บทที่ 504 ไม่ฟังเหตุผลย่อมดีที่สุด
เลียบคูน้ำจ่าวซีขนาดใหญ่ที่เป็นสีเขียวมรกตนั้นไป พืชน้ำขึ้นหนาแน่นกระเพื่อมไปตามริ้วน้ำ เหมือนผีพรายที่กำลังกวักมือเรียก
นิทานพื้นบ้านและผลงานการประพันธ์ส่วนตัวในหมู่ชาวบ้านส่วนใหญ่ และยังมีคำกล่าวที่บอกว่าผีพรายต้องการหาตัวตายตัวแทน โดยรวมแล้วล้วนมาในแนวของการแก้แค้นทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าหากมีโลกมืดและโลกสว่างขวางกั้น คนเป็นคนตายมีความแตกต่าง ผีที่จมน้ำตายทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญคาถานับพันนับหมื่น ไหนเลยจะมีวิธีหลุดพ้นที่ง่ายดายเพียงนี้ ผีในโลกมืดทำร้ายคนในโลกสว่างเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งนั้นกลับเป็นคำลวง นี่ก็เป็นแค่การเล่าลือกันไปปากต่อปากของพวกบัณฑิตก็เท่านั้น
ออกมาจากจวนเทพวารี เฉินผิงอันกระชากฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยังคง สลบไสลไม่ได้สติผู้นั้นทะยานไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ที่ตอนนี้บนร่างยังคงสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างยังทะยานลมติดตามเขามาดังเดิม ตู้อวี๋แข็งใจมุ่งหน้าไปยังทิศทางของทะเลสาบชางอวิ๋นเหมือนกัน คงเป็นเพราะอยู่กับผู้อาวุโสตรงหน้านี้นานวันเข้าจึงได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่ายมาไม่น้อย ตู้อวี๋ถึงได้ถามประโยคหนึ่งว่าจำเป็นต้องถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ค่อนข้างสะดุดตานี้ออกหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อาวุโสต้องสูญเสียโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบ
เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้อง
ตู้อวี๋จึงพอจะสงบใจลงได้
เพียงแต่ว่าประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจของตู้อวี๋แล่นมาจุกอยู่ในลำคอ ได้ยินเพียงว่าผู้อาวุโสเอ่ยเนิบช้า “ไปถึงริมทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องเปิดศึกใหญ่ ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ถือเสียว่าเสี่ยงชีวิตเดิมพันอีกครั้ง แค่ยืนหูหนวกตาบอดอยู่ฝั่งหนึ่งก็พอ ถึงอย่างไรสำหรับเจ้าแล้ว ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพอได้ทุนเก่ากลับคืนมาบ้าง”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “วางใจเถิด บางทีอาจจะช่วยอะไรผู้อาวุโสไม่ได้ แต่ตู้อวี๋รับรองว่าจะไม่เพิ่มปัญหาให้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
ตู้อวี๋ชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแวบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก สะทกสะท้อนใจไม่หยุด ท่านพ่อท่านแม่มักจะบอกว่ามรรคกถาของผู้ฝึกตนใหญ่ คนนั้นลึกล้ำ เจ้านครหวงเยว่ก็ดี บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งก็ช่าง ขอแค่มีรากฐานมีภูเขา เวลาวางตัวเข้าสังคมหรือลงมือทำอะไร มักจะต้องมีร่องรอยให้สืบเสาะได้เสมอ ทุกเรื่องก็ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว หากจะกลัว ก็จงกลัวสี่คำบนกระดาษที่บอกว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน’ เพราะเป็นคำที่ง่ายๆ และเบาบางล่องลอย จึงทำให้คนคว้าจับไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตู้อวี๋ไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เขามักจะเห็นหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่พวกนี้เป็นสายลมที่ผ่านข้างหูไปเท่านั้น
ดังนั้นการเดินทางมาเยือนอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนี้จึงทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เอาหลายๆ ครั้งที่ท่องเที่ยวในยุทธภพมารวมกัน คืนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า และตอนนี้ตู้อวี๋ก็คร้านจะคิดอะไรให้มากความ จึงไม่ถามอะไรอีก ผู้อาวุโส ท่านนี้พูดอะไรก็ว่าตามกัน แผนการของคนบนยอดเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความเข้าใจได้เลย แทนที่จะหลอกตัวเอง ก็ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
ผู้อาวุโสจากต่างถิ่นที่ทำอะไรเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนตลอดเวลาผู้นี้ มีดีอยู่อย่างหนึ่ง จริง
ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางด้วยกันมา เขาจึงตอบทุกคำถามของอีกฝ่าย คิดเสียว่าไหนๆ ไหแตกแล้วก็ทุบให้มันแหลกเสียเลย คิดอะไรก็พูดมันไปอย่างที่ใจนึก แทนที่จะแสร้งโง่อวดฉลาดต่อหน้าอีกฝ่าย ก็ไม่สู้พูดจาหรือทำตัวให้จริงใจสักหน่อย ถึงอย่างไรสันดานของตนเป็นแบบไหน ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมา นานแล้ว
เฉินผิงอันเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงโยนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไว้บนพื้น แล้วพลันหยุดฝีเท้า แต่กลับไม่ได้ปลุกให้นางตื่น
ตู้อวี๋กำลังใจลอยไปไกล ไม่ทันระวังจึงเลยผ่านบุรุษสวมชุดสีเขียวผู้นั้นไป หลายสิบลี้ เขารีบทะยานลมย้อนกลับมา กวาดตามองรอบด้าน เอามือกดด้ามดาบ ถามว่า “ผู้อาวุโส มีคนซุ่มอยู่หรือ? จะให้ข้าไปตรวจสอบดูก่อนหรือไม่ว่าจริง หรือเท็จ?”
“เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งมีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าขนาดนั้น ไหนเลยจะยังต้องมาซุ่มโจมตีเจ้ากับข้า แค่จัดขบวนรบรอที่ริมทะเลสาบ เจ้าตู้อวี๋เห็นปราดเดียวก็หวาดผวาแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามคำถามหนึ่งกับตู้อวี๋ “หลายสิบแคว้นน้อยใหญ่ซึ่งรวมถึงแคว้นอิ๋นผิง มีจำนวนผู้ฝึกตนไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครคิดจะไปดูสถานที่ที่ห่างไกลด้านนอกสักหน่อยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นชายหาดโครงกระดูกทางทิศใต้ หรือราชวงศ์ ต้าหยวนในภาคกลาง”
ตู้อวี๋ส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนของสำนักอื่นบอกได้ยาก พูดถึงแค่ตำหนักขวานผีของพวกเรา นับตั้งแต่วันแรกที่เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตนก็มีคำสั่งสอนข้อหนึ่งของสำนักสืบทอดกันมา ความหมายคร่าวๆ ก็คือบอกให้ลูกศิษย์รุ่นหลังอย่าได้ออกเดินทางไกลง่ายๆ จงตั้งใจฝึกตนอยู่บ้านให้ดี พ่อแม่ของข้าก็มักจะพูดกับลูกศิษย์ ของตัวเองว่า สถานที่แห่งนี้ของพวกเรามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากที่สุด คือดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่หาได้ยาก หากมีผู้ฝึกตนยากจนของภายนอกเกิดความโลภ อยากครอบครอง นั่นก็คือหายนะ ข้าไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นเหตุให้หลายปีมานี้คอยท่องอยู่ในยุทธภพเป็นประจำ อันที่จริง…”
พูดมาถึงตรงนี้ ตู้อวี๋ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาจึงหยุดพูดไป
เฉินผิงอันกล่าวว่า “คำถามของข้า เจ้าได้ตอบมาตามความจริงแล้ว เรื่องที่เหลือ จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ เรื่องเละเทะทั้งหลายที่เจ้าตู้อวี๋ทำในยุทธภพ ข้าไม่ค่อยสนใจ สักเท่าไร”
ตู้อวี๋เข้าใจได้ทันที เขาขยับเท้าสองสามก้าวเข้าไปใกล้ผู้อาวุโส กดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง พ่อแม่ของข้าก็ถือว่ารักและเอ็นดูข้ามาก แต่ทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังคงหลบเลี่ยงเก็บงำเอาไว้ บอกแค่ว่าเรื่อง บางเรื่องที่ไม่ควรรู้ เมื่อไม่รู้ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าข้าไม่กล้าต่อต้าน จึงคิดหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง อาศัยโอกาสที่มาเที่ยวเล่นในยุทธภพลองเดินออกไป ให้ไกลสักหน่อย ทุกครั้งจะหยุดเมื่อพอสมควร เดินทางเที่ยวไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ จนครบรอบหนึ่ง สุดท้ายข้าก็พอจะใคร่ครวญลิ้มรสอะไรบางอย่างออกมาได้จริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าที่อยู่ในยุทธภพได้ลิ้มรสอะไรไม่น้อยเลยจริงๆ”
ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “การเล่นสนุกเหมือนเด็กเช่นนี้ของข้า เทียบกับผู้อาวุโสที่ทะยานลมข้ามทวีป มหามรรคามีแต่อิสระเสรี เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำมาไกลนับหมื่นลี้ ไม่ได้หรอก”
