บทที่ 460 ล้วนอยู่ในยุทธภพที่มีสุรา
สือโหรวลุกพรวดขึ้นยืน แหงนหน้ามองไปจึงเห็นว่าตรงชั้นสอง ผู้เฒ่าที่ไม่สวมรองเท้าหิ้วคอเฉินผิงอันยกขึ้นเบาๆ ข้ามราวระเบียงออกมา แล้วปล่อยมือโยนเขาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี สือโหรวจึงพุ่งเข้าไปรับตัวเฉินผิงอันไว้อย่างลนลาน
ผู้เฒ่ากล่าว “ไอ้หมอนี่คิดมากไป นอนน้อยไป ให้เขานอนหลับให้เต็มอิ่มเสียก่อน ช่วงนี้อย่าทำเสียงดังรบกวนให้เขาตื่น”
สือโหรวรีบวางเฉินผิงอันลงบนเตียงของชั้นหนึ่งแล้วถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ ปิดประตูลงแล้วมานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตูอย่างว่าง่าย
ผู้เฒ่าเดินลงจากเรือนไม้ไผ่ มาหยุดอยู่ตรงริมหน้าผา วันนี้ไอเมฆหมอกหนาทึบบดบังการมองเห็นทัศนยภาพที่เป็นดั่งม้วนภาพวาดงดงามยิ่งใหญ่ ประหนึ่งสายลมแห่งสวรรค์พัดหอบสะเทือนกระแสน้ำขึ้นของมหาสมุทร ยืนอยู่บนจุดสูงของภูเขาลั่วพั่ว ประหนึ่งอยู่ในแคว้นแห่งหนองบึง ทางซ้ายมือมียอดเขาแห่งหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาลั่วพั่วซึ่งตระหง่านง้ำทะลุทะเลเมฆ ประหนึ่งมีเซียนสวมรองเท้าเกี๊ยะส้นสูงก้าวเดิน ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งก็สลายทะเลเมฆทั้งแห่งออกไป เบื้องหน้าจึงราวกับคนเปิดประตูแล้วมองเห็นขุนเขาสายน้ำ
ภาพนี้ทำให้สือโหรวที่มองดูอยู่หนังตากระตุกน้อยๆ รีบหลุบตาลงต่ำทันที
หากการโบกชายแขนเสื้อนี้เกิดขึ้นกับคราบร่างเทพเซียนของนาง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจิตวิญญาณของตนจะแหลกสลายไปเลยหรือไม่
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานที่นางหวาดกลัวที่สุดผู้นั้นก็เคยมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว และเขาก็ขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน สือโหรวไม่เคยเห็นชุยตงซานที่ห่อเหี่ยวเซื่องซึมเช่นนี้มาก่อน ผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้อง ไม่ได้เดินออกมา ชุยตงซานเองก็นั่งอยู่ตรงระเบียงนอกประตู ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน แต่เขากลับเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่
นับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมาสือโหรวก็รู้แล้วว่าควรจะคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่าอย่างไร ง่ายดายมาก นั่นคือพยายามอย่าพาตัวไปปรากฏอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าแซ่ชุย
ผู้เฒ่ายืนนิ่งทอดสายตามองไปไกล
งูดำขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่หน้าท้องมีเส้นสีทองและมีกรงเล็บสี่กรงเล็บโผล่พรวดออกมาจากประตูภูเขา เลื้อยเลียบเส้นทางภูเขาที่กว้างขวางพุ่งพรวดขึ้นเขามาอย่างรวดเร็ว พอขยับเข้าใกล้เรือนไม้ไผ่ ให้ตายอย่างไรงูดำก็ไม่กล้าเข้าไป เผยเฉียนรู้ว่ามันเคารพกฎ จึงไม่ทำให้มันลำบากใจ นางพลิ้วกายลงบนพื้น ค้อมตัววิ่งตะบึงไปด้านหน้า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตามหลังนางไปติดๆ ประหนึ่งผีเสื้อสีชมพูที่บินว่อน มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้นท่าทางซังกะตายอย่างเห็นได้ชัด เขาไถลตัวลงจากหางของงูดำ เดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังเด็กทั้งสองไป ใกล้จะได้พบหน้าเฉินผิงอันแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวถึงได้รู้สึกใจฝ่อนิดๆ
เผยเฉียนไปถึงเรือนไม้ไผ่ สือโหรวก็รีบย้ำคำพูดของผู้เฒ่าอีกรอบ เผยเฉียนทั้งผิดหวังทั้งเป็นห่วง นางเดินอยู่หน้าประตูเรือนเบาๆ พยายามจะมองลอดร่องไม้ไผ่สีเขียวเข้าไปให้เห็นภาพในห้อง แน่นอนว่านางไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่นางยังคงไม่ถอดใจ เดินอ้อมวนรอบเรือนไม้ไผ่ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ของสือโหรว ยกสองแขนกอดอกอย่างขุ่นเคืองใจ อาจารย์กลับมาถึงบ้านเกิดกลับไม่ได้เห็นนางเป็นคนแรก ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่แบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าอย่างนางช่างไม่ได้เรื่องเอา ไม่รอบคอบพิถีพิถันเสียเลย
เผยเฉียนแอบส่งสายตาให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเข้าใจความหมายของนางได้ทันทีจึงวิ่งไปหาผู้เฒ่าเปลือยเท้า ถามเสียงเบา “ท่านปู่ชุย นายท่านของข้าสบายดีไหม?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “มีปัญหาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแก้ไขไม่ได้ รอให้เฉินผิงอันนอนอิ่มแล้วค่อยป้อนหมัดใหม่ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหน้าซีดเผือด
ป้อนหมัด?
