Skip to content

Sword of Coming 494

บทที่ 494 พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

บุรุษที่เมื่อครู่นอนหลับอยู่ในร่องเว้าของก้อนหินริมลำธารสะบัดชายแขนเสื้อ น้ำในลำธารก็พลันเหมือนไข่มุกสีขาวหิมะที่พากันปลิวหายเข้าไปในน้ำ เขายิ้มถามว่า “คุณชายท่านนี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะเอาอย่างไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่มีเงินอะไรทั้งนั้น ไม่คิดจะแข่งขันกับเจ้า”

บุรุษมีสีหน้าปิติยินดี พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอรับน้ำใจเจ้า”

ทว่าจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตนนั้นกลับไม่สบอารมณ์ เขาใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นหนักๆ จากนั้นก็ยื่นนิ้วสองข้างถ่างอ้า แยกกันชี้ไปที่เฉินผิงอันและบุรุษเสื้อผ้าขาดวิ่น “ข้าผู้อาวุโสบอกแล้วว่าใครมีเงินคนนั้นก็เป็นลูกเขยของข้า ไม่มีน้ำใจอะไรให้พูดกันทั้งนั้น! เจ้าเด็กรุ่นหลังสวมงอบผู้นี้ลงมือทีใจกว้าง อีกทั้งข้ายังจงใจทดสอบนิสัยใจคอของเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าล้วนผ่านด่านมาได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ขาดแค่ข้าวสารยังไม่กลายเป็นข้าวสุกเท่านั้น เจ้าต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า!”

“หากบุตรสาวของข้าติดตามเจ้า ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่คงต้องกลัดกลุ้มเรื่องกินเรื่องอยู่ ได้สวมใส่เครื่องประดับเงินทอง ไม่แน่ว่าเมื่อเทียบกับนางกำนัลหญิงภายใต้การปกครองของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่แล้วอาจจะยังเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากกว่าเสียอีก ส่วนเจ้าขอทานผู้นั้น กินลมตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่นี่มานานหลายเดือน สภาพเส็งเคร็งเฮงซวยแค่ไหน ข้าผู้อาวุโสรู้กระจ่างชัดอยู่ในใจ ฟ้าดินกว้างใหญ่ยังไม่ใหญ่เท่าคำพูดวางโตของเจ้า ไม่ได้ๆ บุตรสาวของข้าคนนี้เกิดมาก็มีชะตาจะได้เสวยสุข ไม่อาจทนรับความยากลำบาก ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางทนมองบุตรสาวที่รักกระโดดลงหลุมไฟอย่างแน่นอน!”

เฉินผิงอันนับว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเดินทางท่องไปยังสถานที่ต่างๆ เคยได้เห็นเทพภูเขาแต่งภรรยา เคยเห็นปีศาจจิ้งจอกหลอกลวงบัณฑิต แล้วก็ยิ่งเคยได้เห็นเทพอภิบาลเมืองรับอนุภรรยา แต่กลับไม่เคยเห็นคนที่หาลูกเขยให้บุตรสาวส่งเดชขนาดนี้มาก่อน

บุรุษเนื้อตัวมอมแมมที่หน้าตาไม่โดดเด่นเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านพ่อตา บนร่างข้าไม่มีเงิน ไม่มีเงินเกล็ดหิมะแม้แต่เหรียญเดียว บุตรเขยไม่อาจหลอกท่านได้ลงคอ แต่ก่อนที่ข้าจะมายังหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เคยได้ทำการค้าครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งจริงๆ ร้ายกาจนักล่ะ วัตถุจื่อชื่อคลังอาวุธแห่งหนึ่ง กับเงินเทพเซียนและสมบัติอาคมมากมายที่อยู่ในนั้น หากเอาออกไปขายพร้อมกัน แท้จริงแล้วข้าก็ไม่จนเลย”

จิ้งจอกเฒ่าเดือดดาลอย่างหนัก ใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นแรงๆ อยู่หลายครั้ง แผดเสียงเต็มที่ “คิดจะหลอกข้าอีกแล้ว! ไสหัวไปให้พ้นเลย ดวงตาสุนัขคู่นี้ของข้าผู้อาวุโสเห็นแต่เงินอย่างเดียวเท่านั้น!”

เฉินผิงอันควักเงินเทพเซียนกำหนึ่งออกมา “บนร่างข้ามีเงินเทพเซียนอยู่แค่นี้เอง”

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกกล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “เด็กอย่างเจ้าพูดจาวกไปวนมา เหมือนมีไอหมอกบดบัง จนข้าไม่แน่ใจแล้วว่าจริงหรือเท็จ แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าขอทานผู้นั้น บุตรเขยของข้าก็คือเจ้าแล้ว! วันหน้าการแตกกิ่งก้านสาขาของเผ่าจิ้งจอกภูเขาตะวันตกของพวกเราก็ต้องพึ่งลูกเขยอย่างเจ้าแล้ว ฉวยโอกาสตอนที่ยังเป็นหนุ่มเรี่ยวแรงดีออกแรงให้มากๆ หน่อย ใช่แล้ว บุตรสาวคนนี้ของข้ามีชื่อว่าเหวยไท่เจิน นางยังมีน้องชายอีกคนชื่อว่าเหวยเกาอู่ เป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เข้าบ้านหลังไหนก็เป็นคนของครอบครัวนั้น วันหน้าเจ้าก็ต้องหัดดูแลน้องภรรยาให้มากสักหน่อย วันหน้าเมื่อออกจากหุบเขาผีร้ายไปอยู่ข้างนอกด้วยกัน มีโอกาสก็ช่วยหาสตรีตระกูลเซียนมาแต่งงานกับเขาสักสิบเจ็ดสิบแปดคน…”

แต่เฉินผิงอันกลับยื่นมือชี้ไปทางบุรุษผู้นั้น

บุรุษยิ้มอย่างรู้ใจ “เงินเทพเซียนพวกนี้ให้ข้ายืมก็ได้ หรือจะมอบให้ข้าเลยก็ยิ่งดี เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะมีเงินแล้ว”

จ้องจอกเฒ่ากลอกตาล่อกแล่ก คงไม่ได้เป็นผู้ช่วยที่เจ้าขอทานผู้นี้ไหว้วานให้มาร่วมมือกันหลอกบุตรสาวของตนหรอกนะ?

เด็กสาวที่หลบอยู่ด้านหลังร่มสีเขียวคันเล็กถามอย่างขลาดๆ “คุณชาย ข้าขอถามแค่เรื่องเดียว ท่านเคยเห็นปิ่นทองด้านล่างลำธารหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าตอบตามสัตย์จริง “ไม่เคยเห็น”

เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ นางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เรือนกายบอบบางอรชร ยังคงก้มหน้าหลบซ่อนอยู่ในร่มมรกต ร่มคันเล็กที่น่ารักงดงามเหมือนกับเจ้านายของมันมีรูโหว่ขนาดใหญ่เท่าก้อนหินรูหนึ่งทำให้ดูเสียบรรยากาศไปบ้าง อันที่จริงน้ำเสียงของเด็กสาวเยียบเย็น แต่กลับมีท่วงทำนองที่เย้ายวนตามธรรมชาติ คาดว่านี่น่าจะเป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของจิ้งจอกบนโลก “คุณชายอย่าได้ตำหนิท่านพ่อข้าเลย คิดเสียว่าได้ฟังเรื่องตลกก็แล้วกัน”

เด็กสาวกระตุกชายแขนเสื้อของจิ้งจอกเฒ่า พูดเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านพ่อ ไปกันเถิด”

ผู้เฒ่าตวัดตามองคนหนุ่มสวมงอบอย่างดุดันหนึ่งที ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจอมลวงโลก เขาจึงแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “เรื่องการแต่งงานจะทำเป็นเล่นไม่ได้ พวกเรากลับไปก่อนค่อยว่ากัน”

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกกับเด็กสาวถือร่มรีบร้อนพากันจากไป

เนื่องจากฝีเท้าสับสนวุ่นวาย น้ำเต้าสีเขียวมรกตที่ผูกไว้บนหัวไม้เท้าจึงแกว่งส่ายไม่หยุดนิ่ง

พอจิ้งจอกหนึ่งแก่หนึ่งเด็กจากไป ทางแถบของลำธารกลางภูเขานี้ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

ไม่มีนกกาบินผ่าน ภูเขาแม่น้ำเงียบสงัด แต่แท้จริงแล้วในความสงบร่มเย็นนี้กลับแฝงไว้ด้วยความเปลี่ยวร้างไร้ชีวิตชีวา

เฉินผิงอันเก็บเงินเกล็ดหิมะกำนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ

บุรุษผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “ถือว่าข้าหยางฉงเสวียนติดค้างน้ำใจเจ้าครึ่งหนึ่ง”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ ข้าแค่คิดว่ามีเรื่องเพิ่มมากขึ้นไม่สู้มีเรื่องลดน้อยลง”

บุรุษไม่เอ่ยอะไรอีก คงเป็นเพราะหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วจึงหามุมก้อนหินที่ค่อนข้างราบเรียบแล้วเอนตัวนอนเหม่อ

เฉินผิงอันปลดงอบจ้องนิ่งไปยังประกายแสงที่เหมือนแสงหิ่งห้อยยามค่ำคืนกลางธารน้ำเส้นนั้น

ในเมื่อมาเยือนภูเขากระจกวิเศษแล้ว แน่นอนว่าต้องหวังจะได้เจอโชควาสนาหรือไม่ก็สมบัติอาคม แม้ว่าจะมีความหวังไม่มาก แต่สรรพสิ่งอยู่ที่คนกำหนด ใต้หล้านี้ทรัพย์สินและโชควาสนาที่นอนเฉยๆ ก็พุ่งมาหามีอยู่ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นวิธีการหาเงินของผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งนกนางแอ่นคาบดินโคลน ดั่งมดที่ย้ายรัง หากโชคดีเจอเข้ากับโชควาสนาบนเส้นทางการฝึกตนก็ต้องมีความเสี่ยงมาพร้อมกับโชคลาภ จำเป็นต้องระวังแล้วระวังอีก ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องเดิมพันด้วยชีวิตอีกด้วย

ก็เหมือนกับคู่รักห้าขอบเขตล่างที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในตลาดด่านไน่เหอแล้วคู่นั้นที่ก่อนหน้าจะมาถึงสันเขาอีกาก็ได้พลิกๆ ค้นๆ ตามหามาตลอดทาง เจอกับความยากลำบากมากมาย แต่แท้จริงแล้วกลับหาเงินมาไม่ได้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว

หากยังเดินไปทางเมืองชิงหลูที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าอาจต้องตายกันทั้งคู่ ถึงเวลานั้นก็ไม่เสียแรงที่มีสถานะเป็นคู่บำเพ็ญตน เพราะต้องกลายเป็นคู่ยวนยางสิ้นชีพคู่หนึ่งอย่างแท้จริง

ส่วนชื่อ ‘หยางฉงเสวียน’ นี้ เฉินผิงอันไล่หาในสมองรอบหนึ่งก็ไม่เจอความทรงจำแม้แต่น้อย ในเมื่อไม่มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ถ้าอย่างนั้นก็จดจำไว้ก่อนแล้วกัน

น่าจะไม่ใช่เจ้านครวิญญาณวีรบุรุษที่เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ของหุบเขาผีร้าย หรือวิญญาณหยินแข็งแกร่งบางตนที่อยู่ในนครกรงขาวซึ่งฟังคำสั่งจากศูนย์กลาง แต่ยังคงสถานะของของการตั้งตนเป็นอิสระ

คิดดูแล้วน่าจะเป็นคนแปลกถิ่นที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่เหมือนกัน

ส่วนตบะนั้น ไม่อาจดูแคลน

เพราะเฉินผิงอันมองรากฐานและความตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

ก็เหมือนผู้เฒ่าชุดดำในกลุ่มคนที่เดินผ่านซุ้มประตูมาด้วยกันก่อนหน้านี้ที่เก็บแก่นของความคิดไว้ภายใน จิตวิญญาณที่แท้จริงถูกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำ เฉินผิงอันยังพอจะเดาออกว่าอย่างน้อยคนผู้นั้นก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินขอบเขตโอสถทอง

แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ เดิมทีหยางฉงเสวียนนี้ก็เป็นแค่นามแฝงนามหนึ่ง

สำหรับผูหรางแห่งนครกรงขาว ความกริ่งเกรงที่เฉินผิงอันมีต่อเขาส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะตบะของฝ่ายตรงข้ามสูงเกินไป

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด กับหยางฉงเสวียนผู้นี้ กลิ่นอายอันตรายที่เขามอบให้เฉินผิงอันยังมากกว่าผูหรางเสียอีก

ต่อให้เฉินผิงอันมองความตื้นลึกของคนผู้นี้ไม่ออก แต่ก็ยังพอจะสัมผัสได้ว่าเมื่อเทียบกับผูหรางที่เหมือนจะผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินแล้ว หยางฉงเสวียนยังขาด ‘ความหมายอีกเล็กน้อย’ บนเส้นทางของการฝึกตน และความเล็กน้อยนี้ก็มักจะกลายมาเป็นคูน้ำล้อมรอบธรรมชาติเสมอ

