Skip to content

Sword of Coming 454

บทที่ 454 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

การเดินทางกลับมายังเกาะชิงเสียของเฉินผิงอันครั้งนี้ มาอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อนเช่นกัน

อันที่จริงกู้ช่านจะอยู่หรือไปล้วนไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ อันที่จริงแล้วเฉินผิงอันในเวลานี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก เรื่องราวบางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของซูเกาซานแห่งต้าหลี เหตุการณ์พลิกผันในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแผนการของผู้ฝึกตนบนเกาะกงหลิ่ว ขอแค่เฉินผิงอันยังไม่ยินดีออกไปจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป กู้ช่านอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

แต่การที่กู้ช่านยินดีอยู่ต่อที่เกาะชิงเสีย เฝ้าพิทักษ์จวนชุนถิง ก็คือการเลือกที่ดีที่สุด

เฉินผิงอันถ่อเรือจากไป

ไปขึ้นฝั่งที่นครลวี่ถง ก่อนหน้านี้พายเรือผ่านภูเขาพุดตานที่ศาลบรรพจารย์ถูกรื้อถอนทำลาย ครานั้นมังกรเพลิงปรากฎตัว พลังอำนาจดุดันสะท้านฟ้า ไม่เป็นรองการพลิกมหาสมุทรคว่ำนทีของหนีชิวตัวนั้นเลยแม้แต่น้อย คนมีใจที่ตบะขอบเขตสูงมากพอของทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนเข้าใจผิดคิดว่าศัตรูบนมหามรรคาของกู้ช่านปรากฎตัว จะต้องระเบิดศึกแห่งน้ำและไฟครั้งใหญ่ เพียงแต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นที่เล่าลือกันว่าเป็นหน่วยจานกานของต้าหลีกลุ่มนั้นจะเลือกหยุดมือแล้วจากไป

ทว่าภายหลังก็มีเรื่องสนุกให้คนได้ดูชมกันอีกไม่น้อย สตรีชุดเขียวที่เหมือนมีไอเมฆหมอกบดบังจนคนเกิดความกังขา กับเด็กหนุ่มนิสัยประหลาดผู้มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วได้ร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าของราชวงศ์จูอิ๋ง ว่ากันว่าไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสาของเขาเท่านั้นที่ตกไปเป็นอาหารของมังกรเพลิง แม้แต่ทารกก่อกำเนิดก็ยังถูกกักขังเอาไว้ นี่หมายความว่า ‘ผู้ฝึกตนเฒ่า’ ที่อยู่ใน ‘รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเด็กสาว’ สองคนนี้ ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลังในขั้นตอนของการเข่นฆ่า ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้คนกริ่งเกรงกันมากกว่าเดิม

โจมตีให้เซียนดินคนหนึ่งพ่ายแพ้ กับสังหารเซียนดินคนหนึ่ง คือสองเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

หลังจากเฉินผิงอันขึ้นฝั่งแล้วก็ไปรับม้าคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แล้วก็ไปซื้อซาลาเปาเนื้อที่แป้งบางไส้เยอะจากร้านในตรอกมาอีกสองสามลูก กินอิ่มไปหนึ่งมื้อถึงได้เร่งรุดออกเดินทางไปยังชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นสือหาวที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นเหมยโย่วต่อ ด่านของที่นั่นมีชื่อว่าหลิวเซี่ย พอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋งเคยสามารถรั้งตัวกุนซือตระกูลยากจนที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘คุณูปการครึ่งแผ่นดิน’ ได้ที่นี่ แล้วก็มีคำกล่าวบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จูอิ๋งเกิดความทดท้อหมดอาลัยตายอยาก เมื่ออยู่ที่นี่ก็ยังไม่อาจบรรลุมรรคาได้ สุดท้ายไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน จึงใช้ปราณกระบี่คมกริบสลักตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ (อยู่ต่อ/รั้งไว้) ไว้บนหน้าผา สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปด้วยความเสียดาย เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงมือกระบี่ในยุทธภพหลายคนล้วนมองด่านเล็กๆ ของแคว้นใต้อาณัติแห่งนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ จะต้องมาเยือนเพื่อแหงนหน้ามองตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ ที่เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันงดงามให้จงได้

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันที่อิดโรยจากการเดินทางก็เร่งรุดมาถึงด่านหลิวเซี่ย รวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอมานานแล้วอีกครั้ง

เห็นเงาร่างหนึ่งคนกับหนึ่งม้าที่คุ้นเคยของท่านเฉิน หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

แรกเริ่มคนทั้งสองไม่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกายยังรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์กันอยู่มาก อีกทั้งในหีบไม้ไผ่ของเจิงเย่ยังสะพายตำหนักพญายมราชคุกล่างเอาไว้ ในช่วงเวลาวิกฤตเร่งด่วนก็พอจะเชิญภูตผีขอบเขตถ้ำสถิตหลายตนที่เฉินผิงอัน ‘แต่งตั้ง’ ออกมาได้ ท่องอยู่ในยุทธภพแคว้นสือหาว ขอแค่ไม่ทำตัวโอ้อวดเกินไป แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว ดังนั้นแรกเริ่มคำพูดและการกระทำของเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋จึงไร้ซึ่งความกริ่งเกรง ไร้พันธนาการขีดจำกัด เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา พวกเขาที่แค่ได้ยินเสียงนกหรือเสียงลมก็เริ่มหวาดผวากันแล้ว ต่อให้ได้เจอแค่ทหารลาดตระเวนต้าหลีที่ออกมาเตร็ดเตร่ภายนอกก็ยังต้องกลัดกลุ้ม และตอนนั้นพวกเขาถึงได้รู้ว่าข้างกายมีหรือไม่มีท่านเฉินล้วนแตกต่างกันอย่างมาก

มีท่านเฉินอยู่ แม้ว่าจะต้องทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ทุกเรื่องก็จริง แต่หนึ่งคนหนึ่งผีก็ยังสบายใจ

ความรู้สึกเช่นนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็เคยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน ทว่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี แค่รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เพราะท่านเฉินมีตบะสูงเท่านั้น

ตอนไปเยือนสถานที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของด่านหลิวเซี่ย พวกเขาเงยหน้ามองตัวอักษรใหญ่บนหน้าผาที่เหมือนถูกมีดแกะสลักเอาไว้พร้อมกัน คนทั้งสองต่างก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่า ท่านเฉินเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง พอกลับมาก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น

เฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็ดึงสายตากลับมา บอกกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้ามอบแผ่นหยกออกไปสองแผ่น คิดจะพบซูเกาซานแห่งต้าหลีสักหน่อย แต่ว่าไม่ได้พบเขา”

เจิงเย่ไม่ได้คิดลึก เพียงแค่รู้สึกผิดหวังแทนท่านเฉินเท่านั้น

แต่หม่าตู่อี๋กลับรู้ดีว่าท่ามกลางคลื่นมรสุมครั้งนี้จะต้องแฝงอันตรายอย่างใหญ่หลวงไว้แน่นอน

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูผ่อนคลายมากที่สุด “เรื่องราวหลายอย่าง วางมันไว้ตรงนั้นไม่ไปแตะต้อง ก็จะไม่มีทางได้รู้คำตอบ แต่หากมีการเลือก ก็จะต้องมีดีและร้าย ตอนนี้ก็คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายนั่น ไม่เพียงแต่ไม่ได้พบซูเกาซาน แม้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็ต้องถูกแม่ทัพหลักต้าหลีผู้นี้หมายหัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราจะต้องยิ่งระวังตัวให้มาก หากระหว่างการเดินทางอยู่ในแคว้นเหมยโย่วครั้งนี้ พวกเจ้าสังเกตเห็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีโดยบังเอิญก็ให้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน วางใจเถอะ พวกเรายังไม่ถึงขั้นมีอันตรายถึงชีวิต”

แม้ว่าเจิงเย่จะพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้

หม่าตู่อี๋กลับเป็นคนที่ใจกว้างดุจผืนฟ้า นางพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ขอแค่ไม่ถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไล่ล่า ข้าก็ไม่สนใจหรอก อยากจะมองก็มองไปเถอะ เงินเหรียญทองแดงบนร่างของพวกเราไม่ได้หายไปสักหน่อย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากนิสัยของพวกเจ้าสองคนช่วยชดเชยกันและกันได้ก็คงดี”

หม่าตู่อี๋ถลึงตา “ท่านเฉินอย่าได้จับคู่ให้คนอื่นส่งเดช เจิงเย่ไม่เข้าตาข้าหรอก”

เจิงเย่หัวเราะอย่างซื่อๆ เขาก็แค่ไม่กล้าพูดว่าหม่าตู่อี๋ก็ไม่เข้าตาตนเท่านั้น

เบื้องล่างหน้าผามีคนประปราย ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าที่จำเป็นต้องผ่านด่านของแคว้นสือหาวและแคว้นเหมยโย่ว อีกทั้งยังอายุไม่มาก พวกเขาต่างก็หวังว่าเมื่อได้กลับคืนสู่บ้านเกิดแล้ว นี่จะกลายเป็นเงินทุนในการโอ้อวดตน ส่วนพวกพ่อค้าอายุมากและคนเก่าแก่ในยุทธภพ พวกเขาเห็นสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ บนหน้าผานี้มาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว จึงรั้งพวกเขาไว้ไม่ได้จริงๆ

