แทบไม่มีเลย เชื่อว่าอันที่จริงระหว่างที่ผู้อาวุโสเดินทางมาก็คงรู้อยู่แล้ว ดังนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ก็แค่พยายามทำให้สุดความสามารถ และสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น”

จางเย่พยักหน้ารับเบาๆ ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน สายตายังแฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งใจส่วนหนึ่ง

แต่เฉินผิงอันกลับปวดหัวเป็นกำลัง

อยู่ต่อหน้าจางเย่ คำพูดบางอย่างก็เหมือนที่เขาล้อเล่นกับหม่าตู่อี๋ก่อนหน้านี้ พูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ มองทะลุแต่ไม่เปิดโปง

จางเย่ย่อมต้องทำอย่างสุดความสามารถของตัวเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตัวจางเย่เองก็รู้ชัดเจนดีว่า ร่องรอยการเดินทางของตนได้ตกอยู่ในสายตาของคนมีใจบางคน และไม่แน่ว่าคนผู้นั้นก็อาจจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งของภูเขาหูลั่วแล้วกำลัง หลุบตาลงต่ำมองมาตรงนี้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่ได้ซ้ำเติมด้วยการต่อยเขาให้ตายในหมัดเดียว

อันที่จริงนี่ก็ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “พวกเราพูดคุยกันพลางเดินไปด้วย”

จางเย่ทำจิตใจให้สงบ และประโยคแรกที่เขาเอ่ยก็ทำให้ทะเลสาบในหัวใจของหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ที่กำลังเงี่ยหูรอฟังเกิดสั่นสะเทือนได้ทันที “ท่านเจ้าเกาะของพวกเราสู้ผู้ฝึกตนบางคนที่สถานะไม่ชัดเจนไม่ได้ ตอนนี้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและถูกจับขังไว้ในคุกน้ำของเกาะกงหลิ่ว ไม่เพียงเท่านี้ ซูเกาซานแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กต้าหลียังไปเยือนนครอวิ๋นโหลวที่อยู่ติดกับทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยตัวเอง

ป่าวประกาศว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต้องตายจนหมดสิ้นภายในสิบวัน”

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวใจของเฉินผิงอันก็คือ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สามารถ ใช้อำนาจสยบหลิวจื้อเม่าได้นั้น หากไม่ใช่สวี่รั่วจอมยุทธสำนักโม่ ก็อาจจะเป็น อริยะหร่วนฉง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version