บทที่ 472 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
ริมฝั่งแม่น้ำเถี่ยฝู อาจารย์ผู้เฒ่าหลายท่านที่สวมกวานสูง สวมเสื้อชายแขนกว้างเดินนำอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
ขบวนนี้มองดูคล้ายงูเขียวตัวยาวตัวหนึ่ง แต่ละคนกำลังท่องบท ‘เชวี่ยนเสวี๋ยเพียน’ เสียงดัง
น้ำในแม่น้ำไหลริน เสียงท่องตำราดังกังวาน
ในขบวนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีแดง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าใบเล็กสีเงินที่บรรจุน้ำใสไว้จนเต็ม ด้านหลังของนางยังสะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กๆ อีกหนึ่งใบ หลังจากผ่านเมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุนมา นางเคยปรึกษากับเจ้าขุนเขาเหมาเป็นการส่วนตัวว่าอยากเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง จะได้ตัดสินใจได้เองว่าตรงไหนควรจะเดินเร็วหน่อย ตรงไหนควรจะเดินช้าหน่อย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ตกลง บอกว่าขึ้นเขาลงห้วย ไม่ใช่หลักของการเรียนรู้ ต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่ขณะ
ระหว่างนี้ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู หยางฮวาเทพวารีที่ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แทบไม่เคยปรากฎตัว กลับมาปรากฏกายให้อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลุ่มนี้ได้เห็นอย่างที่หาได้ยาก นางกอดกระบี่ยาวห้อยพู่ทองเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก มองส่งเมล็ดพันธ์บัณฑิตของทั้งต้าสุยและต้าหลีกลุ่มนี้จากไป ตามหลักแล้ว ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาไปแล้ว ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอันดับต้นๆ ของต้าหลี หยางฮวาไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทนี้ก็ได้
แต่สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายไปอยู่ภูเขาตงหัวของเมืองหลวงต้าสุยเคยเป็นอดีตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของบัณฑิตต้าหลีทุกคน และทุกวันนี้เจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมกลาโหมต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง
และตอนที่หยางฮวายังเป็นสาวใช้ถือกระบี่อยู่ข้างกายเหนียงเนียงในวังท่านนั้น นางก็เลื่อมใสสำนักศึกษาซานหยาที่ยังอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีมานานแล้ว และยังเคยติดตามเหนียงเนียงเดินทางไปสำนักศึกษา เคยได้พบหน้าอาจารย์ผู้เฒ่าเหมาที่เรือนกายสูงใหญ่คนนั้นมานานแล้ว ดังนั้นวันนี้นางถึงได้ปรากฏตัว
ตรงน้ำตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวี มีคนมารออยู่นานแล้ว
เจ้าขุนเขาทั้งหลายของสำนักศึกษาหลินลู่แห่งภูเขาพีอวิ๋น และยังมีเจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา ต่างก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย
และยังมีผู้เฒ่าสกุลหลี่คนหนึ่ง เขาก็คือเจ้าประมุขสกุลหลี่ที่ถนนฝูลวี่ ท่านปู่ของสามพี่น้องหลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจินและหลี่เป่าผิง ทุกวันนี้ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดได้กลายเป็นผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้เท่านั้น
ปีนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็เคยมีบุญคุณพิเศษกับสี่แซ่ใหญ่สิบสกุลที่ได้ครอบครองเตาเผามังกรจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครรู้ สกุลซ่งเคยลงนามสัญญาลับกับอริยะว่า สกุลซ่งอนุญาตให้แต่ละครอบครัว ‘กักเก็บ’ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนหนึ่งถึงสามคนเอาไว้ได้ อนุญาตให้พวกเขาแหกกฎฝึกตนอยู่ภายใต้เปลือกตาของอริยะแต่ละรุ่นที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ อีกทั้งยังสามารถมองเมินตราผนึกวิชาลับและการสยบกำราบตามธรรมชาติของถ้ำสวรรค์หลีจูได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากฝึกตนแล้วก็ไม่ต่างจากการวาดกรงขังให้กับตัวเอง พวกเขาจะไม่สามารถออกจากขอบเขตของถ้ำสวรรค์ได้โดยพลการ แต่ทุกๆ ร้อยปีสกุลซ่งต้าหลีจะมีรายนามที่กำหนดมาแน่นอนแล้วสามชื่อซึ่งจะถูกพาออกไปจากถ้ำสวรรค์อย่างเงียบเชียบได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่ปีนั้นเจ้าประมุขสกุลหลี่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว แต่กลับไม่ถูกสกุลซ่งต้าหลีพาออกไปเสียที คิดดูแล้วความลับเรื่องนี้คงเกี่ยวพันเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง เขาจึงมองเห็นหลานสาวที่รักมาตั้งแต่ไกล ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดไม่อยู่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกว่าหลานสาวของตนยังคงไม่เข้าพวก ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังเหมือนอย่างในอดีต แต่ก็คล้ายว่าจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้เฒ่าพลันรู้สึกปลาบปลื้มใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อดผิดหวังไม่ได้
ถึงอย่างไรเป่าผิงน้อยก็โตแล้ว ไปแอบเติบโตอยู่ภายนอกทั้งอย่างนี้ จริงๆ เลย ไม่คิดจะบอกท่านปู่ที่รักและเอ็นดูนางสักคำ นางก็เติบโตขึ้นมาทั้งอย่างนี้แล้ว
คำว่าสนิทข้ามรุ่น (หมายถึงคนแก่ที่เลี้ยงหลานมาด้วยตัวเอง จึงจะรักและเอ็นดูหลานมากกว่าลูก) นั้น ในตระกูลหลี่ ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ผู้เฒ่ามีต่อหลานสาวอย่างหลี่เป่าผิงที่อายุน้อยที่สุดที่ควรเรียกว่าต่อให้เอาความรักที่มีต่อหลานชายสองคนมารวมกันแล้วก็ยังมากกว่า ประเด็นสำคัญคือต่อให้ระหว่างหลานชายคนโตอย่างหลี่ซีเซิ่งกับหลานชายคนรองอย่างหลี่เป่าเจินที่เนื่องจากมารดาของพวกเขาลำเอียงชัดเจนเกินไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงคล้ายจะค่อนข้างคลุมเครือในสายตาของข้ารับใช้ ทว่าความรักและเอ็นดูที่ทั้งสองมีต่อน้องสาวกลับไม่เคยกักเก็บไว้
สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ยังคงเล็กกะทัดรัดใบเก่า หลี่เป่าผิงเดินอยู่ริมตลิ่งลำคลองหลงซวีที่น้ำตื้น แต่เสียงน้ำกลับดังยิ่งกว่าน้ำในแม่น้ำเพียงลำพัง
อันที่จริงในขบวนห่างไปไม่ไกล หลี่ไหวที่อยู่กับสหายสองคน และยังมีหลินโส่วอีที่กำลังพูดคุยอยู่กับอาจารย์คนหนึ่งของสำนักศึกษาต่างก็สะพายหีบไม้ไผ่แบบเดียวกันนี้
หีบไม้ไผ่ทั้งสามใบล้วนมาจากฝีมือของคนคนเดียวกัน ไม่เหมือนกันสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าใบของหลี่เป่าผิงนั้นทำขึ้นก่อนใคร วัสดุจึงเป็นเพียงไม้ไผ่เขียวธรรมดาที่หาได้ง่ายที่สุด ส่วนของหลินโส่วอีกับของหลี่ไหวนั้น เป็นเพราะผ่านภูเขาฉีตุนมาแล้ว เฉินผิงอันจึงใช้ไม้ไผ่เฟิ่นหย่งของเว่ยป้อมาทำ แม้จะผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่เหมือนเดิม
ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยที่เพิ่งจะได้พบกับเฉินผิงอันครั้งแรกที่ด่านของต้าหลีนั้น ไม่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกันนี้
เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีไม่ได้ปรากฏตัว อริยะหร่วนฉงก็ไม่ได้เผยกายเช่นกัน
รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยตบโต๊ะใส่เหมาเสี่ยวตง จากนั้นก็ถูกชุยตงซานพาไปพูดเปิดใจ เวลานี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ต้าหลีทำเช่นนี้ สมเหตุแต่กลับไม่สมผล
คนสองคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดอย่างแท้จริงกลับเมินข้ามสำนักศึกษาซานหยาเช่นนี้
ประเด็นสำคัญก็คือจะสำนักหลินลู่ก็ดี หรือเจ้าเมืองอู๋ยวนก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจน
ในใจของรองเจ้าขุนเขาที่มีชาติกำเนิดมาจากต้าสุยผู้นี้อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วยังคงเป็นเพราะกองกำลังของสองฝ่ายที่ฝ่ายหนึ่งด้อยลง ฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น หวนนึกถึงในอดีต บนอาณาเขตของต้าสุยเราและราชวงศ์สกุลหลู มีบัณฑิตต้าหลีมากมายเท่าไหร่ที่มาเยือนด้วยความเคารพเลื่อมใส เพื่อที่จะได้มาแต่งกลอนร่ายบทกวีด้วยความรู้สึกยินดีและมีเกียรติกับปัญญาชนของสองแคว้น?
กลุ่มคนหยุดเดิน เหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษาและคนของต้าหลีต่างก็ทักทายปราศรัยกัน
หลี่เป่าผิงเห็นท่านปู่ของตัวเอง นางถึงได้มีท่าทีเหมือนตอนยังเล็ก ชักเท้าวิ่งตะบึงไปหาจนหีบไม้ไผ่กับน้ำเต้าใบเล็กสีเงินแกว่งกระเทือนเบาๆ
ผู้เฒ่าตะโกนบอกด้วยรอยยิ้ม “เป่าผิงน้อย ช้าๆ หน่อย”
หลี่เป่าผิงหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่าอย่างกะทันหัน นางหัวเราะ เรียกเสียงดังว่าท่านปู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มเจิดจ้า
ผู้เฒ่าอดบ่นไม่ได้ “โตเป็นสาวแล้ว ไม่เข้าท่าเลย”
ห่างออกไปไกล หม่าเหลียนที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยเห็นว่าในที่สุดแม่นางคนนั้นก็ยิ้มออกแล้ว เขาพลันโล่งอก อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย
หลิวกวานมองเห็นภาพนี้แล้วก็ส่ายหน้าไม่หยุด เจ้าห่านทึ่มอย่างหม่าเหลียนผู้นี้นับว่าไร้ทางเยียวยาแล้ว ตอนอยู่สำนักศึกษาก็เป็นเช่นนี้ พอไม่เห็นเงาร่างคนผู้นั้นสองสามวันก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอเจอโดยบังเอิญระหว่างทางกลับไม่เคยกล้าทักทาย หลิวกวานคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เจ้าหม่าเหลียนเป็นทายาทตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าสุย คนแต่ละรุ่นในครอบครัวล้วนเป็นขุนนาง เหตุใดพอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับไม่กล้าแม้แต่จะชอบแม่นางคนหนึ่ง?
หลี่ไหวรู้เรื่องวงในครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นทางสำนักศึกษาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่เฉินผิงอันส่งมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน หลี่เป่าผิงจึงคิดจะลาหยุดเพื่อกลับบ้านเกิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นอาจารย์ของสำนักศึกษาไม่อนุญาต และในขณะที่หลี่เป่าผิงเตรียมจะปีนกำแพงหนีออกไปนั้นเอง จู่ๆ ก็มีข่าวหนึ่งแพร่ออกมาว่าเจ้าขุนเขาเหมาจะเป็นผู้นำทางพาลูกศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาเดินทางไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี หาประสบการณ์การท่องเที่ยวไประหว่างทาง และจากนั้นก็จะไปแลกเปลี่ยนความรู้กับทางสำนักศึกษาหลินลู่ นอกจากนี้ยังจะได้ร่วมชมเหตุการณ์หายากที่องค์เทพนับร้อยนับพันจับมือกันมาเยี่ยมเยือนขุนเขายามราตรีด้วย
นี่ต้องโทษตัวเป่าผิงเองที่บอกว่านางอยากจะมอบความประหลาดใจให้กับอาจารย์อาน้อยของนาง ก่อนหน้านี้จึงไม่ยอมบอกแก่ทางภูเขาลั่วพั่วว่าพวกเขาสามารถกลับบ้านเกิดได้แล้ว
ผลคือเดินทางมาได้ครึ่งทาง ก็ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงไปได้ข่าวมาจากไหน อาจจะได้ข่าวจากจดหมายจากทางบ้านหรืออะไรก็ตาม สรุปก็คือนางเริ่มไม่มีชีวิตชีวา ยิ่งนานวันก็ยิ่งพูดน้อยเงียบขรึม กลับคืนสู่สภาพเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่นางเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา ทุกวันนี้เนื่องจากหลี่เป่าผิงอ่านหนังสือของสำนักศึกษาต้าสุยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็อ่านได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จำนวนครั้งที่นางขอความรู้จากคนอื่นและคำถามที่นางถามออกไปกลับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ พวกอาจารย์ของสำนักศึกษาที่ก่อนหน้านั้นจะต้องถูกคำถามของนางทำให้อึ้งงันถึงขั้นรู้สึกเงียบเหงา พอไม่มีความลำบากใจเช่นนั้น พวกเขากลับรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมาเสียนี่ ทำให้อดคิดถึงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ชอบคำถามประหลาดกับพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังไม่ได้
สำนักศึกษาซานหยาจำเป็นต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นก่อน ถึงจะมีเวลาอิสระให้ทุกคนสองวัน แล้วจากนั้นค่อยไปรวมตัวกันที่ภูเขาหลินลู่อีกครั้งเพื่อร่วมชมงานเลี้ยงท่องราตรีแห่งภูเขาสายน้ำที่ขุนเขาเหนือของต้าหลีจัดขึ้น
คนทั้งกลุ่มเดินทะลุผ่านเมืองเล็กกันไปอย่างเอิกเกริก
ผู้เฒ่าสกุลหลี่ไม่ได้ไปที่บ้านบรรพบุรุษบนถนนฝูลวี่ แต่คิดจะขึ้นเขาไปพร้อมกับเป่าผิงน้อย แน่นอนว่าในฐานะผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งและผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลี อีกทั้งความรู้ด้านลัทธิขงจื๊อของเขาเองก็ลึกซึ้ง ผู้เฒ่าจึงไม่ได้เดินอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง เพราะนั่นมีแต่จะยิ่งทำให้หลานสาวห่างเหินกับเพื่อนร่วมเรียนจากต้าสุยมากขึ้น
และในขณะที่คนของสำนักศึกษาต้าสุยเพิ่งจะออกไปจากเมืองเล็ก แล้วต้องผ่านภูเขาเจินจู เด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ ข้างกายมีสุนัขสีเหลืองท่าทางปราดเปรียวตัวหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงไปพร้อมกับนาง นางตัวเตี้ย มองไม่เห็นชุดสีแดงที่อยู่ท่ามกลางคณะนั้น จึงวิ่งขึ้นไปบนภูเขาของอาจารย์ตนเอง ถึงได้มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ครั้งจึงโบกมือแรงๆ ตะโกนสุดเสียงเต็มพลัง “พี่หญิงเป่าผิง! ข้าอยู่ตรงนี้ ตรงนี้!”