บุรุษที่เรียกตัวเองว่าหยางฉงเสวียนนอนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขายกขาขึ้นไขว้ห้าง ยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้ามาเพื่อโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของภูเขากระจกวิเศษล่ะก็ ข้าแนะนำเจ้าว่าเลิกคิดดีกว่า เรื่องของการมองน้ำตามหาสมบัตินั้น ข้าก็ขอบอกเจ้าว่าจงหยุดเมื่อพอสมควร มองนานไป ในนาทีใดนาทีหนึ่งจิตวิญญาณของเจ้าจะเยียบเย็นสั่นสะท้านไม่หยุด ร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง จิตวิญญาณไม่มั่นคง ดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ลำธารสายนี้ ยากที่จะเก็บกลับคืนไปได้อีก และท่ามกลางขั้นตอนนี้ คนที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปมีแต่จะไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว การที่ข้าบอกความลับที่ภูเขากระจกวิเศษกินดวงวิญญาณคนอย่างเงียบเชียบนี้แก่เจ้า ก็ถือเสียว่าข้าได้ชดใช้น้ำใจครึ่งหนึ่งที่ข้าติดค้างเจ้าก่อนหน้านี้คืนจนหมดแล้ว”

ลำธารในภูเขาสายนี้เกิดจากกระจกวิเศษที่ร่วงสู่พื้น นี่เป็นคำกล่าวที่ ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมาจงใจข่มขู่ผู้คน ไม่ใช่ว่าพวกตาแก่คร่ำครึทั้งหลายที่เคยไปมาหาสู่กับคนตายและสิ่งของในโลกมืดจะกังวลว่าคนนอกจะมาแย่งชิงโชควาสนา เพราะวัตถุชิ้นนี้ไม่เพียงแต่หายาก อีกทั้งผู้ฝึกตนทั่วไปที่ขึ้นภูเขามาหาสมบัติล้วนง่ายที่จะมีจุดจบกลายเป็นโครงกระดูกอยู่ใต้น้ำเหมือนกับพวกสัตว์ปีกและสัตว์บก กลายมาเป็นแก่นโชคชะตาของภูเขาแม่น้ำของที่แห่งนี้ ไม่เพียงเท่านี้ หากเป็นพวกเซียนดิน ดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งจะถูกกักไว้ในน้ำไม่อาจหลุดพ้น ส่วนจิตวิญญาณที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งหากไปเวียนว่ายในวัฏสังสาร ต่อให้มีโอกาสจุติไปเกิดใหม่ ได้กลับมาเป็นคนอีกครั้ง แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว จิตวิญญาณที่ไม่สมประกอบก็คือข้อห้ามใหญ่หลวง

“ส่วนเหตุใดข้าถึงสามารถมาฝึกตนอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าข้าเตรียมตัวมาก่อน”

หยางฉงเสวียนพูดแค่ครึ่งเดียว เพราะหากพูดมากไป อาจกลายเป็นว่าจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความกังขา เขากระดิกขาข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าคนนี้นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบเรียนรู้อะไรอย่างละนิดละหน่อย ปะปนหลากหลายไม่ถึงแก่น”

เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็ถอนสายตากลับคืนมา กลับมาสวมงอบใหม่อีกครั้ง

เขาคิดจะไปจากภูเขากระจกวิเศษเสียตั้งแต่ตอนนี้

วัตถุดิบวิเศษที่เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา พืชพรรณดอกไม้แปลกประหลาดในพื้นที่ลับภูเขาเซียน ต้องมีวิธีในการได้มาครอง และต้องมีวิชาในการดึงเอามา จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ พิถีพิถันในเรื่องฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีมากที่สุด

คนแบบไหน อยู่ในสถานที่แบบใด สภาพอากาศแบบไหน ช่วงเวลาใด ใช้วิธีเช่นไร แล้วใช้สมบัติลับอะไรมาบรรจุไป ล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น

ขอบเขตสูงไม่ได้หมายความว่าจะเพียงพอในการตัดสินทุกอย่าง

ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ มีบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเจ้านครเซียงสือต้องการช่วงชิงโชควาสนาบนภูเขากระจกวิเศษมาให้ได้ เพียงแต่ว่าเสียเวลามาร้อยกว่าปีก็ยังไม่สามารถหาทางไขปริศนาได้เจอ เขายังไม่ยอมเลิกรา ระดมกำลังพลอย่างเอิกเกริก นอกจากเหล่าภูตผีของนครตัวเองแล้วยังไปยืมวัตถุหยินพันกว่าตนมาจากอีกสามนครรอบด้านที่สนิทสนมกันด้วย จากนั้นก็ยังยืมยันต์มัลละที่มีไว้สำหรับใช้บุกเบิกที่ดินย้ายขุนเขาโดยเฉพาะมาจากผูหรางนครกรงขาวอีกกลุ่มหนึ่ง พยายามจะย้ายภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้ไป ย้ายภูเขาทั้งลูกไว้ไปที่นครเซียงสือของตน ทว่ากำลังคนและกำลังทรัพยากรถูกเผาผลาญไปนับไม่ถ้วน ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำอยู่ดี

นี่จึงแสดงให้เห็นถึงความยากในการช่วงชิงโชควาสนาในภูเขากระจกวิเศษนี้มา

หากคิดจะให้ภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์บนฝาผนังของนครปี้ฮว่า ‘หมายตา’ คงได้ต้องหวังพึ่งพาโชคชะตาอย่างเดียวเท่านั้น

ส่วนการคิดจะเอากระจกวิเศษบานนั้นไป แม้แต่ข้อที่ว่าต้องพึ่งอะไรกันแน่ก็ยังไม่อาจรู้ได้ สำนักพีหมาไม่รู้ หุบเขาผีร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน

เพียงแต่ไม่นานเฉินผิงอันก็เปลี่ยนความคิด จะดีจะชั่วก็ควรลองดูสักตั้ง

ความคิดคร่ำครึบางอย่างที่ฝั่งรากหยั่งลึกอยู่ในหัว ควรต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

ไม่ควรเอาแต่คิดว่าตนไม่สามารถคว้าโชควาสนาเพิ่มเติมอย่างอื่นมาได้

……

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกเดินลงจากภูเขากระจกวิเศษ มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งลูบหนวด เดินทอดถอนใจไปตลอดทาง

เด็กสาวใจลอยเล็กน้อย

ผู้เฒ่าพลันถามว่า “ไท่เจิน ไม่สู้แต่งให้กับแม่ทัพผีนครซานโต้วไปดีไหม? วัตถุหยินตนนั้น จะดีจะชั่วก็เป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญอันดับหนึ่งใต้บังคับบัญชาของเจ้านครซานโต้ว ไม่เหมือนกับวัตถุหยินทั่วไป เมื่อเทียบกับเจ้าพวกที่ชอบอ้าปากกว้างแดงฉาน หรือไม่ก็มีแต่โครงกระดูกไม่มีเนื้อแม้แต่ครึ่งตำลึงแล้ว ก็ยังนับว่าหน้าตาสมบูรณ์แบบ อยู่ในสถานที่แบบนี้ของพวกเรา จะบอกว่าเขาเป็นเด็กรุ่นหลังที่หน้าตาหล่อเหลาก็ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย”

เด็กสาวขมวดคิ้วกลัดกลุ้มอยู่ไม่คลาย

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจว่า “ใช่ ปีนั้นนักพรตที่เดินทางผ่านมาได้บอกว่าคู่ชีวิต สามีที่มีบุญสัมพันธ์กับเจ้าจะต้องเป็นคนที่มองเห็นปิ่นทองในธารลึก แต่นี่ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว สองร้อยปีกระมัง? หรือสามร้อยปี? หากนำไปวางไว้ในหมู่ชาวบ้านนอกหุบเขาผีร้าย อายุอย่างเจ้า หลานของหลานของหลานก็น่าจะแต่งงานมีเมียมีลูกกันไปหมดแล้ว…”

เด็กสาวเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด นางจึงบิดหมุนร่มคันเล็กสีเขียวมรกตที่มีรูโหว่เบาๆ หันหน้าไปมองทางกึ่งกลางภูเขาของภูเขากระจกวิเศษแล้วพึมพำว่า “ท่านพ่อ อย่าได้เร่งลูกเลย รออีกหน่อยเถิด อย่างมากสุดอีกร้อยปี หากยังไม่ได้เจอเขา ลูกก็จะแต่งกับใครก็ได้ตามใจท่าน”

ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแต่งกับคนที่มีเงิน ทางที่ดีที่สุดอย่าได้เป็นพวกเจ้าเล่ห์เกินไป แล้วก็ต้องมีความกตัญญู ต้องรู้จักทำดีต่อพ่อตาของเขาให้มากหน่อย นอกจากสินสอดทองหมั้นจะมีครบครันพร้อมสรรพแล้วยังต้องคอยกตัญญูต่อพ่อตาบ่อยๆ แล้วยังมีเจ้าอีกคน ออกเรือนไปแล้วก็อย่าได้ทำตัวเป็นน้ำที่สาดออกไปจริงๆ เด็ดขาด ครึ่งชีวิตที่เหลือนี้ของพ่อจะได้มีวันเวลาที่สุขสบายกับเขาบ้างหรือไม่ก็ล้วนต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้าและลูกเขยในอนาคตแล้ว”

เด็กสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พลันถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ จะเป็นอย่างที่แม่ทัพนครซานโต้วพูดจริงๆ หรือ หากลูกแต่งงานกับเขา เจ้านครซานโต้วก็จะช่วยสร้างศาลให้ท่านพ่อบนภูเขากระจกวิเศษ ให้ท่านได้เป็นเทพวารีที่ได้กินควันธูป?”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดของคนยังเชื่อถือไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคำพูดผีๆ ของผีเล่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและสายน้ำในหุบผีร้ายสูงศักดิ์แค่ไหน เจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? ทางเหนือและทางใต้มีเจ้านครมากมายขนาดนั้น แต่คนที่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีสักกี่คนกัน? แม้จะบอกว่าชาติกำเนิดอย่างพวกเรา คิดจะสร้างร่างทองกลายเป็นเทพภูเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่กล้าเพ้อฝันเด็ดขาด เพราะกฎของเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อกำหนดไว้ตายตัว ใครเล่าจะกล้าละเมิด ทว่าเทพน้ำของพื้นที่หนึ่งนั้น ยังถือว่าพอจะมีความหวังอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย พ่อรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีวาสนาเช่นนั้น พ่อได้แต่ฝึกวิชาเซียนสายน้ำจากตำราลับไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง แอบขโมยกินโชคชะตาน้ำของภูเขากระจกวิเศษ อาศัยวิธีที่โง่เขลามาค่อยๆ เพิ่มพูนตบะทีละนิด นี่ถือเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว”

เด็กสาวคลี่ยิ้มหวาน “ท่านพ่อ ท่านคงกลัวผจญกับความยากลำบากที่ต้อง ‘ร่างกายเหลือเพียงโครงกระดูกยืนตั้ง ดวงวิญญาณเหมือนถูกทอดอยู่ในกระทะน้ำมันร้อน’ ซึ่งต้องเผชิญยามที่ต้องกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระมัง?”

ผู้เฒ่าก็เป็นคนหน้าหนาคนหนึ่ง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ใต้หล้านี้ไม่ว่าจะคนเป็น สิ่งของไร้ชีวิตหรือภูตผีอย่างพวกเรา เมื่อได้มาเดินอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ก็ล้วนอยากวิ่งเข้าหาชีวิตที่ได้เสพสุขกันทั้งนั้น เหตุใดการกลายเป็นเทพของวิญญาณวีรบุรุษแห่งราชวงศ์ถึงง่ายกว่า นั่นก็เพราะว่ามีโชคชะตาแคว้นคอยให้การปกป้อง มีบุญกุศลอยู่ติดกาย ส่วนภูตผีที่คิดจะกลายเป็นเทพ เหตุใดถึงได้มีแต่ความยากลำบากเสี่ยงอันตราย แล้วยังต้องอยู่ไกลห่างจากวิถีทางโลก ไม่อาจสะสมผลบุญไว้ได้ ต้องเชื่อว่าบุญกุศลมาจากสวรรค์ ตลอดชีวิตที่พ่ออยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้มาเพิ่งจะได้เห็นคนเป็นสักกี่คนเชียว? พวกเขามีบุญกุศลกะผายลมเสียที่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่พอเจอคนหนึ่งก็ต้องทำร้ายพวกเขาให้ถึงตาย หลอกผู้ฝึกลมปราณมากมายขนาดนั้นให้ไปชมน้ำในลำธารกลางภูเขา ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาต้องถูกดึงไป ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ถึงช่วงเทศกาลชิงหมิง พ่อจะต้องท่องไปรอบภูเขากระจกวิเศษ ขุดดินจุดธูปครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าสนุกนักหรือ? นี่เป็นเพราะในใจพ่อมีความละอายต่างหาก”

อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าก็กระทืบเท้ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “ลูกสาวเจ้าหน้าตางดงามขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้านครทั้งหลายถึงไม่ถูกใจเจ้า? ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่นกกระจอกกลายเป็นหงส์ ได้เป็นภรรยาเอกที่ถูกต้องของเจ้านครคนใดเลย ต่อให้เป็นเมียน้อยที่ได้รับความโปรดปราน พ่อและน้องชายที่ไม่ได้เรื่องของเจ้าก็คงจะได้ดิบได้ดีเจริญรุ่งเรืองกันไปแล้ว ไหนเลยจะต้องมาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษที่แม้แต่นกก็ยังไม่อยากมาขี้ ได้แต่จ้องตากันไปมา รอความตายไปวันๆ เช่นนี้? อย่างเจ้าคนบ้าตันหาของนครเฟิ่นหลางผู้นั้นไง ก่อนหน้านี้ยังพูดปาวๆ ว่าจะยกเกี้ยวแปดคนหามมาสู่ขอเจ้าไปเป็นภรรยาที่ถูกต้อง แต่เหตุใดหลายปีมานี้ถึงได้ทำจิตใจให้สะอาดผ่องใสไร้ความปรารถนา ไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว?”