นางรู้ดีเลยล่ะว่าสภาพของนายท่านในปีนั้นต้องใช้คำว่าอเนจอนาถอย่างจริงแท้แน่นอน
เด็กชายชุดเขียวที่แอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งสองอยู่ตลอดเวลาก็ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ นายท่านผู้น่าสงสาร เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็กระโดดลงหลุมเพลิงหลุมใหญ่เสียแล้ว มิน่าเล่าออกเดินทางไกลครั้งนี้ถึงไปร่อนเร่อยู่ข้างนอกนานถึงห้าปีกว่าจะตัดใจกลับมาได้ หากเปลี่ยนมาเป็นเขา ห้าสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะกล้ากลับมา
เฉินผิงอันหลับไปสองวันหนึ่งคืนเต็มถึงจะฟื้นตื่น พอลืมตาขึ้นก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปลาหลีกระโดด (ท่านอนหงายแล้วดีดตัวขึ้น) เดินออกจากห้องก็เห็นว่าเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนเฝ้ายามอยู่นอกประตู พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัว ศีรษะของเผยเฉียนเอียงพิงพนักเก้าอี้ ขาทั้งสองข้างยืดออก นอนหลับไปแล้ว แถมยังน้ำลายไหลด้วย สำหรับเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านแล้ว นี่น่าจะเรียกว่ามีใจแต่ไร้กำลัง เป็นความน่าจนใจในชีวิตคน เฉินผิงอันลดน้ำหนักฝีเท้าให้เบาลง ทรุดตัวลงนั่งยองมองเผยเฉียน ครู่หนึ่งต่อมานางก็ยกมือขึ้นเช็ดปาดคราบน้ำลายลวกๆ แล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง ยังพึมพำอะไรเบาๆ ฟังไม่เป็นคำ
เฉินผิงอันลุกขึ้น บอกเป็นนัยให้จูเหลี่ยนตามเขามา คนทั้งสองเดินไปถึงหน้าผา ที่นั่นวางโต๊ะหินที่แกะสลักกระดานหมากล้อมไว้หนึ่งตัว และเก้าอี้หินสี่ตัวที่แกะสลักเป็นลายเมฆลักษณะโบราณเรียบง่าย
จูเหลี่ยนกดเสียงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเผยเฉียนเห็นสภาพนายน้อยตอนนี้คงต้องสงสารท่านแย่แน่”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่ถือว่าดีมากแล้ว ตอนนั้นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คิดไว้ ยังนึกว่าเจ็ดแปดปีก็ยังไม่อาจออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด แต่ดูจากจดหมายที่ส่งหากัน บ่าวเฒ่าไม่กล้าถามไปในจดหมาย แต่ก็พอจะรู้ว่าสามารถทำให้นายน้อยใช้ชีวิตหนึ่งวันเหมือนผ่านไปหนึ่งปีเช่นนี้ได้ คงต้องเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนออกมาสองกา ให้ตัวเองกับจูเหลี่ยนคนละกา พวกเขาชนกาเหล้ากันเบาๆ เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะหิน แขนข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “ถ้อยคำมากมายยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว”
“ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่พูดถึงกัน ก็หนีไม่พ้นความสามารถในการรับทัณฑ์ทรมานจากสวรรค์ก็เท่านั้น”
จูเหลี่ยนหันมาจ้องซีกหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าวเสียงเบาว่า “สภาพของนายน้อยในตอนนี้ แม้ว่าจะอิดโรยซีดเซียวอย่างถึงที่สุด แต่บ่าวเฒ่าคือคนที่ผ่านทัณฑ์ความรักมาก่อน รู้ดีว่าสภาพนายน้อยในทุกวันนี้จะได้รับความสงสารความเห็นใจจากสตรีได้ดีที่สุด วันหน้าหากลงจากภูเขาไปที่เมืองเล็กหรือเขตการปกครอง ทางที่ดีที่สุดนายน้อยควรสวมงอบสักใบบดบังใบหน้า ไม่อย่างนั้นระวังว่าจะซ้ำรอยจวนจื่อหยาง แค่สตรีที่ผ่านทางมาเห็นนายน้อยไม่กี่ครั้ง รับรองว่านายน้อยคงต้องเจอกับหนี้รัก หนี้เสน่หาหลายบัญชีแน่นอน”
คำประจบเยินยอที่ไม่ได้เอ่ยมานาน
เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบข้างแก้มตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่ หรือคิดว่าผู้หญิงพวกนั้นตาบอดกันแน่?”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจเอ่ยว่า “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด นายน้อยรอดูเถอะ พอไปอยู่นอกภูเขา ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสตรี…”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “หยุดเลยๆ ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”