ตู้อวี๋เอ่ยต่อ “ถึงท้ายที่สุดข้าก็ค้นพบว่าชายแดนของหลายสิบแคว้นคล้ายจะมี คูน้ำธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งดำรงอยู่ บริเวณโดยรอบนั้นมีปราณวิญญาณ เบาบางเป็นพิเศษ เหมือนว่าถูกเซียนบนยอดเขาที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเก้า ชั้นฟ้าวาดวงกลมวงหนึ่งไว้บนอาณาเขตของโลกมนุษย์ ทั้งสามารถปกป้องพวกเราเอง แล้วก็ยังป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนต่างถิ่นบุกเข้ามากระทำการชั่วร้ายด้านใน ทำให้คน ไม่กล้าล้ำเส้นไปแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “วิธีการคล้ายกับชุยตงซานที่ใช้กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้า? นี่เพื่ออะไร?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงวางความคิดนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
แต่หากเกี่ยวข้องกับสมบัติประหลาดที่จะเผยกายในเมืองสุยเจี้ยจริงๆ ถือเป็น เส้นสายของเบาะแสที่ถูกทิ้งไว้ ยาวไกลเป็นพันลี้ ถ้าอย่างนั้นตนก็ควรต้องระวังตัว ให้มากแล้ว
ดังนั้นการเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นต่อจากนี้ หากคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ ก็จะเอาแต่ลงมือให้สาแก่ใจ ยอมทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีเพียงแค่เพื่อความสะใจอย่างเดียวไม่ได้
เจี้ยนเซียนที่สะพายไว้ข้างหลังต้องเก็บเอาไว้เป็นสมบัติก้นกรุ
กระบี่บินสืออู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เคยปรากฏตัวข้างกายเขาที่ศาลสุ่ยเซียน สาวใช้จะต้องบอกว่าตนเป็น ‘เซียนกระบี่’ คนหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นสามารถเอาออกมาใช้โดยว่ากันไปตามสถานการณ์ได้ แต่จำเป็นต้องกำชับสืออู่ว่าหากต้องเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ความเร็วในการบินออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ครั้งแรกสุด ทางที่ดีที่สุดคือต้องช้ากว่าเดิมสักหน่อย
ส่วนสร้อยประคำแกนลูกท้อที่สวมไว้บนข้อมือ รวมถึงยันต์สามแผ่นของตำหนักนภากาศราชวงศ์ต้าหยวน หากเป็นช่วงเวลาคับขันที่มองดูคล้าย ‘วิกฤตอันตราย’ ก็สามารถเลือกออกมาตาก…แสงจันทร์ของค่ำคืนนี้ดูได้
ในเรื่องของขอบเขตวิถีวรยุทธและระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างกาย ก็เลือกกดไว้ที่ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดก่อนแล้วกัน
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี การออกหมัดที่มีต่อเจ้าแห่งคูน้ำและเหอลู่ก็คือเวทอำพรางตาที่จงใจเอาออกมาใช้อย่างหนึ่ง ถือว่าเป็น การเปิดเผยรากฐานที่มองดูเหมือน ‘ลงมือเต็มกำลัง ไม่ออมมือไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย’
เรื่องบางอย่างต่อให้ตนเก็บซ่อนได้ดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ นิสียดีๆ ที่ชอบตั้งสมมติฐานถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน ในใต้หล้านี้จะมีเขาเฉินผิงอันเพียงคนเดียวได้อย่างไร? ดังนั้นจึงไม่สู้ให้ศัตรู ‘เห็นกับตาตัวเอง’ ไปเลย
เลียบเคียงอนุมานอย่างระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ทุกเรื่องล้วนคิดให้มากและคิดให้ซับซ้อน
เดินทางผ่านยุทธภพสามทวีประยะทางเป็นพันเป็นหมื่นลี้เพียงลำพัง
เฉินผิงอันก็ใช้วิธีการเดินเช่นนี้มาโดยตลอด
เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาฝึกหมัดได้มากขึ้น สมบัติติดกายก็มีมากชิ้นขึ้น
แล้วก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มรองเท้าสานขาเปื้อนโคลนมาเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดขาวปักปิ่นหยก แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นสวมชุดเขียวสวมงอบ ถือไม้เท้าเดินป่าอย่างใน ทุกวันนี้
กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้าอะไรนั่น
ตู้อวี๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเขาก็ไม่เข้าใจด้วย
ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่อยู่ดีๆ กาเหล้าที่ผู้อาวุโสดื่มหมดแล้วกานั้นหายวับไปกลางอากาศ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะถูกเก็บเข้าไปในเนินฟางชุ่นที่พ่อแม่ของเขามักจะพูดถึงเป็นประจำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
ตู้อวี๋ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนกัน
เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือเคาะไปที่หน้าผากของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่อยู่ บนพื้น ปลุกอีกฝ่ายให้คืนสติ
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้มีอุบายลึกล้ำยิ่งกว่าเจ้าแม่แห่งศาลสุ่ยเซียนผู้นั้นจริงๆ นางนอนตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมา เพียงพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ล่วงเกินเซียนซือใหญ่ บ่าวมีโทษสมควรตาย พระคุณที่เซียนซือใหญ่ไว้ชีวิต บ่าวจะไม่มีทางลืมเลือน”
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นโดยตรง “ข้าจะฆ่าเจ้าแห่งทะเลสาบของเจ้าแล้วทุบ รังในวังมังกรของเขาให้เละ เจ้านำทางข้าไป”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่สวมชุดหรูหรางดงาม ประทินโฉมอย่างประณีต หน้าไม่เปลี่ยนสี “เซียนซือใหญ่มีความแค้นกับนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบหรือ? มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เลิกพูดจาไร้สาระเสียที ลุกขึ้นมานำทางข้า”
สตรีสวมชุดชาววังกลับคืนมามีบุคลิกเรียบร้อยสง่างามเหมือนตอนอยู่ในศาล เทพวารีก่อนหน้านี้อีกครั้ง นางลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ ก่อนจะยอบตัวคารวะ อย่างแช่มช้อยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์
คิดไม่ถึงว่าจะถูกบุรุษชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นเตะกระเด็นออกไป
นางกัดฟันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเงียบๆ
ในใจของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเคียดแค้นผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมผู้นี้นัก แม้แต่ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผีที่เป็นตัวซวยผู้นั้นก็โดนนางเกลียดไปด้วย
เพียงแต่หากนางไม่มีความสามารถในการสังเกตสีหน้าคำพูดคำจา คอยรอดู การเปลี่ยนแปลงเพื่อประเมินสถานการณ์ ก็ไม่มีทางเดินมาสู่ตำแหน่งเทพอย่างใน ทุกวันนี้ได้
ผีพรายที่จมน้ำตายเพราะถูกจับขังในเล้าหมูแล้วเอามาถ่วงน้ำคนหนึ่ง สามารถเดินทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังบีบให้เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีได้แต่ ปล่อยศาลทิ้งร่าง ย้ายร่างทองลงทะเลสาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียกเทพลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้าแห่งทะเลสาบสามท่านเป็นพี่เป็นน้อง นางไม่ได้อาศัยตบะร่างทอง หรืออาศัยควันธูปในโลกมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น
นางแสร้งถามเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว “ไม่ทราบว่าเซียนซือใหญ่อยากจะ ลงน้ำแล้วว่ายน้ำไป หรือจะทะยานลมอยู่บนชายฝั่ง?”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่เดินไปบนชายฝั่งก็พอ”
แม้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจะตกตะลึงอยู่มาก แต่กลับไม่กล้าทักท้วงคนประหลาดที่นิสัยดุร้ายผู้นี้ ได้แต่ฝืนใจเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ
ผู้ฝึกตนอิสระบนโลกล้วนเป็นเศษสวะพันธ์ผสมจริงๆ
เมื่อไปถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างคูน้ำจ่าวซีกับทะเลสาบชางอวิ๋น ก็คือสถานที่ที่คนผู้นี้ต้องคุกเข่าโขกหัววิงวอนและพาตัวไปตายอยู่ในถิ่นของพวกนางแล้ว
แต่นางก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เทพธิดาเยี่ยนชิงที่มีมรรคกถาลึกล้ำกับเหอลู่ ลูกรักแห่งสวรรค์ของนครหวงเยว่ เหตุใดกุมารทองกุมารีหยกคู่นี้ล้วนหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยแล้ว?
