Skip to content

Sword of Coming 456

บทที่ 456 ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

ช่วงตงจื้อ (หรือวันเหมายัน เป็นวันที่ซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตรมีกลางคืนยาวที่สุดและกลางวันสั้นที่สุด) แม้ว่าเวลากลางวันจะสั้นที่สุด เงาคนยาวที่สุด แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นช่วงเริ่มต้นที่พลังหยางในฟ้าดินกลับคืนมาสูงอีกครั้ง

ฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปจะต้องขึ้นภูเขาในวันนี้ ต่อให้ไม่สามารถไปเยือนได้ด้วยตัวเองก็จะต้องให้ขุนนางระดับขั้นสูงของกรมพิธีการไปจุดธูปที่ศาลเทพภูเขา

ไม่ต่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนสักเท่าไหร่ ทางฝั่งของแคว้นเหมยโย่วนี้ก็มีประเพณีนิยมในการฉลองปีใหม่เล็กเช่นกัน (หรือเสี่ยวเหนียน หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงวันตรุษจีน) แม้ว่าจะเป็นครอบครัวที่ยากจนก็ยังจัดเตรียมเกี้ยว น้ำแกงเนื้อแกะหรือไม่ก็ข้าวเหนียวเอาไว้ตามขนบธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่น

พวกเฉินผิงอันสามคนที่เดินทางด้วยม้ากำลังกินข้าวเหนียวปั้นที่ซื้อมาจากตลาด พวกเขากำลังเดินทางกลับจากเมืองจิงโจวที่อยู่ทางทิศใต้ที่สุดของแคว้นเหมยโย่ว

ด่านแห่งหนึ่งริมชายแดน เฉินผิงอันหยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ แต่บอกให้เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ผ่านด่านกันไปก่อน ส่วนเฉินผิงอันขี่ม้าตรงไปทางเนินเขาแห่งหนึ่งเพียงลำพัง หลังจากขึ้นไปบนยอดเนินแล้วก็มีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินลงจากเนินมาช้าๆ พอดี เฉินผิงอันพลิกตัวลงจากหลังม้า ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่พูดได้ไม่คล่องนักเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้าคุ้นเคยกับเจ้ามากแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลำบากผู้อาวุโสที่คอยคุ้มกันมาตลอดทางแล้ว”

ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดไม่สนใจน้ำเสียงเหน็บแนมในคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ว่าใครที่ถูกจับตามองก็คงไม่มีทางรู้สึกสบายด้วยกันทั้งนั้น

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “ข้าเคยเป็นผู้ฝึกตนของสำนักใบถง ดังนั้นตลอดทางที่อดทนข่มกลั้นมานี้จึงยากลำบากมากจริงๆ”

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เคยเป็น?”

ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงระงับปราณทั่วร่างไว้ที่ขอบเขตเซียนดินโอสถทอง บนผิวของเขามีประกายแสงไหลเวียนวนเหมือนแสงจันทร์แสงตะวันที่ไหลรินอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคน เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่มองประเมินคนหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายอยากจะมองให้เห็นสายสนกลใน ว่าอาศัยอะไรกันแน่ที่ทำให้เขากับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นั้นกลายมาเป็น…สหายกัน? หรือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก? ตอนนี้ยังบอกได้ยาก เพราะล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีความโชคดีใดที่ได้รับมาเปล่าๆ โดยเฉพาะบนภูเขา เพราะหากไม่ทันระวังก็อาจแพ้ทั้งกระดาน

ผู้ฝึกตนเฒ่ายืนอยู่บนยอดเขาของเนินขนาดเล็ก กวาดตามองไปรอบด้าน สายน้ำและขุนเขาของแคว้นเหมยโย่วมองดูแล้วช่างน่าเบื่อไร้รสชาติซะจริง ปราณวิญญาณก็บางเบา อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบทะเลสาบซูเจี่ยนได้ติด

ความลับบางอย่าง เขาไม่ได้บอกกล่าวแก่คนหนุ่มผู้นี้ ตอนนี้เขาใช้จิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ใช้จิตหยางที่พกพาแผ่นใบถงที่สร้างขึ้นด้วยกลวิธีลับมาคอยคุ้มกันตัวเอง เพื่อใช้สิ่งนี้มาปกปิดร่องรอยที่แท้จริงของตน หลีกเลี่ยงไม่ให้การพบเจอกันครั้งนี้ถูกทางฝั่งของทะเลสาบซูเจี่ยนจับได้ การที่เขายินดีเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องผ่านการคิดพิจารณาอย่างลึกซึ้งและวางแผนการอันลึกล้ำมาแล้ว คนต่างถิ่นที่ถูกหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบมองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเกาะกงหลิ่วกลุ่มนี้ สามารถถูกคัดเลือกแล้วโยนมาไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้ ไม่มีคนใดที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เพียงแต่ว่าบนมหามรรคา คิดจะขายชีวิตให้ใคร ก็ต้องดูที่ราคาด้วย

เขารู้สึกว่าราคาต่ำไปสักหน่อย

ต่อให้เขาจะถูกสำนักหยินหยางตัดสินแล้วว่าไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แต่จะดีจะชั่วก็ยังเป็นก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และยังมีอายุขัยเหลืออีกสองร้อยปี หากตัดใจทุ่มเงินก้อนใหญ่ต่อชีวิต จะมีชีวิตอยู่สักสามร้อยปีก็ยังเป็นไปได้

หลังจากที่ได้รับภารกิจลับครั้งนี้ เขาคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านี่คือห่วงโซ่ของการยืมมีดฆ่าคนอย่างหนึ่ง คนนำทางที่เป็นห้าขอบเขตบนผู้นั้นถูกคนอื่นนำมาทำเป็นมีด ตนเองก็ไม่ต่างกัน น่าเสียดายก็แต่แจกันสมบัติทวีปไม่ใช่ถิ่นฐานของตน ตนไม่มีรากฐานอยู่ที่นี่ ไม่มีคนให้เอามาใช้งาน ไม่อย่างนั้นก็ค่อยหามีดอีกเล่มที่ลงมือฉับไวรวดเร็วสักหน่อย สมองช้าสักหน่อย ไม่แน่ว่าตนอาจจะแสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง สามารถคว้าทรัพย์สินก้อนใหญ่มาได้จริงๆ แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายมาเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ยืมมีดกันไปกันมา ทุกคนจบเห่ไปพร้อมกัน ส่วนคนเบื้องหลังที่แท้จริงที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดเดาตัวตนไม่ออกผู้นั้นก็จะมีชีวิตที่อิสระเสรีเป็นสุขอยู่คนเดียว

ผู้ฝึกตนเฒ่าถาม “ข้ามีการค้าที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง เจ้าจะตกลงหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ไหนลองว่ามาสิ”

ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้ม “แต่ข้าต้องได้รับคำสัญญาจากเจ้าก่อนว่า อย่างน้อยภายในเวลาหนึ่งร้อยปี เจ้าเฉินผิงอันจะไม่บอกให้ใครรู้ถึงข้อตกลงระหว่างพวกเรา”

เฉินผิงอันถาม “ต่อให้ข้ารับปาก ปัญหาก็คือเจ้ากล้าเชื่อหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าพยักหน้ารับ “ข้าไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็จะต้องลองเดิมพันดูสักครั้ง ข้ายืนอยู่ตรงนี้ มาปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งแล้ว การฝึกตนบนภูเขา ขอแค่ตบะสูงกว่าข้า ต่อให้ข้ามองตื้นลึกไม่ออก แต่การที่ใช้เวลากับคนคนหนึ่งมานานขนาดนี้ การจะมองนิสัยของเขาให้ออกก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก คนอย่างเจ้า ข้าเองก็เคยพบเจอมาไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่รู้จักในวัยหนุ่ม ผลกลับพบว่าคนอย่างพวกเจ้ามักจะตายกันเร็ว ตายไปกลางทาง ดังนั้นข้าจึงบอกว่านี่เป็นสัญญาที่ใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้จะปีใหม่แล้ว รบกวนผู้อาวุโสพูดประโยคที่เป็นมงคลสักหน่อย”

ผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้ยิ้มบางๆ “หากข้าพูดกับเจ้าด้วยถ้อยคำที่มีมารยาทพิธีรีตอง เจ้าจะยิ่งไม่คลางแคลงใจหรอกหรือ? ไม่สู้มาทำการค้ากันดีกว่า?”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้กล่าวได้ไม่ผิด

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ขี่ม้าลงจากเนิน สีหน้าที่เดิมทีก็ไม่ค่อยน่าดู เวลานี้ยิ่งเหมือนกระดาษสีทอง ตัวเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าร่างโอนเอนเหมือนจะร่วงลงมา คล้ายคนที่เพิ่งผ่านหายนะครั้งใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายมา เรือนกายและจิตใจที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแทบเหมือนตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด

ทำเอาเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่หยุดม้ารอหลังจากผ่านด่านมาแล้วตกใจอกสั่นขวัญหาย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ก่อนหน้านี้คนทั้งในและนอกด่านล้วนมองเห็นแสงกระบี่โชติช่วงตรงตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่มีอะไร จบเรื่องแล้ว พวกเราเดินทางกันต่อ การเดินทางกลับครั้งนี้จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางอีก ยังคงเป็นกติกาเดิม ถึงเวลานั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลับไปทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับข้า”

ตอนที่อยู่บนเนินเขาแห่งนั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดได้ถอนวิชาอภินิหารอำพรางตาออกไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นสตรีวัยกลางคนที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง กลางหว่างคิ้วมีเลือดซึมออกมาหนึ่งเม็ด ถูกนางใช้ปลายนิ้วปาดทิ้งเบาๆ เพียงแต่ว่าร่องรอยเล็กน้อยแค่นั้น ไม่ว่าปรากฏอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนใดที่ตั้งใจมองสักหน่อยก็ถือว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ชัดเจนสะดุดตาอย่างถึงที่สุด

ทำการค้ากับคนหนุ่มผู้นั้น นับว่าวางใจได้ หลังจากทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจะทำการค้ากันแล้วก็ปรึกษาในเรื่องรายละเอียดอย่างรอบคอบรัดกุม การหยั่งเชิงในหลายๆ ครั้ง คนหนุ่มล้วนถือว่ารับมือได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

นางแหงนหน้ามองม่านฟ้าแล้วประสานมือคารวะ พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาที่ทั้งจริงใจทั้งหวาดกลัวว่า “หลี่ฝูฉวีต่ำช้าไร้ยางอาย ได้แต่ล่วงเกินวิญญูชน ไม่กล้าล่วงเกินคนถ่อย เสียมารยาทแล้ว”

ครู่หนึ่งต่อมา ฟ้าดินยังคงเงียบสงัด

สตรีวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด น่าจะเป็นตนที่คิดมากเกินไป

แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้วุ่นวาย บุคคลและเหตุการณ์ที่อริยะผู้มีรูปปั้นตั้งบูชาท่านนั้นต้องจับตามองมีมากเกินไป เซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋ง ฯลฯ ไม่ว่าอย่างไรก็มาไม่ถึงคราวของนางกับเฉินผิงอันผู้นั้น ต่อให้หลิวจื้อเม่าที่ถูกจับขังอยู่ในคุกน้ำระดับล่างสุดจะบอกว่า ตอนนี้เฉินผิงอันพกหยกอริยะ ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นไว้ติดกาย แต่เกี่ยวกับอริยะผู้มีรูปปั้นตั้งบูชาที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าแห่งหนึ่ง นางพอจะรู้เรื่องวงในมาไม่มากก็น้อย ขอแค่โลกมนุษย์ใต้ฝ่าเท้าไม่มีการเข่นฆ่าที่เกินสมควรปรากฎขึ้น เขาก็ไม่มีทางย้ายสายตามาชำเลืองมองแม้แต่แวบเดียว ส่วนเรื่องที่คล้ายคลึงกับการที่บรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงลงมือไล่ล่าสังหารวานรสะพายกระบี่ด้วยตัวเองนั้น สร้างความอึกทึกครึกโครมมากเกินไป ย่อมต้องถูกอริยะของใบถงทวีปสังเกตเห็นในทันที

แต่ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี

มารยาทบางอย่างที่สมควรต้องมี ถึงอย่างไรมีมากก็ดีกว่ามีน้อย มีดีกว่าไม่มี

หลังออกมาจากด่านของแคว้นเหมยโย่วแห่งนั้น ขณะที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งกำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็หันหน้ามามองสองคนด้านหลังที่ท่าทางเซื่องซึม แล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะแหบพร่าว่า “ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว ตลอดทางมานี้มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะเหลือเกิน”

หม่าตู่อี๋ยกมือขึ้นกดหัวใจ “ท่านเฉิน ในที่สุดท่านก็คืนสติแล้ว ตลอดทางมานี้หากไม่เหม่อลอยก็ขมวดคิ้ว แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานแล้วด้วย พวกเราสองคนตกใจกันแทบตายอยู่แล้ว”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจเบาๆ “เจอกับเรื่องบางอย่างที่ยังไม่อาจคิดได้กระจ่าง ขอโทษด้วย”

หม่าตู่อี๋ยิ้มถาม “ตอนนี้คิดได้กระจ่างแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ถอยมาเลือกในลำดับรองลงมา จึงพอจะรู้วิธีรับมือคร่าวๆ แล้ว”

หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างเป็นกังวล “ไม่มีอะไรจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีอะไรแล้ว”

หม่าตู่อี๋ลังเลใจ “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินก็ดื่มเหล้าให้พวกเราดูสักคำเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่วางใจ”

เจิงเย่สีหน้ากระอักกระอ่วน

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าจริงๆ เขาเพียงยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าหยุดอยู่ที่นี่เถอะ จำไว้ว่าอย่ารบกวนชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ตั้งใจฝึกตนให้ดี ช่วยตรวจสอบกันและกัน อย่าได้เพิกเฉยละเลย ข้าจะพยายามกลับมารวมตัวกับพวกเจ้าอย่างช้าที่สุดคือฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะเร็วกว่านั้น ถึงเวลานั้นพวกเราต้องไปทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนกันแล้ว ที่นั่นมีมลพิษปราณสกปรกค่อนข้างเยอะ ภูตผีตามภูเขาแม่น้ำก็มีเยอะ ว่ากันว่ายังมีพวกผู้ฝึกตนนอกรีตและพวกลัทธิมารอยู่ด้วย อันตรายกว่าแคว้นสือหาวและแคว้นเหมยโย่วอยู่มาก พวกเจ้าสองคนก็อย่าเป็นตัวถ่วงให้มากนัก”

หม่าตู่อี๋แค่นเสียงเย็นหนึ่งที

เจิงเย่กลับรับปากอย่างแข็งขันว่าจะตั้งใจฝึกตน

เฉินผิงอันขี่ม้าจากไปเพียงลำพัง

แต่ว่าก่อนจะจากไปเขาได้มอบเชือกพันธนาการปีศาจและยันต์หลายแผ่นไว้ให้กับหม่าตู่อี๋เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จากนั้นก็กำชับว่าให้เก็บเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้ไว้ให้ดี ห้ามเอาออกมาง่ายๆ หากผู้ฝึกตนอิสระที่ผ่านทางมาเห็นเข้า นี่จะกลายเป็นหายนะที่หล่นจากฟ้าลงมาใส่หัวพวกเขาอย่างแน่นอน

เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย หม่าตู่อี๋ไม่กล้าเพิกเฉย นางไม่ได้พูดล้อเล่นอะไร เพียงแค่บอกให้ท่านเฉินวางใจ พวกเขาจะไม่มีทางประมาทเช่นนั้นแน่นอน

วันนี้เฉินผิงอันมานอนอยู่กลางป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง ปราณหยินอึมครึมค่อนข้างหนักหน่วงจนแทบจะมั่นใจได้ว่าต้องมีวิญญาณร้ายซ่อนตัวอยู่แถวนี้แน่ ทว่าทั้งคืนกลับผ่านไปอย่างราบรื่น นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะเปิดเผยตบะที่แท้จริง อีกทั้งอีกฝ่ายยังเก็บงำอำพรางตนอย่างลึกล้ำ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะต้องเกี่ยวพันกับโชคชะตารากภูเขาของพื้นที่นี้ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดไป

เขาขี่ม้าจากมาช้าๆ

กลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด

ตามคำบอกที่คลุมเครือของหลี่ฝูฉวีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้น ผู้บงการที่ส่งตัวนางออกมาจากเกาะกงหลิ่วคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งของสำนักใบถง เขาเคยเป็นผู้ที่ดูแลกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์ในสำนัก สถานะสูงศักดิ์ ต่อให้เป็นตอนที่ตู้เม่ายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจบารมี ตอนนี้ขนาดเจ้าประมุขสำนักใบถงก็ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุง

นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันกลัดกลุ้มอย่างแท้จริง

จุดที่น่ากลัวจริงๆ นั้นอยู่ที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักใบถงผู้นี้ ตอนนี้เป็นผู้ถวายงานของสำนักกุยหยก แล้วก็เป็นสำนักกุยหยกที่กำลังจะเลือกทะเลสาบซูเจี่ยนแจกันสมบัติทวีปมาเป็นที่ลงหลักปักฐานของสำนักเบื้องล่าง!