สีหน้าของเด็กสาวค่อนข้างจะไร้เดียงสา

คนอื่นชอบหรือไม่ชอบตน จะไปบังคับกันได้อย่างนั้นหรือ?

นางมีดวงตาที่งดงามมากคู่หนึ่ง

จิ้งจอกเฒ่าสะทกสะท้อนใจไม่หยุด เผ่าจิ้งจอกภูเขาตะวันตกนับวันจำนวนก็ยิ่งลดน้อยลงจนเหลืออีกแค่ไม่กี่ตัวแล้ว

ได้ยินมาว่าแจกันสมบัติทวีปมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เผ่าจิ้งจอกเจริญรุ่งเรือง ทว่าจิ้งจอกเฒ่าก็เชื่อมั่นว่าต่อให้บุตรสาวคนนี้ของตนไปที่นั่น ก็ยังต้องเป็นสาวงามที่ครองความงามเป็นอันดับหนึ่งของที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน

พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

บนลานหยกขาวหน้าประตูจวนของเจ้านครฟูนี่ แผ่นหยกส่องแสงแวววาวดุจกระจก ใสแจ๋วจนส่องเห็นตัวคน

เด็กหญิงคนหนึ่งกำสองมือเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าอก นางยู่หน้า เบ้ปาก มองรถลากที่เสียหายยับเยินฝั่งตรงข้าม น้ำตานางก็คลอเจียนจะหยด

โชคดีที่มาถึงบ้านของข้าผู้อาวุโสแล้ว

หลังจากที่เจ้านครฟูนี่ท่านนี้หนีเอาชีวิตรอดมาได้สองครั้งติดก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแม้แต่น้อย ความรู้สึกเดียวที่มีคือความเจ็บปวดใจ

ครั้งแรกอันที่จริงนางก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว รู้ว่าฝีมือตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในหุบเขาผีร้าย เจ้านครหลายคนที่ในประวัติศาสตร์มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด ทุกวันนี้ยังมีชีวิตสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องเป็นวัวเป็นม้าให้กับนครกรงขาว นครเซียงสือ มีชีวิตเทียบกับหมูหมากาไก่สักตัวก็ยังไม่ได้ ไก่และหมายังกล้าขัน กล้าเห่าใส่คนที่เดินผ่านทาง ทว่าผีใหญ่ที่เคยเป็นเจ้านครเหล่านั้น ทุกวันนี้กล้าหรือ?

แต่ว่าครั้งที่สอง มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายๆ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย ทว่ากลับทำให้ฟ่านอวิ๋นหลัวกลุ้มใจเป็นที่สุด

ติดค้างน้ำใจ ‘เซียนกระบี่กระดูกขาว’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งหุบเขาผีร้ายผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาต้องใช้คืนเสมอ

ไม่เคยมีครั้งไหนเป็นข้อยกเว้น

ฟ่านอวิ๋นหลัวสูดจมูก ยกมือเช็ดใบหน้า เดินอ้อมรถลากอันเป็นสมบัติที่รักไปหนึ่งรอบ เดี๋ยวก็ลูบตรงนี้ เดี๋ยวก็เช็ดตรงนั้นด้วยความเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด

คิดจะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จะต้องใช้เงินร้อนน้อยอีกหลายเหรียญ อยู่ในหุบเขาผีร้าย หากไม่ใช่ทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่ คิดจะหาเงินเทพเซียนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ยากเท่าใดกัน?

ทันใดนั้นฟ่านอวิ๋นหลัวก็ใช้หน้าผากโขกรถลาก เสียงตึงดังสนั่น

แล้วนางก็เริ่มร้องคร่ำครวญอย่างไร้น้ำตา

ทำเอาหญิงชราที่โชคดีมีชีวิตรอดกลับมาถึงเมืองยิ่งรู้สึกใจฝ่อ ตอนนั้นที่อยู่ในสันเขาอีกา นางกับพวกผีสาวทั้งสี่ที่สวมชุดชาววังเผ่นหนีแตกฮือกันไปสี่ทิศ บางคนโชคไม่ดี ประหนึ่งบ้านที่รูรั่วแล้วต้องเจอฝนตกติดต่อกันหลายๆ คืน ถูกผีโอสถทองตนนั้นลักพาตัวจากไป แบบนี้ไม่สู้ตายไปใต้คมกระบี่ของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเสียยังดีกว่า นางหลบซ่อนตัวได้เร็ว ภายหลังยังรวบรวมตัวนางกำนัลหญิงของนครฟูนี่มาได้อีกหลายคน ถือเป็นการทำความดีเล็กๆ ชดใช้ความผิด แต่ตอนนี้ดูจากท่าทางเช่นนี้ของเจ้านครแล้ว ในใจหญิงชราก็เต้นรัวราวกับตีกลอง เจ้านครมีท่าทางเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าจะให้นางเอาเงินส่วนตัวออกมาซ่อมแซมรถลากวิเศษคันนี้หรอกกระมัง?

ชั่วขณะนั้นหญิงชราก็ถึงขั้นเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนไปสวามิภักดิ์นครแห่งอื่นแล้ว

อยู่ในหุบเขาผีร้าย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้ง ส่วนกุ้งที่อยู่ระดับล่างที่สุดก็ได้แต่กินดินโคลน

หากเกิดสถานการณ์ที่สูญเสียกองกำลังทหารขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด ง่ายที่จะชักนำให้กลุ่มอิทธิพลโดยรอบจ้องเล่นงานตาเป็นมัน หากกองกำลังหลายฝ่ายแอบเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ ขึ้นมา โดนรุมทึ้งเมื่อไหร่ นครฝูนี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีจุดจบที่ต้องแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อย่างแน่นอน

อยู่ที่นี่ ขอแค่เป็นการเข่นฆ่า สิ่งที่กริ่งเกรงกันมากที่สุดก็คือสถานการณ์ชะงักงันไม่เดินหน้า หรือไม่ก็สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย เพราะมักจะมีกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ยิ่งกว่าฉวยโอกาสแทรกซอนเข้ามา สองฝ่ายที่ต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย หากสุดท้ายต้องกลายเป็นว่าตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นจะไม่เท่ากับว่าเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ ทว่าหากนครแห่งใดแห่งหนึ่งในหุบเขาผีร้ายตัดสินใจที่จะลงมือแล้วล่ะก็ ก็ความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าหลังจากชั่งน้ำหนักมาดีแล้วว่าตนเองจะได้กินเหยื่อที่หมายล่า ส่วนใหญ่ก็มักจะโจมตีเอาชีวิตในคราวเดียว โอกาสชนะมีมากถึงเก้าในสิบส่วน

แม้ว่าฟ่านอวิ๋นหลัวจะมีตบะเป็นโอสถทอง แต่เห็นได้ชัดว่ากองกำลังของนครฟูนี่ยังคงน้อยนิด ดังนั้นฟ่านอวิ๋นหลัวจึงชอบแสร้งวางท่าข่มขู่คนอื่นมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นนางเปิดเผยกับภายนอกแบบกึ่งเปิดกึ่งปิดว่าตนกับสำนักพีหมามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ตัวนางได้รับผู้ฝึกตนผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเมืองชิงหลูเป็นพี่ชายบุญธรรม แต่หญิงชราที่รู้รากฐานของนางดีกลับรู้ว่านางพูดจาเหลวไหลไปเอง เพราะหากอีกฝ่ายยอมรับในเรื่องนี้ อย่าว่าแต่พี่ชายบุญธรรมที่ถือว่าลำดับศักดิ์เท่ากันเลย ต่อให้จะเป็นพ่อบุญธรรมหรือแม้แต่บรรพบุรุษ ฟ่านอวิ๋นหลัวก็ยังยินดี โชคดีที่ผู้ฝึกตนท่านนั้นตั้งใจฝึกตนไม่สนใจเรื่องทางโลก เขาที่อยู่ในสำนักพีหมาก็เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีหวังบนมหามรรคาไม่ต่างจากหยางหลินของนครปี้ฮว่า จึงคร้านจะมาสนใจความคิดสกปรกน้อยนิดแค่นี้ของนครฟูนี่

คนในนครฟูนี่อย่างพวกนาง เดิมทีก็เป็นกองกำลังลำดับล่างสุดในบรรดานครมากมายทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายอยู่แล้ว ผีสาวที่ถูกพาไปยังสันเขาอีกากลุ่มนั้นล้วนเป็นคนสนิทของฟ่านอวิ๋นหลัวที่ต่อสู้เก่ง คราวนี้จึงกล่าวได้ว่านครฟูนี่เสียหายถึงรากฐานอย่างแท้จริง

ป๋ายเหนียงเนียงผู้นั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างสั้นคือหกปี อย่างยาวคือร้อยปีที่ได้แต่นอนแบ๊บอยู่ในนครอย่างร่อแร่ ขาดพลังการต่อสู้ไปส่วนหนึ่งยังไม่นับว่าเป็นอะไรได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเหนียงเนียงผู้นี้ก็ไม่ได้มีพลังการต่อสู้ที่สูงที่สุดอยู่แล้ว ทว่านางคือชู้รักที่เจ้านครเฟิ่นหลางแอบเลี้ยงดูไว้ภายนอก นี่เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนทั่วทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายต่างก็รู้กันดี ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร ภรรยาของเจ้านครท่านนั้นไม่เพียงแต่เป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้านคร นางยังเป็นคนที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง และเรื่องของป๋ายเหนียงเนียงนี้ก็ทำให้ทางนครเฟิ่นหลางเกลียดขี้หน้านครฟูนี่มาโดยตลอด

หญิงชราก้มหน้าลงน้อยๆ สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน กำลังคิดว่าถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ แต่ถ้าทำก็ต้องไปให้ถึงที่สุด ถ้างั้นก็ไม่สู้แอบขโมยอาวุธอันเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองไปสวามิภักดิ์กับฮูหยินของนครเฟิ่งหลางผู้นั้นดีหรือไม่?

ขอแค่นครเฟิ่นหลางฮุบกลืนนครฟูนี่เอาไว้ได้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งเจ้านครฟูนี่คนต่อไปก็อาจมีหวังว่าจะเป็นตน

นครน้อยใหญ่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายมีรวมกันทั้งหมดสามสิบหกแห่ง ส่วนใหญ่แล้วเจ้านครล้วนเป็นดั่งน้ำไหล ส่วนนครก็ดั่งสร้างขึ้นมาจากเหล็ก การผลัดเปลี่ยนเจ้านครก็แค่อาศัยความชื่นชอบของแต่ละคนมาเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เท่านั้น

นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของหุบเขาผีร้าย ว่ากันว่าแพร่มาจากนครจิงกวานกระดูกขาวแห่งนั้น จู่โจมเมืองบุกตีฐานทัพ ต่างฝ่ายต่างผลักไสปัดแข้งปัดขากันเอง ไม่ว่าเจ้าที่เป็นฝ่ายชนะจะถอนรากถอนโคน กลืนกินคนทั้งเป็น หรือสังหารภูตผี ก็ล้วนไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่ทำไม่ได้ก็คือไม่อนุญาตให้ทำลายล้างอย่างกำเริบเสิบสานจนเป็นเหตุให้นครแห่งหนึ่งกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง เว้นเสียแต่ว่ามีรากฐานและเงินทุน สามารถสร้างนครอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาใหม่บนซากปรักภายในสิบปี ไม่อย่างนั้นเมื่อสิบปีมาถึง แม่ทัพผีเซียนดินใหญ่หลายคนในนครจิงกวานจะนำทัพลงใต้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าแม้แต่หมูหมากาไก่ก็ไม่เว้นอย่างแท้จริง

หญิงชราลังเลตัดสินใจไม่ได้ แม้จะบอกว่านางมีแนวโน้มที่จะหักหลังนครฟูนี่และฟ่านอวิ๋นหลัวที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมากกว่า แต่ว่านางก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่ดี เรื่องสกปรกที่ขายเจ้านายเพื่อความรุ่งโรจน์ประเภทนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในหุบเขาผีร้าย ต่อให้ผลัดเปลี่ยนเจ้านายที่ถวายการรับใช้ก็ยังต้องถูกพวกขุนนางเก่าแก่ผู้มีคุณูปการผลักไสอย่างหนัก และใช้โอกาสนี้มาหาเรื่องอยู่ดี

ความหวังเพียงอย่างเดียวก็คือ เนื่องจากฮูหยินนครเฟิ่นหลางผู้นั้นเป็นสตรีเหมือนกัน ก็หวังว่านางจะไม่ถือสาความภักดีหรือไม่ภักดีพวกนี้

ฟ่านอวิ๋นหลัวพลันหยุดการกระทำที่เหมือนคนเสียสตินั้นลง นางหันมาทางหญิงชรา พูดอย่างน่าสงสารว่า “หลังจากเจ้าคนแซ่ผูของนครกรงขาวผู้นั้นช่วยเหลือข้าแล้วก็บอกว่าของบรรณาการของปีนี้และครั้งหน้าจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ฉางหมัวมัว เจ้าว่าเราจะทำอย่างไรกันดี? ด้วยกองกำลังที่พ่ายแพ้ยับเยินซึ่งเหลืออยู่น้อยนิดของนครฟูนี่ของพวกเรานี้ ตอนนี้จะไปหาของวิเศษที่พอเป็นหน้าเป็นตา พอจะเข้าตาของนครกรงขาวได้จากที่ไหน”