จูเหลี่ยนเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจ “คำพูดจากใจจริงมักระคายหูเสมอ!”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ ไม่ต่อคำ อาศัยแสงจันทร์ใสกระจ่างที่สาดส่องลงมาในโลกมนุษย์หรี่ตามองไปยังทิศไกล
แม้ว่าตอนนี้จะมองไปทางทิศใต้ ทว่ากิจการบ้านใหม่ของเฉินผิงอันต่อจากนี้จะต้องอยู่ทางเหนือของภูเขาลั่วพั่ว
นอกจากภูเขาหนิวเจี่ยวที่เป็น ‘ฐานบัญชาการณ์ชั่วคราว’ ของร้านผ้าห่อบุญดั้งเดิมแล้ว ภูเขาจูซาที่มีสกุลสวี่นครลมเย็นซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังตระกูลเซียนที่ก่อนหน้านี้เห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะกระโดดลงจาก ‘เรือที่กำลังจะจม’ อย่างต้าหลีลำนี้เลือกไว้ นอกจากนี้ก็ยังมีภูเขาหลังเอ๋า (เอ๋าคือเต่ายักษ์ในทะเลที่เล่าลือในเทพนิยาย)แท่นบูชากระบี่ ยอดเขาเว่ยเซี่ยและภูเขาฮุยเหมิง ฯลฯ นอกจากแท่นบูชากระบี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย อีกทั้งยังมีขนาดไม่ใหญ่แล้ว ภูเขาที่เหลือล้วนอยู่ค่อนไปทางทิศใต้ของกลุ่มภูเขาตะวันตก ซึ่งห่างจากภูเขาลั่วพั่วไม่ไกลพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาฮุยเหมิงที่อาณาบริเวณกว้างขวาง ก่อนหน้านี้กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนกลุ่มนั้นได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ บวกกับที่นักโทษสกุลหลูกลุ่มใหญ่ทำงานหนักอย่างไม่ปริปากบ่น จึงสร้างจวนเทพเซียนที่ทอดยาวติดกันเป็นแถบประหนึ่งดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ไว้ได้สำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขากลับคืนให้ราชสำนักต้าหลีเหมือนกึ่งขายกึ่งยกให้เปล่าๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร คิดดูแล้วคงต้องเสียใจจนไส้เขียวเป็นแน่
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างเขาไว้ที่นครมังกรเฒ่า มีเว่ยป้อเป็นคนกลางช่วยเชื่อมสะพานสานความสัมพันธ์ให้ เฉินผิงอันจึงเอาพวกมันมาซื้อภูเขา หนี้สินครั้งนี้จึงถือว่าหายกัน ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาหนิวเจี่ยวที่สร้างท่าเรือตระกูลเซียนไว้แล้วซึ่งกำลังจะถูกเฉินผิงอันเก็บมาไว้ในกระเป๋า แต่จำเป็นต้องให้อยู่ในนามของเว่ยป้อก่อนชั่วคราว ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเขาได้มาครองอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากผลประโยชน์มหาศาลเกินไป เฉินผิงอันย่อมต้องถูกชนชั้นสูงของต้าหลีอิจฉาตาร้อน ทว่าในทางส่วนตัวแล้ว น้ำเป็นที่มีต้นกำเนิดสายนี้ ด้านในกลับมีแต่เงินเทพเซียนเหรียญแล้วเหรียญเล่าที่ไหลริน ซึ่งเฉินผิงอันจะแบ่งผลกำไรกับเว่ยป้อคนละครึ่ง
ปีนั้นช่วยบ้านกู้ช่านแย่งน้ำจากนาคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะยังสามารถเฝ้ารักษา ‘ผืนนาอุดมสมบูรณ์’ ที่ได้ผลิตผลน่าตะลึงไว้ได้อีกผืน
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป เอ่ยถามว่า “จูเหลี่ยน เจ้าได้ประมือกับผู้อาวุโสแซ่ชุยบ่อยๆ หรือไม่?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า “หมัดของผู้อาวุโสแข็งอย่างถึงที่สุด เขาได้เดินไปถึงปลายทางวิถีวรยุทธที่ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเราใฝ่หาแม้ในยามหลับฝันมานานแล้ว ใครบ้างที่ไม่เลื่อมใส เพียงแต่ว่าข้าไม่อยากรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของผู้อาวุโสก็เท่านั้น”
จูเหลี่ยนเอนกายไปด้านหลัง หันหน้ามองไปทางเรือนไม้ไผ่ “ข้าพูดอย่างนี้ ท่านผู้อาวุโสคงไม่ถือสากระมัง?”