เทพเซียนที่เก็บตัวอย่างสันโดษ ใช้ชีวิตอยู่บนชั้นฟ้าเหล่านี้ แต่ละคนดีแต่แสร้งวางท่าภูมิฐานกันทั้งนั้น แท้จริงแล้วจิตใจแข็งกระด้างราวกับก้อนหิน ไม่ใช่คนดีอะไรเลย
ตู้อวี๋รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพวารี ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้หมดสติไปจึงพลาดงิ้วดีๆ ฉากนั้น
หากได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้น แม่ย่าลำคลองเล็กๆ อย่างนาง เวลานี้ในหัวคงไม่มีความคิดชั่วร้ายเหลืออยู่เลยกระมัง
เฉินผิงอันนึกถึงสาวใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีขึ้นมาได้ แล้วพอมองเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีตรงหน้านี้อีกครั้ง ก็หันไปยิ้มเอ่ยกับตู้อวี๋ว่า “พี่น้องตู้อวี๋ สมกับคำที่บอกว่ายามชีวิตแขวนอยู่บนเส้นดาย สันดานธาตุแท้ก็เผยให้เห็นจริงๆ”
ตู้อวี๋รีบแข็งใจเรียกอีกฝ่ายว่าพี่น้องเฉินไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ก็แค่คำพูดเหลวไหลที่เอ่ยไปส่งเดชเท่านั้น”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ตู้อวี๋เงียบเสียงตามไปด้วย เพียงแค่เร่งเดินทางกันไปเงียบๆ
ส่วนเรื่องที่ผู้อาวุโสบอกว่าจะฆ่าเจ้าแห่งทะเลสาบทำลายวังมังกร ตู้อวี๋ไม่เชื่อ ใช่ว่าเขาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสจะมีวิชาอภินิหารไร้เทียมทานนี้ แต่เป็นเพราะ…นี่ ไม่สอดคล้องกับคัมภีร์การทำการค้าของผู้อาวุโส
ในศาลเทพวารี ผู้อาวุโสใช้สันมือสับคอเหอลู่ทีเดียว อีกฝ่ายก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ร่างปลิวกระแทกทะลุหลังคาไปโดยตรง
นี่แสดงให้เห็นว่าการที่เทพธิดาเยี่ยนชิงสามารถยืนอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด ไม่ได้ล้ม ไปกองกับพื้นเหมือนเหอลู่ แล้วก็ไม่ได้หัวจมอยู่ในดินอย่างเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เป็นเพราะผู้อาวุโสรักหยกถนอมบุปผาอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ส่วนสาเหตุ ที่แท้จริงนั้น ตู้อวี๋ก็เดาไม่ออก ตู้อวี๋แค่ไม่รู้ว่าทำไม ตนมักจะรู้สึกว่าหากเป็นสตรีที่ รูปโฉมงดงาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้อาวุโสที่มีวิชาเลิศล้ำ ตรงหน้านี้คิดจะลงมือขึ้นมาก็สามารถใจดำอำมหิตได้จริงๆ
เฉินผิงอันถามชวนคุย “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาล เยี่ยนชิงจับกระบี่แต่ ไม่ออกกระบี่ กลับกันยังจงใจถอยหนี น่าจะเพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงคิดจะไปขอ ความช่วยเหลือจากทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ส่วนที่ลึกที่สุด ในความคิดของนาง คือทำไปเพื่ออะไร? เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากอันตราย รักษาตัวรอด หรือเพื่อช่วยเหลือเหอลู่กันแน่?”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “เยี่ยนชิงทำเรื่องที่ถูกต้องที่สุด นั่นคือทั้งรักษาตัวรอดและช่วยเหลือคนอื่น ข้าเชื่อว่าต่อให้เหอลู่ได้เห็นก็ไม่มีทางรู้สึกยอกแสลงใจ หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เหอลู่ก็น่าจะเลือกทำแบบเดียวกันนี้ กลับกลายเป็นในยุทธภพเสียอีก หากเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ วีรุบุรุษส่วนใหญ่ที่ต่อให้จะรู้ทั้งรู้ว่า เป็นหลุมพรางของศัตรู แต่ก็ยังจะทะเล่อทะล่าเอาตัวไปตาย น่าหัวเราะเยาะก็จริงอยู่ แต่ส่วนที่น่าเคารพ…ก็พอจะมีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คล้ายจะกระจ่างแจ้ง จึงพยักหน้ารับ “ไม่ใช่คน บ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน คนอย่างเหอลู่และเยี่ยนชิงก็ถือว่ามีชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับมหามรรคา มีจิตที่เชื่อมโยงสื่อถึงกันได้มากกว่า”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่อยู่ด้านหน้าซึ่งคอยเงี่ยหูแอบฟังคนทั้งสองตลอดเวลาหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ
คิดจะหลอกข้า?
ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมที่เรียกพี่เรียกน้องกับตู้อวี๋อย่างเจ้า กล้าพูดจาเหมือน ผายลมว่าตัวเองทำให้เทพธิดาเยี่ยนชิงรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ด้วยหรือ?
แต่กระนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็อดหวาดผวานิดๆ ไม่ได้ ถ้าหาก ถ้าหากเป็น ความจริงล่ะ?
เพราะถึงอย่างไรเมื่อตนอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ ก็อ่อนแอบอบบางไม่ต่างจากไก่จากหมาตัวหนึ่ง นี่คือเรื่องจริงที่จริงแท้แน่นอน
ไม่สนแล้ว ค่อยๆ ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน ขอแค่ไปถึงทะเลสาบชางอวิ๋น ทุกอย่างก็จะปรากฏกระจ่างชัดเอง ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเจ้าแห่งทะเลสาบและบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งคอยแบกรับให้อยู่
นางไม่เชื่อจริงๆ ว่าจะมีใครสามารถต้านทานการโจมตีที่เกิดจากการร่วมมือกันของเทพเซียนทั้งสองท่านนั้นได้ พวกเขาจะต้องลอกเนื้อถลกหนังดึงวิญญาณของคน ผู้นี้เอามาทำเป็นตะเกียงน้ำ ถึงเวลานั้นตนจะต้องขอดวงวิญญาณกลุ่มหนึ่งของเขามาจากนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบ แล้วจะเอาไปวางไว้ในศาลเทพวารีของตน!
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่อยู่ด้านหน้า “คนที่เหมือนแม่เล้าแก่ๆ ในหอโคมเขียวโลกมนุษย์เช่นนี้ เหตุใดถึงได้ดิบได้ดีอยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋นขนาดนี้?”
ตู้อวี๋ถามหยั่งเชิง “คาดว่าคงมีเพียงคนแบบนี้เท่านั้นกระมังถึงจะได้ดิบได้ดี?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พี่น้องตู้อวี๋ เจ้าพูดจาภาษาคนได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”
ตู้อวี๋พยายามทนไว้ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงแผดเสียงหัวเราะดังลั่น นี่เป็น ครั้งแรกของค่ำคืนนี้ที่เขาอารมณ์เบิกบานขนาดนี้
เฉินผิงอันเห็นว่าเขาเริ่มหลงระเริงแล้วจึงกระตุกมุมปาก “ตลกขนาดนี้เชียว?”
ตู้อวี๋เหมือนถูกคนบีบคอ รีบหุบปากเก็บเสียงทันที
เฉินผิงอันเงียบไปนาน ก่อนถามว่า “หากเจ้าเป็นบัณฑิตคนนั้น จะทำอย่างไร? แบ่งเป็นสามข้อแล้วกัน ข้อแรกเมื่อโชคดีหนีออกจากเมืองสุยเจี้ยไปได้ ไปพึ่งพา ผู้อาวุโสที่สนิทสนมกับครอบครัวมานาน จะเลือกอย่างไร ข้อสอง สอบติดเคอจวี่ได้อย่างราบรื่น มีรายชื่อติดอยู่บนประกาศ เข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของ แคว้นอิ๋นผิง ข้อที่สาม ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เส้นทางอนาคตยาวไกล ไปเป็นขุนนางต่างถิ่น ย้อนกลับมายังมาตุภูมิ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกศาลเทพอภิบาลเมืองจับตามอง พาตัวเข้าไปในหลุมพรางลึกจนต้องตาย”
ตู้อวี๋แสยะปากยิ้ม
คราวนี้เฉินผิงอันกลับไม่ต้องการให้เขาพูดออกมาตามตรง จึงกล่าวว่า “ลองคิดโดยพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์นั้นดู ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอบข้า”
คนเราเมื่ออยู่อาศัยใต้ชายคาคนอื่นก็จำต้องก้มหน้ายอมรับ ตู้อวี๋จึงตั้งใจคิด อย่างจริงจังอยู่นานมาก แล้วเขาก็เอ่ยเนิบช้าว่า “อย่างแรก หากข้ามีโอกาสรู้ว่า เหนือคนยังมีคน บนโลกใบนี้ยังมีผู้ฝึกตนดำรงอยู่ ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝึกวิชาตระกูลเซียน ช่วงชิงเส้นทางการฝึกตนมาให้ตัวเอง หากไม่ได้จริงๆ ก็มุมานะตั้งใจเรียนหนังสือ พยายามเป็นขุนนางให้ได้ วิธีการที่ใช้เหมือนกับบัณฑิตคนนั้น แน่นอนว่าแค้นต้องชำระ แต่ชีวิตคนเราก็ยังต้องดำเนินต่อไป ยิ่งมีชีวิตดีเท่าไหร่ โอกาส แก้แค้นก็ยิ่งมีมากเท่านั้น ข้อที่สอง หากรู้มาก่อนว่าเรื่องนี้ศาลเทพอภิบาลเมืองมี เอี่ยวด้วย ข้าจะยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม หากไม่ได้เป็นขุนนางระดับสูงของหกกรมในแคว้นอิ๋นผิงจะไม่มีทางออกไปจากเมืองหลวงเด็ดขาด และยิ่งไม่มีทางย้อนกลับมายังเมืองสุยเจี้ยง่ายๆ เมื่อเลือกจะโจมตีอีกฝ่ายแล้วก็ต้องให้ตายในคราวเดียว หากก่อนหน้านั้นไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันอย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ ตอนนั้นยังคงถูกปิดหูปิดตาอยู่ บางทีก็อาจจะไม่ต่างจากบัณฑิตคนนั้น รู้สึกว่าในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองของเมืองหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าเป็นขุนนางใหญ่ที่ปกครองพื้นที่ศักดินาแห่งหนึ่งได้แล้ว อีกทั้ง ยังหนุ่มและมีความสามารถ เป็นตัวเลือกขุนนางคนสำคัญในอนาคตของฮ่องเต้ คิดจะเล่นงานกลุ่มโจรที่ก่อคดีมาอย่างโชกโชน