ในขณะที่ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเพิ่งจะหันหัวกลับก็มีมือกระบี่ในยุทธภพกลุ่มหนึ่งควบม้ามาถึงพอดี พวกเขาพากันลงจากหลังม้า ปลดกระบี่ที่พกลง แล้วหันไปโค้งกายคำนับสองตัวอักษรบนหน้าผาอย่างนอบน้อม

คนแก่หนึ่งในนั้นช่วยเล่าประวัติความเป็นมาของโบราณสถานแห่งนี้ให้แก่ลูกศิษย์อายุน้อยในกลุ่มฟังด้วยเสียงอันดัง เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมทรงพลัง แน่นอนว่าก็อดเอ่ยชมเชยคนที่ใช้กระบี่อย่างพวกเขาสองสามคำไม่ได้ เหล่าชายหญิงที่ได้ฟัง แต่ละคนมีสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา อารมณ์พลุ่งพล่านตื่นเต้น

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในสำนักยุทธภพที่ออกจากสำนักมาหาประสบการณ์ข้างนอก

เฉินผิงอันย่อมมองความตื้นลึกของผู้เฒ่าคนนั้นออก รู้ว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่รากฐานนับว่าไม่เลว ในแคว้นใต้อาณัติที่อาณาบริเวณไม่กว้างขวางอย่างแคว้นเหมยโย่วนี้ น่าจะถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุทธภพแล้ว เพียงแต่นอกจากมือกระบี่ผู้เฒ่าจะเจอกับโชควาสนาใหญ่ที่มหัศจรรย์แล้ว ชีวิตนี้เขาก็คงไม่มีหวังจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตหก เพราะเลือดลมแห้งขอด ดูเหมือนว่าจะยังทิ้งต้นตอของโรคไว้อีกไม่น้อย จิตวิญญาณแกว่งไกว เป็นเหตุให้คอขวดของขอบเขตห้ายิ่งแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ขอแค่เจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อายุน้อยกว่า เกรงว่าก็คงหนีไม่พ้นคำโบร่ำโบราณที่กล่าวว่า ‘หมัดกลัวคนหนุ่มมีกำลังวังชา’

การพบเจอกันในยุทธภพ ส่วนใหญ่แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป ม้าทั้งสามจากมาไกล

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมามองแผ่นหลังของม้าทั้งสามตัว เด็กสาวเรือนร่างบอบบางซึ่งมีคิ้วตาค่อนข้างเรียวยาวคนหนึ่งเอ่ยถาม “อาจารย์ คนที่สวมชุดสีเขียวผู้นั้น พกทั้งดาบทั้งกระบี่ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพของพวกเรา เขาคือยอดฝีมือที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่งหรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าสวมชุดเขียวพกกระบี่แล้วจะต้องเป็นเซียนกระบี่เสมอไป”

พวกเขาพากันขึ้นหลังม้าเดินทางผ่านด่านต่อไปอีกครั้ง

แคว้นเหมยโย่วนับว่ายังค่อนข้างสงบ ทว่าแคว้นสือหาวที่เป็นเพื่อนบ้านกลับเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีขุนนางกระดูกแข็งคนหนึ่งของแคว้นสือหาวที่มีมิตรภาพอันดีกับสำนักของตนมาหลายยุคหลายสมัยได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมา บอกว่าขุนนางที่กุมอำนาจท่านหนึ่งของแคว้นสือหาวคิดจะถอนรากถอนโคนตน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนไปด้วย ขุนนางตงฉินผู้ขาวสะอาดที่มีชื่อเสียงว่าเป็น ‘ผู้ตรวจการจิตแห่งบุ๋น’ ของราชสำนักแคว้นสือหาวผู้นั้นบอกในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า เขายินดีจะอยู่ต่อในเมื่อหลวง สละชีวิตเพื่อบ้านเมือง จะได้สอนให้คนเถื่อนต้าหลีรู้ว่าแคว้นสือหาวยังมีบัณฑิตที่ไม่กลัวตายอยู่อีกหลายคน แต่หวังว่าสหายในยุทธภพอย่างพวกเขาจะช่วยปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเขาที่อยู่ในพื้นที่ไปส่งยังแคว้นเหมยโย่วเพื่อหลบภัย ถ้าอย่างนั้นเขาก็สามารถจากไปอย่างสงบได้แล้ว

ผ่านด่านหลิวเซี่ยมา สถานที่ที่กีบเท้าม้าย่ำไปก็คืออาณาเขตของแคว้นสือหาวแล้ว

ในจดหมายของขุนนางผู้นั้นมีประโยคหนึ่งที่ลงน้ำหนักพู่กันเข้มอย่างถึงที่สุด ทำให้ตอนที่ผู้ฝึกยุทธผู้เฒ่าและเหล่าพี่น้องได้อ่านจดหมายฉบับนี้ต่างก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจ ดังนั้นครั้งนี้เขาถึงได้พาเหล่าลูกศิษย์มาเสี่ยงอันตราย ควบม้าท่องอยู่ในยุทธภพ บุกรุดหน้าไปเพื่อคุณธรรมอย่างกล้าหาญไร้ซึ่งความลังเลใจ

‘สกุลหันเป็นคนซื่อสัตย์ โอรสสวรรค์หลายรุ่นล้วนให้ความสำคัญกับการประพันธ์ ปกป้องแว่นแคว้นมานานสองร้อยปี ไม่เคยปฏิบัติเลวร้ายต่อบัณฑิต และบัณฑิตอย่างข้าก็ไม่อาจทำผิดต่อคนสกุลหันได้’

ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหลังม้าทอดถอนใจอยู่ในใจ ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็มาบุกชายแดนคุมเชิงกับกองทัพใหญ่ของแคว้นเหมยโย่วเช่นกัน ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่แค่จะหาสถานที่สักแห่งให้ชาวบ้านได้อยู่อย่างสงบ ให้บัณฑิตได้อยู่อย่างสบายใจ กลับยากขนาดนี้เชียวหรือ?

ส่วนลึกในใจของคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เห็นลมคาวฝนเลือด เห็นความผันผวนขึ้นลงมาจนชินชาผู้นี้มีความคิดหนึ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ หากคนเถื่อนต้าหลียึดครองราชวงศ์จูอิ๋งไปได้โดยเร็วก็ดีน่ะสิ หลังจากความวุ่นวายครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสให้บูรณปฏิสังขรณ์โลกใบนี้เสียใหม่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงดีกว่าให้กองทัพม้าเหล็กจ้วงแทงมีดให้เกิดบาดแผลบนแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งหลายแห่ง การที่ใช้มีดทื่อหันเนื้อเช่นนั้น หั่นไปหั่นมา คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็ไม่ใช่ชาวบ้านหรอกหรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สิ่งที่คนเถื่อนต้าหลีปฏิบัติต่อแต่ละแคว้นที่กีบเท้าม้าย่ำไปถึง บนสนามรบไร้ความปราณี การเข่นฆ่าล้วนเน้นในเรื่องความไว แต่หากย้ายสายตาไปมองทางเหนือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่ควันดินปืนเริ่มสลายหายไป ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลี้ภัยก็ได้เริ่มทยอยกันกลับคืนสู่ภูมิลำเนา กลับคืนไปยังบ้านเกิด ขุนนางบุ๋นต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสถานที่ต่างๆ ก็เริ่มทำความดีหลายเรื่องที่มนุษย์สมควรกระทำ

เพียงแต่คำพูดเหลวไหลที่หลุดออกจากปากไปก็ต้องผิดแน่นอนพวกนี้ ผู้เฒ่าทำได้แค่ใช้สุราคำแล้วคำเล่าราดรดมันลงไปเท่านั้น

ทางฝั่งนั้น ม้าสามตัวควบทะยาน

ยังคงช่วยทำตามความปรารถนานับร้อยนับพันรูปแบบของเหล่าภูตผีวัตถุหยินให้สำเร็จ จากนั้นก็เป็นการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและตั้งร้านยาที่เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋เป็นผู้รับผิดชอบ เพียงแต่ว่าแคว้นเหมยโย่วนับว่าค่อนข้างจะสงบสุข จึงไม่ได้ทำมากนัก

ใต้หล้าเกิดกลียุควุ่นวาย วิถีทางโลกไม่ดี พวกชาวบ้านสับสนมึนงง หวาดผวาเกรงกลัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

พวกเฉินผิงอันเจอกับเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ริมลำธารของผืนป่าที่เงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ตกอับจนต้องกลายมาเป็นโจรดักปล้นกลางทางกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดมองนักพรตวัยกลางคนที่นอนอยู่บนหินยักษ์กลางน้ำ

นักพรตวัยกลางคนที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิเต๋าสายนอกของราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้มีตบะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต เดิมทีเขาคิดว่าวิถีทางโลกวุ่นวายแล้ว ในฐานะนักพรตก็ควรลงจากภูเขามาช่วยเหลือปวงประชา คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับนักไสยเวทสวมชุดผ้าป่านที่เชี่ยวชาญวิชาการมองคนจากรูปลักษณ์ผู้หนึ่ง เขาเป็นยอดฝีมือจริงๆ และพอเขาเห็นนักพรตวัยกลางคนก็บอกว่าเขาคือคนน่าสงสารที่จะต้องหิวโหยและเหน็บหนาวตายไปก่อนวัยอันควร นักพรตวัยกลางคนเศร้าใจอย่างถึงที่สุด ก็เลยเริ่มรอความตาย