สำนักกุยหยก ผู้เฒ่าแซ่สวินที่ปรากฏตัวในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า สถานที่ที่สุยโย่วเปียนจะไปฝึกตนบรรลุมรรคาในอนาคต รวมไปถึงเจียงซ่างเจินที่เคยปรากฎตัวในตำหนักพยัคฆ์เขียว

ในบรรดาคนเหล่านี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่เจียงซ่างเจินจะกลายมาเป็นเจ้าประมุขคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก แต่ทางฝ่ายศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกยังไม่มีคำกล่าวที่แน่ชัด ดังนั้นจึงอาจจะยังมีตัวแปรเกิดขึ้นได้เสมอ

เพราะการที่เจียงซ่างเจินยังไม่เดินทางมาแจกันสมบัติทวีป ก็คือหนึ่งในข้อพิสูจน์

ส่วนผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง แน่นอนว่าต้องเป็นหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ชื่อหลี่ฝูฉวีผู้นั้นบอกเขาแค่นี้

เนื่องจากเจียงซ่างเจินที่ชื่นชอบความครึกครื้นมากที่สุดไม่ได้ปรากฏตัว กลับเป็นอดีตบรรพจารย์สำนักใบถงที่มีจิตใจทะเยอทะยานที่ได้กลายมาเป็นบุคคลผู้บุกเบิกเส้นทางให้กับสำนักกุยหยก ไม่แน่ว่าผู้ฝึกตนใหญ่ท่านนี้อาจจะมีความคิดที่ตัวเองนึกว่าสมเหตุสมผล คิดจะงัดข้อกับเจียงซ่างเจินเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่าง

มิน่าเล่าหลี่ฝูฉวีถึงได้สะกดรอยตามมาตลอดทางแล้วหาโอกาสในการลงมือ

แล้วก็ไม่แปลกที่ซูเกาซานจะไม่ไว้หน้าตน ต้องรู้ว่าขนาดถานหยวนอี้ยังรู้คดีความส่วนหนึ่งในศาลาคลื่นมรกต รู้ชัดเจนว่าตนมีความพัวพันเกี่ยวข้องที่แนบแน่นกับต้าหลี ซูเกาซานที่ไม่เคยเห็นถานหยวนอี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อยมีแต่จะรู้มากกว่า เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งสูงอย่างซูเกาซานแล้ว แม้จะไม่สามารถใช้งานสายลับของศาลาคลื่นมรกตได้อย่างกำเริบเสิบสาน แต่หากคิดจะตรวจสอบคดี หรือแม้แต่อยากรู้เรื่องวงในที่ลึกกว่าถานหยวนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

ยังดีที่หลี่ฝูฉวีระมัดระวังมากพอ แล้วก็เคารพยำเกรงความความไม่เที่ยงบนมหามรรคาซึ่งไม่อาจคาดการณ์ได้มากพอ

ถึงได้แสดงแผนเจ็บตัวที่ต่างคนก็ต่างสูญเสียร่วมกันกับตน

แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในจุดใดจุดหนึ่งของด่านนอกเนินเขา

สามารถทิ้งบาดแผลเล็กน้อยไว้กลางหว่างคิ้วของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งได้ หากข่าวนี้แพร่ออกไปดังเข้าหูผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนบนเกาะนับพันแห่งของทะเลสาบซูเจี่ยนนอกเหนือจากเกาะกงหลิ่ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อ

แต่ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงไม่มีความคิดจะทำร้ายตน ไม่เปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของตนให้คนอื่นรู้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็หมายความว่านอกจากหลิวเหล่าเฉิงจะทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่ส่งผลดีต่อตนเอง เขาจะต้องแตกหักกับว่าที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกอย่างสิ้นเชิง ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงไม่พูดอะไร หรือใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ เอ่ยประโยคไม่เจ็บไม่คัน ทางฝั่งของอดีตบรรพจารย์สำนักใบถงผู้นั้นก็จะต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

ทว่าตอนที่อยู่บนเนินเขา เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดถึงคำเตือนที่หลิวเหล่าเฉิงใช้กระบี่บินส่งข่าวของหลิวจื้อเม่านำความมาบอกแม้แต่คำเดียว แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นพันธมิตรกับหลี่ฝูฉวีแล้วเขาจะต้องเห็นสิ่งนี้เป็นยาสงบใจที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงแต่กลับเห็นผลทันตา แล้วจำเป็นจะต้องแสดงความเป็นมิตรต่อหลี่ฝูฉวี

เรื่องบางอย่างก็ทำไม่ได้

ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงจะต้องทบทวนตัวเองให้ดี พิจารณาชั่งน้ำหนักถึงมโนธรรมในใจตัวเองสักรอบว่าตนได้กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วจริงๆ หรือไม่

เฉินผิงอันก็ดี หลี่ฝูฉวีก็ช่าง

พวกเขาต่างก็ไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายออกจากด่านไปแล้ว บนหัวกำแพงเมืองริมชายแดนมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เกิดเป็นภาพมายาล่องลอยที่เห็นแค่เลือนๆ ก่อนที่สุดท้ายจะปรากฏเงาร่างของบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จัก

หากหลี่ฝูฉวีรู้เรื่องนี้ คาดว่าจิตแห่งเต๋าคงปริแตกเพราะความตกใจอย่างแน่นอน

เพราะแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปที่หลังจากแย่งชิงเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่แม้แต่ฉีเจินเต้าจวินก็ยังต้องการไปได้แล้ว ก็ยิ่งมีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินอย่าง หลิวเหล่าเฉิง

เขาออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ เดิมทีควรจะไปปรึกษาหารือการใหญ่กับซูเกาซาน แน่นอนว่าเขาก็ได้ไปพบอีกฝ่ายมาแล้ว เพียงแต่ว่าจะกลับเกาะกงหลิ่วอย่างไร กลับเมื่อไหร่ ไม่มีใครที่จะมาควบคุมเขาหลิวเหล่าเฉิงได้

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ย้ายจากสำนักใบถงมาอยู่สำนักกุยหยก อีกทั้งยังถือโอกาสขโมยสมบัติสำคัญชิ้นหนึ่งของศาลบรรพจารย์สำนักใบถงมาด้วยผู้นั้นก็ยังไม่กล้าเจ้ากี้เจ้าการกับหลิวเหล่าเฉิงมากเกินไป ยิ่งไม่กล้าลองหยั่งเชิงเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบน ต่อให้เป็นที่ใบถงทวีปซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่าแจกันสมบัติทวีปมากนัก ก็ยังถือเป็นบุคคลที่ตอแยด้วยยากอย่างถึงที่สุด

ไม่ว่าหลิวเหล่าเฉิงจะปรากฏตัวที่นั่นเวลานั้นด้วยเหตุผลใด หลิวเหล่าเฉิงแค่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็สลายวิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือของคนที่มีตบะใกล้เคียงขอบเขตเซียนเหรินไปได้ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนอิสระก็ต้องมีวิชาที่ถนัดหนึ่งอย่าง หรือมีฝีมือที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่หลายชนิด รวมไปถึงกระบวนท่าสังหารหรือไม่ก็สมบัติอาคมที่พลังพิฆาตรุนแรงแต่กลับลึกล้ำอำพรางอย่างถึงที่สุด ยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สามารถปกป้องจิตหยินจิตหยางได้เหมือนกระดองเต่า ช่วยให้หลบหนี สำรวจตรวจสอบ มีประโยชน์มากมาย กลเม็ดเคล็ดลับหลากหลาย ความสามารถสารพัดอย่าง แต่ล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่าง ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีที่พึ่งจึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน

หลี่ฝูฉวีทะยานตัวขึ้นฟ้ากลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปไกล กลางอากาศเหนือด่านสั่นสะเทือนเหมือนฟ้าผ่าฤดูหนาว ส่งเสียงดังครืนครั่น

หลังจากนั้นหลิวเหล่าเฉิงจึงปรากฏตัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าตัวดี ถือว่าพอจะมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้าง นับว่าเจ้าฉลาด ไม่อย่างนั้น…หึหึ”

ร่างของหลิวเหล่าเฉิงพุ่งวูบหายไป

ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ด่านประตูผีที่ซ่อนอยู่บนเส้นทางด่านคนเป็นประเภทนี้ ต่อให้เฉินผิงอันไปเยือนมาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

คนและเรื่องราวบนโลกก็มักจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าหลายๆ ครั้งจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ตัดสินเป็นตาย จะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวบางอย่างที่เบามากกว่า ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาที่พบเจอโดยไม่คาดคิด การสูญเสียอำนาจอย่างไม่มีลางบอกเหตุ การแก่งแย่งช่วงชิงอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ โชคดีเทียมฟ้าที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนทำให้คนสับสนมึนงง บ้างก็ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง บ้างก็คร่ำครวญหวนไห้อย่างทุกข์ระทม

มองดูเหมือนทุกอย่างล้วนมีตัวแปร แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้อยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต แต่อยู่ที่การกระทำของคน

คนลงมือทำ สวรรค์คอยจ้องมอง ต่อให้สวรรค์ไม่มอง คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังมองอยู่เช่นกัน

ส่วนเรื่องที่ว่าควรจะทำอย่างไร แต่ละคนต่างมีวิธีการเป็นของตัวเอง ก็หนีไม่พ้นทางเลือกที่แตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ การคิดแสวงหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว การทำแบบขอไปที สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถกลายมาเป็นต้นทุนในการหยัดยืนได้ทั้งสิ้น จุดเดียวที่น่าขันก็คือ ทั้งคนดีและคนเลวส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้หลักการที่ตื้นเขินเหล่านี้ ต่อให้รู้แล้วก็ยังคงไร้ประโยชน์ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ หลักการเหตุผลนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะถึงอย่างไรเมื่อทุกคนเดินมาถึงก้าวปัจจุบันก็ล้วนมีหลักการเหตุผลที่อยู่นอกเหนือจากตัวอักษรคอยประคับประคองอยู่ ความคิดและเส้นสายที่เป็นรากฐานที่สุดของแต่ละคนก็เหมือนเสาคานแต่ละต้นที่สำคัญที่สุด คำว่าเปลี่ยนแปลง แค่พูดก็ไม่ง่ายแล้ว และหากคิดจะปฏิบัติก็ยิ่งยาก ก็เหมือนการซ่อมแซมบ้านเรือนเติมอิฐต่อกระเบื้องที่ต้องใช้เงิน แต่หากเสาคานเอนเอง เรือนก็ย่อมไม่มั่นคง บางทีหากแค่ต้องเปลี่ยนแผ่นกระเบื้อง ซ่อมแซมหน้าต่างก็ยังพอทำเนา แต่หากคิดจะพยายามเปลี่ยนเสาคานเล่า? แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่ต้องบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูก หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย น้อยคนนักที่จะสามารถทำได้ ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ ประสบการณ์ก็ยิ่งโชกโชน นี่หมายความว่าในเมื่อมีบ้านอยู่แล้วจึงเคยชินที่จะอยู่อาศัยแบบนั้นแล้ว จึงเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงได้ยาก หากหายนะมาเยือน ตัวเองตกอยู่ในสภาพจนตรอก ถึงเวลานั้นก็ไม่สู้คิดแค่ว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนก็เป็นกันอย่างนี้ แล้วค่อยยืมประโยคมีชื่อเสียงสักสองสามประโยคมาใช้ปนกันส่งเดชเพื่อให้ตัวเองสบายใจได้ชั่วคราว หรือไม่ก็เลือกมองคนอื่นที่ต้องเผชิญกับเรื่องน่าสงเวชยิ่งกว่า แล้วก็จะคิดว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว

เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว แต่จู่ๆ เขากลับชักหัวม้าหันกลับ ควบตะบึงไปยังทิศทางของแคว้นเหมยโย่ว

ทว่าไม่ได้ไปรวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ แต่สละพาหนะของตัวเอง เอามันไปปล่อยไว้ในป่า ส่วนวันหน้าจะได้พบเจอกันอีกครั้งหรือไม่ก็ให้อยู่ที่วาสนา

เฉินผิงอันเดินเท้าออกมาจากทางเส้นเล็กเงียบสงัดที่มีเฉพาะคนตัดต้นไม้เท่านั้นที่ใช้เดิน เดินข้ามอาณาเขตของเทือกเขาไปพบคนผู้หนึ่ง

ภิกษุหนุ่มที่สามารถกำราบวานรในใจตัวเองได้

พอไปถึงใต้หน้าผาแห่งนั้น เฉินผิงอันก็หยุดเดิน พนมมือทั้งสิบคารวะไปทางโพรงหินที่อยู่บนจุดสูง

ภิกษุหนุ่มลุกขึ้นมาจากเบาะนั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แปลกใจ เพียงคารวะกลับคืน จากนั้นผายมือข้างหนึ่งบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันป่ายปีนขึ้นหน้าผามาตามสบาย

ตลอดทางที่เดินมานี้ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ได้รู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามมา แต่เขาก็ยังเดินไม่เร็วนัก แล้วก็ยังแสร้งทำเป็นว่าลมหายใจไม่คล่องเหมือนเวลาปกติ ส่วนภาพปราฎการณ์ภายในก็ย่อมมีวิชาลับเฉพาะของหลี่ฝูฉวีช่วยอำพรางให้ แต่กระนั้นก็ยังต้องคอยระวังทุกก้าวย่าง เขาไม่อาจทำร้ายคนอื่นและยังทำร้ายตัวเอง ทั้งเดือดร้อนหลี่ฝูฉวี แล้วยังพาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายด้วย

เฉินผิงอันประหนึ่งวานรในป่าที่ป่ายปีนไปบนหน้าผา

ภิกษุหนุ่มยืนอยู่ตรงโพรงหินเล็กแคบ หลังจากเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้ว เขาถึงได้เดินไปนั่งขัดสมาธิด้านใน แต่กลับยกเบาะนั่งใบนั้นให้แก่แขกผู้มาเยือน

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังนั่งลงไปบนเบาะ

ส่วนวานรในใจตนนั้นก็หลับตาอยู่ตลอดเวลาคล้ายกำลังนิทรา

ภิกษุหนุ่มเปิดปากเอ่ย “อาตมามาจากใบถงทวีป ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า อาตมาพูดได้ไม่คล่องนัก ส่วนหลักพระธรรม เดิมทีอาตมาก็รู้แค่ผิวเผิน อีกทั้งยังมีอุปสรรคทางด้านภาษาสองอย่าง หนึ่งคือถ้อยคำระหว่างเจ้าและอาตมา อีกหนึ่งคือความห่างระหว่างหลักพระธรรมและถ้อยคำในพระคัมภีร์ อาตมาจึงยิ่งไม่กล้าตัดสินเอาเอง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยด้วยภาษาทางการของใบถงทวีป “ยังดีที่ข้าเคยไปท่องเที่ยวที่ใบถงทวีป จึงสามารถพูดภาษาทางการของที่นั่นได้ พอจะถือว่าทำลายอุปสรรคเล็กๆ ไปได้บ้าง”

ภิกษุหนุ่มที่เรือนกายผอมแห้งยิ้มบางๆ “ประสกรู้หรือไม่ว่าใบถงทวีปมีคำกล่าวที่ว่า ‘อย่าเป็นพวกหัววัว’?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้ เกี่ยวกับหลักพระธรรม ข้ารู้อย่างตื้นเขิน หลายครั้งที่ออกเดินทางก่อนหน้านี้ก็ไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสกับพระคัมภีร์”

ภิกษุหนุ่มยกฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งตรงเบื้องหน้าตัวเอง “ไม่รู้ก็ดี ปัญหาและอุปสรรคในใจจะได้น้อยลง”

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของเฉินผิงอัน แต่เขากลับสะกดมันไว้เบาๆ

ถึงอย่างไรเรื่องการกำราบวานรในใจก็เป็นโชควาสนาบนมหามรรคาของภิกษุที่อยู่ตรงหน้า คนนอกไม่ควรพูดถึงง่ายๆ เขาจึงเปลี่ยนความคิดว่าจะถามถึงข้อสงสัยบางอย่างที่อยู่ในใจแทน

ทว่าภิกษุหนุ่มกลับคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ประสกมีวาสนากับพระธรรม เจ้าและอาตมาก็มีวาสนาต่อกัน อย่างแรกสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างหลังก็พอจะมองเห็นได้เลือนๆ คิดดูแล้วตอนที่ประสกท่องไปทางเหนือของใบถงทวีปคงจะเคยผ่านภูเขาลูกหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นภูตน้อยที่เหมือนจะเสียสติ คอยพร่ำถามว่า ‘จิตใจเช่นนี้จะบรรลุเป็นพุทธะได้อย่างไร’ ถูกหรือไม่?”

เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง

ภิกษุหนุ่มยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว”

ภิกษุหนุ่มมองไปนอกช่องโพรงหินราวกับมองเห็นไปถึงอีกทวีปหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลนับหมื่นลี้ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ถามถูกแล้ว อาตมาไม่มีทางให้คำตอบ”

แล้วภิกษุหนุ่มก็เอ่ยต่ออีกว่า “ปีนั้นบนเส้นทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์ อาตมาเป็นทั้งอาจารย์ แล้วก็เป็นทั้งลูกศิษย์ หนึ่งร่างแยกเป็นห้าส่วนโดยไม่ทันรู้ตัว หลงยึดติดงมงาย บางครั้งเจอกับภูตตามป่าเขาที่ทำดีต่อมนุษย์ ช่วยชี้ทางให้อาตมาด้วยความหวังดี บอกว่าภายหลังจะเจอคลื่นมรสุม แต่กลับถูกอาตมายกไม้ฟาดลงไป สังหารไปนับไม่ถ้วน ระหว่างเส้นทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์ อันที่จริงตอนนั้นก็ขาดสะบั้นไปแล้ว ขาดแล้วขาดอีก เดินมุ่งไปไม่หันย้อนกลับ ยังคงไม่รู้ตัว ท่องไปหนึ่งทวีปแล้วก็อีกทวีป ผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ ไปจากใต้หล้าแห่งนี้ และในที่สุดก็ได้พบเจอแดนสุขาวดีของพุทธศาสนา แต่พออาตมาหันหน้ากลับมา ทั้งบนมือและทั้งในหัวใจกลับว่างเปล่า”

ภิกษุหนุ่มถอนหายใจหนึ่งที แล้วมองมาทางเฉินผิงอัน “ประสก ถามมาเถิด”

เฉินผิงอันจึงบอกข้อสงสัยในใจของตัวเองออกมาช้าๆ มีทั้งความยากที่พบเจอในพระคัมภีร์ลัทธิพุทธ แล้วก็มีทั้งข้อสงสัยในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก

ภิกษุหนุ่มจึงใช้หลักพระธรรมไขข้อข้องใจให้เขา

เฉินผิงอันแค่เคยอ่านคัมภีร์ดั้งเดิมลัทธิพุทธที่ชุยตงซานแนะนำให้ไม่กี่เล่ม เขาไม่เข้าใจระบบสืบทอดและสายที่ค่อนข้างซับซ้อนของลัทธิพุทธเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้สักเท่าไหร่

ล้วนเป็นการถามคำถามที่สงสัยอย่างแท้จริง และรับฟังคำตอบจากภิกษุที่เดินทางไกลมาจากใบถงทวีปผู้นี้อย่างตั้งใจ

แล้วก็มีอยู่หลายจุดที่เฉินผิงอันประทับใจอย่างถึงที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของศาสตร์แห่งตรรกะ

คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ นอกจากจะตอบคำถามแล้ว ภิกษุหนุ่มยังขยายเรื่องที่พูดออกไปอีก คำพูดบางอย่างถึงขั้นแฝงร่องรอยของคำสอนลัทธิขงจื๊อลัทธิเต๋าและความรู้ของเมธีร้อยสำนักเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งภิกษุหนุ่มไม่ถือสาในเรื่องนี้แม้แต่น้อย

เมื่อเฉินผิงอันถามจนหมดคำถามแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อย่ากลัวว่าเมื่อถามปัญหาธรรมแล้วจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์เดินเข้าสู่หนทางแห่งพระธรรม นี่คือความเข้าใจผิดของคนบนโลก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เขาเคารพในพระธรรมก็จริง แต่ไม่คิดจะไปเป็นภิกษุอย่างจริงจัง

หลังจากนั้นก็พูดคุยเรื่องประสบการณ์ที่พบเจอในวัดซินซือของพื้นที่มงคลดอกบัวให้ภิกษุหนุ่มฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสนทนาที่มีกับภิกษุเฒ่าคนนั้น เฉินผิงอันก็เอามาเล่าด้วย

ภิกษุหนุ่มรับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งที่ได้ยินคำพูดตรงใจก็จะท่องภาษาธรรมออกมาเบาๆ

สุดท้ายเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถอยไปจากเบาะหนึ่งก้าว สิบนิ้วประนมก้มศีรษะไหว้ภิกษุหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง “ข้าหายสงสัยแล้ว”

ภิกษุหนุ่มลุกขึ้นตาม เขาเองก็ก้มศีรษะพึมพำภาษาธรรมเบาๆ ว่า “มีไปมีมา เสินซิ่วเชิญประทับ”

เฉินผิงอันถอยออกมาจากช่องโพรงหิน แล้วย้อนกลับทางเดิมลงไปจากหน้าผา

ภิกษุหนุ่มมองเบาะรองนั่งใบนั้นแล้วประนมมืออีกครั้ง พูดประโยคหลังซ้ำว่า “เสินซิ่วเชิญประทับ”

เฉินผิงอันไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่

แค่พอจะนึกขึ้นได้ว่า ที่บ้านเกิดมีภูเขาสูงลูกหนึ่งที่บนหน้าผาสลักคำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ ช่วงแรกเริ่มสุดตอนที่ขึ้นเขาลงห้วยไปกับคนอื่นก็เคยเดินไปถึงที่นั่น เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันสายตาไม่ดี บวกกับที่มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวน ต่อให้แหงนหน้ามองไปก็ยังเห็นได้ไม่ชัดอยู่ดี ภายหลังยังคงเป็นเว่ยป้อที่พาเขาเดินเที่ยวในอาณาเขตของขุนเขาเหนือถึงได้มองเห็น ตอนนั้นรู้สึกว่าการที่ช่างหร่วนเลือกภูเขาลูกนั้นไว้เป็นภูเขาที่ตั้งสำนัก ก็น่าจะเป็นเพราะในชื่อของแม่นางหร่วนมีอักษรคำว่า ‘ซิ่ว’

เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่ชายแดนแคว้นเหมยโย่ว แล้วเขาก็ดันเจอเข้ากับม้าตัวนั้นในผืนป่า พอมันเห็นเฉินผิงอันก็วิ่งห้อมาหาด้วยท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันตบหลังม้าเบาๆ พูดหยอกล้อว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเราต่างก็ผอมกันทั้งคู่ แต่เจ้ายังดีกว่าหน่อย แม้มองดูเหมือนจะผอมแห้ง แต่พอเคาะลงบนกระดูกยังได้ยินเหมือนเสียงโลหะ แต่ข้านี่เรียกว่าผอมจนหนังหุ้มกระดูก มีเนื้อแค่ไม่กี่จิน แค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว”

พลิกตัวขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน

ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ อีกฝั่งห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

หากตอนที่อยู่ในจวนจื่อหยางเฉินผิงอันมีสภาพอย่างในเวลานี้ คืนนั้นก็คงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูที่แสดงให้รู้ว่ายุทธภพอันตราย

ก็ไม่แปลกที่มือกระบี่ผู้เฒ่าในยุทธภพที่ด่านหลิวเซี่ยจะบอกว่า ไม่ใช่คนสวมชุดเขียวทุกคนต้องเป็นเซียนกระบี่

เฉินผิงอันเข้าทะเลสาบซูเจี่ยนโดยผ่านนครลวี่ถงอีกครั้ง เขายังคงเอาม้าไปฝากไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แล้วก็ยังคงไปซื้อซาลาเปาไส้เนื้อที่เป็นของดีราคาถูกสี่ลูกมาจากตรอกนั้น เพียงแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครึ่งปีก่อน กิจการของร้านจะซบเซาไปมาก เถ้าแก่หนุ่มมีสีหน้าอิดโรย มักจะทอดถอนใจบ่อยๆ เฉินผิงอันเดินกินซาลาเปาไปตลอดทาง พอเจอเรือข้ามฝากที่จอดไว้ตรงท่าเรือก็ทำความสะอาดรอบหนึ่ง ก่อนจะถ่อเรือกลับไปเกาะชิงเสีย

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

ขยับเข้าใกล้ช่วงปลายปี ทะเลสาบซูเจี่ยนในตอนนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วก็มีสภาพน่าอนาถยิ่งกว่าร้านขายซาลาเปาเสียอีก เมื่อปลายปีของปีก่อนมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกติดต่อกันถึงสามครั้ง ปราณวิญญาณในทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ผู้ฝึกตนที่เฉยชากับเรื่องของการเฉลิมฉลองปีใหม่ก็ยังเหมือนได้เฉลิมฉลองปีที่ดีกันไปรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าปีนี้ยังไม่ทันสิ้นสุดก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว เกาะนับพันแห่งซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียล้วนจำเป็นต้องมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เป็นของบรรณาการแก่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีใต้บังคับบัญชาของซูเกาซาน เกาะบางแห่งที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จูอิ๋ง รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติอย่างแคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วก็ต้องเรียกว่าลำบากยากแค้นอย่างที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่เพียงแต่เสียพลังต้นกำเนิดอย่างใหญ่หลวง ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของทั้งสองฝ่ายด้วย

ที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน และผู้ถวายงานอย่างอวี๋กุ้ยที่ร่วมมือกับเกาะทั้งหมดที่มีบรรพจารย์เป็นผู้ฝึกตนเซียนดิน ยกตัวอย่างเช่นคู่รักเซียนดินแห่งเกาะหวงหลีที่จับมือเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีข้อถกเถียงโต้แย้งใดๆ กลับกันยังร่วมมือกันอย่างซื่อสัตย์จริงใจเป็นพิเศษ พวกเขาเป็นฝ่ายลากเส้นโอบล้อมโดยมีสี่นครใหญ่รอบทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างนครน้ำบ่อ นครลวี่ถงเป็นหนึ่งในนั้นให้เป็น ‘หน้าด่าน’ ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดกล้าพกพาทรัพย์สินของเกาะหนีไปโดยพลการแล้วถูกจับได้ จะมอบตัวให้คนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ซึ่งมีทั้งแม่ทัพบู๊ม้าเหล็ก ขุนนางบุ๋นหนึ่งคน และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพสองคน คนทั้งสี่แยกกันปักหลักอยู่ในนครทั้งสี่แห่ง ประหนึ่งตาข่ายสวรรค์ที่แผ่ปกคลุมผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนไว้ด้านใน ออกไปไหนไม่ได้ ได้แต่แข็งใจกรีดเนื้อบนร่างตัวเอง เงินเทพเซียนหีบแล้วหีบเล่าถูกส่งออกไปนอกนครน้ำบ่อไม่ขาดสาย ระหว่างนี้ก็มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย หลังจากที่ผู้ฝึกตนอิสระตายกันไปเกือบร้อยคน ในที่สุดผู้ฝึกตนโอสถทองสองคนในบรรดานั้นก็ยอมสงบลง เก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างว่าง่าย

ว่ากันว่านี่เป็นแค่รอบแรกเท่านั้น

ลำดับถัดมายังมีเกาะใหญ่บางแห่งที่ได้รับคำอนุญาตจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจึงคิดทำตัวเป็นปลาใหญ่ที่กินกุ้งหอยปูปลา พากันบุกเบิกเกาะใต้อาณัติอย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายมีความเป็นไปได้ว่าเกาะนับพันเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้จะมีศาลบรรพจารย์น้อยใหญ่หายไปสามส่วน ควันธูปขาดสะบั้น ต้องตกอยู่ใต้อาณัติคอยพึ่งพาเกาะใหญ่อย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางขั้นตอนที่อบอวลไปด้วยคาวเลือดนี้ ผู้ฝึกตนทุกคนที่กล้าต่อต้าน มีเพียงจุดจบเดียวที่รอพวกเขาอยู่ เล่าลือกันว่าใต้บังคับบัญชาของซูเกาซานจะมีการตั้งตำแหน่งที่ไม่มีระดับขั้นอย่างใหม่ขึ้นมา นั่นคือผู้ฝึกตนจูงม้า ความหมายก็คือให้ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้คอยจูงม้าให้กับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลี หากซูเกาซานฉีกแนวเส้นป้องกันของแคว้นเหมยโย่วไปได้ บวกกับกองทัพใหญ่ของเฉาผิง กองทัพม้าเหล็กสองกองแบ่งทหารออกเป็นห้าจุด ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็จะผนึกกำลังกันโอบล้อมราชวงศ์จูอิ๋งเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ผู้ฝึกตนจูงม้ากลุ่มนี้มีโชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ สามารถอาศัยการเข่นฆ่าในสนามรบกับกองทัพจูอิ๋งมาสะสมคุณความชอบทางหารทหาร มีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพระดับขั้นต่ำที่สุด เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนจูงม้าสิบคนจะสามารถมีชีวิตรอดสักสองสามคน กลายมาเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพได้หรือไม่ก็คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ แล้วถ้ากองทัพม้าเหล็กต้าหลียังจะเคลื่อนพลลงใต้ต่อไปอีก จะทำอย่างไร?

คำกล่าวนี้เล่าลือกันอย่างสมจริงสมจัง เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ซูเกาซานคนเถื่อนต้าหลีที่บ้าเงินผู้นั้นสามารถทำเรื่องประเภทฆ่าไก่ชิงเอาไข่ได้จริงๆ

แต่ตอนนี้จิตใจของคนแตกแยก ขั้วอำนาจใหญ่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ นานแล้ว ใครเล่าจะกล้าชูธงลุกฮือต่อต้านขึ้นมาก่อน?

เวลานี้ผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนกลับคิดถึงความดีของหลิวจื้อเม่าขึ้นมา ปีนั้นแต่ละคนกลัวว่าหลิวจื้อเม่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ตอนนี้กลับเจ็บใจที่หลิวจื้อเม่าไม่ตั้งใจฝึกตนมากพอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นตกเป็นนักโทษของเกาะกงหลิ่ว ไม่อาจช่วยขยับขยายที่ทางให้แก่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้เลย

เฉินผิงอันขึ้นเกาะชิงเสีย เขานั่งอยู่ในห้องตรงหน้าประตูภูเขาพักหนึ่ง พบว่าด้านในไม่มีฝุ่นเกาะก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างมาก นี่น่าจะเป็นฝีมือของกู้ช่าน

มองดูเหมือนผิดต่อข้อตกลงของสองฝ่าย แต่อันที่จริงแล้วนี่คือเรื่องดี

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง ชำเลืองตามองทัศนียภาพของทะเลสาบแวบหนึ่ง

ระหว่างทางผ่านเกาะมาไม่น้อย คิดดูแล้วป่านนี้พวกคนมีใจคงรู้ข่าวนี้แล้ว

เพียงแต่เวลานี้ไม่เหมือนในอดีตจึงไม่มีแขกขึ้นเกาะมาเยี่ยมเยียนอีก อันที่จริงคราวก่อนที่เฉินผิงอันออกจากแคว้นสือหาวกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้เจอกับสภาพการณ์ที่เงียบเหงาเช่นนี้แล้ว

พวกเจ้าเกาะอย่างอวี๋กุ้ย เจ้าเกาะไผ่ม่วง หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชต่างก็ทยอยกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ครึกครื้นจนราวกับว่าเฉินผิงอันต่างหากที่เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยน

หากร่ำรวยต่อให้อยู่ในภูเขาลึกก็ยังมีญาติมาเยี่ยมเยียน แต่หากยากจนต่อให้อยู่ในตลาดครึกครื้นก็ยังไร้คนถามหา

เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณกาล

เฉินผิงอันชื่นชอบความเงียบสงบเช่นนี้ เขายังคงไปเยือนซากปรักหักพังของจวนเหิงโปพักหนึ่ง มองมันให้นานหน่อย จะได้ยิ่งเข้าใจความอันตรายของการฝึกตนบนภูเขามากอีกหน่อย

ครั้งนี้เพียงไม่นานกู้ช่านก็ตามมาที่ซากของจวนเหิงโป เขามายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ยังนึกว่าเจ้าจะกลับมาหลังปีใหม่เสียอีก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสะท้อนใจ “หลังจากนี้ยังต้องไปที่กลุ่มเทือกเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน อาจจะต้องเสียเวลามากกว่านี้”

กู้ช่านพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันถาม “เถียนหูจวินเคยมาหาเจ้าหรือไม่?”

กู้ช่านกล่าว “เคยมา นางพูดจาค่อนข้างจะจริงใจ แถมยังเกลี้ยกล่อมให้ข้าวางมาดใหญ่โตลง บอกว่าในเมื่อข้ามีชาติกำเนิดมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ก็คือต้นทุนที่ไม่เล็กก้อนหนึ่ง ไม่สู้ไปที่นครน้ำบ่อ ตามหาผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอายุไม่มากท่านหนึ่ง ยังบอกว่าคนที่อายุเท่านี้แต่มาเฝ้าพิทักษ์นครน้ำบ่อได้ แสดงว่าต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ พยายามตีสนิทใกล้ชิดกับคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง เพียงแต่ข้าไม่ค่อยกล้าเชื่อนาง ตอนนี้นางกับหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อค่อนข้างจะสนิทกันมาก”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เหตุผลที่นางเกลี้ยกล่อมให้เจ้าไปนครน้ำบ่อ ไม่ถือว่าโกหก เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่นางบอก เจ้าไม่ได้ตอบรับนางโดยการไปหาผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีผู้นั้นที่นครน้ำบ่อก็ไม่ถือว่าผิด เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาคนนั้นมีนิสัยอย่างไรกันแน่ จะถูกหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อวางแผนเล่นงานเจ้าไว้แต่แรกแล้วหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้ากลับสามารถพูดถึงนิสัยบางอย่างของคนทั่วไปได้ ยกตัวอย่างเช่นหากผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าหลีจริง การที่เขาได้เข้าร่วมกองทัพ รับผิดชอบเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่จำเป็นต้องลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู นี่ก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีจิตใจหยิ่งทระนง ไม่ยินดีอาศัยตระกูลมาก่อร่างสร้างตัว นี่คือข้อแรก อีกทั้งลูกหลานตระกูลขุนนาง ส่วนใหญ่แล้วต่อให้จะเข้าใจการกระทำที่เจ้ากู้ช่านเคยทำลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้แค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางจะยอมรับได้ เพราะพวกเขาเคยชินกับกฎเกณฑ์ในวงการขุนนาง และยอมรับในมาตรฐานชุดนั้นมากกว่า ดังนั้นข้าไม่พูดว่าการที่เจ้าไม่ไปเยือนนครน้ำบ่อเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยก็ไม่ผิดแน่นอน”

กู้ช่านหันมามองเฉินผิงอัน ยิ้มถามว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง ก่อนจะชี้ไปที่สมองของตัวเอง “มองให้มากคิดให้มาก ก็จะผิดน้อยลงไปอีกนิด อีกทั้งยังสามารถพร้อมรับมือกับการทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขได้ตลอดเวลา นอกจากความเป็นความตายแล้ว ต้องรู้จักเว้นที่ว่าง เว้นทางถอยไว้ให้กับตัวเองในทุกๆ เรื่อง เส้นทางไม่ควรยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง ไม่อย่างนั้นวันใดอาจค้นพบกะทันหันว่าพาตัวเองไปอยู่ในซอยตันทางหัวขาดแล้วก็เป็นได้”

กู้ช่านทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบเศษหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอมเป็นหยกแตก ดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นต้องเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีทางเลือกแล้ว สำหรับข้อนี้เจ้าต้องคิดให้เข้าใจชัดเจนว่าอะไรที่เรียกว่าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ แล้วเหตุใดถึงต้องก้าวไปบนเส้นทางที่อับจนหนทางเส้นนั้น จากนั้นค่อยคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่สวรรค์จะไม่ไร้ทางให้คนเดิน อันที่จริงยังมีทางเลือกอย่างอื่นอยู่อีก”

เฉินผิงอันเองก็ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบเศษกระเบื้องแก้วสีเขียวชิ้นหนึ่งที่หากอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์จะถือว่าเป็นวัสดุปลูกสร้างที่เกินสถานะขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าอาจจะรู้สึกว่ามันค่อนข้างซับซ้อน นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่สามารถประกอบเส้นสายนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกว่ายุ่งยากมาก อันที่จริงมันไม่ได้ยากขนาดนั้น นี่ก็เหมือนที่คนคนหนึ่งเดินท่องอยู่ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำ เวลาเจอภูเขาก็ปูเส้นทาง เจอน้ำก็สร้างสะพาน ขอแค่เจ้ารู้ว่าควรจะปูถนนสร้างสะพานอย่างไร เจ้าก็จะค้นพบว่า อันที่จริงแล้วอุปสรรคขวางทางที่เจอระหว่างภูเขาแม่น้ำและด่านยากในชีวิตคน ไม่ได้ข้ามผ่านไปได้ยากขนาดนั้น แน่นอนว่าเมื่อรู้วิธีปูถนนสร้างสะพานแล้ว การรู้ว่าต้องหาวัสดุแบบใดก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยยากมากเหมือนกัน ต้องเก็บก้อนหินเอง ต้องขึ้นเขาไปตัดต้นไม้เอง ถ้าไม่มีเงินก็ยังต้องติดหนี้เพื่อน หรืออาจจะยังถึงขั้นต้องนอบน้อมถ่อมตน ไปขอยืมเงินจากคนที่ตัวเองไม่ชอบ ถึงจะสร้างถนนและสะพานที่ดีขึ้นมาได้ แต่เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำ ขึ้นภูเขามาแล้ว เจ้าก็จะค้นพบว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า หากแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้ายังไม่สามารถทำได้สำเร็จ ทว่ามีเพียงถึงเวลานั้นเท่านั้น เจ้าถึงจะเอ่ยประโยคที่ว่า ต่อให้ยังอยู่ในทางตัน แต่ข้าถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอายได้ จากนั้นค่อยมาพูดถึงประโยคที่ว่ายอมเป็นหยกแตกดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์อย่างที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ นี่จึงจะสอดคล้องกับทฤษฎีลำดับขั้นตอน”

กู้ช่านก้มหน้าพึมพำ “ตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าก็ทำแบบนี้สินะ”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงเป่าฝุ่นที่ติดอยู่บนกระเบื้องแก้วใสสีเขียวชิ้นนั้น แล้วอืมรับหนึ่งที “พูดประโยคหนึ่งที่เจ้าอาจไม่อยากฟังนัก เมื่อข้ามาถึงเกาะชิงเสียแล้วรู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าอย่างมาก ข้าถึงตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกเรา คำพูดไม่น่าฟัง แต่ก็ถือเป็นคำพูดจากใจจริงของข้า เจ้าลองฟังดูก่อน นั่นก็คือตอนที่พวกเราเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นครั้งแรก พวกเราต่างก็หวาดกลัวต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก ใช่ไหม?”

กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “แต่พวกเราเลือกหลักการที่ไม่เหมือนกัน ข้าสำรวจโลกที่แปลกประหลาดใบนี้ด้วยความระมัดระวัง สำหรับทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายข้า ข้าจะพยายามมองไปยังความคิดที่แท้จริงของพวกเขา เรียนรู้ในข้อดีของพวกเขา ครุ่นคิดว่าพวกเขากลายมาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร ส่วนเจ้า เจ้าเลือกจะเดินไปบนทางลัดที่สามารถประหยัดแรงกายแรงใจได้มากที่สุด ข้าเข้าใจความลำบากยากเข็ญนานาประการที่เจ้าต้องเผชิญบนเกาะชิงเสีย รวมไปถึงการปกป้องที่เจ้ามีต่อแม่ของเจ้า ขนาดข้ายังรู้สึกเลื่อมใสนับถือเจ้า แต่เรื่องบางอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าสนิทกับเจ้า รู้ถึงความยากลำบากของเจ้าแล้วจะสามารถพูดกับเจ้ากู้ช่านได้ว่า กู้ช่าน เจ้าทำไม่ผิด อันที่จริงเรื่องราวบนโลกมีการแบ่งแยกถูกผิดอย่างชัดเจน ห้ามรู้สึกเด็ดขาดว่าจิตใจคนซับซ้อน แม้แต่ถูกผิดที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดก็ยังปะปนกันมั่วซั่ว สำหรับตัวข้าแล้ว หากจะให้พูดประโยคที่เลวระยำมากกว่าเดิมก็คือ ต่อให้เป็นคนเลว ก็ควรจะรู้ว่าสรุปแล้วตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ทำผิดกฎไปกี่มากน้อยแล้ว คนเลวแบบนี้ถึงจะสามารถสร้างหายนะได้นานนับพันปี เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจ อีกทั้งเมื่อก่อนยังชอบแสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ”

กู้ช่านถอนหายใจ พูดตำหนิว่า “ก็ยังต้องโทษเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ เพิ่งจะมาทะเลสาบซูเจี่ยนเอาป่านนี้ หากเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังตั้งแต่แรก ข้าต้องฟังเข้าหูแน่”

เฉินผิงอันไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย นี่ก็คือนิสัยปากแข็งของเด็กคนหนึ่ง ในทางกลับกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในใจอย่างหนึ่ง

เมื่อเทียบกับอาหารมื้อแรกที่กินในจวนชุนถิง รวมไปถึงคืนนั้นที่กู้ช่านยอมรับว่าตัวเอง ‘ชอบฆ่าคน’ แล้ว ก็คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันลูบศีรษะของกู้ช่าน

กู้ช่านก้มหน้าลง

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หากหลังจากนี้มีวันใดที่แม่ของเจ้าแอบมาบอกเจ้าว่า ต้องแสร้งวางแผนลอบสังหารที่จวนชุนถิงสักครั้งหนึ่ง จะได้ให้ข้าอยู่ต่อบนเกาะชิงเสีย ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้พวกเจ้าสองแม่ลูก เจ้าอย่าได้รับปากนางเป็นอันขาด เพราะไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ต้องไปเถียงนาง เพราะไม่มีประโยชน์เช่นเดียวกัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างของแม่เจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่พ่อของเจ้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง?”

กู้ช่านเงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำไม นางพูดกับเจ้าแล้วหรือ?”

กู้ช่านทอดถอนใจ พึมพำว่า “ข้าเริ่มกลัวเจ้าแล้วนะ เฉินผิงอัน”

เฉินผิงอันวางกระเบื้องแก้วในมือชิ้นนั้นลง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “นั่นเป็นเพราะปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก ข้าเก็บซ่อนอารมณ์ได้ดี เรื่องราววุ่นวายใจมากมายล้วนไม่เคยเล่าให้เจ้าฟัง”

กู้ช่านหัวเราะ “ก็จริงนะ ตอนนั้นข้าหรือจะคิดถึงเรื่องพวกนี้ วันๆ คิดแต่อยากจะให้เจ้าซื้อนั่นซื้อนี่ให้ ทุกครั้งที่เจ้าเอาเงินเหรียญทองแดงกลับจากเตาเผามังกรมาที่ตรอกหนีผิง ข้าก็จะต้องทำเหมือนเฉลิมฉลองปีใหม่ ใช่แล้ว เจ้าไม่เสียดายเงินพวกนั้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าต้องเสียดายแน่ แต่กับเจ้า ข้าไม่เคยเสียดายเลยสักครั้ง แรกเริ่มก็เพราะอยากจะตอบแทนบุญคุณ แต่ตอนหลังไม่ใช่แล้ว มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว”

จู่ๆ กู้ช่านก็ถามคำถามหนึ่ง “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เพื่อนของเจ้าอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ?”

เฉินผิงอันหัวเราะ “คำถามนี้ถามได้ดี”

กู้ช่านหัวเราะหึหึ

เฉินผิงอันยกมือขึ้นวาดเส้นยาวๆ เส้นหนึ่ง แล้วพูดกับกู้ช่านอย่างจริงจังว่า “ข้อแรก ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป มีความเป็นไปได้มากว่าชีวิตของพวกเราจะยาวนาวกว่าชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นพวกเราต้องมองการณ์ให้ไกลสักหน่อย คิดถึงแต่คนดีๆ เรื่องดีๆ ให้มากหน่อย เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ไปเห็นภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ บนเส้นทางของชีวิตคน ข้าเองก็เคยเจอหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจอเรื่องที่คิดไม่ตก ถึงเวลานั้น ข้าจะมาหาพวกเจ้าเพื่อให้ช่วย แต่จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้บอกกับเจ้าว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหายที่ดีก็เหมือนเหล้าเก่าแก่ที่เก็บไว้ในห้องใต้ดิน เก็บค้างไว้ปีหนึ่งก็หอมหวานขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันกำหมัดเบาๆ “ข้อสอง กู้ช่าน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าเองก็เคยพบเจอคนมากมายที่ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้พวกเขาไม่ได้เหมือนกัน? เคยสิ แล้วก็ไม่ใช่แค่คนสองคนด้วย ต่อให้เป็นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังมีพวกซูซินไจและโจวกั้วเหนียน ต่อให้ไม่นับรวมความสัมพันธ์ที่มีต่อเจ้า ขอแค่ได้พบเจอกับพวกเขาก็ยังทำให้จิตใจของข้าไม่สงบได้อยู่ดี เพราะจะรู้สึกว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีคน…ผี…ที่ดีแบบนี้ได้?”

เฉินผิงอันมองกู้ช่าน มองการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จากสีหน้าและดวงตาของเขา

อีกทั้งยังไม่ปกปิดการสำรวจตรวจตราของตัวเองแม้แต่น้อย

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

กู้ช่านประสานสายตากับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน ข้าจะไหว้วานเจ้าเรื่องหนึ่งได้ไหม? ช่วยส่งท่านแม่ข้าออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้ไหม? ยกตัวอย่างเช่นกลับไปที่ตรอกหนีผิง หรือไม่ก็ส่งไปอยู่ข้างกายท่านพ่อข้า”

เฉินผิงอันถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”

กู้ช่านกล่าว “เจ้าเคยบอกว่า ใช้เหตุผลหรือไม่ใช้เหตุผล อันที่จริงล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทน ค่าตอบแทนของการไม่มีเหตุผล ข้าเข้าใจแล้ว ค่าตอบแทนของการใช้เหตุผลที่เจ้าพูดถึง ข้าก็อยากจะลองทำดู การเดินทางไปตอนใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าจะไปกับเจิงเย่ เจ้าแค่ต้องส่งท่านแม่ข้าออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็พอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

ราวกับว่าเขารอคอยประโยคนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว

กู้ช่านสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เฉินผิงอันก็สอดสองมือประสานกันไว้ในแขนเสื้อเช่นกัน พวกเขามองซากปรักตรงหน้าอยู่ด้วยกัน

หลังจากนั้นกู้ช่านก็กลับไปที่จวนชุนถิง เกี่ยวกับข้อตกลงใหม่ที่มีกับเฉินผิงอัน เขาไม่ได้เล่าให้มารดาฟังแม้แต่คำเดียว เพียงแค่เอ่ยประโยคปลอบใจนางเล็กน้อย

ส่วนเฉินผิงอันก็ไปเยือนนครน้ำบ่อมาหนึ่งรอบ

แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นนั้น แม้จะพบหน้าซูเกาซานไม่ได้ แต่จะพบผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ปักหลักเฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้กลับยังถือว่ามีน้ำหนักมากพอ

ผลกลับกลายเป็นว่าพอเขามาเยือนจวนสกุลฟ่านที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาและได้พบหน้าผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นแล้ว คนทั้งสองต่างก็มองหน้ากันตาปริบๆ

กวนอี้หราน

เฉินผิงอัน

โลกมักจะกลมเช่นนี้เสมอ

กวนอี้หรานเกรงอกเกรงใจอย่างมาก ทั้งกระตือรือร้นและจริงใจ

แต่พอเฉินผิงอันบอกว่าจะส่งมารดาของกู้ช่านที่อยู่บนเกาะชิงเสียไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียน กวนอี้หรานกลับไม่ได้รับปาก แต่ทำงานไปตามหน้าที่ บอกว่าเรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เขาไม่อาจตัดสินใจได้เองโดยพลการ จำเป็นต้องแจ้งให้แม่ทัพใหญ่ซูเกาซานทราบ

เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่าง

นี่ต่างหากคือกฎเกณฑ์ที่สมควรมีในการกระทำเรื่องใดๆ ก็ตาม

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนปะปนซับซ้อน ไม่แยกแยะส่วนรวมและส่วนตัว มองดูเหมือนใช้วิธีแสวงหาความก้าวหน้าเดินทางลัด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนราบรื่นอย่างถึงที่สุด การคบค้าสมาคมหวานชื่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทิ้งโรคร้ายไว้บนเส้นทางของชีวิตคน ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องเจอกับกรรมตามสนอง

กวนอี้หรานบอกว่าภายในสิบวัน ช้าสุดคือครึ่งเดือน แม่ทัพใหญ่ก็จะมอบคำตอบมาให้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขาจะแจ้งให้เฉินผิงอันทราบในทันที

คุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว

คนทั้งสองก็ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันเป็นคนเลี้ยง

ก็เหมือนอย่างที่กวนอี้หรานผู้ฝึกตนหนุ่มของต้าหลีเคยพูดล้อเล่นตรงหน้าประตูเมืองแคว้นสือหาวแห่งนั้น ไม่ว่าเรื่องไหนก็ติดหนี้เขาได้ ทว่าแม้แต่เทพยดาบนสวรรค์ก็ไม่สามารถติดค้างเหล้าเขากวนอี้หรานได้

แม้ว่ากวนอี้หรานจะเป็นหลานทวดของเจ้าประมุขสกุลกวนอันเป็นเสาหลักของต้าหลีในปัจจุบัน แต่ก็เหมือนที่เฉินผิงอันคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งเป็นลูกหลานขุนนางที่มีภาระรับผิดชอบเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นความสำคัญกับสองคำว่ากฎเกณฑ์มากเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นกู้ชานที่มาที่นี่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งกว่ากวนอี้หรานจะให้เขากินน้ำแกงประตูปิด อีกทั้งช่วงนี้คนอย่างพวกหวงเฮ้อก็คอยเป่าหูกวนอี้หรานอยู่ไม่น้อยจริงๆ มีเจตนาชั่วร้าย แต่วิธีที่ใช้ไม่ถือว่าฉลาด กวนอี้หรานมองออกในทันที ต้องรู้ว่าสกุลกวนคือเสาหินที่ตั้งอยู่กลางกระแสน้ำของวงการขุนนางต้าหลีมานานถึงสองร้อยปี สำหรับกลอุบายประเภทนี้ เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว กวนอี้หรานถึงขั้นรู้สึกวาพวกหวงเฮ้อยังไม่นับว่าฉลาดพอ ต่อให้สามารถใช้กู้ช่านคนหนึ่งมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระยะสั้นได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่ออยู่บนเส้นสายของเขากวนอี้หรานนี้ ก็อย่าหวังว่าจะมาทาบทามติด ผลได้ผลเสียที่อยู่ในนั้น หวงเฮ้ออาจคิดได้แล้ว เพียงแต่ว่าผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าล่อลวงใจมากเกินไป หรือหากคิดไม่ได้ก็เป็นเพราะเขาไม่อาจคาดการณ์ได้ถึงความลึกล้ำของรากฐานตระกูลกวนอี้หรานเลย และกวนอี้หรานเองก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตัวเองต่อคนนอกมาก่อน

ทว่าเรื่องวงในเหล่านี้ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันไม่เคยเล่าคำเตือนของหลิวเหล่าเฉิงให้หลี่ฝูฉวีฟัง ต่อให้กวนอี้หรานจะรู้สึกถูกชะตากับเฉินผิงอันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางนำพวกคนอย่างหวงเฮ้อ เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินมาเป็นหัวข้อพูดคุยในวงเหล้าอย่างแน่นอน

สิบวันผ่านไป กระบี่บินส่งข่าวจากนครน้ำบ่อก็มาถึงเกาะชิงเสีย กวนอี้หรานบอกกับเฉินผิงอันว่าท่านแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานรับปากเองว่า มารดาของกู้ช่านสามารถนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ แต่ห้ามนำเงินเทพเซียน หรือสมบัติในคลังลับของเกาะชิงเสียออกไปด้วยมากนัก ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องมอบป้ายสงบสุขปลอดภัยคืนให้แก่ต้าหลี อีกทั้งในเอกสารคดีของเขาที่อยู่ในที่ว่าการกรมพิธีการก็จะเท่ากับว่าสูญเสียยันต์คุ้มกันกายของผู้ฝึกตนอันดับต้นของต้าหลีไปอย่างสิ้นเชิง วันหน้าหากคิดจะได้มาครอบครองอีกครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยคุณความชอบแลกมา

เฉินผิงอันตอบรับอย่างไม่ลังเล

ทางฝ่ายของจวนชุนถิง สตรีแต่งงานแล้วที่จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวนี้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ประหนึ่งได้ยินข่าวร้ายที่ใหญ่เทียมฟ้า

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เห็นว่าทั้งเฉินผิงอันและกู้ช่านต่างก็ไม่พูดอะไรราวกับนัดกันมา สตรีแต่งงานแล้วก็คล้ายจะยอมรับชะตากรรม สอบถามเฉินผิงอันว่ากู้ช่านจะทำอย่างไร แล้วยังพูดว่าหากนางไม่อาจออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้พร้อมกับกู้ช่าน ต่อให้ตายนางก็ไม่มีทางไปจากเกาะชิงเสีย

กู้ช่านมองมาทางเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ออกไปพร้อมกันได้ การเดินทางไปยังกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าสามารถไปเองได้”

กู้ช่านถาม “ท่านแม่ข้ากลับตรอกหนีผิงคราวนี้จะปลอดภัยไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ซูเกาซานก็ดี กวนอี้หรานก็ช่าง ขอแค่ตกปากรับคำแล้วก็ล้วนเชื่อถือได้ หากไม่วางใจจริง ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะสามารถกลับไปพร้อมกับท่านแม่ของเจ้า เรื่องบางอย่าง ขอแค่เจ้าอยากทำด้วยความจริงใจก็ล้วนทันเวลาเสมอ”

กู้ช่านจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด

สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างขลาดๆ “วันหน้ายังกลับมาอีกได้ไหม?”

เฉินผิงอันเอ่ย “มีโอกาสนี้ แต่ตอนนี้ข้าไม่กล้ารับประกัน”

หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถามถึงรายละเอียดอีกมากมายในการหวนคืนสู่บ้านเกิด เฉินผิงอันไล่ตอบไปทีละคำถาม เห็นได้ชัดว่าทุกเรื่องที่นางคิดถึง เฉินผิงอันก็คิดถึงเหมือนกัน ถึงขั้นที่ว่าเขายังคิดถึงเรื่องที่สตรีแต่งงานแล้วนึกไม่ถึงด้วย

นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่จิตใจเหมือนถูกมีดกรีดพอจะผ่อนคลายขึ้นได้หลายส่วน

สามารถนำสมบัติส่วนหนึ่งของจวนชุนถิงกลับไปได้ ยกตัวอย่างเช่นเงินเทพเซียนกองใหญ่ และยังสามารถเลือกสาวใช้ห้าหกคนในจวน พวกอักษรภาพ ของเล่นโบราณทั้งหลายก็มีอยู่ถึงสามหีบใหญ่ อีกทั้งนางยังสามารถเลือกสมบัติวิเศษสิบชิ้นและสมบัติอาคมหนึ่งชิ้นในคลังลับของเกาะชิงเสียไปได้ด้วยตัวเอง

หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมก็ทำเหมือนกับมดย้ายรัง ดั่งนกนางแอ่นคาบดินมาก่อร่างสร้างรังตัวเองดุจครั้งที่ยังอยู่ในตรอกหนีผิงปีนั้น

เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก ล้วนเป็นกู้ช่านที่คอยอยู่เคียงข้างนาง

สุดท้ายกู้ช่านมาหาเฉินผิงอันที่เรือนหน้าประตูภูเขา บอกว่าเขาคิดจะไปเป็นเพื่อนมารดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่วางใจ

เฉินผิงอันตอบรับด้วยรอยยิ้ม

คนทั้งสองนั่งอาบแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูหนาวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นเองกับมือ

กู้ช่านเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวว่าข้าไปแล้วจะไม่กลับมาหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องที่ข้ากลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว และข้าก็เผชิญหน้ากับมันแล้ว ยากที่จะรู้สึกผิดหวังได้อีก”

ในมือของกู้ช่านถือเตาอุ่นมือที่เฉินผิงอันยื่นส่งมาให้ก่อนหน้านี้ “ขอโทษนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนกัน ตอนนั้นข้าได้เตรียมใจต่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด และก่อนหน้านี้ก็ได้บอกกับเจ้าไปแล้ว ข้ามีสัญญาสิบปีกับแม่นางคนหนึ่ง หากต้องใช้เวลามากมายขนาดนั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าก็คงต้องจากไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไปเยือนภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อพบนาง เล่าให้นางฟังถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วค่อยกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยน ตอนนั้นเจ้าพูดไว้ว่าอย่างไร? ไปเถอะ ขอแค่ยังกลับมาจริงๆ ต่อให้สิบปีร้อยปีให้หลัง หรือช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “แต่ตกลงกันก่อนว่า หากเจ้ามาช้า ก็สู้ไม่มาเสียยังดีกว่า”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ไม่มีทาง เชื่อใจข้าสักครั้ง”

เฉินผิงอันผงกศีรษะ

ปลายปีของปีนี้ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนยังไม่มีหิมะตกแม้แต่ครั้งเดียว

วันนี้เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินสั่งให้คนนำเรือหอเรือนลำหนึ่งมาจอดที่ท่าเรือของเกาะชิงเสีย สตรีแต่งงานแล้วพาสาวใช้ลักษณะท่าทางน่าเอ็นดูไปด้วยหกคน รวมไปถึงหีบหลายใบ พากันขึ้นเรือมา

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่หัวเรือเป็นเพื่อนกู้ช่าน

นอกจากเอ่ยทักทายในช่วงแรกแล้ว เถียนหูจวินก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก ไม่รู้ว่ากำลังพิจารณาและประเมินสถานการณ์หรือในใจมีความละอาย แต่สรุปก็คือนางไม่ได้เผยตัว

กู้ช่านเอ่ยเบาๆ “เพื่อเรื่องนี้คงต้องสิ้นเปลืองเงินทองอีกกระมัง”

เฉินผิงอันหิ้วเตาไฟใบเล็กใบนั้น “ก่อนหน้านี้ช่วยบ้านเจ้าแย่งน้ำ โดนคนทุบตีก็หลายครั้ง ถึงขั้นตอนที่ไปเป็นช่างปั้นแล้ว เนื่องจากพอมีเวลาว่างก็ต้องกลับเมืองเล็กมาช่วยบ้านเจ้าทำนา ข่าวลือและคำนินทาที่ผู้คนพูดกันระคายหูจนปีนั้นข้าเกือบจะทนไม่ได้ ความรู้สึกย่ำแย่แบบนั้นไม่ได้ดีไปกว่าการที่ต้องเสียวัตถุนอกกายพวกนี้ในตอนนี้เลย อันที่จริงยังทรมานกว่าด้วยซ้ำ มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า รู้สึกว่าจะช่วยก็ไม่ใช่ ไม่ช่วยก็ไม่ใช่ ไม่ว่าทำอย่างไรก็ล้วนผิดไปหมด”