หญิงชราใจสั่น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้านคร นี่คือความโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย คือเรื่องดีจริงๆ ! ในเมื่อเจ้านครใหญ่ผูเปิดปากแล้ว อย่างน้อยภายในเวลาหนึ่งร้อยปี นครฟูนี่ของพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจรชั่วคนใดหมายหัวอีกแล้ว”

บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของฟ่านอวิ๋นหลัวยังคงเต็มไปด้วยพยับเมฆหนาครึ้ม “แต่รายได้ของนครฟูนี่ไม่พอกับรายจ่าย ต้องคอยควักทรัพย์สมบัติที่เป็นเงินทุนอยู่ทุกครั้ง ต่อให้ฝืนทนอยู่ได้ร้อยปี ตายช้าแต่ก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

หญิงชราได้แต่เค้นรอยยิ้ม เอ่ยปลอบใจนางว่า “เจ้านครไม่จำเป็นต้องหมดอาลัยตายอยาก เวลาร้อยปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ขอแค่โชคชะตาเข้าข้างสักครั้งสองครั้ง ไม่แน่ว่านครฟูนี่ของพวกเราอาจจะผลัดเปลี่ยนสถานะ กลายไปเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งทางทิศใต้ก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่เจ้านครต้องคอยดูสีหน้าของนครเซียงสือ นครเฟิ่นหลางเลย ไม่แน่ว่าแม้แต่เจ้านครฟูก็อาจจะต้องหันมาพึ่งพาท่าน”

ฟ่านอวิ๋นหลัวพยักหน้ารับ

นางยื่นนิ้วออกมาเกาตรงหัวตาเหมือนแมวน้อยลูบใบหน้าตัวเอง พูดอย่างกังขาว่า “ข้าเสียใจถึงขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดกันนะ แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าเลย”

หญิงชราบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้

ฟ่านอวิ๋นหลัวโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง เก็บรถลากไว้ในชายแขนเสื้อใหญ่ เดินไปทางประตูใหญ่ของจวนแล้วโหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้าจะไปเก็บฟางมาทำเป็นหุ่นคุณไสยทิ่มแทงให้เจ้าคนสารเลวสวมงอบผู้นั้นตายไปเลย!”

หญิงชราติดตามอยู่ด้านหลัง ความคิดแล่นเร็วจี๋

คำพูดประโยคนี้ของเจ้านครกำลังพูดกระทบกระเทียบตน? หรือว่าเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ?

ฟ่านอวิ๋นหลัวหยุดเท้าไม่เดินต่อ หันขวับกลับมาถามว่า “ใช่แล้ว คนผู้นั้นชื่ออะไรแล้วนะ?”

หญิงชรากล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้บอกชื่อแซ่ของตัวเอง”

ฟ่านอวิ๋นหลัวหยุดยืนนิ่ง อึ้งงันเป็นไก่ไม้ พลันยกสองแขนขึ้นโบก กระทืบเท้าสองข้างสะเปะสะปะ พูดด้วยความเจ็บใจขมขื่นเป็นที่สุด “แม้แต่หุ่นคุณไสยที่ข้าถนัดที่สุดก็ใช้การไม่ได้หรือ”

หญิงชรารู้สึกจนใจเล็กน้อย

ห้องส่วนตัวในจวนของเจ้านครแห่งนั้นมีหุ่นฟางตัวน้อยวางกองไว้ตั้งเท่าไหร่แล้ว มีครั้งไหนที่มันเคยใช้ได้ผลบ้าง?

เดิมทีฟ่านอวิ๋นหลัวก็ตัวเล็กเตี้ย อีกทั้งกระโปรงของนางยังใหญ่มาก เวลาที่เดินอยู่ในจวน อันที่จริงก็เหมือน…หัวไชเท้าที่เดินได้

……

ทางฝั่งของลำธารลึกกลางภูเขาของภูเขากระจกวิเศษ เฉินผิงอันที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดใช้วิธีการไปไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นหยิบเอาคันเบ็ดตกปลาของเกาะไผ่ม่วงทะเลสาบซูเจี่ยนออกมา พอเล็งวัตถุชิ้นหนึ่งใต้น้ำได้แล้วก็ไม่กล้าจ้องน้ำนานนัก เพียงไม่นานก็กลั้นหายใจทำสมาธิแล้วโยนเบ็ดตกปลาลงไปในน้ำ พยายามจะตกเอาโครงกระดูกขาวใสแวววาวหลายโครงที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมา หรือไม่ก็ตกเอาอาวุธอาคมผุพังที่ยังส่องประกายแสงสีทองอ่อนจาง จากนั้นก็กระตุกคันเบ็ดขึ้นจากลำธาร เพียงแต่เฉินผิงอันทดลองอยู่หลายครั้ง เขากลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าภาพที่เห็นใต้ทะเลสาบเหมือนกับเป็นเพียงภาพมายาที่ล่องลอยเท่านั้น ทุกครั้งที่เขายกคันเบ็ดขึ้นก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่า

เฉินผิงอันยังคงไม่เชื่อ เขาพยายามใช้อีกหลายวิธี แต่ก็ไม่อาจดึงของชิ้นใดออกมาจากใต้น้ำได้เลย รู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งกีดขวางที่ปราณวิญญาณในลำธารฟูมฟักขึ้นมาแล้วก่อตัวคล้ายกับค่ายกลภูเขาแม่น้ำ สุดท้ายยังหยิบยันต์ทำลายค่ายกลกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น เพื่อใช้สิ่งนี้เปิดเส้นทาง เขาโยนยันต์ลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนคันเบ็ดลงน้ำตามเส้นทางเล็กที่ถูกแหวก เพียงแต่ว่ายันต์เผาไหม้อยู่ในน้ำที่มีโชคชะตาน้ำหนักอึ้งและเยียบเย็นเร็วมาก และสุดท้ายก็ยังต้องกลับมามือเปล่าอยู่ดี

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ รู้สึกเสียดายยันต์ทำลายค่ายกลแผ่นนั้นเล็กน้อย

หยางฉงเสวียนที่นั่งอยู่บนก้อนหินสีขาวหิมะฝั่งตรงข้ามยิ้มกล่าวว่า “อย่าว่าแต่วิธีการที่เป็นลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ของเจ้าเลย ในประวัติศาสตร์มีผู้ฝึกตนเซียนดินไม่รู้กี่มากน้อยที่ใช้สมบัติอาคมทั้งหมดที่มี และยังมีผู้ฝึกตนบางคนที่ถึงขั้นเช่าขวดดื่มน้ำที่มีมูลค่าควรเมืองขวดหนึ่งมา เผาผลาญปราณวิญญาณ โคจรวิชาอภินิหาร ดูดเอาน้ำจากลำธารสายนี้ไปนับไม่ถ้วน น้ำในขวดดื่มน้ำใบนั้นมากพอจะท่วมกลบนครใหญ่ของราชวงศ์หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจดึงเอาของสิ่งใดออกมาจากลำธารนี้ได้ การค้าขายครั้งนั้น ขาดทุนอนาถ เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่ว่าเพราะอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หวังว่าสหายหยางจะช่วยไขข้อข้องใจให้ฟัง”

เดินทางท่องเที่ยวอยู่ภายนอก เรียกคนอื่นว่าสหาย นับว่าไม่ผิดกฎข้อห้ามมากที่สุด

หยางฉงเสวียนนอนอาบแดด รองสองมือสอดไว้ใต้ท้ายทอยต่างหมอน หรี่ตามองม่านฟ้าพลางเอ่ยเนิบช้า “ภูเขาหลายแห่งชอบให้สตรีที่หน้าตางดงามฝึกวิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เพื่อเป็นช่องทางในการหาเงิน บุรุษที่เป็นผู้ฝึกตนในโลกมองน้ำถ้วยนั้น ท่ามกลางม่านน้ำ เสน่ห์อันเย้ายวนน่าหลงใหลสารพัดรูปแบบของเหล่าเทพธิดาอยู่ใกล้ในระยะประชิด แทบจะเอื้อมมือคว้าถึง แต่ความจริงกลับอยู่ห่างตั้งเท่าไหร่? เอ็นตกปลาเส้นนี้ของเจ้าเล่ายาวเท่าไหร่ ยาวถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ไหม?”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูท่าข้าคงคิดมากเกินไปจริงๆ”

หยางฉงเสวียนกล่าว “สมบัติวิเศษบนโลกใบนี้ ก็มีแต่ประเภทที่เพิ่งปรากฎในโลกเท่านั้นที่พอจะถือว่าผู้ที่พบเห็นล้วนมีส่วนแบ่ง ส่วนภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมาได้มีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบย่ำเข้ามาในสถานที่เก่าแก่แห่งนี้ หากไม่พอจะมีโชควาสนาอยู่บ้าง ไหนเลยจะสามารถเก็บเอาเข้ากระเป๋าได้ง่ายขนาดนั้น ตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ที่นี่มาก็ได้แต่ต้องนั่งรออย่างยากลำบากเหมือนกันไม่ใช่หรือ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้า ปีนั้นวิธีที่โง่กว่านี้ข้าก็เคยใช้มาแล้ว ข้าถึงขั้นกระโดดลงไปในธารลึกโดยตรง คิดจะไปตรวจสอบก้นลำธารให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ผลกลับกลายเป็นว่าลงไปนั้นง่าย แต่ปีนกลับขึ้นมายาก ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ อีกนิดเดียวก็เกือบจะจมน้ำตายอยู่ในนั้นแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “สหายหยางช่างมีตบะที่สูงยิ่ง”

หยางฉงเสวียนถอนหายใจ “ก็แค่พอประมาณ ว่ากันว่าเจ้านครจิงกวานท่านนั้นเคยลงน้ำไปตรวจสอบบ่อลึกแห่งนี้นานถึงหนึ่งปี แต่ก็ยังไม่เจอปิ่นทองที่เป็นประตูพาไปสู่คันฉ่องบานนั้น แม้จะบอกว่าเจ้านครผู้นี้คือคนที่ตายไปแล้ว ถือว่าได้เปรียบกว่าคนเป็น แต่ต่อให้ข้าตายกลายเป็นผีไปแล้ว ข้าก็เชื่อว่าตัวเองคงทนได้ไม่ถึงหนึ่งปี”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ถึงอย่างไรน้ำของลำธารภูเขาสายนี้ก็มีปราณหยินเข้มข้น หากไปอยู่นอกหุบเขาผีร้าย เจอกับคนซื้อที่เหมาะสม ไม่แน่ว่าน้ำแค่ไม่กี่จินอาจจะขายได้หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ผู้ฝึกตนที่ปีนั้นใช้ขวดดื่มน้ำ ในขวดบรรจุน้ำในลำธารภูเขาไว้มากขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่ได้กำไรมหาศาล กลับกลายเป็นว่าขาดทุนย่อยยับเสียแทน?”

หยางฉงเสวียนยิ้มกล่าวว่า “น้ำนี้เมื่อออกไปนอกอาณาเขตของภูเขากระจกวิเศษ ปราณหยินก็จะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่ว่าซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ ไม่อย่างนั้นแล้วหากขโมยเอาน้ำของที่นี่ไปมากเกิน พอไปอยู่ข้างนอกก็จะเหมือนน้ำท่วมทำนบกั้น ปีนั้นก็เพราะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนผู้นั้นไม่ทันระวัง พอไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็เอาขวดดื่มน้ำระดับขั้นเท่าสมบัติอาคมชิ้นนั้นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ ขวดดื่มน้ำที่บรรจุน้ำไว้มากเกินไปไม่อาจต้านรับการโจมตีจากปราณหยินจึงระเบิดแตกคาที่ โชคดีที่ชายหาดโครงกระดูกอยู่ห่างจากลำคลองเหยาเย่ไม่ไกล หากเป็นที่อื่น ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่อาจโดนอริยะของสำนักศึกษาเอาโทษก็เป็นได้”

หยางฉงเสวียนยังกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “น้ำในลำธารภูเขาสิบจินที่ยังไม่ผ่านการหล่อหลอมชะตาน้ำ เอาไปขายที่ชายหาดโครงกระดูกด้วยราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้คือเจ้าต้องมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ นอกจากนี้ยังต้องมีสมบัติอาคมที่ลักษณะเหมือนขวดดื่มน้ำอีกหนึ่งถึงสองชิ้น ระดับขั้นอย่าสูงมากเกินไป เพราะหากสูงไปก็ง่ายที่จะทำให้เกิดเรื่องร้าย ระดับขั้นต่ำไปก็จะเปลืองพื้นที่ ผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงมาไม่กล้ามาดึงน้ำจากที่นี่ ส่วนคนที่เป็นเซียนดิน ไหนเลยจะเสียดายเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญ”

เฉินผิงอันจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แล้วกรอกน้ำในลำธารไว้ให้เต็มน้ำเต้า

ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัวที่ได้บุกเบิกจวนน้ำไว้แล้ว ตอนนั้นควักเงินซื้อน้ำชาอินเฉินจากร้านน้ำชาริมตลิ่งลำคลองเหยาเย่มาดื่มก็เพราะพิจารณาถึงการชดเชยปราณน้ำให้กับร่างกายตัวเอง หากสามารถบรรจุน้ำในลำธารภูเขาสายนี้ไว้ในน้ำเต้าได้ การมาเยือนภูเขากระจกวิเศษครั้งนี้ก็พอจะถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว

แต่ก่อนจะออกไปจากหุบเขาผีร้าย เขาสามารถกลับมาที่ภูเขากระจกวิเศษได้อีกรอบ ขวดดื่มน้ำในตำนานใบนั้นไม่ต้องคาดหวัง แต่เตรียมพวกขวดและไหมาให้มากสักหน่อย เอามาบรรจุน้ำในลำธารสักหลายๆ พันจิน พอกลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็ค่อยดูว่าจะสามารถทำการค้ากับเถ้าแก่ร้านน้ำชาแห่งนั้นได้หรือไม่ หากได้ก็ถือว่าเป็นรายรับที่ไม่น้อยก้อนหนึ่ง

หยางเสวียนฉงผู้นั้นชำเลืองตามอง ‘กาเหล้าสีชาด’ ในมือของเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วก็ให้ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก

“ขอบคุณสหายที่ช่วยบอก”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กุมหมัดเอ่ยว่า “ในเมื่อภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้วาสนากับข้า สหายหยาง ข้าขอลา”

หยางฉงเสวียนลุกขึ้นนั่งคล้ายจะแปลกใจอย่างมาก “จะไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วสวมงอบลงบนศีรษะให้ดี

หยางฉงเสวียนเอนตัวกลับลงนอนบนก้อนหิน แล้วเริ่มหลับตาพักผ่อน ครู่หนึ่งต่อมาก็ลืมตาขึ้น “ไปจริงๆ หรือนี่? ควรจะบอกว่าเจ้าเป็นคนทำอะไรเด็ดขาด หรือจะบอกว่าไม่มีน้ำอดน้ำทนดีเล่า?”