โจรบนหลังม้าที่หนีจากแคว้นสือหาวเข้ามาที่นี่เพิ่งจะทำการค้าครั้งหนึ่งมาได้ ได้เงินมาไม่น้อย จึงมาหยุดม้าที่ริมลำธาร เห็นคนประหลาดที่จะตายก็ไม่ตายคนนี้ก็เกือบจะใช้มีดฟันให้นักพรตวัยกลางคนตายๆ ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว คิดไม่ถึงว่านักพรตกลับอารมณ์ดีขึ้นมา ขอร้องให้คนผู้นั้นออกมีดให้ไวสักหน่อย กลายเป็นว่าโจรหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ ไม่กล้าสังหารอีกฝ่ายแล้ว นักพรตคิดแต่จะตายอย่างเดียว เลยเริ่มอบรมสั่งสอนผู้แข็งแกร่งที่ฉกชิงปล้นสะดมคนอื่นมาจนชินกลุ่มนั้น พูดถึงเรื่องราวบางอย่างที่โชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเทพเซียนห้าขอบเขตกลางในสายตาชาวบ้านล่างภูเขา อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ความรู้และคารมคมคายจึงยังมีอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้คนชั่วเกิดความกล้าหาญ กลับกันยังทำให้พวกโจรบนหลังม้าที่นับตั้งแต่ตัวหัวหน้าไปจนถึงลูกสมุนตกอกตกใจ หันมามองหน้ากันเอง แล้วก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อมนักพรตวัยกลางคนว่าอย่าไม่เห็นค่าชีวิตของตัวเอง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้มาเจอกับภาพเหตุการณ์นี้พอดี

เวลานี้พวกโจรไม่มีกะจิตกะใจจะฆ่าคนชิงทรัพย์อีกแล้ว อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าม้าสามตัวมีอะไรให้น่ารังแก จึงจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพวกเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงหยุดม้าวักน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร อะไรที่ควรทำก็ทำไป

นักพรตวัยกลางคนเห็นว่าพวกโจรจะฆ่าหรือไม่ฆ่าตน ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตของตนก็คงไม่ตายในเร็วๆ นี้ ก็เลยเอาแต่นอนรอความตายอยู่บนก้อนหิน

หากพวกโจรเห็นคนทั้งสามแล้วคิดจะปล้นพวกเขา นักพรตวัยกลางคนย่อมต้องขัดขวาง คิดเสียว่าเป็นการสั่งสมบุญเล็กๆ น้อยๆ ก่อนตัวเองตายก็แล้วกัน ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี อย่างน้อยก็มีอายุยืนยาวสักหน่อย จะได้ฝึกตนต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันถือถ้วยข้าวนั่งยองอยู่ริมลำธาร อีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มก่อไฟกินอาหารแล้วเช่นกัน

โจรหนุ่มนิสัยใจร้อนคนหนึ่งเหลือบมาเห็นสายตาของเฉินผิงอันก็ถลึงตาใส่เขา “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีกินข้าวหรือไร?!”

หัวหน้าโจรเอาข้าวถ้วยหนึ่งไปให้นักพรตวัยกลางคนที่อยู่บนก้อนหิน บอกว่ารอความตายอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร ไม่สู้กินให้อิ่มเสียก่อน หากมีฟ้าผ่าลงมาก็ลองไปอยู่บนยอดเขาหรือใต้ต้นไม้ดู ดูสิว่าจะมีโอกาสถูกฟ้าผ่าหรือไม่ แบบนั้นถึงจะถือว่าสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป นักพรตวัยกลางคนได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคล้ายจะมีเหตุผล จึงใคร่ครวญว่าควรจะไปซื้อโซ่เหล็กเส้นใหญ่ๆ จากตลาดมาดีหรือไม่ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับถ้วยข้าวไป บอกว่าไม่หิว แล้วก็เริ่มพูดโน้มน้าวโจรอีกครั้ง บอกว่ามีจิตใจเมตตาเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ทำตัวเป็นคนดี อย่าเป็นโจรอีกเลย ตอนนี้ล่างภูเขาวุ่นวาย ไปเป็นผู้คุมกันจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ

หัวหน้าโจรเริ่มหวั่นไหว เขาถือถ้วยข้าวเดินออกมาจากหินยักษ์กลางลำธาร กลับไปปรึกษาหารือกับเหล่าพี่น้องของตัวเอง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก

เฉินผิงอันกินข้าวในถ้วยหมดก็ดีดปลายเท้าเบาๆ หนึ่งที ทะยานร่างไปยังหินยักษ์ เรือนกายชุดเขียว ชายแขนเสื้อโบกสะบัด แล้วจึงพลิ้วกายลงข้างกายนักพรตวัยกลางคนอย่างสง่างาม

งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

โจรหนุ่มคนนั้นเกือบจะพ่นข้าวคำใหญ่ที่กินเข้าไปออกมา ผลกลับถูกหัวหน้าโจรตบป้าบเข้าที่ศีรษะ “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีในยุทธภพหรือไร?!”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิลงบนหินก้อนใหญ่ ยิ้มบางๆ ถามว่า “นักพรตท่านนี้ เหตุใดถึงอยากตาย?”

อันที่จริงนักพรตวัยกลางคนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เขาหลับตาลงเอ่ยเบาๆ ว่า “ชะตาชีวิตกำหนดมาให้ต้องตาย มหามรรคาไร้ความหวัง ไม่ตายแล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านนักพรตรู้หรือไม่ว่า สามลัทธิพุทธเต๋าขงจื๊อต่างก็เลื่อมใสใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ เล่มหนึ่งอย่างถึงที่สุด อืม ก็คือตำราโบราณเล่มที่ผู้คนเรียกขานว่าเป็นผู้นำแห่งกลุ่มคัมภีร์นั่นแหละ มีประโยคหนึ่งในนั้นกล่าวไว้ว่า มหามรรคาห้าสิบ ฟ้าดินวิวัฒน์สี่สิบเก้า มนุษย์เร้นซ่อนหนึ่งใน?”

นักพรตวัยกลางคนพยักหน้ารับ “มหามรรคามีทั้งหมดห้าสิบเส้น แต่ใช้ได้จริงแค่สี่สิบเก้าเส้น พวกเราจึงบอกว่าเต๋า (มรรคา) ก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง ก่อกำเนิดสรรพชีวิต”

เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อด่านมารมาถึง ผู้ฝึกตนจะลำบากมากเป็นพิเศษ ต่อให้ในมือได้ครอบครองทหารกล้าล้านนาย ก็ยังยากจะโจมตีให้ศัตรูในใจถอยร่นกลับไปได้”

นักพรตวัยกลางคนลุกขึ้นนั่ง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เหตุผลนั้นข้าเข้าใจดี แต่ข้าก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตที่พรสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าคาดหวังให้มหามรรคามาอยู่กับข้า ข้าหวาดกลัวมากจริงๆ คิดไปคิดมาก็ยังไม่อาจฝ่าด่านในใจไปได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ชาติหน้าแล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโจรบนหลังม้ากลุ่มนั้นแล้วพยักหน้ารับ “ก็จริง ทำลายรังโจรบนภูเขานั้นง่าย ทำลายรังโจรในใจนั้นยาก ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน”

นักพรตวัยกลางคนฝืนยิ้ม “ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว”

นักพรตวัยกลงคนที่ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กับคนหนุ่มที่สีหน้าซีดเซียวอิดโรยได้มาพบกันโดยบังเอิญท่ามกลางสายน้ำและขุนเขา

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันแต่พอสมควร แล้วจึงจากลากันไป ไม่มีการพูดคุยอะไรที่มากกว่านั้น

โจรกลุ่มนั้นรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก โดยเฉพาะโจรหนุ่มที่รู้สึกว่าตนเพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง

เจิงเย่ไม่อาจทำความเข้าใจความคิดของนักพรตวัยกลางคนได้เลย ตอนที่จากมาไกลแล้วจึงถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ยินดีรอความตายอยู่จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บนเส้นทางของการฝึกตนมีความประหลาดอัศจรรย์นับร้อยนับพันรูปแบบ นักพรตคนนั้น หากให้พูดตามคำกล่าวของลัทธิพุทธก็คือ มีเพียงทำความเข้าใจด้วยตัวเองเสียก่อน จึงจะมีโอกาสให้คนอื่นได้ชี้แนะจนกระจ่างแจ้ง ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะเป็นภิกษุสมณะสูงแค่ไหน ชี้แนะเขาไปแล้วก็ยังไม่อาจทำให้เขาบรรลุธรรมได้ มีแต่จะทำให้เขาคร่ำครวญว่าปวดหัวเสียมากกว่า อืม พวกเจ้าสองคนเคยได้ยินคดีทางศาสนาพุทธคดีหนึ่งไหม? มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งกล่าวว่า จิตใจดุจแก้วกระจกใส ต้องคอยปัดกวาดทำความสะอาด อย่าให้ฝุ่นผงมาสัมผัสโดนมัน อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า เดิมทีก็เป็นสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง จะเอาฝุ่นจากไหนมาสัมผัสโดน คำกล่าวสองอย่างนี้ พวกเจ้าคิดว่ามีแบ่งสูงต่ำหรือไม่?”