ต่อให้เป็นคดีเก่าแก่นานปี ก็ยังทำได้อย่างเหลือเฟือ ข้อที่สาม ขอแค่มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ท่านเทพอภิบาลเมืองต้องการให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำอย่างนั้น จะไม่มีทางพาตัวไปตายง่ายๆ เด็ดขาด”
เฉินผิงอันกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า พวกเรายากที่จะเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่นได้อย่างแท้จริง”
ตู้อวี๋รู้สึกอับอายเล็กน้อย
น่าจะเป็นเพราะตนคิดอย่างตื้นเขินเกินไป เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสข้างกายนี้ ก็เป็นยอดฝีมือบนภูเขาที่แท้จริง การมองคนและเรื่องราวในโลกมนุษย์จึงคู่ควรกับ คำว่าลึกล้ำยาวไกล
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีก
ตู้อวี๋ยินดีที่เป็นเช่นนี้ ในใจของเขาผ่อนคลายขึ้นมาก
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ก็มีคืนนี้นี่แหละที่สมองของตนแล่นได้เร็วที่สุดและเปลืองแรงที่สุดแล้ว
เมื่อเทียบกับคูน้ำเสาซีของศาลสุ่ยเซียนก่อนหน้านี้ คูน้ำจ่าวซีลึกกว่าและ กว้างกว่า หมู่บ้านใหญ่หลายแห่งที่เดิมทีสร้างขึ้นเลียบคูน้ำเสาซี ตลอดเวลา หลายร้อยปีที่ผ่านมาต่างก็เริ่มพากันย้ายมาอยู่ที่คูน้ำจ่าวซีซึ่งสภาพน้ำดียิ่งกว่า นานวันเข้าควันธูปของศาลสุ่ยเซียนคูน้ำเสาซีจึงเบาบางลงไป จวนลวี่สุ่ย (น้ำเขียว/น้ำใส) ที่อยู่ด้านหลังสามารถสร้างได้อย่างงดงามโอ่อ่าขนาดนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาศัยควันธูป เรือนไม้ทั่วไปอาศัยเงินขาว
เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีที่หนีกลับไปถึงวังมังกรใต้ทะเลสาบได้นั้น พ่ายแพ้ให้แก่เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านหน้าเฉินผิงอันตอนนี้ในทุกๆ ด้าน ไม่อย่างนั้นปีนั้นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็คงไม่สั่งให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีเป็นคนไปจัดการจดหมายลับฉบับนั้น
อีกทั้งยังมอบป้ายคำสั่งแทนตัวเทพของเจ้าแห่งทะเลสาบ ทำให้นางสามารถออกจากอาณาเขตของตัวเองอย่างคูน้ำจ่าวซี เดินทางขึ้นเขาลงห้วยไปเชื่อมสัมพันธ์ที่ เมืองหลวงได้ ตู้อวี๋รู้รากฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายในทะเลสาบชางอวิ๋นดี ตามคำบอกของผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผีผู้นี้ วังมังกรของทะเลสาบ ชางอวิ๋นก็คือสถานเริงรมย์บนภูเขาแห่งหนึ่ง มีไว้ให้เจ้าแห่งทะเลสาบใช้ผูกมัดใจลูกหลานชนชั้นสูงต่างถิ่นที่ทั้งมีเงินและมีเวลาว่างโดยเฉพาะ ส่วนสาวใช้อ่อนเยาว์หน้าตางดงามในวังมังกรที่มีชื่อเสียงระบือไกลเหล่านั้น มาจากไหน? แน่นอนว่านอกจากร่องน้ำเสาซีที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าถูกทิ้งร้างแล้ว อุทกภัยที่เกิดจาก สามลำคลองหนึ่งคูน้ำที่เหลือ
ในอดีตเคยได้มีเซียนซือที่ผ่านทางมาถ่ายทอดวิธีการแก้ไขให้แล้ว นั่นคือ จำต้องเลือกเด็กสาวอายุสิบหกปีที่ยังบริสุทธิ์คนหนึ่งให้มากระโดดน้ำขอไถ่โทษ ช่วงเวลาที่เกิดภัยแล้ง ขุนนางในท้องถิ่นจะไปขอฝนจากศาลเจ้าแห่งทะเลสาบในเมือง ซึ่งค่อนข้างจะศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก หลังจากที่มีฝนตกลงมาอย่างที่ต้องการแล้วก็จำเป็นต้องจับสตรีโยนลงน้ำเพื่อตอบแทนพระคุณของเจ้าแห่งทะเลสาบ
ตู้อวี๋บอกว่าแผนการเหล่านี้ล้วนเป็นคุณความชอบของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี
นางมักจะแต่งกายเป็นสตรีออกเรือนแล้วเหมือนขุนนางที่ปลอมตัวไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน แอบท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ภายใต้เขตการปกครองของทะเลสาบ ชางอวิ๋น เพื่อตามหาเด็กสาวชาวบ้านที่พรสวรรค์การฝึกตนดีเยี่ยมและหน้าตางดงาม รอจนพวกนางอายุประมาณสิบแปดถึงยี่สิบปี สามทะเลสาบสองคูน้ำก็จะมีฝนตกกระหน่ำลงมาจนน้ำเอ่อล้นท่วมทะลัก หรือไม่ก็จะร่ายใช้วิชาอภินิหารขับไล่เมฆฝนออกไป เป็นเหตุให้ภัยแล้งลุกลามไกลพันลี้ กฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมา หลายร้อยปี ขุนนางในแต่ละพื้นที่ก็เคยชินกันมานานแล้ว เรื่องที่โยนเด็กสาวลงน้ำ จึงกลายเป็นเรื่องที่แม้แต่ชาวบ้านก็ยังต้องยอมรับชะตากรรม นานวันเข้าก็เคยชินกับการที่คนหนึ่งเจอหายนะเพื่อขอให้ลมฟ้าลมฝนตกต้องตามฤดูกาล กลับกลายเป็นว่าเห็นการทำเรื่องนี้เป็นเรื่องมงคล จัดงานอย่างเอิกเกริก
ทุกครั้งจะจับสตรีที่ถูกเลือกมาสวมชุดเจ้าสาว แต่งหน้าประทินโฉมให้พวกนางอย่างงดงามน่าหลงใหล ส่วนครอบครัวของหญิงสาวเหล่านั้นก็จะได้เงินก้อนใหญ่ อีกทั้งพวกชาวบ้านยังชอบพูดว่าหลังจากสตรีกระโดดน้ำไปแล้ว อีกไม่นานก็จะถูกนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบรับตัวไปที่วังมังกรใต้น้ำ จากนั้นก็จะกลายไปเป็นคน ในตระกูลเซียนของดินแดนเซียนในน้ำที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ ได้แต่งกายงดงามหรูหรา ช่างเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
การสร้างสะพานเชื่อมเส้นสายความสัมพันธ์กับลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงและในท้องถิ่น การต้อนรับขับสู้ การคบค้าสมาคมกับพวกเขา ก็ล้วนเป็นเจ้าแม่ เทพวารีท่านนี้ที่จัดการเองกับมือ นางเป็นคนที่เชี่ยวชาญรอบด้าน ดังนั้นจึงได้รับความสำคัญจากเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น
เพียงแต่ว่ามีเรื่องเดียวที่นางไม่อาจเทียบกับเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีผู้นั้นได้ นั่นคือ ฝ่ายหลังคือขุนนางผู้ติดตามมังกรที่แท้จริง ก่อนหน้าที่เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากแคว้นอิ๋นผิง นางก็ได้ติดตามอยู่ข้างกาย เจ้าแห่งทะเลสาบแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาศาลคูน้ำจ่าวซี ตู้อวี๋ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง ยามที่เอ่ยถึงฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำซึ่งเล่าลือกันว่ามีรูปโฉมงดงามเหนือฮองเฮาและพระสนมของหนึ่งแคว้น น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะแสดงความนับถือ บอกว่านางคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สมองเป็น จนถึงตอนนี้ยังเป็นได้แค่แม่ย่าลำคลองเล็กๆ คนหนึ่งก็นับว่าอยุติธรรมต่อนางแล้ว หากเปลี่ยนตนไปเป็นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น ป่านนี้คงช่วยวางแผนให้นางช่วงชิงตำแหน่งเทพแห่งลำคลองมาแล้ว ส่วนเทพแม่น้ำนั้นคงไม่ต้องหวัง ในแคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้ไม่มีแม่น้ำใหญ่ สตรีที่ต่อให้จะมีฝีมือปรุงอาหารแค่ไหน แต่ไม่มีวัตถุดิบก็แสดงฝีมือไม่ได้ และก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาน้ำของหนึ่งแคว้นจะถูกทะเลสาบชางอวิ๋นยึดครองไปเกินครึ่งแล้ว
ห่างจากทะเลสาบชางอวิ๋นอีกไม่ถึงสิบลี้แล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับหยุดเดิน
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยุดเดินตามไปด้วย
นางหันหน้ามา ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีไอน้ำเอ่อออกมาเป็นธรรมชาติ นางคล้ายจะฉงนสนเท่ห์ ท่าทางขลาดกลัวบอบบางที่อยากถามแต่ไม่กล้าถามนั้น มองดูแล้ว น่าสงสารนัก ทว่าความจริงแล้วในใจนางกลับหัวเราะเสียงหยันไม่หยุด ทำไมไม่เดินแล้วเล่า? ก่อนหน้านี้ยังพูดจาวางโตอยู่เลย ตอนนี้รู้แล้วหรือว่าหนทางเบื้องหน้ามีแต่อันตรายรออยู่?