หลี่เป่าผิงหันขวับกลับไป มองเห็นเงาร่างของเผยเฉียนที่กำลังกระโดดเหยงๆ นางจึงรีบออกจากกลุ่ม วิ่งไปทางภูเขาลูกเล็กนั่นทันที
หลี่ไหวอารมณ์ดีโดยพลัน หยุดเดินไปข้างหน้าต่อ รั้งอยู่ท้ายขบวนสุด สุดท้ายตะโกนเสียงดังว่า “เผยเฉียน! ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”
เผยเฉียนกลอกตามองบน ไม่ได้สนใจเขา
หลิวกวานกับหม่าเหลียนหัวเราะฮ่าๆ อย่างสมน้ำหน้าหลี่ไหว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เผยเฉียนคอยเขียนจดหมายส่งไปที่สำนักศึกษาต้าสุยบ่อยๆ บางครั้งในจดหมายก็พูดถึงหม่าเหลียนกับหลิวกวานที่เป็นทหารม้าทัพหน้าในใจของนาง ถึงอย่างไรนางก็นัดหมายกับหลี่ไหวไว้แล้วว่าวันหน้าจะท่องยุทธภพไปด้วยกัน ช่วยกันขุดหาสมบัติ แล้วแบ่งกันคนละครึ่ง แต่หากข้างกายไม่มีลูกสมุนคอยโบกธงร้องให้กำลังใจก็คงไม่อาจโอ้อวดสถานะของนางได้ หม่าเหลียนค่อนข้างโง่ แต่ก็จงรักภักดี หลิวกวานฉลาด พอจะเป็นกุนซือหัวสุนัขได้
หลี่เป่าผิงวิ่งไปทางภูเขาเจินจู เผยเฉียนวิ่งลงมาจากภูเขา คนทั้งสองจึงมาพบกันที่ตีนเขา
หลี่เป่าผิงยื่นมือไปวางบนศีรษะเผยเฉียน ทำมือวัดความสูง แล้วถามว่า “เผยเฉียน ทำไมเจ้าตัวไม่สูงเลยเล่า?”
เผยเฉียนเหมือนถูกฟ้าผ่า อารมณ์บูดทันที
พี่หญิงเป่าผิงไม่รู้จักพูดเอาเสียเลย ใครเขาเปิดปากก็พูดแทงใจดำคนอื่นแบบนี้กันบ้าง
หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ปณิธานไม่ได้อยู่ที่ส่วนสูง”
เผยเฉียนอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่ๆๆ ปณิธานของข้าสูงส่งยาวไกล คนทั้งภูเขาลั่วพั่วต่างก็รับรู้ ขนาดอาจารย์ยังยอมรับ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็หันหน้าไปชำเลืองตามองหมาพันธ์พื้นบ้านที่นอนหมอบอยู่ห่างไปไม่ไกล
ฝ่ายหลังหูลู่หางตก ไม่กล้ามองประสานสายตากับเจ้าคนที่ถือไม้เท้าเดินป่าผู้นี้
พูดถึงอาจารย์ เผยเฉียนก็เอ่ยปลอบใจว่า “พี่หญิงเป่าผิง ไม่ต้องเสียใจนะ อาจารย์ของข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมา เขาถึงได้ไปท่องยุทธภพเพียงลำพังแล้ว อย่าได้เสียใจเด็ดขาดเลย วันหน้าเมื่อข้าได้เจออาจารย์ ข้าจะช่วยท่านด่าเขา…อืม ตำหนิเขาสักสองสาม…สักคำก็แล้วกัน”
หลี่เป่าผิงที่สูงกว่าเผยเฉียนเกือบหนึ่งศีรษะยิ้มถาม “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองเล็ก ไม่ได้ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งนั่นอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วหรอกหรือ?”
เผยเฉียนยืดอก เขย่งปลายเท้า “พี่หญิงเป่าผิงไม่รู้อะไร ตอนนี้ข้าช่วยดูแลกิจการของร้านทั้งสองในเมืองเล็กให้แทนอาจารย์ สองร้านนั้นใหญ่มากๆ เลยล่ะ!”
หลี่เป่าผิงทำหน้าตะลึงงัน “เจ้าร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “หากพี่หญิงเป่าผิงไม่เชื่อ ข้าสามารถพาท่านไปตรอกฉีหลงตอนนี้ได้เลย! กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาล ตัวอักษรฝู ตัวอักษรชุนของที่นั่น ล้วนเป็นข้าที่แปะด้วยมือตัวเอง”
หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งคำแล้วเอ่ยชมว่า “ไม่เลว ตัวไม่สูง แต่สามารถแบ่งเบาภาระให้อาจารย์อาน้อยได้แล้ว”
เผยเฉียนหัวเราะปากกว้าง พี่หญิงเป่าผิงไม่ใช่จะชมใครง่ายๆ หรอกนะ
หลี่เป่าผิงหันกลับไปมองขบวนเดินทางแล้วพูดกับเผยเฉียนว่า “ข้าจะต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นเสียก่อน หากเข้าที่เข้าทางแล้วจะลงจากภูเขามาเล่นกับเจ้า”
เผยเฉียนมองพี่หญิงเป่าผิงที่ตัวสูง ใบหน้าผอมซูบลงแล้วก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แม่หนูน้อยที่เมื่อครู่ยังมีแต่ความปิติยินดีพลันร้องไห้โฮออกมา นางก้มหน้าลง ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา พูดสะอึกสะอื้นว่า “พี่หญิงเป่าผิง อาจารย์กลับบ้านมาคราวนี้ผอมมากเลย! ผอมกว่าท่านเสียอีก ผอมจนข้าแทบจะจำไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้พูดอะไร แต่ข้ารู้ว่าสามปีที่อาจารย์อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนต้องไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายแม้แต่น้อย พี่หญิงเป่าผิง ท่านเรียนหนังสือมามาก ความสามารถก็เยอะ ทั้งยังกล้าหาญ แถมอาจารย์ยังชอบท่านขนาดนั้น ทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่ไปหาอาจารย์บ้าง หากอาจารย์ได้เห็นท่านต้องดีใจยิ่งกว่าได้เห็นข้าแน่…ไม่แน่ว่าอาจจะไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนั้นอีก”
—
ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
หลี่เป่าผิงหัวเราะ หันหน้าไปมองทางทิศใต้ หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง ดวงตาคู่นั้นจึงดูเรียวยาวขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าของนางไม่ได้กลมดิกเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ปลายคางเริ่มแหลมจนใบหน้าคล้ายกลายเป็นรูปไข่แล้ว
นางค้อมตัวลงช่วยเช็ดน้ำตาให้เผยเฉียนแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เอาล่ะๆ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”
เผยเฉียนที่หลังจากร้องไห้เสร็จก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย “ขอโทษนะพี่หญิงเป่าผิง ข้าพูดจาเหลวไหล”
หลี่เป่าผิงตบไหล่เผยเฉียน ยิ้มกล่าวว่า “ไว้ค่อยเจอกัน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ มองหลี่เป่าผิงที่หมุนตัวเดินจากไป
พี่หญิงเป่าผิงสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก และยังสวมชุดสีแดงที่คุ้นตา แต่เผยเฉียนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้กังวลอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนที่จะได้พบพี่หญิงเป่าผิงอีกครั้ง นางจะตัวสูงขึ้นไปอีก แล้วก็จะยิ่งไม่เหมือนเดิมอีก ไม่รู้ว่าปีนั้นที่อาจารย์เดินเข้าไปในสำนักศึกษาซานหยาจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือไม่? ปีนั้นที่ยืนยันจะลากพวกเขาไปทำเรื่องที่ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าสนุกอย่างมากบนทะเลสาบของสำนักศึกษา ก็เป็นเพราะว่าอาจารย์นึกถึงวันนี้ไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่? เพราะมองดูเหมือนสนุก แต่คนเราเมื่อเติบโตขึ้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลยสักนิด?
เผยเฉียนเกาหัว กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนี้จะดีจะชั่วตนก็เป็นเถ้าแก่สามของร้านค้าทั้งสองแล้ว ทำไมถึงหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะ นางหยิบถังหูลู่สองไม้ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากชายแขนเสื้อ ลืมเอาให้พี่หญิงเป่าผิงเสียได้!
นางทอดถอนใจ เก็บถังหูลู่ไม้หนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เหลือไว้หนึ่งไม้แล้วกินเอง รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเงินที่ซื้อถังหูลู่นั้น สือโหรวเป็นคนออก นางเองก็จริงๆ เลย ตนก็แค่บ่นเรื่องถังหูลู่ในร้านยาสุ้ยแค่ไม่กี่ประโยค ถามสือโหรวหลายคำไปหน่อยว่าได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่เรียกขายถังหูลู่ผ่านมาในตรอกบ้างหรือไม่ ไปๆ มาๆ สือโหรวก็เป็นฝ่ายยัดเงินเหรียญทองแดงให้นางหนึ่งเหรียญ บอกว่าจะเลี้ยงนาง ไม่ต้องคืนเงิน น่าเกรงใจยิ่งนัก เผยเฉียนไม่ใช่เด็กตะกละแบบนั้นเสียหน่อย นางจึงจ้องเหรียญทองแดงของสือโหรวที่อยู่กลางฝ่ามือเขม็ง จากนั้นก็ส่ายหน้าโบกมือบอกว่าไม่ต้องๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังรับเอาไว้ ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญจริงๆ
กินถังหูลู่หมด ไม้ที่อยู่ในชายแขนเสื้อจะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรสือโหรวก็เป็นคนออกเงิน กลับไปจะเอาไปให้นาง ส่วนของพี่หญิงเป่าผิง เดี๋ยวพรุ่งนี้นางออกเงินซื้อเอง
คนในยุทธภพมักจะทำอะไรเปิดเผยใจกว้างเช่นนี้
เผยเฉียนโบกตวัดไม้เท้าเดินป่าไปหนึ่งคำรบ ชำเลืองตามองหมาพันธ์พื้นบ้านที่หลบอยู่ห่างไปไกลตัวนั้นแล้วถลึงตาใส่มัน หมาตัวนั้นก็รีบวิ่งหางลู่มานอนหมอบอยู่ข้างกายนาง
เผยเฉียนทรุดตัวลงนั่งยอง คว้าจับปากของมันเอาไว้ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไอ้น้องชาย เจ้านี่มันยังไง ตัวถึงได้เตี้ยขนาดนี้ เจ้าคือฟักเตี้ยอย่างนั้นหรือ? อับอายขายหน้าหรือไม่? หืม? ถามก็พูดสิ!”
อยู่ดีๆ มันก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ จึงกลายเป็นภูตมานานแล้ว หมาพันธ์พื้นบ้านที่เดิมทีควรวิ่งเที่ยวไปทั่วขุนเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกนอนหมอบนิ่งไม่ขยับ ในดวงตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและไม่พอใจ
ตอนนี้สติปัญญาของมันเปิดโล่งแล้ว อีกทั้งยังมีที่พึ่งเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาตะวันตก มันจึงถือว่าเป็นภูตภูเขาที่ใครก็ไม่กล้ามาหาเรื่องตัวหนึ่งแล้ว แต่ยังอยู่ห่างจากการเปิดปากพูดและกลายร่างเป็นคนได้อีกไกลนัก
เผยเฉียนบีบปากของหมาพันธ์พื้นบ้านแน่น นางถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ไม่พูดก็แสดงว่าไม่ยอมแพ้สินะ? ใครมอบดีสุนัขนี้ให้เจ้า?!”
มันไม่กล้ากระดุกกระดิก
เผยเฉียนบิดข้อมือ หัวของสุนัขก็หมุนตาม หมาพันธ์พื้นบ้านร้องครวญเอ๋งๆ ขึ้นมาทันที เผยเฉียนพูดอย่างขุ่นเคือง “พูดมา เจ้าแอบไปรังแกห่านขาวในเมืองเล็กลับหลังข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดทุกครั้งที่ข้าพาเจ้าไปด้วย พวกมันเห็นเจ้าก็จะต้องวิ่งหนีไปทันที? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าอย่าปล่อยหมัดสูง?! เจ้าทำให้ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว อยู่ในยุทธภพกับข้ามานานขนาดนี้กลับไม่ตั้งใจเรียนรู้ในสิ่งที่ดีบ้างเลย”
หมาพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว
ปีนั้นใครกันที่ขี่ห่านขาวตัวใหญ่วิ่งวนไปทั่วตรอกเล็ก?