เจิงเย่ส่ายหน้า “ข้าฟังไม่เข้าใจ”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าฝ่ายหลังย่อมสูงส่งกว่า”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “หากอิงตามความหมายของลัทธิพุทธ บางทีฝ่ายหลังอาจจะสูงส่งกว่า แต่ฝ่ายแรกกลับเป็นเรือข้ามฝากที่ทุกคนซึ่งลุ่มหลงมัวเมาอยู่บนโลกสามารถโดยสารไปได้ เมื่อคนที่ข้ามฝากมาแล้ววางไม้พายในมือลง ลุกขึ้นเดินขึ้นฝั่ง ยามเยื้องย่างก้าวสุดท้ายที่ก้าวลงเรือไปนั้นถึงจะสามารถบอกว่าตัวเองได้ว่าเข้าใจฝ่ายหลังแล้ว การค่อยๆ ตระหนักรู้คือต้นทุนของการตื่นรู้ในฉับพลัน ลำดับขั้นตอนก่อนหลังในเรื่องนี้ อันที่จริงก็ยังต้องมีอยู่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากกระจกในใจขุ่นมัว ไม่เช็ดถูก็จะสกปรก หม่นหมองไร้ประกาย ใครเล่าที่จะเกิดมาแล้วเป็นผู้บรรลุธรรมได้เดินขึ้นฝั่งไปโดยตรง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “คำสอนทั้งสองอย่างล้วนดี ล้วนถูกต้อง การที่ข้าพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้าก็เพราะก่อนหน้านี้ที่ข้าเดินทางผ่านแคว้นชิงหลวน ระหว่างทางได้ยินปัญญาชนพูดถึงพระธรรม เขาดูแคลนฝ่ายแรกอย่างมาก เอาแต่นับถือเลื่อมใสฝ่ายหลังอย่างเดียว บวกกับหนังสือเบ็ดเตล็ดหลายเล่มที่คล้ายคลึงกับผลงานส่วนตัวของปัญญาชนก็ชอบที่จะแฝงการด้อยค่าฝ่ายแรกเอาไว้ ข้าก็แค่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยดีเท่านั้น”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้น้อยครั้งที่จะได้ยินท่านเฉินพูดถึงลัทธิพุทธ ที่แท้ก็มีความสนใจมานานแล้ว ท่านเฉินอ่านหนังสือหลากหลายกว้างขวางอย่างแท้จริง ทำให้ข้านับถือยิ่งนัก…”

หม่าตู่อี๋ทำหน้าทะเล้น “ไม่ไหว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังพูดต่อไม่ลง”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “นี่หมายความว่าความสามารถในการประจบสอพลอของเจ้ายังไม่มากพอ”

หลังจากนั้นม้าสามตัวก็ไปเยือนโบราณสถานที่มีชื่อเสียงซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเซียนแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือบ่อลึกไร้เจ้าของ ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็มีบรรยากาศหนาวเย็นเหมือนลมหนาวพัดโชยแล้ว บนหน้าผาหินสลักประโยคหนึ่งด้วยชาดสีแดงซึ่งอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นไม่สามารถตรวจสอบได้ ‘หางฉิวติดทองผนังสียุคโบราณ อวี่เชี่ยวชาญขี่ม้าลงบ่อน้ำใบไม้ร่วง’ คนทั้งสามแหงนหน้ามอง บนผนังมีร่องรอยของการทาสีอยู่จริงๆ ยังพอจะมองเห็นเป็นรูปร่างของเจียวหลงได้เลือนราง และบ่อน้ำสีเขียวมรกตที่อยู่ข้างเท้าก็มองไม่เห็นกุ้งปูปลาใดๆ

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ยื่นมือจุ่มลงไปในบ่อน้ำ ความเย็นแผ่ซ่านมาเป็นระลอก แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงร้านตระกูลหร่วนที่ตั้งอยู่ริมลำคลองของบ้านเกิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร้านตระกูลหร่วนหมายตาในโชคชะตาน้ำที่มืดลึกหนักอึ้งของลำคลองหลงซวี บ่อลึกแห่งนี้อันที่จริงก็เหมาะจะใช้หลอมกระบี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ฝึกกระบี่ตระกูลเซียนมาสร้างกระท่อมอยู่ที่นี่ เฉินผิงอันพลันหดมือกลับมากะทันหัน ที่แท้ไอเย็นในน้ำไม่ได้บริสุทธิ์ แต่เจือปนไปด้วยปราณสกปกรกที่ชั่วร้ายอึมครึมมากมาย เหมือนเชือกขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นทำร้ายให้ร่างกายและจิตใจของคนได้รับความเสียหายในทันที แต่ก็อยู่ห่างจากคำว่า ‘บริสุทธิ์’ ค่อนข้างไกล ก็ไม่น่าแปลก เพราะนี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกตน

คิดดูแล้วในอดีตที่นี่คงจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น

น่าจะคล้ายคลึงกับป้อมอินทรีบินและหอขึ้นดาดฟ้าของใบถงทวีป

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มท่องอยู่ในแคว้นเหมยโย่ว เดินทางผ่านผืนป่าและเมืองต่างๆ มากมาย เคยเจอพวกเด็กๆ ที่ไม่เคยเห็นม้าตัวใหญ่จึงวิ่งไปหลบอยู่ในพงดอกไม้ และบางครั้งก็เจอกับผู้ฝึกตนอิสระที่ออกท่องเที่ยวซึ่งมองดูคล้ายจะธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ รวมไปถึงขบวนสู่ขอเจ้าสาวบนถนนในอำเภอที่ตีฆ้องร้องป่าวประโคมดนตรีบรรเลงกันอย่างครึกครื้น หนทางยาวไกลนับพันลี้ ขึ้นเขาลงห้วย พวกเฉินผิงอันยังพบเจอกับหลุมศพรกร้างที่มีกอหญ้าขึ้นเต็มแห่งหนึ่ง พบว่าด้านในนั้นมีกระบี่โบราณที่ปักตรึงเข้าไปในป้ายศิลาหน้าหลุมศพ มองเห็นแค่ด้ามกระบี่ ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีแล้ว ปราณกระบี่ก็ยังอึมครึมดุดัน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธวิเศษที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง เพียงแค่ผ่านกาลเวลามาค่อนข้างยาวนาน ไม่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่น บริเวณริมขอบจึงเริ่มปริแตกแล้ว หม่าตู่อี๋คิดอยากจะเอากลับไปด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นวัตถุที่ไร้เจ้าของ นำไปซ่อมแซมขัดเกลาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้ราคาไม่เลว เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ยอม บอกว่านี่เป็นวัตถุอาคมที่นักพรตใช้สยบฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้ นี่ถึงทำให้ระงับปราณชั่วร้ายเสนียดจัญไรทั้งหลายเอาไว้ได้ ไม่ให้พวกมันกระจัดกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นพิบัติภัย

ในฐานะวัตถุหยิน หม่าตู่อี๋มีหรือจะมองไม่ออก เพียงแต่นางไม่สนใจก็เท่านั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชักกระบี่โบราณออกมา หากสุสานร้างแห่งนี้มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวออกอาละวาดจริงๆ พวกเราก็ถือโอกาสกำจัดปีศาจปราบมารเสียเลย ได้ทั้งวัตถุวิเศษ ได้ทั้งสะสมบุญ นี่ไม่เรียกว่ามีแต่ได้กับได้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “บัญชีเก่าแก่นานปี ปะปนกันจนแยกแยะไม่ชัดเจน จะรู้ได้อย่างไรว่าในเหตุการณ์นี้ไม่มีความยากลำบากและอุปสรรคซุกซ่อนอยู่”

หม่าตู่อี๋ไม่ใคร่จะพอใจนัก “ท่านเฉินอะไรก็ดีไปหมด ก็แค่ทำอะไรไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้เป็นเด็กที่ไม่มีเรี่ยวแรงแค่ไหนก็ยังสามารถทุบทำลายชามข้าวเครื่องกระเบื้องให้แตกได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คล่องแคล่วฉับไวอย่างหนึ่ง เจิงเย่ก็ทำได้ กับโจรกลุ่มนั้น หากเจิงเย่คิดจะฆ่าก็ฆ่าได้เหมือนกัน เจ้าก็ได้ ส่วนข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่”

เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “การรวมกันของจิตใจคนเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง วัดโบราณเปลี่ยวร้าง คนคนหนึ่งเดินเข้าไปข้างใน จุดธูปไหว้พระ จะรู้สึกเคารพยำเกรง แต่หากเป็นสถานที่ที่ผู้คนเบียดเสียดกันจอแจก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหวาดกลัว หรือจะพูดเรื่องที่สุดโต่งไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นเรื่องขูดทองบนร่างของพระพุทธรูป หากมีคนนำก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะไม่เอาตามด้วย”

ขี่ม้าผ่านสุสานรกร้างระเกะระกะ เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมอง รอบด้านไร้ผู้คน แล้วก็ไม่มีผีสักตน

มีครั้งหนึ่งที่หยุดม้าพักริมทะเลสาบในภูเขาลึก เจิงเย่หยิบก้อนหินมาขว้างไปบนผิวน้ำ ส่วนหม่าตู่อี๋เลือกตำแหน่งเงียบสงบ ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก ยื่นเท้าจุ่มลงไปในน้ำที่เย็นสบาย ยืดแขนบิดขี้เกียจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาวนเวียนอยู่บนปิ่นหยกเหนือศีรษะนางพอดี