ไม่มีการตอบรับ เงียบกริบไร้สรรพสำเนียง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นอกจากบางครั้งที่ท่านผู้อาวุโสจะถือไม้เท้าเดินป่าท่องเที่ยวไปตามกลุ่มภูเขา ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ผู้เฒ่าในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เวลาปกติก็ไม่ค่อยปรากฏตัวนัก เมฆาแห่งเสรี นกกระเรียนเดียวดาย (เปรียบเปรยถึงคนที่หลุดพ้นจากโลกโลกีย์ ไร้พันธนาการ มีอิสระเสรี) ก็เป็นเช่นนี้เอง”
จูเหลี่ยนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ข้าพบต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่งโดยบังเอิญในเขตการปกครอง เป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีของเมืองหลวงต้าหลีที่ย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียน อายุไม่มาก แค่สิบสามปี อายุพอๆ กับเจ้าตัวขาดทุนของพวกเรา แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเรียนวรยุทธ เริ่มต้นค่อนข้างช้า แต่ก็ยังพอถือว่าทันเวลา ข้าพูดกับผู้อาวุโสในครอบครัวของนางชัดเจนแล้ว ตอนนี้รอแค่นายน้อยพยักหน้าตกลงเท่านั้น แล้วข้าก็จะพานางขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่ว ตอนนี้เรือนแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนภูเขา นอกจากพวกเราที่อยู่กันเองแล้ว หากเอาไว้ใช้ต้อนรับคนที่มาเยือนก็มากพอเหลือแหล่ อีกทั้งล้วนเป็นต้าหลีที่ออกเงิน ไม่ต้องให้พวกเราควักเองสักแดงเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วมีคนอยู่เยอะแล้ว ก็ควรจะต้องสร้างสถานที่พักพิงขึ้นมาจริงๆ รอให้หลังจากลงนามสัญญาซื้อภูเขาจากกรมพิธีการต้าหลีอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อให้ไม่นับภูเขาทั้งหลายที่ให้หร่วนฉงเช่า ดูเหมือนว่าหากแต่ละคนยึดครองกันไปคนละหนึ่งลูกก็ยังไม่มีปัญหา ทรัพย์สมบัติมากพอ เอวก็แข็งหลังก็ยืดได้ตรงจริงๆ ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เป็นรองแค่หร่วนฉงคนเดียวเท่านั้น เขาจะได้ครอบครองอาณาเขตสามส่วนของภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก นอกจากภูเขาเจินจูที่เล็กกะทัดรัดซึ่งไม่ไปพูดถึงแล้ว ภูเขาลูกอื่นๆ มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ล้วนมากพอให้เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งฝึกตนได้
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “หากเจ้ายินดีพานางขึ้นเขา แน่นอนว่าย่อมได้ แต่คิดจะให้นางอยู่ในภูเขาลั่วพั่วด้วยฐานะอะไร ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของเจ้าหรือ?”
หากจูเหลี่ยนจะรับลูกศิษย์คนแรกในใต้หล้าไพศาล เฉินผิงอันก็คาดหวังที่จะเห็นนางเดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธจริงๆ
คนในม้วนภาพวาดสี่คนของพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนี้ขอบเขตของจูเหลี่ยนสูงที่สุด คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงเสียจริง แม้ว่าจะใช้ทางลัด ทว่าส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าการเลือกของจูเหลี่ยน มองดูเหมือนใจร้อนต้องการเห็นความสำเร็จในทันที แต่ในความเป็นจริงแล้วทำอย่างนี้ต่างหากถึงจะถูกต้อง