ตู้อวี๋ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่า เขาจะรอชมงิ้วอย่างเดียว ผู้อาวุโสเป็นคนบอกให้เขาทำแบบนี้เอง
เฉินผิงอันหันตัวกลับไปมอง
ก็เห็นว่าเป็นเยี่ยนชิงผู้นั้นที่เดินตามมา
เหอลู่ไม่ได้ติดตามมาแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะซ่อนตัวอยู่ห่างไปไกล เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนผู้นี้น่าจะเชี่ยวชาญวิชาการหลบหนีในระยะไกล หรือไม่ก็วิชาการอำพรางตัว
เพียงแค่ร่างกายบอบบางไปหน่อย
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะต้องรู้สึกยุ่งยากมากแน่นอน
ผู้ฝึกตนหญิงอายุยังน้อยของดินแดนเซียนเป่าต้งที่สวมชุดสีขาว บนศีรษะ สวมมงกุฎจิ๋วสีทองทะยานลมมา เมื่อเปรียบเทียบกับตู้อวี๋ที่อยู่ข้างกายแล้วก็จำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนชายหรือหญิง หากหน้าตาดีสักหน่อย เรือนร่างเวลาที่เหยียบอยู่กลางอากาศเดินทางไกล มองดูแล้วก็สบายตาสบายใจกว่ามากจริงๆ
ตู้อวี๋สังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสชำเลืองตามองตนแวบหนึ่ง แววตานั้นคล้ายจะเวทนา?
ทำไม หรือผู้อาวุโสคิดจะให้ตนถืออาวุธบุกเดี่ยวพาตัวไปตกหลุมพรางที่ทะเลสาบชางอวิ๋น?
ผู้อาวุโส ไหนบอกว่าให้ข้ายืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก็พออย่างไรเล่า? ปากของท่านผู้อาวุโสอมกฎแห่งสวรรค์ ปากทองคำนี้เมื่ออ้าออกแล้ว หากจะผิดคำพูดของตัวเองก็คงไม่ค่อยดีกระมัง?
เฉินผิงอันกล่าว “เยี่ยนชิงไล่ตามมาแล้ว”
ตู้อวี๋มองตามเส้นสายตาของเขาไปก็เห็นว่ามีจุดแสงเล็กๆ คล้ายข้าวสารปรากฎอยู่สุดปลายการมองเห็นของตัวเองจริงๆ เขาจึงกล่าวอย่างตกตะลึง “เทพธิดาเยี่ยน ผู้นี้คงไม่ได้เสียสติไปแล้วหรอกกระมัง ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็เลยคิดจะมา…งัดข้อกับ พี่น้องเฉินให้ได้?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความคิดบางอย่างของคนบางคน ไม่ว่าข้าจะคิดอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ”
ในใจของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีสงบมั่นคงขึ้นมาก
เมื่อเทพธิดาเยี่ยนชิงมาถึง ต่อให้ยังไม่ไปถึงทะเลาบชางอวิ๋น ตนก็ไม่น่าจะมีอันตรายสักเท่าไรแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ตีกันเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ตอนอยู่ที่ศาล แต่ในเมื่อเทพธิดาเยี่ยนชิงไล่ตามมาอย่างไม่ยอมเลิกรา ก็หมายความว่าขอแค่ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมผู้นี้กล้าลงมืออีกครั้ง สองฝ่ายก็จะแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง การเข่นฆ่ากันที่จวนลวี่สุ่ย บางทีอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่อยู่ที่นี่ซึ่งห่างจากทะเลสาบ ชางอวิ๋นแค่ไม่กี่ก้าวนี้ ผู้ฝึกตนอิสระหยาบกระด้างคนหนึ่ง กับผู้ฝึกตนตำหนักขวานผี ที่ดีแต่ประจบสอพลอบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งคนหนึ่ง จะสร้างคลื่นลมมรสุมได้ใหญ่โตสักแค่ไหนกัน?
ในมือของเยี่ยนชิงถือกระบี่สั้นไร้ฝัก นางพลิ้วกายลงกับพื้น ห่างจากคนหนุ่ม สวมงอบชุดเขียวนั้นแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น อีกทั้งนางยังก้าวเดินมาข้างหน้า อย่างเชื่องช้าอีกด้วย
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่คิดว่าตัวเองพอจะมีความสามารถในการอนุมานเรื่องราวอยู่บ้างยิ่งสาแก่ใจมากกว่าเดิม เห็นไหม เทพธิดาเยี่ยนชิงไม่เห็นคนผู้นี้อยู่ในสายตาจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว แต่ก็ยังไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
ตู้อวี๋มองเทพธิดาสาวที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปสี่ดินแดนผู้นี้ ทุกคนต่างก็พูดกันว่า นางกับเหอลู่คือหงส์และมังกรในกลุ่มคน คือคู่สร้างคู่สม
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะอิจฉาตาร้อนแค่ไหนก็ได้แต่ยอมรับ คืนนี้เวลานี้มาลองมองดูอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหากละเหอลู่เอาไว้ไม่พูดถึง เทพธิดาเยี่ยนชิงก็หน้าตางดงาม มากจริงๆ
นี่ทำให้ตู้อวี๋ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร
อาหารเลิศรสที่มาวางอยู่ตรงปาก แต่กลับไม่อาจกินได้ เทียบกับการถูกคน คนหนึ่งกดหัวให้กินอาจมร้อนๆ แล้วยังน่าสะอิดสะเอียนเสียยิ่งกว่า
เฉินผิงอันถาม “มีธุระอะไรอีก?”
นางสีหน้าเย็นชา ยังคงเดินมาข้างหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนที่ถูกขูดขีดจนเกิดร่องรอยความเสียหายเสี้ยวเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อริ้วคลื่นกระเพื่อมผ่านก็ได้จางหาย กลับคืนมาใสกระจ่างดังเดิมอีกครั้ง
เฉินผิงอันยกไม้เท้าเดินป่าชี้ไปยังเทพธิดาที่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่าทางก็แทบไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ผู้นั้น “หยุดได้แล้ว”
เยี่ยนชิงไม่ได้ดึงดันจะเดินหน้าต่อ นางหยุดยืนนิ่งตามคำบอกของเขาจริงๆ
ตู้อวี๋แอบสูดจมูกลอบดมกลิ่น ไม่เสียทีที่เป็นเทพธิดาซึ่งถูกขนานนามว่ามี ครรภ์แห่งเต๋ามาตั้งแต่กำเนิด กลิ่นหอมของกล้วยไม้ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ใน ครรภ์มารดาประเภทนี้ ไม่อาจหาดมได้ในโลกมนุษย์
เยี่ยนชิงเปิดปากกล่าว “เขาหวังดีขอให้เจ้าหยุดมือ เหตุใดเจ้าถึงยังลงมือกับเขาอย่างอำมหิตเช่นนี้?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่เดิมทียังเอ้อระเหยลอยชายมุมปากกระตุก
ลงมืออำมหิต?
ผู้ฝึกตนที่ไม่ว่าจะขอบเขตสูงหรือต่ำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์น้อยใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภูเขาติดกับสายน้ำ ไหนเลยจะมีคนที่โง่อย่างแท้จริง
หางตาของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำชำเลืองไปยังคูน้ำจ่าวซีที่อยู่ใกล้ระยะประชิด คิดจะโคจรวิชาอภินิหาร กลายร่างเป็นไอหมอกที่หลบหนีไป
เฉินผิงอันที่หันหลังให้กับตู้อวี๋และเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีบิดหมุนข้อมือ ไม้เท้าเดินป่าในมือก็ปลิวกระเด็นออกไป กระแทกโดนหน้าผากของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำพอดี ไม้เท้าที่กระแทกมาเต็มแรงทำให้ดาวสีทองหมุนติ้วอยู่เบื้องหน้าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่
ไม้เท้าพุ่งกลับมาที่เดิม ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในมืออีกครั้ง “เยี่ยนชิง คืนนี้เจ้ามา ดื่มชาอยู่ในศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้ น้ำชาอร่อยไหม?”
แม้ว่าเยี่ยนชิงจะยังเยาว์วัย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหยกงามในการฝึกตนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ได้ยินความหมายเย้ยหยันในคำพูดของอีกฝ่ายก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “น้ำชาอร่อยก็คืออร่อย แต่จะดื่มชากับใครที่ไหนเมื่อไหร่ ล้วนเป็นเรื่องนอกกาย ผู้ฝึกตนสภาพจิตใจบริสุทธิ์ไร้มลทิน ต่อให้ตัวตกอยู่ท่ามกลางดินโคลนก็ยังไม่เป็นปัญหาใดๆ”
เฉินผิงอันโบกมือ คร้านจะพูดจาไร้สาระกับนาง
เยี่ยนชิงกลับเอ่ยว่า “เจ้าจะไปวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็เชิญตามสบาย บนมหามรรคา ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง ข้าจะไม่มีการกระทำใดๆ ที่เกินความจำเป็นอีก”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ทำท่าบอกเป็นนัยให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่กำลังนวดคลึงหน้าผากตัวเองนำทางไปต่อ
เยี่ยนชิงเดินตามมาด้านหลังพวกเขา
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา
ครู่หนึ่งต่อมา เยี่ยนชิงที่จ้องมองกระบี่ยาวด้านหลังบุรุษชุดเขียวผู้นั้นอยู่ตลอดเวลาก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ที่จงใจใช้ตัวตนของผู้ฝึกยุทธลงเขามาหาประสบการณ์งั้นหรือ?”