หม่าตู่อี๋หยุดนิ่ง หวังจะให้มันหยุดอยู่นานอีกสักหน่อย

ห่างออกไปไกลมีหนุ่มน้อยคนตัดไม้ที่บนบ่าแบกไม้มัดหนึ่งผ่านทางมาโดยบังเอิญ เขาพลันหยุดฝีเท้า มองมาทางนางอย่างเหม่อลอย เข้าใจผิดคิดว่านางคือเทพธิดาตนหนึ่ง ในใจของเด็กหนุ่มเกิดความชื่นชอบเลื่อมใส แต่กลับรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้

หม่าตู่อี๋ยื่นมือไปปัดไล่ผีเสื้อตัวนั้น นางหันหน้ากลับมา ยื่นมือมาจับหนังจิ้งจอกตรงจอนผม คิดจะฉีกหน้ากากออกให้เด็กหนุ่มบ้านป่าที่มองนางด้วยสายตาทึ่มทื่อตกใจกลัว

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดีดหินก้อนเล็กๆ มาปัดนิ้วนางทิ้ง

หม่าตู่อี๋หันตัวกลับอย่างขุ่นเคือง สองเท้าแกว่งน้ำจนเกิดสะเก็ดน้ำกระจายนับไม่ถ้วน

เด็กหนุ่มรีบวิ่งหนีไปทันที

เขาไม่คิดจะเอาไปบอกคนวัยเดียวกันในหมู่บ้านว่าตนได้พบเห็นพี่สาวเทพธิดาที่งดงามตรงริมทะเลสาบ เขาแค่จดจำไว้ในใจตัวเองก็พอแล้ว

ในอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง แม้แต่เฉินผิงอันที่พบเจอโลกกว้างเห็นอะไรมาจนชินชาแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่

ที่นั่นมีบัณฑิตเมามายวิ่งพล่านไปทั่วเมือง อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ปกปิดร่างกาย เปลือยหน้าอกเปิดโล่ง ฝีเท้าโซซัดโซเซ เปี่ยมไปด้วยความมาดมั่น เขาบอกให้เด็กรับใช้หิ้วถังน้ำที่บรรจุน้ำหมึกจนเต็ม ส่วนบัณฑิตก็ใช้หัวตัวเองต่างพู่กัน แล้ว ‘เขียนตัวอักษร’ ลงไปบนถนน

ตรงช่วงหัวถนนและปลายถนนยังมีข้ารับใช้รออยู่ ข้างกายของพวกเขาวางถังน้ำที่บรรจุน้ำในบ่อไว้จนเต็ม รอแค่เจ้านายตัวเองคลุ้มคลั่งเสร็จ พวกเขาก็จะได้เก็บกวาดเศษซากวุ่นวาย ทำความสะอาดถนนให้เอี่ยมอ่อง

นี่ไม่ถือว่าเป็นงานที่เหนื่อยยากอะไร เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ถูกคนอื่นมองมาอย่างดูแคลน พวกเขาก็อดจะถลึงตามองนายท่านที่เป็นคนบ้าตำราผู้นั้นอย่างขุ่นเคืองไม่ได้จริงๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าตำหนิอะไร

เมื่อถามจากชาวบ้านถึงได้รู้ว่าเขาเป็นถึงเสี้ยนเว่ย (ตำแหน่งขุนนางใต้บังคับบัญชานายอำเภอ คอยดูแลเรื่องความสงบปลอดภัยในอำเภอ) ที่มีทั้งคุณความชอบและตำแหน่งขุนนางติดตัว

เฉินผิงอันจูงม้ามาหยุดอยู่ข้างถนน เห็นเพียงว่าเสี้ยนเว่ยผู้นั้นทรุดนั่งอยู่บนถนนอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาหันหน้ามามอง คนหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา และยังเปรอะเปื้อนไปทั้งคราบสุราและคราบน้ำหมึก กลิ่นตัวของเขาจึงประหลาดอย่างถึงที่สุด เห็นเพียงว่าเขาใช้ฝ่ามือตบลงบนพื้นถนนอย่างแรงและพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าใช้การเขียนพู่กันถวายความเคารพแก่องค์ทวยเทพ ขอถามท่านเทพว่ามีความกล้ามากพอจะชี้แนะข้าหรือไม่? อริยะปราชญ์บรรพกาลพันปีอยู่ที่ใด มาๆๆ มาร่วมร่ำสุรากับข้าสักมื้อ…”

แล้วจู่ๆ คนหนุ่มก็ร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา “ข้าเคยเห็นองค์หญิงแย่งทางกับคนแบกหาบเร่ในเมืองหลวง จึงบรรลุสัจธรรมแห่งการเขียนพู่กันมาโดยบังเอิญ แล้วก็เคยเห็นองค์หญิงเด็ดบุปผาในวัด จึงได้บรรลุความหมายแห่งการเขียนพู่กันมาอีก องค์หญิง ท่านลองดูตัวอักษรที่ข้าเขียนให้ท่านสักหน่อยสิ”

เจิงเย่กล่าวอย่างตกตะลึง “ท่านเฉิน เจ้าหมอนี่เขียนอะไร ทำไมข้าถึงไม่รู้จักสักตัวอักษรเดียว”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม ชี้ไปที่พื้นแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เขียนตัวอักษรฉ่าวซู (ตัวอักษรแบบหวัดชนิดหนึ่ง) เป็นบทกลอนตัดพ้อของสตรี ส่วนเนื้อหานั้น ประโยคที่เพิ่งเขียนเสร็จไปก็คือ แสงจันทร์ส่องทะลุหน้าต่างโปร่งบาง แสงสะท้อนบนผิวน้ำงดงามพร่างตา ร่ำสุราร่วมกับท่าน อืม น่าจะจินตนาการว่าใช้น้ำเสียงของสตรีที่มีความรักเขียนกวีรักเพื่อตัวเขาเองกระมัง แต่ตัวอักษรเหล่านี้เขียนได้ดีจริงๆ ดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นตัวอักษรฉ่าวซูที่สวยขนาดนี้มาก่อน ตัวอักษรข่ายซูสิงซู ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเขียนมาแล้ว ทว่าตัวอักษรฉ่าวซูที่เขียนได้ถึงระดับนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “อย่าคิดว่าเสี้ยนเว่ยผู้นั้นกำลังพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ตัวอักษรของเขามีความหมายที่อัศจรรย์อย่างแท้จริง แล้วก็เพราะปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เบาบาง ทำให้ทั้งเทพทวารบาลและพวกภูตผีไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน ไม่อย่างนั้นคงจะต้องเผยตัวออกมาก้มหัวกราบกรานเขาแล้ว”

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ จูงม้าก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า เดินตรงไปหาคนบ้าตำรา คนลุ่มหลงในรักที่เมามายล้มพับอยู่บนถนนด้วยน้ำตากลบใบหน้าผู้นั้น “ไป ไปซื้อภาพวาดตัวอักษรจากเขากัน ซื้อได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น! การค้าครั้งนี้มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน! ดีกว่าของเก่าที่พวกเจ้าไปเก็บกันมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า! แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้หนึ่งร้อยปีหรือหลายร้อยปีซะก่อนล่ะ”

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋มองหน้ากัน รู้สึกว่าท่านเฉินน่าจะเสียสติไปแล้ว

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตที่นอนหงายอยู่บนพื้น ยิ้มถามว่า “ข้ามีสุราเลิศรสที่ไม่เป็นรองเหล้าหมักของเซียนอยู่ อยากรู้ว่าจะขอซื้อตัวอักษรจากเจ้าได้บ้างหรือไม่?”

คนผู้นั้นเมาจนดวงตาปรือปรอย เขาโคลงศีรษะไปมา “ขอร้องข้าหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอร้องเจ้า”

คนผู้นั้นพลันแผดเสียงร้องไห้อย่างเสียใจ “เจ้าไม่ใช่องค์หญิงสักหน่อย จะมาขอร้องข้าทำไม? ข้าจะต้องการให้เจ้าขอร้องข้าไปทำไม? ไปๆๆ ข้าไม่ขายตัวอักษรให้เจ้า ไม่ขายแม้แต่ตัวเดียว”

เฉินผิงอันหันไปมองทางหม่าตู่อี๋ ในขณะที่สายตาของทุกคนย้ายตามเขาไปด้วย เขาก็สะบัดข้อมือ หยิบเอาเหล้าหมักเซียนน้ำบ่อที่ซื้อมาจากตรอกหางผึ้งออกมาหนึ่งกา คลายมือที่จับเชือกจูงม้าออก เปิดผนึกดิน ทรุดตัวลงนั่ง ยื่นเหล้ากานั้นส่งไปให้บัณฑิต “ขายไม่ขาย ลองดื่มเหล้าของข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากดื่มแล้วยังไม่เต็มใจจะขาย ก็ถือซะว่าเหล้านี้เป็นการที่ข้าแสดงความนับถือต่อตัวอักษรฉ่าวซูบนถนนของเจ้าก็แล้วกัน”

คนผู้นั้นลุกขึ้นนั่ง รับกาเหล้ามา แหงนเหล้ากรอกเข้าปากดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นก็โยนกาเหล้าที่วางเปล่าทิ้ง โงนเงนลุกขึ้นยืน ยื่นมือหนึ่งมาคว้าแขนเฉินผิงอัน “ยังมีเหล้าอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังมี แต่เหลืออีกไม่มาก”

คนผู้นั้นเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ไป ไปที่ที่ว่าการผุพังนั่นกัน ข้าจะเขียนตัวอักษรให้เจ้า เจ้าต้องการแค่ไหนก็มีให้เท่านั้น ขอแค่มีเหล้ามากพอก็พอ!”