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “บ่าวเฒ่าไม่มีอารมณ์จะเป็นอาจารย์ของคนอื่นหรอก ให้นางเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วก่อนก็แล้วกัน วันหน้าใครถูกใจในฐานกระดูกและคุณสมบัติของนางก็เอาตัวไปได้เลย การกระทำของบ่าวเฒ่าก็แค่ไม่อยากให้น้ำที่อุดมสมบูรณ์ไหลเข้าสู่นาของคนนอกก็เท่านั้น คิดอยากจะเพิ่มกลิ่นอายความเป็นมนุษย์ให้กับภูเขาลั่วพั่วแทนนายน้อยสักหน่อย ไม่อย่างนั้นหากมีแค่เทพ ตัวประหลาดและภูตผีปีศาจคงจะไม่ค่อยเข้าท่านัก มักรู้สึกว่าไม่ดีต่อฮวงจุ้ย จะว่าไปแล้วหากที่นี่คือพื้นที่มงคลดอกบัว ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์อย่างเด็กสาวคนนั้นก็จะเหมือนหนังสือในร้านขายหนังสือข้างทางที่ข้าแค่หยิบเอามาก็ได้แล้ว แต่หากอยู่ที่บ้านเกิดของข้า คาดว่าหากทำให้ปรมาจารย์ในยุทธภพเป็นกระบุงโกยพากันแย่งชิงหัวร้างข้างแตก มันสมองไหลกระจายได้ก็ถือว่าเป็นยุทธภพมากแล้ว”
จูเหลี่ยนยกขานั่งไขว่ห้าง สองนิ้วคีบกาเหล้าที่บรรจุเหล้าหมักตระกูลเซียนแกว่งเบาๆ พลางพูดอย่างปลดปลง “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้หล้าไพศาล มีคนเก่งกล้าสามารถมากมาย ไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่มงคลดอกบัวจะเทียบเคียงได้เลย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าพูดโน้มน้าวคนในตระกูลเด็กสาวได้อย่างไร? ยากจนเรียนบุ๋น ร่ำรวยเรียนบู๊ ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยกันเล่นๆ หรอกนะ”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน การที่คนตระกูลนั้นย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็เพราะอยู่ที่เมืองหลวงต่อไม่ได้แล้ว หายนะจากสาวงามนี่นะ เด็กสาวมีนิสัยดื้อรั้น พ่อแม่ผู้ปกครองในตระกูลของนางก็แข็งข้อ ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย บ่าวเฒ่าจึงช่วยจัดการมังกรข้ามแม่น้ำที่ไล่ล่าพวกเขามากลุ่มนั้น เด็กสาวเห็นแก่ที่คนในตระกูลมีน้ำใจต่อนาง และเดิมทีในตระกูลก็มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตสองคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นคนออกหน้า อีกทั้งตอนนี้เรื่องของนางยังทำให้พี่ชายและน้องชายเดือดร้อนไปด้วย นางละอายใจมากพออยู่แล้ว พอคิดว่าจะสามารถพึ่งพาอิทธิพลตระกูลเซียนของเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ นางก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ยั้งคิดให้มากความ อันที่จริงการเรียนวรยุทธเป็นอย่างไร ต้องลำบากมากแค่ไหน นางยังไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เป็นเด็กซื่อๆ โง่ๆ คนหนึ่ง แต่ในเมื่อถูกข้าหมายตาก็แสดงว่านางย่อมไม่ขาดความฉลาดเฉลียว ถึงเวลานั้นเมื่อนายน้อยได้เห็นนางก็จะรู้เอง นางคล้ายคลึงกับสุยโย่วเปียน แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งคำ
จูเหลี่ยนทำอะไรเชื่อถือได้เสมอ
—
ล้วนอยู่ในยุทธภพที่มีสุรา
จูเหลี่ยนพลันหันหน้าไปตะโกน “เจ้าตัวขาดทุน อาจารย์ของเจ้าจะต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว ยังจะมัวนอนหลับอยู่อีกรึ?!”
เผยเฉียนสะดุ้งทะลึ่งตัวขึ้นอย่างแรง พาทั้งตัวเองทั้งเก้าอี้ไม้ไผ่ล้มคว่ำ ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั้น นางพุ่งตัวไปทันที ผลคือพอเห็นสภาพของเฉินผิงอัน หยดน้ำตาราวกับเม็ดฝนก็ร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย ใบหน้าที่ดำเป็นถ่านยับยู่ ปากเบะลง พูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำไมอาจารย์ถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? ทั้งผอมทั้งดำขนาดนี้ มาเลียนแบบนางทำไมกัน? เฉินผิงอันขยับตัวนั่งตรงๆ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วสามปี ทำไมเจ้าไม่สูงขึ้นเลยเล่า? ทำไม กินข้าวไม่อิ่มงั้นหรือ? หรือว่าเอาแต่เล่นอย่างเดียว? ยังคัดตัวอักษรอยู่อีกหรือไม่?”