กว่าเผยเฉียนจะยอมปล่อยหมาพันธ์พื้นบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย นางปล่อยมือ ลุกขึ้นยืน ปัดมือ แต่แล้วจู่ๆ นางก็พลันกะพริบตาอย่างแรง แล้วยกมือขึ้นขยี้
คราวก่อนตอนที่กินไข่มุกลูกที่อาจารย์ส่งให้ในตรอกฉีหลง นางมักจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ดวงตาสองข้างมักรู้สึกคัน ไม่ได้เจ็บปวดอะไร เพียงแต่รำคาญใจนิดๆ ทำให้หลายครั้งที่นางคัดตัวอักษร หากกะพริบตา ลายเส้นก็จะเอียงทันที ไม่สามารถเขียนตัวอักษรให้เป็นระเบียบได้ ต้องเขียนใหม่อีกครั้ง นี่คือหนึ่งในกฎจำนวนไม่มากที่อาจารย์ตั้งไว้ นางเองก็ทำตามมาโดยตลอด ต่อให้ทุกวันนี้จะไม่มีใครมาคอยคุมเวลานางคัดตัวอักษรแล้วก็ตาม
อีกทั้งบางครั้งเวลานางมองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรก็จะรู้สึกว่าตัวอักษรพวกนั้นขยับ แต่พอนางเพ่งตามองให้ชัดกลับเห็นว่าพวกมันก็เป็นปกติดี แต่ละตัวอักษรล้วนนอนอยู่บนกระดาษอย่างเป็นระเบียบ
เผยเฉียนคิดว่าจะฉวยโอกาสที่พาพี่หญิงเป่าผิงไปภูเขาลั่วพั่วหลังจากนี้สอบถามพ่อครัวเฒ่าจูที่วันๆ อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเสียหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีทุกเรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถามท่านเทพภูเขาเว่ยป้อ หรือหากยังไม่ได้จริงๆ เฮ้อ ก็คงต้องได้แต่เข้าไปในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ไปขอความรู้กับอาจารย์ผู้เฒ่าที่พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็จะสอนวิชาหมัดให้แก่นางผู้นั้นแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็แค่อาศัยว่าอายุมาก มีพละกำลังมากกว่าอาจารย์ของนางแค่ไม่กี่ชั่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ เขาจะไปเข้าใจวิชาหมัดอะไร? จะเข้าใจได้เหมือนอาจารย์ของนางหรือ? ตาแก่นั่นจะเข้าใจกะผายลมอะไร!
เผยเฉียนเริ่มเดินอาดๆ กลับไปทางเมืองเล็ก เดินเชิดหน้าไม่มองทาง ยืดอกขึ้นสูง พูดเสียงดังว่า “ก้าวเดินอาจหาญ ศัตรูลนลาน! วิชากระบี่มารคลั่ง เลิศล้ำไร้ทัดเทียม! หากมีสหาย สังหารหมาพันธ์พื้นบ้าน ข้ากินเนื้อ เจ้าดื่มน้ำแกง!”
หมาพันธ์พื้นบ้านที่หางลู่เดินตามไปด้านหลังจอมยุทธหญิงใหญ่เผยอย่างว่าง่าย
……
เมืองเล็กยิ่งครึกครื้นมากขึ้น เพราะมีลูกศิษย์จากสำนักศึกษาต้าสุยที่สามารถพูดภาษากลางของทวีปได้มาเพิ่มหลายคน
หลี่ไหวพาหลิวกวานและหม่าเหลียนไปที่บ้านของตัวเอง สภาพบ้านนั้นเก่าโทรมแทบทนมองไม่ได้ หลิวกวานยังดีหน่อย เพราะเดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนอยู่แล้ว มีแต่หม่าเหลียนที่ปากอ้าตาค้าง เขาเคยเห็นคนจนมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่จนถึงขั้นบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแบบนี้ ทว่าหลี่ไหวกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาควักกุญแจออกมาเปิดประตู พาพวกเขาไปตักน้ำมาทำความสะอาดเรือน แน่นอนว่าในเมืองเล็กไม่ได้มีแค่บ่อโซ่เหล็กเป็นบ่อน้ำบ่อเดียวเท่านั้น บริเวณใกล้เคียงก็ยังมี เพียงแต่ว่าน้ำในบ่อไม่ได้หวานเหมือนน้ำของบ่อโซ่เหล็กเท่านั้น เวลาที่ท่านแม่ของหลี่ไหวเจอเรื่องดีๆ ตอนอยู่ในบ้าน หรือได้ยินว่าบ้านใครเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ถึงจะเดินไกลไปตักน้ำที่นั่น เพื่อประลองฝีมือกับยายหม่าตรอกซิ่งฮวา และพวกสตรีกลุ่มใหญ่ซึ่งรวมถึงหญิงหม้ายสกุลกู้ตรอกหนีผิงด้วย
หลิวกวานเป็นพวกคนขี้เกียจ เขาไม่อยากขยับตัว จึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะรับผิดชอบหน้าที่ก่อไฟทำอาหารเอง หลี่ไหวจึงพาหม่าเหลียนไปตักน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าด้วยไหล่ที่บอบบางนุ่มนิ่มของหม่าเหลียนนั้น ทำให้เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด สตรีที่ยืนมองอยู่ข้างบ่อน้ำหัวเราะไม่หยุด หม่าเหลียนที่หล่อเหลาจึงหน้าแดงก่ำ
หลี่เป่าผิงก็มาที่เมืองเล็ก นางกลับไปที่บ้านก่อน ท่านแม่ของนางหลั่งน้ำตาไม่หยุด หลี่เป่าผิงเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
จากนั้นหลี่เป่าผิงก็ออกจากถนนฝูลวี่ไปที่ตรอกฉีหลงด้วยความคุ้นเคย ร้านทั้งสองตอนนี้กลายมาเป็นร้านของอาจารย์อาน้อยแล้ว กิจการที่สืบทอดจากบรรพบุรุษซึ่งในอดีตเป็นของเด็กหญิงมัดผมแกละ ตอนเด็กๆ หลี่เป่าผิงก็เคยไปเยือนมาบ่อยครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะนอกหรือในเมืองเล็ก ตรอกน้อยถนนใหญ่ หลี่เป่าผิงก็วิ่งผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ให้หลับตาเดินก็ยังได้ เพียงแต่คราวนี้นางเดินช้ามาก ไม่ได้พุ่งทะยานไปเร็วมาเร็วราวกับสายลมอีก แล้วก็ได้พบเผยเฉียนที่นั่งรอตนอยู่บนม้านั่งของร้านยาสุ้ยจริงๆ หลี่เป่าผิงถึงได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเข้าไปหา นางนั่งอยู่ในร้านครู่หนึ่ง แล้วก็ไปที่ตรอกหนีผิงกับเผยเฉียน พบว่าบ้านบรรพบุรุษของอาจารย์อาน้อยสะอาดเอี่ยม ไม่ต้องทำความสะอาดอะไรเพิ่มอีก หลี่เป่าผิงจึงพาเผยเฉียนกลับไปที่ถนนฝูลวี่
เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำบ่อเล็ก เบิกตากว้างมองก้อนหิน มองปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่ว่ากันว่าถูกเลี้ยงในบ่อนี้มานานหลายปีแล้ว เป็นอาจารย์อาน้อยที่มอบให้หลี่เป่าผิงในปีนั้น และยังมีปูตัวเล็กสีทองที่ถูกเลี้ยงมานานยิ่งกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่ปูตัวนี้เป็นพี่หญิงเป่าผิงที่จับมาได้เอง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือปีนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถูกมันหนีบนิ้ว นางวิ่งกลับบ้านร้องไห้น้ำตาไหลมาตลอดทาง จนกระทั่งพี่ชายหลี่ซีเซิ่งช่วยง้างก้ามปูออกให้
เผยเฉียนมองอยู่นาน เจ้าตัวน้อยทั้งสองนั่นไม่ค่อยไว้หน้านางสักเท่าไหร่ เพราะพวกมันพากันหลบเลี่ยงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า
บ่อน้ำน้อยนี้เป็นหลี่เป่าผิงที่สร้างขึ้นเองกับมือ ก้อนหินก็ล้วนเป็นนางที่ไปเก็บมาจากในลำธารด้วยตัวเอง นางจะเลือกแต่ก้อนสวยๆ สีสันสดใสน่ามองกลับมา แล้วขนกลับบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนมดย้ายรัง ต้องเปลืองแรงไปมหาศาล แรกเริ่มก็เอาไปวางไว้ตรงมุมกำแพงก่อน จนมันกลายเป็นภูเขาลูกย่อม ภายหลังถึงได้สร้างบ่อน้ำบ่อนี้ขึ้นมา ก้อนหินที่ตอนนั้นเคยเป็น ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น’ เหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนสีสันซีดจาง ไม่มีประกายแสงแวววาวและภาพแปลกประหลาดใดๆ อีกแล้ว แต่ก็ยังมีก้อนหินน้อยใหญ่อีกไม่น้อยที่ยังคงเปล่งแสงใสแวววาว เมื่อถูกสาดสะท้อนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ประกายแสงก็ไหลเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ
หลินโส่วอีไปที่จวนที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผามารอบหนึ่ง ถือว่าได้กลับคืนสู่มาตุภูมิเดิมอีกครั้ง เพราะตอนเป็นเด็กเขาเองก็มักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ
ตระกูลหลินคือตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก แต่กลับไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูล อีกทั้งคนตระกูลหลินก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ พวกเขาไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างบิดาของหลินโส่วอีก็เป็นแค่ขุนนางระดับขั้นไม่สูงในที่ว่าการจวนผู้ตรวจการเท่านั้น ตอนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการที่มีเพียงแห่งเดียวในเมืองเล็กของปีนั้น ก่อนจะย้ายออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยช่วยเหลือผู้ตรวจการงานเตาเผาก่อนหลังทั้งหมดสามรุ่น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคิดจะเลื่อนขั้นให้เขา
ตระกูลหลินย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี แต่บ้านเดิมยังคงอยู่ ไม่ได้ขายทิ้ง เหลือแค่บ่าวรับใช้วัยชราไว้ให้ดูแลบ้านไม่กี่คนเท่านั้น
นับตั้งแต่รู้ความ หลินโส่วอีก็ไม่ได้มีความผูกพันกับตระกูลของตัวเองสักเท่าไหร่
และดูเหมือนว่าทางตระกูลเองก็รู้สึกกับเขาแบบเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างรังเกียจกันและกัน
ต่อให้ทุกวันนี้เรื่องราวของหลินโส่วอีที่อยู่ในสำนักศึกษาจะทยอยกันแพร่มาถึงต้าหลี แต่ก็ดูเหมือนว่าทางตระกูลจะยังคงเฉยเมยไม่สะทกสะท้านดังเดิม
หลินโส่วอีไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดใจ เพราะบิดาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ขอแค่เป็นเรื่องที่บิดาแน่ใจแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ขอแค่ไม่ถูกใจเขาก็ล้วนผิดไปเสียทั้งหมด ส่วนมารดานั้น ระหว่างบิดากับบุตร นางก็จะเลือกยืนอยู่ข้างสามีของตัวเองตลอดกาล สายตาที่มองบุตรชายเย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอด เหมือนมองคนคนหนึ่งที่แค่ช่วยให้นางได้อยู่ในตระกูลหลินเท่านั้น ไม่ใช่คนนอก แต่ก็ไม่ใช่ญาติมิตร สรุปก็คือไม่เหมือนมารดาที่ปฏิบัติต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง มีแต่ความเกรงใจ ซ่อนไว้ด้วยความห่างเหิน
หลินโส่วอีรู้จักเพื่อนร่วมงานของบิดาในที่ว่าการ จึงเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนพวกเขา ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะไม่มีอะไรให้คุย อีกทั้งการพูดจาปราศรัยกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่หลินโส่วอีไม่ถนัดมาโดยตลอด
ว่ากันว่าวันนี้ใต้เท้าผู้ตรวจการออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอีกแล้ว ตามคำบอกของเสมียนในที่ว่าการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใต้เท้าเฉาคงไปดื่มเหล้าอีกแล้ว
หลินโส่วอีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นขุนนางมีระดับขั้นหรือแค่เสมียนไร้ตำแหน่ง ยามที่พูดถึงผู้ตรวจการที่เดิมทีพวกเขาควรจะเลือกถ้อยคำมาเอ่ยถึงอย่างระมัดระวังผู้นั้น แต่ละคนกลับมีใบหน้าแย้มยิ้มพูดจาตามใจชอบ
พอดีกับที่อวี๋ลู่พาเซี่ยเซี่ยไปที่บ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาหลังนั้น ปีนั้นหลังจากที่สถานะของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยถูกเปิดโปงก็เคยถูกพาตัวมาที่นี่ พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ชื่อว่าชุยชื่อผู้นั้น มาเป็นบ่าวรับใช้ของราชครูชุยฉานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม
ทายาทสกุลเฉาอันเป็นเสาหลักค้ำยันแคว้นต้าหลี หรือก็คือผู้ตรวจการเฉาของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ปัจจุบันก็พักอาศัยอยู่ที่นี่
วันนี้ดื่มเหล้าเยอะไป ใต้เท้าเฉาจึงไม่ไปที่ว่าการเสียเลย อยู่ที่นั่นตำแหน่งขุนนางของเขาใหญ่สุด จะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาหิ้วกาเหล้าว่างเปล่ามากาหนึ่ง ทั่วร่างคลุ้งตลบไปด้วยกลิ่นสุรา เดินโซซัดโซเซกลับบ้านบรรพบุรุษ คิดว่าจะกลับไปงีบหลับสักพัก ระหว่างทางเจอใครก็เอ่ยทักทายทั้งหมด ไม่ว่าจะชายหญิง คนแก่หรือเด็ก หากเห็นเด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดก้นยังเดินเข้าไปเตะเบาๆ เด็กน้อยก็ไม่กลัวขุนนางใหญ่อย่างเขา วิ่งไล่ตามมาพ่นน้ำลายใส่ ใต้เท้าเฉาเตะไปหลบไป เหล่าสตรีทั้งหลายที่อยู่บนถนนเห็นกันจนชินตาเสียแล้ว ใบหน้าที่มองไปยังขุนนางหนุ่มผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
กว่าใต้เท้าเฉาจะสลัดการตามตอแยของเจ้าตะพาบน้อยคนนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็มาเจอเข้ากับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยกลางทางพอดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำได้หรือเดาสถานะของคนทั้งสองออก ใต้เท้าเฉาผู้สง่างามที่กำลังเมามายจึงถามอวี๋ลู่ว่าดื่มเหล้าหรือไม่ อวี๋ลู่ตอบว่าพอดื่มได้บ้าง ใต้เท้าเฉาจึงแกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่า จากนั้นโยนกุญแจไปให้อวี๋ลู่ ส่วนตัวเองก็วิ่งกลับไปที่ร้านเหล้าอีกครั้ง อวี๋ลู่ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ เซี่ยเซี่ยถามว่า “คนแบบนี้จะได้เป็นเจ้าประมุขสกุลเฉาในอนาคตจริงๆ หรือ?”