หม่าตู่อี๋เหลือกตามองบน

มาดของบัณฑิตยังมีอยู่บ้างไหม?

เจิงเย่กลับรู้สึกดีใจนิดๆ เพราะยากนักกว่าจะได้เห็นท่านเฉินอารมณ์ผ่อนคลายเช่นนี้

พอมาถึงที่ว่าการ บัณฑิตก็ผลักกองหนังสือที่วางกองระเกะระกะบนโต๊ะออก บอกให้เด็กรับใช้หยิบกระดาษเสวียนจื่อออกมากาง และให้ช่วยฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ส่วนเฉินผิงอันก็วางเหล้ากาหนึ่งไว้ข้างมือของบัณฑิต

บนผนังมีแต่ตัวอักษรฉ่าวซูที่เขียนอย่างสะเปะสะปะซึ่งแม้แต่ตัวบัณฑิตเองที่พอสร่างเมาก็ยังจำตัวอักษรของตัวเองไม่ได้

บัณฑิตดื่มเหล้าไปแล้วก็เรอดังเอิ้ก เอ่ยถามว่า “ว่ามาเถอะ ต้องการให้คนบ้าอย่างข้าเขียนอะไร? นำไปมอบให้แก่อัครเสนาบดีหรือขุนนางที่ตามีแววคนใด? ช่างเถิด ข้าไม่อยากรู้ เจ้าอยากเขียนอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าอยากเขียนอะไรก็จะเขียนอย่างนั้น”

จรดกระดาษก่อเกิดไอเมฆ ลมฝนพัดกระหน่ำเต็มห้องโถง

บัณฑิตคิดอยากจะเขียนอะไรก็เขียนอย่างนั้นจริงๆ และส่วนใหญ่แล้วเวลาจรดพู่กันเขียนทีก็จะเขียนตัวอักษรนับไม่ถ้วนจนเจิงเย่ที่มองดูอยู่รู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ ขาดทุนแน่แล้ว

สุดท้ายบัณฑิตที่คอแข็งไม่น้อย ทว่าสภาพหลังดื่มเหล้าไม่ดีเท่าไหร่ก็เขียนตัวอักษรภาพขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนสิบกว่าแผ่น แล้วเขาก็เมาหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก

เฉินผิงอันต้องจ่ายไปด้วยเหล้าเซียนบ่อน้ำ เหล้าหมักกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าและเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งหมดห้ากา

การที่เขาสามารถดื่มได้มากขนาดนี้ไม่ใช่เพราะบัณฑิตคอแข็งดื่มเก่งจริงๆ แต่เขาดื่มไปได้แค่เกือบครึ่งของกาเหล้า ส่วนที่เหลือเกินครึ่งกาล้วนหกเรี่ยราด เมื่อภาพนี้ปรากฏในสายตาของหม่าตู่อี๋ที่เสียดายอย่างสุดซึ้งก็ให้รู้สึกว่าช่างย่ำยีวัตถุสวรรค์จริงๆ

งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

เฉินผิงอันเก็บภาพตัวอักษรทุกแผ่นมาแล้วออกจากที่ว่าการ

คนทั้งสามจูงม้าจากมา หม่าตู่อี๋อดไม่ไหวถามขึ้นว่า “ตัวอักษรดี ข้ามองออก แต่มันดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ? เหล้าหมักเซียนพวกนี้มีค่าหลายเงินเกล็ดหิมะ หากนำมาคำนวณเป็นเงินก้อนแล้ว ภาพตัวอักษรฉ่าวซูภาพหนึ่งจะมีค่าหลายพันหรือถึงหมื่นตำลึงเงินจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันได้อักษรภาพมาแล้วก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเป็นตัวเขาเองที่ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะอย่างไรอย่างนั้น เขากล่าวอย่างน่าเชื่อถือว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูเถอะ ในอนาคตวันใดที่พวกเจ้ามาเยือนที่นี่อีกครั้ง ถนนเส้นนี้ต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทิศ ร้อยปีพันปีให้หลัง ต่อให้บัณฑิตคนนั้นจะตายไปแล้ว แต่ตลอดทั้งอำเภอจะต้องได้รับบุญบารมีจากเขา ถูกคนรุ่นหลังจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ”

ม้าทั้งสามตัวออกไปจากอำเภอเล็กแห่งนี้ช้าๆ ในเวลานี้พวกชาวบ้านในอำเภอยังแค่มองเสี้ยนเว่ยบัณฑิตสติฟั่นเฟือนผู้นั้นเป็นตัวตลก แต่กลับไม่รู้เลยว่ายอดฝีมือด้านการเขียนพู่กัน นักประพันธ์จำนวนนับไม่ถ้วนในรุ่นหลังจะอิจฉาแค่ไหนที่พวกเขาโชคดีเคยได้เห็นความสง่างามของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง

เทศกาลจงชิวของปีนี้ ครอบครัวที่ถือว่าพอมีพอกินในแคว้นเหมยโย่ว คนในครอบครัวได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของแคว้นสือหาวกลับบอกได้ยากแล้ว

เทศกาลจงชิวของปีหน้า ไม่แน่ว่าแคว้นเหมยโย่วอาจมีสภาพอันน่าสังเวชเฉกเช่นแคว้นสือหาวในทุกวันนี้

ในป่าเขามีภูตประหลาดอยู่มากมาย

ฤดูใบไม้ร่วงของปีผ่านไป ฤดูหนาวก็มาเยือนอีกครั้ง

ในขณะที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวแคว้นเหมยโย่วจนเกือบครบทุกสถานที่และเตรียมจะต้องกลับทะเลสาบซูเจี่ยน มีวันหนึ่งในป่าลึกที่รกร้างไร้ผู้คน เฉินผิงอันอาศัยสายตาที่ดีกว่าคนทั่วไปมองไปบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ได้เห็นวานรเฒ่าเสื้อผ้าขาดวิ่นตนหนึ่งห้อยหัวอยู่บนนั้น ทั่วร่างของมันถูกรัดพันด้วยโซ่เหล็ก น่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน วานรเฒ่าจึงแสยะยิ้มให้เห็นเขี้ยว แม้ว่าจะไม่ได้แผดเสียงคำราม ทว่าปราณดุร้ายของมันก็น่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง

บริเวณใกล้เคียงกับวานรเฒ่ามีช่องโพรงหินที่ถูกขุดเจาะด้วยฝีมือคนอยู่แห่งหนึ่ง ตอนที่เฉินผิงอันมองไป ตรงนั้นมีคนลุกขึ้นยืน มองประสานสายตากับเฉินผิงอัน คือภิกษุหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง ภิกษุพนมมือทั้งสิบนิ้วขึ้นคารวะเฉินผิงอันเงียบๆ

เฉินผิงอันเองก็พนมมือก้มหน้าคารวะกลับคืนไปเบาๆ เลียนแบบภิกษุ

หม่าตู่อี๋ถามอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร

จนกระทั่งเดินออกมาจากเทือกเขาแถบนั้น เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งใช้ความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของตนกำราบวานรพยศที่จำแลงออกมาจากมารในใจตัวเองได้”

หม่าตู่อี๋จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ถึงขั้นจำแลงจิตมารออกมาได้ ภิกษุท่านนี้จะไม่ใช่เซียนดินเลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง”

ทางฝั่งของช่องโพรงหิน ภิกษุหนุ่มนั่งกลับลงไปบนเบาะนั่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก้าวหนึ่งก้าวออกมาจากช่องโพรงหิน ทะยานลมเหยียบลงบนความว่างเปล่า สบตากับวานรเฒ่าที่เริ่มสงบอารมณ์ลงได้เรื่อยๆ ในสายตาของฝ่ายหลังมีทั้งความซับซ้อน กลัดกลุ้ม โกรธแค้น วิงวอน เวทนา เย้ยหยัน มากมายหลากหลายอารมณ์

ภิกษุหันหน้าไปมองคล้ายจะรู้สึกกังขาไม่เข้าใจ

ว่าเหตุใดวานรในใจของตนถึงได้ผิดปกติไปเช่นนี้?

ก่อนหน้านี้เวลามันพบเจอผู้ฝึกตนเซียนดินที่ขี่กระบี่หรือไม่ก็ทะยานลมผ่านทางมาก็ล้วนไม่เคยคิดจะชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว

ภิกษุหนุ่มเริ่มกระจ่างแจ้งจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงประนมสิบนิ้วท่องภาษาธรรมอีกคำ จากนั้นก็ย้อนกลับเข้าไปในช่องโพรงหิน นั่งทำสมาธิของตัวเองต่ออีกครั้ง

ผู้ฝึกตนอายุมากที่สีหน้าเฉยชา สายตามืดดำคนหนึ่งมาปรากฏตัวในสุสานร้างที่มีกระบี่โบราณปักตรึงป้ายศิลา ใต้ดินของที่แห่งนี้มีปราณหยินพลุ่งพล่านท่วมท้น ต่อให้จะสัมผัสได้ว่าเขาน่าจะเป็นเซียนดินในโลกคนเป็น ทว่าพวกผีร้ายที่หลบซ่อนอยู่ตามรากภูเขาก็ยังยากจะเปลี่ยนสันดาน พวกมันรวบรวมปราณดุร้ายพยายามจะพุ่งออกมาจากพื้นดิน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผีร้ายลอยตัวขึ้นมาก็จะต้องมีปราณกระบี่ดุจสายฝนตกลงไปสู่ใต้ดิน เสียงร้องโหยหวนจึงดังเป็นระลอก

แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กลัววัตถุหยินเหล่านี้ เขาเพียงแค่ขมวดคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “น่าแปลกนัก ไม่กลัวปราณโอสถทองที่ข้าจงใจปล่อยออกไปจากร่าง แต่กลับกลัวคนหนุ่มที่ดูไม่สมประกอบคนหนึ่งน่ะหรือ?”