เผยเฉียนพุ่งเข้ากอดเฉินผิงอัน ร้องไห้โฮดังลั่น เสียใจอย่างถึงที่สุด
ปีนั้นควรจะทำหน้าหนาติดตามอาจารย์ไปด้วย หากมีนางคอยดูแลเรื่องการกินอยู่ของอาจารย์ ต่อให้จะเงอะงะไม่คล่องแคล่วมากแค่ไหน จะดีจะชั่วก็ยังมีคนคอยพูดคุย คอยช่วยคลายความกลัดกลุ้มให้อาจารย์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
เฉินผิงอันถลึงตาใส่จูเหลี่ยนที่ทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่ข้างๆ
จูเหลี่ยนยกกาเหล้ากระดกดื่มลงโทษตัวเองอึกใหญ่ จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันกำลังปลอบใจเผยเฉียนหิ้วกาใบเล็กที่ยังมีเหล้าอีกาครวญเหลืออีกครึ่งหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป
ราวกับว่าต้องการยกแสงจันทร์และกาลเวลาให้กับอาจารย์และศิษย์ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปนานคู่นี้
กว่าเผยเฉียนจะหยุดร้องไห้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางขยับไปนั่งบนเก้าอี้หินที่อยู่ด้านข้าง
ตัวสูงขึ้นมานิดหน่อย แต่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีทั่วไป เวลานี้เรือนร่างควรจะต้องอรชนอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวกิ่งหยางแล้ว และใบหน้าก็ควรจะเริ่มเรียวลง
แต่เผยเฉียนยังคงเป็นเหมือนเด็กหญิงตัวดำที่จากกันในเมืองหงจู๋ครานั้น
นางพูดจ้อถึง ‘คุณูปการอันใหญ่หลวง’ ของตัวเองในเขตการปกครองหลงเฉวียนตลอดหลายปีมานี้ให้อาจารย์ฟัง ทุกระยะเวลาช่วงหนึ่งนางจะต้องลงจากภูเขาไปเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงให้อาจารย์ เดือนหนึ่งและช่วงเทศกาลชิงหมิงของทุกปีก็จะต้องไปจุดธูปที่หลุมศพ คอยดูแลร้านทั้งสองที่อยู่ในตรอกฉีหลง ทุกวันนอกจากจะคัดตัวอักษรแล้วยังจะถือไม้เท้าเดินป่าขี่งูดำตัวนั้นออกไปลาดตระเวนทั่วอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่ว ป้องกันไม่ให้พวกโจรแฝงตัวเข้ามาในเรือนไม้ไผ่ แล้วยังฝึกเดินนิ่งหกก้าว ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ทุกวัน รวมไปถึงวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบที่พี่หญิงแม่ชีสอนนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชากระบี่มารคลั่งที่นางยังต้องปรับปรุงแก้ไขอีกแค่เล็กน้อยก็สามารถบรรลุถึงจุดสุดยอดได้วิชานั้น…สรุปก็คือ นางยุ่งมาก ไม่ได้เอาแต่เล่นสนุกเหลวไหลเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยทำตัวไม่เป็นการเป็นงาน ฟ้าดินเป็นพยานให้ได้!
ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างขับไล่หมา เอาขนห่านมาเตะเป็นลูกขนไก่นั้น นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้อาจารย์ฟัง ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ เรื่องราวและวีรกรรมที่สร้างความสาแก่ใจเช่นนั้นเป็นเรื่องภายในของนางเอง ไม่จำเป็นต้องนำออกมาโอ้อวด
เฉินผิงอันรับฟังคำพูดที่ใส่เสริมเติมแต่งของเผยเฉียนด้วยความอดทนจนจบ ก่อนยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสชุยไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยหรือ?”
ลูกตาของเผยเฉียนกลอกกลิ้งไปมา แล้วก็ส่ายหน้าอย่างแรง พูดอย่างน่าสงสารว่า “ท่านผู้เฒ่าสายตามองสูง ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาหรอก อาจารย์ท่านไม่รู้อะไร ท่านผู้เฒ่ามีมาดของยอดฝีมืออย่างยิ่ง ในฐานะผู้อาวุโสในยุทธภพ เขามีกลิ่นอายแห่งความเป็นเซียนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาเสียอีก ข้ารู้สึกเคารพเลื่อมใสเขายิ่งนัก เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้าไม่เข้าตาท่านผู้เฒ่า ไม่อาจขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยชี้แนะวิชากระบี่มารคลั่งของข้าได้ อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นแหละที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดต่ออาจารย์”
คงกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ เผยเฉียนที่พูดจาประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายจึงใช้หมัดทุบฝ่ามือเสียงดังกังวาน พูดด้วยความขุ่นเคืองใจว่า “เป็นข้าที่ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้า!”
เฉินผิงอันค้อมเอวโน้มตัวไปด้านหน้า ดีดหน้าผากเผยเฉียนหนึ่งที เผยเฉียนเจ็บจนต้องยกมือกุมหัว สูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็บอกมาตามตรง สายตามองสูงอะไรกัน เจ้าคิดจะหลอกใคร?”