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “คงต้องเป็นคนแบบนี้ถึงจะเป็นได้กระมัง”
เซี่ยเซี่ยแค่นเสียงหยันในลำคอ
เมื่อเทียบกับนายอำเภอหยวนที่สุภาพอบอุ่น มุมานะทำงานแล้ว ผู้ตรวจการเฉาขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าสำราญ เตาเผามังกรใหญ่ๆ หลายแห่งเขาก็แค่ไปเดินดูผ่านๆ มารอบเดียว แล้วก็ไม่เคยไปดูอีกเลย
กลับเป็นในเมืองเล็กหรือไม่ก็เขตการปกครองที่เขามักจะมาเยือนบ่อยๆ ชอบซื้อเหล้า เลี้ยงเหล้าคนอื่น ยิ่งชอบพูดคุยกับคนอื่นเรื่อยเปื่อย แทบทุกครั้งที่ปรากฏตัว ในมือจะต้องหิ้วกาเหล้ามาหนึ่งกา ความต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในกาเหล้าจะมีหรือไม่มีเหล้าเท่านั้น บุรุษในเมืองเล็กล้วนชอบดื่มเหล้าและพูดคุยกับขุนนางที่มาจากเมืองหลวงท่านนี้ ทุกครั้งที่ใต้เท้าเฉาปรากฏตัวก็จะมีพวกบุรุษว่างงานชอบดื่มเหล้าพุ่งเข้าไปห้อมล้อมเขาทันที รับฟังเรื่องเล่าน่าสนใจเกี่ยวกับเมืองหลวงจากใต้เท้าเฉา จริงบ้างเท็จบ้าง ใครเล่าจะสนใจ ก็แค่หาความครึกครื้นสนุกสนานไม่ใช่หรือ อีกอย่างขอแค่ได้ดื่มเหล้า ใต้เท้าเฉาก็มักจะทิ้งประโยคหนึ่งไว้เป็นประจำว่า ค่าเหล้าวันนี้ข้าจ่ายเอง!
สตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวต่างก็ชอบขุนนางหนุ่มที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลผู้นี้กันทั้งนั้น
ระดับการได้รับความนิยมจากสตรีในเมืองเล็กของเขา ไม่ด้อยไปกว่านักพรตหนุ่มที่ปีนั้นมาตั้งแผงดูดวงเลย
—
ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
บนภูเขาพีอวิ๋น
เหมาเสี่ยวตงเปิดปากพูดคุยกับทางสำนักศึกษาหลินลู่ เหล่าอาจารย์ที่มีชาติกำเนิดจากต้าสุยถึงได้พบกับองค์ชายเกาเซวียนที่มาขอศึกษาต่อที่นี่
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขากลัวว่าจะหาหายนะมาสู่ตัว ผู้ที่กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาซานหยาได้จะไม่มีความกล้าหาญและปณิธานแห่งบัณฑิตบ้างเลยหรือ? พวกเขากังวลว่าตัวเองจะสร้างความเดือดร้อนให้เกาเซวียนที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก นั่นคือลูกหลานเกอหยางต้าสุยที่เสนอตัวมาเป็นตัวประกันที่นี่แทนพี่ชายเชียวนะ!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้ว เหมาเสี่ยวตงถึงได้จากไป
บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ดผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว
เกาเซวียนมองอาจารย์ผู้เฒ่าแต่ละคนที่มีความรู้สูงสุดของต้าสุยประสานมือโค้งคำนับตนเสร็จแล้ว แต่ละคนพอเงยหน้าขึ้นมาล้วนมีน้ำตาไหลอาบหน้า คนหนุ่มที่เดิมทีไม่รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่จะเป็นความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไรก็เริ่มน้ำตารื้นเช่นกัน
เกาเซวียนมองบัณฑิตต้าสุยที่เส้นผมสีขาวโพลนเหล่านั้นแล้วก็ใช้สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรุ่นหลังประสานมือโค้งคำนับพวกเขากลับคืนอย่างนอบน้อม
เหล่าอาจารย์แต่ละคนจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมรับการคารวะครั้งนี้
ที่จุดชมทัศนียภาพที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘ศาลาไพศาล’ ของสำนักศึกษาหลินลู่ บัดนี้บรรพจารย์สกุลเกาเกอหยางที่มาอยู่ต้าหลีพร้อมกับเกาเซวียนก็ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเหมาเสี่ยวตงและเจียวเฒ่าเฉิงสุ่ยตง
บรรพบุรุษสกุลเกาพูดคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็จากไป
เขาไม่ได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่ปิดบังชื่อแซ่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั่วไปเท่านั้น ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาล้วนชอบฟังวิชาที่เขาสอน เพราะผู้เฒ่าจะเล่าเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากตำราและความรู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นความลี้ลับมหัศจรรย์ของสำนักประพันธ์และพื้นที่มงคลกระดาษขาว เพียงแต่ว่าอาจารย์ของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่กลับไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฒ่าเกาที่ ‘ไม่ทำการทำงาน’ ผู้นี้เท่าไหร่นัก ด้วยรู้สึกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ของเขาไม่เข้มงวดมากพอ เลื่อนลอยและขอไปทีมากเกินไป ทว่าเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายยังไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์สอนหนังสือของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่จึงได้แต่เลิกคิดเล็กคิดน้อย
ในศาลาไพศาลเหลืออยู่แค่รองเจ้าขุนเขาสองท่านที่มาจากสำนักศึกษาต่างกัน เฉิงสุ่ยตงมองดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหมาเสี่ยวตงด้วยถ้อยคำที่ไร้ความยำเกรง
เจียวเฒ่าเล่าเรื่องมากมายของสำนักศึกษาให้เหมาเสี่ยวตงฟัง แล้วก็พูดถึงเฉินผิงอันของภูเขาลั่วพั่ว หนึ่งในนั้นคือพูดเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันมาขอร้องให้ชายหญิงต่างถิ่นคู่หนึ่งมาพักอยู่ในสำนักศึกษา ไม่ได้ฝากให้เว่ยป้อนำความมาบอกแก่สำนัก แต่มาเยือนด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาที่เป็นรองเจ้าขุนเขาช่วยเหลือ
เหมาเสี่ยวตงพูดหน้าเคร่ง “ในที่สุดก็พอจะเข้าใจหลักการการอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นบ้างแล้ว”
เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีทอดสายตามองไปไกล ชื่นชมทัศนียภาพของกลุ่มขุนเขาอยู่ด้วยกัน
พวกเขาก็คือหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตและนักพรตหญิงเรือนเตาซือหลิ่วป๋อฉี
หลิ่วชิงซานเอ่ย “ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีและมหาสมุทรใหญ่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะนะ? พวกเรากลับไปพบท่านพ่อ กลับไปพบพี่ใหญ่ของข้าด้วยกัน”
หลิ่วป๋อฉีพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย
ตามคำสัญญาแรกเริ่มสุด วันที่เดินทางกลับไปถึงบ้านเกิด ก็คือวันที่พวกเขาสองคนจะแต่งงานกัน
ในสายตาของนาง บัณฑิตหลิ่วชิงซานก็คือภูเขาเขียวลูกหนึ่งที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ภูเขาเขียวที่มีชีวิตชีวากว้างใหญ่ไพศาล น้ำวสันตฤดูกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
เขามีความรู้ความสามารถ เขาเป็นห่วงบ้านเมืองเป็นห่วงปวงประชา เขาปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ เขาคือปัญญาชนผู้งามสง่า…ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
แต่ตนกลับเป็นผู้ฝึกตนที่หน้าตาธรรมดา รู้จักแต่การรบราเข่นฆ่า พูดจาไม่สุภาพอ่อนหวาน ดื่มชาเหมือนดื่มสุรา ไม่เป็นพิณ หมากล้อม พู่กันหรือวาดภาพ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะมีแต่ข้อบกพร่อง
อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางท่องเที่ยวร่วมกันมานี้ นางเป็นกังวลตลอดเวลาว่าการจากลาในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จะไม่ใช่วันที่หลิ่วชิงซานซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแก่ตายไป
แต่เป็นวันใดวันหนึ่งที่จู่ๆ หลิ่วชิงซานก็เบื่อหน่ายนาง รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีค่าพอให้เขาชอบไปตลอดจนกระทั่งเส้นผมขาวโพลน
หลิ่วป๋อฉีกลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วประโยคนั้นของอาจารย์ผู้เฒ่าจูช่วยคลายปมในใจของนาง
‘ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน’ (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)
ข้าหลิ่วป๋อฉีมองหลิ่วชิงซานอย่างไร ชื่นชอบหลิ่วชิงซานมากแค่ไหน หลิ่วชิงซานก็จะมองข้าเช่นนั้น แล้วก็จะชอบข้ามากเท่านั้น
แต่หลิ่วป๋อฉีก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง นางจึงปลุกความกล้าของตัวเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังอดตื่นเต้นมากไม่ได้ นางกำด้ามดาบเทพเจ้าจิ้งดาบพกที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น หันหน้ามาถาม “ชิงซาน ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าห้ามรู้สึกว่าข้าโง่ ยิ่งห้ามหัวเราะเยาะข้า…”
เพียงแต่ไม่รอให้หลิ่วป๋อฉีเอ่ยต่อ หลิ่วชิงซานก็กุมมือข้างที่กุมดาบของนางเอาไว้ด้วยสองมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้า เจ้างดงามแค่ไหน เป็นความงดงามที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จินตนาการไม่ถึง”
หลิ่วป๋อฉีก้มหน้าลงน้อยๆ แพขนตาขยับไหวเบาๆ
หลิ่วชิงซานเอ่ยเสียงเบา “ต้องโทษข้า ข้าควรบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าจูเอ่ยเตือน ปลุกให้คนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ข้าอาจจะบอกเจ้าช้ากว่านี้ อาจจะต้องรอให้กลับไปถึงสวนสิงโตเสียก่อน ถึงจะบอกความในใจให้เจ้าฟัง”
หลิ่วป๋อฉีเงยหน้า เมื่อปมในใจถูกคลายออก สายตาของนางก็ไม่เหลือความเขินอายอีกต่อไป มีเพียงริ้วแดงบางๆ ที่ยังคงค้างอยู่บนใบหน้าที่แสดงให้รู้ถึงคลื่นกระเพื่อมในหัวใจของนางก่อนหน้านี้
หลิ่วป๋อฉีเอ่ยเบาๆ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจูต้องตกต่ำกลายมาเป็นคนเฝ้าบ้านให้เฉินผิงอัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
หลิ่วชิงซานหลุดหัวเราะพรืด
นึกอยากจะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันสักสองสามประโยค เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าจูขึ้นมาได้
แค่ไม่ยอมถอยให้ในเรื่องที่เป็นความผิดมหันต์ก็พอแล้ว ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะยังต้องเอาหลักเหตุผลมาแย้งกับสตรีที่รักไปไย? เจ้าแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือคิดจะเป็นอาจารย์ที่รับลูกศิษย์เข้าสำนักกันแน่
หลิ่วชิงซานพลันรู้สึกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูผู้นั้นสมกับเป็นเขาสูงตั้งตระหง่าน ทุกคำพูดล้วนมีค่าดุจหยกดุจทองคำอย่างแท้จริง ครั้งนี้ก่อนจะออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปขอความรู้จากอาจารย์ผู้เฒ่าอีกครั้งให้จงได้
……
ร้านยาตระกูลหยาง เด็กหนุ่มที่เป็นทั้งลูกจ้างร้านและเป็นลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถวรู้สึกเพียงว่าไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรแล้ว ร้านยาฮวงจุ้ยไม่ดีเอาเสียเลย มีความแค้นกับเงินโดยแท้
จะปล่อยให้กิจการซบเซาแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องกระมัง เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าสือหลิงซานรู้สึกว่าจะดีจะชั่วก็รับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์แล้ว ถึงอย่างไรก็ควรจะทำเรื่องที่กตัญญูต่ออาจารย์บ้าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโดยพลการ วิ่งไปถามท่านอาที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาว่าจะช่วยหาลูกค้ามาเข้าร้านได้บ้างหรือไม่ ผลกลับถูกท่านอาด่าเสียยกใหญ่ บอกว่าตอนนี้ชื่อเสียงของร้านยาและตระกูลหยางฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนน ใครจะกล้าไปซื้อยาที่นั่น
เด็กหนุ่มกลับมาที่ร้านอย่างห่อเหี่ยว ผลกลับเห็นศิษย์พี่เจิ้งต้าเฟิงนั่งแทะถังหูลู่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ด้วยท่าทางที่ชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก หากเป็นเวลาปกติ สือหลิงซานก็คงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงกำลังคุยกับเจิ้งต้าเฟิงอยู่ โทสะของเขาจึงพุ่งขึ้นมาสามจั้ง นั่งแปะลงไปบนขั้นบันไดระหว่างม้านั่งตัวเล็กสองตัว เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “หลิงซาน ไปเหยียบขี้หมามาจากตรอกเถาเย่หรือ? ศิษย์พี่ว่าสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
สือหลิงซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องของท่าน กลับไปเฝ้าประตูภูเขาลั่วพั่วของท่านเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงวางมาดเป็นศิษย์พี่ผู้มีเมตตา ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วจับเขย่า จึงถูกเด็กหนุ่มสะบัดมือตบทิ้ง เจิ้งต้าเฟิงอมถังหูลู่ไว้ลูกหนึ่ง จึงพูดเสียงอู้อี้ได้ยินไม่ชัด “ตอนนี้ศิษย์พี่รวยแล้ว ที่ภูเขาลั่วพั่วยังมีเรือนอยู่อีกหลังหนึ่ง เมื่อเทียบกับกระท่อมดินเหนียวที่หน้าประตูตะวันออกนั่นก็ใหญ่กว่ากันตั้งเยอะ เจ้าจะไปเป็นแขกเมื่อไหร่ล่ะ?”