อันที่จริงกู้ช่านไม่ค่อยสนใจพวกสตรีปากยื่นปากยาวพวกนั้นสักเท่าไหร่ เขาใช้ไหล่ชนกระทบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “เฉินผิงอัน จะบอกความลับอย่างหนึ่งแก่เจ้า อันที่จริงปีนั้นข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าหากเจ้ามาเป็นพ่อของข้าจริงๆ ก็ไม่ได้แย่ หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น กล้าเข้ามาอยู่ในบ้านข้าก็คอยดูเถิดว่าข้าจะฉี่ใส่ชามข้าว อึใส่ถังข้าวสารบ้านเขาหรือไม่”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึนทันใด ตบผลัวะเข้าที่ศีรษะกู้ช่านเต็มแรง

กู้ช่านยิ้มหน้าเป็น “ล้อเล่นน่า อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง”

แต่แล้วกู้ช่านก็รู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย “บอกตามตรง ข้าไม่มีความทรงจำต่อบิดาเลยสักนิด ไม่รู้เลยว่าเมื่อเจอหน้ากันแล้วควรจะพูดอะไร”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”

มาถึงนครน้ำบ่อ กวนอี้หรานเป็นผู้มาต้อนรับด้วยตัวเอง เฉินผิงอันที่ลงมาจากเรือพูดคุยกับเขาอย่างถูกคอ นี่ทำให้เถียนหูจวินที่รออยู่ชั้นบนของเรือหอเรือนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

กู้ช่านพูดกับเฉินผิงอันในขณะที่อำลากันว่า “วางใจเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะกลับมา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไปทำธุระของเจ้าได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ”

เฉินผิงอันที่หิ้วเตาไฟพยักหน้ารับ มองส่งพวกเขาจากไป บนลานกว้างหยกขาวของสุกลฟ่านนครน้ำบ่อมีเรือข้ามฝากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่ซูเกาซานจัดหามาให้จอดรอไว้อยู่แล้ว มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ด้านใน นอกจากนี้ก็มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกสองคน

ตอนนี้ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นอาณาเขตของต้าหลี อันที่จริงต่อให้ไม่มีเซียนดินโอสถทองก็ไม่มีทางมีอันตรายมากนัก

เรือข้ามฟากทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ

เฉินผิงอันดึงสายตากลับคืนมา กวนอี้หรานที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มกล่าวว่า “เรื่องของเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าแค่เคยได้ยินมาบ้าง รู้ว่าที่เกาะชิงเสียมีนักบัญชีประหลาดอยู่คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่ แต่พอค้นพบว่าที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ช่วงนี้ข้าเลยเลือกรายงานเกาะปุยหลิวมาบางส่วน รวมไปถึงหารายงานของสายลับศาลาคลื่นมรกตมาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งอีกสักหน่อย จำต้องพูดว่านี่เป็นวิธีการที่โง่เง่าที่สุดจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กลึงหินให้เป็นกระจก สะสมหิมะให้เป็นธัญญาหาร หากสำเร็จขึ้นมาได้จริงๆ ล่ะ?”

กวนอี้หรานกล่าว “แต่หากไม่เป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางปลุกความกล้าเขียนจดหมายเพิ่มอีกฉบับหนึ่งไปเร่งท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าไม่ได้คิดจะทวงความดีความชอบหรอกนะ แล้วก็ยิ่งไม่ได้เอ่ยชื่นชมตัวเอง แต่เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังนึกกลัวไม่หาย เจ้าไม่รู้นิสัยของท่านแม่ทัพใหญ่พวกเรา หัวหน้ากองของข้าในช่วงแรกเริ่มสุด ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงแล้ว บวกกับผู้บัญชาการณ์ของข้าในตอนนี้ เวลาปกติมักจะเป่าหนวดถลึงตาใส่พวกเรา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ถูกชะตาราวกับพ่อตาเจอกับลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น แต่พอพวกเขาได้เจอกับท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ละคนราวกับหนูกลัวแมว เอ่ยประจบยกยอกันโดยไม่รู้สึกอายแม้สักนิด ดังนั้นข้าจะต้องขอเหล้าสองกาจากเจ้ามาดื่มระงับความตกใจสักหน่อย”

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็ร่วมดื่มเหล้ากับกวนอี้หรานและสหายของเขาอีกสองสามคน ค่าเหล้าล้วนเป็นเฉินผิงอันที่ออก พวกคนยากจนอย่างพวกเขาจึงสั่งกับแกล้มมาจากตระกูลฟ่านหลายจาน เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ค้ำคออยู่ ต่อให้นั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่มีใครกล้ากินเนื้อชิ้นโตกินปลาชิ้นใหญ่ จึงได้แต่อาศัยบารมีของกวนอี้หราน กว่าจะคว้าตัวคนซื่อที่ตามใครไม่ทันมาได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงขูดรีดกันเต็มที่ ไม่ออมมือแม้แต่น้อย ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่มีนามว่าอวี๋ซานฝางคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ เพียงแต่ว่าตอนอยู่ที่เขตการปกครองของแคว้นสือหาวยังมีระดับขั้นเท่าเทียมกับกวนอี้หราน ทว่าตอนนี้เขากลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ชายฉกรรจ์บ่นไม่หยุด บอกว่าเจ้าหน้าขาวกวนอี้หรานผู้นี้ได้เกิดในครรภ์ที่ดี เขาไม่ยอม กวนอี้หรานกลับโคลงศีรษะ ยิ้มหน้าเป็นบอกว่าไม่ยอมเจ้าก็มาสู้กับข้าสิ

ผลกลับกลายเป็นว่าอวี๋ซานฝางลังเลใจอยู่นาน สุดท้ายก็แค่ใช้หมัดหนึ่ง ‘ลูบ’ ลงบนไหล่ของกวนอี้หรานเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะหึหึ เปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือ ปาดไล้เบาๆ อีกรอบหนึ่ง บอกว่าท่านแม่ทัพใหญ่กวนใจแคบดุจไส้ไก่ ความสามารถในการฆ่าศัตรูมีไม่มาก แต่ความสามารถในการจดจำแค้นกลับมีไม่น้อย ข้าหรือจะกล้า

มองสหายร่วมรบอย่างพวกเขาพูดแซวกันอย่างสนุกสนาน เฉินผิงอันก็แค่ยิ้มตามพลางดื่มเหล้า

จากนั้นกวนอี้หรานก็เล่าเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในแคว้นสือหาว

อันที่จริงถือเป็นเรื่องน่าอายของพวกเขา

ตอนนั้นที่อยู่ในมณฑลกลับมีบัณฑิตผู้เฒ่าคร่ำครึคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายจากเมืองหลวงมาอยู่ในเมือง ได้ยินว่าตระกูลของเขาใหญ่มาก เพียงแต่ว่าคนสองรุ่นตกอับจึงเทียบกับในอดีตไม่ติดแล้ว แม้แต่ขุนนางท้องถิ่นของแคว้นสือหาวที่อยู่ในมณฑลแห่งนั้นก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา คนตระกูลนี้ให้ตายก็ไม่ยอมติดภาพเทพทวารบาลของต้าหลี

ดังนั้นอวี๋ซานฝางที่โมโหโทโสจึงพาทหารบุกไปเยือนถึงบ้าน แต่กลับต้องไปเห็นภาพเหตุการณ์ที่เขาลืมไม่ลงมาจนวันนี้

ตอนที่อวี๋ซานฝางพูดถึงเรื่องนี้ยังทอดถอนใจไม่หยุด ทั้งยังกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

วันนั้น

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดวงตาทั้งคู่ใกล้บอดสวมชุดสีเขียวเก่าคร่ำคร่าที่ถูกซักจนแทบจะกลายเป็นสีขาวนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

เขามองเห็นทหารสวมเสื้อเกราะของต้าหลีได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทว่าเสียงเกราะเหล็กที่ดังกระทบกัน และยังมีเสียงฝีเท้าเช่นนั้นล้วนเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมีบนสนามรบอย่างหนึ่งที่มากพอจะทำให้เจ้าเมืองของแคว้นสือหาวอกสั่นขวัญผวา

ทว่าทหารผู้กล้าสิบกว่าคนซึ่งรวมถึงอวี๋ซานฝางด้วยกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันรอให้พวกเขาเปิดปาก บัณฑิตผู้เฒ่าคนนั้นจะแค่นเสียงหยันเอ่ยด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่สำเนียงถูกต้องแม่นยำที่สุด “ชุยฉานสอนให้พวกเจ้าช่วงชิงใต้หล้ามาแบบนี้หรือ?! ฉีจิ้งชุนสอนหลักการเหตุผลให้พวกเจ้าเช่นนี้หรือ?! ช่างเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บารมีอำนาจแผ่ไพศาลซะจริง ช่างสมกับเป็นต้าหลีที่ได้ยินเสียงท่องตำราอยู่ในสำนักศึกษาซานหยานานนับร้อยปีซะจริง!”

แล้วผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อก็พลันตบโต๊ะดังลั่น พยายามเบิกตากว้างจ้องถลึงใส่เสี้ยวเหว่ยและทหารบู๊ต้าหลีเหล่านั้นอย่างแค้นเคือง “ข้าอยากจะรู้นักว่าต้าหลีที่เป็นดั่งผายลมสุนัขจะกระโดดโลดเต้นอยู่ได้อีกสักกี่ปี!”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน และยังชี้หน้าด่ากราดใส่ทหารกล้าต้าหลีที่สวมชุดเกราะเหล็กเหล่านั้นไปหนึ่งคำรบ

ด่าจนอวี๋ซานฝางอัดอั้นตันใจอย่างถึงที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วทหารทุกคนซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วยต่างก็ไม่มีใครชักดาบออกจากฝัก ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาอาฆาตอีกฝ่าย

แล้วพวกเขาก็ออกมาจากเรือนแห่งนั้นทั้งอย่างนี้ อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนจวนแห่งนั้นอีกด้วย

หลังจากที่กวนอี้หรานรู้ก็เขียนจดหมายส่งไปให้ซูเกาซานด้วยตัวเอง ถามว่าจะสามารถแหกกฎอนุญาตให้คนตระกูลนี้ไม่ต้องติดภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนของต้าหลีได้หรือไม่

อันที่จริงกวนอี้หรานเองก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครกล้าข้ามเส้นบรรทัดฐานของกฎเหล็กต้าหลี

ผลกลับกลายเป็นว่าจดหมายที่ซูเกาซานตอบกลับมาเขียนด่ากวนอี้หรานซะจนไม่เหลือชิ้นดี บอกว่าตอนนี้แคว้นสือหาวคือแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีแล้ว ไม่เคารพยำเกรงบัณฑิตประเภทนี้ หรือจะให้ไปเคารพเจ้าลูกเต่าอย่างหันจิ้งหลิง แล้วก็พวกเศษสวะสกุลหวงกลุ่มนั้น? เรื่องนี้ตกลงตามนี้ อนุญาตให้ครอบครัวของอาจารย์ผู้เฒ่าไม่ต้องติดภาพเทพทวารบาลต้าหลี หากท่านราชครูจะเอาผิด เขาซูเกาซานจะแบกรับไว้เอง ต่อให้เรื่องนี้ดังเข้าหูท่านอ๋อง เขาซูเกาซานก็ยังจะทำเช่นนี้ หากเจ้ากวนอี้หรานมีปัญญา หากมีวันใดที่ท่านราชครูจดจำความแค้นที่มีต่อข้าจริงๆ ก็จำไว้ว่าต้องพูดจาดีๆ เกี่ยวกับข้าผู้อาวุโสต่อหน้าปู่ทวดของเจ้าด้วย แล้วก็รบกวนให้เขาไปพูดถึงข้าดีๆ ต่อหน้าท่านราชครูสักคำ ไม่แน่ว่าอาจจะพอทำให้ท่านราชครูคลายโทสะลงได้บ้าง

เฉินผิงอันรับฟังเงียบๆ

สุดท้ายกวนอี้หรานเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองมาทางเฉินผิงอัน กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าบัณฑิตที่เป็นเช่นนี้ควรจะมีมากสักหน่อย เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีมากย่อมเป็นประโยชน์มาก”

กวนอี้หรานยิ้มตาหยี ชูถ้วยเหล้าขึ้นสูง “อยู่ที่นี่ก็มีแต่เจ้ากับข้าเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นบัณฑิตได้ครึ่งตัว ผู้ฝึกยุทธหยาบกระด้างอย่างพวกอวี๋ซานฝางจะไปเข้าใจกะผีอะไร มาๆๆ พวกเราสองคนมาดื่มกันสักหน่อย”

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกถ้วยเหล้าในมือขึ้นชนกับถ้วยเหล้าของกวนอี้หราน ไม่ได้แบ่งแยกระดับสูงต่ำระหว่างการชนถ้วยเหล้าทั้งสอง “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่ม”

อวี๋ซานฝางร้องเพ้ย จากนั้นก็พูดกับพวกสหายร่วมรบด้วยเสียงดังกังวานราวกับหาพวก “ชายชาตรีด่านชายแดนอย่างพวกเราก็มาดื่มกัน อย่าไปสนใจพวกซิ่วไฉยากจนแถวนี้เลย”

แล้วเสียงชนถ้วยเหล้าก้องกังวานก็ดังตามมา

สุดท้ายแต่ละคนก็ดื่มกันจนเมามาย หลังจากที่กวนอี้หรานมาส่งเฉินผิงอันที่หน้าประตูจวน ถูกลมเย็นของค่ำคืนในฤดูหนาวพัดใส่ ดวงตาจึงฉายสติแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน เขาเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่างน้อยที่สุดก็ช่วงนี้ เจ้าไม่ต้องเข้ามามีเอี่ยวด้วย ในเมื่อแม้แต่ข้ายังไม่อาจนำเอกสารบางอย่างที่เกี่ยวกับเจ้ามาอ่านได้ บอกตามตรงว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ายังส่งกระบี่บินไปถามข่าวจากตระกูลที่เมืองหลวงมาโดยเฉพาะ และเนื้อความที่ตอบกลับมาในจดหมายก็ค่อนข้างจะคลุมเครือ แฝงเลศนัยไปเสียทุกส่วน นี่หมายความว่าอะไร ข้ารู้ชัดเจนดี ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่ว่า…”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ดูท่ายังดื่มเหล้าได้ไม่เต็มที่ ถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นนอกจากประโยคแรกแล้ว ประโยคส่วนหลังที่เหลือ เจ้าก็ไม่ต้องบอกข้าเลย”

กวนอี้หรานตบไหล่เฉินผิงอัน “เจ้าตัวดี คำพูดนี้เจ้าพูดเองนะ เจ้าติดเหล้าข้าอีกมื้อแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ถึงเวลานั้นจะเลี้ยงเหล้าเจ้าอีกมื้อ คิดซะว่าเป็นการฉลองที่เจ้าได้เลื่อนขั้น”

กวนอี้หรานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย

หากหลังจากนี้เฉินผิงอันจะมาเยี่ยมหาบ่อยๆ กวนอี้หรานก็ยินดีอย่างมาก เพียงแต่ว่านี่เกี่ยวพันกับข้อห้ามมากมายในวงการขุนนาง ย่อมต้องทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลังให้แก่คนทั้งสอง

ทว่าประโยคนี้กวนอี้หรานได้แต่เก็บไว้ในท้องของตัวเองเท่านั้น เขาคิดว่าในเมื่อนับอีกฝ่ายเป็นสหายก็ควรจะต้องจ่ายค่าตอบแทนสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคิดว่าเขากวนอี้หรานแค่ตะกละกิน น้ำลายสออยากดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่เฉินผิงอันเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวจริงๆ หรือ? เขาที่เป็นถึงว่าที่เจ้าประมุขสกุลกวนซึ่งเป็นเสาคานค้ำยันราชสำนักต้าหลีจะขาดแคลนสิ่งนี้หรือไร? สิ่งที่เขาขาดก็มีแค่สหายที่ตัวเองยอมรับเท่านั้น

แต่ในเมื่อเฉินผิงอันมองขาดเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ยินคำพูดประโยคแรกของเขา แล้วเอ่ยคำว่า ‘รอสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว’ ออกมา กวนอี้หรานย่อมดึใจมากกว่าเดิม

สหายที่แท้จริง การดื่มเหล้าร่วมกันอย่างเต็มคราบเป็นเรื่องที่จำเป็นก็จริง ทว่าชีวิตคนไม่อาจสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง จะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจวางอยู่ตรงนั้น หากสหายมองเห็น เก็บไปใส่ใจ ยินดีคิดเพื่ออีกฝ่าย นั่นก็ย่อมดีที่สุดอย่างแท้จริง ในมือไร้ถ้วย ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกเหมือนได้ดื่มเหล้าหมักอย่างเปรมปรีดิ์

คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่เงียบสงบช้าๆ

กวนอี้หรานมองแผ่นหลังผอมบางนั้นก็ให้นึกถึงใบหน้าที่ข้างแก้มซูบตอบเว้าลึกขึ้นมา

อยู่ดีๆ กวนอี้หรานก็รู้สึกเวทนาอีกฝ่าย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วสหายคนนั้นสง่างามอย่างมาก

คาดว่ามือกระบี่ที่แท้จริงก็คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง ยามอยู่ในงานเลี้ยงก็ร่ำสุราอย่างเต็มที่ เมื่องานเลี้ยงเลิกราก็ยังคงเดินไปบนมหามรรคาเพียงลำพัง

กวนอี้หรานเคยดื่มเหล้ากับคนมามากมาย แล้วก็เคยเลี้ยงเหล้าคนหลายคน

แต่เคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของต้าหลีที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่คนหนึ่ง คนที่เป็นเทพเซียนสูงส่งเกินใครแล้ว ยามนั้นเขาออกจากชายแดนกลับคืนไปยังบ้านเกิด เทพเซียนผู้นั้นปรากฏตัว มาหาเขาที่ถนนฉือเอ๋อร์ด้วยตัวเอง บอกว่าจะเลี้ยงเหล้าเขาแล้วพูดคุยกันสักหน่อย

กวนอี้หรานยิ้มถาม ‘เจ้าคู่ควรหรือ?’