น่าเสียดายที่คนผู้นั้นมีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบให้นาง
ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ ฝีเท้าแผ่วเบาล่องลอย สามารถทำให้เทพธิดาเยี่ยนชิงเดินกินฝุ่นตามหลังก้นตัวเองได้ ทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนดื่มสุรารสนุ่ม
เดินกันไปได้อีกประมาณหนึ่งลี้ เยี่ยนชิงก็เอ่ยถามอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าถึงดึงดัน จะถามเรื่องเก่าแก่ในอดีตของโลกมนุษย์ล่างภูเขาให้จงได้? หรือว่าได้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับสมบัติประหลาดชิ้นนั้นมา?”
ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ
เยี่ยนชิงสีหน้าเป็นธรรมชาติ ยังคงถามอีกว่า “เจ้าชื่อแซ่อะไร? ในเมื่อเป็น ยอดฝีมือคนหนึ่งก็คงไม่ถึงขั้นต้องปิดบังอำพรางตัวตนหรอกกระมัง?”
ตู้อวี๋อดไม่ไหว ตัดสินใจว่าจะปั่นหัวเทพธิดาเยี่ยนชิงผู้นี้เล่นดูสักครั้ง จึงเดินพลางหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ไม่กล้าปิดบังเทพธิดาเยี่ยน พี่ชายของข้าคนนี้แซ่ว่าเฉิน นามว่าคนดี (ฮ่าวเหริน) แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง แต่กลับมีจิตใจรักความเป็นธรรมของจอมยุทธมากที่สุด สะพายกระบี่ท่องไปทั่วทิศ ไม่ว่าบนโลกมนุษย์มีเรื่องอยุติธรรมใด ก็จะต้องเข้าไปจัดการดูแล ข้ารู้จักกับพี่เฉินมาหลายปีแล้ว คราวนั้นที่อยู่ในยุทธภพก็ถือว่าหากไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน หลังจากประมือกันแล้ว ไม่ว่า จะเป็นตบะหรือนิสัยใจคอ ข้าก็ล้วนเลื่อมใสพี่ชายคนดีอย่างสุดจิตสุดใจ ทุกครั้งที่เป็นช่วงเวลาค่ำคืนผู้คนเข้านอนกันหมด มักจะทบทวนถามใจตัวเองว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีบุรุษที่อัศจรรย์เช่นนี้อยู่?! ข้าตู้อวี๋มีคุณธรรมความสามารถใดถึงได้โชคดีรู้จัก กับเขา?”
เฉินผิงอันยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอยู่เหมือนเดิม
เยี่ยนชิงชำเลืองตามองตู้อวี๋ที่เป็นดั่งโคลนเหลวไม่ติดกำแพงแล้วหัวเราะหยัน “รู้จักกันในยุทธภพมาหลายปี? ในศาลสุ่ยเซียนของเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีนั่นน่ะหรือ? หากไม่เป็นเพราะคืนนี้ถูกคนเขาเล่นงานจนสมองมีปัญหา ตอนนี้เจ้าจะยังมาพูดจาเหลวไหลอยู่อีกไหม?”
ตู้อวี๋หัวเราะฮ่าๆ อย่างไม่ใส่ใจ
เยี่ยนชิงสายตาเย็นชา “ที่นี่อยู่ห่างจากทะเลสาบชางอวิ๋นอีกแค่ไม่กี่ก้าว แม้ว่าบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งข้าจะยังไม่ลงมาจากภูเขา แต่หากหลังจบเรื่องรู้ว่าเจ้าตู้อวี๋โชคดีได้รู้จักกับสหายที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งเช่นนี้ วันเวลาบนภูเขายาวไกล ภิกษุต่างถิ่นจากไปแล้ว แต่วัดยังคงอยู่ เจ้าไม่กลัวว่าหายนะจะออกจากปากบ้างเลยหรือ?”
ข้าผู้อาวุโสคือชายชาตรีที่ไปเดินวนรอบประตูผีแล้วกลับมาที่โลกคนเป็นสองรอบแล้ว ยังจะกลัวคนอย่างเจ้าอีกหรือ ตู้อวี๋ไม่เพียงแต่ไม่ถอยร่น กลับกันยังกวาดตามอง ปากน้อยๆ ของเทพธิดาเยี่ยนชิงด้วยสายตาร้อนแรง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีไม่พูดไม่จาอะไร
เยี่ยนชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีใช่ไหม ข้าจดจำเจ้าและ สำนักของเจ้าเอาไว้แล้ว”
นี่ถึงทำให้ตู้อวี๋รู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับตู้อวี๋ว่า “พี่น้องตู้อวี๋ นิสัยแย่ๆ ที่ชอบหลงระเริงตนนี้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้ว เทพธิดาบนภูเขาความจำดีกว่าจอมยุทธหญิงในยุทธภพที่อายุหกสิบปีก็มีเส้นผมขาวโพลนอยู่มากนัก”
ตู้อวี๋พยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “พี่เฉินสั่งสอนได้ถูกต้อง คำพูดล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำเช่นนี้ก็เหมือนมอบทรัพย์สินเงินทองให้ข้าหมื่นชั่ง วันหน้าข้าจะต้องเก็บรักษาทรัพย์สมบัติก้อนนี้ไว้ให้ดี”
ขนาดเดิมพันด้วยชีวิตยังเดิมพันมาแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ทุ่มเดิมพันอย่างสุดตัวอีกสักครั้ง
ขอแค่คืนนี้ผู้อาวุโสสามารถหนีรอดจากทะเลสาบชางอวิ๋นไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะผูกปมแค้นหรือไม่ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะมาแตะต้องตนได้ เพราะต้อง ชั่งน้ำหนัก ‘สหายผู้ฝึกตน’ ที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกับตนมาก่อนผู้นี้ให้ดี
แน่นอนว่าตนกับสำนักอย่างตำหนักขวานผีไม่สามารถย้ายถิ่นฐานไปไหนได้ แต่ขอแค่ผู้อาวุโสไม่ได้ตายอยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋น ผู้ฝึกตนบนภูเขาต่างไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่มีทางยอมเป็นเหยื่อล่อที่ใช้ตกปลา เป็นจันทันที่ยื่นหน้าออกไปอย่างแน่นอน
จนกระทั่งบัดนี้ ตู้อวี๋ที่รู้สึกตัวช้าถึงเพิ่งจะรู้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสถึงบอกว่าการเดินทางมาเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นครั้งนี้ ตนอาจจะได้ต้นทุนกลับมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าความอันตรายนั้นต้องอันตรายอย่างใหญ่ อีกทั้งยังมีภัยแฝงที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน นอกจากบุคคลที่มีน้อยดุจดั่งขนหงส์ เขากิเลนอย่างเยี่ยนชิงผู้นี้แล้ว คนอื่นๆ ไหนเลยจะมีเรื่องดีงามอย่างการนอนเสวยสุข เขาตู้อวี๋ก็ยังต้องลงจากภูเขามาเสี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่ามิใช่หรือ?
ดังนั้นถึงได้บอกว่าแม่นางน้อยอย่างเยี่ยนชิงผู้นี้ เมื่อเทียบกับยอดฝีมือบนภูเขาอย่างผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยหรืออาจถึงขั้นหลายพันปีผู้นี้แล้ว ตบะยังตื้นเขินไปหน่อย ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นของนาง ตอนนี้ยังไม่อาจเลี้ยงเจียวหลงเอาไว้ได้
หลังจากนั้นเยี่ยนชิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่เดินตามคนกลุ่มนั้นไปเงียบๆ
ขยับเข้าไปใกล้ริมตลิ่งทะเลสาบชางอวิ๋น
การมองเห็นพลันเปิดกว้าง
ไม่เสียทีที่เป็นน่านน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นอิ๋นผิง
คืนนี้พระจันทร์กลมโตเต็มดวง
ริ้วคลื่นมรกตกระเพื่อมไกลพันลี้ ประกายแสงบนน้ำระยิบระยับงดงาม ทั้งสีของดวงจันทร์และสีของน้ำต่างก็ขานรับเข้ากันเป็นอย่างดี
เนื่องจากเป็นทางเข้าทะเลสาบของคูน้ำจ่าวซี ดังนั้นจึงสร้างท่าเรือแห่งหนึ่งเอาไว้ เพียงแต่ว่าทางน้ำเส้นนี้คือเส้นทางที่เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีใช้รับรองแขกสูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวงโดยเฉพาะ นางจึงไม่อนุญาตให้ชาวบ้านคนธรรมดาเหยียบย่างเข้ามา แม้แต่ครึ่งก้าว
ยืนอยู่ตรงท่าเรือ ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าค้ำยันพื้นดิน ทอดสายตามองไปไกลพลางถามว่า “ตู้อวี๋ เจ้าว่าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีและเสาซี สองท่านนี้ รวมถึงตัวเจ้าเองด้วย หากข้าปล่อยหนึ่งหมัดออกไป ต่อยให้พวกเจ้า ตายไปโดยไม่ทันระวัง จะมีสักกี่คนที่ถือว่าตายอย่างอยุติธรรม?”