สือหลิงซานกล่าว “ไปเป็นแขกอะไรกัน การค้าของที่ร้านจะยังทำอยู่ไหมเล่า”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ บ้านใหม่มีอยู่สองห้อง เตียงใหญ่มากเป็นพิเศษ แล้วก็แข็งแรงแน่นหนานัก ไม่ว่าจะนอนกลิ้งอย่างไรก็ไม่ส่งเสียงดังสักแอะ เดิมทีคิดจะเชิญให้เจ้ากับแม่หนูซูไปนอนค้างสักคืน บ้านใหม่นี่นะ อย่างไรก็ต้องหากลิ่นอายของคนเข้าไปเพิ่มเติมสักหน่อย กินข้าวด้วยกันสักมื้อ จิบเหล้าพลางๆ ไปด้วย เฮ้อ หากรังเกียจที่ระยะทางไกลไปก็ช่างเถิด แต่แม่หนูซูรับปากแล้ว ก็ดีเหมือนกัน สองคน นอนกันคนละห้อง ไม่ต้องเบียดอยู่บนเตียงเดียวกัน”
สือหลิงซานอ้าปากค้าง เสียใจภายหลังอย่างถึงที่สุด
สตรีที่ถูกเจิ้งต้าเฟิงเรียกว่าแม่หนูซูผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ต่อให้ก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงจะไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนางเลยแม้แต่น้อย นางก็ไม่กล้าเถียงอะไร
เมื่อครู่นี้สอบถามข้อสงสัยในการเรียนวรยุทธจากศิษย์พี่เจิ้ง แม้ว่าวิถีวรยุทธของศิษย์พี่เจิ้งจะพังลงไปแล้ว แต่ความรู้ยังคงอยู่ นางจึงไม่มีใจคิดดูแคลนเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มตรอกเถาเย่ที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกตนอย่างจริงจัง นางรับรู้เรื่องวงในและความลับมากมายได้เร็วกว่าเขา วิสัยทัศน์จึงเปิดกว้าง ต่อให้ฟ้าดินเกิดเปลี่ยนแปลงไป นางก็ยังไม่ให้ความสนใจกิจการของร้านยาแห่งหนึ่งที่ไม่ต่างจากแมลงวันเจาะเข้าโพรงโน้นแทรกซอนเข้าโพรงนี้ (เปรียบเปรยถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด) อยู่ดี
เมื่อครู่นี้นางกำลังจะสอบถามศิษย์พี่เจิ้งถึงเรื่องประหลาดมองไม่เห็นก่อนหน้านี้ที่จิตของนางสัมผัสได้เล็กน้อย แต่กลับถูกสือหลิงซานมาขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “สือหลิงซาน มัวนั่งบื้ออยู่ทำไม ไปเอาของกินมาแสดงความกตัญญูต่อศิษย์พี่ของเจ้าเข้าสิ”
สือหลิงซานนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิง ก้นติดพื้นไม่ขยับ
กลับเป็นสตรีที่ลุกขึ้นไปหยิบอาหารในร้าน
เจิ้งต้าเฟิงฟาดฝ่ามือออกไป “โง่เง่าจริงๆ เจ้ารอเป็นชายโสดขึ้นคานได้เลย”
สือหลิงซานลุกขึ้นยืน พูดอย่างขุ่นเคือง “ระวังข้าจะซัดท่านกลับนะ”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง “แม่หนูซูหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ วันหน้าต้องมีบุรุษมากมายคิดอยากแย่งชิงกันแต่งเข้าบ้านแน่นอน เฮ้อ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นเจ้าตะพาบตัวไหนที่โชคดีได้วาสนานี้ไปครอง ประมือกับแม่หนูซูยามค่ำคืน ข้าที่เป็นศิษย์พี่ พอคิดถึงว่าไม่ช้าก็เร็ววันนั้นต้องมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ ยังดีที่แม่หนูซูเชื่อฟังคำบอกของศิษย์พี่อย่างข้าตลอดมา คิดดูแล้วต่อให้วันหน้าตาถั่วเลือกคนไม่ดีมาก็ยังต้องให้ผ่านด่านศิษย์พี่อย่างข้าไปก่อน คงต้องให้ข้าช่วยนางตัดสินใจแน่ๆ …”
สือหลิงซานที่สับสนมึนงงเริ่มรู้สึกเลอะเลือน ราวกับว่าถูกศิษย์พี่คนนี้เอาดินเหลืองมาป้ายหน้าอย่างไรอย่างนั้น
สือหลิงซานหันหน้ากลับไปมองในร้าน ศิษย์พี่หญิงยืนอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน กำลังเขย่งเท้าเอื้อมไปหยิบของในชั้นวางยาสมุนไพร ในร้านมีสมุนไพรบางอย่างที่สามารถกินได้โดยตรงเลย
พอศิษย์พี่หญิงเขย่งเท้า เอวยืดขึ้น เรือนร่างก็ยิ่งอรชรเข้าไปอีก
สือหลิงซานหันหน้ากลับมาโดยเร็ว นั่งแปะกลับไปที่ขั้นบันไดอีกครั้ง
ชื่อจริงของศิษย์พี่หญิงคือซูเตี้ยน ชื่อเล่นคือแยนจือ ว่ากันว่าในอดีตความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิษย์พี่หญิงก็คือเปิดร้านเล็กๆ ขายเครื่องประทินโฉมแห่งหนึ่ง ชื่อของนางได้ท่านอาเป็นคนตั้งให้ ชื่อเล่นก็เป็นท่านอานางที่เรียก เป็นชื่อที่ตั้งอย่างไม่เอาใจใส่เสียเลย
และเวลานี้เองก็มีเด็กหนุ่มสะพายห่อสัมภาระคนหนึ่งวิ่งมาจากทางฝั่งของเมืองเล็ก
เจิ้งต้าเฟิงลูบหน้าตัวเอง จบกัน ต้องมาเจอกับเจ้าลูกกระต่ายที่ใจจืดใจดำมาตั้งแต่เด็กผู้นี้อีกแล้ว ย้อนนึกถึงในอดีต กี่ครั้งกันที่เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาต้องถูกพี่สะใภ้ว่าร้ายใส่ความอย่างอยุติธรรม?
หลี่ไหววิ่งมาถึงหน้าประตูร้านก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “โอ้โหแหะ นี่ไม่ใช่ต้าเฟิงหรอกหรือ มานั่งอาบแดดหรือไร เมียเจ้าล่ะ บอกพวกอาซ้อว่าอย่ามัวไปแอบอยู่เลย รีบออกมาพบข้าเถอะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งเมียได้ตั้งเจ็ดแปดคน ได้ดิบได้ดีนักล่ะ!”
พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องแทงใจดำกันเสียนี่
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
หลี่ไหวหัวเราะร่าพลางวิ่งเข้าไปในร้านยา เขาวิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลัง ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “ตาเฒ่าหยาง ตาเฒ่าหยาง เจ้าเดาดูสิว่าข้าเอาอะไรมา?!”
หยางเหล่าโถวที่นั่งอยู่ในเรือนด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองหลี่ไหว
หลี่ไหวปลดห่อสัมภาระนั่นลงจากหลัง แล้วก็วิ่งฉิวเข้าไปในห้องหลักที่ทั้งเจิ้งต้าเฟิง ซูเตี้ยนและสือหลิงซานต่างก็มองเป็นพื้นที่ต้องห้ามโดยตรง จากนั้นก็โยนห่อสัมภาระลงบนเตียงของหยางเหล่าโถวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วถึงได้ออกจากห้อง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว หยิบโถใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “ยาสูบชั้นเยี่ยมที่ซื้อมาจากร้านร้อยปีของเมืองหลวงต้าสุย! หนึ่งตำลึงต้องจ่ายถึงแปดเฉียนเชียวนะ ยอมหรือไม่?! ต้องถามว่าเจ้ากลัวหรือไม่ดีกว่า วันหน้าเวลาสูบยาจะต้องคิดถึงความดีของข้า พ่อข้า แม่ข้า พี่สาวข้าก็ห้ามลืมเด็ดขาดเชียว!”
เด็กหนุ่มยื่นโถยาสูบใบนั้นส่งไปให้ เขาชูมือสองข้างขึ้น ยื่นนิ้วออกมาแปดนิ้วแล้วแกว่งส่ายให้ดู
เจิ้งต้าเฟิงยกม้านั่งมานั่งในเรือนด้านหลัง รอชมงิ้ว
สือหลิงซานก็ตามมาด้วย สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเจ้าเด็กนี่โผล่มาจากไหน เหตุใดถึงไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ หากกับแค่เจิ้งต้าเฟิงก็ช่างเถิด แต่นี่แม้แต่กับอาจารย์ของตนก็ยังไร้ความเคารพยำเกรงด้วย
ซูเตี้ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมายืนอยู่ตรงผ้าม่านไม้ไผ่เช่นกัน
—
ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
บนใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของหยางเหล่าโถวปรากฏเป็นรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก ทว่าปากกลับไม่ได้เอ่ยคำพูดดีๆ อะไรออกมา “ทิ้งยาสูบเอาไว้ ส่วนคนไสหัวไป เจ้าลูกกระต่าย อายุยังไม่มาก แต่ไม่ยอมสวมกางเกงเปิดก้นแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าเวลาขี้เยี่ยวจะลำบากหรือไร?”
หลี่ไหววิ่งตุปัดตุเป๋ไปอยู่ด้านหลังของผู้เฒ่า แล้วเงื้อฝ่ามือฟาดลงบนท้ายทอยของหยางเหล่าโถว “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง แน่จริงก็พูดจาเหลวไหลชวนให้ฟ้าผ่าพวกนี้ต่อหน้าท่านแม่ของข้าสิ? อยากโดนซ้อมหรือไง?”