ตอนนั้นทุกคนที่อยู่ข้างกายล้วนรู้สึกว่ากวนอี้หรานเมาแล้วหรือเปล่า นี่จะต้องสร้างปัญหาที่ไม่เล็กให้แก่เขาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นตระกูลกวนก็อาจจะยังต้องได้ดื่มสุราลงทัณฑ์กันหนึ่งจอก

หลังจบเรื่องเขากลับไปที่จวนในตรอกอี้ฉือ ท่านปู่ทวดของเขาหัวเราะร่าไม่หยุด ตบไหล่หลานทวดหนุ่มแน่นผู้นี้อย่างแรง

นั่นเป็นครั้งที่สองที่กวนอี้หรานเห็นท่านปู่ดีใจขนาดนี้ ครั้งแรกก็คือตอนที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพ ไปเป็นผู้ฝึกตนลาดตระเวนระดับขั้นต่ำที่สุดที่ชายแดน

มักจะต้องมีคนบางคนที่รู้สึกว่ามีเพียงตำแหน่งฐานะเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินว่าคนคนหนึ่งจะนั่งร่วมโต๊ะสุราได้หรือไม่

คนเหล่านี้ต่อให้เหยียบโชคขี้หมา ได้นั่งอยู่บนโต๊ะสุราจริงๆ ก็มีแต่จะก้มหน้าค้อมเอว คอยเป็นฝ่ายดื่มคารวะคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาที่ชนจอกก็จะต้องลดระดับจอกให้อยู่ต่ำกว่า แทบอยากจะนอนหมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ

ทั้งน่าสนุกที่สุดและน่าขำที่สุด

กวนอี้หรานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกบ้านล้วนมีตำราที่อ่านยาก คนเหล่านี้ก็ต้องทำความเข้าใจสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรบางคนก็ถูกชีวิตบีบบังคับให้จำต้องทำเช่นนั้น ทว่าคนที่มากกว่านั้นกลับเป็นพวกหัวแหลม ใช้สิ่งจอมปลอมอย่างการอบรมสั่งสอน ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและความหยิ่งในศักดิ์ศรีทั้งหลายมาแลกด้วยเงินที่เป็นของจับต้องได้จริง ในบรรดาพวกเขาก็จะต้องมีคนที่ป่ายปีนไปได้สูงมากๆ อยู่จริง แต่ว่าอย่างน้อยพวกเขาก็อย่าได้หวังว่าจะนั่งบนโต๊ะสุราตัวนี้ของข้ากวนอี้หราน เพื่อที่ในอนาคตจะได้เจอกับคนจำพวกนี้น้อยลง ข้าเองก็ควรขยันมานะให้มากๆ ไม่อย่างนั้นวันใดอาจถึงคราวที่ข้าต้องดื่มสุราคารวะพวกเขา แบบนั้นจะไม่จบเห่หรอกหรือ ถึงเวลาคนที่ถูกเหยียบย่ำ นอกจากตัวเองแล้วยังมีคนทั้งสกุลกวน และสหายทั้งหลายที่เคยดื่มเหล้ามาร่วมกันด้วย”

เฉินผิงอันที่ออกจากนครน้ำบ่อมาแล้วย่อมเดาไม่ออกว่ากวนอี้หรานจะคิดอะไรไปมากมาย และคิดไปไกลขนาดนั้น

หลังกลับมาถึงท่าเรือ เขาก็พบว่าเรือข้ามฟากของเกาะชิงเสียยังคงจอดรออยู่

นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว

กวนอี้หรานที่ตัวตนถูกบดบังด้วยไอเมฆหมอก แต่กลับสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนได้ย่อมมากพอจะทำให้พวกเถียนหูจวินพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อีกครั้ง

ไม่แน่ว่าหลังจากหวงเฮ้อได้ยินเรื่องนี้ก็อาจจะล้มเลิกความคิดที่จะเลี้ยงเหล้าตน เพราะไม่สามารถวางท่าโอ้อวดกับตนได้อีกแล้ว

หลังขึ้นเรือมา เถียนหูจวินก็กล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ “ได้แต่ทนมองศิษย์น้องเล็กและท่านอาหญิงไปจากจวนชุนถิงโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กำลังของคนมีจำกัด แค่พยายามเต็มที่ก็พอแล้ว”

เถียนหูจวินมองใบหน้านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของนักบัญชีท่านนี้ แต่ก็ไม่พบแววเสียดสีเหน็บแนมใดๆ กระนั้นในใจนางก็ยังหวาดหวั่น เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่อาจารย์อย่างหลิวจื้อเม่าแทบจะไม่มีโอกาสลุกผงาดขึ้นมาอีกครั้ง การกระทำของนางทุกอย่างก็ล้วนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อวางแผนให้กับตัวเองและเกาะซู่หลินอย่างแท้จริง ทว่าความพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออาจารย์และศิษย์น้องเล็กนั้นกลับ…ไม่มีเลย

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จะจัดการกับจวนชุนถิงอย่างไร?”

เถียนหูจวินยิ้มกล่าว “ขอแค่ท่านเฉินยินดีก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทุกเมื่อ”

เฉินผิงอันโบกมือ “ช่างเถิด ข้าพักอยู่ในห้องเดิมมาจนชินแล้ว”

เถียนหูจวินจึงไม่พูดอะไรมากอีก

จวนชุนถิงคือสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเป็นรองแค่จวนเหิงโปเท่านั้น เมื่อสตรีแต่งงานแล้วย้ายออกไป พวกผู้ถวายงานลำดับต้นแทบทุกคนซึ่งรวมถึงอวี๋กุ้ยเองด้วยต่างก็เริ่มจับจ้องตาเป็นมัน ส่วนจวนเหิงโปแห่งนั้น ไม่ว่าใครก็อยากจะเก็บเข้ามาเป็นของในกระเป๋าของตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่มีใครมีความสามารถนั้นก็เท่านั้น ต่อให้เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนเกาะชิงเสียอย่างเถียนหูจวินก็ยังไม่คิดว่าตัวเองสามารถสร้างจวนเหิงโปขึ้นมาใหม่แล้วไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้

รนหาที่ตายงั้นหรือ?

ส่วนจวนชุนถิง เถียนหูจวินต้องเอากลับคืนมาแน่นอน และการที่บอกให้เฉินผิงอันย้ายเข้าไปอยู่ก็เป็นแค่คำพูดตามมารยาทที่นางพูดไปแต่ปากเท่านั้น เพราะนางก็รู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบรับ

คบค้าสมาคมกับคนฉลาด โดยเฉพาะคนฉลาดที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ นับว่าค่อนข้างจะผ่อนคลาย

หากไม่เป็นเพราะอยู่ดีไม่ว่าดีเฉินผิงอันก็มีสหายที่ชื่อว่ากวนอี้หรานโผล่มา เถียนหูจวินอาจจะยังจอดเรือไว้ที่ท่าเรืออยู่ก็จริง แต่จะไม่มีทางออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเด็ดขาด อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนักบัญชีที่ไม่มีอำนาจในสถานการณ์ใหญ่คนหนึ่งมีแต่จะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ

เถียนหูจวินยืนเป็นเพื่อนเฉินผิงอันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็บอกลาจากไป

เฉินผิงอันที่ถือเตาอุ่นมือใบนั้นยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ

เถียนหูจวินมองรอยยิ้มของบุรุษท่าทางอิดโรยผู้นั้น ในใจก็เกิดคลื่นกระเพื่อมไหวเล็กน้อย เพียงแต่นางไม่ได้เก็บมาคิดอย่างลึกซึ้ง

เฉินผิงอันหันหลังให้เถียนหูจวิน ทอดสายตามองทัศนียภาพของทะเลสาบ ใจลอยไปไกลเป็นหมื่นลี้

สำนักกุยหยก

เงาดำใต้โคมไฟ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงจริงๆ

หากเป็นสำนักกุยหยก ถ้าเช่นนั้นเมื่อเกี่ยวพันกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก การกะกำลังไฟ (อุปมาถึงความชำนาญหรือช่วงเวลาที่คับขัน) ก็พอดิบพอดีจริงๆ

แต่เรื่องวงในที่คดเคี้ยวหักงอยังคงหลบซ่อนอยู่หลังม่านหนาหนัก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเห็นด้วยกับคำเตือนจากคนนอกสถานการณ์อย่างกวนอี้หรานเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการทั้งหลายที่วางไว้ก็ได้แต่ต้องรอดูสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ และไม่แน่ว่าการรอคอยนี้ สิ่งที่ได้มาอาจเป็นการที่แผนการแต่ละอย่างต้องสลายหายไปด้วยตัวเองก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่นกฎเกณฑ์อย่างใหม่ที่กำหนดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน ยกตัวอย่างเช่นแผนการครอบครองเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อสร้างสำนักแห่งหนึ่งที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก แต่ก็มีกำลังพอให้ปกป้องตัวเองให้กับพวกภูตผีวัตถุหยินโดยเฉพาะ

อันที่จริงเฉินผิงอันคิดไว้เยอะมาก ทว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ เขาจึงได้แต่เปลี่ยนแปลงแผนการไปตามสถานการณ์

ข้อดีข้อเสีย ความขึ้นๆ ลงๆ ทางเลือกทั้งหลายที่อยู่ในเรื่องราวครั้งนี้ ล้วนไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้

หลายเรื่องๆ ทำได้เพียงแค่เงียบงันเท่านั้น

กลับมาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันกลับเข้าห้อง จุดไฟใส่กระถาง เพิ่มความอบอุ่นให้กับในห้อง ถ่านไม้ที่อยู่ในถุงเหลืออีกไม่มากแล้ว เฉินผิงอันหัวเราะเยาะตัวเองหนึ่งที หากไม่เป็นเพราะการปรากฏตัวของกวนอี้หราน คาดว่าคิดจะขอถ่านไม้ก็คงต้องไปขอเอาจากเกาะชิงเสีย แน่นอนว่าพวกเขายังต้องมอบให้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็น่าจะมีคนวิ่งมาสอบถามด้วยตัวเองว่า ในห้องของท่านเฉินต้องการเติมถ่านไม้หรือไม่? อีกอย่างก็คือนับจากพรุ่งนี้ไป ที่เรือนของตนก็น่าจะมีแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวนั้น เริ่มคิดบัญชีต่ออีกครั้ง

ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน

พอฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ผลักประตูเปิด เดินเล่นไปถึงจวนจูเสียน ตอนนี้หงซูคนเฝ้าประตูยังทำงานอยู่ที่จวนชุนถิง ไม่รู้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ตนสูญเสียอำนาจ คำพูดระคายหูจากเหล่าผู้ดูแลและสาวใช้ในจวนจะย้อนกลับคืนมาหรือไม่ หรือยิ่งนานวันก็ยิ่งรุนแรงกว่าช่วงแรกเริ่มสุดเสียอีก? แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คิดดูแล้วเมื่อผ่านเรื่องราวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทางฝั่งของจวนชุนถิงก็น่าจะมีความจำกันขึ้นมาบ้างแล้ว และชีวิตของหงซูก็ไม่น่าจะลำบากเกินไปนัก

หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีแห่งจวนจูเสียนเห็นสภาพของเฉินผิงอันที่ยิ่งนานก็ยิ่งจะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ก็ให้ดีใจเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ สำหรับในเรื่องนี้ผู้ฝึกตนผีมีคุณธรรมไม่ไหวจริงๆ เมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงใหญ่หลิวจ้งรุ่นแล้ว เขาก็จำเป็นต้องป้องกันคนหนุ่มอย่างเฉินผิงอันไว้ให้มาก หลีกเลี่ยงไม่ให้วันใดวันหนึ่งเฉินผิงอันยังไม่ทันได้ดื่มสุรามงคลของตน ตนกลับต้องได้รับเทียบเชิญงานแต่งของเฉินผิงอันกับหลิวจ้งรุ่นแทน

เฉินผิงอันคุยเล่นกับหม่าหยวนจื้ออยู่สองสามประโยคก็ไปจากจวนจูเสียน

หม่าหยวนจื้อยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง ไม่ว่าจะมองเฉินผิงอันอย่างไรก็ให้รู้สึกสบายหูสบายตา คำก็ท่านเฉิน สองคำก็ท่านเฉิน ไม่เคยจริงใจขนาดนี้มาก่อนเลย

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็คร้านจะเสียเวลาคัดง้างกับหม่าหย่วนจื้อต่อ

คนเฝ้าประตูคนใหม่ของจวนจูเสียนคือสาวใช้คนหนึ่งที่มาจากจวนชุนถิง พอเห็นเฉินผิงอันก็กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ต้องรู้ว่าที่นี่คือ ‘สถานที่นำโชค’ ของหงซูผู้นั้น แล้วก็เพราะนางตีสนิทกับท่านเฉินได้ ถึงได้มีวันเวลาที่สุขสบายได้เป็นหัวหน้าน้อยอยู่ในจวนชุนถิง เฉินผิงอันเองก็พูดจากับนางอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น พูดมากไปแล้วอย่างไร เกาะชิงเสียอันกว้างใหญ่มีหงซูได้สักกี่คน? แค่คนเดียวเท่านั้น

แล้วก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์เอาไว้ วันนี้มีคนคุ้นเคยหลายคนมาเยือนเกาะชิงเสียเพื่อพูดคุยถึงเรื่องในวันวานกับเขาจริงๆ

ตอนนี้เฉินผิงอันรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้คล่องขึ้นแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ หรือพูดจาไม่เป็นธรรมชาติอย่างในอดีตอีก

ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ สั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อย

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

เฉินผิงอันไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่เกาะชิงเสีย เขาถ่อเรือออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ระหว่างนี้ยังจอดเรืออยู่ห่างจากเกาะกงหลิ่วไกลๆ ก่อนจะพายเรือจากมาอีกครั้ง

เขาไปที่นครลวี่ถง ไปจูงม้ามา เสียดายก็แต่ร้านซาลาเปาปิดกิจการไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยากจะเปิดร้านได้ต่อ หรือแค่หยุดช่วงปีใหม่ รอให้ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปแล้วค่อยเปิดร้านอีกครั้ง

เฉินผิงอันฉลองปีใหม่ระหว่างทาง

บนหลังม้านั่นเอง

อิสระเสรี

ไม่คิดว่ายากลำบาก

และวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็ได้มาเจอกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอคอยมานานพอดี

เฉินผิงอันหยุดพักหนึ่งวัน วันที่สองเดือนหนึ่งก็เริ่มออกเดินทาง ม้าทั้งสามตัวต้องอ้อมอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนมุ่งหน้าลงใต้

สุดท้ายไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เรือข้ามฝากหยุดให้บริการมานานแล้ว เฉินผิงอันบอกว่าจะรอพบคนคนหนึ่งอยู่ที่นี่ หากภายในสิบวันเขายังไม่มา พวกเขาก็ค่อยออกเดินทางกันต่อ

นอกจากการฝึกตนแล้ว เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็ยังไปเดินเที่ยวเล่นที่ท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งมีร้านค้าตั้งเรียงราย มีของวางขายละลานตาด้วยกัน

หลังจากเดินเที่ยวผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว หม่าตู่อี๋ก็บอกว่าจะเดินดูอีกรอบไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ คิดว่าตัวเองยากจนเกินไปแล้ว

เฉินผิงอันจึงให้เงินร้อนน้อยหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่คนละเหรียญ บอกว่าเป็นเงินหงเปา (หรืออั่งเปา เงินแต๊ะเอีย)ปีใหม่

เจิงเย่ไม่กล้ารับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับเอาไป หม่าตู่อี๋กลับไม่คิดจะแสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจต่อท่านเฉิน ยังถามด้วยว่าเงินเหรียญนั้นของเจิงเย่ก็ให้นางด้วยได้ไหม

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กลัวว่าเงินจะหนักทับมือ ใช่ไหม?”

หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกข้าวเปลือก

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ตอบรับ เขาเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นไป “โทษทีนะ ข้าเองก็ไม่รังเกียจว่าเงินจะหนักทับมือเหมือนกัน”

เจิงเย่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จึงถูกหม่าตู่อี๋ถองเข้าเต็มแรง เจ็บจนเขาแยกเขี้ยว

รอคอยอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนเกือบสิบวัน

ยามสนธยาของวันนี้ก็มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่กล้ามาจอดที่ท่าเรือ เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนแต่ละคนมองเห็นธงบนเรือลำนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง

ระยำนัก นั่นคือธงรบของคนเถื่อนต้าหลี

เฉินผิงอันพาคนคนหนึ่งกลับมาที่โรงเตี๊ยม เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน

เพราะคนผู้นั้นคือกู้ช่าน

เจิงเย่นั้นเป็นเพราะหวาดกลัวกู้ช่านล้วนๆ

ส่วนหม่าตู่อี๋กลับรู้สึกเป็นกังวล เพราะการที่กู้ช่านมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ

ความปรารถนาของภูตผีวัตถุหยินมากมาย เดิมทีเมื่ออยู่กับท่านเฉินนั้นสามารถทำได้ แต่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหากพวกเขาเห็นกู้ช่านก็อาจจะเปลี่ยนใจ หรือถึงขั้นเกิดความเคียดแค้นรุนแรงขึ้น วัตถุหยินไม่น้อยอาจจะเปลี่ยนไปเป็นผีอาฆาตที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงโดยตรง ถึงเวลานั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองยันต์ของท่านเฉินอีก

คืนนั้นเฉินผิงอันให้เจิงเย่นำตำหนักพญายมราชคุกล่างออกมาจากหีบหนังสือใบใหญ่ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะในห้องของตัวเอง

ในห้องมีแค่กู้ช่านคนเดียว

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต่างก็กลับไปที่ห้องใครห้องมัน แต่จากนั้นหม่าตู่อี๋ก็ไปหาเจิงเย่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนทั้งสองนั่งเหม่อไปด้วยกัน

ครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันมาเคาะประตูเบาๆ

หม่าตู่อี๋วิ่งเร็วๆ ไปเปิดประตู เฉินผิงอันทำท่าบอกเป็นนัยให้พวกเขานั่ง ส่วนตัวเองหลังจากนั่งลงแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พวกเจ้าคิดดูนะ ต่อให้ยากแค่ไหน แต่จะยากเท่าตอนแรกเริ่มสุดที่พวกเราเริ่มทำเรื่องนี้กันได้หรือ?”

เจิงเย่อืมรับหนึ่งที

หม่าตู่อี๋ก็พยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยู่กับข้าคนนี้ เหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”

เจิงเย่ส่ายหน้าอย่างแรง

หม่าตู่อี๋เหลือกตามองบน “เหนื่อยใจจะตายอยู่แล้ว”

เจิงเย่กล่าวอย่างขลาดๆ “แม่นางหม่า เจ้าก็ตายไปแล้วนะ”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม

หม่าตู่อี๋ถูกคำพูดของเจิงเย่ทำให้สะอึกอึ้งอย่างที่หาได้ยาก เท้าที่อยู่ด้านล่างโต๊ะจึงยกกระทืบเท้าเจิงเย่เต็มแรง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะงีบหลับสักพัก พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

ก่อนจะนอนหลับไป

เฉินผิงอันคิด ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิด พวกคนที่ตนห่วงใยจะยังสบายดีหรือไม่?

นอกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าแห่งอื่นและพื้นที่มงคลแห่งนั้น ยามเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน พวกเขาจะยังสบายดีกันหรือไม่? จะยังมีต้นหลิวเคียงข้างต้นหยาง ดอกไม้ผลิบานอากาศอบอุ่นหรือไม่?

เฉินผิงอันค่อยๆ ม่อยหลับไป

มีเสียงกรนดังมาเบาๆ

ดูท่าเขาจะง่วงจริงๆ

เดิมทีเจิงเย่นึกว่าหม่าตู่อี๋ที่ชอบขัดคอท่านเฉินเป็นที่สุดจะหัวเราะเยาะท่านเฉินเสียอีก

แต่เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองกลับพบว่าแม่นางหม่ากำลังสูดจมูก น้ำตาเอ่อคลอ

เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ท่านเฉินก็แค่นอนกรนนิดๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ แม่นางหม่าต้องเสียใจขนาดนี้ด้วยหรือไร?