ก่อนหน้านี้ตอนที่คนผู้นั้นเก็บคันเบ็ดไม้ไผ่ไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้วัตถุฟางชุ่นโดยที่ไม่ได้จงใจจะปิดบัง

ก็เหมือนกับการที่เขายื่นเท้าลงน้ำอย่างใจกว้างที่แท้จริงแล้วก็คือการกระทำเล็กๆ ที่แสดงถึงความเป็นมิตร

อยู่ในอุตรกุรุทวีป หากอยากจะมีเรื่องมีราวให้น้อยลงก็ต้องหัดรู้จักที่จะเปิดเผยรากฐานของตัวเองออกมาเล็กน้อย

ไม่อย่างนั้นพวกมดตัวน้อยทั้งหลายที่ความสามารถมีไม่มาก แต่กลับเจ้าอารมณ์ เจ้าใช้ปลายเท้าบดขยี้อีกฝ่าย พวกเขาที่ต่อให้กำลังจะตายก็ยังสบถด่าอยู่ตรงนั้น ถ่มน้ำลายใส่หน้าเจ้า ให้ตายก็ไม่รู้จักเปลี่ยนสันดาน ฆ่าคนไม่อาจกินอิ่มแทนข้าวได้ เรื่องแบบนี้เจอบ่อยๆ เข้า ‘หยางฉงเสวียน’ ก็ยิ่งรู้สึกเอียน เพราะเบื่อหน่ายมากจริงๆ ถึงได้เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนมาเป็นคนที่ ‘เป็นมิตรกับผู้อื่น’ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกับจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตัวนั้น อีกฝ่ายปากพล่อยขนาดนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นตนในอดีต หากจิ้งจอกเฒ่าไม่ตายไปหนึ่งร้อยรอบก็ต้องมีแปดสิบรอบแล้ว

หลังจากที่จอมยุทธหนุ่มผู้นั้นไปจากภูเขากระจกวิเศษ อารมณ์ของหยางฉงเสวียนก็ดีขึ้นเล็กน้อย

มีประโยคหนึ่งของอีกฝ่ายที่พูดได้ตรงใจตนจริงๆ

มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่หยางฉงเสวียนจะไขว่คว้าโชควาสนามาครอง

เขาลุกขึ้นนั่ง หรี่ตาลง จ้องเขม็งไปยังบ่อลึกที่ราวกับว่าสามารถมองทะลุไปได้ในปราดเดียว

การคาดเดาที่ ‘รวมเล่มวางใจ’ มีต่อกระจกวิเศษบานนี้ผิดไปจากความเป็นจริง มันไม่ใช่กระจกใสแวววาวอะไรเลย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่กระจกส่องมารสมบัติล้ำค่าที่มีไว้เล่นงานพวกภูตผีปีศาจด้วย แต่เป็นกระจกซานซานจิ่วโหวบานหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว

และยิ่งเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง

พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

เฉินผิงอันออกจากภูเขากระจกวิเศษมาไกลมากแล้ว

เพื่อเดินทางมาเยือนภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ เฉินผิงอันจึงเดินอ้อมออกจากเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูมามากแล้ว

ดูท่าเรื่องของการเสี่ยงดวงนี้คงไม่เหมาะกับตนสักเท่าไหร่จริงๆ

หากเปลี่ยนมาเป็นลู่ไถหรือหลี่ไหวก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ออกจากภูเขากระจกวิเศษมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกเดินไปบนสันเขาสูงชัน ขยับเข้าไปใกล้เมืองชิงหลูมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณหยินโอสถทองและผีใต้บังคับบัญชาของมันไม่ยอมปรากฎตัวเสียที แต่นี่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรศึกที่สันเขาอีกาตนก็ไล่ฆ่าศัตรูด้วยอารมณ์ฮึกเหิมไปบ้าง จึงไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจที่แท้จริง ทางฝั่งของนครฟูนี่ที่มีฟ่านอวิ๋นหลัวซึ่งเป็นโอสถทองเป็นผู้นำก็เรียกได้ว่าพ่ายแพ้ยับเยินดุจขุนเขาถล่มทลาย เชื่อว่า ‘โจรบนหลังม้า’ ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถบหุบเขาผีร้ายมานานหลายปีกลุ่มนั้นคงไม่คิดจะเป็นฝ่ายออกมาหาเรื่องซวยใส่ตัวเอง

การเดินทางขึ้นเหนือผ่านภูเขาแม่น้ำมาได้อย่างไร้อุปสรรค ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่ที่อาจจะทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งตายก่อนวัยอันควรได้นั้น มักจะระมัดระวังตัว แค่มองดูเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ แล้วก็หดหัวกลับเข้ารังของตัวเองในป่าลึกไป

ยกตัวอย่างเช่นงูเหลือมยักษ์และปีศาจแมงมุมที่อยู่บนสะพานโซ่เหล็ก หากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่นั้นที่ผ่านทางมา บางทีแค่พบหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเสี่ยงอันตรายข้ามสะพานไปก็อาจเจอกับภัยที่นำความตายมาสู่ตัวแล้ว

ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหยุดพักเท้าอยู่ในป่าต้นท้อแห่งหนึ่ง

แน่นอนว่าป่าต้นท้อแห่งนี้ย่อมมีความประหลาด ไหนเลยจะมีหลักการที่ดอกท้อบานสะพรั่งในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้

เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันสะพายกระบี่มาหาประสบการณ์อยู่ในหุบเขาผีร้าย สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่ความแปลกประหลาดพิสดารต่างๆ นานา แต่กลัวว่าจะไม่พบเจอความผิดปกติใดๆ เลยต่างหาก

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ด้านนอกป่าท้อเห็นว่ามีป้ายศิลาสองแผ่นที่ขนาดสูงต่ำไม่เท่ากันตั้งอยู่ คล้ายกับเป็นเพื่อนบ้านคู่หนึ่งที่ไม่ถูกกัน บนแผ่นป้ายแบ่งออกเป็นสลักคำว่า วัดเยว่หยวนใหญ่ และอารามเสวียนตูเล็ก

หากไม่เป็นเพราะด้านหลังคำว่า ‘เสวียนตู’ ยังมีคำว่าเล็ก ให้ตายเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเดินเข้ามาในป่าท้อนี่เด็ดขาด

เพราะอารามเสวียนตูที่แท้จริงแห่งนั้นก็คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของตระกูลเซียนในใต้หล้ามืดสลัวที่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าลัทธิทั้งสามท่าน

เล่าลือกันว่าหลังจากที่เต๋าเหล่าเอ้อร์ได้กลายเป็นเจ้าลัทธิของสายหนึ่งแล้ว มีเพียงครั้งเดียวที่เขาใช้กระบี่เซียนเล่มนั้นในใต้หล้าซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง ก็คือที่อารามเสวียนตู

แม้จะแน่ใจว่าบนป้ายศิลาเขียนไว้ว่าอารามเสวียนตูเล็กจริงๆ ไม่ใช่สถานที่สำคัญของลัทธิเต๋าที่ขนาดอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังประดุจฟ้าผ่าแห่งนั้น แต่ก่อนที่เฉินผิงอันจะเข้ามาในป่าก็ยังเหยียบบนกระบี่บินชูอีสืออู่ ลอยตัวกลางอากาศก้มหน้าลงมองเบื้องล่าง เขาพบว่าป่าท้อแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวางไม่ต่ำกว่าพันไร่ น่าจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างประเภทวัดหรืออารามใดๆ

ป่าท้อแห่งนี้ ทางสำนักพีหมาไม่ได้บันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ แม้แต่คำเดียว

คิดดูแล้วก็น่าจะไม่มีปีศาจใหญ่หรือผีดุร้ายถึงจะถูก

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ารอบด้านไม่มีกิ่งไม้ท้อแห้งเลยแม้แต่ครึ่งกิ่ง มีเพียงพุ่มใบบนยอดไม้ที่หนาจนเกินจริง ดอกท้อผลิบานสะพรั่ง นี่ไม่ได้ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งสดชื่นแล้ว เพราะพอดมนานๆ เข้า กลิ่นของมันกลับเข้มข้นจนทำให้คนรู้สึกเอียน

เฉินผิงอันปลดงอบลง นั่งขัดสมาธิ คีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ขยี้เบาๆ ยันต์ก็ติดไฟช้าๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของมันไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเส้นทางของหุบเขาผีร้าย ดูท่าแล้วปราณดุร้ายของสถานที่แห่งนี้คงจะปกติจริงๆ เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วป่าท้อแห่งนี้กลับเกินกว่าเหตุไปบ้าง เฉินผิงอันปล่อยนิ้วทั้งสอง ค้อมเอววางยันต์ไว้ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นก็เริ่มตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น เหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งว่ายวนไปตามช่องโพรงแห่งต่างๆ ช่วยป้องกันไม่ให้กลิ่นหอมของที่แห่งนี้รุกรานเข้ามาในร่างกายได้พอดี แต่ขออย่าให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันก็แล้วกัน

ใต้พื้นดินมีเสียงหัวเราะใสปานกระดิ่งเงินของสตรีดังมาระลอกหนึ่ง

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เสียงหัวเราะเริ่มหยุดลง เปลี่ยนมาเป็นถ้อยคำอ่อนหวานแทน “หนุ่มน้อยท่านนี้ช่างหน้าตาหล่อเหลานัก เข้ามาในกระโจมชมพูของข้า สูดดมกลิ่นหอมของเส้นผมข้า นับว่ามีวาสนาด้านความรักไม่น้อย หากข้าเป็นเจ้าจะไม่จากไปไหนอีกแล้ว จะอยู่ที่นี่ไปทุกชาติทุกภพ”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนพื้นมีไอน้ำชั้นหนึ่งแผ่ระเหยขึ้นมา แต่กลับไม่ลอยขึ้นสูง เพียงแค่ลอยไปลอยมาในระดับความสูงต่ำกว่าหนึ่งฉื่อ

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดสำนักพีหมาถึงได้จงใจละเว้นปีศาจต้นท้อเช่นเจ้า?”

ต้นไม้ตลอดทั้งป่าท้อเริ่มส่ายโงนเงนประหนึ่งสาวงามสวมชุดกระโปรงสีชมพูหลายคนพากันร่ายรำ

ราวกับว่าต้นท้อนับพันนับหมื่นต้นของที่แห่งนี้เป็นเพียงเส้นผมของนางเท่านั้น

เฉินผิงอันพบว่าทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของตัวเองเริ่มส่ายไหวแล้วเช่นกัน

ไม่รู้ว่านางซ่อนอยู่ที่ใด มีเพียงเสียงหัวเราะพลิ้วหวานล่อลวงใจคนที่ดังมาให้ได้ยินไม่หยุดจากใต้ดิน “แน่นอนว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมากลัวข้าอย่างไรล่ะ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก? หนุ่มน้อยเจ้าช่างหล่อเหลายิ่งนัก แต่กลับโง่ไปหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นคู่ตุนาหงันที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งแล้ว”

ครู่หนึ่งต่อมา นางพลันหยุดหัวเราะ เอ่ยถามว่า “เอ๊ะ? เหตุใดตัวเจ้าไม่ขยับ ใจก็ไม่หวั่นไหวด้วยเล่า? หรือว่าเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้โกนผม? เป็นนักพรตจมูกวัวที่ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋า?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากยังเล่นผีหลอกเจ้าอยู่อีก ข้าจะตัดต้นท้อทั้งหมดทิ้ง ถือเสียว่าเป็นการฝึกกระบี่ ให้เจ้าได้เป็นแม่ชีเสียเดี๋ยวนี้”

นางไม่โกรธกลับยังหัวเราะ เอ่ยอย่างลิงโลดว่า “ดีสิๆ ข้าผู้น้อยขอน้อมรับวิชากระบี่ตระกูลเซียนของท่านหนุ่มน้อย”

เฉินผิงอันทอดสายตามองไป

นักพรตน้อยที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นคนหนึ่งย่อพื้นที่พุ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาขาวนวลริมฝีปากแดงก่ำ ปราณที่แท้จริงท่วมท้น ไม่อาจปกปิดสติปัญญาความฉลาดเฉลียวที่เอ่อล้นออกมาภายนอกได้

ไม่นึกว่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง

นักพรตชำเลืองตามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเย็นชา “สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนที่อาจารย์และสหายปลูกกระท่อมอยู่เคียงข้างกัน ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมาได้ถูกหุบเขาผีร้ายให้การยอมรับว่าเป็นดินแดนสุขาวดีนอกโลก ไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน ต่อให้เป็นผูหรางแห่งนครกรงขาว หากไม่มีธุระเร่งด่วนก็จะไม่มีทางเข้ามาในป่าง่ายๆ เจ้าเป็นแค่คนที่มาฝึกประสบการณ์คนหนึ่ง จะมางัดข้อเอาอะไรกับภูตท้อเล็กๆ ตนหนึ่ง รีบไปซะ!”