หยางเหล่าโถวกลับไม่โกรธ เพียงแค่ยัดยาสูบลงกระบอกอย่างคล่องแคล่วแล้วเริ่มพ่นควันโขมง แต่จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดทะมึน ถ่มน้ำลายดังเพ้ย ด่าว่า “กลับไปเมื่อไหร่ไปทุบป้ายของร้านนั้นทิ้งเลย ของห่วยแตกอะไรอย่างนี้ ไม่คู่ควรกับราคาเลยสักนิด”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าไม่กล้าหรอก สมบัติพิทักษ์ร้านราคาแปดเฉียนหนึ่งตำลึงแบบนั้น ข้าซื้อไม่ไหว ยังวางอยู่ในร้านนั่นแหละ ข้าเองก็อยากซื้อ แต่เขาไม่ขายนี่นา ข้าก็เลยพยายามอย่างสุดความสามารถ ซื้อไอ้ที่ถูกกว่ามาให้เจ้า ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักอย่างไรเล่า พกยาสูบพวกนี้มา ข้าต้องเดินทางมาไกลแค่ไหน? ตาเฒ่าหยางที่ชอบอยู่ในโปงผ้าห่มไม่ขยับตัวอย่างเจ้า ไหนเลยจะรู้ว่าพันภูเขาหมื่นแม่น้ำนั้นยาวไกลเท่าไหร่กันแน่? ตาเฒ่าหยาง ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าควรฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเสียบ้าง วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในนี้ หากวันใดออกไปนอกบ้านแล้วเห็นหญิงชราที่ถูกใจขึ้นมา นั่นก็เยี่ยมไปเลย ฟืนแห้งไฟแรง ข้าคงจะได้ดื่มเหล้ามงคลจากเจ้าแล้วสินะ?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองหลี่ไหว กำลังจะเปิดปากด่าคน
หลี่ไหวกลับใช้สองมืออุดหู โคลงศีรษะพูดว่า “ตะพาบเฒ่าหยางเหล่าชอบท่องคัมภีร์ นายท่านใหญ่หลี่ไหวไม่ฟังๆ”
ภาพนี้ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่มองดูอยู่หนังตาและมุมปากกระตุกสั่น
หลายปีมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงด่าทอของพี่สะใภ้และไม่ได้เห็นหลี่ไหวเดินฉี่ไปทั่ว
ซูเตี้ยนและสือหลิงซานก็ยิ่งใจสั่น เด็กหนุ่มยังกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางแข็งแรงมีชีวิตชีวาผู้นี้เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายไหนกันแน่
ถึงอย่างไรตอนนี้สือหลิงซานก็รู้เพียงว่าในเมืองเล็ก ตัวเองมีเพียงศิษย์พี่ที่เป็นชายโสดขึ้นคานอย่างเจิ้งต้าเฟิงคนเดียว ส่วนหลี่เอ้อร์นั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทว่าเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อที่ไม่รู้ความเป็นมาผู้นี้ก็ช่างกล้าพูดเสียจริง
สือหลิงซานรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงไม่มีความกล้านี้
นี่ยังเป็นเพราะสือหลิงซานอายุน้อย ไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ของร้านยาในปีนั้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากกว่านี้
ปีนั้นตอนที่หลี่เอ้อร์ยังเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านยา หลี่ไหวก็ชอบมาเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งอยู่ที่นี่ พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็งอแงลงไปชักดิ้นชักงอ จนร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน พอกลับบ้านไป ขอแค่ท่านแม่ของเขาเห็นเข้าก็จะต้องเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด ทั้งเสียดายเสื้อผ้า แล้วก็ยิ่งสงสารบุตรชายที่ตัวสกปรกมอมแมม จึงมักจะพาบุตรชายมาที่นี่แล้วร้องด่า ด่าฟ้าด่าดิน ไม่มีอะไรที่นางด่าไม่ได้ นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ตอนที่หลี่ไหวยังสวมกางเกงเปิดก้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากกลั้นฉี่ไม่อยู่ก็จะเดินฉี่ไปทั่วเรือนด้านหลังของหยางเหล่าโถว
แม้แต่น้ำเต้าตันที่ต่อให้เอาไม้แปดท่อนตีก้นก็ยังไม่ยอมผายลม (เปรียบเปรยถึงคนที่เงียบขรึม พูดไม่เก่ง) อย่างหลี่เอ้อร์ก็ยังรู้สึกผิดต่ออาจารย์ ต้องเปิดปากขอโทษอาจารย์ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพียงแต่ว่าหยางเหล่าโถวไม่เคยถือสาก็เท่านั้น หลี่เอ้อร์จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อย่างมากสุดหยางเหล่าโถวก็จะหยิบกระบอกยาสูบมาตีเจ้าลูกกระต่าย เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทีหนึ่ง หลี่ไหวเองก็แปลก หากสะดุดล้มหรือทำให้ตัวเองเจ็บตัวจะต้องร้องไห้จนแผ่นดินแตกแยกภูเขาสะเทือน แต่หากถูกหยางเหล่าโถวด่าหรือหยิบกระบอกยาสูบมา ‘ตี’ เขากลับไม่เคยจดจำความแค้น ยังหัวเราะชอบอกชอบใจ แน่นอนว่าหากเล่นจนตัวเองเหนื่อยแล้วถึงจะยอมหยุดแต่โดยดี ไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่ด้านข้าง เอามือเท้าคางมองหยางเหล่าโถวนั่งพ่นควัน มองทีก็มองได้เป็นครึ่งๆ วัน
หลี่ไหวนั่งยองอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว พูดเบาๆ อยู่ข้างหูผู้เฒ่า “ตาเฒ่าหยาง เจ้ามีสมบัติสืบทอดที่มีมูลค่ามอบให้ข้าสักสองสามชิ้นบ้างไหม? ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดจะแต่งงานมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้ข้าเถอะ จะยกให้ช้าหรือเร็วก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ส่วนที่เก็บไว้ให้เจ้ามีอยู่สองสามชิ้นจริง แต่เอาไว้ค่อยพูดกันวันหน้า”
หลี่ไหวถอนหายใจเฮือกๆ “อย่าช้าเกินไปนะ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าวันใดพี่สาวข้าต้องแต่งงานมีสามี บ้านของเรายากจน ไม่แน่ว่านางอาจจะถูกว่าที่แม่สามีดูแคลน ข้าคงต้องอาศัยเจ้ามากอบกู้ศักดิ์ศรีแล้ว”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก
หลี่ไหวหันขวับกลับมา “ตาเฒ่าหยาง วันหน้าสูบยาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ไม่รู้จักรักษาสุขภาพซะบ้าง ต้องกินอาหารรสจืดให้มาก ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆ วันๆ เอาแต่อุดอู้รอความตายอยู่ในนี้ ข้าว่าดูจากร่างกายเจ้าแล้วก็ยังแข็งแรงดี ปีนเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรก็น่าจะไม่มีปัญหา เอาเถอะ คุยกับเจ้านี่น่าเบื่อที่สุดเลย ไปล่ะ ในห่อสัมภาระล้วนเป็นเสื้อผ้า รองเท้าผ้าที่ซื้อมาใหม่ เปลี่ยนใส่ซะด้วยล่ะ”
หลี่ไหวนึกจะไปก็ไป
แน่นอนว่ายังไม่ลืมด่าเจิ้งต้าเฟิงไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยลาสือหลิงซานและซูเตี้ยน
ใครใกล้ชิดใครห่างเหิน แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่ง เพียงแค่ว่าสลับตำแหน่งกันก็เท่านั้น
……
วัดร้างห่างจากหมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ยไปประมาณระยะทางภูเขาเจ็ดร้อยลี้
ปีนั้นเดินเท้า แน่นอนว่าย่อมช้า เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่เดินทางก็เร็วอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ตรงไปที่หมู่บ้าน หรือแม้แต่เมืองเล็กที่เจริญรุ่งเรืองก็ไม่ได้ไป ยังอยู่ห่างอีกประมาณร้อยกว่าลี้ เฉินผิงอันก็บังคับกระบี่ให้ลดระดับลงบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำที่อยู่เบื้องหน้าก่อน จึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง ไม่เพียงแค่ภูเขาเขียวน้ำใสเท่านั้น ยังมีไอเมฆไอหมอกล่องลอยบางเบา ประหนึ่งมีผ้าคลุมบางๆ ปกคลุมยอดเขาหนึ่งในนั้นเอาไว้ เฉินผิงอันเพิ่งจะพลิ้วกายลงบนยอดเขาและเก็บกระบี่กลับเข้าฝักก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าจะเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ปรากฏตัว ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน เรียกเขาคำหนึ่งว่าเซียนซือ
เฉินผิงอันปลดงอบลง รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มกล่าวว่า “ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ท่านเทพแห่งผืนดินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ประเพณีนิยมของบ้านเกิดอย่างเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากที่ญาติตายไปจะต้องเลือกภูเขาที่ตั้งสุสานแล้วเริ่มทำการขุดหลุมฝังศพ ซึ่งนี่จำเป็นต้องใช้ก้อนหินวางทับกระดาษเงินแล้วนำไปวางตรงตำแหน่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วบนภูเขา ถือว่าเป็นการเช่าภูเขาจากเทพแห่งผืนดิน นับตั้งแต่ยกโลงไปจนเอาโลงลงดิน ระหว่างทางที่เดินไปจะต้องโปรยกระดาษเงิน ตามคำบอกของคนเฒ่าคนแก่ในอดีต นี่ก็คือการใช้เงินซื้อทางนำพาญาติที่ตายไปให้สามารถผ่านด่านประตูผีและผ่านเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองได้อย่างราบรื่นโดยผ่านทางเทพแห่งผืนดิน
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันจดจำได้ลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่ออกจากเมืองเล็ก เทพแห่งผืนดินที่ได้เจอเป็นคนแรกก็คือเว่ยป้อที่ตอนนั้นยังถูก ‘กักขัง’ อยู่บนภูเขาฉีตุน อันที่จริงเวลานั้นเฉินผิงอันผิดหวังอยู่เป็นนาน
ตอนนี้เทพแห่งผืนดินที่มีลักษณะเป็นชายวัยกลางคนไม่กล้ารั้งรออยู่นาน หลังจากทักทายปราศรัยสองสามประโยคด้วยสีหน้านอบน้อมแล้ว เขาที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเส้นทางภูเขาและผืนดินของพื้นที่นี้ก็เตรียมจะบอกลาจากไป
นั่นเป็นเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง เทพผืนดินเล็กๆ อย่างเขาไม่กล้าอาจเอื้อม หากเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยินดีปล่อยผ่านไปแน่นอน
เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกาครวญไหหนึ่งออกมายื่นส่งให้เทพแห่งผืนดินที่มีท่าทางระมัดระวังผู้นั้น “เหล้ากานี้ถือเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้าละลาบละล้วงมาเยือนภูเขาลูกนี้”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปลายแถวที่ยังไม่มีคุณสมบัติจะฝากชื่อเข้าไว้ในทำเนียบภูเขาสายน้ำของแคว้นซูสุ่ยพลันตื่นตระหนก รีบปรี่ขึ้นหน้าค้อมเอวไปรับเหล้าหมักตระกูลเซียนกานั้นมา ลองชั่งน้ำหนักภาชนะบรรจุเหล้าใบนี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาในโลกมนุษย์
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าต้มที่ท่านยายของจวนโบราณเป็นผู้หมักเอง แล้วถามว่า “ท่านเทพผืนดิน ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเยือนสหายที่หมู่บ้านวารีกระบี่ ไม่ทราบว่าสิบกว่าปีมานี้ สถานการณ์ของหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เทพแห่งผืนดินใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง เขาไม่ขอให้ตัวเองมีความดีความชอบ แต่ขอว่าอย่าผิดพลาดก็พอ แล้วจึงตอบเนิบช้าว่า “เรียนเซียนซือ ตอนนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ใช่สำนักใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านเหิงเตาของหวังอี้หรานปรมาจารย์วิชาดาบแทน คนผู้นี้แม้จะเป็นเด็กรุ่นหลังของอริยะกระบี่ซ่ง แต่กลับพอจะมีเค้าลางว่าจะได้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพในแคว้นซูสุ่ยแล้ว หากอิงตามคำกล่าวของคนในยุทธภพเวลานี้ ขาดก็แค่การต่อสู้ตัดสินระหว่างหวังอี้หรานกับอริยะซ่งเท่านั้น หนึ่งเพราะหวังอี้หรานฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่อันดับหนึ่งที่แท้จริง วิชาดาบเลิศล้ำเป็นเอก สองก็เพราะบุตรสาวของหวังอี้หรานแต่งงานกับทายาทชนชั้นสูงแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ตอนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ หมู่บ้านเหิงเตาก็เป็นผู้ที่สวามิภักดิ์ก่อนใคร หันกลับมามองหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราที่มีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมากกว่า ไม่ยินดีพึ่งพาใคร ในด้านบารมีชื่อเสียงจึงเริ่มค่อยๆ ตกเป็นรอง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เทพแห่งผืนดินลังเลเล็กน้อย ราวกับว่ามีคำพูดบางอย่างที่ลำบากใจจะกล่าว
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “เชิญท่านเทพแห่งผืนดินพูดได้ตามสบาย”
บุรุษจึงกดเสียงลงต่ำกล่าวว่า “ทางฝ่ายของราชสำนักคิดจะให้หมู่บ้านวารีกระบี่ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะจะสร้างศาลเทพภูเขาที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นรองห้าขุนเขาขึ้นที่นั่น ได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวคิดจะกระตุ้นให้เรื่องนี้สำเร็จในเร็ววัน”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วยิ้มกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ฉู่ ฉู่หาวที่บอกว่ากลวิชาศึกถูกรับเข้ากลับวงศ์วานของอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีน่ะหรือ?”
หวังอี้หรานก็ดี ฉู่หาวก็ช่าง ล้วนเป็นคนคุ้นเคย
หวังอี้หรานนิสัยไม่เลว แม้ว่าบุตรสาวอย่างหวังซานหูจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับบิดาของนางได้ติด แต่การกระทำและคำพูดของหวังอี้หรานในคลื่นมรสุมในปีนั้น อันที่จริงก็คู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษแล้ว
ส่วนฉู่หาวที่ปีนั้นเฉินผิงอันเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้อาวุโสซ่ง และตัดสินเป็นตายกับอีกฝ่ายบนสนามรบมาก่อน เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นต้องจดจำความแค้นอะไร สนามรบกับยุทธภพ บุญคุณและความแค้นล้วนมีอยู่ทั้งสองที่
แต่เมื่อพูดถึงเขาในเวลานี้ เฉินผิงอันย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว
เทพแห่งผืนดินหัวเราะหึหึ พูดมากไปย่อมทำให้เสียเรื่อง ขอแค่แสดงเจตจำนงของตนให้รู้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เทพแห่งผืนดินเล็กๆ ของแคว้นซูสุ่ย แต่ฉู่หาวกลับเป็นบุคคลที่อยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นในราชสำนักแคว้นซูสุ่ยทุกวันนี้ แน่นอนว่าต้องไม่นับรวมขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในแคว้นซึ่งเป็นดั่ง ‘ไท่ซ่างหวงแห่งแคว้นซูสุ่ย’ กลุ่มนั้น
เฉินผิงอันสวมงอบ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อยแล้วกุมหมัดเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
เทพแห่งผืนดินรีบประคองไหเหล้านั้นขึ้นสูง ค้อมเอวกล่าวว่า “ของขวัญชิ้นใหญ่จากเซียนซือ เทพน้อยมิกล้ารับไว้”
เฉินผิงอันขี่กระบี่ไปจากภูเขาลูกนี้
เทพแห่งผืนดินสะกดกลั้นความหวาดผวาในใจ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ถึงอย่างไรซ่งอวี่เซาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง เขาไปรู้จักกับเซียนกระบี่ผู้นี้ได้อย่างไร?”