……

เขตการปกครองหลงเฉวียน

เรือนหลังเล็กในตรอกหนีผิงที่เจ้าของตัวจริงยังคงออกเดินทางไกลไม่กลับมา

วันที่สามสิบของสิ้นปี กลอนคู่อันใหม่ ตัวอักษรฝูและภาพเทพทวารบาลล้วนมีคนนำมาติดให้เรียบร้อยไม่ขาดหายไปแม้แต่อย่างเดียว

ไม่เพียงแต่มีอาหารส่งท้ายปีโต๊ะใหญ่ที่มีกับข้าวหลากหลายชนิด พ่อครัวยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล และมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อายุมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ บุรุษชุดขาวที่ท่วงท่าบุคลิกดุจเทพเซียน และเขาก็คือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลี

และยังมีผีสาวตนหนึ่งที่สิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน

คนที่ทำหน้าหนายืนกรานจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานให้ได้ แต่กลับเป็นเพียงเด็กหญิงผิวดำเกรียมคนหนึ่ง นางบอกว่านางต้องนั่งแทนอาจารย์ของตน ใครก็ห้ามมาแย่ง ทุกตระกูลล้วนมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง อาจารย์ไม่อยู่ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางก็ต้องเป็นผู้รักษากฎ

นอกจากนี้ยังมีเด็กชายชุดเขียวที่นั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว และเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย

กินอาหารส่งท้ายปีกันเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยก็ออกจากเรือนไปก่อน จากนั้นเว่ยป้อกับจูเหลี่ยนก็ออกไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเล็กด้วยกัน

ยังเหลือ ‘เจ้าตัวน้อย’ ทั้งสามที่นั่งล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่ด้วยกัน

พอฟ้าสว่าง นอกบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังลั่น

แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ยกสองมือกอดอก พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ กลิ่นอายการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดอาจารย์นับว่าใช้ได้

เผยเฉียนปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ ไม่ได้จุดประทัดตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนาง คงอยากจะปลุกให้ชาวบ้านทั้งเมืองเล็กตื่นกันระนาวไปแล้ว

หลังจากจุดประทัดแล้ว เผยเฉียนก็โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป ไปต่อสู้กัน!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้เข้าร่วมเรื่องครึกครื้น เพราะนางจะอยู่เฝ้าบ้าน สือโหรวก็ยิ่งคร้านจะทำตัวเหลวไหลไปกับเผยเฉียน หลังจากมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน นางก็ค่อนข้างจะสนิทสนมกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู

เด็กชายชุดเขียววิ่งตุปัดตุเป๋ตามก้นเผยเฉียนไป ราวกับกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพออย่างไรอย่างนั้น

ครั้งแรกที่เด็กชายชุดเขียวได้พบกับผู้เฒ่าหลังค่อมและเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่าน เขาก็รู้สึกว่าในฐานะที่ตนเป็นยอดฝีมือและเป็นผู้อาวุโสของภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะมีมาดสักหน่อย จึงสะกดกลั้นนิสัยร่าเริงซุกซนของตัวเองเอาไว้ แสร้งทำตัวแก่เกินวัยอยู่ทุกวัน ต้องยอมรับว่าเหนื่อยอย่างมาก นี่ทำให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง

ภายหลังค้นพบว่าเจ้าถ่านดำผู้นั้นไม่เข้าใจสักนิดว่าตนพูดอะไร เอาแต่เบิกตากว้างแสร้งโง่แสร้งเหม่อ เขาจึงปล่อยฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ พานางไปเที่ยวเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังเคยขี่งูสีดำที่หน้าท้องมีเส้นสีทองตัวนั้นขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน

อยู่กับเผยเฉียนนานวันเข้า ความกลัดกลุ้มและความผิดหวังที่ล้อมวนเวียนอยู่ในใจของเด็กชายชุดเขียวก็เบาบางลงไปหลายส่วนโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ส่วนจูเหลี่ยนนั้น หลังจากได้พบกับผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วก็เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น

ในสายตาของเผยเฉียน ดูเหมือนว่าพอมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน พ่อครัวผู้เฒ่าจะสูญเสียความสามารถในการประจบสอพลอไป กลับเป็นท่านเทพภูเขาที่หล่อเหลารูปงามจนแทบจะไร้ขอบเขตผู้นั้นที่พูดคุยกับจูเหลี่ยนได้ถูกคอ จูเหลี่ยนจึงมักจะไปเป็นแขกที่ภูเขาพีอวิ๋นบ่อยๆ

เผยเฉียนพาเด็กชายชุดเขียว ‘เดินเยี่ยมเยียน’ ไปทั่วตรอกเล็กใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องผิดหวังอย่างมาก

เพราะไม่มีคู่ต่อสู้สักคนที่กล้าออกมาสู้รบกับนาง

เผยเฉียนกระทืบเท้า “น่าเบื่อจริงๆ !”

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “ไม่ใช่ว่ายังมีหมาที่วิ่งอยู่ตามถนนหรอกหรือ ไปหามันสิ!”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย “นี่เป็นวันที่หนึ่งของเดือนหนึ่งนะ คงไม่ค่อยดีกระมัง?”

เด็กชายชุดเขียวลูบคลำปลายคาง “ก็จริงนะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ

คำว่า ‘ต่อสู้’ ของเผยเฉียน อันที่จริงก็คือการตีกับพวกห่านตัวใหญ่สีขาวที่ถูกเลี้ยงปล่อยไว้ในตรอกของเมืองเล็ก พวกมันกำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด แต่ละตัวล้วนชอบรังแกคนหน้าใหม่

ตรอกก็ใหญ่ถึงเพียงนั้น ต่างคนต่างเดิน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองไม่ได้หรือ? จะต้องมาจิกข้าให้ได้? ไม่รู้หรือไรว่าการท้าทายยอดฝีมือต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยน้ำตาเป็นสายเลือด?

ก่อนหน้านี้ที่พบเจอกันบนทางแคบเป็นครั้งแรก เผยเฉียนกับศัตรูร้ายกาจผู้นั้น ต่างฝ่ายต่างประชันสติปัญญาและประชันความกล้าหาญกัน สุดท้ายเผยเฉียนก็ใช้มือคว้าลำคอของห่านสีขาวตัวใหญ่นั่นไว้ได้ แล้วจับมันหมุนเหวี่ยงอยู่กับที่หลายรอบ ก่อนจะเหวี่ยงทิ้งแล้วตะโกนเสียงดังว่าเจ้าไปได้

ส่วนตัวนางก็มึนหัวตาลาย

คิดไม่ถึงว่าห่านใหญ่สีขาวตัวนั้นยิ่งพบเจอกับอุปสรรคจะยิ่งกล้าหาญ มันกระพือปีกบินโฉบเข้ามาโรมรันต่อสู้อีกครั้ง เผยเฉียนเองก็จับเคล็ดลับได้ จึงเป็นฝ่ายกุมชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ขนห่านสีขาวหิมะร่วงเกลื่อนเต็มพื้น นางจึงเก็บพวกมันเอามาทำเป็นลูกขนไก่ลูกหนึ่ง

นานวันเข้า ขอแค่พวกมันได้เจอกับเด็กหญิงตัวดำผู้นั้นก็จะเป็นฝ่ายอ้อมหลบไปเอง นี่ทำให้เผยเฉียนรู้สึกเหงาอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกดีใจนิดๆ คิดว่าตัวเองได้ลิ้มรสชาติของปรมาจารย์ที่ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาวแล้ว คิดว่าตนอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ ไม่ได้ทำให้อาจารย์เสียหน้าในถิ่นบ้านเกิดของตัวเอง!

ภายหลังเผยเฉียนกับเด็กชายชุดเขียวก็ได้ไปเจอกับหมาพันธ์พื้นบ้านตัวหนึ่งที่ดุร้ายอย่างยิ่งในแถบภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก

นี่จะไปยากอะไร?

เผยเฉียนเป็นถึงบุคคลที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ปณิธานหนึ่งในนั้นก็คือต้องกำราบหมาที่ดุร้ายที่สุดให้จงได้

หลังจากนั้นก็เกิดการไล่ล่าไปทั่วภูเขารอบหนึ่ง

เด็กชายชุดเขียวช่วยดักขวางทางให้อย่างฮึกเหิมถึงขีดสุด หลังจากนั้นมาเด็กทั้งสองก็มักจะไปหาเรื่องหมาพันธ์พื้นบ้านที่ฉลาดเฉลียวตัวนั้นเป็นประจำ

น่าสงสารก็แต่หมาพันธ์พื้นบ้านที่เจอกับหายนะโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ที่พึ่งของมันก็ไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนเสียด้วย จึงได้แต่เก็บหางวิ่งหนีไปทั่วสารทิศ ประเด็นสำคัญก็คือต่อให้มันหนีเข้าไปในภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังไม่อาจหนีพ้นหายนะไปได้ เจ้าตะพาบน้อยที่จิตใจชั่วร้ายอำมหิตทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาจะบุกขึ้นมาบนภูเขาท่าเดียว เซียนซือและเหล่าลูกศิษย์บนภูเขาที่เห็นเข้าก็ไม่กล้าเข้ามายุ่ง หร่วนฉงเห็นแล้วยังหัวเราะอารมณ์ดี ไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย กลับกันยังบอกลูกศิษย์ในสำนักว่าไม่ต้องขัดขวางการเล่นสนุกของเจ้าเด็กเกเรทั้งสอง

เผยเฉียนเองก็ไม่ได้หลงลืมมารยาทที่พึงมี นางที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า พอเห็นหร่วนฉงก็จะกุมหมัดคารวะ เปี่ยมไปด้วยมาดของคนในยุทธภพ

หร่วนฉงที่ไม่เคยยิ้มให้ลูกศิษย์ตัวเองกลับถึงขั้นยิ้มพลางลูบหัวแม่นางน้อย บอกว่าวันหน้าหากอยากเข้ามาเรียนวิชากระบี่ในสำนักของข้า ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่บันทึกชื่อหรือไม่บันทึกชื่อก็ล้วนได้ทั้งสิ้น

เผยเฉียนปฏิเสธไปทันที จากนั้นก็ป่าวประกาศซ้ำอีกรอบว่าตนเองคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์

นางไม่ค่อยกลัวอริยะสำนักการทหารที่ชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้สักเท่าไหร่ กลับกันยังรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม ซึ่งการที่รู้สึกเช่นนี้ก็เพราะนางซุกซ่อนความลับเล็กๆ ไว้อย่างหนึ่ง

เพราะนางเคยเห็นภาพโคมม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลามาก่อน จึงจดจำพี่สาวชุดเขียวผู้นั้นได้ขึ้นใจ นางรู้สึกว่าต่อให้ยากที่อีกฝ่ายจะกลายมาเป็นอาจารย์แม่ของตน แต่ให้เป็นอาจารย์แม่รองก็ไม่ได้หรือ?

หร่วนฉงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าวันหน้าค่อยว่ากัน ไม่ต้องรีบร้อน

แต่หากเขารู้ความคิดในใจของเด็กหญิงคาดว่าคงจะหัวเราะไม่ออกแล้ว

แล้วยังจะด่าเจ้าเด็กแซ่เฉินผู้นั้นด้วยว่า ไม่ยอมล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเลยง่ายๆ เป็นเจ้าเสียมน้อยที่คอยแซะมุมกำแพงบ้านผู้อื่น ทำให้คนยากจะป้องกันได้ไหว

เผยเฉียนกับเด็กชายชุดเขียวเดินมาใกล้ถึงตรอกหนีผิงแล้ว แต่จู่ๆ เผยเฉียนก็วิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็กที่ตอนนี้ไม่มีโซ่เหล็กอยู่แล้ว นางฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบบ่อ มองเข้าไปข้างใน

เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าต่างก็บอกว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนซุกซ่อนของเล่นดีๆ ที่มีค่าเอาไว้มากมาย ข้าจะมองดูว่าด้านในมีสมบัติหรือไม่ หากมีจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะไม่รวยเละเลยหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวเหลือกตามองบน “ข้าแนะนำเจ้าว่าเลิกคิดเถอะ หากเป็นที่อื่นก็ยังพอทำเนา แต่ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวไปแล้ว แล้วก็เพราะว่าข้ามีหน้ามีตาใหญ่โต ถึงได้ไม่มีใครขัดขวางเจ้า ปล่อยให้เจ้าเดินอาดๆ มาถึงที่นี่ได้ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าชาวบ้านในเมืองเล็กไม่มีใครมาตักน้ำแล้ว?”

เผยเฉียนผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ กล่าวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพอมาถึงบ้านเกิดอาจารย์ถึงได้หาของดีไม่เจอเลยสักชิ้น!”

เด็กชายชุดเขียวเกาหัวอย่างระอาใจ

เวลาพูดเรื่องโชควาสนา พูดเรื่องหลักการเหตุผลกับเผยเฉียน นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เวลาพูดถึงเรื่องเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง นางกลับเก็บไปใส่ใจเสียได้

สีซอให้ควายฟังจริงๆ แม้แต่เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าน้ำเข้าสมองตัวเองมากพอแล้วก็ยังอดรู้สึกอับจนปัญญากับนางไม่ได้

คนทั้งสองนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำ เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจดังเฮือก

เผยเฉียนถาม “เป็นอะไรไป?”

เด็กชายชุดเขียวนวดคลึงซีกแก้มตัวเอง “ไม่รู้ว่าพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของข้า ทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ไปจากเจ้าแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือไร ไม่ใช่ข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะคิดมากเกินไป ไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรหรอก”

เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบนอีกรอบ

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ไม่สนใจเด็กชายชุดเขียวอีก เอาแต่พึมพำกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้มว่า “อาจารย์ก็จริงๆ เลย นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาสักที”

เด็กชายชุดเขียวพยักหน้า “นายท่านที่พึ่งพาไม่ได้ผู้นี้ติดเงินหงเปาข้าหลายซองแล้ว”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมาจากถุงปักลายที่กุ้ยฮูหยินนครมังกรเฒ่ามอบให้ออกมา “ถือซะว่าเป็นเงินหงเปาที่อาจารย์ข้ามอบให้เจ้า พอหรือไม่?”

เด็กชายชุดเขียวมองเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่วางอยู่บนฝ่ามือของเผยเฉียน ทันใดนั้นความเศร้าระทมก็ท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ ตามมาด้วยความขุ่นเคืองเต็มอก แต่ก็ยังยื่นมือออกไป หมายจะหยิบเงินเหรียญทองแดงเหล่านั้นมา ขาของยุงก็คือเนื้อเหมือนกันนี่นา

เผยเฉียนกลับหุบฝ่ามือเป็นหมัดพลางหัวเราะฮ่าๆ เอาเงินใส่กลับไปในถุงผ้า “ฝันไปเถอะเจ้า เงินมากขนาดนี้ ข้าตัดใจไม่ลงหรอก”

จากนั้นเผยเฉียนก็หุบยิ้ม ตบไหล่ของเด็กชายชุดเขียว “มีชีวิตอย่างอนาถาเช่นนี้ แม้แต่เงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน เจ้าเองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ไม่เป็นไร อาจารย์ข้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่า เฝ้ารอให้เมฆเคลื่อนออกเห็นแสงจันทร์ ข้าขอมอบประโยคนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน ข้ามีคุณธรรมใช่ไหมล่ะ?”

เด็กชายชุดเขียวกุมหัวร้องโอดครวญ

ชีวิตยากลำบากเช่นนี้เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร

เผยเฉียนทอดถอนใจ ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตจริงๆ นางจึงได้แต่หยิบเงินเหรียญทองแดงพวกนั้นออกมายื่นส่งให้เด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง “เอาไปเถอะ”

เด็กชายชุดเขียวคลี่ยิ้มทันใด

เผยเฉียนกลับส่ายหน้า พูดสั่งสอนเหมือนคนแก่ว่า “เห็นเงินแล้วตาโต ไม่ได้เรื่อง!”

ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกปี

สตรีชุดเขียวและเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้เดินทางกลับขึ้นเหนือไปพร้อมกับขบวนใหญ่ แต่กระโดดลงจากเรือข้ามฝากที่เมืองหงจู๋

จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเท้ากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน

พวกเขาก็คือหร่วนซิ่วและชุยตงซาน

ในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งของเมืองหงจู๋ ชุยตงซานที่ว่างจัดจึงหาข้ออ้างหยอกเย้าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเล่น

ลูกค้าคนหนึ่งในนั้นโดนปั่นหัวจนโมโห ไม่ทันสนใจว่าข้างกายเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวยังมีแม่นางหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหลยืนอยู่ด้วย เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า “เห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดี ยังไม่อนุญาตให้ข้าอิจฉา? เห็นคนอื่นมีชีวิตไม่เป็นสุข ยังไม่อนุญาตให้ข้าเบิกบานใจ? เจ้าเป็นใครกัน มายุ่งอะไรด้วย?”

ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ได้ๆๆ นี่คือนิสัยที่ดี อย่าเปลี่ยนๆ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พ่อแม่เจ้าสักหน่อย เจ้ามีนิสัยดีๆ แบบนี้แล้วข้าจะต้องพูดโน้มน้าวให้เจ้าเปลี่ยนนิสัยไปทำไม?”

หร่วนซิ่วทั้งไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจ

ชุยตงซานเห็นว่านางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเปิดแล้วเริ่มกินขนมอีกครั้งก็รีบพานางจากไป พลางพูดบ่นเบาๆ ไปด้วย “ช่วยอย่ามากินเจ้านี่ต่อหน้าข้าได้ไหม? เจ้าเอาขนมนี่ออกมาทีไร ข้าใจคอไม่ดีทุกที”

ดวงตาหร่วนซิ่วเป็นประกาย “เจ้ารู้หรือ?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างระอาใจ “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นขอบเขตบินทะยาน แม้ว่าสภาพการณ์ของข้าในตอนนี้จะน่าอนาถไปสักหน่อย แต่วิสัยทัศน์ก็ยังมีอยู่บ้าง อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้าใจรากฐานของคนอย่างพวกเจ้าได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ข้าจะไม่รู้ได้หรือ?”

หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ

ยามที่อยากกินอาหารเลิศรสที่แท้จริงบนโลก แต่กลับกินเข้าไปไม่ได้ ควรจะทำอย่างไร? นางเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นคือกินอย่างอื่นแทน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้กินเลย

คนทั้งสองออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง ระหว่างทางก็ผ่านภูเขาฉีตุน

คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนยอดเขา ชุยตงซานทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้

ฮ่องเต้ต้าหลี อันที่จริงควรเรียกว่าอดีตฮ่องเต้แล้ว

อีกไม่นานข่าวนี้ก็จะเป็นดั่งกระดาษที่ห่อไฟไม่อยู่ และคนในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็จะรับรู้ข่าวนี้กันอย่างรวดเร็ว

ทายาทสกุลซ่งต้าหลี ในบรรดาองค์ชาย แน่นอนว่าชื่อเสียงของซ่งเหอย่อมมีมากที่สุด ซ่งมู่องค์ชายที่ราวกับหล่นลงมาจากฟ้าผู้นั้นไร้รากฐานไร้ที่พึ่งในราชสำนัก กองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ต้าหลีเก็บงำเรื่องนี้ไว้อย่างลึกล้ำ ไม่มีใครกล้าแพร่งพรายออกมาแม้แต่ครึ่งคำ และหากมีใครที่เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็จะหายไปจากโลกนี้เหมือนไอร้อนที่ระเหิดหายไป หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกผู้เฒ่าหลายคนในกองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ที่ไม่อาจข้ามผ่านความร้อนแผดเผาและความหนาวเหน็บทรมานไปได้ สุดท้ายก็ต้อง ‘ป่วยตายไป’

เมื่อฮ่องเต้ ‘สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังหนุ่ม’

ความจริงจึงถูกกุมอยู่ในมือของคนสามคนเท่านั้น เหนียงเนียงที่ถูกเนรเทศให้ไปฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน เสด็จแม่แท้ๆ ขององค์ชายทั้งสอง ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ชุยฉานซิ่วหู่ผู้ช่วยประคับประคองแว่นแคว้น

คนหนึ่งได้ยึดครองหลักธรรมเนียมและระบบสายเลือดที่ถูกต้อง อีกคนหนึ่งควบคุมกองทัพต้าหลีทั้งหมด อีกคนหนึ่งคือราชครูที่ช่วยวางแผนให้แก่ต้าหลีมานานนับร้อยปี

คนทั้งสามยังคงสามารถรักษาสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างราชสำนักและบนภูเขาล่างภูเขาของต้าหลีเอาไว้ได้

ก่อนหน้าที่จะยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งมาได้ก็ห้ามเกิดปัญหาใดๆ เด็ดขาด

หลังจากที่ยึดครองมาได้แล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนียงเนียงผู้นั้นจะต้องลำเอียงเข้าข้างซ่งเหอที่เติบโตมาข้างกายตัวเองตั้งแต่เด็กอย่างสุดจิตสุดใจ และในความเป็นจริงแล้วซ่งเหอก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในสำนักของเจ้าตะพาบเฒ่า

ซ่งมู่ หรือควรจะเรียกว่าซ่งจี๋ซิน กลับเป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน

ทว่าคนที่จะสามารถตัดสินใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีได้อย่างแท้จริง มีเพียงคนเดียว ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง

ต่อให้เขาจะไม่พอใจกับการทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วขึ้นมาเป็นฮ่องเต้เสียเอง เจ้าตะพาบเฒ่าก็ยินดี เพราะนี่ก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ที่ ‘ซิ่วหู่’ ทั้งแก่และหนุ่มวางไว้ตั้งแต่ปีนั้น

แต่หากดูจากตอนนี้ ปณิธานของซ่งจ่างจิ้งไม่อยู่ที่เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงถอดเสื้อเกราะ หันมาสวมชุดคลุมมังกรตั้งนานแล้ว

ลมภูเขาโชยมาเป็นระลอก พัดพาเอากลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิลอยตามลมมาด้วย

ชุยตงซานหรี่ตาลง

ช่างซวยซ้ำซวยซ้อนซวยแปดชาติจริงๆ มีใจอยากปักบุปผา บุปผาไม่บาน ไร้ใจจะปักกิ่งหลิว ต้นหลิวกลับงอกงาม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็แค่พูดถึงเรื่องเส้นสายกับอาจารย์ไปอย่างนั้นเอง ผลกลับกลายเป็นว่าเกือบจะหลงเข้าไปบนมหามรรคาของเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้น

ชุยตงซานตบปากตัวเองฉาดใหญ่

แล้วยังมีแผนการที่ผู้เฒ่าเหยาเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้ำนั่นอีก หยางเหล่าโถวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องจึงยิ่งลุกลามไปใหญ่โต

ชุยตงซานตบบ้องหูตัวเองอีกที

สำหรับเรื่องนี้ หร่วนซิ่วเคยชินมานานแล้ว

ชุยตงซานชำเลืองตามองไปที่หน้าผาแวบหนึ่ง คิดแล้วก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะ กระโดดลงไปก็ไม่ตายหรอก แต่จะต้องขายหน้าอย่างมาก

ชุยตงซานพลันแสยะเขี้ยวกางเล็บ สบถด่าเสียงดัง “เจ้าตะพาบเฒ่า แพ้ก็แพ้สิ ข้ากับอาจารย์ล้วนยอมรับ! แต่เจ้าไม่ควรไร้มโนธรรมพูดเรื่องการช่วงชิงของวิญญูชนกับผายลมสุนัขอะไรนั่น! ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว อาจารย์ของข้าแพ้อนาถขนาดนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมาในทะเลสาบซูเจี่ยน ยังต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง นั่นก็ไม่ต่างจากเจ้าเล่นหมากล้อมกับคนตาย การช่วงชิงของวิญญูชน ช่วงชิงกับท่านปู่เจ้าสิ เจ้าไสหัวออกมาเลยนะ ให้ข้าได้ตบปากเจ้าสักสองฉาดใหญ่ๆ ดูสิว่าในปากสุนัขของเจ้าจะมีงาช้างงอกออกมาได้หรือไม่…”

หร่วนซิ่วหัวเราะจนตาหยี

ชุยตงซานกลืนน้ำลาย เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พระจันทร์คืนนี้กลมโตจริงๆ”

ที่แท้ข้างกายเขาก็มีผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ ซึ่งก็คือราชครูชุยฉาน

ชุยตงซานหันหน้ามาช้าๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? บังเอิญอะไรขนาดนี้?”

ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ทำไมไม่พูดว่ายามที่บุปผาร่วงโรย ได้พบเจ้าคนคุ้นเคย (ประโยคหนึ่งจากบทกลอน) ด้วยเล่า?”

ในเมื่อโดนจับได้แล้ว ชุยตงซานก็ไม่สนอะไรอีก เขาชี้หน้าชุยฉาน เต้นผางสบถด่า “เจ้าตะพาบเฒ่า ทำไม ไม่ยอมงั้นหรือ มีประโยคไหนที่ข้าพูดไม่ถูกบ้าง? หากเจ้าบอกได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ชุยเหมือนเจ้า เจ้าก็คือหลานของข้า!”

หร่วนซิ่วส่ายหน้า

คนที่รนหาที่ตายแล้วยังกล้าเปลี่ยนลูกไม้มาหาที่ตายแบบนี้ เคยพบเห็นมาไม่เยอะจริงๆ

ชุยฉานกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ปีนั้นตอนที่อยู่บนหอสูงของนครน้ำบ่อริมทะเลสาบซูเจี่ยน เขาก็พอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง

ชุยฉานชี้ไปทางทิศใต้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเส้นสายตามองไปทางทิศตะวันตก “รู้หรือไม่ว่ากระดานหมากที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?”

ชุยตงซานขมวดคิ้ว “แผ่นดินกลาง? ซิ่วไฉเฒ่ามีวิธีการอะไรบางอย่างงั้นหรือ?”

ชุยฉานหัวเราะหยัน “ตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่งเท่านั้น”

ชุยตงซานร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วตบไหล่ชุยฉาน “ไหนตะพาบเฒ่าที่ปีนขึ้นมาบนปากบ่อลองพูดให้กบที่อยู่ใต้บ่ออย่างข้าฟังหน่อยสิ?”

ชุยฉานสะบัดมือของชุยตงซานออก เอ่ยเนิบช้าว่า “กระดานหมากของข้ากับฉีจิ้งชุนคือใต้หล้า ใต้หล้าทั้งหมด ทะเลสาบซูเจี่ยนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งเดียวจะนับเป็นอะไรได้?”

ต่อให้เป็นชุยตงซาน เวลานี้ก็ยังรู้สึกว่าเส้นหัวใจถูกดีดให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หร่วนซิ่วไม่ไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางคร้านจะสนใจ

ชุยฉานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าจะบอกแค่นี้แหละ เจ้ารอดูไปก็แล้วกัน แต่ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังต้องรออีกนานหลายปีถึงจะเข้าใจกุญแจสำคัญของสถานการณ์หมากครั้งนี้ ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่เป็นคนในสถานการณ์ ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานช่วงหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นชั่วชีวิต เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าปีนั้นเขาทำอะไรลงไปกันแน่”

ชุยตงซานไม่มีท่าทางถากถางเยาะเย้ยอะไรอีกแล้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียด พูดเสียงหนัก “ชุยฉาน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอดู!”

ร่างของชุยฉานพุ่งวูบหายไป

ชุยตงซานทอดถอนใจหนึ่งที

แล้วออกเดินทางไปพร้อมหร่วนซิ่วต่ออีกครั้ง

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกตลอดทาง

เพียงแต่ว่าพอเข้าไปในอาณาเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาพร้อมอากาศขมุกขมัว

ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ชุยตงซานจะอารมณ์ดีขึ้นมา เขายื่นมือออกไปรองรับน้ำฝน พึมพำเบาๆ ว่า “ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา ดอกซิ่งเบ่งบานสายฝนพร่างพรม”

…….

ท่ามกลางกลุ่มเทือกเขาที่อยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน

จากฤดูใบไม้ผลิก็เข้าสู่ฤดูร้อนอีกครั้ง

คนทั้งกลุ่มถึงเพิ่งจะเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้ครบถ้วน

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสองครั้งก่อนหน้านี้ ได้มีกู้ช่านมาเพิ่มอีกหนึ่งคน

ดังนั้นยิ่งเดินทางก็ยิ่งเชื่องช้า ยิ่งพบเจอกับอุปสรรคปัญหา

ส่วนความขัดแย้งระหว่างพวกผู้ฝึกตนผีผู้ฝึกตนนอกรีตเจ้าถิ่นทั้งหลาย เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วกลับไม่เจ็บไม่คัน

ในอาณาเขตแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋ง ไฟสงครามได้กระจัดกระจายไปทั่วแล้ว

การเดินทางครั้งนั้น แม้แต่เจิงเย่ก็ยังค้นพบความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

ในบรรดาภูตผีสัตว์ประหลาดที่ท่องอยู่ตามกลุ่มเทือกเขา ขอแค่ท่านเฉินปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพวกมันแล้วเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย พวกมันก็จะต้องเกิดความเคารพยำเกรงท่านเฉินกันแทบทุกตน บางส่วนที่ขี้ขลาดหน่อยก็ยิ่งถอยหนีวิ่งแตกฮือไปโดยตรง

ส่วนกู้ช่านยิ่งนานวันก็ยิ่งพูดน้อย ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

ระหว่างนี้กู้ช่านก็เคยเกิดความหวาดกลัว ดิ้นรน โกรธแค้น และยังมีถึงสองครั้งที่เกือบจะเลือกละทิ้งความตั้งใจเดิม

ท่านเฉินที่เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายสีเขียวมาสวมเสื้อสีเขียวตัวบางแล้วก็กลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายอีกครั้งไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายกู้ช่าน บางครั้งก็เอ่ยถ้อยคำบางอย่าง บางครั้งก็เงียบงัน

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกตนผีที่คิดจะฆ่าคนชิงทรัพย์ทั้งหลาย บ้างก็ออกหมัด บ้างก็ออกกระบี่

ทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ จิตวิญญาณแกว่งไกว ทว่าการออกหมัดออกกระบี่ในแต่ละครั้งกลับรวดเร็วอย่างถึงที่สุด

บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

ต่อให้เป็นอาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เจี้ยนเซียน’ เล่มนั้นก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนว่าง่าย ทุกครั้งที่ออกจากฝักหรือก่อนจะกลับเข้าฝักก็จะต้องบินอ้อมวนอยู่รอบกายเจ้าของ ทิ้งกระแสลมปราณให้ไหลวนอย่างเชื่องช้า ประหนึ่งนกน้อยที่แอบอิงคน

สิ้นปีของปีนี้

ระหว่างที่เดินทางกลับ

ในที่สุดก็เจอกับหิมะตกหนักที่ใหญ่เท่าขนห่าน

และท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชย พวกเขาก็ย้อนกลับคืนมาที่ทะเลสาบซูเจี่ยน

บนภูเขาสูงแห่งหนึ่งพอจะมองเห็นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกตได้เลือนราง

กู้ชานพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ต่อจากนี้ให้ข้าเดินทางไปด้วยตัวเองเถิด”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองกู้ช่านที่มีสายตาเด็ดเดี่ยว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คิดดีแล้วหรือ? อาจตายได้นะ ข้าสามารถเดินทางเป็นเพื่อนเจ้าได้อีกหนึ่งปี”

กู้ช่านส่ายหน้า “แค่นี้ก็พอแล้ว!”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเขา

กู้ช่านเอ่ย “แต่ถ้าหากมีวันหนึ่ง ข้าพูดว่าถ้าหาก เจ้าเฉินผิงอันถูกคนฆ่าตาย ข้าจะต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปฆ่าคนทั้งครอบครัวของเขา ไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาออกมา ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ไม่มีเจ้าคอยคุมข้าแล้ว แล้วเจ้าก็ด่าข้าไม่ได้ด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างระอาใจ

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่ได้ยินกลับอกสั่นขวัญผวา

ต้องรู้ว่าหลังจากที่กู้ช่านตัดสินใจฝึกตน ความเร็วในการฝึกตนของเขาก็เร็วจนทำให้หม่าตู่อี๋รู้สึกว่าตัวเองคือคนขาเป๋ที่เดินอยู่บนถนน กู้ช่านไม่ได้เดินเลยสักนิด อย่างเขาต้องเรียกว่าโดยสารเรือข้ามฝากตระกูลเซียนแล้ว

เพราะตอนนี้กู้ช่านเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว อีกทั้งใกล้จะฝ่าทะลุคอขวดเต็มที

เฉินผิงอันจึงแยกย้ายกับพวกกู้ช่านตรงนี้ เขาขี่ม้าไปเพียงลำพัง บอกว่าจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือ แต่วันใดอาจจะโดยสารเรือตระกูลเซียนกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนให้เร็วหน่อย

หนึ่งคนหนึ่งม้า

เดินทางผ่านริมอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เดินเข้าไปในอาณาเขตของแคว้นสือหาว

มักจะมีคนผ่านทางได้เห็นจอมยุทธพเนจรชุดเขียวที่สะพายกระบี่อยู่เป็นประจำ ทั้งคนและม้าต่างก็ผอมแห้งราวกับต้นไผ่ลำหนึ่ง ทว่าคนหนุ่มที่ขี่อยู่บนหลังม้ากลับมีดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า

เพียงไม่นานม้าผอมแห้งก็กลับคืนมาแข็งแกร่งกำยำ เพียงแต่ว่าเจ้าของของมันยังคงผอมอยู่อย่างนั้น

วันนี้เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปบนถนนดินเส้นหนึ่ง เดินผ่านแปลงปลูกดอกน้ำมันที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

เฉินผิงอันหยุดเดิน ม้าตัวนั้นที่จิตใจเชื่อมโยงกับเขาก็หยุดขยับกีบม้าแทบจะเวลาเดียวกัน

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนคันดิน ส่วนม้าก็เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายเขา

เฉินผิงอันเกาหัว ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นก็กอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก “อาจารย์ฉี ท่านไม่อยู่แล้วจริงๆ หรือ ข้ายังนึกว่าจะสามารถได้พบท่านอีกสักครั้ง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

ก็ดีเหมือนกัน หากเห็นสภาพน่าสังเวชของตนในเวลานี้ ไม่แน่ว่าเขาคงไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์น้องเล็กของอาจารย์ฉีกระมัง?

……

ในค่ำคืนที่เกิดพายุหิมะของปีหนึ่ง บนทางสะพานไม้เลียบริมหน้าผา

หลังจากนายท่านไป๋พร้อมกับสาวใช้คนหนึ่งแยกทางกับเด็กหนุ่มผู้นั้น และสาวใช้คนนั้นก็หางขาดไปหนึ่งหางแล้ว

บนสะพานไม้ก็มีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาคลี่ยิ้มบางๆ รอคอยอยู่

ตอนนั้นนายท่านไป๋แย้มยิ้มเอ่ยว่า “ดีนักนะ ตอนอยากพบเจ้า เจ้าไม่ปรากฏตัว แต่ตอนที่ไร้ความหวังว่าจะได้พบเจ้า เจ้ากลับมาหาเองเสียนี่”

ปีศาจจิ้งจอกใหญ่ที่แต่งกายเหมือนสตรีชาววังตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว เป็นฝ่ายเดินห่างไปจากคนทั้งสอง ทิ้งระยะห่างมาไกล

ก่อนที่ชาวลัทธิขงจื๊อชุดเขียวจะแยกย้ายกับไป๋เจ๋อ เขาได้ยื่นลูกน้ำทรงกลมที่รวบรวมแก่นของโชคชะตาน้ำลูกหนึ่งให้แก่ไป๋เจ๋อเบาๆ พลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อีกหลายปีให้หลัง อาจจะสองสามปี หรืออาจจะสี่ห้าปี ตอนนี้ข้ายังไม่อาจระบุเวลาที่แน่ชัดได้ ดังนั้นจึงต้องขอรบกวนนายท่านไป๋ช่วยคอยสังเกตให้หน่อย เมื่อเห็นแล้ว นายท่านไป๋ค่อยตัดสินใจ”

ไป๋เจ๋อสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ แล้วรับสิ่งนั้นมา

เพราะชาวลัทธิขงจื๊อท่านนี้ก็คือฉีจิ้งชุน

ดังนั้นเมื่อมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนที่อยู่ริมลำคลองใหญ่ใกล้กับนครจักรพรรดิขาว ไป๋เจ๋อถึงได้พูดกับผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ผู้นั้นว่า ‘ขอข้าดูอีกหน่อย’

บนเกาะที่ตั้งตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทร

หลังจากมองส่งจ้าวเหยาจากไป

ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อยื่นน้ำถ้วยหนึ่งส่งให้กับบัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ผิดหวังต่อโลกมนุษย์อย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอเดิมพันกับท่านอาจารย์แล้ว”

บัณฑิตผู้นั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ “คนอื่นคงไม่ได้ แต่ให้เดิมพันกับเจ้าฉีจิ้งชุน ย่อมได้”

ดังนั้นหลังจากที่ฉีจิ้งชุนจากไป บัณฑิตคนนั้นจึงไม่คิดจะพบผู้อำนวยการใหญ่สายของหย่าเซิ่งเช่นกัน

เขาเองก็จะคอยดู

สุดท้ายที่แคว้นไฉ่อี การพบกันครั้งสุดท้าย แล้วก็เป็นการจากลาครั้งสุดท้าย

ฉีจิ้งชุนยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า จะต่อยหมัดเป็นเพื่อนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย

เด็กหนุ่มออกหมัด

ฉีจิ้งชุนที่อยู่ด้านข้างก็ออกหมัดอย่างผ่อนคลาย ทว่าในใจกลับเอ่ยช้าๆ ว่า “ศิษย์น้องเล็ก ลำบากเจ้าแล้ว ภาระยิ่งใหญ่ขนาดนี้กลับถูกข้านำไปวางไว้บนบ่าของเจ้าด้วยตัวเอง ขอโทษนะ”

นาทีนั้นเด็กหนุ่มเพียงแค่ปล่อยหมัดออกไปด้วยความเสียใจ

โดยที่ไม่รู้เลยว่า อาจารย์ฉีที่ตัวเองเคารพนับถือที่สุดน้ำตาไหลอาบใบหน้า ในใจเต็มไปด้วยความละอาย

……

ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

ไป๋เจ๋อออกมาจากหอพิทักษ์เมือง เป็นฝ่ายมาเยือนศาลบุ๋นดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อด้วยตัวเอง

บัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในใต้หล้าขี่กระบี่เดินทางไกลมาอย่างสง่างาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซียนกระบี่ของใต้หล้าแห่งใด ก็ไม่มีใครเทียบข้าได้ติด

ส่วนแจกันสมบัติทวีปกลับมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งหลับอยู่บนหลังม้า

บุปผาผลิบานบนคันดินอีกครั้ง ท่านอาจารย์หวนคืนกลับไปอย่างเชื่องช้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version