วันนี้ได้พักแรมในโรงเตี๊ยมของตระกูลเซียนตรงตีนเขาอย่างที่หาได้ยาก

หม่าตู่อี๋ทิ้งตัวนอนลงบนผ้าห่มที่อ่อนนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ในเมื่อทนกับความยากลำบากมาแล้วก็ขอเสวยสุขบ้างเถิด

เจิงเย่กลับไม่ได้รู้สึกอะไร เขาเพียงฝึกตนอยู่เพียงลำพังในห้อง

เฉินผิงอันขอรายงานตระกูลเซียนฉบับหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ในราชสำนักของแคว้นเหมยโย่วก็เริ่มมีการถกเถียงกันแล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เถียงกันไม่ใช่ว่าควรจะขัดขวางคนเถื่อนต้าหลีหรือไม่ แต่ควรจะปกป้องพิทักษ์ดินแดนอย่างไร

ต้องรู้ว่านี่ยังเป็นการตัดสินใจระหว่างกษัตริย์และขุนนางของแคว้นเหมยโย่วโดยอยู่ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่เมืองหลวงแคว้นสือหาวถูกตีแตกมานานแล้วด้วย

ส่วนราชสำนักแคว้นสือหาวที่เวลานี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ในที่สุดก็ได้มีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขาก็คือหันจิ้งหลิงอ๋องเจ้าเมืองผู้ได้รับชื่อเสียงดีงามว่า ‘เสียนอ๋อง’ (อ๋องผู้ทรงคุณธรรม) บิดาของหวงเฮ้อ แม่ทัพใหญ่ชายแดนที่ไม่สูญเสียทหารบนสมรภูมิรบไปเลยแม้แต่คนเดียวก็กลายมาเป็นผู้นำแห่งแม่ทัพบู๊ของแคว้นสือหาวในคราวเดียว ในฐานะสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมยากมากับหันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ หวงเฮ้อเองก็ได้รับการแต่งตั้ง กระโดดกลายไปเป็นรองเจ้ากรมพิธีการในก้าวเดียว บิดาและบุตรชายอยู่ในราชสำนักเดียวกัน อีกทั้งยังมีลูกหลานสกุลหวงอีกกลุ่มใหญ่ ไก่และหมาจึงพลอยได้ขึ้นสวรรค์ พวกเขาร่วมกันยึดครองราชย์สำนัก มีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดกำจัด

ตั้งแต่เมื่อหลวงไปจนถึงท้องถิ่นของแคว้นสือหาว ขุนนางบุ๋นบู๊ที่พร้อมใจกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญมีปรากฏไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการติดภาพเทพทวารบาลของแคว้นอื่นไว้ที่หน้าประตูบ้านตัวเองก็ยังไม่ยินดีทำ

ในบรรดานั้นมีลูกหลานของตระกูลที่ไม่อยากถูกเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทำร้ายจนตาย จึงแอบนำภาพเหมือนของเทพทวารบาลผู้เป็นบรรพบุรุษของสองแซ่สกุลเฉาหยวนแห่งต้าหลีไปติดไว้ และยังมีบางคนที่ใจเด็ดหน่อยก็ถึงขั้นจับเจ้าประมุขตระกูลมัดเอาไว้เสียเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาวิ่งไปฉีกภาพเทพทวารบาลทิ้งแล้วยังต้องมาด่าพวกเขาว่าเป็นลูกหลานที่ไร้คุณธรรม ทำผิดต่อบรรพบุรุษ

ผู้คนมีสารพัดรูปแบบ หวานขมล้วนรู้อยู่กับตัวเอง

ในรายงานตระกูลเซียนที่เขียนบรรยายได้อย่างสมจริงฉบับนี้ เรื่องเล็กยิบย่อยที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิงหลังมื้ออาหารทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อไปปรากฎอยู่ในครอบครัวของพวกชาวบ้านกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ตัดสินความเป็นความตาย เป็นโศกนาฎกรรมที่ครอบครัวหนึ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนพลัดพรากจากลา

เมื่อเทียบกับแคว้นสือหาวที่ไม่ค่อยสะดุดตาแล้ว ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยิ่งเหมือนถูกพลิกฟ้าคว่ำดิน ยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญผวา

ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีเกาะลี่ซู่ เกาะหวงหลี เกาะชิงจ่ง เทียนหมู่ ฯลฯ เป็นผู้นำ พากันสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ยินดีมอบสมบัติครึ่งหนึ่ง รวมไปถึงทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ที่มีความหมายสำคัญอย่างใหญ่หลวงเล่มนั้นไปให้

ซูเกาซานที่อยู่ในจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อจัดงานเลี้ยงฉลอง เพียงแต่ว่างานเลี้ยงนี้แค่ถูกจัดขึ้นในนามของเขาเท่านั้น เพราะวันงานจริงเขาส่งแค่แม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาที่เป็นแค่ระดับสามชั้นโท และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกไม่กี่คนที่ดึงออกมาจากขบวนทัพเวลานั้นให้รับผิดชอบคอยรับรองเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย

แม้แต่หน้าตาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ซูเกาซานก็ยังไม่ยินดีมอบให้แก่เหล่างูเจ้าถิ่นแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยินยอมคล้อยตามเขาแต่โดยดี

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านั้นเขามอบ ‘นามบัตร’ ให้แก่กองทัพเหล็กต้าหลีโดยใช้ป้ายผู้ถวายงานเกาะชิงเสียและป้ายสงบสุขปลอดภัย บอกว่าอยากจะขอพบแม่ทัพหลักท่านนั้น สุดท้ายคำตอบที่ซูเกาซานมอบมาให้ก็เรียบง่ายและรวดเร็วมาก แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคำพูดที่ออกจากปากของแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเอง แค่สามคำเท่านั้น ‘ไสหัวไป’

เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นรู้สึกขุ่นเคืองหรืออัดอั้นตันใจ ก็แค่รู้สึกจนใจเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนเกาะชิงเสียที่สูญเสียการเฝ้าพิทักษ์จากหลิวจื้อเม่าก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะมีกองกำลังที่เป็นผู้นำอย่างเถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน อวี๋กุ้ยโอสถทอง และผู้ฝึกตนโอสถทองที่พอจะเรียกลมเรียกฝนในทะเลสาบซูเจี่ยนอีกสองสามคนมาปรากฎตัวในงานเลี้ยงจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อ เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาไม่ได้อยู่หน้าสุด ถึงขั้นสู้เกาะเทียนหมู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ

นี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน

กล้าสู้สุดชีวิต แล้วก็ยอมรับได้ว่าตัวเองขี้ขลาด เมื่ออยู่ในสถานการณ์ยิ่งใหญ่ที่ดีงามก็เป็นบรรพบุรุษ แต่หากท่าไม่ดีก็พร้อมจะเป็นหลาน

เฉินผิงอันคาดเดาว่าต้องมีผู้ฝึกตนบนเกาะส่วนหนึ่งที่ไม่ยินดีประคองสองมือส่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งไปให้อีกฝ่ายทั้งอย่างนี้ แต่คงไม่จำเป็นต้องให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและผู้ฝึกตนติดตามกองทัพลงมือ กองกำลังที่มีถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ และคู่รักโอสถทองบนเกาะหวงหลีเป็นหนึ่งในนั้นก็น่าจะช่วยซูเกาซานจัดการ ‘ปัญหาเล็กน้อย’ พวกนี้ให้เรียบร้อยแล้ว ไหนเลยยังต้องให้แม่ทัพใหญ่ซูวุ่นวายใจ พวกเขาย่อมยินดีที่จะนำศีรษะและทรัพย์สมบัติของคนบนเกาะเหล่านั้นมามอบให้เป็นของขวัญแก่ซูเกาซาน

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ซูเกาซานสามารถใช้มีดหั่นก้อนเต้าหู้ (เปรียบเปรยว่าทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย คล้ายสำนวนปอกกล้วยเข้าปากของไทย) ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ นอกจากที่ตัวเขาเองจะมีคุณความชอบทางการทหารในกองทัพม้าเหล็กอย่างโดดเด่น รวมไปถึงนิสัยภายนอกเหมือนปรองดองภายในแตกแยก เชี่ยวชาญการบังคับเรือตามกระแสลมของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว อันที่จริงการที่เฉาผิงแม่ทัพหลักต้าหลีของอีกกองทัพหนึ่งบุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเช่นกัน แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นข่าวลือที่บอกว่าซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีจะเดินทางมาพร้อมองค์ชายสกุลซ่งท่านหนึ่งเพื่อตรวจสอบแนวเส้นชายแดนที่กองทัพม้าเหล็กใต้บังคับบัญชาของเฉาผิงคุมเชิงอยู่กับราชวงศ์จูอิ๋งด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันวางรายงานข่าวลง

สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ จมสู่ภวังค์ความคิด

หลิวจื้อเม่าเป็นหรือตาย ตอนนี้ยังไม่มีข่าวที่แน่ชัด

หากอิงตามหลักการทั่วไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่ที่รู้จักพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างหลิวจื้อเม่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ซูเกาซานจะซื้อใจเขามาเป็นพรรคพวก แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิวจื้อเม่ายังถือเป็นคนกันเองครึ่งตัวที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีก่อนผู้ใด

ปัญหานั้นอยู่ที่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นบนเกาะกงหลิ่วที่หลิวเหล่าเฉิงบอกว่า ‘ไม่ชอบขี้หน้า’ นั่นต่างหาก เพราะสถานะตัวตนของพวกเขายังไม่ปรากฏอย่างชัดเจน

ดูท่าแล้วกลุ่มคนที่สามารถตัดสินความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศของหลิวจื้อเม่า แม้กระทั่งหลิวเหล่าเฉิงก็ยังต้องกลั้นใจยอมรับ หรือแม้แต่ซูเกาซานก็ยังไม่สามารถปักบุปผาบนผ้าแพรให้กับสมุดบันทึกคุณความชอบของตน ช่วงชิงผู้ถวายงานก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาให้กับต้าหลีได้กลุ่มนี้

น่าจะมีภูมิหลังที่ใหญ่มาก

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว

หรือจะเป็นสำนักใบถงที่พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างหนัก? พวกเขากัดฟันตัดสินใจเด็ดเดี่ยวย้ายมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน?

แต่นี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากมหาศาลอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนสามารถจัดขบวนยิ่งใหญ่ย้ายมาอยู่ทวีปอื่นได้อย่างเกรียงไกร ทว่าโชคชะตาแม่น้ำภูเขาในอาณาเขตที่สำนักใบถงสะสมรวบรวมมาหลายพันปีไม่สามารถเอามาด้วยได้

เมื่อเกี่ยวพันกับการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ข้ามสองทวีป นอกจากปราณวิญญาณในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่พอจะรักษาไว้ได้แล้ว เรื่องอื่นก็อย่าได้หวัง

อีกทั้งความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เดิมทีจิตใจคนของสำนักใบถงก็คลอนแคลน ระหว่างการย้ายถิ่นฐานต้องถูกเสือและหมาป่าที่จับจ้องอยู่รอบด้านกระโจนเข้ามากัดกินเนื้อติดมันชิ้นนี้อย่างแน่นอน เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคา ต่อให้เป็นสำนักที่ไม่ขาดปราณแห่งความเที่ยงธรรมอย่างภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี ขอแค่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วก็ไม่มีทางใจอ่อนออมมือเช่นกัน

นอกจากนี้ผู้ฝึกตนสำนักใบถงก็สายตามองสูงจนไม่เห็นหัวใคร เป็นผู้นำตระกูลเซียนในทวีปใหญ่มาจนเคยชินแล้ว จะยอมวิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในทวีปเล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาของสกุลซ่งต้าหลีที่เป็นเพียงราชวงศ์ในโลกมนุษย์ราชวงศ์หนึ่งอย่างนั้นหรือ?

หากเป็นสำนักฝูจีกลับเหมือนจะสมเหตุสมผลมากกว่า

แต่การลงมือที่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมีต่อหลิวจื้อเม่า โดยเฉพาะ ‘อุบายเล็กน้อย’ แฝงเจตนาชั่วร้ายที่มีต่อตนกลับดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าต่าง โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ การมองเห็นจึงเปิดกว้าง ทัศนียภาพนอกหน้าต่างคือสายน้ำไหลซัดสาด เรือสัญจรล่องไปมา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาเรือเหล่านี้ก็มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น

สายน้ำของแคว้นเหมยโย่วตัดสลับซับซ้อน แม่น้ำลำคลองกระจายตัวเป็นวงกว้าง นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทางราชสำนักกล้าร่วมศึกตาย

บนผิวน้ำมีเรือรบลอยลำทวนกระแสน้ำขึ้นไปช้าๆ เพียงแต่ว่าเนื่องจากผิวน้ำของแม่น้ำกว้างขวาง ต่อให้มีคนบนเรือนับหมื่น แต่กระนั้นเรือลำใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ก็ยังเบาบางดุจขนนก

เฉินผิงอันฟุบตัวนอนอยู่บนกรอบหน้าต่าง

เจิงเย่และหม่าตู่อี๋พร้อมใจกันมาหา บอกว่าอยากจะไปเที่ยวชมศาลเทพวารีของแม่น้ำชุนฮวาแห่งนี้สักหน่อย ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ เจ้าพ่อเทพวารีผู้นั้นชอบหยอกเย้ามนุษย์ธรรมดาอย่างมาก

เฉินผิงอันไม่มีความสนใจนี้ จึงบอกให้พวกเขาไปเที่ยวกันเอง แต่เตือนหม่าตู่อี๋ว่าหลังจากเข้าไปในอาณาเขตของศาลแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นภูตผีที่สิงอยู่ในยันต์หนังจิ้งจอก ยังต้องเอ่ยขออภัยก่อนสักคำ บอกจุดประสงค์การมาเยือนให้เจ้าพ่อเทพวารีรู้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ หากเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่ใช่ฝ่ายที่มีเหตุผล ถึงเวลานั้นเขาก็คงได้แต่เอ่ยขออภัย จ่ายเงินฟาดเคราะห์เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเงินเทพเซียนก้อนนั้น หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ก็ต้องออกเอง ห้ามเอามาคิดกับเขาเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าวว่าทราบแล้ว ท่องอยู่ในยุทธภพมาไกลขนาดนี้ กฎเกณฑ์แค่นี้ไม่ต้องให้ท่านเฉินคอยพร่ำบอก

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ท่องอยู่ในยุทธภพมาไกลขนาดนี้? เจ้ากับเจิงเย่ ตอนนี้แค่เดินทางผ่านอาณาเขตของแคว้นใต้อาณัติสองแคว้นเท่านั้น

แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงโบกมือบอกเป็นนัยให้พวกเขาออกไปเที่ยว ไม่อย่างนั้นอาจต้องฟังคำพูดเหน็บแนมจากหม่าตู่อี๋อีกหลายคำ

เพียงแต่ว่าตอนที่เจิงเย่จะปิดประตูลง เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา โยนไปให้เจิงเย่ บอกว่ากันไว้ก่อน

เจิงเย่ย่อมปิติยินดีอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าพอปิดประตูลง กลับโดนหม่าตู่อี๋แย่งไปผูกไว้ตรงเอวของนางเอง

เจิงเย่จนปัญญา

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

บุรุษยอมให้สตรีสักเล็กน้อย ผู้แข็งแกร่งยอมให้ผู้อ่อนแอสักหน่อย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนคนที่อยู่สูงกว่าทำทานให้คนต่ำต้อย นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักฟ้าดินหรอกหรือ?

วิถีทางโลกที่เป็นเช่นนี้ถึงจะเริ่มมีความผิดพลาดน้อยลง เริ่มดีมากขึ้นอย่างช้าๆ

หลักการความรู้นับหมื่นอย่างล้วนจำเป็นต้องเรียงไปตามลำดับขั้นตอน

เดินให้มากหน่อย ก็จะเดินไปได้ไกลถึงเพียงนั้น

คิดให้มากหน่อย ก็จะคิดได้มากถึงเพียงนั้น

เฉินผิงอันที่เหนื่อยล้าแต่ก็ผ่อนคลายจึงฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนกรอบหน้าต่างทั้งอย่างนั้น เขาหลับตาลงงีบหลับ

ที่ใดที่ใจข้าเป็นสุข ที่นั่นก็คือบ้านเกิดของข้า

แล้วเมื่ออยู่บ้านเกิดของข้าจะไม่อาจหลับตานอนได้อย่างไร

ศาลเทพวารีแม่น้ำชุนฮวาที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังนอนแทะน่องไก่อยู่บนเสาคานของตำหนักใหญ่ในศาล บนศีรษะปักปิ่นดอกซิ่ง สวมชุดผ้าแพรปักลาย มองดูแล้วชวนขบขัน ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งโหยง เกือบจะโยนน่องไก่มันเยิ้มไปโดนหัวของผู้มีจิตศรัทธาในห้องโถง ภูตน้ำตนนี้ที่ปีนั้นได้รับโชควาสนา ถูกวิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษากวานหูแต่งตั้ง ถึงได้สร้างร่างทอง กลายมาเป็นองค์เทพแห่งสายน้ำที่แท้จริงที่ได้เสวยสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์พลันทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นภาพมายาที่ลอดทะลุหลังคาตำหนักใหญ่ออกไป เทพวารีผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านด้วยความตระหนกลน จากนั้นก็ประสานมือโค้งคำนับไปสี่ทิศ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “อริยะท่านใดมาเยือน เทพน้อยหวาดกลัว หวาดกลัวยิ่งแล้ว”

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ‘ตัวการสำคัญ’ ผู้นั้น

เวลานี้กำลังยุ่งอยู่กับการแอบอู้งีบหลับ

เมื่อคุณธรรมจริยธรรมติดกาย หมื่นสิ่งชั่วร้ายเสนียดจัญไรหนีห่าง กระทั่งองค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังต้องหลีกทางให้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version