เห็นได้ชัดว่าภูตท้อตนนั้นกริ่งเกรงในตัวนักพรตน้อยผู้นี้อย่างมาก เพียงแต่ว่าคำพูดที่พึมพำออกมากลับแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองน้อยๆ “ดินแดนสุขาวดีนอกโลกอะไรกัน ก็แค่ร่ายใช้วิชาอภินิหารตระกูลเซียนมาบังคับกักขังข้าไว้ที่นี่ จะได้ให้ช่วยปกป้องปราณวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ในวัดและอารามไม่ให้ไหลออกไปสู่ภายนอกก็เท่านั้น”

“บังอาจ!”

ใบหน้าของนักพรตน้อยดุดัน สะบัดแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้งก็มีสายฟ้าหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งระเบิดพุ่งลงไปใต้ดินในเสี้ยววินาที ภูตต้นท้อที่อยู่ลึกใต้ดินร้องโหยหวนเสียงอู้อี้ ดอกท้อที่อยู่บนต้นร่วงกราวลงมาเป็นสาย

เฉินผิงอันเริ่มจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว

ในหุบเขาผีร้ายจะต้องมียอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาส่วนหนึ่งที่ไม่กลัวปราณหยินชั่วร้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ กลับกันคือพวกเขายังต้องอาศัยปราณหยินที่ตลบอบอวลอยู่ภายในฟ้าดินแห่งนี้มาขัดเกลาตบะของตัวเองด้วย

นักพรตน้อยยังคงไม่หายแค้นจึงสะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกรอบ สายฟ้ายิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ถักทอกันเป็นตาข่ายตระกูลเซียนปากหนึ่งที่ผลุบหายลงไปใต้ดิน ใต้ดินพลันเกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอกทันที “สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา! หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ของข้ามีพระคุณแก่เจ้า ภูตต้นท้อเล็กๆ ที่เป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างเจ้าจะหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างไร? แล้วยังแอบฟังอาจารย์ข้าถกปัญหาธรรมกับสหาย อาศัยโอกาสนี้ถึงได้ค่อยๆ ฝึกตนจนเป็นขอบเขตประตูมังกร เจ้าภูตลืมกำพืดของตัวเอง…”

ภูตต้นท้อร้องโหยหวนไม่หยุด ขอร้องให้นักพรตน้อยที่ลงมืออย่างดุดันผู้นั้นเมตตามัน

นักพรตน้อยยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ สะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกครั้ง ทำให้จุดลึกของทะเลเมฆเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด เตรียมจะปล่อยสายฟ้าที่มาจากวิชาลับของลัทธิเต๋าสายหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า ให้มาสั่งสอนภูตต้นท้อตัวนั้น

เฉินผิงอันจึงได้แต่เปิดปากเอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อยโปรดระงับโทสะ ข้าจะไปจากป่าท้อเดี๋ยวนี้”

ก้อนเมฆสีดำทะมึนก้อนหนึ่งลอยออกมาจากทะเลเมฆเพียงลำพังแล้วลดระดับลงเบื้องล่าง มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน พลังอำนาจน่าตะลึงอย่างยิ่ง

นักพรตน้อยแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะพวกเราฝึกตนอยู่ในป่าท้อแห่งนี้ เจ้าที่บุกเข้ามาที่นี่โดยพลการ ป่านนี้ก็คงถูกภูตต้นท้อที่เกิดมาก็เชี่ยวชาญวิชาล่อลวงใจคนตนนี้ดูดกินปราณหยางพลังต้นกำเนิดไปจนสิ้นแล้ว เจ้าคนไม่รู้จักดีชั่ว ยังจะเกิดใจสงสารมันอีกหรือ อาจารย์กล่าวถูกแล้ว มนุษย์ธรรมดาที่วันๆ ถูกอาบย้อนด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์อยู่ภายนอกอย่างพวกเจ้า…”

เฉินผิงอันชักเท้าข้างหนึ่งถอยหลังแล้วปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่จุดสูงของทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว เขาใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต่อยให้สายฟ้าที่กำลังก่อตัวอยู่ในก้อนเมฆแหลกสลาย พลังอำนาจกระจัดกระจายไปสี่ทิศประหนึ่งมีลมพายุพัดอยู่บนภูเขา ป่าท้อบนพื้นดินที่ติดร่างแหไปด้วยจึงถูกลมพัดกระโชกจนดอกท้อสีแดงสดยิ่งร่วงระนาวราวกับสายฝน

นักพรตน้อยขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่าย ก็แค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น

ปรมาจารย์น้อยวิถีวรยุทธที่อายุน้อยเพียงเท่านี้เองหรือ? ดูจากพลังอำนาจของหมัดเมื่อครู่นี้ทั้งกระชับแน่นและยิ่งใหญ่ทรงพลัง แม้ว่าจะยังไม่ใช่ขอบเขตร่างทอง แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่มากแล้ว

แต่นักพรตน้อยเองก็ลืมไปว่า ทำไมตัวเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยัง ‘อายุน้อยเพียงเท่านี้’ คนหนึ่งเหมือนกัน

แม้จะบอกว่าเป็นเพราะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตเร็วเกินไป ตอนนั้นอาจารย์ได้อธิบายถึงความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายบนเส้นทางของการฝึกตน เคยถามเขาว่าจะอาศัยโอกาสนี้มาคงสภาพรูปโฉมของตัวเองเอาไว้หรือไม่ ตอนนั้นเขายังเด็กไม่รู้ความ รู้สึกว่าเรือนกายเป็นเพียงแค่เนื้อหนังที่เน่าเหม็น ในเมื่อไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนในวันหน้า ถ้าอย่างนั้นหากไม่ต้อง ‘เติบโต’ อีกก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย นับจากนั้นมารูปร่างของเขาก็ถูกกำหนดไว้แน่นอน ช่วงเวลาหกสิบปีหลังจากนั้น ‘นักพรตน้อย’ ก็เกือบจะต้องเสียใจจนไส้เขียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้ร่างกายเติบโตจนถึงช่วงอายุยี่สิบของบุรุษก่อนแล้วค่อย ‘หยุดชะงัก’ ถึงจะถูก

ดังนั้นทุกครั้งที่เขาแอบออกไปผ่อนคลายอารมณ์ภายนอกแล้วได้เจอกับฟ่านอวิ๋นหลัวที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงก็จะต้องหงุดหงิดอย่างมาก หลวงจีนผู้เฒ่าคนนั้นยังจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิง พูดสัพยอกว่าเขากับฟ่านอวิ๋นหลัวสมกับเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกจริงๆ

เฉินผิงอันเก็บหมัดแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เหตุผลที่เจ้ากล่าวมานั้นถูกต้อง แต่เรื่องของการใช้เหตุผลนั้น หากเพื่อให้อีกฝ่ายฟังเข้าหูอย่างแท้จริง หาใช่เพื่อให้ตนเองสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นอารมณ์และน้ำเสียงก็ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ อารมณ์นิ่งสงบสักหน่อย น้ำเสียงเป็นมิตรสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องร้าย”

ภูตต้นท้อที่ตกใจจนเกือบขวัญหนีดีฝ่อรีบพูดคล้อยตามทันที “มีเหตุผลๆ ประโยคนี้ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย”

นักพรตน้อยที่คล้องพู่สีขาวหิมะซึ่งตัวด้ามจับทำมาจากกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษไว้ตรงแขนลังเลตัดสินใจไม่ได้

พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็รบราฆ่าฟันกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนของอารามเสวียนตูเล็กสมควรทำ

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธที่มาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้าย สองฝ่ายประมือแลกเปลี่ยนความรู้กันก็ไม่น่าจะผิดไม่ใช่หรือ? อาจารย์คงไม่กล่าวโทษกระมัง?

และเวลานี้เอง มัลละเกราะทองตนหนึ่งก็เดินก้าวเข้ามา มองไปยังแผ่นหลังของนักพรตน้อยแล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “สวีส่ง เจินจวินเชิญคุณชายท่านนี้ให้ไปพบที่อาราม”

นักพรตน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคนผู้นี้มีคุณธรรมมีความสามารถใดถึงสามารถเข้าไปในอารามเสวียนตูเล็กของพวกเราได้?”

มัลละเกราะทองทำเป็นมองไม่เห็นไฟโทสะที่ผุดขึ้นสามจั้งของนักพรตน้อย เขาหันหน้าไปหาเฉินผิงอันที่เพิ่งจะสวมงอบลงบนศีรษะ “คุณชายท่านนี้ เจินจวินของข้าขอเชิญเจ้า หากไม่รีบร้อนเดินทางก็สามารถไปดื่มน้ำชาดอกท้อพันปีที่อารามเสวียนตูเล็กของพวกเราถ้วยหนึ่งได้”

เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “จับผลัดจับผลูเข้ามาในป่าท้อก็ถือว่ารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเจินจวินพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่กล้าไปรบกวนถึงที่อารามศักดิ์สิทธิ์จริงๆ จะจากไปเดี๋ยวนี้”

มัลละเกราะทองพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่รั้งไว้ วันหน้าหากอยากจะเข้ามาดื่มชาในอารามก็แค่มาที่นี่แล้วออกคำสั่งแก่ภูตต้นท้อ ให้มันนำทางเจ้าไป”

เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินออกมาจากป่าท้อ

นักพรตน้อยที่มีนามว่าสวีส่งแค่นเสียงหยันในลำคอ “ไปเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำชาดอกท้อที่แม้แต่เจ้าโครงกระดูกผูผู้นั้นก็ยังเคยดื่มแค่สามครั้ง!”

ภูตต้นท้อที่อยู่ใต้ดินเอ่ยประจบขึ้นว่า “ใช่แล้วๆ คนผู้นี้มีตาแต่ไร้แวว ขนาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้ายังปล่อยให้พลาดไปได้ คราวหน้าหากมาที่ป่าท้ออีก ข้าจะหลบเขาซะ ไม่ให้เขาเจอตัวได้”

สวีส่งกล่าวอย่างเดือดดาล “คำสั่งของอาจารย์ เจ้ากล้าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ อย่างนั้นหรือ?!”

ภูตต้นท้อรีบพูดวิงวอนทันใด “มิกล้าๆ มิกล้าเด็ดขาดเลย”

ในอารามเต๋าโบราณงดงามที่ปลูกต้นท้อไว้รอบด้านแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าที่มีเส้นผมสีขาวโพลนแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ท่านหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับภิกษุเฒ่าเรือนกายผ่ายผอมคนหนึ่ง ภิกษุเฒ่าผอมจนเหมือนท่อนฟืนแห้ง แต่กลับสวมใส่จีวรที่ตัวใหญ่มากเป็นพิเศษ

นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมัดนี้เป็นอย่างไร?”

ภิกษุเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “แกร่งเกินไปก็หักง่าย”

นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองชาถ้วยหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะแล้วถามอีกว่า “เจ้าคิดว่าต้องเก็บน้ำชาดอกท้อถ้วยนี้ไว้หรือไม่? เจ้าเดาว่าคนหนุ่มจะย้อนกลับมาที่ป่าท้ออีกครั้ง มาดื่มชาถ้วยนี้ให้หมดหรือไม่?”