เผยเฉียนนวดหน้าผากที่บวมแดงเล็กน้อย เบิกตากว้าง พูดด้วยสีหน้าตะลึงงัน “อาจารย์ท่านเดินทางไกลครั้งนี้คงไม่ได้ไปเรียนรู้วิชาอ่านใจของเทพเซียนมาหรอกกระมัง? อาจารย์ทำไมท่านทำอย่างนี้ ทำไมไม่ควบคุมความสามารถที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เรียนรู้วิชาของที่นั่นได้อย่างเชี่ยวชาญบ้างเลย! แล้วจะให้ข้าที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ตามอาจารย์ทันได้อย่างไร? หรือข้าจะต้องคอยกินฝุ่นอยู่ด้านหลังอาจารย์ไปตลอดชีวิต…”
เฉินผิงอันบิดหูเจ้าเด็กขี้ประจบ “เอ้า แต่งเรื่องต่อสิ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะแต่งไปได้ถึงไหน”
เผยเฉียนแสยะปากยิ้ม เพียงแต่พอเห็นใบหน้าของอาจารย์ น้ำตาก็คลอจวนเจียนจะหยดอีกครั้ง ไม่มีอารมณ์จะพูดล้อเล่นกับอาจารย์อีกแล้ว นางจึงก้มหน้าลง
เฉินผิงอันถอนหายใจ ตบศีรษะเล็กนั่นเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “จะบอกข่าวดีอย่างหนึ่งแก่เจ้า อีกไม่นานพวกภูเขาอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา และภูเขาหลังอ๋าวก็จะเป็นของอาจารย์เจ้าแล้ว แม้แต่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยว อาจารย์ก็ยังได้ครอบครองครึ่งหนึ่ง วันหน้าเจ้าสามารถเก็บเงินค่าผ่านทางจากทุกคนที่สัญจรไปมาได้อย่างถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว”
เผยเฉียนร้องอ้อรับทีหนึ่ง ท่าทางไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของแถบทิศใต้ภูเขาลั่วพั่วต่อไป ได้ยินมาว่าช่วงเวลาที่อากาศปลอดโปร่ง ขอแค่สายตาดีพอก็จะสามารถมองเห็นเค้าโครงของเมืองหงจู๋และแม่น้ำซิ่วฮวาได้อย่างเลือนราง
เผยเฉียนฟุบตัวนอนคว่ำกับโต๊ะหิน ไล่นิ้วปาดผ่านเส้นสลักกระดานหมากล้อมไปเบาๆ ตามองอาจารย์ไม่กะพริบ
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป
เมื่อได้ข่าวจากจูเหลี่ยน เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็จับจูงกันมาจากจวนที่เพิ่งสร้างใหม่ เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ยิ้มพลางกวักมือเรียก บอกให้พวกเขานั่งลง เมื่อรวมกับเผยเฉียน คนก็นั่งกันครบโต๊ะพอดี
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวิ่งตะบึงเข้ามาหา ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน”
เด็กชายชุดเขียวเองก็โค้งตัวคำนับอย่างเข้าท่าเข้าที พอเงยหน้าขึ้นแล้วก็ยิ้มกว้าง “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ตัดใจกลับมาบ้านได้เสียที ไม่เห็นพาอาจารย์แม่ที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกมาด้วยสักคนสองคนเล่า?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันมาถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “ห้ามเจ้าพูดจาเหลวไหล!”
เด็กชายชุดเขียวแคะขี้มูก นั่งแปะลงบนเก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แล้วก็ฟุบตัวนอนคว่ำเลียนแบบเผยเฉียน พูดด้วยสีหน้าสงสัย “นายท่าน ท่านสวมหน้ากากท่องอยู่ในยุทธภพใช่หรือไม่? ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ข้าขี้ขลาด เห็นแล้วขนลุกยิ่งนัก ท่านรีบปลดมันลงมาเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่คงไม่อยากได้หงเปาแล้วใช่ไหม?”
เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าเฉินผิงอันซ้ายทีขวาที “คิดไม่ถึงว่าพอมองอย่างละเอียด นายท่านจะยิ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว ภูเขาลั่วพั่ว? เปลี่ยนชื่อเป็นภูเขาสอพลอดีไหม
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบของสามชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ได้แก่กล่องเก็บสมบัติเก้าช่องที่ผู้ฝึกตนเฒ่าของท่าเรือแคว้นเชียนเฮ้อมอบให้ แผ่นหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าชดใช้ให้ ยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกที่เขาเหลือติดตัวอีกแค่แผ่นเดียว โดยยกพวกมันให้กับเผยเฉียน เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู
เผยเฉียนเปิดกล่องออกแล้วเห็นของกระจุกกระจิกละลานตาเต็มไปหมด แต่ละชิ้นแม้จะเล็กแต่ก็ประณีตงดงาม ประเด็นสำคัญคือมีจำนวนมากด้วย
เด็กชายชุดเขียวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังรับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา
ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ชื่นชอบกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นนั้นจนวางไม่ลง
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายกับนางว่า “วันหน้าเวลาเก็บกวาดเรือน เจ้าไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวแล้ว กรอกปราณวิญญาณเข้าไปก็สามารถให้ยันต์หุ่นเชิดตนหนึ่งช่วยเหลือเจ้าได้ มันมีสติปัญญาไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไป แถมยังคุยเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ด้วย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลุกขึ้นยืนโค้งคำนับขอบคุณเฉินผิงอันอีกครั้งอย่างเอาจริงเอาจัง
เฉินผิงอันเองก็ห้ามไม่อยู่
เด็กชายชุดเขียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “นี่ล้ำค่าเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดสัพยอก “พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร?”