ตู้อวี๋กะพริบตาปริบๆ คำถามนี้ตอบได้ไม่ง่ายจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยกล้าบุ่มบ่ามตอบด้วย
เพราะถึงอย่างไรทะเลสาบชางอวิ๋นก็อยู่ตรงหน้า
คำพูดข่มขู่ประโยคนั้นของเยี่ยนชิง อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นแค่การแสร้งขู่ให้กลัว กฎเกณฑ์บนภูเขาก็เป็นเช่นนี้ สืบทอดกันมาอย่างนี้เป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีเห็นว่าดูเหมือนทะเลสาบชางอวิ๋นจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นางก็เริ่มร้อนใจราวกับมีไฟลน ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของท่าเรือ พอได้ยินคำถามที่ ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นเอ่ยออกมา ในที่สุดก็เริ่มตระหนกลนขึ้นมาบ้างแล้ว
หากบนโลกใบนี้มียาแก้อาการเสียใจภายหลัง นางคงจะซื้อมาสักหลายๆ จิน แล้วกลืนลงไปทีเดียว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลเทพวารี หากตนเกรงใจอีกฝ่ายสักหน่อย เอ่ยตอบรับผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมไปสองสามคำให้พอเป็นพิธี ก็คงไม่ถึงขั้นที่ต้องตกอยู่ในสภาพหากเจ้าไม่ตายก็ข้าที่รอดแบบนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนอยู่ในศาล ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้เข้ามาในถิ่นของตน ก็ได้ขอให้ตู้อวี๋เข้ามาทักทายในศาลก่อน หลังจากนั้นตัวเขาถึงตามเข้ามา คำพูดที่ตอนนั้นได้ยินแล้วรู้สึกว่าน่าขำและน่ารำคาญอย่างถึงที่สุด ตอนนี้มาลองย้อนนึกดู อันที่จริงก็พอ จะถือว่า…มีเหตุผลแล้ว?
เยี่ยนชิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ฆ่าคนพร่ำเพื่อเพื่อระบายความแค้นอยู่ที่นี่ เพราะไม่มีความหมายใดๆ”
เฉินผิงอันก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า จนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างกายเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ดูเหมือนว่าคนทั้งสองจะยืนเคียงไหล่ ชมทัศนียภาพของทะเลสาบร่วมกัน
เฉินผิงอันใช้สองมือยันไม้เท้าปักตรึงไว้กับพื้น ถามเสียงเบาว่า “เด็กสาวที่กระโดดลงน้ำซึ่งถูกเจ้าส่งตัวไปเป็นสาวใช้ของเจ้าทะเลสาบเหมือนการส่งมอบของบรรณาการเหล่านั้น มีใครบ้างไหมที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม แต่กลับถูกเจ้าใช้คนในครอบครัวไปข่มขู่ ถึงได้ยอมสวมชุดแต่งงานทั้งน้ำตา มีพ่อแม่ของพวกนางที่เป็นเดือดเป็นแค้นที่บุตรสาวต้องตายไปอย่างอยุติธรรม มีเด็กหนุ่มที่เติบโตมากับพวกนางตั้งแต่เล็กที่อยากจะแก้แค้นให้พวกนาง
แต่กลับถูกพวกเจ้าบี้ให้ตายด้วยนิ้วเดียวอยู่บ้างหรือไม่ เจ้าตอบมาตามตรง มีหรือไม่? หากมีแค่คนเดียวก็ตอบว่ามี”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีสั่นเทิ้มไปทั้งตัว กัดฟันแน่น
เฉินผิงอันถามอีก “จะเปลี่ยนแปลงไหม? จะแก้ไขไหม? ทะเลสาบชางอวิ๋นจะเปลี่ยนไปไหม?”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพยักหน้ารับอย่างแรง พูดน้ำตาคลอเจียนจะหยด “ขอแค่ เซียนซือใหญ่เอ่ยมา บ่าวจะต้องแก้ไขความผิดบาปเก่าก่อน…”
แต่เจ้าคนที่สวมงอบผู้นั้นกลับเอ่ยแค่ว่า “ไม่ได้ถามเจ้า ข้ารู้คำตอบอยู่แล้ว”
และในขณะที่เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีกำลังจะเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าขอร้องนั้นเอง
นางพลันหันควับไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย ในใจ ปิติยินดีสุดขีด
นางยืดเอวได้ตรงทันใด
ตู้อวี๋หดคอ กลืนน้ำลาย
บุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมมังกร ใบหน้างดงามราวกับหยก ศีรษะสวมมงกุฎ คนหนึ่งปรากฎตัวอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋น ประดุจดวงเดือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ดาว เพราะมีเทพวารีของสามลำคลอง และยังมีเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีที่ใบหน้า เต็มไปด้วยรอยยิ้มสาสมใจ รวมไปถึงภูตขุนนางบุ๋นบู๊ผู้ช่วยน้อยใหญ่ของวังมังกร อีกหลายสิบคน พลังอำนาจน่าเกรงขาม ห่างออกไปด้านหลังยังมีพลทหารกุ้งหอย ปูปลาอีกหลายร้อยตนที่จัดแถวเข้าขบวนตามลำดับหน้าที่ของตน
ในบรรดานั้นยังมีผู้ฝึกตนตระกูลเซียนบุคลิกไม่ธรรมดาจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมากที่สุด
และยิ่งมีหญิงชราเรือนกายแข็งแกร่งกำยำไม่เป็นรองบุรุษที่สวมชุดคลุมมังกร บนศีรษะสวมมงกุฎสีทองที่คล้ายกับของเยี่ยนชิง เพียงแต่ว่ารัศมีแสงเข้มข้นกว่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องก็ทอประกายเรืองรอง
ด้านหลังหญิงชรายังมีผู้ฝึกตนที่ลมหายใจทอดยาว ทั่วร่างมีประกายสีสันไหลวนอีกสิบกว่าคนยืนอยู่
พวกเขาก็คืออินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น กับฟ่านเหวยหรานบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งที่จับมือกันออกมาจากงานเลี้ยงในวังมังกร เพื่อมาพบหน้าเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีกล่าวถึง
ท่านหนึ่งคือหนึ่งในมังกรข้ามแม่น้ำสองตัวที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น
อีกท่านหนึ่งคืองูเจ้าถิ่นที่มีอำนาจมากที่สุดในแคว้นอิ๋นผิง
เดิมทีทั้งสองฝ่ายอยู่ในงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตหรูหราที่มีอาหารเลิศรสละลานตา มีสุราเซียนที่ชวนให้คนเมามาย กำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ
จนกระทั่งเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีกลับมาด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงและเอ่ยถ้อยคำที่ทำลายบรรยากาศอย่างสิ้นเชิง
นางบอกว่ามีผู้แข็งแกร่งที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่งมาเยือนศาลสุ่ยเซียน แล้วก็สามารถสังหารตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีได้อย่างง่ายดาย แถมยังบอกว่าจะมาเหยียบวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นให้ราบเป็นหน้ากลอง บังคับชิงตัวสาวใช้หน้าตางดงามเอาไปเป็นของเล่น ทั้งยังบอกอีกว่าเซียนซือของดินแดนเซียนเป่าต้งจะนับเป็นตัวอะไรได้ หากกล้ามาขัดขวาง เขาก็จะสังหารไปพร้อมกันด้วย
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของที่แห่งนี้มานาน เป็นพันปีไม่ใช่คนโง่ เขาคุ้นเคยกับนิสัยปากเปราะของบ่าวชั้นต่ำผู้นี้ดี จึงสะบัด ชายแขนเสื้อตบให้ร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีสั่นสะเทือน ร่างของนางกลิ้งตลบ ร้องโหยหวนอยู่กับพื้น เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีที่ความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จมีไม่มาก แต่ความสามารถในการล้างผลาญกลับเหลือเฟือถึงได้ไม่กล้าใส่สีเติมแต่ง เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลทั้งหมดไปตามจริง
ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นของดินแดนเซียนเป่าต้งคิดแค่ว่าเป็นเรื่องสนุกที่เสริมความบันเทิงยามร่ำสุราเท่านั้น ส่วนเซียนกระบี่อะไรนั่น แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ ว่ากันว่าสาวใช้ข้างกายของเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีเห็นเองกับตาว่ามีกระบี่บินจิ๋วเล่มหนึ่งบินออกมาจากในกาเหล้า แต่คำพูดของสาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง แค่เป็นความจริงส่วนสองส่วน ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ฟ่านเหวยหรานบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งก็ทำเพียงรับฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร
เรื่องสกปรกในศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยนั่น ในอดีตนางก็เคยได้ยินมาก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพียงแต่ว่าภายหลังมีลางว่าสมบัติหนักจะ เผยกายบนโลกอีกครั้ง นางถึงได้สั่งให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ ความเป็นมาคร่าวๆ เหตุก่อนหน้าและผลในภายหลังล้วนเข้าใจอย่างกระจ่างชัด
ในปีนั้นตอนเจอกับลูกหลานของคนรับจดหมายในเมืองหลวง ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งสองคนที่ลงจากภูเขามาจัดการเรื่องนี้ยังเกิดความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ กับตระกูลเซียนในพื้นที่กลุ่มหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงที่คิดไปในทำนองเดียวกัน อีกด้วย
แน่นอนว่าต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามที่เสียเปรียบ จากนั้นก็เก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัวจากไปแต่โดยดี
ฟ่านเหวยหรานขมวดคิ้ว “แม่หนูชิง?”
เยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือยิ้มบางๆ “บรรพจารย์โปรดวางใจ ข้าไม่เป็นอะไร”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบหรี่ตาลง
สมกับเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่มีรูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองอย่างแท้จริง หากโชคดี มีโอกาสได้เสพสมกับนางสักครั้งก็น่าจะสามารถเพิ่มตบะให้ตนได้อย่างน้อยร้อยปี
เพียงแต่น่าเสียดายที่ดินแดนเซียนเป่าต้งมองเห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งไข่มุกบนฝ่ามือ (เปรียบเปรยถึงของล้ำค่าที่ต้องทะนุถนอมประคองไว้บนฝ่ามือ) นังเด็กน้อยที่ผิวเนียนเนื้อนุ่มอย่างเยี่ยนชิงผู้นี้ เป็นแก้วตาดวงใจของสตรีแกร่งอย่างฟ่านเหวยหรานที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ทะเลสาบชางอวิ๋นไม่อาจแตะต้องนางได้
ได้ยินมาว่าเยี่ยนชิงเป็นคู่รักกับเหอลู่แห่งนครหวงเยว่? แต่ดูจากท่าทางการยืนและบุคลิกของนาง ยังดี ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่เสร็จเหอลู่
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบลอบกลืนน้ำลายที่สอขึ้นมาในปาก
ทางฝั่งของท่าเรือ
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีไม่สนใจอะไรอีก นางกระโดดตัวไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าแห่งทะเลสาบช่วยข้าด้วย!”
อินโหวได้ยินแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ยังต้องช่วยอีกหรือ?”
นาทีถัดมา
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ท่วงท่าองอาจประหนึ่งจักรพรรดิในโลกมนุษย์ก็ต้องเดือดดาลอย่างหนัก
เห็นเพียงว่าในขณะที่เท้าทั้งสองของเจ้าแห่งคูน้ำคนสนิทของเขากำลังจะ สัมผัสพื้นผิวทะเลสาบ กลับถูกคนชุดเขียวสวมงอบที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือยื่นมือมา คว้า ร่างของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีลอยหวือกลับไปที่ท่าเรือ แล้วถูกคนผู้นั้นใช้นิ้วทั้งห้า กุมลำคอเอาไว้ พอเขาบีบมือ เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่มีสถานะเป็นแม่ย่าลำคลองก็มี แสงสีทองจางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและเรือนกาย เพียงชั่วพริบตาร่างทองของเทพวารีก็ถูกกระชากออกมาจากในเนื้อหนังมังสาที่เป็นสตรีเต็มวัยบุคลิกสง่างาม
สองร่างแยกจากกัน
ร่างที่เป็นสตรีสวมชุดชาววังตัวอ่อนยวบลงกับพื้น
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่ถูกบีบให้ต้องเผยร่างทองแผดเสียงร้องโหยหวนด้วย ความเจ็บปวดอย่างน่าเวทนา
มือทั้งสองของนางทุบตีมือของคนหนุ่มชุดเขียวสะพายกระบี่อย่างแรง
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพลันเพิ่มน้ำหนักมือต่อหน้าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและ ฟ่านเหวยหราน ศีรษะร่างทองพลันระเบิดแตกเป็นเศษเสี้ยว ก่อนที่ร่างทองนั้น จะกลายเป็นจุดแสงสีทองที่สลายหายไปจากท่าเรืออย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่แม่ย่าลำคลองคนหนึ่ง แม้แต่เศษชิ้นส่วนร่างทองที่มีขนาดเท่าเล็บมือก็ยัง ไม่สามารถกลับมารวมตัวกันได้
คนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ไม่ต้องช่วยแล้วล่ะ”
ตู้อวี๋เงยหน้ามองพระจันทร์ แสร้งทำเป็นคนโง่
มองไม่เห็น ข้ามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
คราวนี้ระดับการสั่นสะเทือนในหัวใจของเยี่ยนชิงเหนือกว่าตอนที่อยู่ในศาล เทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีก่อนหน้านี้เสียอีก เรียกได้ว่าพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ประหนึ่งถูกคนใช้หมัดทุบหนักๆ ลงบนหัวใจ
ฟ่านเหวยหรานกระตุกมุมปาก ขยับร่างวูบเดียวก็หายตัวไป
คราวนี้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างเจ้าต้องขายหน้าหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งคนของตัวเองและคนของฝ่ายอื่น เจ้าอินโหวจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ในฐานะผู้ครองทะเลสาบชางอวิ๋น องค์เทพปกครองภูเขาแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องซึ่งควบคุมชะตาน้ำทั้งหมดเอาไว้ เมื่อจิตใจของอินโหวสะเทือนด้วย ความโกรธแค้น ผิวทะเลสาบที่อยู่ใกล้กับท่าเรือจึงเริ่มเกิดคลื่นโถมตัว ลูกคลื่น ตีกระทบชายฝั่งส่งเสียงดังขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด
จากนั้นคนชุดเขียวที่ลงมือทีเดียวก็สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้คนก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ต้องเป็นคำล้อเล่นอย่างแน่นอน “อยากฟังเหตุผลหรือไม่?”
คนผู้นั้นมองเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น แล้วค่อยมองไปยังฟ่านเหวยหรานที่สายตาฉายแววคลุมเครือ สุดท้ายเขาก็ถามเองตอบเองว่า “ดูท่าคงไม่อยาก ข้าชอบ”
ฟ้าดินพลันเงียบสงัดไปช่วงเวลาหนึ่ง และแสงจันทร์ที่สาดส่องนั้นก็ไม่เคยมี สรรพสำเนียงใดมานับแต่โบราณ
ตู้อวี๋รู้สึกเพียงว่าในใจเต็มไปด้วยความห้าวเหิม มารดามันเถอะ วันหน้าหาก มีความองอาจห้าวหาญเช่นนี้บ้าง ตายไปก็คุ้มแล้ว! แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดยังต้อง ถูกคนเล่นงานแค่ร่อแร่เกือบตาย จะดีจะชั่วก็เหลือชีวิตไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วค่อยเจอเหตุการณ์เช่นนี้!
มารดามันเถอะ ที่แท้วีรบุรุษผู้องอาจก็ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? เมื่อก่อน การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ในยุทธภพของตนนั่นจะนับเป็นอะไรได้?
จิตใจของเยี่ยนชิงกระเพื่อมรุนแรง สีหน้าซับซ้อน
นางมองแผ่นหลังนั้น
ราวกับเมล็ดงาเล็กๆ เมล็ดหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินกว้างใหญ่เพียงลำพัง ไม่เหมือนผู้ฝึกตน ยิ่งไม่เหมือนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา แต่กลับเหมือนจอมยุทธพเนจรที่สะพายกระบี่ท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำจริงๆ มากกว่า และ ดูคล้ายว่าจะค่อนข้าง…โดดเดี่ยวด้วย?
เยี่ยนชิงหงุดหงิดกับความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนี้ของตัวเอง รีบปรับสภาพจิตใจให้มั่นคงด้วยการท่องคาถาตระกูลเซียนเงียบๆ
จากนั้นนางก็เห็นว่าคนผู้นั้นปลดหีบไม้ไผ่ลงวางข้างเท้าเบาๆ ก่อน แล้วค่อย ปลดงอบวางลงบนหีบไม้ไผ่อีกที
เขาเอาไม้เท้าในมือทิ่มพื้น ส่วนเล็กๆ ปลายไม้เท้าปักเข้าไปในดินของท่าเรือ
จากนั้นเขาก็เริ่มม้วนชายแขนเสื้อช้าๆ
หลังจากยืนได้มั่นคง เขาก็เพียงแค่สะพายกระบี่ แขวนน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้เท่านั้น
สุดท้ายคนผู้นั้นมองไปยังทะเลสาบชางอวิ๋น เอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ต้องเกรงใจ พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันได้เลย ดูสิว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นหมัดข้าที่แข็ง หรือสมบัติอาคมของพวกเจ้าที่มากกว่ากันแน่ วันนี้หากข้าหนีไปจากที่นี่ก็ไม่ต้องเรียกข้าว่า เฉินคนดี”
ใบหน้าตู้อวี๋เต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก
คำพูดคำจาเอ่ยแค่ครึ่งเดียวน่าจะดีกว่า คำพูดก่อนหน้านั้นฟังแล้วฮึกเหิมนัก แต่ประโยคสุดท้ายนั่น ไม่จำเป็นกระมัง? ผู้อาวุโสยอดฝีมือ ทำแบบนี้จะเป็นการเพิ่มปณิธานให้ผู้อื่น แต่ดับทำลายบารมีของตนเอานะ
เพียงแต่ไม่นานตู้อวี๋ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไป
เพราะพูดอะไรล้วนไม่สำคัญ
ต้องดูที่ว่าเขาทำอะไรมากกว่า
ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยังไม่ทันได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตแค้นแม้แต่ครึ่งคำ คนชุดเขียวสะพายกระบี่ห้อยกาเหล้าผู้นั้นก็ใช้หนึ่งเท้ากระทืบท่าเรือครึ่งหนึ่งให้พังยุบลงไป แล้วร่างของเขาก็ทะยานไปเบื้องหน้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
น้ำทะเลสาบที่ซัดโหมกระหน่ำอยู่ริมฝั่งถอยร่นตามไปด้วย
เทพลำคลองที่สวมชุดเกราะสีเขียว ในมือถือทวนยาวคนหนึ่งปรี่ขึ้นหน้ามา ต้านรับศัตรู
เสียงปังจากแค่หนึ่งหมัดเท่านั้น
ทั้งเสื้อเกราะ ผิวหนังและร่างทองต่างก็แหลกสลายคาที่ไปตามๆ กัน