นอกเมืองเล็กที่อยู่ติดกับหมู่บ้านวารีกระบี่ บนภูเขาลูกเล็กที่ห่างไกล เฉินผิงอันเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก ลงจากเขา เดินไปบนถนนทางหลวงช้าๆ
ผ่านเมืองเล็กไปแล้วก็มาหยุดอยู่นอกประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่
เฉินผิงอันปลดงอบลง ยิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูที่อายุมากคนหนึ่งของหมู่บ้าน “รบกวนช่วยไปแจ้งอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งสักคำ บอกว่าเฉินผิงอันมาเลี้ยงหม้อไฟเขาแล้ว”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูลังเลเล็กน้อย มองคนหนุ่มแวบหนึ่ง สะพายกระบี่ห้อยกาเหล้า น่าจะเป็นคนในยุทธภพ เพียงแต่หน้าไม่คุ้น ชื่อก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าจะไม่ใช่สหายเก่าของหมู่บ้าน อีกทั้งดันมาเยือนหมู่บ้านในเวลานี้ ช่างไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย และก็ยิ่งไม่สมควรด้วย ดังนั้นผู้เฒ่าจึงเอ่ยอย่างขออภัยว่า “คุณชายท่านนี้ ช่วงนี้หมู่บ้านของเราไม่รับแขก คุณชายกลับไปเถิด”
เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายว่าตนเป็นสหายของผู้อาวุโสซ่งจริงๆ ปีนั้นยังเคยมาพักอยู่ในหมู่บ้านช่วงหนึ่ง แล้วก็เคยฝึกหมัดที่น้ำตกตรงศาลาภูเขาแม่น้ำแห่งนั้น
หมู่บ้านวารีกระบี่มีกฎเข้มงวด ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูได้แต่เฝ้าอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ อีกทั้งยังไม่ชอบสืบข่าวใดๆ บวกกับที่ก่อนหน้านั้นตอนที่เฉินผิงอันไปฝึกหมัดที่น้ำตก ซ่งอวี่เซาก็ได้ปิดพื้นที่ศาลาภูเขาแม่น้ำให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงไม่เคยได้ยินชื่อของเฉินผิงอันมาก่อน ประเด็นสำคัญก็คือผู้เฒ่าคิดว่าแม้ตัวเองจะอายุมาก แต่สายตากลับยังดี และความจำก็ยิ่งไม่แย่ หากเป็นสหายในยุทธภพที่เขาเคยเจอมาก่อน ต่อให้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องจำได้ ทว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ คนเฝ้าประตูจำไม่ได้จริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน!
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงค่อยๆ ขยับเท้าหนีไปหลบอยู่ตรงประตูด้านข้างอย่างเงียบเชียบ หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่พูดจาไม่น่าเชื่อถือผู้นี้ฝืนบุกเข้าไป ตอนนี้ในหมู่บ้านไม่ค่อยสงบสุขนัก หายนะจากด้านนอกน่าตกใจเกินไป แต่ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็เชื่อว่าครั้งนี้ก็จะเหมือนคราวก่อนที่ถูกกองทัพใหญ่ของราชสำนักกดดัน ขอแค่เจ้าประมุขผู้เฒ่าอยู่ด้วย ก็จะสามารถกลับเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ
เพียงแต่ส่วนลึกในใจของผู้เฒ่ากลับเต็มไปด้วยความกังวลใจ เพราะถึงอย่างไรฉู่หาวที่ชอบงัดข้อกับหมู่บ้านผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่ได้เลื่อนขั้น อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับปีนั้นที่เขายังเป็นแค่แม่ทัพบู๊ทั่วไปซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากชายแดนแล้ว ตอนนี้เขาได้กุมอำนาจอยู่ในราชสำนัก นอกจากนี้ก็ยังมีหมู่บ้านเหิงเตาที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็ว เดิมทีพวกเขาควรจะเป็นสหายของหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงจะถูก แต่ยุทธภพก็น่าจนใจเช่นนี้ ทุกคนล้วนชอบช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแคว้นซงซีสังหารหลินกูซานปรมาจารย์วิชากระบี่แคว้นกู่อวี๋ด้วยการโจมตีเดียว ‘ไข่มุกมรกต’ อาวุธเทพที่ซูหลางห้อยไว้ตรงเอวก็คือหลักฐานชั้นดี ตอนนี้วิชากระบี่ของซูหลางทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว จึงจะมาช่วงชิงอันดับหนึ่งในด้านวิชากระบี่กับเจ้าประมุขผู้เฒ่า ส่วนหวังอี้หรานนั้นก็ต้องการช่วงชิงอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธในแคว้นซูซุ่ยกับเจ้าประมุขผู้เฒ่า และหมู่บ้านทั้งสองแห่งนี้ก็เหมือนกับพรรคสองพรรคที่ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
ทว่าต่อให้เป็นคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง ไม่ว่าจะบนหรือล่างก็ล้วนไม่อาจพูดว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวซูหลาง และหวังอี้หรานแห่งหมู่บ้านเหิงเตาผู้นั้นคือคนเลวอะไร
—
ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
ถึงอย่างไรก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ได้รีบร้อน เขายังคงอดทนตีฝีปากกับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูต่อไป
ไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็พอจะแน่ใจได้แล้วว่าเด็กรุ่นหลังในยุทธภพผู้นี้ นอกจากจะชอบพูดเรื่องเหลวไหลชวนให้คนเข้าใจผิดไปไกลแล้ว อันที่จริงก็ไม่ใช่คนเลวอะไร จึงขวางอีกฝ่ายไว้ที่นอกประตูแล้วก็เริ่มพูดคุยกับเขา ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้ว แต่ผู้เฒ่าก็อดนินทาในใจไม่ได้ คนหนุ่มผู้นี้ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย คุยกับตนมาตั้งนาน ตัวเขาเองหยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่มอยู่หลายที แต่กลับไม่ถามตนบ้างว่าอยากดื่มหรือไม่ ต่อให้เป็นแค่คำกล่าวตามมารยาทก็ยังไม่ยอมเอ่ย เขาไม่ได้คิดจะดื่มเหล้าของเขาจริงๆ เสียหน่อย ตอนนี้เขายังทำหน้าที่เฝ้าประตู ย่อมไม่สามารถดื่มเหล้าได้ อีกอย่างเหล้าหมักของหมู่บ้านตนก็รสชาติยอดเยี่ยมนัก ยังจะอยากดื่มเหล้าในกาผุๆ นั่นด้วยหรือ? ดมดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะหอมอะไร ดื่มไม่ดื่มเป็นเรื่องหนึ่ง แต่คนหนุ่มอย่างเจ้าจะชวนดื่มหรือไม่ชวนดื่มก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนี่นา
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็มีความลำบากใจของตัวเอง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นี้แค่ร่ายเวทอำพรางตาไว้เท่านั้น หากผู้เฒ่ารับไปถือไว้ในมือย่อมเผยพิรุธอย่างแน่นอน อีกอย่างจะให้เขาเฉินผิงอันเรียกเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งจากในวัตถุจื่อชื่อให้ ‘โผล่มาจากความว่างเปล่า’ ก็คงไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาตัดใจยกให้อีกฝ่ายไม่ลงจริงๆ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายอะไรกัน ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เอาเหล้าตระกูลเซียนไปมอบให้คนที่พบเจอกันอย่างผิวเผินดื่ม ความขี้เหนียวของเขาเฉินผิงอันขึ้นชื่ออยู่ในยุทธภพเชียวนะ
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ด้านหนึ่งก็ขุ่นเคืองที่คนหนุ่มไม่รู้ประสา อีกด้านหนึ่งก็พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับแคว้นซูสุ่ยที่ตัวเองรู้ไปตามคำชักจูงของอีกฝ่าย
ในราชสำนัก ฉู่หาวประกาศไว้แล้วว่า หากภายในหนึ่งเดือนหมู่บ้านวารีกระบี่ยังไม่ย้ายออกไปจากที่นี่ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมากันเอง
ส่วนหวังอี้หรานนั้นยังนับว่ามีคุณธรรม เขาไม่ได้มาหาเรื่องที่หมู่บ้าน เพียงแต่ว่ากำลังจะจัดงานประชุมใหญ่ในยุทธภพ เชื้อเชิญให้วีรบุรุษผู้กล้าจากสถานที่ต่างๆ ไปเป็นแขกที่หมู่บ้านเหิงเตา ร่วมกันเลี้ยงฉลอง
ส่วนซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้น ช่วงนี้ก็มักจะมา ‘ถามกระบี่’ กับเจ้าประมุขผู้เฒ่า ผู้มามีเจตนาไม่ดี หากไม่มีความมั่นใจอยู่หลายส่วนจริงๆ ไหนเลยจะกล้าเอาเรื่องประเภทนี้มาล้อเล่น
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยังบอกว่าพวกเขาปฏิเสธการท้าทายของซูหลางไปอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นยังถือว่าเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน เขาประกาศแก่ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยว่าจะต้องมาเหยียบหมู่บ้านวารีกระบี่สักครั้งให้จงได้
หลังจากเฉินผิงอันฟังจบก็เงียบงันไป
เขากับซูหลางผู้นั้นเคยประมือกันอยู่สองครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดภายหลังซูหลางถึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ หันกลับไปใช้กระบี่ตัดหัวหลินกูซานที่เดิมทีควรเป็นพันธมิตรกันแทน
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูพูดอย่างปลงอนิจจัง “เด็กรุ่นหลังที่มาจากต่างถิ่นอย่างเจ้า ตอนนี้คงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าถึงไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปข้างใน หากเป็นเวลาปกติก็คงปล่อยให้เจ้าเข้าไปแล้ว หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราไม่ได้ขาดสุราดีๆ ที่ไว้ใช้รับรองแขกแค่ไม่กี่กาหรอก เพียงแต่ว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่วันเวลาที่สงบสุขอย่างในอดีต สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าทางฝั่งของเมืองเล็กมีสายลับของทางราชสำนักจับตามองอยู่หรือไม่ หากเจ้าเข้ามาแล้วเดินออกไป ก็บอกได้ไม่ชัดเจนแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอมในยุทธภพ นำพาหายนะมาสู่ตัว มันคุ้มกันแล้วหรือ? จะลำบากแบบนั้นไปไย รีบไปซะเถอะ”
เฉินผิงอันพลันหันขวับไปมองด้านในของประตู ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูจึงหันตามไปด้วย นึกว่ามีใครในจวนเดินมาที่หน้าประตู
ผลกลับไม่เห็นเงาร่างใครสักคน
รอจนผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูดึงสายตากลับมา คนหนุ่มผู้นั้นก็ยื่นเหล้ากาหนึ่งให้กับเขา ยิ้มกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าคนคือเก่าแก่ในยุทธภพ อาศัยถ้อยคำด้วยความหวังดีประโยคนี้ ก็ควรรับเหล้ากานี้เอาไว้”
ผู้เฒ่าที่กำลังสงสัยว่าเหตุใดคนหนุ่มถึงใช้สายตาสืบเสาะมองไปข้างในไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป ในใจคิดว่าเจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นี้ยังนับว่ามีคุณสมบัติในการใช้ชีวิตในยุทธภพอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากทำตัวเซ่อซ่า ต่อให้วรยุทธดี นิสัยดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสร้างชื่อเสียงโด่งดังอะไรได้ ผู้เฒ่ายังคงส่ายหน้ากล่าวว่า “เอาเหล้าของเจ้ามาแล้ว อีกทั้งยังขวางไม่ให้เจ้าเข้าไปอยู่เป็นครึ่งๆ วัน ไม่ใช่ว่าข้าใจจืดใจดำหรอกหรือ ช่างเถิด ดูแล้วเจ้าเองก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เก็บไว้เองเถอะ อีกอย่างข้าเป็นคนเฝ้าประตู เวลานี้จะดื่มเหล้าไม่ได้”
เฉินผิงอันเปิดผนึกดิน แกว่งกาเหล้า “ไม่ดื่มจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูแค่สูดดมหนึ่งครั้ง ใจก็พลันหวั่นไหว แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับไว้ ต่อให้สุราดีแค่ไหนก็ไม่ถูกกฎ แล้วนับประสาอะไรกับที่ใจคนยังมีหนังหน้าท้องกั้นไว้ (เปรียบเปรยว่าจิตใจคนยากจะคาดเดา ยากจะเข้าใจ) เขาไม่กล้ารับเด็ดขาด
แต่แล้วจู่ๆ คนหนุ่มผู้นั้นก็สวมงอบ ยัดกาเหล้าใส่มือเขา หมุนตัวเดินลงบนบันไดไป ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะมีคนมา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเหมือนข้า ข้าจะไปทักทายเขาแทนท่านผู้เฒ่าสักหน่อย จะบอกเขาว่าอย่าได้มาแสวงหาชื่อเสียงจอมปลอมที่หมู่บ้าน”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูใช้สองมือประคองไหเหล้า ทอดสายตามองไป จุดที่สายตาของเขามองเห็น บนทางเส้นนั้นไร้เงาคน
ทว่าคนหนุ่มคนนั้นกลับยังคงเดินจากไปช้าๆ
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่ม หน้าบาง ต้องมากินน้ำแกงประตูปิดแบบนี้ก็เลยหาข้ออ้างส่งเดช เพื่อหาทางลงให้กับตัวเอง?