เด็กชายชุดเขียวทอดถอนใจ คิดแล้วก็เอ่ยว่า “รับไว้ไม่ได้ ข้าเคยได้ยินมาโดยบังเอิญถึงความล้ำค่าหายากของหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่หินดีงูที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาที่จะมอบให้ข้ามากแค่ไหน ข้าก็รับไว้หมดไม่มีปฏิเสธเสียหน่อย…”
เด็กชายชุดเขียววางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ
เฉินผิงอันเห็นว่าสายตาของเขาเด็ดเดี่ยวจึงไม่ได้ดึงดันให้เขารับของขวัญชิ้นนี้ไว้ แล้วก็ไม่ได้เก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่ยกเหล้าอีกาครวญขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “ได้ยินมาว่าพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเจ้าคนนั้นมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนของเราด้วย?”
เด็กชายชุดเขียวไหล่ลู่คอตก “ก็ใช่น่ะสิ”
เฉินผิงอันกล่าว “อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองโง่ เป็นเพราะพี่น้องเทพวารีคนนั้นของเจ้าไม่ฉลาดพอต่างหาก วันหน้าหากเขามาอีก ควรจะทำอย่างไรก็ทำไป ไม่อยากพบหน้าก็แค่หาสถานที่แห่งหนึ่งปิดด่านไปซะ บอกให้เผยเฉียนช่วยขวางไว้ให้ หากยังยินดีจะพบหน้าเขาก็จัดงานเลี้ยงรับรองต่อไป หากไม่มีเงินซื้อเหล้า เงินก็ดี เหล้าก็ช่าง ล้วนมาขอยืมจากข้าได้”
เด็กชายชุดเขียวทำสีหน้าเหยเก “ข้ายังนึกว่าท่านจะโน้มน้าวข้าไม่ให้ไปพบเขาอีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เป็นสหายในยุทธภพกันมาหลายร้อยปี คิดจะแยกย้ายก็แยกย้าย คงน่าเสียดายไปหน่อยกระมัง แต่แม้จะเป็นเพื่อนกันต่อไป ธุระบางอย่างที่เจ้าช่วยไม่ได้ก็ควรบอกกับเขาไปตามตรง คนที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ จะต้องเข้าใจเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวพึมพำ “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ หากบอกกับพี่น้องของตัวเองว่าตนไร้ความสามารถ จะไม่น่าอายหรอกหรือ”
เด็กชายชุดเขียวพูดประโยคนี้จบก็ยิ่งรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาเถิด ขอแค่เกี่ยวกับเงิน ต่อให้เจ้ายังคิดจะตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน ยังดึงดันจะพูดว่าทำได้ทั้งๆ ที่ตัวเองทำไม่ได้ต่อหน้าพี่น้องเทพวารีคนนั้น ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นก็มายืมเงินจากข้า รับรองว่าเจ้าจะยังคงเป็นมือวางอันดับสองแห่งแม่น้ำอวี้เจียงที่ใจกว้างองอาจเหมือนในปีนั้นอย่างแน่นอน”
คราวนี้เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง โพล่งชื่อของเฉินผิงอันออกมาตรงๆ โดยลืมไปเสียสิ้นว่าต้องเรียกนายท่าน “เฉินผิงอัน ออกเดินทางไกลคราวนี้ ถูกคนตบหัวจนสมองเสื่อมไปแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ลมเย็นๆ โชยมาปะทะใบหน้า “วันใดรอให้เจ้าคิดจนเข้าใจได้เองแล้ว พี่น้องไม่ใช่พี่น้องอีกต่อไป ต่อให้เป็นสหายกันไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยเจ้าถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอาย รู้ดีว่าไม่เคยมีครั้งใดที่ตนทำผิดต่อพี่น้องของตัวเอง อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีข้าวให้กินเสียหน่อย ถ้าเช่นนั้นขอแค่คนในยุทธภพอยู่ในยุทธภพแล้วยังมีเหล้าให้ดื่ม เงินทองจะนับเป็นอะไรได้? เจ้าไม่มี ข้ามี เจ้ามีไม่มาก ข้ามีเยอะมาก”
เด็กชายชุดเขียวคว้าหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นขึ้นมา ลูบใบหน้าหนึ่งที ไม่พูดไม่จาก็เผ่นหนีไปทันใด
เผยเฉียนกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองหน้ากันเอง
อันที่จริงยังมีคำพูดบางอย่างที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดกับเด็กชายชุดเขียว
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่ต้องการให้เด็กชายชุดเขียวที่ในใจมีแต่ยุทธภพแห่งนั้น ผิดหวังจนเกินไป
เว่ยป้อพลันมาปรากฏตัวที่ริมหน้าผา กระแอมเบาๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน มีข่าวหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “มีอะไรหรือ?”
เว่ยป้อชี้ไปทางประตูภูเขา “มีแม่นางที่ดีคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วยามค่ำคืน”