ภิกษุเฒ่าสีหน้าเฉยชา “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”

นักพรตเฒ่าไม่ได้สวมกวานเต๋า เพียงผูกผ้าขาวไว้บนมวยผมเท่านั้น ชุดคลุมเต๋าบนร่างก็เก่าและธรรมดา ไม่มีมาดของตระกูลเซียนเลยแม้แต่น้อย

เขาถอนหายใจเบาๆ “เทพหญิงสามท่านของนครปี้ฮว่าพากันเดินออกจากภาพวาด ติดตามเจ้านายของใครของมันไปหมดแล้ว แล้วยังมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของทวีปอื่นที่จับมือบุกเข้ามาในหุบเขาผีร้ายพร้อมกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง ไปเยือนนครจิงกวาน อีกทั้งยังมีลางว่าหยางฉงเสวียนจะคว้าจับโชควาสนาเอาไว้ได้ หากผูหรางผู้นั้นก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกจนจู๋เฉวียนลงมือด้วยตัวเอง หุบเขาผีร้ายแห่งนี้ก็คงเละกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งจริงๆ และหลังจากนั้นก็ไม่แน่ว่าดินแดนสุขาวดีที่มีเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรานี้อาจไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย”

ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งพยักหน้ารับ “เจินจวินมองการณ์ไกล”

ได้ยินสองคำว่าผูหราง ภิกษุเฒ่าก็สวดมนต์อยู่ในใจ

อันที่จริงนักพรตเฒ่าสังเกตเห็นความผิดปกติในสภาพจิตใจของอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้รากฐานของกันและกันดีจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก

นักพรตเฒ่าทอดสายตามองไปไกล “เจ้าว่าสำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา แม้แต่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายยังพร่าเลือนแล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกที่ในฟ้าดิน ไยมิใช่กรงขัง? ยิ่งไม่รู้ จิตใจก็ยิ่งสงบได้ง่ายเท่านั้น พอรู้แล้ว จะทำใจให้จิตใจสงบอย่างแท้จริงได้อย่างไร”

ภิกษุเฒ่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พนมมือก้มหน้า เผยให้เห็นฝ่ามือสองข้างที่แม้จะผอมแห้ง แต่กลับเป็นสีทองอร่าม “พระธรรมของอาตมา แม้แต่จะประคับประคองจีวรตัวนี้ยังไม่ได้ แล้วจะไปพบศาสดาพุทธเพื่อถามคำถามที่เป็นปริศนายากจะคลี่คลายมานับพันปีข้อนี้ได้อย่างไร”

ภิกษุเฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ พนมสิบนิ้วคารวะ

นักพรตเฒ่าไม่พิถีพิถันในเรื่องมารยาทยิบย่อยกับสหายผู้นี้ เขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

ภิกษุเฒ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไป ย้อนกลับไปยังวัดหยวนเยว่ใหญ่แห่งนั้น ที่นี่ก็ไม่ต่างจากอารามเสวียนตูเล็กที่รอบด้านต่างก็เป็นป่าท้อ จวนตระกูลเซียนที่ถือว่าเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านในนั้น หากไม่ใช่ก่อกำเนิด ไม่ว่าใครก็ตามที่ต่อให้มาเดินวนในป่าท้อแห่งนี้พันปีก็ไม่มีทางพบเจอจวนแห่งนี้ และไม่มีทางเดินเข้าไปได้

ในวัดมีเสียงสวดภาษาบาลีดังแว่วมา มีภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌานอยู่บนเบาะรองนั่ง มีภิกษุที่ก้มหน้าก้าวเดินเนิบช้าอยู่ในระเบียง มีสามเณรน้อยที่กำลังกวาดพื้นใต้ต้นไม้อย่างขมีขมัน ต่างคนต่างง่วนทำงานของตัวเองไป ไม่มีใครสื่อสารกันด้วยภาษา

ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งยืนอยู่ที่เดิม ในสายตาของเขา ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นเพียงโครงกระดูกขาวโพลนเท่านั้น

พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

อ้อมผ่านตำหนักหลักอันโอ่โถงโอฬารที่มีไอเมฆหมอกอบอวลจนมองไม่เห็นพระพุทธรูปสีทองแห่งนั้นมา ภิกษุเฒ่าก็ยกสองมือขึ้นพนม สีหน้าจริงใจ เดินไปข้างหน้าเงียบๆ

ข้างกายของภิกษุเฒ่าที่เป็นอรหันต์ร่างทองจนแทบจะสมบูรณ์แบบท่านนี้ทยอยกันมีภิกษุที่หน้าตาเหมือนเขาแต่อายุแตกต่างกันปรากฏตัวขึ้นมาคนแล้วคนเล่า บนร่างสวมห่มจีวรที่แตกต่างกันออกไป รวมแล้วมีห้าท่าน แต่ละคนที่ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่าต่างก็เอ่ยคำถามที่ไม่ซ้ำกัน เพียงแต่ว่าภิกษุเฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ภิกษุหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดายว่า “เหตุใดถึงไม่ดื่มน้ำชาดอกท้อถ้วยนั้น? ดื่มแล้วก็ไม่ต้องฝึกตนอีกนานหลายปี! ได้ขยับเข้าใกล้สุขาวดีของพุทธศาสนาอีกหนึ่งก้าว ต่อให้แค่ครึ่งก้าวก็ยังดี”

ภิกษุวัยกลางคนผู้หนึ่งมีท่าทางเดือดดาล แผดเสียงใส่ภิกษุเฒ่าดั่งเสียงฟ้าคำรณ “เจ้าฝึกธรรมะภาษาอะไรกัน? หุบเขาผีร้ายมีภูตผีมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่ไปปลดปล่อยพวกมัน!”

ภิกษุท่านหนึ่งที่สวมจีวรงดงามหรูหรามีสีหน้าหยิ่งทระนง เขาเหล่ตามองภิกษุเฒ่าแล้วพ่นเสียงออกจมูก “ฝึกตนอย่างยากลำบากเช่นนี้ หาใช่วิธีการที่ถูกต้องไม่”

หลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งที่ทั้งรูปร่างหน้าตาและอายุล้วนใกล้เคียงกับภิกษุเฒ่ามากที่สุดถามเบาๆ ว่า “เจ้าคือข้า? ข้าคือเจ้า?”

สุดท้ายภิกษุหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวยืนหันหลังให้กับภิกษุเฒ่าที่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าหนักแน่นตลอดเวลา ภิกษุหนุ่มมองรั้วไม้ไผ่มุมหนึ่งที่ดอกท้อบานสะพรั่งแล้วพึมพำอย่างลุ่มหลงว่า “ดอกท้อนอกรั้วไม้ใกล้บานโผล่พ้น ยลแล้วงดงามอร่ามตา”

ร่างกายของภิกษุเฒ่าหยุดชะงักเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ครู่หนึ่งต่อมาฝีเท้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง

หากไม่เงยหน้าขึ้น คนธรรมดาที่เข้ามาในวัดแห่งนี้จะรู้สึกเพียงว่ามีแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วบริเวณ

แต่อันที่จริงเมื่อเงยหน้ากลับจะมองเห็นทัศนยภาพที่ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางนภา

ในอารามเสวียนตูเล็ก นักพรตเฒ่าเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นท้อที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าต้นหนึ่งแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองนิ้วคีบดินส่วนหนึ่งขึ้นมาถูเบาๆ

ดินที่อยู่ปลายนิ้วของนักพรตเฒ่าคือดินหมื่นปีที่ผู้ฝึกตนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หนักอึ้งดุจทองดุจเหล็ก

นักพรตเฒ่าเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

อันที่จริงดินนี้ก็มีคำเรียกขานว่าดินพันปีเช่นกัน และก็มีการแบ่ง ‘เกิดแก่เจ็บตาย’ คนบนโลกล้วนกล่าวว่ามันนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะคนธรรมดามีอายุขัย วันเวลามีขีดจำกัด มองดูเหมือนพร่าเลือน ทั้งมองไม่เห็นอย่างแจ่มชัด และไม่ยาวไกล ดังนั้นลัทธิพุทธจึงมีคำกล่าวบอกว่า พระพุทธองค์มองน้ำในบาตร เห็นสิ่งมีชีวิตสี่หมื่นแปดพัน และภิกษุเฒ่าของวัดหยวนเยว่ใหญ่แห่งนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นวิธีในการเข้าฌาน เพียงแต่เขามองในสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือการชมดวงจันทร์

ส่วนนักพรตเฒ่าท่านนี้กลับมองสิ่งที่นิ่งสงบยิ่งกว่า มองดูการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของสิ่งไร้ชีวิตอย่างดินโคลนเหล่านี้

วัดและอารามทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน เขากับภิกษุเฒ่าผู้นั้นต่างคนต่างถกวิชาของตนมานานเป็นพันปี แต่ก็ยังไม่ได้ผลสรุปว่าใครสูงใครต่ำกว่า

ตอนนี้ก็ต้องมาดูที่ว่าตนจะกลายเป็นเทียนจวินก่อน หรือภิกษุเฒ่าจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ได้ก่อนเท่านั้น

นักพรตน้อยสวีส่งเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์อย่างกล้าๆ กลัวๆ พบว่าอาจารย์จมอยู่ในภวังค์ความคิด สวีส่งก็ยิ่งปิดปากสนิทไม่เอ่ยคำใด

นักพรตเฒ่าไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เปิดปากถามยิ้มๆ ว่า “อยู่นอกอาราม ไม่เพียงแต่ไม่สามารถโอ้อวดบารมีได้ ยังถูกผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนหนึ่งสั่งสอนมาหนึ่งคำรบ เจ้าคิดว่าประโยคนั้นของเขาพูดได้มีเหตุผลหรือไม่?”

นักพรตน้อยถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ เอ่ยอย่างอัดอั้น “พูดมีเหตุผลแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ เขาโยนดินในมือทิ้ง ใช้ฝ่ามือที่ขาวสะอาดราวกับหยกลูบดินที่อยู่บนพื้นเบาๆ ให้ราบเรียบ แล้วจึงลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “หมื่นสรรพสิ่งที่มีสติปัญญา และสรรพชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก ยิ่งเดินขึ้นสู่ที่สูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าใจการไร้ความรู้สึกของมหามรรคาได้มากเท่านั้น หากเจ้าเลียนแบบนักพรตของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชอบกำจัดปีศาจปราบมาร ทำความดีในทุกๆ วันเพื่อสะสมผลบุญก็ไม่ใช่เรื่องร้าย แต่หากเรียนรู้วิชาไร้ความรู้สึก ถามมรรคาแสวงหาความจริงจากข้า กลับจะดียิ่งกว่า”

นักพรตเฒ่าหัวเราะ “วิชาไร้ความรู้สึก หาใช่สอนให้เจ้ากระทำการอย่างป่าเถื่อนอำมหิต สังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อไม่ แต่ต้องการให้เจ้าคอยมองดูสี่ฤดูกาลที่หมุนเวียนผ่านไปแต่ละปี มองดูความไม่แน่นอนของฟ้าดินให้มากขึ้น”

นักพรตน้อยก้มลงกราบอาจารย์ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง

นักพรตเฒ่าหันหน้ามองไปทางวัดหยวนเยว่ใหญ่แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “โลภ โกรธ หลง หยิ่งยโส หวาดระแวง หากไม่กำจัดเบญจพิษเหล่านี้แล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกตนอย่างดึงดัน นั่นก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิ”

นักพรตเฒ่ามองไปยังทางทิศเหนือด้านนอกป่าท้ออีกครั้ง “สวีส่ง หากเจ้ายังไม่อาจบรรลุมรรคา ก็ไม่สู้ทดลองดู เลือกเป็นคนดีในสายตาของวิถีทางโลก เพียงแต่จงจำไว้ว่า การเข้าสู่ทางโลกกระทำความดี ไม่เกี่ยวข้องกับว่าวิถีทางโลกจะตอบแทนเจ้าด้วยความดีหรือเลว วิธีการแตกต่างแต่บรรลุเป้าหมายเดียวกัน นี่ก็เป็นหนึ่งใน…วิชาไร้ความรู้สึกเช่นกัน วิถีแห่งเต๋าคือวิถีแห่งธรรมชาติ”

นักพรตน้อยส่ายหน้า “ข้าไม่อาจเป็นคนดีประเภทนั้นได้”

นักพรตเฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

นักพรตน้อยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ อารามเสวียนตูที่แท้จริงก็มีดอกท้อบานสะพรั่ง สี่ฤดูล้วนเหมือนฤดูใบไม้ผลิเช่นที่นี่หรือ?”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่ควรไปยังใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเป็นเจ้าบ้าน ไปให้เห็นกับตาตัวเองก็จะรู้แล้วว่าจริงหรือเท็จ หากเจ้าต้องการเช่นนี้ คราวหน้าอาจารย์จะบอกให้ภูตต้นท้อแบกภูเขาลูกนี้ไป เมื่อเจ้าออกไปจากหุบเขาผีร้าย เจ้าสามารถไปฝึกตนอยู่ข้างกายของเจ้าสำนักอายุน้อยแซ่เฮ้อผู้นั้นก่อนได้ หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว โอกาสที่จะได้ไปเยือนอารามเสวียนตู แน่นอนว่าย่อมมากขึ้นตามไปด้วย”

นักพรตน้อยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ไปๆ ! อาจารย์ฝึกตนอยู่ที่ไหน ข้าก็ฝึกตนอยู่ที่นั่น”

นักพรตเฒ่าตบศีรษะของนักพรตน้อยเบาๆ

นักพรตน้อยยิ้มจนตาหยี

นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ดื่มน้ำชาอินเฉินของลำคลองเหยาเย่มานานมากแล้ว ผ่านไปหนึ่งพันปี คิดดูแล้วรสชาติมีแต่จะยิ่งนุ่มนวลกลมกล่อมมากกว่าเดิม”

……

ม่านสนธยามืดทึบ ห่างจากเมืองชิงหลูอีกไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว เหลือระยะทางแค่สองร้อยกว่าลี้เท่านั้น เฉินผิงอันเดินผ่านทะเลสาบสีเขียวเข้มแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้อยู่บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล มองมาเห็นว่าตรงจุดนี้มีไฟกองหนึ่งก่ออยู่ เฉินผิงอันจึงรีบเร่งเดินทางมา หากเจอกับวิญญาณหยินที่ออกมาท่องยามราตรีก็จะได้สังหารเพื่อเอาไปขายเป็นเงินได้พอดี

การเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ การฝึกประสบการณ์มีไม่มาก เพียงแค่ต่อสู้อยู่ที่สันเขาอีกาไปรอบหนึ่ง ตอนอยู่ที่ป่าท้อก็แค่ปล่อยหมัดไปหนึ่งหมัดเท่านั้น ทว่าเงินที่ได้มากลับไม่ถือว่าน้อย

ไม่พูดถึงชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะของป๋ายเหนียงเนียงแห่งนครฟูนี่ตัวนั้น ยังมีโครงกระดูกขาวใสแวววาวที่มูลค่าไม่ธรรมดาอีกสิบกว่าโครง อย่างหลังนี้จะขายได้ราคาเท่าไหร่กันแน่ ยังไม่อาจบอกได้