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ในใจอดเวทนาอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้
ทว่าคนเราอยู่ในยุทธภพก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เดิมทียังคิดจะบอกคนหนุ่มที่แสร้งว่าตัวเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นสักคำว่า รอให้คลื่นลมมรสุมของหมู่บ้านสงบลงเมื่อไหร่ค่อยมาเยือนใหม่ ตนจะไม่ขวางเขาไว้อีกแน่นอน
เพียงแต่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็ยังคงกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไป
คนหนุ่มออกจากบ้านมาท่องอยู่ในยุทธภพ ไปชนตอเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
……
เมืองเล็กที่คึกคักใกล้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ ในห้องหรูหราอักษรตัวเทียน (เทียนแปลว่าฟ้า สวรรค์ ในที่นี้ใช้เป็นการแบ่งแยกระดับห้อง จึงหมายถึงห้องระดับดีที่สุด ห้องอันดับหนึ่ง หากเป็นภาษาปัจจุบันก็คือห้องวีไอพี) แห่งหนึ่งของโรงเตี๊ยม ‘คนหนุ่ม’ คนหนึ่งที่อายุจริงคือสี่สิบปีแล้ว แต่โฉมหน้ากลับยิ่งงดงามดุจหยก เมื่อสิบปีก่อนโฉมหน้าของเขาเหมือนคนวัยสามสิบปี ตอนนี้กลับยิ่งเหมือนคุณชายอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง กำลังเช็ดกระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักด้วยท่วงท่าละเมียดละไมอย่างถึงที่สุด ฝักกระบี่วางพาดขวางไว้บนหัวเข่า สลักตัวอักษรสองคำว่า ‘ไข่มุกมรกต’ เคยเป็นกระบี่รักประจำกายของหลินกูซานมือกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นกู่อวี๋ ปีนั้นหลังจากตัดหัวหลินกูซานแล้ว อาวุธเทพที่ตัดเหล็กเหมือนตัดโคลนชิ้นนี้ก็กลายมาเป็นกระบี่ประจำกายของเขา
ตรงเอวของคนผู้นี้ยังห้อยไม้ไผ่สีเขียวเปล่งประกายใสแวววาวยาวสองฉื่อหกชุ่น ความยาวเท่าเทียมกับกระบี่เอาไว้ด้วย
ตอนที่มือกระบี่ชุดเขียวซึ่งสวมงอบสะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลังออกจากเมืองเล็ก
สตรีหน้าตางดงามที่ติดตามคนที่กำลังก้มหน้าตั้งใจเช็ดกระบี่ออกจากแคว้นซงซีมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้ก็เดินฝีเท้าแผ่วเบามาหยุดอยู่ที่นอกประตู แล้วเคาะประตูห้อง นางที่เป็นทั้งสาวใช้ผู้ถือกระบี่และเป็นทั้งลูกศิษย์เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์ ในที่สุดก็มีคนไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่แล้ว”
คนสองคนที่เป็นทั้งอาจารย์และศิษย์ แล้วก็เป็นทั้งนายบ่าวมาถึงที่นี่ได้เกือบสิบวันแล้ว บุรุษกำชับนางว่า รอวันใดที่มีใครไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ที่เงียบสงัดวังเวงแห่งนั้น ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ตนได้ออกกระบี่
หลายวันมานี้นางจึงคอยไปอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเมืองเล็กเพื่อรอคอยให้คนผู้นั้นปรากฏตัว
นางรอจนเริ่มหงุดหงิดใจแล้ว เพราะนางเชื่อเป็นอย่างยิ่งกว่า การประลองกระบี่ระหว่างอาจารย์กับซ่งอวี่เซาครั้งนี้ หลังผ่านศึกนี้ไปจะต้องทิ้งชื่อเลื่องลือไปหลายแคว้นไม่ว่าจะทั้งซูสุ่ย ซงซีหรือไฉ่อีก็ตาม!
เพียงแต่รอคอยอย่างน่าเบื่อหน่ายมาเกือบสิบวัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนในยุทธภพคนไหนไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่เสียที
บุรุษในห้องยิ้มบางๆ “ดีมาก”
สตรีที่เป็นสาวใช้ผู้ถือกระบี่จึงถอยออกไป
นางทะยานร่างขึ้นไปบนหลังคาเรือนด้วยอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม รอคอยการถามกระบี่และออกกระบี่ของอาจารย์
กระบี่นั้นจะต้องเปี่ยมไปด้วยมาดอันเลิศล้ำของเอกบุรุษแห่งยุทธภพอย่างแน่นอน!
เพราะบุรุษในห้องคนนั้นก็คือซูหลาง เซียนกระบี่ไผ่เขียว!
ซูหลางที่อยู่ในห้องไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน เขายังคงก้มหน้าเช็ดกระบี่ ‘ไข่มุกมรกต’ เล่มนั้น
เช็ดคมกระบี่ เดิมทีก็เป็นการหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ สั่งสมปณิธานกระบี่อย่างต่อเนื่องอย่างหนึ่ง
สาวใช้ผู้ถือกระบี่รู้สึกเพียงว่าเวลาผ่านไปช้าเหมือนนานเป็นปี นางมองไปทางหมู่บ้านวารีกระบี่ ด้วยกลัวว่าซ่งอวี่เซาผู้นั้นจะเผ่นหนีไปกะทันหัน แล้วค่อยมองไปทางโรงเตี๊ยมอีกครั้ง คาดหวังให้เงาร่างของอาจารย์รีบปรากฏเสียที
ในที่สุด ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่กลับมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวอีกครั้งก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม มายืนอยู่ใจกลางถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีผู้คนแออัดสัญจร
ตรงเอวห้อยไม้ไผ่เขียวที่เป็นตัวบ่งบอกถึงสถานะของเขา ส่วนในมือของซูหลางถือไข่มุกมรกตเอาไว้
บนถนนใหญ่ ปราณกระบี่เปี่ยมล้นดุจกระแสน้ำขึ้นอันเชี่ยวกรากดุดัน
คนเดินเท้าบนถนนใหญ่ตกใจพากันแตกฮือหนีหาย
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนนามของเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นออกมาก่อน จากนั้นเสียงผู้คนที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงก็ดังขึ้นๆ ลงๆ ต่อกันไปเป็นทอดๆ
ตามมาด้วยพวกคนชอบสอดรู้สอดเห็น หรือไม่ก็พวกอันธพาลจำนวนนับไม่ถ้วนที่บ้างก็เลียนแบบสาวใช้ของซูหลาง ป่ายปีนขึ้นไปรอชมศึกอยู่บนหลังคา ในบรรดานั้นมีบุรุษและสตรีบางส่วนที่สีหน้าเครียดขรึม พวกเขาแยกกันยืนอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของเมืองเล็ก เมื่อเทียบกับพวกคนที่มามุงดูซึ่งเอะอะโหวกเหวกใบหน้าใบหูแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว พวกเขากลับมีเพียงความเงียบงัน เพราะพวกเขาก็คือสายลับและนักรบเดนตายที่แคว้นซูสุ่ยจัดให้มาแฝงตัวอยู่ที่นี่
สตรียืนอยู่บนหลังคาเรือนที่การมองเห็นเปิดกว้างมากที่สุด หัวเราะเสียงหยันไม่หยุด
ซูหลางเริ่มเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ปราณกระบี่พุ่งตวัดฉวัดเฉวียนไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ
ก้าวที่สอง แค่ก้าวเดียวก็ไกลถึงหนึ่งจั้ง
คนที่อยู่สองฝั่งทางของถนนใหญ่อย่างไม่รู้จักกลัวตายเริ่มหายใจไม่ออก พากันหลบเข้าไปตามร้านที่อยู่ข้างทาง ถึงจะพอหายใจคล่องคอได้บ้าง
เมื่อเซียนกระบี่ใหญ่แห่งยุทธภพซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายแคว้นผู้นี้ก้าวออกไปเป็นก้าวที่สาม ก้าวนี้ก็ไกลหลายจั้ง
สายลับและนักรบเดนตายทั้งหลายที่ถูกแม่ทัพใหญ่ฉู่จัดตัวมาไว้ในเมืองเล็กที่ต่อให้มองดูอยู่ไกลๆ ในใจก็ยังสั่นสะเทือนไม่หยุด ใต้หล้ามีปราณกระบี่ที่เฉียบคมได้ขนาดนี้เชียวหรือ
ก้าวที่สี่ของซูหลางก็พ้นออกไปจากซุ้มป้ายหินของเมืองเล็กพอดี
ปณิธานกระบี่และพลังอำนาจทั่วทั้งร่างไต่ทะยานไปสู่จุดสูงสุดของวรยุทธที่ฝึกฝนมาชั่วชีวิต
ทว่าเวลานี้เอง ซูหลางกลับหยุดเท้ากะทันหัน
ห่างออกไปไกลมีมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งเดินมา
การที่ซูหลางหยุดเดิน ไม่ได้พุ่งไปหมู่บ้านวารีกระบี่เพื่อประชันกระบี่กับซ่งอวี่เซา ก็เพราะแขกไม่ได้รับเชิญที่จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าผู้นี้
เพราะว่าตอนที่คนผู้นี้ปรากฏตัว มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง วินาทีที่ซูหลางคิดจะชักไข่มุกมรกตในมือออกไป จิตใจที่เดิมทีซูหลางคิดว่าไร้จุดด่างพร้อยและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจกลับเหมือนจะปรากฎความสกปรกและการหยุดชะงักขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ดังนั้นซูหลางจึงเลือกที่จะหยุดเท้า ไม่เดินหน้าต่อ
แต่ปล่อยให้คนผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าตัวเองใน ‘ก้าวเดียว’
ซูหลางไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้ประชิดตัวกับผู้อื่นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยิ่งดี
คนที่สวมงอบผู้นั้นมองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่?”
คนผู้นั้นเปิดปากถาม “แต่ผู้อาวุโสซ่งไม่ได้ปฏิเสธการประลองกับเจ้าไปชัดเจนแล้วหรอกหรือ? สำหรับผู้อาวุโสในยุทธภพอย่างผู้อาวุโสซ่งนี้ นี่ถือว่ามีความหมายที่ใหญ่มากแล้ว แต่เจ้ายังคิดจะได้คืบแล้วเอาศอกอีก?”
ซูหลางรู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ไร้เดียงสาสิ้นดี แต่ละคำถามช่างน่าขัน ไม่ควรเป็นคำถามที่คนซึ่งสามารถขัดขวางอยู่เบื้องหน้าตนได้ชั่วคราวจะถามออกมา
คนผู้นั้นลังเลไปชั่วขณะ “ขอเพียงแค่มีหนึ่งเหตุผลโดยไม่สนว่าผิดหรือถูกก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาแล้วใช่ไหม?”
ซูหลางยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองหามาสักข้อสิ?”
คนผู้นั้นกลับทำท่าครุ่นคิดจริงจัง หลังจากนั้นก็จับประคองงอบ ยิ้มกล่าวว่า “คิดได้แล้ว เหตุผลคือเจ้าถ่วงเวลาการเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งของข้า”
สภาพจิตแห่งกระบี่ของซูหลางกลับคืนมาไร้จุดด่างพร้อยสมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองดูว่าจะขัดขวางกระบี่ของข้าได้หรือไม่”
หลังจากปล่อยหนึ่งหมัดออกไป
ก็ยังไม่อาจทำให้เฉินผิงอันใช้ยันต์ย่อพื้นที่ได้
เซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้นลอยหวือเป็นเส้นตรง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น สุดท้ายร่างไปร่วงกระแทกอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กที่เขาออกมาก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันไม่คิดจะชายตาแลทางฝั่งนั้นแม้สักครั้ง เขาหมุนตัวเดินกลับไปทางหมู่บ้านวารีกระบี่ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “น่าจะเพิ่งถึงขอบเขตเจ็ด? มิน่าเล่าถึงได้ไม่ต่างจากกระดาษเปียกเช่นนี้”
กลับไปที่หมู่บ้านวารีกระบี่อีกครั้ง
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูมึนงง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าประมุขผู้เฒ่าเท่านั้นที่ปรากฏตัว แม้แต่นายน้อยกับฮูหยินก็ยังมาที่นี่ด้วย
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
หรือว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นปรากฏตัวแล้ว?
แต่พอคนเฝ้าประตูผู้เฒ่าเห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่จากไปแล้วย้อนกลับคืนมาผู้นั้น ผู้เฒ่าก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที โอ้โห ไอ้หนูนี่หน้าหนาไม่เบา ช่างเถิด เห็นแก่เหล้ากานั้น จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรุ่นหลังคนนี้ก็แล้วกัน อีกอย่างใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ บางครั้งความหน้าหนาก็มีข้อดีของมัน
ในสายตาของคนเฝ้าประตูเฒ่ามองเห็นว่าคนหนุ่มที่ขยับเข้ามาใกล้ประตูใหญ่เรื่อยๆ ผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง แล้วก็เริ่มโบกมือมาแต่ไกล “ผู้อาวุโสซ่ง ไปกินหม้อไฟกันไหม?”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูเอามือลูบหน้า ไอ้หนุ่ม นี่ก็ออกจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?