ส่วนน้ำในลำธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษที่แม้จะไม่ถือว่ามีราคา แต่จะดีจะชั่วก็ช่วยลดทอนปัญหาเล็กๆ บางอย่างให้กับเฉินผิงอัน เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำในลำธารไปรวดเดียวถึงสองจิน จากนั้นก็ทำสมาธิ ปล่อยดวงจิตจมจ่อมไปกับมัน แล้วใช้วิธีการมองภายในพาดวงจิตเข้าไปในจวนน้ำ ก็เห็นว่าเหล่าเด็กน้อยชุดเขียวทั้งหลายที่อยู่ในจวนน้ำต่างก็ลิงโลดดีใจกันเป็นพิเศษ

สิ่งที่เห็นริมทะเลสาบชวนให้คนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เพราะนั่นคือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสีทอง ข้างกายมีข้ารับใช้สองคนติดตามมา น่าจะคิดมาพักค้างแรมอยู่ริมทะเลสาบ

เฉินผิงอันลองประเมินฝีเท้าและระยะดู อีกฝ่ายน่าจะไปที่เมืองหลันเซ่อมาแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวสิ้นสุดลงจึงย้อนกลับมายัง ‘ทางหลวง’ มุ่งหน้าตรงไปที่เมืองชิงหลู ดังนั้นตนที่อ้อมไปอ้อมมาจึงมาเจอเข้ากับอีกฝ่าย

ถ้าเช่นนั้นทะเลสาบขนาดเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ก็น่าจะเป็นทะเลสาบถงลวี่ที่บอกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ แล้ว สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาถงกวาน คือภูเขาสายน้ำที่อยู่เป็นคู่เหมือนคู่บำเพ็ญเพียร

ด้านในทะเลสาบถงลวี่มีปลาอยู่สองประเภทที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ตกได้ไม่ง่ายเพราะมีกฎเกณฑ์เยอะมาก ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอ่านเจอข้อพิถีพิถันยิบย่อยในตำราเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่ยอมถอดใจ

ในทะเลสาบมีปลาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าปลาหลั่ว เกล็ดเป็นสีทองอร่าม มีปีกหนึ่งคู่ เสียงคล้ายกับนกยวนยาง เป็นปลาประเภทที่ล้ำค่าและหายากอย่างยิ่ง ร้อยปีก็ยากจะพานพบได้สักครั้ง เล่าลือกันว่าปลาหลั่วจะปรากฎตัวเป็นคู่ ขอแค่ได้ตัวใดตัวหนึ่งมา เมื่อเอาขึ้นฝั่งมาได้ ปลาหลั่วอีกตัวหนึ่งก็จะตามขึ้นฝั่ง เข้ามาในข้องปลาด้วยตัวเอง ปลาหลั่วขนาดเล็กเท่าฝ่ามือคู่หนึ่งล้ำค่าไปทั้งตัว สามารถนำไปขายได้เงินถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช ว่ากันว่าหากกินเข้าไปจะไม่ต้องถูกฝันร้ายใดๆ บนโลกใบนี้กล้ำกราย

นอกจากนี้ก็คือปลาหลีสีเงิน ปลาหลีประเภทนี้ตัวใหญ่มาก ว่ากันว่าทุกๆ หนึ่งปีจะมีน้ำหนักเพิ่มหนึ่งจิน เมื่อมีอายุร้อยปี ปลาตัวนี้หากอยู่ในน้ำจะมีพละกำลังมหาศาล ไม่เหมือนกับปลาหลั่ว เพราะปลาหลีสีเงินนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในทะเลสาบแห่งนี้เท่านั้น มันถูกผู้ฝึกตนเรียกขานว่าเจียวทะเลสาบน้อย เลือดเนื้อและเกล็ดล้วนไม่มีความมหัศจรรย์ใดๆ มีเพียงจุดเดียวที่พิเศษนั่นก็คือปลาหลีสีเงินที่ถือว่าเป็นสายรองของทายาทเจียวหลงนี้ หากมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีก็จะมีหนวดสองข้างเหมือนกับเจียวหลง ขนาดยาวชุ่นกว่า จากนั้นทุกๆ สามร้อยปีหนวดจะยาวหนึ่งชุ่น หากสามารถเติบโตจนมีหนวดเจียวหลงยาวหนึ่งฉื่อเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นสมบัติวิเศษของฟ้าดินที่แท้จริงแล้ว เชือกพันธนาการปีศาจหรือแส้ปัดฝุ่นที่ถูกหล่อหลอม หากเพิ่มวัตถุนี้เข้าไปก็จะเท่ากับเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ประสิทธิผลเลิศล้ำไร้ขีดจำกัด

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเคยบุกร่องเจียวหลง เคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวมาก่อน รู้ว่าบนโลกนี้ยังคงมีนักพรตเต๋าคนหนึ่งที่สามารถใช้หนวดเจียวหลงของแท้แน่นอนมาสร้างเป็นแส้ปัดฝุ่นอาวุธกึ่งเซียนที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่งได้

ดังนั้นสำหรับปลาหลั่วและปลาหลีสีเงินที่ยากจะพบเจอในทะเลสาบถงลวี่แล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ได้เกิดใจปรารถนาอยากครอบครองอะไรมากนัก

เพราะเสียเวลามากเกินไป

บันทึกเกี่ยวกับผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ผู้ฝึกตนล้วนเผาผลาญเวลาไปมาก หากไม่หลายเดือนก็เป็นครึ่งๆ ปี ระหว่างนี้ยังต้องคอยประชันความกล้าหาญและประชันสติปัญญากับปลาตระกูลเซียนสองชนิดนี้ด้วย อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมักจะต้องพบเจอกับความผิดหวัง

เมื่อเทียบกับทะเลสาบถงลวี่แล้ว เฉินผิงอันฝากความหวังไว้ที่ภูเขาถงกวานมากกว่า บนภูเขาแห่งนั้นมีวานรย้ายภูเขาและสุนัขตะลุยภูเขาที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์เข้าออก

หลังจากที่เฉินผิงอันปรากฏตัว เด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ

สตรีผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่สะพายธนูพกดาบขยับเปลี่ยนตำแหน่งมาขวางอยู่ระหว่างเจ้านายกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้น

ผู้เฒ่าชุดดำมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา มือหนึ่งถือกาเหล้าขวดกระเบื้องสีส้ม มือหนึ่งถือเนื้อหมักเต้าเจี้ยวชิ้นใหญ่ กำลังละเลียดเคี้ยวอย่างละเอียด

เฉินผิงอันจึงไปเก็บกิ่งไม้แห้งแล้วจุดกองไฟอยู่ห่างไปไกล

เห็นได้ชัดว่าเจ้านายและบ่าวสามคนนั้นมุ่งตรงมาที่ทะเลสาบถงลวี่โดยเฉพาะ หลังจากที่ผู้เฒ่าชุดดำกินเนื้อดื่มเหล้าเสร็จเรียบร้อยก็หยิบไม้ไผ่สีเขียวมรกตวาววับเปล่งปลั่งหลายปล้องออกมาจากวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็นำมาประกบกันทำเป็นคันเบ็ดที่ยาวมากคันหนึ่ง เส้นเอ็นที่ใช้ก็บางราวกับเส้นผม ทว่าตะขอตกปลาที่เป็นสีทองกลับใหญ่เท่าฝ่ามือ เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ว่างๆ เขาม้วนชายแขนเสื้อมานั่งยองอยู่ริมน้ำ กำลังเตรียมเหยื่อที่จะใช้ในการตกปลา เขานำอ่างไม้ใบหนึ่งออกมาแล้วเริ่มปั้นเหยื่อ คอยวักน้ำในทะเลสาบใส่อ่างเป็นระยะ ยังหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทหยดน้ำสีชาดที่กลิ่นคาวเข้มข้นใส่ลงไปอีกหลายหยด

เดิมทีเฉินผิงอันก็ชอบตกปลาอยู่แล้ว จึงอดเหลือบตามองอยู่หลายครั้งไม่ได้

สตรีผู้นั้นกระซิบเสียงเบาอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นใช้แขนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางเอ่ยตอบกลับนางสองสามคำ

สตรีจึงลุกขึ้นเดินมาทางเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้เจตนาจะสำรวจสืบเสาะอะไร”

สตรีมีสีหน้าเย็นชา ทว่าถ้อยคำที่ใช้ยังนับว่าอ่อนโยน “แค่มองก็ไม่เป็นไร แต่นายน้อยของข้าบอกแล้วว่า การตกปลาหลีสีเงินไม่ควรให้บนฝั่งเกิดเสียงใดๆ หากมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ปลาหลีสีเงินที่ได้ยินเสียงจะหนีไปไกล ดังนั้นหลังจากเตรียมเหยื่อเสร็จแล้ว อีกครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อพวกเราโยนเบ็ด อาจต้องให้ทั้งเจ้าและข้าดับกองไฟ แล้วก็ห้ามเดินไปเดินมาเพ่นพ่าน คุณชายบอกว่าหากเจ้ารู้สึกอึดอัดก็สามารถไปพักอยู่ห่างจากริมฝั่งได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ดับกองไฟแล้วจากไปไกลทันที เขาไปนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองดูคนทั้งสามตกปลาตระกูลเซียนยามค่ำคืนจากที่ไกลๆ

ระหว่างนี้เด็กหนุ่มคนนั้นที่เห็นว่าเฉินผิงอันยอมดับกองไฟโดยตรงก็หันหน้ามายิ้มขออภัย เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางผงกศีรษะตอบรับ

สตรีย้อนกลับไปอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจโล่งอกเบาๆ

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “พี่หญิงฝาน ข้าโปรยเหยื่อลงไปทีละอ่างทีละอ่างแบบนี้ น้ำในทะเลสาบถงลวี่แห่งนี้คงเพิ่มสูงอีกหนึ่งฉื่อแล้วกระมัง”

สตรียิ้มอย่างจนใจ

คิดจะตกปลาประหลาดในทะเลสาบกว้างใหญ่เช่นนี้ เรื่องของการโปรยเหยื่อทีละมากๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างยิ่ง ยิ่งปลาล้ำค่าเท่าไหร่ คนตกปลาก็ยิ่งจำเป็นต้องทุ่มเงินก้อนโตมากเท่านั้น นายน้อยของตนไม่เคยขี้เหนียวในเรื่องนี้ ดังนั้นคนบนเส้นทางเดียวกันบนภูเขาจึงพากันพูดไปปากต่อปาก นายน้อยจึงมีฉายาว่าหยวนหนึ่งฉื่อ

แม้ว่าเฉินผิงอันจะอยู่ห่างมาไกล แต่ก็มองออกว่าลำพังเพียงแค่เรื่องของการปั้นเหยื่อ เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวยผู้นั้นก็ทุ่มเงินไปก้อนใหญ่แล้ว

ไม่ใช่แค่เกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งถึงสองเหรียญแล้วก็เป็นได้

หลังจากปั้นเหยื่อเสร็จ คนทั้งสามก็เริ่มรอคอยอย่างเงียบสงบ

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มน้ำของธารลึกกลางเขาหนึ่งอึกแล้วเริ่มหลับตาพักผ่อน

เมื่อผู้เฒ่าชุดดำเริ่มเหวี่ยงเบ็ด เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น

เสียงเบ็ดแหวกสายลมออกไป

เส้นเอ็นตกปลาวาดวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์แล้วไปตกไกลอยู่ที่แถบตรงกลางของทะเลสาบถงลวี่

ค่ำคืนยาวนานผ่านไปอย่างเชื่องช้า

การตกปลาใหญ่ในยามค่ำคืน นอกจากจะต้องมีทักษะแล้ว ยังต้องอาศัยความอดทนด้วย

เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่บนม้านั่งฮวาหลี ยกสองมือเท้าแก้ม อ้าปากหาวไม่หยุด

สตรียังคงยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม คอยป้องกันจอมยุทธหนุ่มสวมงอบที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้น ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ จิตใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี แต่จิตใจที่ป้องกันคนอื่นกลับไม่ควรขาด

สองชั่วยามผ่านไป เด็กหนุ่มก็เริ่มงีบหลับ

ผู้เฒ่าชุดดำยกคันเบ็ดกระตุกเหยื่อขึ้นเบาๆ อยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ขว้างเบ็ดออกไปอีก ความอดทนเป็นเลิศ

ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นก็ยิ่งยืนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก

เฉินผิงอันเอนตัวพิงลำต้นไม้ แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี

ดวงจันทร์ลอยพ้นภูเขาสูง ทะเลเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ใต้หล้าไพศาลมีพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แต่มีพระจันทร์เพียงดวงเดียว

เฉินผิงอันมองอย่างเหม่อลอย

ได้ยินมาว่าบนภูเขามีภาพเทพเซียนที่มาจากฝีมือของเซียนอยู่มากมาย บนม้วนภาพหนึ่งจะมีดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงจันทร์ลาลับ สี่ฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน บุปผาเบ่งบาน บุปผาร่วงโรย

เหตุใดฟ้าดินถึงได้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดมนุษย์ถึงได้ตัวเล็กจ้อยถึงเพียงนั้น?

เหตุใดเมื่อคนคนหนึ่งเติบโตแล้วจะต้องรู้สึกเดียวดาย

เฉินผิงอันกดงอบลงเบาๆ ปกปิดใบหน้าของตัวเอง

แม่นางหนิง ข้าสบายดีมาก เจ้าล่ะยังสบายดีอยู่ไหม?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version